ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)  (อ่าน 40873 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คุณป้าขา
เจ้าแม่ปราบเกรียน
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 68
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,679



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #140 เมื่อ: 30 เมษายน 2008, 23:50:09 »

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..


 Cry
บันทึกการเข้า

sermphon7
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 58
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 961



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #141 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2008, 00:11:31 »

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..


 Cry
Cry Cry
ขอบคุณกำลังใจดีดีครับ กำลังต้องการพอดีเลย
บันทึกการเข้า

บล๊อกบ๊องๆ ของคนบวมๆ (ตัวบวม)
"โอกาสมีไว้ให้ไขว่คว้า ไม่ได้มีไว้ให้มองผ่าน"
"อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้  ถ้ายังไม่ได้เต็มที่กับมัน"
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #142 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 16:38:43 »

ศิลปะแห่งการให้อภัย

การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี แต่พอให้อยู่เสมอ กลับกลายเป็นต้องยอมอยู่ตลอด
เพราะคนที่ได้รับการอภัยไม่เคยสำนึกได้เลยว่าทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง
ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ควรทำอย่างไร

การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครเถียง แต่การ "ให้อภัยอยู่เสมอ" นี่เอง
คือสาเหตุที่ทำให้การอภัยนั้นไม่มีราคา ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย
ในใจของผู้รับ

สาเหตุก็เพราะคุณกำลังทำผิดหลักการของการให้อภัยที่แท้

การให้อภัยที่ถูกนั้นควรให้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้ามีการ
ให้อภัยจนเป็นเรื่องปกติก็ไม่ใช่ความผิดของผู้ทำผิด หากแต่เป็นความผิด
ของผู้ให้อภัยเอง ที่ให้ไม่เป็น หรือไม่มีศิลปะของการให้ การให้อภัย
ซ้ำซากคือการลดคุณค่าของการให้อภัย หรือคือการแสดงให้เห็นว่าสิ่ง
ที่ทำผิดพลาดไปไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

ในทางพุทธศาสนา เวลาให้อภัยใคร ท่านวางขั้นตอนดังนี้

1. ผู้ทำผิดต้องตระหนักรู้ถึงความผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว
2. ตัวผู้ทำผิดนั้นเกิดความรู้สึกอยากจะขอโทษ
3. พยายามขอโทษด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
4. ผู้ที่เหนือกว่าเขายกโทษให้ (= ให้อภัย)
5. ก่อนจะยกโทษ มีการชี้แจงความผิดและชี้ทางออกที่ถูกต้องให้
6. ผู้ทำผิดและมาขอให้บยกโทษให้ ตั้งใจว่าจะปรับปรุงตัว บางที
อาจมีการปฏิญาณตนว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทางที่ถูกต้อง


ลองทบทวนดูว่าทำไมการให้อภัยของคุณจึงให้ผลในทางลบ ทั้งที่
การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี

ในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกเร ติดเหล้า ติดการพนัน
แม่ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนปัญญาจะทำให้กลับตัวเป็นคนดีได้
หลวงลุงซึ่งบวชเป็นพระเซนอยู่ทราบเรื่อง รีบเดินทางกลับมายัง
บ้านน้องสาวและพำนักที่บ้านหลังนั้นหนึ่งคืน เช้ามาขณะกำลังจะ
เดินทางกลับ หลวงลุงหารองเท้ามาสวมด้วยด้วยกิริยางก ๆ เงิ่น ๆ
เจ้าหนุ่มที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาแอ๋กลับจากบ่อนเมื่อใกล้รุ่ง จึงกุลีกุจอ
เข้าไปช่วยผูกเชือกรองเท้า หลวงลุงยืดตัวขึ้นพลางลูบหัวพร้อมกล่าว
ว่า

"หลานเอ้ย! หลวงลุงต้องขอโทษด้วยที่รบกวนเธอ ดูเอาเถอะ
คนเราวันหนึ่งก็ต้องแก่เหมือนหลวงลุงนี่แหละ พอแก่แล้วทำอะไรก็
ไม่สะดวก หูตาฝ้าฟางลงทุกที นี่แค่ผูกเชือกรองเท้ายังต้องพึ่งคนอื่น
เลย หลวงลุงขอโทษเธอจริง ๆ นะ เฮ้อ! ไม่น่าเกิดมาสร้างภาระให้
ใครเลย"

ไม่พูดเปล่า น้ำตาหลวงลุงร่วงพรูลงบนหลังมือเจ้าหลานชาย นาทีนั้น
เอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเขาทอดทิ้งหลวงลุงมาเป็นเวลานาน แล้วใจ
ก็เชื่อมโยงถึงผู้เป็นแม่ ซึ่งต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาวันแล้ววันเล่า
โอ... เขากลายเป็นภาระของแม่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หยาดน้ำตาบน
หลังมือพลันให้เขาเกิดสามัญสำนึกถึงความไม่ได้เรื่องของตน จึงบอกว่า

"หลวงลุงครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมละเลยทั้งแม่และหลวงลุง
มาโดยตลอด จากนี้ไปผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขอหลวงลุงให้อภัยผมด้วย"

จากนั้นเป็นต้นมา แม่ก็ได้ลูกชายคนใหม่มาด้วยกุศโลบายในการทำให้
หลานชายรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งจากหลวงลุงของเขานั่นเอง

การให้อภัยที่จะมีผลที่แท้จริงจึงไม่ใช่การบอกว่า "ฉันยกโทษให้เธอ"
แล้วจบกัน หากแต่ต้องมาจากการที่คนทำผิดเกิดจิตสำนึกขึ้นมาอย่าง
ถ่องแท้ว่าสิ่งทีเขาทำนั้นผิด แล้วอยากเริ่มต้นใหม่ อยากแก้ไขตัวเอง

หากการให้อภัยดำเนินไปในลักษณะนี้ จึงจะเป็นการให้อภัยใน
ความหมายที่แท้




โดย.... "ท่าน ว. วชิรเมธี"
บันทึกการเข้า

[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #143 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 16:40:47 »

แหล่มเรยยยยยยย  Smiley
บันทึกการเข้า
Saethao
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 152
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,274



ดูรายละเอียด
« ตอบ #144 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 16:42:00 »

ดีครับ 

ฝึกมีธรรมะในตัวเอง
บันทึกการเข้า

Blue-WaterSilver
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 31
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,284



ดูรายละเอียด
« ตอบ #145 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 16:51:46 »

สาธุ Amen ~~*
บันทึกการเข้า

oldgame
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 26
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 998



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 19:49:05 »

ว้าว ไม่เคยอ่านเลยงับ เดี๋ยวอ่านตั้งแต่หน้า 1 เลย

ชอบจริง ๆ เลยงับ บทความเพิ่มพลังชีวิต

ขอบคุณงับ  Smiley
บันทึกการเข้า

โปรเกมส์ luna-z blog ส่วนตัวรวมโปร
ไก่ชน เว็บไซต์รวมซุ้มไก่ชน
รับออกแบบเว็บไซต์   รับออกแบบเว็บไซต์
รับทำเว็บ   รับออกแบบเว็บไซต์
พระเครื่อง พระล้านนา รวมพระเครื่องเมืองเหนือ
iampum
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 157
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 524



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #147 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2008, 20:17:35 »

 Huh? Huh?
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #148 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2008, 19:47:17 »

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2008, 15:37:10 โดย journey » บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #149 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 22:40:31 »


3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก


                   หลวงพ่อเจ้าคะ เนื่องจากลูกทำธุรกิจส่วนตัวต้องดูแลลูกน้องจำนวนมาก ทำอย่างไรลูกถึงจะเป็นผู้บริหารที่สามารถครองใจลูกน้องได้ ?

   
                   การครองใจคนนั้นความจริงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ขอให้เราครองใจของเราเองให้ได้เสียก่อน เมื่อครองใจตนเองได้แล้ว จึงค่อยไปครองใจคนอื่น ตรงนี้จำไว้ให้ดี

                   การครองใจตนเอง คือ การรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสามารถรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลาได้อย่างนั้น เรื่องครองใจคนอื่นก็ไม่ยาก ส่วนที่ถามว่า การครองใจลูกน้องจะทำอย่างไร ก็ต้องดูศัพท์คำว่า "ลูกน้อง" ให้ดี เพราะว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรานั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน

                   เรามีคำหลายคำตั้งแต่คำว่า "พนักงาน" "คนงาน" "คนรับใช้" หนักเข้าไปก็คำว่า "ข้าทาส" แย่หนักเข้าไปอีกก็คำว่า "ขี้ข้า"

                   สำหรับคำว่า "ขี้ข้า" กับคำว่า "ข้าทาส" นั้น ปู่ ย่า ตา ทวดเราไม่ใช้กันหรอก เพราะถือว่าเป็นคำที่ใช้จิกหัวเรียกกัน จนกระทั่งหมดความเป็นคนเลย

                   ท่านให้มีจิตเมตตามองว่า เขากับเราก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน การที่เขามาอยู่กับเรา เขาก็เป็นบุคคลที่มาช่วยผ่อนแรง มาช่วยเราทำมาหากิน เราได้เขาเป็นแรงกาย ส่วนเราก็ออกแรงสติปัญญา พูดไปแล้วก็เหมือนอย่างกับมือซ้ายกับมือขวา หรือเท้าหน้ากับเท้าหลัง คิดอย่างนี้ถึงจะไปด้วยกันได้

                   เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะครองใจลูกน้อง ขั้นต้นเลยต้องมองคำว่า "ลูก" กับคำว่า "น้อง" ก่อน คือไม่ว่าใครมาอยู่กับเราก็ให้ความเมตตาเขา เรารักความสุข รักความสะดวกสบายอย่างไร คนอื่นเขาก็เป็นคน เขาก็รักความสุข รักความสะดวกสบายเหมือนเรานั่นแหละ

                   เพียงแต่ว่า วันนี้เรามีฐานะ มีความรู้ มีความสามารถมากกว่าเขา เขาเลยยอมมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา แล้วเราล่ะถือว่าเขาเป็นคนหรือเปล่า

                   ถ้าถือว่าเขาเป็นคน แต่เป็นแค่คนรับใช้ เป็นแค่คนงาน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา หรือถือว่าเขาไม่ใช่คน เพราะว่าเขาอยู่ต่ำกว่าเรา เป็นไอ้ขี้ข้า ไอ้ข้าทาส อย่างนี้ก็หมดสัมพันธไมตรีกันเลย
                 
                   แต่ถ้าถือว่าเขาเหมือนลูก เหมือนน้อง อย่างนี้ใช้ได้ เพราะว่าลูกน้องก็คือลูก แต่ว่าเป็นลูกชนิดที่ต้องจ่ายเงินจ่ายทอง หรือจะเรียกว่าเป็นลูกจ้างก็ยังดี
    แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือลูกจ้างก็เท่ากับเรายอมรับว่า เขามีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนเช่นเดียวกับเรา เพียงแต่เขาด้อยโอกาสกว่าเราสักหน่อย เราก็ให้โอกาสเขา อย่าไปดูถูกดูหมิ่น แต่คิดว่าเขามาช่วยทำมาหากิน ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่ขี้ข้า แล้วทำใจให้ได้อย่างนี้

                   ข้อที่ ๑ มีจิตเมตตา คือ สอนงานให้เขาทำเป็น ใช้งานให้พอเหมาะพอสม แล้วก็อบรมศีลธรรมให้เขาด้วย เพราะถึงแม้เขาด้อยโอกาสชาตินี้ แต่ถ้าชาติหน้าพอมีศีลมีธรรมติดตัวไป เขาก็จะได้ไม่ด้อยโอกาสอีก ถ้ายกระดับชีวิตให้เขาได้อย่างนี้ เขาก็เหมือนลูก เหมือนน้องเราแล้ว

                   ข้อที่ ๒ มีความกรุณา คือ ถึงคราวดีก็ใช้ ถึงคราวไข้ก็รักษา เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษา หอบหิ้วกันไปไม่ทอดทิ้ง เรียกว่าเอาใจซื้อใจกันนั่นเอง

                   ข้อที่ ๓ มีมุทิตาจิต คือ คนไหนฝีมือดีกว่าก็ส่งเสริมให้เขาก้าวหน้าไป อย่าไปกัก อย่าไปกดเขาเอาไว้ แล้วเอาแต่พวก เอาแต่ลูกหลานของตัว ใครฝีมือดีไม่ดีก็ต้องว่ากันตามผลงาน
    อย่าเอาคำว่า "คนอื่น" คำว่า "ญาติ" มาปนเปกัน เพราะว่าถึงตอนนี้ต้องถือว่าจะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติ จะเป็นสายเลือดหรือไม่ใช่สายเลือด เมื่อมาเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพี่ร่วมงาน เป็นน้องร่วมงานกันแล้วอย่าไปเกี่ยง ใครมีฝีมือดีกว่าก็ต้องส่งเสริมให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป มีมุทิตาจิตกับเขาไม่กักกันเอาไว้

                   ในเวลาเดียวกันใครย่ำแย่ ฝีมือยังไม่ถึง ถ้าบ่ายหน้ามาพึ่งเราแล้ว ก็อย่าไปทอดทิ้งเขา อย่างน้อยที่สุดถ้าพบว่า ยังมีแววรักดี มีแววซื่ออยู่ละก็ ใครล้าหลังก็ลากก็จูงกันไปไม่ ทอดทิ้ง

                   ถ้าทำกันอย่างนี้ ถึงจะครองใจคนได้ ไม่อย่างนั้นหากมัวแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เขาจะได้แต่เงิน เราจะได้แต่งาน แต่ว่าไม่ได้ใจกัน ถ้าจะให้ได้ใจกันละก็ ต้องเข้าไปครองใจกันอย่างนี้ โดยถือว่าเขาเป็นลูก ถือว่าเขาเป็นน้อง แล้วประคับประคอง สร้างงาน สร้างบุญ สร้างความดี กันไป


ขอขอบคุณ kalyanamitra.org

     

บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #150 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 22:48:13 »

      
   
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระภาวนาวิริยคุณ
(หลวงพ่อทัตตชีโว)


    ลูกเอ๊ย พ่อแม่ ครูอาจารย์ ไม่เคยสอนให้ลูกสูบบุหรี่
    ไม่เคยสอนให้ลูกเล่นไพ่ ไม่เคยสอนให้ลูกโกหก
    แต่ปรากฏว่า ของเหล่านี้เราเป็นกันเกือบทุกคน
    เหล้า พ่อไม่เคยสอนให้กิน แต่ลูกก็กินเป็น
    บุหรี่ พ่อไม่เคยสอนให้สูบ แต่ลูกก็สูบกันควันโขมงอย่างกับโรงสี
    แม่ไม่เคยสอนให้โกหกเลย แต่ลูกก็โกหกกันเป็นว่าเล่น


    นิสัยไม่ดีได้มาจากไหน

                 พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ไม่เคยสอนให้เราเกเรเลย ถามว่าแล้วเราได้นิสัยเหล่านี้มาจากไหน ลูกเอ๊ย มันก็ได้มาจากเพื่อนที่เราคบนั่นแหละ พ่อแม่สอนให้ลูกทำความดี แต่ลูกก็ไม่ค่อยอยากจะเอา ไปสังเกตดูให้ดีเถอะ นิสัยเลวๆ ทั้งหลายถามว่า ได้มาจากไหน ก็ได้มาจากเพื่อน แล้วเพื่อน ก็ได้นิสัยเลวๆ มาจากเรา ติดกันไปติดกันมา

                 ยกตัวอย่าง เรื่องเหล้า ทีแรกเพื่อนเอาเหล้ามาล่อเรา เราก็กินเข้าไป อาทิตย์สองอาทิตย์กินที เราก็ชักติดใจเข้า งวดนี้ชวนเพื่อนกินเหล้ากลับไปบ้าง วันสองวันกินที เพื่อนก็แน่เหมือนกัน ชวนเรากลับบ้าง งวดนี้เลยกินเหล้าได้ทุกวัน เราแน่หนักเข้าไปอีก ชวนเพื่อนกินเหล้าทั้งเช้าทั้งเย็น นี่เป็นอย่างนี้


    นิสัยดีๆ ได้มาจากไหน


                 ในเวลาเดียวกัน นิสัยดีๆ หลายๆ อย่างก็ได้มาจากเพื่อนอีกเหมือนกัน

                 ยกตัวอย่าง ความสามารถความละเอียดลออในการทำงาน บางอย่างเราก็ได้มาจากเพื่อน เราไปได้มาแล้วก็มาปรับปรุงเป็นนิสัยของเรา วันหลังเพื่อนมาเห็นเราทำงานฝีมือดีๆ เพื่อนก็ลอกเอากลับไปเป็นของเขา แล้วก็เอาไปปรับปรุง เพื่อนปรับปรุงแล้วเราเห็นว่าดี เราก็เอากลับมาเป็นของเราอีก มันก็กลับกันไปกลับกันมา ถ่ายทอดความดีจากกัน นิสัยเลวๆ ก็ได้จากเพื่อนเลวๆ นิสัยดีๆ ก็ได้จากเพื่อนดีๆ


    หลักการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี


                 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งเอาไว้ว่า ถ้าอยากจะเป็นคนดีมีมงคลติดตัว เพื่อนเลวๆ เลิกคบเสีย เพื่อนขี้เหล้าเมายา เพื่อนเล่นการพนัน เพื่อนเจ้าชู้ เพื่อนขี้เกียจ เลิก ไม่คบกัน คบแล้วจะติดนิสัยเสียกันไปหมด

                 ในเวลาเดียวกันเพื่อนที่ดีๆ คบเถอะ คบไปทุกคน ใครเขามีความดี คบเขาเรื่อยไป นี่เป็นเรื่องตัวของเรา

                 หลวงพ่อขอฝากเรื่องสำหรับคนที่มีลูกแล้ว หรือกำลังจะมีลูกก็ตาม โบราณท่านเตือนไว้ อยากได้ลูกแก้ว ให้ทำ ๔ อย่างนี้


    ๑. ทำดีๆ ให้ลูกดู


                 อยากจะให้ลูกน่ารัก ลูกดี พ่อแม่ต้องทำดีๆ ให้ลูกดู พูดง่ายๆ พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนชนิดหนึ่งของลูกเหมือนกัน แต่เป็นเพื่อนชนิดผู้ใหญ่ เพราะพ่อแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับลูกที่สุด ทำดีๆ ให้ลูกดู ลูกจะได้ติดนิสัยดีๆ จากเรา

                 เพราะฉะนั้น ใครอยากจะได้ลูกดีๆ อย่าไปกินเหล้าให้ลูกดู ลูกจะได้ติดนิสัยดีๆ เอาไป

                 บางคนบอกว่า "อู้ย ไอ้ลูกเนี่ย ดื้อ กับพ่อกับแม่ล่ะ มันเถียงคอเป็นเอ็นเชียว"

                 หลวงพ่อเลยถามเขากลับว่า "แล้วเอ็งสองคนผัวเมียเถียงกันบ้างมั้ย"

                 "โอ๊ย ทั้งเช้าทั้งเย็นล่ะ"

                 "เออ ก็ทำอย่างนั้น ลูกมันก็ติดนิสัยเอามาล่ะซิ"

                 เพราะฉะนั้น อะไรไม่ดีอย่าไปทำให้ลูกเห็น


    ๒. หาเพื่อนดีๆ ให้ลูกเล่น


                 ไปสังเกตดูเถอะลูกเอ๊ย เด็กคนไหนถ้าคบกับเพื่อนขี้ขโมย เดี๋ยวเขาก็ขี้ขโมยตามเพื่อน ให้ไปเล่นกับเพื่อนด่าเก่งๆ เดี๋ยวเถอะด่าฉอดๆ เลย ขนาดเด็กผู้หญิงอายุ ๒-๓ ขวบ ยังพูดไม่ทันชัดเลย แต่ชักจะด่าคล่องเสียแล้ว เพราะฉะนั้นต้องหาเพื่อนดีๆ ให้ลูกเล่น


    ๓. หาหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน


                 วิธีหาหนังสือดีๆ แบบง่ายๆ ก็คือการเขียนบันทึกข้อคิดประจำวัน เช่น วันนี้ไปฟังเทศน์จากหลวงพ่อมา ได้ข้อคิดมาปรับปรุงแก้ไขตนเองเยอะเลย ก็หัดบันทึกข้อคิดประจำวันลงในสมุดไป พอลูกโตขึ้น ส่งให้ลูกแล้วบอกว่า "ลูกอ่านให้พ่อ ฟังที อ่านแล้วจะได้ประโยชน์"

                 แต่ถ้าเราขี้เกียจเขียนบันทึก พอถึงเวลา เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเราไม่มีพิมพ์เป็นหนังสืออยู่ในเล่มไหนหรอก แล้วก็จะสูญหายไป แต่ถ้าเราเขียนบันทึกไว้ดี ไม่ต้องไปสอนลูกสอนหลานมากหรอก ให้ลูกอ่านให้พ่อแม่ฟังทุกคืนๆ แล้ว ลูกเราจะดีเอง


    ๔. พาลูกไปหาพระอาจารย์ดีๆ


                 หลวงพ่อ หลวงปู่ หรือครูบาอาจารย์ดีๆ ผู้ใหญ่ดีๆ พาลูกไปหา แล้วลูกเราก็จะได้เห็นของมาตรฐาน แล้วลูกก็จะรู้ว่า ของดีเป็นอย่างไร ของเลวเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่ทำอย่างนี้ จะได้ลูกแก้วไว้ในบ้าน

                 ถ้าทำได้ทั้ง ๔ ข้อนี้ แล้วเราจะได้ลูกแก้วไว้ในบ้าน ข้อสำคัญที่สุดคือใน ๔ ข้อนี้ อยู่ที่ตัวเรา นั่นแหละ คือต้องทำตัวดีๆ ให้ลูกดู การจะทำ ตัวดีๆ ให้ลูกดูนั้น มีทางเดียว คือเพื่อนเลวๆ เราอย่าไปคบ เลิกให้เด็ดขาด เพื่อนขี้เหล้า เพื่อนเล่นการพนัน เพื่อนเจ้าชู้ เพื่อนขี้เกียจ เลิกคบกัน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวลูกเราจะติดนิสัยพรรค์นั้นไป แล้วเราจะเสียชาติเกิด ตัวเราก็เลว ลูกก็เลว ผลสุดท้ายเจ็ดชั่วโคตรเลวหมด แต่ถ้าทำอย่างหลวงพ่อว่า คือตัวเราก็ดี ลูกก็ดี เจ็ดชั่วโคตรทั้งหมดดีนะ

  ขอขอบคุณ   kalyanamitra.org

     

บันทึกการเข้า

khanom
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 143
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,897



ดูรายละเอียด
« ตอบ #151 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 22:50:38 »

ขอบคุณคะ ก๊อปปี้ลงบล็อกดีมั้ยนี่  Grin Grin
บันทึกการเข้า

ไทยเสียวเป็นสถานที่แบ่งปันความรู้ แบ่งปันเทคนิค การหาเงินบนเน็ท มิใช่เป็นเวทีมวยลุมพินี ไม่ใช่ตลาดคลองเตย ไม่ใช่ร้านเกม รณรงค์ใช้คำสุภาพในบอร์ด งดดราม่า อย่าแสดงกริยาไม่เหมาะสม แสดงออกว่ากำลังควบคุมสติไม่อยู่ จงไปสงบสติอารมณ์ก่อนตั้งกระทู้ หรือโพส ถึงบอร์ดจะเงียบเพราะดราม่าลด หรือคาเฟ่หาย มีกระทู้สาระขึ้นมา1กระทู้/อาทิตย์ หรือเดือน หรือปี ก็ดีกว่้า กระทู้ดราม่า/คาเฟ่ 10กระทู้/วัน
[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #152 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 22:56:39 »

ขอบคุณครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ
แต่ทางด้านทฤษฎีกับปติบัติมันก็ต่างกันสิ้นเชิงครับ...(เฉพาะกรณีของผมคับ)

บางทีลูกน้องกวนตีนก็มีครับ
เราดูแลทุกอย่าง อาหารการกินเต็มที่ ในแต่ละวันเวลาพักผ่อน แทบจะมากกว่าเวลาซะอีก
เราให้แต่สิ่งดีดีไป เราให้เขาด้วยใจ มีการแบ่งปัน เื้อื้อเพื้ออยู่เป็นประจำ

แต่ในทางตรงกันข้าม เขาไม่เคยจะสนใจเราเลย
นึกอยากขาดก็ขาด อยากหยุดก็หยุด
ทำงานไม่ดี อู้บ้าง ไม่ละเอียดบ้าง

ตัวเราเองคิดกับเขาเป็นเหมือนกับพี่ๆ น้องๆ พึ่งพาอาศัยกัน
แต่ตัวเขาแล้วเขาคิดแค่ว่าจะทำงานให้มันเสร็จๆ ไปวันๆ งานดีหรือไม่ดี ไม่เคยจะสนใจ
ถ้าเจ้านายไม่เห็นก็ไม่ทำ ทำผิดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พูดแล้วพูดอีก ไม่พูดก็ไม่ทำ ไม่แก้ ไม่ตรวจให้ดี ต้องคอยคุมตลอดเวลา


ทำดีกับพวกเขาแค่ไหน เขาไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของเราบ้างเลย
กวนตีนจริงๆ



 
บันทึกการเข้า
youcanberich
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 124
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,803



ดูรายละเอียด
« ตอบ #153 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 23:06:49 »

ขอบคุณครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ
แต่ทางด้านทฤษฎีกับปติบัติมันก็ต่างกันสิ้นเชิงครับ...(เฉพาะกรณีของผมคับ)

บางทีลูกน้องกวนตีนก็มีครับ
เราดูแลทุกอย่าง อาหารการกินเต็มที่ ในแต่ละวันเวลาพักผ่อน แทบจะมากกว่าเวลาซะอีก
เราให้แต่สิ่งดีดีไป เราให้เขาด้วยใจ มีการแบ่งปัน เื้อื้อเพื้ออยู่เป็นประจำ

แต่ในทางตรงกันข้าม เขาไม่เคยจะสนใจเราเลย
นึกอยากขาดก็ขาด อยากหยุดก็หยุด
ทำงานไม่ดี อู้บ้าง ไม่ละเอียดบ้าง

ตัวเราเองคิดกับเขาเป็นเหมือนกับพี่ๆ น้องๆ พึ่งพาอาศัยกัน
แต่ตัวเขาแล้วเขาคิดแค่ว่าจะทำงานให้มันเสร็จๆ ไปวันๆ งานดีหรือไม่ดี ไม่เคยจะสนใจ
ถ้าเจ้านายไม่เห็นก็ไม่ทำ ทำผิดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พูดแล้วพูดอีก ไม่พูดก็ไม่ทำ ไม่แก้ ไม่ตรวจให้ดี ต้องคอยคุมตลอดเวลา


ทำดีกับพวกเขาแค่ไหน เขาไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของเราบ้างเลย
กวนตีนจริงๆ



 
ดูโหด แต่.... จริง ผมคนนึงหละเข็ดกับลูกน้องเลย โขมยเงินก็มี ลูกน้องดีๆหายากจริงๆ  Tongue
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #154 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2008, 23:22:50 »

ครอบครัวเป็นสุข

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระภาวนาวิริยคุณ
(หลวงพ่อทัตตชีโว)

                 ลูกเอ๊ย มีเรื่องหนึ่งในครอบครัวของพวกเรา ซึ่งถ้าใครปล่อยปละละเลย พยายามแก้ไขเสียเถอะ ถ้าแก้ไขได้ พี่น้องทุกๆ คนในครอบครัวจะรักกัน หลวงพ่อเคยเตือนพวกเรามาแล้วว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในครอบครัวซึ่งพ่อแม่จะต้องรีบแก้ไข คือ ทำอย่างไรลูกๆ ทุกคนจึงจะรักกัน ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าลูกยังไม่รักกันแล้วจะไปหวังว่า เราตายแล้วลูกคงจะรักกัน ช่วยเหลือกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้
   

                ส า เ ห ตุ ที่ ลู ก ไ ม่ รั ก กั น


                หลวงพ่อเห็นครอบครัวของพวกเรา หลายๆ คน ลูกๆ ไม่ค่อยถูกกัน ทั้งที่กินข้าวหม้อเดียวกัน วันเกิดก็คลอดตามกันมาจากพ่อแม่เดียวกัน แต่เสร็จแล้วลูกก็ยังไม่ถูกกัน

                จะใช้ได้อย่างไร ถ้ากินข้าวด้วยกันยังไม่พูดกัน
    ยกตัวอย่าง แม่ใช้ลูกคนโตไปสั่งงานลูกคนเล็ก เจ้าคนเล็กไม่พูดด้วยเสียอย่างนั้นแหละ พอแม่ใช้เจ้าคนเล็กไปเรียกเจ้าคนโต เจ้าคนเล็กก็ไม่ยอมไป ขนาดพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ยังมีสภาพอย่างนี้ นี่เป็นความพินาศของครอบครัววงศ์ตระกูล
    อะไรเป็นสาเหตุใหญ่ของสิ่งเหล่านี้ ที่ทำให้พี่ๆ น้องๆ ลูกๆ ในครอบครัวไม่รักกัน


                ประการแรก พ่อแม่ไม่ได้ฝึกลูกให้มีความเคารพกันตามลำดับอาวุโส


                พี่ต้องเป็นพี่ น้องต้องเป็นน้อง ให้เคารพนับถือกันตามอาวุโสอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กจึงจะถูกต้อง

                ถ้าน้องคนไหนเรียกพี่ว่า "ไอ้ อี" ขึ้นมาละก็ พ่อแม่ต้องห้ามปรามดุว่าไปเลยตั้งแต่ยังเล็ก สอนเขาให้เรียกพี่เรียกน้องกันว่า "พี่ครับ พี่จ๋า" "แม่จ๊ะ แม่จ๋า" "พ่อจ๊ะ พ่อจ๋า"

                ถ้าลูกพูด "จ๊ะ จ๋า" "ครับ ผม" ไม่เป็นตั้งแต่เล็ก โตขึ้นลูกก็พูดไม่เป็น แล้วคำพูดทุกคำเวลาเขาโตขึ้น จะเป็นคำพูดที่ระคายหู ไม่เพียงระคายหูเฉพาะเราหรอก กับคนอื่นก็ระคายหูไปหมด แล้วลูกเราก็คือคนที่โลกไม่ต้องการ เข้าไปที่ไหนคนเขาก็รังเกียจ เพราะลูกพูดจาระคายหู เหมือนอย่างเอาลวดหนามแยงหูอย่างนั้นแหละ


                ประการที่ ๒ พ่อแม่บางคนลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน


                นี่ก็ความผิดของพ่อแม่ ถามใจตัวเองดูว่า เรามีลูกกี่คน แล้วรักลูกเท่ากันไหม ถ้ารักไม่เท่ากัน นี่จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกมองหน้ากันไม่ติด ถึงแม้สมมติว่า เรารักลูกไม่เท่ากัน ก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ข้างในใจ ข้างนอกต้องปฏิบัติกับลูกให้เสมอกันให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นลูกจะไม่ถูกกัน ใครรักลูกไม่เท่ากัน แก้ไขเสีย


                ประการที่ ๓ ถึงเวลากินข้าว กินไม่พร้อมกัน

                ระวังนะ ถ้ากินไม่พร้อมกัน แม้กับข้าวเตรียมไว้เพียงพอสำหรับทุกๆ คน แต่ถ้ามากิน ไม่พร้อมกัน คนหนึ่งมาก่อน มือหนักกินมากไปบ้าง คนหลังมา เหลือแต่น้ำแกง เขาก็ขุ่นอยู่ในใจ แล้วก็เก็บไว้ข้างใน วันหลังเจออย่างนั้นอีก ก็ยิ่งขุ่นใจหนักเข้าไปอีก แต่ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร มีความรังเกียจกันอยู่ในใจ แต่ยังหาเหตุไม่ได้ พอไปหาเหตุอะไรได้สักอย่างหนึ่ง ระเบิดตูมเลย แล้วตั้งแต่นั้นมาพี่น้องจะกินใจกัน

                แล้วไปสังเกตเถอะ ถ้าบ้านไหนกินข้าวไม่พร้อมกัน ลูกคนขี้เกียจที่สุดนั่นแหละ จะรีบมากินก่อน เขาจะเป็นคนที่อิ่มที่สุด ในขณะที่ลูกคนขยันจะเป็นลูกที่อดที่สุด แล้วลูกขยันคนนี้แหละ ก็จะหาทางออกจากบ้านให้เร็วที่สุด ไม่รู้จะอยู่ทำไม ส่วนลูกคนขี้เกียจ ก็รู้ตัวว่าทำงานไม่เป็น เขาก็ประจบแม่ประจบพ่ออย่างที่สุด ให้พ่อให้แม่โอ๋ ต่อหน้าทำตัวให้น่ารัก แต่ลับหลังกลับไปก่อเรื่องแสบที่สุดเอาไว้ เมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าลูกดีๆ ออกจากบ้านหมด เหลือเจ้าลูกเกเรอยู่ในบ้าน แล้วพ่อแม่ก็มาบ่น "แหม..ลูกมันไม่รักเรา ลูกทิ้งๆ ขว้างๆ เรา"
    ความจริงคือมันรักไม่ไหวหรอก เพราะเขาทนเจ้าคนขี้เกียจรังแกไม่ได้ ก็เลยต้องไป อย่างนี้เรียกว่า เลี้ยงลูกไม่เป็น


                ประการที่ ๔ ไม่เคยสอนลูกให้สวดมนต์ ไหว้พระ

                เมื่อไม่เคยสอนลูกให้สวดมนต์ไหว้พระ แต่ละคนก็พูดแต่ว่า "กูเก่งๆ" คนเราถ้าได้สวดมนต์ไหว้พระกราบพระเป็นประจำแล้ว เท่ากับฝึกลูกให้รู้ตัวว่า คนเก่งกว่าเขายังมี อย่างน้อยก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เคยสวดมนต์ ไม่เคยไหว้พระเลย ลูกจะมีความนึกคิดอย่างนี้เข้ามาว่า "กูก็หนึ่ง ใครๆ ก็สู้กูไม่ได้" แล้วถ้ามี พี่น้องกัน ๓ คน ๕ คน แต่ละคน "กูก็หนึ่ง แล้วกูก็เก่ง" ใครจะไปยอมกันได้อย่างไร ลูกเอ๊ย

                ถ้าเราช่วยกันแก้ไขในสิ่งเหล่านี้ ครอบครัว เราจะอยู่เย็นเป็นสุข พ่อแม่มีชีวิตอยู่ก็ชื่นใจ เพราะลูกเต้าไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตายก็นอนตาหลับ มั่นใจว่าพี่ๆ น้องๆ คงจะประคับประคองกันไปได้ ใครยังไม่ได้ทำ รีบทำเสีย ถึงแม้บางท่าน ไม่มีลูก แต่ขณะนี้ยังอยู่กับพ่อกับแม่ ลองถาม ตัวเองสิว่า "ขณะนี้ในบ้านเราเป็นอย่างไร กินข้าว พร้อมกันไหม พี่ๆ น้องๆ พูดกันเพราะดีไหม เคารพกันตามอาวุโสไหม หรือเรียกพี่ก็เรียก "อี" เรียก "ไอ้" เวลาอยู่ในบ้านก่อนนอนสวดมนต์กันบ้างหรือเปล่า ถ้าสวดมนต์สวดพร้อมกันไหม ไปดูแก้ไขกันให้ครบให้ถ้วน ถ้าไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่า ที่บ้านจะมีความสุข มีพี่น้องก็เหมือนเป็นคนอื่น เพราะถ้ากินใจกันเพียงแค่กินข้าวไม่พร้อมหน้ากัน ก็พอมีเหตุที่จะทำให้พี่ๆ น้องๆ แตกแยกกันได้ ขอให้พิจารณากันให้ดี แล้วครอบครัวจะได้เป็นสุข


บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #155 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2008, 15:32:54 »

ขำ ขำ กับยุคที่ข้าวของแพง สูตรทำมาม่าอร่อยๆ Smiley Smiley





























บันทึกการเข้า

~อุอุ~
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 138
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,176



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #156 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2008, 16:20:27 »

เข็มขัดสั้น  Cry
บันทึกการเข้า

Commando
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 303



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2008, 17:26:15 »

ลึกซึ้งจริงๆ  Cry
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #158 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2008, 15:04:29 »

ระลึกนึกถึงความตาย

กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น

ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา




จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี

เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ

ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน

เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน

ขอขอบคุณ วารสารอยู่ในบุญ kalyanamitra.org

ในเดือนหน้า วันที่ 17 กรกฎาคมนี้ ก็ใกล้จะถึงวันอาสาฬหบูชา เราชาวพุทธเตรียมตัววางแผนไปทำบุึญกันแล้วหรือยัง??
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #159 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2008, 11:15:03 »

ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน


เห็นสาวๆทั้งหลายวิตกกังวลกันเหลือเกินว่า หลังแต่งงานแล้ว ชีวิตรักจะชืดจืดจางไม่มีรสชาติ อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆดีกว่า  ส่วนมากที่อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆ  มักจะไม่ได้แต่งหรอกครับ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องแต่งงาน  เกิดเป็นความเคยชิน  ยิ่งถ้าฝ่ายชายไม่ได้คิดอยากจะมีทายาทแล้วละก็ เขาคงไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นภาระหรอกครับ

ส่วนหนุ่มๆทั้งหลายก็วิตกกังวลว่า หากแต่งงานไปแล้ว ชีวิตจะขาดอิสรภาพ  มีห่วงคล้องคอ จะไปไหนมาไหน ต้องมาคอยตอบคำถาม  โดนซักฟอกกันให้ปวดหัวรำคาญใจ  ก็เลยอยากใช้ชีวิตโสดให้คุ้มค่าไปนานๆก่อน  จนกลายเป็นความเคยชิน และไม่อยากแต่งงาน  นอกจากจะโดนมัดมือชกจริงๆ   หรือตกกระไดพลอยโจน

ก่อนตัดสินใจแต่งงาน  ตอบคำถามต่อไปนี้ดูก่อนเป็นไร:


1. เรารักเขาไหม?
 
เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด   เพราะถ้าปราศจากความรักแล้ว ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด  และคำว่ารัก ในที่นี้  คือ  ต่อไปนี้ คงไม่ไปหลงรักใครอีกแล้ว   คนที่เราจะแต่งงานด้วย  คือรักครั้งสุดท้ายของเรา   และเราจะไม่คิดไปสร้างสัมพันธ์รัก สัมพันธ์สวาท กับใครอีก  ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนต่างเพศจนเกิดเป็นความรัก ความผูกพันได้อีก นอกเสีียจากว่า คู่ครองของเราจะตายจากเราไปแล้วเท่านั้น


2. เราพร้อมทางด้านจิตใจหรือเปล่า?

คือ พร้อมที่จะร่วมทั้งทุกข์  ร่วมทั้งสุข    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว  เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา  โดยไม่คิดจะทอดทิ้งกันเสียก่อน   เขาอาจจะเจ็บป่วย  หรือ พิการหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว  เราพร้อมที่จะดูแลเขาไหม    หรือเขาอาจจะตกงาน ไม่มีเงิน  เราพร้อมที่จะช่วยกันก่อร่างสร้างตัวไหม   หรือถ้าเขาอาจทำอะไรผิดพลาดไป  หรือ ทำอะไรให้เราโกรธไม่พอใจ  เราพร้อมที่จะอภัยให้เขาได้ไหม    ถ้าเราคาดหวังเพียงความสุขจากการแต่งงาน   ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด  เพราะชีวิต คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปหรอกนะครับ


3. เราพร้อมทางด้านการเงินไหม?

มีหน้าที่การงานที่มั่นคง   มีรายได้เพียงพอ   มีเงินเก็บจำนวนหนึ่งที่พอจะเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานได้   และยังพอมีเงินสำรองได้บ้างอีกจำนวนหนึ่งไว้ยามฉุกเฉิน     เพราะ ความรัก  ถ้าขาดเงิน  ความรักก็ไม่หวานหรอกนะ  ถ้าต้องพากันไปกัดก้อนเกลือกิน    ความเครียดจะมีตามมา  เมื่อเครียดแล้ว ก็อาจทะเลาะเบาะแว้งกันได้   อารมณ์รัก อารมณ์ใคร่  ก็จะลดลง คนบางคนก็จะพาลโทษคู่ของตนเอง  โยนความผิดให้กันและกันในยามมีอารมณ์เครียด   ถ้ายังมีปัญหาเรื่องเงินอยู่  ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน    รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน    อย่าแต่งงานเพราะอยากหาที่พึ่งทางด้านการเงิน     เพราะนั่น  คงไม่ใช่ความรัก   แต่เป็นความโลภ   อยากสุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน อยากได้ในสิ่งที่เขามีเพื่อเอามาเป็นของตนเอง   เราเองก็คงไม่ชอบใจนัก ถ้ารู้ว่า คนที่อยากแต่งงานกับเรา ไม่ใช่เพราะรักเรา แต่เพราะเห็นแก่เงินของเราต่างหาก   สิ่งใดที่เราไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา  เราเองก็ไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่นเช่นกัน


4. เราพร้อมทางด้านร่างกายหรือเปล่า?

ความรักและการแต่งงาน  จำเป็นต้องมีเรื่องความต้องการทางเพศเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการแต่งงานด้วย  เรามีทัศนคติเรื่องเพศสัมพันธ์ถูกต้องหรือไม่   ถ้าเราเห็นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องจำเป็น  นั่นเราคิดผิดแล้ว   ทั้งหญิงและชาย  ต้องเรียนรู้ที่จะทำให้คู่ของตนมีความสุขทางเพศ    หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบกพร่อง  อาจมีปัญหาเรื่องการนอกใจตามมาได้   เพราะเพศสัมพันธ์  เป็นแรงขับภายในร่างกายตามธรรมชาติ    หรือถ้าเราคิดว่า  ยังอยากสนุกกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของเรา   ถ้าคิดอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งแต่งงานเลย เพราะขืนแต่งงานไป   ปัญหาบ้านแตกก็คงมีตามมา  และคู่ครองของเรา ก็คงไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงานเป็นแน่

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากมีลูก   ควรต้องคุยกันก่อนแต่งงาน  เพราะถ้าหลังจากแต่งงานแล้ว อาจไม่มีลูกสมใจหมาย  ปัญหาในชีวิตสมรส ก็อาจมีตามมาได้  ผู้ชายอาจจะอ้างได้ เรื่องการมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  เพื่อจะมีทายาทให้กับตนเองได้   หรือฝ่ายหญิงอาจอยากมีลูก  แต่ฝ่ายชายเป็นหมัน   ปัญหาความคับข้องใจก็อาจมีตามมาได้  ควรได้นำเรื่องการมีลูกมาคุยกันก่อนแล้วก่อนแต่งงาน  ถ้าทั้งสองฝ่ายรักกัน  และไม่ได้มีเป้าหมายว่า จะต้องมีลูกด้วยกัน   จึงควรจะแต่งงานกัน   จริงๆแล้ว  ลูก   ไม่ใช่โซ่ทองคล้องใจ  สำหรับคู่สมรสบางคู่   บางคนมีลูกด้วยกัน 1 - 4 คน  แต่ก็ยังหย่าร้างกันได้   บางคนไม่มีลูกด้วยกัน  แต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนวันตายก็มีหลายคู่

ถ้าเรามีโรคประจำตัว   หรือมีสุขภาพไม่ดี   ควรได้คุยกันก่อนแต่งงาน  ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รังเกียจ  และยินดีจะดูแลเรา   ก็ควรแต่งงานกัน     ไม่ใช่ปิดบังเอาไว้  แล้วไปรู้เอาทีหลัง   หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว    ถ้าเรารู้ตัวว่าตนเองอาจเป็นภาระของอีกฝ่ายหนึ่ง  ก็ไม่ควรคิดเอาเปรียบ  ด้วยการหลอกให้เขามาแต่งงานกับเรา   เว้นไว้เสียแต่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้น เขารักเรามาก และยินดีจะร่วมทุกข์ร่่วมสุขด้วย  แม้เราจะมีโรคประจำตัว  ยังไงๆก็ควรบอกกันให้รู้ก่อนดีกว่าการปิดบังอำพราง


การแต่งงาน  คือ  การที่คนสองคนที่รักกัน ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต  จะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  ทั้งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยและยามมีสุขภาพดี   ทั้งในยามขัดสนและยามมั่งมีศรีสุข  เขาสองคนจะไม่ทอดทิ้งกัน    จะรักและซื่อสัตย์ต่อกัน  โดยไม่มีชายอื่นหรือหญิงอื่นอีกแล้ว    การแต่งงาน ทำให้คนสองคน  กลายเป็นคนเดียวกันตามกฏหมาย  และหล่อหลอมดวงใจสองดวงให้เป็นดวงเดียวกัน

ถ้าเมื่อไรเรารักใครได้อย่างน้ี  และมีทัศนคติต่อการแต่งงานแบบนี้แล้ว รีบแต่งงานกันเถอะครับ จะได้มีความสุขด้วยกันตลอดชีวิต   แม้ในยามที่ชีวิตมีปัญหา  คนรักกันก็จะกอดกันไว้  ให้กำลังใจกัน   ไม่กล่าวโทษกัน   ไม่ซ้ำเติมกัน   และจะร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายในชีวิตไปได้

ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน  ได้แต่งงานกับคนที่เรารัก และเขาก็รักเราอย่างจริงใจ  ได้ใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  รักกัน เข้าใจกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน  และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไปนะครับ

ขอขอบคุณ  oknation.net/blog/pimahn
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์