ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)  (อ่าน 40886 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tradeya
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 186
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,110



ดูรายละเอียด
« ตอบ #160 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2008, 11:37:42 »

ทุกข้อความ อ่านแล้วซึงครับ  Cry
บันทึกการเข้า

Keizz
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 369



ดูรายละเอียด
« ตอบ #161 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2008, 12:35:24 »

แต่กว่าจะได้แต่งนี่สิครับ เหอๆ ใช้งบประมาณอีกบานเลย  Cheesy เฮ้อ  Lips Sealed
บันทึกการเข้า
kentaro
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #162 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2008, 13:33:48 »

ครบทุกอารมณ์เลย

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

มือใหม่ในวันนี้จะเติบโตในวันข้างหน้า ~

SubmitEaze Directory Submission Software

สำหรับคนที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
เว็บหลวงพ่อจรัญ


Hostgator ใครสมัครไม่เป็น เวอริฟายไม่ผ่าน Pm มาครับ ยินดีช่วยเต็มที่
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #163 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2008, 23:37:11 »

ขอกอดหน่อยน้า...

บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #164 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2008, 21:41:18 »

คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย
กรมสุขภาพจิต


ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็ย่อมมีช่วงเวลาของความอ่อนแอ อ่อนล้าในชีวิตอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม
 

กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่งยเหลือ ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้
ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้

การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น

คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

 

    * มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
       
    * ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
       
    * ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
       
    * ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
       
    * มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์
       


คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้



    * ความเข้าใจ
       
    * เพื่อนที่จริงใจ
       
    * การระบายความทุกข์
       
    * ความใส่ใจ
       


ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย
 


   1. พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร
       
   2. พูดหรือเขียนสั่งเสีย
       
   3. เคยพยายามฆ่าตัวตาย
       
   4. นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
       
   5. ป่วยเป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น
       
   6. ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ
       
   7. มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น
       
   8. มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม
       
   9. สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
       
  10. ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน
       
  11. เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง


ถ้ามีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา
ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโยเร่งด่วน โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้

เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร



   1. สังเกตว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่ ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อจะช่วยเหลือ
       
   2. ลองถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเองหรือไม่อย่างไร ถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้านหรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตาและให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง
       
   3. พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
       
   4. กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง
       
   5. ติดต่อหาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
       
   6. กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย
       
   7. ให้ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ


เทคนิคการปลอบใจ

เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้


    * พูดให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น " ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "
       
    * ยังมีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น " ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "
       
    * ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น " ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู " แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
       
    * พูดให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น " ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ "ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "
       
    * พูดให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น " คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ " คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "
       
    * ในกรณีที่เวลาผ่านไประบะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอกบาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "



 

อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย
เพราะจะกายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก
การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด
คือการรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา
และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ



เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร

 


    * รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
       
    * ปลอบโยนญาติให้มีสติ
       
    * ทำความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการกาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ และช่วยกัยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก


สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย

 


    * ตายเสียได้ก็ดี
       
    * ไม่น่ารอดมาเลย
       
    * อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
       
    * เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
       
    * อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
       
    * ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
       
    * อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น
       




   แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้



    * สถานีอนามัย
       
    * โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช
       
    * บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน
       
    * แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว
       
    * ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค

ต่อชีวิตคน ได้กุศล ผลบุญแรง


ขอขอบคุณ www.dhammajak.net
 
บันทึกการเข้า

[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #165 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2008, 21:47:55 »

อ่านแต่ละบทความของคุณ journey ...

สุดยอดจิงๆ คับ  Smiley
บันทึกการเข้า
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #166 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2008, 10:11:28 »

ห่วงได้....แต่อย่าหวง


ได้ยินลูกสาวหลายๆคนบอกว่า พ่อรักมาก พ่อหวงลูกสาว  พ่อสอนไม่ให้รักใคร      แต่ให้รักตัวเองมากๆ  เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนในโลก ที่จะมารักลูกสาว เท่ากับที่พ่อรัก........

พ่อที่สอนลูกแบบนี้   รักลูกสาวหรือ?
หวงลูกสาว  หวงเอาไว้ทำไม  เพื่ออะไร? 
เพื่อให้ลูกกลายเป็นสาวทึนทึก?
ความรักของพ่อ คือ การกักขังลูกสาวไว้ ไม่ให้รักผู้ชายคนใด นอกจากพ่อของตัวเอง?
ความรักของพ่อ คือ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ อิสรภาพของลูกสาว?

แท้จริง การหวงลูกสาว คือ  ความเห็นแก่ตัวของพ่อเองต่างหาก
พ่อไม่ต้องการแบ่งปันความรักของลูกสาว ไปให้ผู้ชายที่ลูกอาจรักได้มากกว่าที่รักพ่อ
พ่อต้องการเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจลูกตลอดไป ไม่ต้องการให้มีใครมาแทนที่ในใจลูก
แล้วลูกสาวก็มีปัญหาจิตใจ   รักใครไม่เป็น   มีแต่ความหวาดระแวงว่าจะไม่มีใครมารักจริง
เพราะว่าพ่อ  สอนไว้อย่างนั้น   พ่อสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ดีพอสำหรับลูก
ลูกสาวจะรักหนุ่มคนไหน  มากไปกว่าพ่อของตัวเองไม่ได้
พอลูกสาวเริ่มจะรักหนุ่มคนไหน   ลูกก็จะเกิดความรู้สึกผิด  ผิดต่อพ่อ
ผิดที่ไปรัก  ไปคิดถึงเขา   อยากอยู่ใกล้เขา  มากกว่าที่อยากอยู่กับพ่อ
แล้วลูกสาวก็เกิดความขัดแย้งในใจ
ในที่สุด  หนุ่มก็ต้องจากไป   เพราะความไม่เข้าใจพฤติกรรมที่ขัดแย้ง
ไม่รู้ว่าเธอรักเขา หรือไม่รักกันแน่นะ
พอโดนหนุ่มทิ้ง   ลูกสาวก็จะคิดว่า.....ใช่สินะ...  พ่อพูดถูก
หารู้ไม่ว่า   ตัวเอง ทำตัวของตัวเองแท้ๆ    ทำให้หนุ่มต้องจากไป

พ่อที่ดี  ควรแสดงความรักต่อลูกสาวอย่างไร
ผมในฐานะพ่อ  ที่มีลูกสาวกำลังจะโตเป็นสาว 
ความรักที่ผมมีต่อลูกสาว   เพื่อความสุขของลูกสาวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวผม
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวมีความสุข
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวไม่มีความทุกข์ร้อนวิตกกังวล
ความรัก  ทีีพลอยยินดีในความสุขและความสำเร็จของลูกสาว
และทำใจปล่อยวาง  ในเรื่องที่ลูกอาจดื้อรั้น ผิดพลาดไป 
หรือดันทุรัง ทั้งๆที่ได้แนะนำตักเตือนแล้ว

พ่อรักแม่ของลูก   และเชื่อเหลือเกินว่า....
วันหนึ่ง ลูกสาวของพ่อ  จะมีหนุ่มท่ีจะมารักลูกพ่อ  เหมือนที่พ่อรักแม่ของลูก
ลูกต้องเรียนรู้นิสัยใจคอหนุ่มที่มาชอบพอกัน    เข้ากันได้ดีหรือไม่ ก่อนที่จะปล่อยใจให้รัก
ต้องลองคบหาดูใจกันไป  ถ้าไปกันไม่ได้ดี  ก็ต้องเลิกกันไป
แล้วคบคนใหม่ ศึกษานิสัยใจคอกันใหม่
การคบหาสมาคมกัน  พ่อจะคอยแนะนำให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร
แต่ไม่จำกัดอิสรภาพของลูกสาว
และไม่เสียใจเลย ถ้าลูกสาวจะรักหนุ่ม  มากกว่าที่รักพ่อ
เพราะโดยธรรมชาติแล้ว   มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
แม่ของลูก   เขาก็รักพ่อยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิต
แล้วทำไม ลูกของพ่อ  อาจจะรักคนรักของลูก  ยิ่งไปกว่าที่รักพ่อไม่ได้  พ่อเข้าใจดี
พ่อจะไม่ทำตัวเป็นคู่แข่งกับคนรักของลูก    พ่อจะไม่น้อยใจ  ไม่เสียใจ เมื่อลูกรักเขา
แต่พ่อ  จะส่งเสริมสนับสนุนความรักของลูกให้ยั่งยืนตลอดไป
หนักนิด เบาหน่อย ก็ให้อภัยเขาได้   พ่อจะคอยแนะนำให้คำปรึกษา

เพราะความรัก ที่พ่อมีต่อลูก  คือการให้อิสรภาพแก่ลูก 
ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก   เพื่อความสุข เพื่อประโยชน์ของตัวลูกเอง   ไม่ใช่เพื่อพ่อ
พ่อแม่นั้นมีแต่ "ให้" อยู่แล้ว   ไม่เคยต้องการอะไรจากลูก  นอกจากอยากเห็นลูกมีความสุข

พ่อไม่ครอบงำความคิดของลูก   พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
ลูกต้องคิดเองเป็น    พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนเข้มแข็ง และยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
แม้วันหนึ่ง   ไม่่มีพ่อกับแม่   ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างปกติสุข

พ่อคนนี้ ไม่หวงลูกสาวหรอก   เพราะพ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนฉลาดทันคน
ลูกจะเรียนรู้ รู้จักคน  เข้าใจคน  และเลือกคนไม่ผิดมาเป็นคู่ชีวิต
พ่อไม่เคยต้องการให้ลูกสาว  ต้องกลายเป็นสาวทึนทึก  อยู่คนเดียวไปจนวันตาย
อยากให้มีใครสักคน  ที่เขาจะรักและจริงใจกับลูก   อยู่เป็นเพื่อนลูก
ทำให้ลูกมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขตลอดไป

พ่อ    ควรสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการมีครอบครัวให้กับลูกสาว
ทัศนคติที่ถูกต้อง   จะทำให้ลูกสาว มีจิตใจที่สมบูรณ์  เป็นผู้ใหญ่  และเข้าใจความรัก
เข้าใจชีวิต   ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและเป็นปกติสุข 
ไม่มีอคติกับผู้ชาย ไม่มีอคติกับความรัก   มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สมวัย

ถามใจตัวเองหน่อยเถอะครับ  คุณพ่อทั้งหลาย  ท่านจะหวงลูกสาวเอาไว้ทำอะไรครับ
ท่านไม่อยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่เป็นสุขหรือครับ   หรือจะหวงไว้จนลูกสาวขึ้นคาน


--------------------------------------------
ขอขอบคุณ

โค๊ด:
http://www.oknation.net/blog/pimahn
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #167 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2008, 10:20:03 »

ว่าด้วยการเลี้ยงลูก



พ่อแม่นั้นคือพรหมของลูก  จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องมีพรหมวิหารธรรม   คือ

1. มีเมตตาเอ็นดูรักใคร่ลูก
2. มีความกรุณาสงสารลูกในยามที่ลูกมีความทุกข์ไม่สบายกายไม่สบายใจ
3. มีมุทิตาความพลอยยินดีในความสุขความสำเร็จของลูก
4. มีอุเบกขา รู้จักทำใจ  ปล่อยวางได้  ในยามที่ไม่อาจช่วยเหลือสนับสนุนอะไรลูกได้มากไปกว่าที่ได้ทำไปแล้ว

เด็กๆทุกคนที่เกิดมา  ต่างก็มีนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างๆกัน   มีพื้นฐานทางจิตใจและอารมณ์แตกต่างกัน มีความถนัด  ความชอบ มีพรสวรรค์ต่างกัน  มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน  มีความสามารถทางกายภาพ   มีศักยภาพแตกต่างกัน และ  มีบุญกรรมโชควาสนาที่แตกต่างกันด้วย   ฉะนั้น  พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังให้ลูกของตนเป็นได้อย่างลูกของคนอื่น   ไม่ควรเอาลูกของตนไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น 

หลักการเลี้ยงลูกที่ดีนั้น   พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้มีความสุข  ให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้  เป็นตัวของตัวเอง  รู้จักผิดชอบชั่วดี   รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง  และในที่สุด  เลี้ยงลูกให้ลูกพึ่งตนเองได้  มีหลักการ 6  ข้อ  ดังนี้คือ


1. จงให้ความรักแก่ลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข

จงรักลูกของตน   ในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นลูกของเรา   ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกสวยหน้าตาน่ารัก  แม้ลูกของเราอาจจะไม่สวยเหมือนลูกของคนอื่น  เราก็ยังต้องรัก    ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกเรียนเก่ง  แม้ลูกของเราอาจจะเรียนไม่เก่ง  สอบตกบ้าง  เราก็ยังต้องรัก   ไม่ควรมีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น สำหรับการที่จะไม่รักลูกของตนเอง   ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้น  ต้องไม่มีเงื่อนไข   ไม่มีคำว่า "ถ้า"  เช่น  ถ้าลูกเรียนไม่เก่ง พ่อแม่จะไม่รัก  ถ้าลูกไม่ทำตามที่พ่อแม่สั่ง  พ่อแม่จะไม่รัก  ฯลฯ  จงแสดงออกให้ลูกรู้ว่า   ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร เราก็จะรักเขา  เพราะเขาเป็นลูกของเรา

พ่อแม่ที่ดี  จะเลี้ยงดูอบรมลูกด้วยความรัก   ยุติธรรม และ มีเหตุผลกับลูก  จะมีผลให้ลูกมีอารมณ์มั่นคง มีความคิดสร้างสรรค์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น เด็กที่เกเร โดยมากมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อบรมเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกต้อง


2. จงให้อิสรภาพ/เสรีภาพแก่ลูกตามสมควร


2.1 อิสรภาพ/เสรีภาพทางกาย   

ไม่กักขังจำกัดบริเวณแก่ลูก   การที่จะอนุญาตให้ลูกไปไหนมาไหนได้ อาจกำหนดเวลากลับบ้านว่าไม่เกินสามทุ่ม เพื่อความปลอดภัยของตัวลูกเอง  ถ้าลูกอยากไปดูหนังกับเพื่อน ก็ควรอนุญาตให้ไปได้ แต่ควรได้ทำความรู้จักกับเพื่อนของลูก  เพื่อจะได้แน่ใจว่า ลูกเลือกคบแต่เพื่อนที่ดี

ควรอนุญาตให้ลูกพาเพื่อนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านได้  แต่ต้องอยู่ในขอบเขต  ไม่มากเกินไปจนกระทั่งลูกทำตัวเป็นใหญ่ในบ้าน


2.2 อิสรภาพ/เสรีภาพในเรื่องของรสนิยม  การแต่งกาย การแสดงความคิดเห็น 

พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง โดยพ่อแม่เป็นผู้ชี้แนวทางว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร

เพื่อฝึกให้ลูกของเรา  รู้จักคิดเองเป็น  จะได้ไม่เป็นคนที่เอาอย่างคนอื่น  ตามก้นคนอื่น  หรือถูกชังจูงได้ง่าย ควรเปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆได้   รับฟังลูกอย่างตั้งใจ  ไม่ควรครอบงำความคิดของลูก   ให้ลูกมีอิสระทางความคิดและแสดงออกได้เต็มที่ แม้เราอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูก   เราก็ควรบอกลูกด้วยเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เห็นด้วย เพราะอะไร  และเรามีความคิดเห็นในเรื่องนั้นอย่างไร

เรื่องรสนิยม  การแต่งกายของลูก  ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดเอง  เลือกเอง ตัดสินใจเอาตามรสนิยมของลูก  เป็นการฝึกลูกให้เป็นตัวของตัวเอง 

เด็กที่พ่อแม่ให้เกียรติ  เคารพความคิดเห็นของลูก  จะเป็นเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง  มีเหตุผล และไม่ดื้อรั้น  จะไม่เป็นคนที่หูเบา ถูกชักจูงได้ง่าย   ไม่ตามกระแส แต่จะเป็นคนมีเหตุผล  รู้จักคิดพิจารณาว่าอะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ เพราะอะไร

2.3 อิสรภาพ/เสรีภาพในการศึกษาและการเลือกอาชีพ

เนื่องจากเด็กๆแต่ละคนมีความชอบ   ความถนัด ความสามารถ และ พรสวรรค์ต่างกัน  เด็กควรเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกสาขาที่จะศึกษาเล่าเรียน หรือเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและถนัด   ไม่ใช่ว่าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ  ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับให้ลูกเข้าเรียนแพทย์ให้ได้  ถ้าลูกไม่ชอบวิชาชีพนี้  แม้ลูกจะสอบเข้าเรียนได้  จนจบออกมาเป็นแพทย์  แต่ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานในอาชีพนี้  พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเป็นนายร้อย   ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับลูกให้เข้าเตรียมทหาร  และเป็นนายร้อย จปร  แต่ลูกไม่ชอบอาชีพทหาร   ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานไปตลอดชีวิต  หรือลูกบางคน ก็ลาออกจากอาชีพทหาร และไปประกอบอาชีพอื่นในภายหลัง

บางอาชีพ  เช่น  อาชีพจิตรกร   เด็กๆบางคนรักการวาดภาพ  แต่พ่อแม่ห่วงว่า  อาจไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ด้วยอาชีพนี้  จึงไม่อยากส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกได้เรียนเป็นจิตรกร  ทำให้ศักยภาพในตัวเด็กถูกจำกัด   อันที่จริงแล้ว เด็กๆทุกคนมีเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเอง  พ่อแม่ควรทำหน้าที่เพียงส่งเสริมสนับสนุน   แต่ไม่ควรตัดสินใจแทนลูก   หากลูกรักที่จะเป็นจิตรกร หรือ การงานอาชีพใด  จงปล่อยให้ลูกทำตามความใฝ่ฝันของตนเอง   ลูกย่อมพบหนทางแห่งความสำเร็จในการงานอาชีพที่เขารักได้เสมอ

2.4 อิสรภาพ/เสรีภาพในการเลือกคู่ครอง

"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่"  ฉันใดก็ฉันนั้น  การที่ลูกจะรักจะชอบใคร  พ่อแม่ไม่ควรไปมีอิทธิพลต่อลูกในการเลือกคู่ครองของตน คนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เขารัก  คือ ตัวเขา   ไม่ใช่พ่อแม่   สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ  คือ  ทำความรู้จักกับคนที่ลูกรัก   หากพบว่าคนรักของลูกเป็นคนไม่ดี  พ่อแม่อาจแนะนำตักเตือนลูก  เพื่อให้ลูกตาสว่าง และมองเห็นข้อเสียของคนที่ลูกรัก   ส่วนการตัดสินใจจะคบหากันต่อไป   หรือจะเลิกคบน้ัน  ลูกต้องเป็นคนตัดสินใจเอง

ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกมาอย่างมีเหตุผล  ลูกก็จะเป็นคนมีเหตุผล  และเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดพลาด   แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยวิธีครอบงำความคิด   ลูกก็มักจะปล่อยให้คู่ครองของตนครอบงำความคิดตนได้ เขามักจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคู่ครองเช่นกัน เพราะเคยชินกับการถูกครอบงำ   ลูกที่พ่อแม่ให้เกียรติ  เคารพความคิดเห็นของลูก  เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของใครได้ง่ายๆ


3. กำหนดบทบาท หน้าที่ และ ความรับผิดชอบให้ลูก

ส่งเสริมให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ให้โอกาสลูกได้กระทำกิจกรรมต่างๆโดยให้ลูกได้พยายามคิดและรู้จุดมุ่งหมายของงานด้วยตนเอง

เพื่อฝึกให้ลูกเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบ  พ่อแม่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ลูก  เช่น ลูกคนโต  ให้ช่วยดูแลเป็นธุระสอนการบ้านน้อง   ลูกคนเล็ก ให้ช่วยรดน้ำต้นไม้เป็นกิจวัตรประจำวัน ฯลฯ  ถ้าลูกทำหน้าที่ของตนได้ดี  ไม่ละเลยหน้าที่  ก็ชมเชยลูก  เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำหน้าที่ของเขาด้วยดีต่อไป

เมื่อลูกโตพอสมควรแล้ว   ลูกอาจอยากได้รองเท้าคู่ใหม่  พ่อแม่อาจให้เงินค่าขนมเป็นรายเดือน และฝึกให้ลูกใช้จ่ายเงินนั้นให้เพียงพอต่อเดือน  หากอยากได้รองเท้าใหม่ หรือสิ่งใดเป็นการพิเศษ  ควรฝึกให้ลูกรู้จักหารายได้พิเศษ   หรือ ประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ซื้อรองเท้าคู่ใหม่เอง

ไม่ควรฝึกลูกให้เอาแต่ใจตัวเอง  ถ้าอยากได้อะไรพ่อแม่ซื้อให้ทันที  ลูกจะไม่เห็นค่าของเงิน  ต้องฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนของลูกเองด้วย

หากลูกทำผิดอะไรมา   หรือมีปัญหามาให้พ่อแม่แก้ให้  ควรรับฟังลูก  และแนะนำวิธีแก้ไขปัญหา แต่อย่าไปลงมือแก้ไขปัญหาให้ลูก   เพื่อเป็นการฝึกไม่ให้ลูกเป็นคนหนีปัญหา และโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น   คนที่ผูกเอง   ต้องแก้เอง


4. ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก   แต่ไม่ถึงกับโอบอุ้มไปเสียทุกอย่าง

เพื่อฝึกให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้   พึ่งตนเองได้ในวันข้างหน้า   พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักช่วยตนเองในทุกๆด้าน   ลูกจะได้เป็นคนเก่ง  ใช้ความมานะพยายาม   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ  พ่อแม่ไม่ควรทำให้ลูกไปเสียทุกอย่าง  เช่น  เรื่องการสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย   ลูกต้องเป็นฝ่ายหาข้อมูลเองว่า อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไหน    อยู่ที่ไหน จะเดินทางไปอย่างไร  จะเลือกเรียนวิชาใดดี   จบการศึกษาแล้ว จะไปทำงานอะไร    พ่อแม่ไม่ควรไปหาข้อมูลมาให้ลูกทุกอย่าง  หรือพาลูกไปมหาวิทยาลัยเอง  จะเป็นการฝึกให้ลูกอ่อนแอ  เป็นลูกแหง่   ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

เด็กที่เติบโตมาเป็นคนเก่งนั้น  มักเป็นเด็กที่ต้องขวนขวายเอง   เด็กจะเคยชินกับการต้องด้ินรนเอง เจอปัญหาและอุปสรรค  เด็กจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาเอง   แม้เด็กอาจจะปรึกษาพ่อแม่  แต่ก็รับฟังคำแนะนำ  ส่วนการนำไปปฏิบัติ  เด็กต้องเป็นคนปฏิบัติเอง


5. จงใช้เหตุผล  อย่าใช้อารมณ์กับลูก

พ่อแม่ต้องปกครองลูกด้วยเหตุผล ชี้แจงให้ลูกเข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อลูกทำผิดไม่ควรดุด่า หรือ เฆี่ยนตี ควรชี้แจงเหตุผลให้เด็กเข้าใจ ฝึกให้เด็กเป็นคนรักเหตุผล   รู้ว่าผิดอะไร และที่ถูกต้อง  ต้องทำอย่างไร

พ่อแม่ไม่ควรบันดาลโทสะกับลูกอย่างเด็ดขาด  ถ้าเกิดอารมณ์น้อยใจ หรือโมโหลูก  ควรหลบไปก่อน จนกว่าจะอารมณ์เย็น และ คุยกับลูกด้วยเหตุผลได้ จึงค่อยชี้แจงลูกว่า ลูกทำอะไรไม่ถูกไม่ควร

แต่อย่าใจเย็นจนมองไม่เห็นว่าลูกทำอะไรไม่ดีไม่งามไปบ้าง  เพราะจะทำให้ลูกได้ใจ  และ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด


6. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน

จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก เพื่อให้ลูกเกิดความนิยม นับถือ และปฏิบัติตาม   สิ่งใดที่พ่อแม่สอนลูกว่า ควรประพฤติปฏิบัติ  สิ่งนั้น ต้องเป็นสิ่งที่พ่อแม่เองก็ทำอยู่เป็นประจำ สิ่งใดที่พ่อแม่ห้ามลูกกระทำ  สิ่งนั้น  พ่อแม่ต้องไม่กระทำด้วย

ถ้าจะสอนให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล  พ่อแม่ก็ไม่ควรแสดงความเจ้าอารมณ์ให้ลูกเห็น   ถ้าจะสอนให้ลูกรู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย  พ่อแม่ต้องเป็นคนรู้ค่าของเงิน ใช้จ่ายเงินทองอย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือยให้ลูกเห็นก่อน

พ่อแม่เองควรรักกัน  ซื่อสัตย์ต่อกัน  แบ่งหน้าที่กันทำ  ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน พูดจากันอย่างมีเหตุมีผล  จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นได้ทุกวัน  และลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่


ขอให้พ่อแม่ทุกท่าน  มีลูกที่รักดี  สนใจศึกษาเล่าเรียน  ใฝ่หาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต  รู้จักกตัญญูรู้คุณพ่อแม่   ไม่นำเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่พ่อแม่   เป็นเด็กเฉลียวฉลาด  มีเหตุผล เป็นตัวของตัวเอง   นำแต่ความสุขความชื่นใจมาสู่พ่อแม่ และ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล

-----------------------------------------------
ขอขอบคุณ

โค๊ด:
http://www.oknation.net/blog/pimahn
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #168 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008, 22:13:46 »

ความสุขที่ถูกมองข้าม
(พระไพศาล วิสาโล)

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน


ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?


เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง



พระไพศาล วิสาโล

..............................
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #169 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2008, 17:25:26 »









 Grin Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #170 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2008, 15:28:22 »


.. บุญสลากภัต ..


เช้าวันนี้พวกเรานัดกันตั้งแต่เช้าตรู่
ต่างคนต่างเตรียมข้าวของกันมาหลายอย่าง
ทั้งถ้วยโถโอชาม ทั้งสำรับภัตตาหาร

พวกเรานัดกันไปร่วมทำบุญ "สลากภัต"



วัดเล็กๆ ในหมู่บ้านที่เงียบสงบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่
แค่ขับรถชั่วโมงหนึ่งก็ถึง อ.บ้านนา จ.นครนายก

วันนี้ที่วัดคึกคักด้วยญาติโยมคนในหมู่บ้านใกล้เคียง
ซึ่งว่าไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เครือญาติกันเกือบทั้งนั้น



บุญสลากภัตหรือใครจะเรียกว่าฉลากภัตรก็น่าจะได้
ก็คือการถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์
เพียงแต่เราต้องจัดเตรียมสำรับอาหาร
โดยไม่เจาะจงว่าจะถวายให้พระรูปไหน
เราต้องจับฉลากเลขเบอร์ของพระ
ได้เบอร์อะไร ก็ต้องนำอาหารที่เราเตรียมไปถวายพระรูปนั้น

ถึงเรียกกันว่า ฉลาก + ภัตตาหาร นั่นละ
แต่ไม่รู้เพี้ยนมายังไงถึงได้ออกมาเป็น "สลากภัต"
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ เหมือนกันนะ




บางทีจับฉลากได้เป็นพระหนุ่ม หรือพระที่สูงวัย หรือรูปที่อาพาธ
อาหารที่เตรียมไว้จึงควรเป็นอาหารรสกลางๆ ไม่รสจัดเกินไปด้วยเหมือนกัน



ถ้าเป็นวัดในเมืองกรุง
เราอาจเห็นคนเมืองเอาอาหารใส่ถุงพลาสติกหรือกล่องโฟม
หิ้วใส่ถุงก๊อปแก๊ปขึ้นศาลาไปถวายอาหารเพล



แต่ที่วัดแห่งนี้
ชาวบ้านยังคงเก็บงำรักษาประเพณีเล็กๆ ของหมู่บ้านเอาไว้อย่างงดงาม
คนเฒ่าคนแก่นุ่งซิ่นผืนงามแต่งตัวกันเรียกว่าเต็มยศ
จัดเตรียมอาหารกันข้ามวันข้ามคืน
สำรับอาหารจะถูกบรรจงใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดี
จัดเรียงลงกระบุงขึ้นคานหาบ



เข้าใจว่าเมื่อก่อน ชาวบ้านคงเอาสำรับอาหาร
ใส่คานขึ้นหาบออกจากบ้านมาที่วัด
แต่ทุกวันนี้คงไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนั้น
แค่เอาหาบใส่กระบะขับรถมาที่วัดได้ง่ายขึ้นเยอะ



ทุกครอบครัวเอาอาหารใส่หาบกันขึ้นมาบนศาลา
ทั้งคนเฒ่าคนแก่ ลูกหลานคนหนุ่มคนสาว
แต่เท่าที่ดูเห็นมีแต่คนแก่ๆ ผมสีดอกเลาเท่านั้นละที่หาบของขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าหนุ่มๆ รุ่นลูกรุ่นหลานจะใจไม้ไส้ระกำ
ไม่ยอมมาช่วยคุณย่าคุณยายหาบของหรอกนะ

แต่ขืนให้พวกนี้มาหาบสำรับละก็นะ
กระดกขึ้นกระดกลงเป็นไม้กระดกสนามเด็กเล่น
มีหวังข้าวของระเนระนาดไม่ได้ไปทำบุญกันพอดี



ก็ยังดีใจที่ชาวบ้านยังอนุรักษ์การใช้คานหาบ
หาบสำรับอาหารขึ้นศาลามาถวายพระ
ขากลับก็ได้หาบบุญกลับบ้านกันไป
เหมือนได้หาบเงินหาบทองกลับไปเต็มกระบุงนั่นละ



คุณยายที่นั่งข้างๆ เล่าว่า
สมัยที่ยายยังสาวๆ อยากได้ชุดกระเบื้องเคลือบ
ไว้ใส่สำรับสลากภัตของตัวเองสักชุดนึง
ก็เลยไปรับจ้างเกี่ยวข้าวได้ค่าแรงไร่ละห้าสิบสตางค์
ค่อยๆ เก็บหอมรอมริดจนได้พอซื้อชุดกระเบื้องเคลือบ
โถชามสีขาวสะอาดพร้อมฝาปิดลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ
อย่างที่สมัยนี้คนกรุงเทพฯ จะเรียกว่าชามลาย Japanese Occupied



ยายเก็บเงินซื้อมาชุดละ 5 บาทแพงเอาการสำหรับสมัยนั้น
แล้วคุณยายก็ยกโถขึ้นมาใบหนึ่ง พลิกให้ดูที่ก้นถ้วยด้านล่าง
เขียนเลขเอาไว้ด้วยปากกาสีเลือนๆ "2502"

48 ปีแล้วนะ ชามใบนี้..คุณยายยิ้มอย่างภูมิใจ
พร้อมกับสายตาที่มีความสุขกับเรื่องราวของวันวาน



บนศาลาวัดวันนี้ คึกคักเนืองแน่นไปด้วยผู้คนญาติโยม
ต่างคนต่างหน้าตาอิ่มเอิบอิ่มบุญอิ่มใจ

โดยเฉพาะคนแก่เฒ่าคุณตาคุณยาย
ที่นั่งมองพระฉันภัตตาหารด้วยอาการสำรวม
อิ่มใจที่พระท่านฉันอาหารที่เตรียมไว้ได้เยอะ
อิ่มใจที่ได้เอาชุดสำรับที่เก่าเก็บมานมนานออกมาใช้แค่ปีละหน
แม้จะไม่สวยหรูเหมือนถ้วยชามเบญจรงค์สมัยใหม่
แต่ก็เป็นวัตถุที่เก็บงำความทรงจำเรื่องเล่าแห่งเงาอดีต

และเหนืออื่นใด
สุขใจ..ที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา กับลูก กับหลาน
ในวันที่ครอบครัว..เป็นครอบครัวกันพร้อมหน้า




ขอขอบคุณเรื่องดีๆ จาก hxxp://loorsad.exteen.com
เรื่องนี้้ประทับใจอย่างแรง

ทำ ให้เห็นว่าคนเมื่อก่อนมีศรัทธามหาศาลต่อพระพุทธศาสนามักจะเลือกสิ่ง ที่ดีๆ ไปถวายเป็นพุทธบูชา ดูแล้วถ้วยชามหรูหราเอาการมากๆ ไม่ได้มีโอกาสใช้ในชีวิตประจำวันเป็นแน่ และเรื่องที่คุณยายเล่าให้ฟังก็แสดงถึงความตั้งใจและศรัทธาที่เต็มเปี่ยมใน การทำบุญ

ดูผู้เฒ่า ผู้แก่ทำบุญแล้วรู้สึกดีจริงๆ เลย ^____^

บุญใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ซะที่ไหน ไหนจะต้องตื่นแต่เช้า จัดเตรียมข้าวของ
ผู้ที่มีบุญมากเท่านั้นจึงจะสามารถทำบุญได้มาก บางคนตายเสียก่อนที่จะมางานบุญใหญ่เพี่ยงไม่กี่วันเท่านั้น
บางคนมัวแต่หาเงิน หรือใช้ชีวิตโดยลืมไปว่าเราจะต้องตายสักวันหนึ่ง
มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่ติดตัวเราไปยังภพหน้า
บันทึกการเข้า

barbies55
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 417
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11,521



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #171 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2008, 15:53:02 »

แถวบ้านก็มี เรียกว่างานกินข้าวสลาก ไม่ได้เลี้ยงสำรับกับข้าวสวยๆแบบนี้อ่ะ แต่เป็นถังสังฆทาน มีปัจจัยเสียบยอดอยู่
บันทึกการเข้า

รับทำเทมเพลท รับโมเทมเพลทให้เข้ากับสคริปต์ต่างๆ


On the Internet, Never One Know You are a Dog.
ผ้าขี้ริ้วห่อทองย่อมเป็นทองฉันใด เอาทองเปลวมาห่อขี้ก็ยังเป็นขี้ฉันนั้น
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #172 เมื่อ: 09 กันยายน 2008, 10:27:48 »

.. คนน่ารัก..



ท่านผู้รู้กล่าวว่า วิธีทำให้คนรัก มีอยู่สองแบบด้วยกัน นั่นคือ แบบโลกวิธี และ แบบพุทธวิธี แบบที่ชาวโลกทั่วไปทำกัน โดยมากก็คือ การบังคับให้คนอื่นมารักตัว ในที่นี้หมายความว่า เอาใจหรือเจตนาเข้าไปบังคับ อยากแต่ให้เขารัก ถ้าเขาไม่รัก ก็พาลหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี “คนไร้หัวใจ ไม่รู้จักรัก” (ว่ากันไปโน่น) เจตนาที่จะสร้างความรักนั้น เป็นเจตนาที่พุ่งไปหาคนอื่นฝ่ายเดียว เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็เลยเกิดภาวะสลับขั้ว คิดโกรธอาฆาตแค้นไปเลย ภรรยาไม่รักก็คิดแต่ว่าภรรยาไม่ดี สามีไม่รักก็คิดแต่ว่าสามีเถลไถล ทำการงานเจ้านายไม่โปรด ก็พาลหาว่าเจ้านายลำเอียง หนักเข้าแทนที่จะแก้ตัวเอง ก็เลยคิดหาทางจะปรับปรุงภรรยา สามี หรือเจ้านายโดยไม่ได้ดูตัวเองเลย นี่แหละคือ โลกวิธี

อีกแบบหนึ่ง แทนที่จะไปจัดที่คนอื่นหรือทำให้คนอื่นมารักเรา ก็ย้อนกลับเข้ามาจัดที่ตัวเราเอง คือทำให้เป็น “คนน่ารัก” ถือหลักใหญ่ว่า ถ้าตัวเราน่ารัก คนอื่นเขาก็รัก จะขอเสนอตัวอย่างง่ายๆ เวลาเรายืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มองดูที่จะกระจกเงา ถ้าเราอยากเห็นเงาในกระจกยิ้มจะทำอย่างไร จะใช้ปืนขู่ จะพูดจาโอ้โลมหรือ ก็เปล่า! ง่ายนิดเดียว เราก็ยิ้มเสียเอง พอเรายิ้ม เงามันก็ยิ้มกับเรา นี่แหละคือ พุทธวิธี

การทำให้คนรักแบบทางโลก ก็เหมือนการขู่หรือพูดโอ้โลมให้เงายิ้ม ซึ่งไม่มีทางจะสำเร็จหรือคงอยู่ถาวร ส่วนแบบพุทธวิธี ก็คือการปรับที่ตัวเรานั่นคือ เรายิ้มเสียเอง วิธีทำให้คนรักแบบโลกๆ เราตั้งปัญหาว่า “ทำอย่างไรเขาจึงจะรักเรา?” แต่แบบพุทธวิธีท่านกลับปัญหาเสียใหม่ว่า “ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นที่รักของเขา?” ถ้าเราศึกษาจะพบว่า พระพุทธองค์ทรงสอนมุ่งเข้าสู่การปรับปรุงตัวเองเป็นสำคัญ เช่น การรักษาศีล ให้เว้นทุจริต ให้ประพฤติสุจริต คือให้เราเป็นผู้เว้น เป็นกระผู้ทำทั้งสิ้น ผมยังไม่เห็นธรรมะข้อใดที่พระพุทธองค์สอนให้เราบังคับคนอื่นทำดี แต่ตัวเราไม่ต้องทำก็ได้ เมื่อเราเข้าใจหลักการแล้วว่า การครองใจคน หรือการทำให้คนรักก็คือ การทำให้ตัวเราน่ารักเสียก่อน

คำถามมีว่า ทำอย่างไรตัวเราจึงจะน่ารักล่ะ ? หรือ คนทั้งหลายเขารักคนอย่างไร ? ซึ่งคำถามนี้ก็ได้มีผู้ทรงปัญญาคิดค้นหาคำตอบไว้แล้วว่า จิตใจคนเราโดยทั่วๆ ไป รักอะไร? สิ่งพิเศษอันนั้น ที่เมื่อคนทั้งหลายเห็นเข้าเป็นต้องเกิดความรักในผู้นั้น ก็คือ “ความงาม” ตามหลักทางพุทธศาสนานั้น มนุษย์จะงามมากงามน้อย ก็โดยคุณสมบัติสี่ประการคือ อาภรณ์ ร่างกาย มารยาทและจิตใจ ความงามทั้งสี่นี้ น้ำหนักไม่เท่ากัน สองอย่างหลัง ซึ่งจัดเป็นความงามภายในมีน้ำหนักมากกว่า ความงามสองอย่างแรกซึ่งจัดเป็นความงามชั้นนอก ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ระหว่างหญิงแต่งตัวดี มีเครื่องประดับงดงาม แต่ร่างกายไม่สมประกอบ กับหญิงผิวพรรณดี รูปร่างดี เสียงดี แต่ขาดอาภรณ์งาม อย่างไหนที่เราจะเลือกเป็นคู่รัก? แน่นอนว่าเป็นคนที่สอง เพราะเครื่องประดับภายนอกยังเปลี่ยนกันได้ เช่นเดียวกัน หญิงงามหุ่นดีหน้าตาดีแต่ปากจัด มารยาทไม่งาม ก็ใช่ว่าจะเป็นต่อผู้หญิงที่ดูธรรมดาแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เพราะความงามภายในของเธอใช่ไหมครับ? (ผมตอบแทนก็แล้วกันว่า “ใช่”) ในทางศาสนาท่านเพ่งเล็งเรื่องมารยาทและจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของความงามทีเดียว

เนื้อเรื่อง นายแพทย์ไพศาล บุญสะกันต์

โดย สรุป การที่คนเราจะรักกัน ก็เพราะเห็นความงามของอีกฝ่าย คือ งามอาภรณ์ งามร่างกาย งามมารยาท และงามจิตใจ ยิ่งงามพร้อมครบสี่ประการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่รักมากเท่านั้นครับ

ขอขอบคุณ
hxxp://www.dmc.tv/
บันทึกการเข้า

หมวยแว๊น
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 131
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,676



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #173 เมื่อ: 09 กันยายน 2008, 11:08:40 »




 Grin Grin Grin Grin


น่ารัก อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า
mai-a651
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 265



ดูรายละเอียด
« ตอบ #174 เมื่อ: 09 กันยายน 2008, 17:25:44 »




 Grin Grin Grin Grin


น่ารัก อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


น่ารักงิ
บันทึกการเข้า

นู๋ใหม่
Legendary Pon
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,216



ดูรายละเอียด
« ตอบ #175 เมื่อ: 09 กันยายน 2008, 17:35:39 »

แมวเหมียวน่ารักครับ  Wink
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #176 เมื่อ: 17 กันยายน 2008, 15:11:52 »

หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์























ขอขอบคุณ
hxxp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&group=61
บันทึกการเข้า

ball6847
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 212
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,174



ดูรายละเอียด
« ตอบ #177 เมื่อ: 17 กันยายน 2008, 15:19:27 »

อันนี้ จิง ถูกต้องที่สุด นี่คือแก่นสาร
พลังน้ำใจ+1

 Smiley

บันทึกการเข้า

win
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 143
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,849



ดูรายละเอียด
« ตอบ #178 เมื่อ: 17 กันยายน 2008, 16:32:33 »

คำบรรยายและภาพประกอบโดนใจ

 +1
บันทึกการเข้า
Dj.wayne_Gum
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 94
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,146



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #179 เมื่อ: 17 กันยายน 2008, 16:51:05 »

อ่านแล้วสงบมาก กระทู้นี้
 Smiley ปลง ๆ บอกไม่ถูก
 Cool
แต่ดีแล้วล่ะครับ
ขอบคุณมาก ๆ
สำหรับบทความที่ดีมาก ๆ
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์