ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)  (อ่าน 40740 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
toony
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 815



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #120 เมื่อ: 26 มีนาคม 2008, 02:57:10 »

ผู้หญิง บางครั้งก็เข้าใจยาก  Cry
บันทึกการเข้า

seven
Verified Seller
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 44
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 407



ดูรายละเอียด
« ตอบ #121 เมื่อ: 26 มีนาคม 2008, 02:57:37 »

กรรมจริง Lips Sealed

แล้วลูกจะอยู่กับใครเนี่ย ไม่โดดน้ำตายเพราะผู้ชายคนเดียว หันมาเลี้ยงลูกให้อยู่ดีมีสุขดีกว่า :Smiley Embarrassed
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #122 เมื่อ: 30 มีนาคม 2008, 21:12:12 »

ลักษณะของคนที่น่ารัก

พระธรรมวิสุทธิกวี

เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร





ลักษณะของคนที่น่ารัก

ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย

คนบางคนในโลกนี้ เป็นที่เคารพรักใคร่ของคนทั้งหลาย แม้เพียงพบเห็นครั้งแรก จึงมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก
เพราะเขามีคุณธรรมอันเป็นลักษณะของคนที่น่ารักอยู่ในตัว คนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยในสังคมปัจจุบัน
แต่บางคนเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย แม้เมื่อพบเห็นหรือรู้จักกันครั้งแรก ไม่อาจมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้
เพราะมีลักษณะนิสัยไม่ดี ขาดคุณธรรม
คนประเภทนี้ก็มีอยู่มากเช่นกันในสังคม

ดังนั้น ความประพฤติหรืออุปนิสัยใจคอ จึงเป็นตัวบ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าและความเสื่อมของคนเรา

ตามหลักในพระพุทธศาสนานั้นคนที่น่ารัก ซึ่งเป็นที่รักพอใจของคนทั้งหลายเมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้วมีลักษณะ ๙ ประการ คือ

• ไม่เป็นคนอวดดี

• ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ

• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว

• พูดจาอ่อนหวาน

• เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น

• เป็นคนกตัญญูกตเวที

• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น

• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน



ลักษณะของคนที่น่ารัก

• ไม่เป็นคนอวดดี
คือใครก็ตาม ถ้าชอบเป็นคนอวดดี
เช่น อวดรวย อวดเก่ง อวดยศศักดิ์ตำแหน่งของตน ชอบคุยอวดคนโน้นคนนี้ถึงความดีเด่นของตนอย่างโน้นอย่างนี้
หรืออวดสมบัติของตน จนทำให้คนอื่นเบื่อฟังและรู้สึกหมั่นไส้ คนเช่นนี้แม้ตนเองจะมีคุณสมบัติหรือความดีเด่นจริง
ก็เป็นที่ชิงชังและเบื่อระอาของคนทั้งหลาย เพราะเขาไม่ชอบคนอวดดี ยิ่งถ้าตนไม่มีคุณสมบัติอันใดก็ยิ่งเป็นที่ชิงชัง ของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น
แต่คนที่มีนิสัยดีน่ารักนั้น เขาจะไม่โอ้อวด
แม้จะมีดีอวดแต่เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
และบางคนถึงกับปกปิดคุณความดีของตน
ถ้าใครจะทราบก็ค่อยรู้เอาเอง คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักใคร่ เอ็นดู หรือเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย
และย่อมมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก
เพราะได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากบุคคลทั่วไป



• เป็นคนไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
คือใครก็ตามถ้าไม่รู้จักประมาณตนในการพูด
พูดพล่ามพูดไร้สาระหรือพูดมากจนเกินไป
จนคนทั้งหลายเบื่อฟังและรู้สึกรำคาญไม่อยากฟัง
อยากออกไปเสียให้ห่าง เมื่อคนนั้นพูด
คนเช่นนี้แม้จะมีความรู้ความสามารถดี ก็หาเป็นที่รัก
แลเป็นที่เคารพของคนทั้งหลายไม่
ถ้ายิ่งเป็นคนต่ำต้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น
ฉะนั้น คนที่ฉลาดและน่ารักจึงพูดแต่พอประมาณไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
แต่พูดมีสาระน่าฟัง เช่นพูดแนะนำหรือพูดสร้างสรรค์ เป็นต้น และเมื่อพูดสิ่งใดก็คิดใคร่ครวญก่อนแล้วจึงพูด คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย
และย่อมได้รับความเอ็นดู ความเกื้อกูลจากคนทั่วไป
ฉะนั้น คนที่มีลักษณะนิสัยที่น่ารัก
จึงไม่พูดมากจนเขาเบื่อแต่เป็นผู้พูดพอประมาณ




• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
คือบางคนขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนแข็งกระด้าง
ขาดสัมมาคารวะชอบดูหมิ่นดูถูกคนอื่น เป็นคนไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครคนประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย
เหมือนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย หรือเหมือนรวงข้าวที่ลีบไม่มีเมล็ด
ไร้ค่า ยืนชูรวงโด่อยู่ไม่โน้มลง
แต่คนที่น่ารักนั้นย่อมมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิสัยมีสัมมาคารวะ
ไม่แข็งกระด้าง เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ที่เจริญกว่าตน
ทั้งโดยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิ
คนเช่นนี้ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก
สมดังพุทธพจน์ แปลความว่า ธรรมะ ๔ ประการ
คือมีอายุยืน ๑ มีผิวพรรณผ่องใส ๑ มีความสุขกายสุขใจ ๑ มีกำลังกายกำลังใจ ๑ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ
ฉะนั้นผู้หวังให้ผลดีทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นแก่ตน ก็ต้องสร้างเหตุคือ นิสัยที่น่ารักด้วยการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิจ



• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
คือใครก็ตาม รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาต่าง ๆ
ในข้อตกลงหรือปรึกษาหารือต่างๆ ไม่ดึงดันเอาแต่ความเห็นหรืออำนาจตามอำเภอใจของตนฝ่ายเดียว
ย่อมรู้จักประนีประนอมในปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน
เมื่อฝ่ายหนึ่งรุนแรงยืนยันขันแข็งในท่าที
หรือจุดประสงค์ของตนก็ผ่อนปรนลงบ้าง
ไม่ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าปัญหาครอบครัว
การทำงานหรือในข้อขัดแย้งต่าง ๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อความสามัคคีถนอมน้ำใจกัน
และความสงบสุขในครอบครัว ในหน่วยงานหรือในสังคม
ถ้าเมื่อฝ่ายหนึ่งหย่อนยานเกินไป อันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียหายได้ ก็มีทีท่าเข้มงวดเข้าไว้ให้ถูกระเบียบและกฎเกณฑ์ ก็จะทำให้เกิดความพอดีขึ้น
คนเช่นนี้ สามารถดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุข
ราบรื่นไม่ค่อยมีความขัดแย้งกับใคร
จึงทำให้เป็นคนมีนิสัยน่ารักเพราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวนี้ ทำให้เกิดความพอดี ไม่เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและความขัดแย้งกับใคร ๆ
เพราะไม่ตึง ไม่หย่อน จนเกินไป
เหมือนคนที่เล่นว่าว ถ้าเล่นว่าวเป็น ว่าวก็จะไม่ตกและกินลมได้ดี
คือ เมื่อลมแรงเกินไป ก็ปล่อยสายป่านให้ยาวออกไป
เพราะถ้าดึงไว้สายป่านก็จะขาดทำให้ว่าวตก
หรือเมื่อลมอ่อนเกินไปก็พยายามดึงสายป่านเอาไว
ว่าวก็จะกินลมได้ดีและไม่ตก การดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าจะให้ราบรื่นก็ต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ
ถ้าไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวแล้ว ก็จะขัดแย้งกับคนอื่นอยู่เสมอ
ไม่ว่าในปัญหาครอบครัวหรือปัญหาใด ๆ
ฉะนั้น การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว จึงเป็นลักษณะนิสัยที่น่ารักประการหนึ่ง



• พูดจาอ่อนหวาน
การพูดจาอ่อนหวานเป็นเสน่ห์ประการหนึ่ง
ที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นไว้ได้
เพราะทำให้ผู้ฟังชื่นใจ สบายใจ
ทำให้เป็นกันเอง ทำให้ผูกมิตรไมตรีไว้ได้
จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย
ผู้ที่พูดจาไม่น่าฟัง พูดขาดสัมมาคารวะ พูดไม่รู้ที่ต่ำที่สูงหรือพูดส่อเสียด ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย
การพูดจาอ่อนหวานนี้ จัดเป็นวาจาสุภาษิตประการหนึ่ง



วาจาสุภาษิตมีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ

• เป็นคำจริง

• เป็นคำอ่อนหวาน

• เป็นคำมีประโยชน์

• พูดถูกกาลเทศะ

• พูดประกอบด้วยเมตตา

คำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง และเป็นคำอ่อนหวาน แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไม่ให้พูด เพราะไม่ได้ประโยชน์
หรือคำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง คำอ่อนหวานและมีประโยชน์ แต่ถ้าพูดไม่ถูกกาลเทศะ พระองค์ก็ไม่ตรัสสอนให้พูดเช่นกัน เพราะไม่เป็นวาจาสุภาษิต
แต่ถ้าคำนั้นปะกอบด้วยลักษณะ ๕ ประการ
คือ เป็นคำจริง เป็นคำอ่อนหวาน เป็นคำมีประโยชน์
พูดถูกกาลเทศะ และพูดด้วยเมตตาจิตแล้ว
พระองค์ก็ตรัสสอนให้พูดคำเช่นนี้
เพราะก่อให้เกิดคุณค่าให้แก่ตนเองและผู้อื่นเป็นอันมาก
ทำให้เป็นที่รักของคนทั้งหลาย และจัดเป็นมงคลแก่ชีวิต



• เป็นคนเสียสละ
ไม่เอาเปรียบผู้อื่น คือใครก็ตามถ้ามีน้ำใจเป็นนักเสียสละ
ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวรู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพนับถือของคนทั้งหลายโดยทั่วไป เพราะการให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ และผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย การเป็นคนเสียสละหรือนักเสียสละในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง การเสียสละเงินทอง หรือวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากแต่หมายถึง การเสียสละกำลังกาย เสียสละกำลังสติปัญญาช่วยเหลือกิจการของผู้อื่น
หรือสาธารณกุศลโดยส่วนรวมหรือแม้แต่ชีวิตก็สละได้ เมื่อมาคำนึงถึงความยุติธรรมและความถูกต้อง
แต่ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แปลความว่า

นรชนพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ

พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

เมื่อระลึกถึงธรรม พึงสละทุกอย่าง

คือ ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต

นอกจากเสียสละแล้ว คนที่น่ารักต้องไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นด้วย
คือไม่เห็นแก่ได้ หรือความสะดวกสบายส่วนตนแต่ฝ่ายเดียว
ให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย แต่คนที่มีลักษณะขี้เหนียว ไม่เห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบก็ย่อมเป็นที่เกลียดชัง



• เป็นคนกตัญญูกตเวที
คือ ใครก็ตามถ้าเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อท่านผู้มีพระคุณแก่ตนมาก่อน
คนนั้นจัดเป็นคนดี เป็นคนที่น่ารักและน่าเคารพนับถือ ยกย่อง จากคนทั้งหลาย เพราะเป็นการแสดงถึงพื้นฐานจิตใจของคนดี
ดังคำพระบาลีที่ว่า ภูมิ เว สาธุรูปานํ กตญฺญกตเวทิตา
(ความกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นใจของคนดี)
กตัญญูกตเวทีนี้ แยกเป็น ๒ ศัพท์ คือ กตัญญู ศัพท์หนึ่งและ กตเวที ศัพท์หนึ่ง
กตัญญู หมายถึง ผู้รู้อุปการคุณที่คนอื่นได้เคยทำแก่ตนมา
เช่น เคยเลี้ยงดูและเคยช่วยเหลือตนมา เป็นต้น
แม้ยังไม่ได้ตอบแทน แต่ถ้ารู้ถึงบุญคุณที่คนอื่นเคยกระทำแก่ตนมา
ก็จัดเป็นคนกตัญญูแล้ว
ส่วน กตเวทีนั้น หมายถึง คนที่ได้ตอบแทนอุปการคุณที่เขาได้เคยทำแก่ตนมาแล้ว
เช่น ได้ตอบแทนอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน
หรือต่อคนที่เคยช่วยเหลือตนเป็นต้น
คนที่รู้บุญคุณที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วแก่ตน และได้ตอบแทนเช่นนี้
จัดเป็นคนกตัญญูกตเวที ย่อมเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลายที่พบเห็น และย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก
เช่น คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเป็นต้น
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตนํ แปลว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดาเป็นมงคลอย่างสูงสุดของชีวิต
คือใครก็ตาม ถ้าได้เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน
จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ตกอับ
ถ้าจะตกอับบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมชั่วในปางก่อนติดตามมา
แต่ต้องเจริญรุ่งเรืองในที่สุด
เพราะได้บุญมากอันเกิดจากการเลี้ยงดูมารดาบิดาของตนนั่นแล ข้อนี้พิสูจน์ดูก็ได้คือถ้าผู้ใดยังมีพ่อแม่ ทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่
หรือยังอยู่คนใดคนหนึ่ง โดยเราเอาเสื้อผ้า อาหาร
หรือเงินทองไปมอบให้แก่ท่าน
หรือได้เลี้ยงดูท่านด้วยความจริงใจในอุปการคุณของท่าน
ผู้นั้นจะได้ลาภ ยศ หรือความรุ่งเรืองในชีวิตเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
บางทีภายในเดือนหนึ่ง หรือ ๒-๓ เดือนเท่านั้น
ถ้าผู้นั้นมีลูกหลาน ๆ ก็จะเลี้ยงเขาตอบ
แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ใดเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ไม่รู้คุณท่านผู้มีพระคุณแก่ตนและไม่คิดตอบแทน
เช่นไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน และซ้ำร้ายกลับด่าว่าทุบตี
และเหยียดหยามมารดาบิดาของตน
และปล่อยให้ท่านถึงความลำบากเมื่อท่านป่วยไข้เข้าสู่วัยชรา คนเช่นนี้จะไม่มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้เลย จะมีแต่ตกต่ำฝ่ายเดียว ถ้าจะเจริญบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมดีในปางก่อนดลบันดาลมา
แต่ก็ต้องเสื่อมไปในที่สุด เพราะบาปมาก
อันเกิดจากการประพฤติผิดต่อมารดาบิดาของตน
ถ้าเขามีลูกหลาน ๆ ก็จะประพฤติต่อเขา
เหมือนอย่างที่เขาเคยประพฤติต่อพ่อแม่ของตน
ด้วยเหตุนี้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย
จะไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ของเรา
ฉะนั้นคนแก่เฒ่าในชาติของเรา จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากลูกหลานของตน มากกว่าคนแก่ในโลกตะวันตกซึ่งมักจะถูกทอดทิ้ง
ความกตัญญูกตเวทีจึงมีผลอย่างมากต่อครอบครัว
และสังคมไทยโดยส่วนรวม ฉะนั้น ความกตัญญูกตเวที
จึงเป็นลักษณะของคนที่น่ารัก และเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวม



• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น
คือใครก็ตาม ถ้าเป็นคนมีนิสัยริษยาผู้อื่น
เห็นใครเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้ รู้สึกเร่าร้อนใจ ไม่สบายใจ
ในความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของผู้อื่น
และพยายามกลั่นแกล้งกีดกันต่อผู้ที่ดีเหนือกว่าตน ไม่อยากให้เขาได้ดีเหนือตน
เช่น เห็นเขาสบายกว่าตน เขารวยกว่าตน
เขามีทรัพย์สมบัติแลเกียรติยศชื่อเสียงเหนือกว่าตน
หรือไม่อยากให้เขาดีเสมอตน ก็มีความเร่าร้อนใจ
ที่เรียกว่า อิจฉาตาร้อน ต้องการให้ผู้นั้นเสื่อมไป
หรือไม่ได้รับสิ่งที่ดีนั้นเหนือตน หรือเหนือกว่าดีกว่าคนที่ตนรักใคร่นับถือ
คนเช่นนี้ย่อมมีใจต่ำ และจิตใจที่ร้อนผ่าวเมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดี
เป็นคนขาดมุทิตา คือการพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดีแท้ที่จริง ความริษยาเป็นพิษต่อจิตใจของผู้ริษยาเอง คือทำให้ใจเร่าร้อน ไม่สงบสุข แม้คนที่ถูกริษยาเขาจะทุกข์หรือไม่ก็ตาม แต่คนที่ริษยาก็มีความเดือดร้อนแล้ว เพราะสร้างไฟริษยาขึ้นเผาใจตนเอง
บางคนไม่ใช่มีนิสัยริษยาอย่างเดียว แต่ยังมีนิสัยเสียดสีผู้อื่นอีกด้วย คือกระทำหรือพูดกระทบกระแทกให้คนอื่นเขาเจ็บใจ เพราะเขาทนในความสุขความเจริญของผู้อื่นไม่ได้
คนเช่นนี้นอกจากตนเองจะเดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และเป็นที่เกลียดชังของคนที่มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย
แต่คนใดที่มีนิสัยไม่ริษยาเสียดสีผู้อื่น และพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดี
เช่นเห็นเขาสวย เขารวย เขามียศตำแหน่งฐานะดี
ก็แสดงความยินดีต่อผู้นั้นด้วยจริงใจ
เหมือนอย่างพ่อแม่เห็นความเจริญรุ่งเรืองของลูก
ก็รู้สึกปลื้มใจยินดีอย่างเหลือล้น และด้วยความบริสุทธิ์ใจ
คนเช่นนี้ย่อมได้รับความสุขใจ และเป็นที่รักใคร่ยกย่องของคนทั้งหลาย
เพราะเป็นผู้มีใจสูงประกอบด้วยคุณธรรม
ฉะนั้น การเป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น
จึงนับว่าเป็นลักษณะของคนที่น่ารักประการหนึ่ง



• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน
คือใครก็ตามไม่ว่าจะทำงาน จะลุก จะเดิน จะเจรจาปราศรัย
ก็ทำด้วยความนิ่มนวล สุขุมรอบคอบ
มีนิสัยเรียบร้อย สำรวม ละมุนละม่อม ไม่โฉ่งฉาง
มีกิริยามรรยาทน่าเลื่อมใส น่ารัก น่าเอ็นดู
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพนับถือ น่าบูชา
และทำงานด้วยความเรียบร้อยไม่ประมาท ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย
ผลงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่พอใจของผู้พบเห็น
ทั้งเป็นคนไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยกตนข่มท่าน ให้เกียรติแก่คนทั้งหลาย
คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่เคารพ รักใคร่ นับถือ ยกย่อง ของคนทั่วไป ทั้งได้รับความไว้วางใจให้ทำงานที่ต้องไว้วางใจสูง
ที่มีเกียรติ หรือตำแหน่งสูง
เพราะมีลักษณะนิสัยเป็นที่ประทับใจของคนทั่วไป
แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าผู้ใดมีนิสัยขาดความสุขุมรอบคอบ ไร้มารยาท ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้การงานเสียหาย
และมีนิสัยกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ยกตนและพวกพ้องของตนว่าดีแต่ผู้เดียว แต่ข่มผู้อื่น แม้เขาจะดีก็พูดไม่ให้กำลังใจ คนเช่นนี้ไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าสมาคม ไม่มีใครพอใจให้ทำงานหรือทำงานด้วย
ฉะนั้น คนดีทั้งหลายจึงพยายามหลีกเลี่ยงนิสัยที่ตรงกันข้ามนี้เสีย แล้วพยายามฝึกอบรมนิสัยของตนเอง ให้สุขุมรอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน เพราะย่อมเป็นไปเพื่อความน่ารัก อันมีผลสะท้อนเป็นความสุขความเจริญทั้งแต่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม


ท่านสาธุชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นได้แล้วว่า
คนที่มีลักษณะนิสัยน่ารักนั้น ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย นำความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมาแก่ตน และสังคมส่วนรวมได้อย่างไร ส่วนคนที่มีลักษณะนิสัยตรงกันข้าม ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย และนำความเสื่อมมาสู่ตนและโดยส่วนรวมอย่างไร

เมื่อทราบชัดเช่นนี้ก็พึงฝึกอบรมตนให้มีลักษณะที่น่ารัก ๙ ประการ
ไม่เป็นคนอวดดี ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว พูดจาอ่อนหวาน เป็นคนเสียสละ
ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น
และเป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน
ก็จะเป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนทั้งหลาย
ซึ่งย่อมเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญทั้งแก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ในที่สุดนี้ ขออำนวยพรให้ท่านสาธุชนทุกท่าน
จงประสบแต่ความสุขความเจริญ เป็นที่รักใคร่เคารพ นับถือ ของคนทั้งหลายด้วยการสร้างลักษณะของคนที่น่ารัก ๙ ประการ
ดังกล่าวมาแล้วโดยทั่วกันเทอญ ขอเจริญพร


ที่มา : http://www.kanlayanatam.com/sara/sara86.htm
> http://board.palungjit.com/showthread.php?t=120709
บันทึกการเข้า

aeam23
Verified Seller
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 233



ดูรายละเอียด
« ตอบ #123 เมื่อ: 31 มีนาคม 2008, 00:26:38 »

ขอบคุณกับสิ่งงดีๆที่มาให้อ่านครับ  Smiley
บันทึกการเข้า
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #124 เมื่อ: 01 เมษายน 2008, 10:43:20 »

จะทำอย่างไรให้เด็กสมัยนี้ รู้จักประหยัดและอดออมเจ้าคะ ?

การประหยัดและอดออมเป็นหัวใจของการตั้งหลักตั้งฐานให้มั่นคง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ว่า การที่ใครจะตั้งหลักตั้งฐานให้ได้นั้น มีหลักอยู่ ๔ ประการด้วยกัน เรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ได้แก่

                            ๑. อุฏฐานสัมปทา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยความหมั่น หรือว่า หาเป็น

                            ๒. อารักขสัมปทา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยการรักษา หรือว่า เก็บเป็น

                            ๓. กัลยาณมิตตตา แปลว่า ความมีเพื่อนเป็นคนดี หรือว่า สร้างเครือข่ายคนดีเป็น

                            ๔. สมชีวิตา แปลว่า การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ หรือว่า ใช้เป็น

                             นิสัยอดออมและนิสัยประหยัดนี้ อยู่ดีๆ คงไม่ตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอย่างกับน้ำฝน เมื่อเป็นนิสัย ก็ต้องเกิดจากการ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ นั่นเอง 
   

                            เพราะฉะนั้น อยากจะให้ลูกมีนิสัยประหยัด ก็ฝึกลูกให้ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องประหยัด

                             อยากจะให้ลูกมีนิสัยอดออม รู้จักออมทรัพย์เป็น ไม่ว่าจะออมทรัพย์เป็นตัวเงิน หรือจะออมทรัพย์เป็นบุญก็ตาม ต้องฝึกลูกให้ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องของการอดออมอยู่เสมอ จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย

                             แต่ว่าการที่จะให้ลูกหลานของเรา หรือใครก็ตาม ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเชิงประหยัด ในเชิงอดออมนั้น ต้องมีข้อแม้ เอาเป็นว่าจากในครอบครัวก็แล้วกัน คือ

                             ๑. คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ดู การประพฤติปฏิบัติตนด้วยความประหยัดและอดออมให้ลูกดู คือวิธีการสอนที่วิเศษที่สุด เพราะเมื่อพ่อแม่ทำให้ดู ทำให้เห็นอยู่เป็นประจำ ลูกก็จะมีแนวคิด แนวพูด แนวการกระทำ ตามอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ดูนั้น
                             เพราะฉะนั้น นิสัยประหยัด นิสัยอดออม ของลูก แน่นอนและชัดเจนลงไปเลยว่า ย่อมได้จากคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก

                             ๒. หาเพื่อนดีให้ลูกคบ เพื่อนที่มีนิสัยประหยัด มีนิสัยอดออม หาทาง ชวนให้แกมาที่บ้านบ่อยๆ เพื่อส่งเสริมให้คบกับลูกๆ ของเรา แล้วการซึมซับนิสัยดีๆ จากเพื่อนก็จะเกิดขึ้น

                             ๓. หาครูดีให้ลูก พาไปเรียนหนังสือ หรือหาครูดีๆ มาสอนหนังสือที่บ้านให้ลูกของเราเป็นพิเศษ ซึ่งครูนั้นนอกจากจะมีความรู้ด้านวิชาการดีแล้ว ยังต้องมีนิสัยประหยัด มีนิสัยอดออมด้วย เดี๋ยวแกก็จะซึมซับนิสัยดีๆ เหล่านั้น จากคุณครูเข้ามาในตัวของแกได้เอง

                             สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกของเรา ซึ่งจัดเป็นองค์ประกอบภายนอก
แต่ที่สำคัญคือองค์ประกอบภายใน ซึ่งก็ตกเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่อีกเหมือนกัน ที่จะต้องให้หลักการที่ชัดเจน

                             เมื่อได้หลักการแห่งการประหยัด การอดออมที่ชัดเจนแล้ว แกจึงจะเข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ดู ที่เพื่อนทำให้ดู ที่คุณครูได้อบรมสั่งสอนอยู่เป็นประจำ

                             คือ การที่ใครจะประหยัดเป็น เขาจะต้องรู้จักคำว่า " จำเป็น" กับคำว่า " อยาก" นั้นแตกต่างกันอย่างไร ต้องแยก ๒ คำนี้ให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็ประหยัดไม่เป็น
   

                            ยกตัวอย่าง ลูกเอ๊ย เสื้อผ้าเขามีไว้สำหรับนุ่งห่ม เพื่อกันแดด กันลม กันฝน กันร้อน กันหนาว กันเหลือบ ยุง ลิ้น ไร มาไต่ตอม และที่สำคัญกันอายนะลูก

                             ถ้าลูกยังใช้เสื้อใช้ผ้า ใช้เครื่องนุ่งห่ม อยู่ในลักษณะเพื่อป้องกันแดด กันลม กันฝน กันอาย อย่างที่ว่ามานี้ ก็เป็นเรื่องของความประหยัด

                             แต่เมื่อไหร่ ลูกจะใส่เสื้อใส่ผ้าเพื่อ ความเด่น ความดัง ตามแฟชั่น เดินผ่านไปถึงไหน ใครๆ ก็ต้องเหลียวหน้ากลับมาดู อย่างนี้ไม่ประหยัดแล้ว แต่จะกลายเป็นการฟุ่มเฟือยไป

                             การใช้เสื้อผ้าก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักแยกให้ออกได้อย่างนี้

                            ในบางกรณี ถ้าลูกอยากหล่อ อยากสวย อยากเด่น กับเขาบ้าง เป็นบางครั้งบางคราวก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ต้องออกแรงทำงานเสียก่อน โดยอาจจะให้ทำงานในบ้าน หรือไปทำงานนอกบ้านก็ตาม
   

                            ฝึกให้ลูกรู้จักเหนื่อยเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าค่อยแบมือขอแม่เพียงอย่างเดียว เมื่อต้องเหนื่อยเสียก่อนแล้วจึงจะได้ของที่ต้องการ อย่างนี้ความคิดที่จะฟุ้งเฟ้ื้อก็ลดลง

                             ยิ่งกว่านั้น ยังต้องสอนให้ลูกของเรารู้จักหยอดเงินใส่กระปุกออมสิน โดยเก็บเงินส่วนที่เหลือจากค่าขนมบ้าง เหลือจากตรงนั้น ตรงนี้บ้าง เอามาใส่กระปุกไว้ หรือว่าเอาไปทำบุญ

                             ก็จะกลายเป็นทั้งออมเพื่อเตรียมไว้สำหรับอนาคตชาตินี้ และออมไว้สำหรับอนาคตชาติหน้า ด้วยการเปลี่ยนเป็นบุญ
                             ถ้าทำอย่างนี้กันทั้งครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ รับรองนิสัยประหยัดและอดออมของคนทั้งชาติไทยจะบังเกิดขึ้นมาได้ในไม่ช้านี้

ขอขอบคุณ DMC.TV
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #125 เมื่อ: 01 เมษายน 2008, 10:46:11 »

    
ถ้ามีญาติ หรือมีเพื่อนมาขอยืมเงิน เราควรจะวางตัวอย่างไร เพราะไม่ให้ เขาก็จะเสียน้ำใจ แต่ถ้าให้บ่อยๆ เราก็เดือดร้อน เหมือนกัน?
   


             สำหรับผู้ที่มีเพื่อน มีญาติพี่น้อง สิ่งสำคัญที่ต้องจำเอาไว้ก็คือ เมื่อถึงคราวจำเป็น เราต้องเป็นที่พึ่งให้แก่พวกเขาได้ เพราะถ้าถึงคราวจำเป็น ใครก็มาพึ่งไม่ได้ แล้วใครเขาจะอยากมาเป็นเพื่อน เป็นญาติกับเรา

            หรือแม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน บางครั้งถึงคราวเข้าที่คับขัน สิ่งที่เตรียมเอาไว้อย่างดี ก็อาจขาดแคลนได้ เข้าทำนองถึงเวลาราชสีห์ก็ต้องพึ่งหนูเหมือนกัน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้ให้ดี

           เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวญาติพี่น้อง พรรคพวกเพื่อนฝูง บ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือ ลูกเอ๊ย! วิสัยของคนดี วิสัยของคนที่หวังจะมีความเจริญก้าวหน้า จะต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ตลอดเวลา ว่า ถ้าพรรคพวกเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย บ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องไม่ยอมให้เขากลับไปมือเปล่า จำคำนี้ไว้ก่อน

            ส่วนจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเป็นอีก เรื่องหนึ่ง อย่างช่วยอะไรกันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีค่ารถ ให้เขากลับบ้านได้

            การที่จะให้ความช่วยเหลือใครได้มากน้อยแค่ไหน มีหลักพิจารณาดังนี้

           ๑. ดูความพร้อม หรือดูกำลังของเรา ว่าเรา มีความรู้ มีความสามารถ มีกำลังที่จะให้เขาพึ่ง ได้เท่าไร คือ ใครที่ควรช่วยก็ช่วยเถอะ แต่ว่าอย่าให้เกินกำลังของเรา ข้อนี้ ต้องถือเป็นหลักเอาไว้ให้ดี

           ๒. ดูความจำเป็นของบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือ ดูว่าบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนก็ตาม เขามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีความจำเป็น เท่าไรนัก เขามาเผื่อว่าจะได้เท่านั้นเอง อย่างนี้เลี้ยงข้าวสักมื้อหนึ่ง แล้วให้ ค่ารถกลับบ้านก็พอ

           แต่ถ้าหากมีความจำเป็นมากๆ เช่น ตัวเขาเองป่วยหนัก พ่อแม่ตาย หรือลูกเกิดอุบัติเหตุ อะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาแกล้งทำกัน และไม่ใช่เขาไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ เขาอาจ จะเตรียมพร้อม แต่ว่าเป็นเรื่องที่สุดวิสัย ในกรณีอย่างนี้ จะมากจะน้อยต้องช่วยกันให้เต็มที่ เต็มตามกำลังของเรา

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเขาผู้นั้นเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับเราในอดีต หรือเคยมีพระคุณกับเรา ถึงคราวเราเดือดร้อน เขาเคยช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ เต็มกำลังมาก่อน เมื่อถึงคราวเขาเดือดร้อนบ้าง เราก็ต้องช่วยเหลือเขาให้เต็มที่เต็มกำลังเหมือนกัน

            อย่าว่าแต่เขาขอยืมเท่าไรแล้วให้เท่านั้นเลย เนื่องจากเขาเป็นคนดี เขาแสนจะเกรงใจ ที่เขาเอ่ยปากมา เขาก็กระเบียดกระเสียรเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องให้เป็น ๒ เท่า จากที่เขาขอ เพราะว่าเขาเป็นคนดี และเคยมีพระคุณกับเรามาก่อน แล้วครั้งนี้เขาก็จำเป็นจริงๆ

            ในกรณีเช่นนี้ ถ้าเราเป็นประเภทตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวให้ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังละก็ ท่านใช้คำว่า "ลูกผู้ชายใจนักเลง" คือ เทช่วยกันหมดกระเป๋าเลย

           แต่ในกรณีทั่วไป เขากับเราเพียงแค่รู้จักกัน นิสัยใจคอก็ยังไม่ชัดเจนนัก ก็ให้ดูว่าเขาหมกมุ่น อยู่กับอบายมุขหรือไม่

           ถ้าเขาหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ขืนเราให้ไป นอกจากไม่เกิดประโยชน์ ต้องสูญเปล่าแล้ว ยังจะกลายเป็นการส่งเสริมให้คนทำความชั่วอีกด้วย ในกรณีอย่างนี้อย่าให้

            ยกตัวอย่าง ดื่มเหล้า เมา กลิ่นฟุ้งมา มาขอยืมเงิน หรือมาขอยืมเงินเพื่อเอาไปเล่นหวย เอาไปแทงม้า อย่างนี้ไม่ต้องให้ เขาจะโกรธก็ปล่อยให้โกรธไปเถอะ

            แต่ว่าเขาเป็นคนตั้งใจทำมาหากิน นิสัยใจคอดูแล้วก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร อย่างนี้ ถ้าไม่มากนัก ให้ไปตามสมควรเถอะ

            ส่วนในกรณีที่ให้ไปแล้วเขาไม่เอามาคืน หรือเอามาคืนไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดความเสียหาย แก่เรา อย่างนี้คงต้องคิดมากสักหน่อย

            หรือไม่อย่างนั้นให้เขาไปสักครึ่งหนึ่ง สักส่วนหนึ่งก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือคุณไปหาจากพรรคพวก เพื่อนฝูงคนอื่นบ้าง เพราะว่าถ้าคุณไม่เอามาคืนให้ตรงเวลา ฉันจะเดือดร้อน

            เพราะฉะนั้น ช่วยใครได้ก็ช่วยเหลือกันไป ถ้าเขายังไม่มีประวัติในทางเสียหาย ช่วยเท่าที่ไม่เกินกำลังเรา เมื่อให้ไปแล้ว วันหลังเขาเอามาใช้คืนตามที่สัญญาไว้ ก็ถือว่าประวัติ ของเขาใช้ได้

            หากวันหลังเดือดร้อนมา ก็ช่วยเขาอีกเหมือนกัน เพราะประวัติของเขาดี เข้าทำนองที่ว่า "ให้ก็ให้" คือ เราให้ไปแล้ว เขาก็ให้กลับคืน

            แต่ว่าพวกไหนให้ไปแล้ว ไม่เคยให้กลับคืนเลย ถ้ามาอีกก็คงให้ไม่ได้ พอกันที เข้าทำนองที่ว่า "ไม่ให้ก็ไม่ให้ไ คือ ให้คุณไปแล้ว คุณไม่ให้กลับคืน มาขอใหม่อีก ก็เลยไม่ให้

            ส่วนในกรณีที่เขาก็เป็นคนดี นิสัยใจคอก็ดี แต่ว่าตอนนี้เขาเกิดเคราะห์หามยามร้าย กลายเป็น คนพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยจะได้เสียแล้ว รู้เลย ว่าถ้าให้ไปคงจะไม่ได้กลับคืนมาแน่นอน

           ในกรณีนี้ทำใจเสียเถอะ ว่าต้องให้ แต่ให้ในระดับที่เราไม่เดือดร้อน ให้ได้เท่าไรก็ให้ไป เพราะเขาเป็นคนดี เขาไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ว่าเขาโชคร้าย ถึงจะไม่มีปัญญามาใช้คืน ก็ไม่ว่ากัน

            เพราะฉะนั้น ช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ เข้าทำนอง ว่า "ให้ ไม่ให้ ก็ให้" คือ ให้ไปแล้ว เขาจะคืนได้ หรือไม่ได้ก็ตาม เมื่อมาขอใหม่ก็ต้องให้ไปอีก นึกเสียว่าสงสารลูกนกลูกกาก็แล้วกัน
            หรือนึกเผื่อว่า ถึงคราวเราเคราะห์หามยามร้าย ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้บ้าง เช่น รถคว่ำจนทำให้พิกลพิการ หรือเกิดอุบัติเหตุจนกระทั่ง ตาบอด หูหนวก ทำมาหากิน ก็ขาดแคลนเต็มที ซึ่งไม่รู้ว่าเรา จะเจอกับ ภาวะอย่างนี้เมื่อไร ก็คงจะมีใครเมตตาเราบ้าง เพราะบุญที่เราทำไว้กับเพื่อนคนนี้ หรือญาติคนนี้
            แล้วถ้าจะให้ดี รีบสร้างบุญไว้ตั้งแต่วันนี้ให้มากๆ ถึงเวลาสมบัติเกิดกับเรา จะได้เกิดขึ้นมากๆ เวลามีใครเดือดร้อนมาหา เราก็จะได้ช่วยเขาได้ทีละมากๆ กลายเป็นไม้ใหญ่ให้นกให้กาได้อาศัย ก็ดีเหมือนกัน

ขอขอบคุณ DMC.TV
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #126 เมื่อ: 01 เมษายน 2008, 11:14:36 »

  ส ังคมไทยสมัยก่อน มักจะสอนให้ลูกกราบเท้า พ่อแม่ก่อนเข้านอน สิ่งนี้จะพัฒนาคุณธรรมในตัวเด็กได้อย่างไร และถ้าคนในยุคนี้จะทำบ้าง ควรเริ่มต้นอย่างไรเจ้าคะ ?

                 คุณโยมถามได้ถูกจังหวะทีเดียว เพราะว่าปัจจุบันประเพณีอันดีงาม ของปู่ย่าตาทวดในเรื่องนี้ กำลังจะหายไปจากแผ่นดินไทยของเรา ซึ่งถ้าปล่อยให้หายไปเมื่อใด การถ่ายทอดคุณธรรม จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ก็คงจะหมดไปด้วย

                 ปัญหาต่างๆ ที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ เช่น วัยรุ่นยกพวกตีกัน วัยรุ่นเสพยาเสพติด เป็นต้น สาเหตุเบื้องต้นก็มาจากการที่เด็กเหล่านั้น ไม่ได้รับการสอนให้กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ก่อนนอนนั่นเอง

             กุศโลบายถ่ายทอดนิสัย

                 เรื่องสอนให้ลูกกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ก่อนนอนนี้ เป็นหลักการ หรือว่าเป็นกุศโลบายในการถ่ายทอดนิสัยอันดีงามที่คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกฝนมาตลอดชีวิต ไปสู่ลูกหลานของตัวเอง เพราะว่าความดีที่จะเกิดขึ้น ได้ในตัวของคนทุกคนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังให้กันและกัน จะรอให้เกิดขึ้นมาเองนั้นไม่ได้ เหมือนชาวนาต้องลงมือปลูกข้าว ถ้าไม่ปลูกต้นข้าวในนา ก็ไม่สามารถที่จะงอกขึ้นมาเองได้

                 ปู่ย่าตาทวดของเรามองในเรื่องเหล่านี้ออก ท่านจึงมีกุศโลบายโดยสอนให้ลูกหลาน มากราบเท้าท่านก่อนเข้านอน 

             ประโยชน์จากการที่ลูกกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอน

                 การที่ลูกคลานเข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่ แล้วกราบงามๆ นั้น ไม่ได้เป็นการบังคับจิตใจลูกเลย แต่ว่ากลับก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาอย่างมากมาย คือ

                 ๑ . พ่อแม่ลูกมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน ทำให้ได้พูดคุย ได้ทำความเข้าใจกัน และเมื่อทำเป็นประจำทุกคืน ลูกๆ จะเกิดความซาบซึ้งถึงความปรารถนาดี ที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อตน

                 ๒ . คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นพฤติกรรมของลูก ตามธรรมดาใจของเด็กสะอาดเหมือน กับผ้าขาว เพราะฉะนั้นเวลาไปทำอะไรผิดมาในครั้งแรกๆ แกจะรู้ตัวว่าทำผิด และจะมีพิรุธกลับมาให้คุณพ่อคุณแม่เห็น

                 แต่ว่าถ้าปล่อยให้แกทำผิดซ้ำๆ กันเกิน ๓ ครั้ง แกจะถือว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นเรื่องปกติ และจะไม่มีพิรุธกลับมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่รู้เลยว่า ลูกของตนไปทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง ในที่สุดแม้ลูกติดยาเสพติด หรือว่าไปเกะกะเกเรมาอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ เพราะแกไม่มีพิรุธอะไรกลับมาให้เห็น

                 เพราะฉะนั้น การที่คุณพ่อคุณแม่สอนให้ลูกกราบเท้าก่อนเข้านอน นอกจากจะทำให้ได้ใกล้ชิดกันแล้ว ยังมีโอกาสตักเตือนลูกในตอนที่แกทำผิดพลาดครั้งแรกๆ และมีโอกาสแก้ไขได้ทันท่วงทีอีกด้วย

                 ๓. คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกฟัง เช่น สถานการณ์ของบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไร ลูกจะได้มีหูตาที่กว้างไกล หรือว่าสถานการณ์ของครอบครัว ตอนนี้มีสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร ยิ่งกว่านั้น คุณพ่อคุณแม่มีแนวทางที่จะปูพื้นฐานเส้นทางชีวิตให้กับลูกอย่างไรในอนาคต ก็จะเล่าให้ลูกฟังกันตอนนี้แหละ

                 ๔ . คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี โดยใช้วิธีง่ายๆ คือ เล่าถึงความดีที่พ่อแม่ทำในแต่ละวันให้ลูกฟัง ลูกๆ ก็จะซึมซับความดีเหล่านั้นเข้าไปในใจ จนกระทั่งทำให้รู้ว่า ดี ชั่ว ถูก ผิด และบุญ บาปเป็นอย่างไร

                 ในยุคนี้มีคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากที่มักจะหวังว่า ลูกของเราเมื่อโตขึ้นมาคงจะเป็นคนดี เพราะว่าคุณครูที่โรงเรียนได้อบรมสั่งสอนให้แล้ว หรือว่าเราให้ความรักต่อลูกมากพอแล้ว เช่น ตุ๊กตาตัวโตๆ ก็ซื้อให้เล่น อยากกินขนมอะไรก็ไปหาซื้อมาให้ เป็นต้น ก็คิดว่า ลูกของเราจะต้องเป็นคนดีแน่นอน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าได้ลูกที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมา ๑ คน

                 ถ้าวันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับมาใช้วิธีสอนให้ลูกกราบเท้าก่อนนอนทุกคืน แล้วถ่ายทอดความรู้และความดีที่ตนทำมาในแต่ละวันด้วยการเล่าให้ฟังว่า ขณะที่ทำงานในวันนี้ พ่อแม่มีวิธีตัดสินใจที่จะทำ หรือไม่ทำงานนั้นๆ อย่างไร พ่อแม่ทำอย่างไรงานถึงได้ออกมาดี ซึ่งก็คือการถ่ายทอดความรู้ ในเรื่องการประกอบอาชีพให้ลูกนั่นเอง

                 หรือเล่าให้ฟังว่า วันนี้แม่ไปทำบุญ ไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลามา วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา แม่จึงตั้งใจรักษาศีลเป็นพิเศษ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

                 ลูกก็จะเห็นภาพของชีวิตในวันข้างหน้า อีกทั้งได้รับความรู้และความดีจากประสบการณ์ของพ่อแม่อยู่ในตัวอย่างพร้อมสรรพอีกด้วย กลายเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาประจำตัวลูกที่พ่อแม่มอบให้แก่เขาทุกคืนไม่ได้ขาด และเป็นแนวทางการเผชิญโลกและชีวิตด้วยความดีอย่างตลอดฝั่งในวันข้างหน้า

                 สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความดีที่ควรนำมาเล่าให้ลูกๆ ฟัง เพราะถือว่าเป็นอริยทรัพย์ คือทรัพย์อันประเสริฐ ที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด ย่อมดีกว่าสมบัติพันล้าน หมื่นล้านที่พ่อแม่หาสะสมไว้ให้ แต่ลูกแยกไม่ออกว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด แล้วก็เอาสมบัติเหล่านั้น ไปมั่วสุมในอบายมุขจนหมด

             วิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์

                 การสอนให้ลูกกราบพ่อแม่ก่อนเข้านอนนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติ คือ

                 ๑. เป็นต้นแบบทางศีลธรรมให้ลูกดู ถ้าคุณพ่อยังชอบดื่มเหล้า ส่วนคุณแม่ก็ชอบเล่นไพ่ แล้วเรียกให้ลูกเข้าไปกราบ อย่างนี้ลูกคงจะกราบไม่ไหวเหมือนกัน

                 ๒. สอนให้กราบเท้าพ่อแม่ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่ต้องรอจนโตขึ้นมาก่อน เดี๋ยวแกไม่อยากเข้าใกล้คุณพ่อคุณแม่ แต่กลับไปติดเพื่อนแทน แล้วจะไปโทษว่าลูกดื้อไม่ได้

                 ๓. สอนให้กราบเท้าพ่อแม่ เป็นประจำทุกคืน พ่อแม่ต้องสอนให้ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าวันไหนอารมณ์ดีก็เรียกลูกให้เข้ามากราบ วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็ไล่ให้ไปพ้นๆ อย่าเข้ามาใกล้

                 หากทำได้อย่างนี้ หิริโอตตัปปะ หรือว่าความอายบาป กลัวบาป จะเกิดขึ้นกับลูกของเรา ทำให้ไม่กล้าทำความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลัวว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าจะเสียใจ เช่น เวลาจะทำความชั่วครั้งใด หน้าแม่ก็ลอยขึ้นมา หน้าพ่อก็ลอยขึ้นมา “ ลูกเอ๊ย ไม่รักพ่อรักแม่แล้วหรือ” แค่นี้ก็จะกลายเป็นยันต์สำหรับปิดนรกให้ลูกแล้ว

              การฟื้นฟูประเพณีลูกกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอน

               การสอนลูกให้มากราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอนทุกคืน มีผลดีต่ออนาคตของลูกถึงขนาดนี้ ปู่ย่าตายายท่านจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แต่ว่าคนในยุคปัจจุบัน กำลังจะลืมเลือนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะฟื้นฟูประเพณีอันดีงามนี้ให้กลับมาอีก

               ๑. คุณพ่อคุณแม่ต้องเพาะนิสัยตัวเองเสียใหม่ คือคุณพ่อคุณแม่ที่ชอบดูหนัง ดูละคร จนกระทั่งหลับไปต่อหน้าโทรทัศน์ ก็เลิกเสียที หัดนอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เป็นตัวอย่างให้ลูกดู สิ่งที่สำคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่จะได้มีเวลาพาลูกๆ ไหว้พระ สวดมนต์ พอสวดมนต์เสร็จก็ให้พร แล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณแม่คุณพ่อได้ประกอบคุณงามความดีเอาไว้ให้ลูกฟัง

               ๒. อย่าทำโทษลูกในขณะนั้น หากรู้ว่าลูกไปทำผิดอะไรมา ถ้าไม่รุนแรงนัก แค่ว่ากล่าวตักเตือนกันบ้างก็ทำได้ แต่ถ้าหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องลงโทษกัน อย่าทำในขณะนั้นเป็นอันขาด เอาไว้ค่อยพิพากษากันในวันต่อไปก็ได้ เมื่อพ่อแม่ทำอย่างนี้ ลูกจะเกิดความอุ่นใจ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่าไปทำผิดทำพลาดอะไร เขาก็กล้าที่จะมาสารภาพกับคุณพ่อคุณแม่

               เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งผู้บริหารบ้านเมือง สามารถฟื้นฟูประเพณีสอนให้เด็กกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอนกลับมาได้ รับรองว่าปัญหา เรื่องวัยรุ่นชายยกพวกตีกัน หรือว่าวัยรุ่นหญิงแอบไปทำแท้ง จะไม่มีเกิดขึ้นอีก จะมีแต่เด็กๆ ประเภทที่เป็นลูกแก้วเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่เองก็จะได้ตายตาหลับ เพราะลูกแก้วจะรักษาประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้คู่บ้านคู่แผ่นดินตลอดไป
ขอขอบคุณ DMC.TV
บันทึกการเข้า

คุณป้าขา
เจ้าแม่ปราบเกรียน
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 68
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,679



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #127 เมื่อ: 01 เมษายน 2008, 11:47:03 »

๒. อย่าทำโทษลูกในขณะนั้น หากรู้ว่าลูกไปทำผิดอะไรมา ถ้าไม่รุนแรงนัก แค่ว่ากล่าวตักเตือนกันบ้างก็ทำได้ แต่ถ้าหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องลงโทษกัน อย่าทำในขณะนั้นเป็นอันขาด เอาไว้ค่อยพิพากษากันในวันต่อไปก็ได้ เมื่อพ่อแม่ทำอย่างนี้ ลูกจะเกิดความอุ่นใจ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่าไปทำผิดทำพลาดอะไร เขาก็กล้าที่จะมาสารภาพกับคุณพ่อคุณแม่

ดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณ journey  นะจ๊ะ   Smiley

บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #128 เมื่อ: 16 เมษายน 2008, 22:58:22 »

คุณ เซเว่น ขอมา้ จัดให้ Smiley Smiley

พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร ลูกเป็นอย่างนั้น

ความหมายของคำว่า “ลูก” มิใช่เป็นเพียงแค่ผู้สืบสายเลือดหรือดวงใจอันเป็นที่รักยิ่งของพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นผลิตผลทางจิตวิญญาณของพ่อแม่ด้วย และการที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้หรือไม่ เป็นที่ยอมรับกันว่าขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่วัยรุ่นว่า ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบใด

สังคมยุคใหม่พ่อแม่มีทัศนคติ ค่านิยม และความคิดความอ่านเปลี่ยนไปจากเดิมและมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ทำให้พ่อแม่ในสังคมยุคใหม่มีรูปแบบและแนวทางในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปเรามักจะพบเห็นรูปแบบการเลี้ยงลูก 4 แบบ คือ การเลี้ยงแบบให้ความรักมากเกินไป โดยไม่มีขอบเขต การเลี้ยงแบบไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร การเลี้ยงแบบประคบประหงม และแบบสุดท้ายคือ การเลี้ยงลูกแบบเจ้าระเบียบ และบังคับเด็กจนเกินไป


รักหนูมากไป...หนูจะเป็นแบบไหนนะ


การเลี้ยงลูกแบบรักลูกมากไป ตามใจจนไร้ขอบเขตเป็นวิธีที่พบมากในปัจจุบันที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก เมื่อมีเวลาใกล้ชิดก็อยากจะมอบความรักความอบอุ่นให้โดยการยอมตามที่ลูกขอแทบทุกครั้งไป


การทำอย่างนี้นอกจากจะขัดขวางไม่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองแล้วยังส่งผลให้ลูกมีนิสัยเห็นแก่ตัว รอคอยไม่เป็น อารมณ์ไม่มั่นคง ก้าวร้าว ไม่เห็นใจคนอื่นที่ต่ำกว่า เก็บกด ปรับตัวได้ไม่ดีต้องพึ่งผู้อื่นโดยเฉพาะพ่อแม่ตลอด ในกรณีที่รุนแรงลูกจะขาดคุณลักษณะที่สำคัญต่อการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต ทำให้ในระยะยาวมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง เนื่องจากขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการแข่งขันกับตัวเอง ขาดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความอดทนและความรับผิดชอบ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะหงุดหงิด มีปัญหาทางอารมณ์ในระยะยาว


ประคบประหงมแบบนี้...ความรักหรือยาขมกันนะ

การเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม วิตกกังวลหวาดกลัวไปต่างๆ นานา ว่าลูกจะป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรค หรืออุบัติเหตุต่างๆ มักเกิดกับพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว มีลูกยาก ไม่สามารถมีลูกได้อีกเนื่องจากการถูกตัดมดลูกหรือพ่อแม่ที่เคยสูญเสียลูกไปแล้วคนหนึ่งและไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้ลูกผจญต่ออะไรมากนัก คอยติดตามและปกป้องอันตรายให้ลูกตอลดเวลา ไม่ให้ช่วยทำงานบ้าน ไม่มีการฝึกวินัย การทำแบบนี้มีผลดีบ้างตรงที่ลูกได้รับความรักความอบอุ่นเหมือนแบบแรก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายลูกอย่างไม่รู้ตัว เนื่องจากจะทำให้ลูกไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เนื่องจากถูกปิดกั้นด้วยความรักของพ่อแม่ พ่อแม่ควรปรับความคิดใหม่คิดให้เหมือนเด็ก นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กว่าในวัยนี้เราต้องการอะไรจากพ่อแม่บ้าง และอย่าจมกับอดีต อย่าวิตกกังวลมากไป ให้ความมั่นใจกับตัวลูกว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ จะเป็นผลดีต่อการปูพื้นฐานการเรียนรู้ของลูกในอนาคต


เจ้าระเบียบบีบบังคับมากไป...ก็ไม่ดีนะแม่

การเลี้ยงลูกแบบนี้ พ่อแม่จะเฝ้าควบคุมลูกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ บางครอบครัวควบคุมไปถึงเรื่องส่วนตัวของลูก ทั้งเรื่องการทานอาหาร การขับถ่าย การออกกำลังกาย เหมือนการเลี้ยงลูกแบบทารกที่คอยควบคุมช่วยเหลือการทำงาน ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ต้องการได้ คอยชี้แนะว่ากล่าวตักเตือนสม่ำเสมอ คอยแก้ปัญหาให้เกือบทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเกิดความเครียดเก็บกดมีพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกและอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ในอนาคตหรืออาจเป็นเด็กก้าวร้าวจากการสะสมอารมณ์เก็บกดนั้นๆ


เอายังไงแน่แม่...หนูงงแล้วนะ


การเลี้ยงลูกแบบไม่สม่ำเสมอ ไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร บางครั้งเข้มมาก บางครั้งตามใจ บางครั้งปล่อยปละละเลย พ่อแม่สอนลูกคนละแบบหรือขัดแย้งกัน เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกบ่อยๆ จนลูกไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงผลแห่งการกระทำของตัวเอง ส่วนมากเกิดกับพ่อแม่ที่มีความเป็นเด็กอยู่ พ่อแม่ที่มีความเครียดมากหรือไม่มีเวลาให้ลูก มักมีการสอนหรือให้ข้อมูลที่สับสน ตีความหมายได้หลากหลายแก่ลูก การเลี้ยงลูกในลักษณะนี้จะทำให้ลูกเกิดความสับสน ขาดวินัย รักสบาย และขาดความยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากจะปรับตัวเองตามลักษณะอารมณ์ของพ่อแม่ โดยในระยะแรกลูกจะแสดงออกเพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อแม่ แต่พอนานวันเข้าก็จะกลายเป็นความเคยชิน เกิดการทำโดยอัตโนมัติและไม่รู้สึกเดือดร้อน


เด็กที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน รูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอต่างกัน การที่พี่น้องท้องเดียวกัน แม้แต่ฝาแฝดก็มีความแตกต่างกันเพราะได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน รวมถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันด้วย ส่งผลให้สุขภาพจิตแต่ละคนแตกต่างกัน การอบรมเลี้ยงดูที่แตกต่างส่งผลต่อพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป


การเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่แต่ละคนส่วนใหญ่จะอาศัยประสบการณ์ที่ถูกเลี้ยงดูมา การเรียนจากตำรา หรือการเห็นคนอื่นเลี้ยงมาประยุกต์ใช้ในแบบที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม แต่บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพ่อแม่แต่ละช่วงก็ส่งผลให้การเลี้ยงดูลูกแตกต่างกันออกไป เกิดการเลี้ยงดูหลายแบบในครอบครัวเดียวกัน เราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า แบบไหนดีไม่ดี หรือแบบไหนถูกแบบไหนผิด พ่อแม่ควรเลือกและปรับวิธีการดูแลเลี้ยงดูลูกตามความเหมาะสม


พ่อแม่มืออาชีพ...ต้องแบบนี้สิ


การอบรมเลี้ยงดูลูกที่ดีนั้น ไม่มีรูปแบบตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าวางกฎเกณฑ์หรือคุณค่าในเรื่องต่างๆ สูงแค่ไหน เช่น การลงโทษลูก การควบคุมเรื่องต่างๆ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของลูกมีมากน้อยแค่ไหน รูปแบบการเลี้ยงลูกควรพิจารณาจาก


ความเท่าเทียมกันทางสังคม


คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักว่าลูกเรามีสิทธิ์ที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกวัยนี้อายุยังน้อยตัดสินใจอะไรหรือทำอะไรไม่ค่อยเป็น ปล่อยให้ลูกได้คิด ได้ทำและตัดสินใจในสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าลูกจะไม่ฉลาด ไม่มีประสบการณ์ ไม่แข็งแรงหรือไม่มีความรู้เท่าพ่อแม่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรให้เกียรติในความคิดของลูก ไม่บังคับให้ทำตามความคิด ความเชื่อของพ่อแม่ ส่งเสริมลูกด้วยการจัดหาแนวทางและชี้นำเรื่องต่างๆ แก่ลูกอย่างเหมาะสม


ความรับผิดชอบร่วมกัน


เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว การร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำและตัดสินใจ หรือการทำข้อตกลงรับผิดชอบร่วมกัน บ้านที่มีความเป็นประชาธิปไตยควรมีทั้งอิสระ ขอบเขตและฝึกให้ลูกเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบ เช่น การเก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จ การรับประทานอาหารที่ตรงเวลา การให้ลูกได้รับประสบการณ์จากผลการกระทำของเขาเป็นเทคนิคการฝึกที่มีพลังมาก ลูกมีอิสระที่จะเลือกและได้รับประสบการณ์จากผลของการกระทำของตัวเอง เช่น ลูกไม่ยอมรับประทานอาหารจะรู้สึกหิว หรือเล่นมากไปจนกลับมาไม่ทันมื้ออาหารเย็น เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ลูกจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ทำเพราะรางวัลหรือถูกลงโทษ แต่จะทำเพราะว่าได้รับรู้ถึงผลเสียของการกระทำนั้นๆ และในขณะที่พยายามพัฒนาความรับผิดชอบของลูก พ่อแม่ต้องไม่พยายามเข้าไปช่วยลูกโดยไม่จำเป็นจริงๆ เพราะจะทำให้ลูกมีความรู้สึกรับผิดชอบลดลง


ความร่วมแรงร่วมใจกัน


ครอบครัวที่มีการแข่งขันกันทำให้เกิดความแตกต่างของลูกแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัด อาจทำให้ลูกคนที่สู้คนอื่นไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อรั้น ไม่ยอมร่วมกิจกรรมในบ้าน ไม่มีเพื่อน สุดท้ายจะพบความล้มเหลวด้านการเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนทัศนคติทั้งตัวเองและลูกจากการแข่งขันเป็นร่วมมือช่วยเหลือกัน สอนลูกให้มีความเมตตา มีน้ำใจช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า จะช่วยให้คนๆ นั้นมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตในอนาคต


ความมีวินัยในตัวเอง



พ่อแม่ที่มักสอนให้เรามีความรับผิดชอบโดยการให้รางวัลและการลงโทษ จะส่งผลให้ลูกเรียนรู้ว่าพ่อแม่และคนอื่นมีผลต่อพฤติกรรมของเขา เมื่อใดที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะไม่มีคนคอยดูหรือคอยสอนให้ทำดี ถ้าพ่อแม่ต้องการให้ลูกทำดี โดยสมัครใจด้วยแรงกระตุ้นภายในตัวเด็กเอง ไม่ใช่จากการถูกลงโทษหรือให้รางวัลได้ พ่อแม่ควรฝึกให้แรงกระตุ้นและแรงเสริมเป็นอย่างอื่น เช่น การชมเชย การกอดลูก เมื่อลูกเกิดความรับผิดชอบโดยสมัครใจ รู้สึกอยากทำสิ่งต่างๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้อควบคุม นั่นคือพ่อแม่สามารถสร้างบทบาทของการมีวินัยในตนเองให้ลูกได้สำเร็จ


แบบนี้เรียกว่า...พ่อแม่รังแกหนู

ในขณะที่พ่อแม่พยายามเลี้ยงลูกให้พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ในสังคม เป็นการวางรากฐานให้ลูกออกสู่โลกกว้างเมื่อโตขึ้นได้อย่างเหมาะสมด้วยประสบการณ์ของตัวลูกเอง บางครั้งพ่อแม่อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่เอาไหน หรือด้วยสำนึกของความเป็นพ่อแม่ จึงพยายามเข้าไปช่วยลูก เช่น ช่วยแต่งตัว ช่วยทำการบ้าน ช่วยป้อนข้าว การทำอย่างนี้ไม่เหมาะสมนะคะ เพราะแทนที่ลูกจะพัฒนาตัวเองกลับมีพฤติกรรมถดถอยได้ ซึ่งการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ไม่เหมาะสมมีหลายปัจจัยด้วยกัน

การอบรมสั่งสอนลูก ไม่ ควรเป็นการเทศนา เพราะลูกวัยนี้ไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่พ่อแม่สอนได้ในเวลาเดียวกัน และจะทำให้ลูกเบื่อหน่ายไม่สนใจฟัง ทำให้เกิดผลเสียทั้ง 2 ฝ่าย พ่อแม่อารมณ์เสียและลูกเกิดความเครียด เก็บกด เพราะไม่สามารถแสดงความโกรธออกมา ดังนั้น พ่อแม่ควรสอนลูกด้วยเหตุผลที่สั้น ชัดเจนและเข้าใจง่าย และไม่ควรหลอกหรือหยอกล้อลูกในทางที่ไม่ควร เพราะจะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผล อีกทั้งเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของลูก ทำให้ลูกขาดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในตัวพ่อแม่ด้วย


การดุด่าและการขู่ลูก เป็นอีกพฤติกรรมที่ไม่ควรนำมาใช้ โดยเฉพาะการดุด่ากลางที่สาธารณะ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกจะเกิดความอาย เครียดและอาจเกลียดพ่อแม่ได้ รวมถึงการพูดจาเสียดสี เหน็บแนมหรือถากถางลูกโดยหวังผลให้ลูกปรับปรุงพฤติกรรม อย่าใช้กับลูกเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกวัยนี้เขาไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำเหล่านั้นหรอกค่ะ รังแต่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองทำถูกอีกทั้งลูกอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องและนำสิ่งที่ได้เห็นจากพ่อแม่ไปใช้กับคนอื่นด้วย


การติดสินบนลูก
นิยมมากในกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการสอนหรือต้องการหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการในตัวลูก พ่อแม่ควรเปลี่ยนความคิดและมุมมองใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้ลูกทำความดีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ไม่สามารถติดตัวจนกลายเป็นนิสัยได้ ในทางตรงข้ามอาจเป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ไม่ดีให้ลูกทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนเท่านั้น


สอนลูกสร้างทางเดินอย่างเหมาะสม


ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกแบบใด ล้วนมีผลต่อความคิดความอ่าน และพฤติกรรมของเด็กทั้งสิ้น การที่ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสั่งสมประสบการณ์ การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กจนถึงวัยรุ่น พ่อแม่ที่เลี้ยงดู อบรม สั่งสอนลูกด้วยความรัก ความอบอุ่น ให้กำลังใจ ให้ความยุติธรรม ยอมรับในความสามารถของลูกและพร้อมที่จะให้การสนับสนุน และส่งเสริมความสามารถพิเศษที่มีในตัวของลูก ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีมานะ อดทน เข้าใจชีวิต มีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หากพ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างขาดความรัก ความเข้าใจ มุ่งแต่ใช้การตำหนิติเตียน เมื่อลูกโตขึ้นมักจะเป็นคนล้มเหลวในชีวิต การเลี้ยงลูกด้วยความก้าวร้าว มักจะพบว่าเมื่อลูกเติบโตจะกลายเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าว หยาบกระด้าง ในการแก้ปัญหามักจะใช้กำลังมากกว่าเหตุผล พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยคำเย้ยหยันให้ลูกเกิดความอับอาย นำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่นที่ประสบความสำเร็จ เมื่อโตขึ้นลูกจะเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกและหวาดระแวง


การเลี้ยงลูกด้วยทางสายกลางเป็นวิธีที่ควรทำมากที่สุด
คือ การให้ความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การยอมรับลูกเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง มีความสม่ำเสมอในการอบรมเรื่องต่างๆ รวมถึงการสร้างระเบียบวินัยที่ไม่ย่อหย่อนหรือเคร่งครัดจนเกินไป ให้ความยุติธรรมต่อลูกทุกคนด้วยความเสมอภาคกัน สิ่งนี้จะเป็นเครื่องหล่อหลอมเด็กให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และเติบโตไปเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศ


(update 28 พฤษภาคม 2005)
[ ที่มา...นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ]
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #129 เมื่อ: 16 เมษายน 2008, 23:03:55 »

คุณเคยอยู่ในภาวะกดดันไหม ความรู้สึกนั้นแย่และเครียดจนต้องหาทางระบายใช่ไหม แล้วถ้าลูกคุณต้องอยู่ในภาวะนี้ โดยมีคุณเป็นต้นเหตุล่ะ ?

ไปเจอบทความนึงมา ลองอ่านกัน

เมื่อไม่กี่วันนี้ กระเตงลูกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมก๊วนสมัยเรียนมาค่ะ นอกจากแม่ๆ จะได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกันแล้ว ลูกๆ ก็ได้เพื่อนเล่นด้วย แต่ลูกสาววัย 2 ขวบกว่าของเพื่อนดิฉันสิคะ เอาแต่หลบหลังแม่ตลอด ดูท่าทางไม่มั่นใจเอาเสียเลย


สังเกตอาการหลานสาวสักพัก ก็เห็นว่าเขาเองก็อยากจะไปวิ่งเล่นเหมือนกัน แต่เพื่อนของดิฉันก็คอยส่งสายตาปรามไว้เสมอ เพราะไม่อยากให้ลูกวิ่งซน เธอบอกว่ากลัวลูกจะหกล้มเจ็บตัวน่ะค่ะ แต่แหม...ธรรมชาติของเด็กวัยนี้น่ะเขาจะซน อยากวิ่ง อยากปีนป่าย อยากสำรวจ แล้วมาถูกบังคับให้อยู่นิ่งๆ แบบนี้คงอึดอัดแย่


และเธอยังบ่นให้ดิฉันฟังอีกว่า ลูกสาวไม่ได้อย่างใจเอาเสียเลย เพราะออกนอกบ้านทีไรหลบหลังแม่ตลอด อยากให้ลูกเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ปล่อยไว้แบบนี้เห็นทีจะไม่ได้การ เพื่อนที่แสนดีอย่างดิฉันต้องหาทางช่วยแล้วล่ะค่ะ


กรณีอย่างนี้ พญ.เสาวภา วชิรโรจน์ไพศาล กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต แนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรบังคับหรือห้ามเด็กอย่างไม่เหมาะสม เพราะจะเป็นการกดดันลูกได้ค่ะ

เรื่องที่หนูๆ มักโดนกดดัน


ลูกได้รับความกดดันจากพ่อแม่ได้หลายทางค่ะ เช่น จากการที่พ่อแม่ใช้เสียงดังตวาด บางคนอาจถึงขั้นตี เป็นการใช้อำนาจซึ่งลูกย่อมกลัว ยอมจำนน และต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ รู้สึกไม่มีความสุข ส่วนเรื่องที่เด็กวัยนี้มักจะโดนกดดันเสมอคือ


การรับประทานอาหาร พ่อแม่ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานความคิดที่ปรารถนาดีต่อลูก ว่าลูกต้องได้สารอาหารอย่างครบถ้วนทั้ง 3 มื้อ บางบ้านนอกจากข้าวแล้ว ลูกยังต้องรับประทานผักทุกชนิดด้วย เพื่อร่างกายจะได้สมบูรณ์แข็งแรง จึงพยายามอธิบายให้ลูกเห็นถึงความสำคัญของข้าวและผัก แล้วก็คอยควบคุมและจัดการให้ลูกรับประทานให้ได้ตามที่คุณแม่เตรียมไว้ แทนที่จะใช้วิธีเชิญชวนหรือโน้มน้าว โดยลืมคิดไปว่านี่เป็นการกดดันลูก


การเล่น เด็กวัยนี้จะชอบเล่นโลดโผน ชอบเล่นปีนป่าย บางบ้านพ่อแม่เองก็อยากให้ลูกเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวลูกเจ็บเลยห้าม แต่พอออกไปข้างนอกเห็นเด็กคนอื่นปีน ลูกตัวเองปีนไม่ได้ ก็คะยั้นคะยอลูกว่าทำไมไม่ปีน คืออยากให้ลูกทำได้แต่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกลองทำ

เมื่อหนูโดนกดดัน


การกดดันลูกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ

ลูกไม่อยากทำ แต่พ่อแม่อยากให้ทำ อย่างนี้จะเป็นการบังคับ เช่น บังคับให้กิน

ลูกอยากทำ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้ทำ อย่างนี้จะเป็นการห้าม ลงโทษ เช่น ห้ามปีน ห้ามเล่น


ผลลัพธ์ออกมาคือ เด็กจะสงสัยในศักยภาพของตัวเองในการทำกิจกรรมต่างๆ พ่อแม่ที่มักจะห้ามหรือดุลูกก็มักจะไม่ได้ดุแค่เรื่องเดียวในหนึ่งวัน แต่จะห้ามและดุลูกอยู่อย่างนี้เกือบทุกเรื่อง โอกาสที่เด็กจะทำอะไรสำเร็จดังใจน้อยมาก เขาจะถูกอำนาจสั่งการอยู่ตลอดเวลา


อาการที่แสดงให้เห็นว่าเด็กกำลังได้รับความกดดัน ในเรื่องของการรับประทานอาหาร เช่น บ้วนทิ้ง อมข้าว วิ่งหนี ร้องไห้ เป็นต้น


ส่วนในเรื่องของการเล่น สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเด็กกำลังได้รับความกดดันอยู่ จะแสดงออกมาเมื่อออกไปข้างนอกค่ะ คือเขาจะอาย ไม่มั่นใจ ติดแม่ มีความเครียดเหมือนลูกสาวของเพื่อนดิฉันนี่แหละ


ซึ่งคุณหมอบอกว่าถ้าไม่รีบแก้ปัญหา เมื่อเขาโตกว่านี้จะกลายเป็นเด็กที่ไม่มี Self-esteem (ความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง) ออกไปข้างนอกก็แก้ปัญหาไม่เป็นต้องยอมแพ้ และเด็กที่ได้รับความกดดันส่วนใหญ่มักจะลงเอยด้วยการร้องไห้ค่ะ

เลี้ยงอย่างไร ไม่กดดัน

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่กดดันลูกเกินไปค่ะ ในเมื่อสิ่งที่ทำอยู่ด้วยรักและเป็นห่วงลูกทั้งนั้นนี่น่า คุณหมอแนะนำว่า ควรเดินสายกลางค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ควรคุยกัน และร่วมกันสร้างกฎของบ้านขึ้นมาเพื่อสร้างวินัย (Discipline) ให้กับเด็กตามวัย โดยต้องเป็นกฎที่ชัดเจน แต่ก็ต้องมีอิสระอยู่ในเรื่องเดียวกันด้วยค่ะ เช่น ในเรื่องการรับประทานอาหาร ควรกำหนดเวลาให้ชัดเจน อาจเป็นครึ่งชั่วโมงที่ลูกต้องนั่งรับประทานด้วยกันที่โต๊ะเหมือนกับทุกคนในบ้าน ฝึกให้ลูกใช้ช้อนป้อนตัวเอง ลูกจะมีอิสระที่จะได้ใช้ช้อนเอง โดยไม่ถูกตำหนิว่าเปื้อนหรือเสียเวลา ลูกจะลงจากโต๊ะเพื่อไปเล่นก่อนถึงเวลาที่กำหนด หรือเล่นที่โต๊ะอาหารไม่ได้ ซึ่งลูกมีอิสระที่จะหยิบของเล่นโปรด 1 ชิ้นมาร่วมโต๊ะได้ แต่ไม่ให้หยิบมาหลายๆ อย่างเพื่อตั้งใจมาเล่น ถ้าลูกไม่ต้องการรับประทานอาหารแล้ว พ่อแม่ไม่ควรบังคับให้กิน แต่ควรยืนยันให้ลูกอยู่บนโต๊ะอาหารจนครบเวลาเหมือนทุกคน ส่วนการกระตุ้นให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ต้องใช้วิธีเชิญชวนหรือดัดแปลงอาหารให้น่ารับประทาน เป็นต้น


ส่วนการเล่น ในเมื่อเด็กวัยนี้ชอบวิ่ง ชอบปีนป่าย พ่อแม่ก็ต้องจัดที่ให้ลูกได้เล่นอย่างที่เขาต้องการ กำหนดเวลาให้เล่น เช่น ให้เวลาเล่นน้ำ 1 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นมาฟังนิทานกับแม่ ให้ลูกเลือกว่าจะทำกิจกรรมใดก่อน พยายามมีขอบเขตเรื่องของเวลาที่ชัดเจนด้วยว่านานเท่าไหร่ และพยายามทำตามกฎนั้นเสมอ โดยขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านที่จะตกลงกันระหว่างพ่อแม่ค่ะ


นอกจากนั้นควรสอนให้ลูกมีวินัยแบบไม่กดดันเกินไป คือสอนให้รู้ว่าช่วงไหนควรหรือไม่ควรทำอะไรโดยอาศัยความสม่ำเสมอและจริงจัง อาจใช้เสียงเข้มแต่ไม่ใช่เสียงตวาด เด็กจะสามารถรับสัญญาณได้ค่ะ เพราะโดยสัญชาตญาณของเด็ก เขาต้องการภาพเชิงบวกจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยิ้มหรือชมเชย เขาจะภูมิใจและมีกำลังใจมากค่ะ


คุณหมอบอกว่าถ้าพ่อแม่เริ่มมองเห็นและเข้าใจว่าลูกกำลังเกิดปัญหา ก็ถือว่าแก้ปัญหาสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่มักไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิด แต่ถ้าเริ่มเข้าใจแสดงว่าพ่อแม่เปิดกว้างและพร้อมที่จะรับหลักการใหม่ ก็อาจจะหาข้อมูลจากหนังสือ หรือพาไปพบแพทย์ก็ได้ค่ะ


เฮ้อ...ได้ฟังแล้วก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองเป็นการใหญ่ ว่าทุกวันนี้กดดันลูกบ้างหรือเปล่า กลับถึงบ้านคงต้องไปสร้างกฎของบ้านร่วมกับพ่อของเจ้าตัวเล็กแล้วล่ะค่ะ


(update 20 กุมภาพันธ์ 2006)
[ ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 23 ฉบับที่ 275 ธันวาคม 2548 ]
บันทึกการเข้า

I~Beau
Administrator
หัวหน้าแก๊งเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 94
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,294



ดูรายละเอียด
« ตอบ #130 เมื่อ: 16 เมษายน 2008, 23:06:32 »

โอ้ววว ได้ข้อคิดมากมายหลายอย่างเลยค่ะ

ขอบคุณน่ะค่ะสำหรับข้อคิดดีๆแบบนี้ ชอบมากๆค่ะ

บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #131 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 13:45:05 »

ทำบุญ มุ่งหวังอะไร

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำบุญบริจาคทานก็เพื่อทำลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบ จิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา และก็ความอาฆาตพยาบาท คือทำลายความไม่ดีในตัวเองให้ลดลง เพราะสิ่งเหล่านี้มันหายไปได้ด้วยการทำบุญ ทำทานหรือการให้การบริจาค

แต่การทำบุญไม่ใช่ทำด้วยความตะกละ เช่น เจ้าประคู้ณ ขอให้เลขเด็ดๆสักทีเถอะน่า...ขอให้ทำมาค้าขึ้น...ขอให้ได้มีรถ มีบ้านเรือน...มีบริวารชายหญิง...ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี และขอให้ได้อะไรๆอีกมากมาย อย่างนี้เรียกว่าทำบุญไม่ได้มุ่งหวังพระธรรม กลับมุ่งหวังแต่สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าพระธรรมทั้งสิ้น

คนสมัยนี้จึงมักทำบุญเพียงเพื่อหวังโลกธรรม ไม่ได้มุ่งหวังจะให้ถึงธรรม ปฏิบัติธรรม และเจริญในธรรม ซึ่งผิดกับสมัยก่อนที่คนทำบุญสุนทานกันมากมายมหาศาล ก็เพียงเพื่อปฏิบัติธรรมให้เกิดธรรม

ตัวอย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีของเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ได้สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี ถวายให้แก่พระศาสนา เพื่อสร้างวัดพระเชตวันถวายต่อสมเด็จพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี เพื่อจะแลกกับประโยค ที่ว่า

"ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ถึงธรรมที่พระองค์ได้ทรงถึงแล้ว"

ดังนั้น เมื่อไม่ได้มุ่งหวังธรรม ไม่ได้ปรารภธรรม อธรรมก็เจริญรุ่งเรือง นักบวช ที่เข้ามาในพระพุทธศาสนาก็มุ่งหวังแค่เพียงว่า เมื่อแสดงธรรมชาวบ้านไม่ฟัง ก็แสดง สิ่งที่เป็นอธรรม เช่น โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ประกาศว่า หลวงพ่อรุ่นนั้นรุ่นนี้ รุ่นรวยไม่เลิก อะไรอย่างนี้

แต่อธรรม คือ สิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ในเมื่อไม่ใช่ธรรม เราก็ต้องโดนเขากระทำเรื่องร้ายๆ ต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น!

จาก : นสพ.ธรรมลีลา มค.๒๕๔๔

ใกล้ จะถึงวันวิสาขบูชากันแล้ว ในวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม    ไปทำบุญ เวียนเทียน กันเถอะ...... Smiley Smiley
บันทึกการเข้า

[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 13:46:36 »

ขอบคุณครับ ได้อ่านแต่สิ่งดีดี ชีวิต ก็เป็นสุขจาย  Smiley
บันทึกการเข้า
BB
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 184
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,323



ดูรายละเอียด
« ตอบ #133 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 13:50:29 »

เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  Tongue
บันทึกการเข้า

kazama
CoDe iS PoeTRy
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,676



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #134 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 13:57:51 »

เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  Tongue

เห็นด้วย   Tongue
บันทึกการเข้า

[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #135 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 14:00:15 »

อ้างจาก: kazama link=topic=12097.msg349430#msg34javascript:void(0);
แลบลิ้น9430 date=1209452271
เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  Tongue

เห็นด้วย   Tongue

เอาออกดีก่า คริ คริ  Embarrassed
บันทึกการเข้า
abac401
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 37
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,693



ดูรายละเอียด
« ตอบ #136 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 14:02:30 »

^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  Grin มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  Grin
บันทึกการเข้า
[email protected]
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,191



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #137 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 14:06:20 »

^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  Grin มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  Grin


ไม่ทันเหมือนกันคับ นั่งพิมซะยาว...กดโพสต์ไปปุ๊ป ระบบ แจ้งว่าล๊อกไปแล้ว ซะงั้น 


บันทึกการเข้า
kazama
CoDe iS PoeTRy
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,676



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #138 เมื่อ: 29 เมษายน 2008, 14:07:43 »

^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  Grin มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  Grin

ไม่ทันเหมือนกันคับ นั่งพิมซะยาว...กดโพสต์ไปปุ๊ป ระบบ แจ้งว่าล๊อกไปแล้ว ซะงั้น 

เป็นเมื่อก่อนคงแจมด้วย  สาวกน้องเอมเหมือนกัน
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #139 เมื่อ: 30 เมษายน 2008, 23:42:20 »

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า

ธัมมทินน์
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์