ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
หน้า: [1] 2 3 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)  (อ่าน 40554 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 00:17:43 »

เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "

             เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดยเร็วที่สุด
             ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้

             การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง
            
ยกตัวอย่าง

      ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
      ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
      กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"

๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
             ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
             คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
             อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
             คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้มเหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
             สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *

      ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็นแก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อจะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิดอาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 กุมภาพันธ์ 2010, 21:52:51 โดย journey » บันทึกการเข้า

prima
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 291



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 00:41:20 »

ขอบคุณค่ะ

ชอบหนังสือธรรม อยู่เล่มนึง รุสึกจะชื่อ ธรรมะ delivery มั้ง ที่พระในเล่มเค้าจะเรียก คนทั่วไปว่าคุณโยมน่ะคะ

ท่านเขียนว่า ถ้า ธรรมะ เป็นเหมือนกาแฟ(ขมคนไม่ชอบ) อาตมาก็ขอให้เล่มนี้เป็นเค้กกาแฟแล้วกัน คือ ทานง่ายหน่อยแต่ก็มีกาแฟ(ธรรมะ)ผสมอยู่    อ่านผ่านๆอ่ะคะพอดีไปยืนอ่าน อะไรดลใจก็ไม่รู้ แต่รู้สึกดีจัง  Embarrassed
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 00:51:28 »

แจกฟรี! วัคซีนป้องกันโรคอกหัก  Smiley

"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
             โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
           


วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก
คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

             "อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "
             ยกตัวอย่างเช่น

      คุณตุ่ยเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณตุ่ยจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี


             เพียงแค่นี้แหละ คุณตุ่ยก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
             คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ
           
"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน

      "โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"


             แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน

      คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ

ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้

             ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
             "เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง

             แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
             ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ

             นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทัวแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม
             แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย

"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด
บันทึกการเข้า

joe
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: -6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,126



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 01:48:26 »

ขอบคุณครับ
แต่ตอนนี้มึนๆ ขอมาอ่านตอนเช้าละกันนะครับ  Smiley
บันทึกการเข้า
Kaeji
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 10
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 436



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 02:53:36 »

ขอบคุณนะครับหลวงพี่
ผมมีหนังสือมาฝากครับศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต ตามหลักจิตวิทยาชาวพุทธ โดย เลียวนาร์ด เอ. บุลเลน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กรกฎาคม 2010, 17:41:24 โดย Kaeji » บันทึกการเข้า

"Better to write for yourself and have no public, than to write for the public and have no self.", Cyril Connolly (1903–1974).
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 12:31:03 »

มีงานเขียนของคุณ ไชย ณ พล น่าอ่านแทบทุกเล่ม เลย รู้สึกว่าคุณโซวก็เป็นแฟนเหมือนกัน  Smiley ทำให้สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น
มีนามแฝงหลายชื่อเช่น อัคร ศุภเศรษฐ์/ศิยะ ณัญฐสวามี  ใครสนใจงานเขียน ก็ลองติดตามดูได้
ส่วนใหญ่เป็นของสำนักพิมพ์เคล็ดไทย
แต่ที่แนะนำให้อ่านมากที่สุดก็คงเป็นพระไตรปิฏก นั่นเอง ธรรมะ คือธรรมชาติ แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติ
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 12:39:45 »

" ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์ "

      1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

      2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น

      3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา
                  อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้

      4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง

      5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง
                  ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที Smiley
บันทึกการเข้า

buddy
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 912



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 15:10:09 »

ขอแจมด้วย เป็นของท่าน พุทธภิกขุ เป็นไฟล์เสียง ทำงานไป ฟังไป จิตใจจะได้สงบอีกด้วย

http://www.buddhadasa.com/dhammasound1/dhammaindex.html   Smiley
บันทึกการเข้า

Braveheart
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 686



ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 15:15:44 »

ชอบมากๆ เลยครับ ได่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูกเลย เห็นคุณค่าของความเป็นคนดียิ่งขึ้นครับ
 Smiley
บันทึกการเข้า

1
sniperth2
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 201



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 18:25:17 »

ขอบคุณครับ  Kiss
บันทึกการเข้า
thaibizgm1
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 33



ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 20:48:09 »

 8)ขอบคุณครับสำหรับเคล็ด เด็ดมาก
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 21:19:33 »

    "หมดหวัง ท้อแท้ แพ้ชีวิต" คิดอย่างไรให้ใจสู้ !"



               หนุ่มสาวหลายคนอาจมีความทุกข์ อาทิเช่น " ช่วยทีเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว ..พลาดหวังในความรัก ตัดใจไม่ได้ " บางคนก็บอกว่า " ตัวเองเจอปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นหนี้เป็นสิน ปฏิบัติธรรมข้อไหนดีให้หมดหนี้เร็ว ๆ รู้สึกท้อแท้ใจมาก ทำไงดี " บ้างก็ปรับทุกข์ว่า "ตกงานมา ๒ ปีแล้ว ป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เลย รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ช่วยหางานให้ทำหน่อยดิ " เป็นต้น
                เพราะเหตุใดสังคมไทยจึงเต็มไปด้วยปัญหาทำให้คนหนุ่มสาวคิดท้อแท้สิ้นหวังกันมากมาย   แต่สำหรับวันนี้ เราขอเสนอวิธีสร้างกำลังใจให้คนหนุ่มสาวสู้ชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาแด่คนหนุ่มสาว ด้วยวิธีคิด ๕ ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้  Wink


๑.ให้รู้จักความทุกข์ของคุณให้ชัดเจน

              คุณวิตกกังวล หรือ กลุ้มใจเรื่องอะไร ลองคิดดูให้ชัด ๆ คิดให้กระจ่างออกมาว่าคุณกำลังวิตกกังวลกับปัญหาเรื่องอะไรบ้าง ให้ใช้วิธีเขียนลงในไปกระดาษก็ได้ แจงออกมาให้เห็นเป็นข้อ ๆ นี่เป็นวิธีกำหนดรู้ตัวปัญหาให้ชัดเจน คือทำให้รู้ว่าเรากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ ที่มันทำให้เราเกิดความทุกข์อยู่ในขณะนี้ (การกำหนดรู้ความทุกข์ เป็นขั้นตอนแรกในอริยสัจ ๔ ภาษาพระท่านเรียกขั้นตอนนี้ว่า "ปริญญา" ) คือให้รู้จักมันในฐานะตัวปัญหา ที่เรากำลังจะศึกษาเพื่อทำการแก้ไขต่อไป

      ยกตัวอย่าง
      คุณติ่งศักดิ์รู้สึกแย่มากเลย ท้องใส้ปั่นป่วน ไม่สบายใจมาเป็นเดือนแล้ว กินเหล้าเป็นขวด ๆ เพื่อให้หายกลุ้มกลับยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก แต่ต่อมาภายหลังคุณติ่งลองตั้งคำถามกับตนว่าตนเองมีทุกข์เรื่องอะไร บ้าง ในที่สุดแกก็เขียนลำดับทุกข์ของแกออกมาเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
            ก. รถยังผ่อนไม่หมด เขากำลังจะยึดไปแล้ว
            ข. บริษัทกำลังมีนโยบายปลดพนักงาน รู้สึกกังวลว่าตนเองอาจจะโดนปลด
            ค. แฟนที่ดูใจกันมานาน ได้ข่าวว่ามีเสี่ยมาติดพัน หึงนะ
      เป็นอันว่าสำเร็จในขั้นตอนแรก คือ คุณติ่งเห็นตัวปัญหาว่ามีทั้งหมด ๓ ข้อ ที่ทำให้แกเกิดความทุกข์มาตลอดเดือน

           ในการแก้ไขปัญหา เราต้องรู้จักตัวปัญหาให้ชัดเจน ด้วยการกำหนดรู้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะคลุมเครือ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์อะไรบ้าง (บางคนอาจจะมีปัญหาในใจเยอะ เป็น สิบ ๆ เรื่อง โดยไม่รู้ตัว ทำให้ทุกข์ใจ ทนไม่ไหว ถึงกับฆ่าตัวตายก็มี)

๒. ให้คิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีอยู่เสมอ

               หากคนเรายังรู้สึกถูกปัญหาบีบคั้นจิตใจอยู่ สภาพจิตจะไม่แจ่มใส ขุ่นมัว หมองเศร้า เป็นอกุศล ทำให้สติปัญญาจะไม่สามารถทำงานได้โดยสะดวก การคิดว่าเรายังโชคดีอยู่เสมอ เป็นเทคนิคคิดเร้ากุศล คือมองโลกในแง่ดี ทำให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากการบีบคั้นของปัญหา มีสุขภาพจิตดี พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่อไป
              ในขั้นตอนแรกของฝึกคิดมองโลกในแง่ดีนี้ (อ่านตัวอย่างวิธีคิดแบบนี้ในพระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าทดสอบความคิดพระปุณณะก่อนที่จะไปเผยแผ่ธรรมที่ สุนาปรันตชนบท) ท่านให้เราหัดพูดให้กำลังใจกับตนเองในทำนองว่า เรายังโชคดีที่ไม่พบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือ นี่เป็นโอกาสอันดีที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคต การบอกตัวเองว่ายังเป็นคนโชคดีเช่นนี้ จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่น ปลื้มปีติยินดี พร้อมที่จะต่อสู้แก้ไขปัญหาสืบต่อไป ไม่ท้อถอย
            ยกตัวอย่าง เมื่อคุณติ่งกำหนดรู้ปัญหาได้ชัดเจนแล้ว แกก็ใช้วิธีคิดขั้นที่สอง ทันที โดยแกได้พูดกับตัวเองออกมาดัง ๆ ว่า (วิธีพูดให้กำลังใจตัวเองดัง ๆ เป็นอุบายที่ดี เพราะทำให้คิดได้ชัดเจนและมีพลังมากขึ้น)
                  ก. ถึงเราจะโดนยึดรถก็ไม่เป็นไร ยังดีที่บ้านเราไม่ได้โดนยึดไปด้วย เย้..โชคดี เรายังมีบ้านอยู่
                  ข. ถ้าเราโดนให้ออกจากงาน เราก็ยังโชคดีกว่าโดนไล่ออก บริษัทยังมีเงินจ่ายให้เรามา เป็นทุนสำรอง เราจะได้มีเวลาพักผ่อน เตรียมวางแผนหางานทำใหม่
                  ค. ถึงแฟนจะทิ้งเราไป ก็ถือว่าเราโชคดีอีกนั้นแหละ เพราะเราตอนนี้เรามีข้อมูลมากมาย ที่จะสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เย้..! (ทั้งน้ำตา) เราโชคดีที่สุดในโลกเลย  Cool

๓. คิดถึงคนอื่นที่ได้รับความทุกข์มากกว่าคุณ

              หากคิดในขั้นตอนที่สองแล้ว ยังเอาไม่อยู่ เราก็สามารถใช้วิธีคิดขั้นตอนที่สามต่อไปได้เลย คือ ให้คิดถึงคนอื่น ๆ ที่มีความทุกข์มากกว่าเรา เช่น คนอดอยากในเอธิโอเปีย , ชาวเขมรนับล้านคนที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ , คนจรจัดที่นอนใต้สพาน , คนจนที่ถูกแย่งที่ทำกินจนต้องมาอดข้าวประท้วงที่กรุงเทพฯ ฯลฯ ให้พยายามนึกจินตนาการถึงความทุกข์ยากของคนเขาเหล่านั้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ของเรา เราจะเห็น ได้เลยว่า ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว คนเป็นจำนวนมากเขาต้องเจอทุกข์หนักหนากว่า เรามาก แทบจะเรียกได้ว่า ทุกข์ของเรากลายบเป็นเรื่องขี้ผงไปเลย ทีนี้ถ้าขืนมานั่งท้อแท้ใจ มันก็อายเขาแย่ ให้พูด ล้อตัวเองให้เกิดความละอายบ่อย ๆ จะช่วยได้มาก ( การสอนใจให้ตัวเองเกิดความละอายใจ เป็นเทคนิคป้องกันตนเองไม่ให้คิดไปในทางที่ผิด ๆ ตามหลักธรรมชุด "หิริโอตตัปปะ " ในพระไตรปิฎก)

๔. สร้างกำลังใจตนเองให้สู้ชีวิต

               แม้วิธีคิด ๑- ๓ ขั้นตอนที่ผ่านมา จะทำให้เราหายทุกข์ใจไปได้มาก แต่ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข มันก็จะ สร้างความทุกข์ให้กับเราไปได้เรื่อยไป ดังนั้นเราจึงต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญคือ สร้างกำลังใจให้ตนเองในการ เผชิญหน้าต่อปัญหา เพื่อแก้ไขให้มันลุล่วงไปด้วยดี
            เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกลอยคออยู่กลางมหาสมุทร แม้มองไม่เห็นฝั่ง ท่านยังใจสู้ เพียรว่ายน้ำมุ่งเข้าหาฝั่ง เพื่อทำการงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้จงได้ โดยไม่หวาดหวั่น ไม่คิดหวังพึ่งใคร ฉันใด
              ชาวพุทธไทย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาแม้จะใหญ่โตเพียงไร ก็มีจิตใจสู้ คิดแก้ไขให้มันลุล่วงไปให้จงได้ แม้ฉันนั้น
             คนไทยยุคนี้ต้องมีใจสู้เหมือนพระมหาชนก ไม่อย่างนั้นเราคงจะต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ เสียชื่อชาวพุทธแย่เลย  Cool
วิธีปฎิบัติคือให้ใช้คำพูดปลุกใจตัวเองให้สู้อยู่เสมอ ถ้าจะให้ดี เอากำปั้นทุบฝ่ามือ สร้างความรู้สึก มั่นใจ สู้ตายถวายชีวิต ให้มันเกิดความเข้มแข็งขึ้นมา การที่เราคิดในใจเฉย ๆ ในขณะที่จิตใจไม่เคยคิดสู้มาก่อน บางทีอาจจะไม่มีพลังใจพอที่จะคิดได้เอง ดังนั้นใช้วิธีพูดปลุกใจตัวเอง จึงเป็นเทคนิคสร้างกำลังใจที่ดี หรือว่าง ๆ เราอาจจะไปหาอ่านชาดกในพระไตรปิฎกเรื่อง "พระมหาชนก" เพื่อเป็นคาถาสู้ชีวิตประจำตัวก็ได้นะ

      หลังจากที่มีใจสู้คิดแก้ไขปัญหาแล้ว จึงค่อยเข้าสู่กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาตามลำดับต่อไป คือ เริ่มจากการคิดสืบสาวหาเหตุปัจจัย คิดวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาให้ชัดแจ้ง จนสามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน ขั้นตอนสุดท้ายจึงกำหนดแนวทางในการปฏิบัติ หรือ วางแผนให้เป็นขั้นเป็นตอน เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาสืบต่อไป (วิธีตามหลัก อริยสัจ ๔ )
     

ดีใจที่มีคนชอบ  Embarrassed Embarrassed Embarrassed Embarrassed แล้วจะหามาให้อ่านเรื่อยๆๆนะ
บันทึกการเข้า

Warrez
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,153



ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 21:22:38 »

ทำ blog จิคับ

น่าจะมีแฟนคลับเยอะพอตัวเลย
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 18:27:29 »

ใกล้จะถึงวันอาสฬหบูชาและวันเข้าพรรษากันแล้วนะ 
ขอเชิญไปทำบุญกันเถอะ  Smiley  Smiley
 
บันทึกการเข้า

gmcon2
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12



ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 19:11:54 »

ดี่ค่ะจะนำไปปฎิบัตินะคะ
บันทึกการเข้า

L
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,496



ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 19:39:24 »

เยี่ยม!  Cool
บันทึกการเข้า
Jimlim
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74



ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 20:13:23 »

พี่ journey เจ๋งมากมายครับ  Cry ผมรู้สึกเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตเลย  Cool
บันทึกการเข้า
asemm
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 114
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,244



ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 20:21:32 »

อ่านแล้วดีมากครับ
บันทึกการเข้า
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 20:21:43 »

พี่ journey เจ๋งมากมายครับ  Cry ผมรู้สึกเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตเลย  Cool
 
 Embarrassed Embarrassed Embarrassed Embarrassed Embarrassed Embarrassed
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2007, 20:47:34 »

มีอีก 2-3 อันอะ เข้าไปอ่านใน blog แล้วกันนะ ขี้เกียจเอามาโพสในนี้อะ (แล้วแต่อารมณ์)  Cheesy Cheesy
บันทึกการเข้า

หน้า: [1] 2 3 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์