ขอแสดงความเห็นในฐานะที่ตัวผมเองก็ทำ Tech-Startup มาแล้วประมาณ 1 ปีกว่าๆ (ตอนนี้ก็ยังคงทำอยู่และกำลังเติบโตในทิศทางที่ดีด้วย)
อย่าพยายามไปกังวลในเรื่องการวิ่งหาเงินทุน มันจะทำให้คุณหลงประเด็นและเสียเวลา โฟกัสกับไอเดียที่คุณจะทำครับ พยายามทำให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้ได้มากที่สุดจากที่อ่านที่คุณเจ้าของกระทู้ได้เขียนไว้ คาดว่ามีไอเดียที่ดี แต่ไม่มีทักษะเขียนโปรแกรม เลยเริ่มกังวลเรื่องทีมงานเป็นลำดับต่อมา แบบนี้หรือเปล่าครับ? (ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ ^^")
ผมคิดว่าการที่คุณคาดว่าต้องใช้ทีมงาน 7-8 คน ผมคิดว่าเป็นการเริ่มต้นทีมที่ใหญ่มากๆ และคิดว่าใช้คนมากเกินไปหน่อยด้วย (เว้นแต่ในการทำงานปัจุบันของคุณเป็นการทำงานร่วมกันกับทีมใหญ่ๆประมาณนี้อยู่แล้วเป็นประจำ)
ปกติแล้วส่วนใหญ่ Startup ควรจะเริ่มต้นที่ขนาด 3-4 คนกำลังดี (ของผมเริ่มเองคนเดียวตั้งแต่เริ่มยันเปิดบริษัท ไปหาทีมงานเอาข้างหน้า) ที่ผมบอกตัวเลขประมาณนี้ เพราะปัญหาการทำงานจะน้อยกว่า ปัญหาการมีความเห็นที่ขัดแย้งกันของคนในทีมก็จะน้อยกว่า(ลดน้ำหนักการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย) ถ้าว่าง่ายๆก็คือมากคนก็มากความ คนที่ทำหน้าที่เป็นหัวเรือต้องมีทักษะในการตัดสินใจและหนักแน่นในเรื่องพวกนี้พอสมควร
โดยเฉพาะเรื่องทักษะการพูดด้วยอีกอัน จะพูดอย่างไรให้คนฟัง(ที่เราไม่เห็นด้วยกับแนวคิด)ให้เขาไม่รู้สึกบาดหมางใจกัน หรือ จะพูดโน้มน้าวให้กำลังใจทีมงานอย่างไร จะพูดโน้มน้าวการปิดการขายอย่างไร จะพูดนำเสนอไอเดียของคุณให้นายทุนอย่างไรภายใน15วินาทีแรกที่เจอกัน เป็นต้น ตัวอย่างเหตุกาณ์พวกนี้คนเป็นหัวเรือแนะนำว่าต้องเชี่ยวเลยครับ
เมื่อซักครู่เพิ่งแค่หัวเรือครับ ที่ผมบอกว่าในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องใช้คนมากมายขนาดนั้น เพราะอย่างบริษัทของผม ถึงแม้ว่าเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว แต่งานออกแบบ งานโค้ดเยอะๆ หรือแม้แต่งานในส่วนอื่นๆที่ทำไม่ได้หรือคิดว่าจะใช้เวลาในการทำมาก พวกนี้ผมใช้วิธีจ้าง Outsourse เกือบทั้งหมดครับ พอเราใช้วิธีแบบนี้แล้วเลยทำให้ไม่ต้องใช้ทีมงานเยอะ ไม่ต้องจ้างกันยาวด้วย
เรื่องของทีมงานบางทีอาจหายากกว่าหาเงินทุนนะบางที เพราะไม่ใช่แค่หาคนที่มีความคิดคล้ายกับเราว่ายากแล้ว เราต้องได้คนที่พร้อมจะบ้าที่พร้อมจะลุยไปกับเรา อย่างน้อยๆก็ 6 เดือน กว่าตัว Product จะเข็นออกมาได้ (ผมใช้เวลา2เดือน) ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างทาง ถ้าไม่มีทุนก็ต้องอยู่กันแบบไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรกันเลย ทำเอามันส์กันล้วนๆ เรื่องผลประโยชน์ถ้าไม่คุยให้ชัดเจนกันตั้งแต่เริ่ม ย้ำว่าต้องคุยให้ชัดตั้งแต่เริ่ม ไม่ใช่แค่บอกว่าแบ่งกันคนละครึ่งๆ แต่ลงรายละเอียดมาเลย เช่น 60:40 เปอร์เซ็นจากรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว อะไรแบบนี้ (เว้นแต่จ้างเป็นแบบพนักงานประจำก็ว่าไปอีกเรื่อง)
ส่วนเรื่องการลงแข่งประกวดในสนามต่างๆนั้น (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ) สภาพเเวดล้อมในเมืองไทยยังไม่เหมาะเท่าไหร่ การวิ่งเอาไอเดียของคุณไปลงสนามแข่งต่างๆที่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือเปล่า นอกจากจะเสี่ยงให้เกิดการขโมยไอเดียจากคู่แข่งแล้ว มันยังเป็นอะไรที่ทำให้เสียเวลาสุดๆไปเลย บางครั้งการแข่งขันแต่ละรอบมักจะมีทีมที่ทางผู้จัดคุยกันไว้อยู่แล้ว (ส่วนที่เหลือคือตัวประกอบ) ยิ่งถ้าพวกคุณรวมตัวกันมาหลวมๆ ไม่มีการจัดตั้งบริษัทกันมาก่อน ไม่มีผลงานอะไรมาก่อน จะไม่อยู่ในสายตาเท่าไหร่เลย ไม่เหมือนกับเมืองนอกที่เขาจะมองที่ไอเดียกันล้วนๆ มันเลยทำให้คุณเสียเวลาตรงนี้ เงินทุนในการชนะรางวัลแต่ละครั้งก็จัดได้กว่าน้อยมากสำหรับเอาไปทำ Starup ตัวอย่างเช่น รางวัลใหญ่สุดที่เห็นในตอนนี้คือเงินทุน1แสนบาท เปิดบริษัท หาเช่าออฟฟิศ หาเช่าที่ทำงาน เงินเดือนจ้างทีมงาน เผลอๆไม่เกิน3เดือนได้แยกย้ายกันหมดถ้าวางแผนได้ไม่ดี และกว่าคุณจะแข่งขันเสร็จเพื่อให้ได้เงินทุนก้อนนี้ จะต้องใช้เวลาหลายเดือนมากๆ แน่นอนว่าถ้าคุณเอาเวลาช่วงไปลงแข่งมาพัฒนาไอเดียของคุณ ในระยะเวลาเท่าๆกันคุณอาจจะทำเงินได้มากกว่ารางวัลชนะเลิศไปแล้วด้วย (เหมือนผม)
ฉะนั้น เรื่องเงินเดือนของทีมงาน ตัว CEO หรือ Founder แนะนำว่าตั้งเป็น 0 ไปเลย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ครับ (ตกลงจะหวังจากเงินเดือน หรือหวังผลหลังจากไอเดียนี้มันเข็นออกมาแล้วหล่ะ นั่นแหละครับ หัวเรือเลยต้องอยู่รอดได้ด้วย PASSION ล้วนๆ 555+)
การทำ Startup ตอนตั้งต้นมันเหนื่อยแน่ๆครับ เพราะต้องทำคนเดียวหลายหน้าที่ในพร้อมๆกันเพื่อให้สัมพันธ์กับเงินทุนที่มี แต่ในทางกลับกันมันก็สนุกมากๆในช่วงนี้แหละ คนที่ทำหน้าที่เป็น Programmer ก็อาจจะต้องทำหน้าที่ทั้งพัฒนาระบบและเป็นฝ่าย Support ไปในเวลาเดียวกัน คนที่เป็นหัวเรือหรือ Founder ก็อาจจะต้องเป็นคนวางแผนการทำงานของทั้งทีม และต้องออกไปวิ่งขายด้วยในเวลาเดียวกัน เผลอๆต้องทำบัญชีด้วย ผมว่ามันสนุกมากๆเลย ฮาา
สรุปก็คือ อย่าพยายามเอาไอเดียของคุณไปไล่ถามคนอื่นว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้และรู้ในแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ไม่งั้นคนอื่นเขาก็คิดได้เหมือนคนแล้วสิ ท่องจำไว้เลยครับ
การที่คุณคิดไอเดียนี้ได้ แสดงว่าตัวคุณนี่แหละคือ Limited Edition คุณไม่จำเป็นต้องไปไล่ถามคนอื่นมากมายขนาดนั้น ถ้าอยากรู้ว่ามันจะ WORK หรือเปล่า? ลงมือทำแล้วลุยโลดดด ไปลุ้นกันเอาข้างหน้า แต่การทำ Startup มันไม่ใช่ไปลุ้นแบบเสี่ยงโชค แต่มันเป็นเกมที่ต้องลุ้นโดยอาศัยอยู่บนแนวคิดการทำธุรกิจ ว่าสิ่งที่คุณคิดมานั้น ตอบโจทย์คนอื่นได้มากแค่ไหน สิ่งที่คุณคิดช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร มันอยู่ตรงนี้มากกว่าครับ ดังนั้น ไปเริ่มลงมือทำเลยครับ ไปเริ่มหาทีมงานที่คุณคิดว่าคุยภาษาเดียว แล้วเอาไอเดียไปคุยกับคนเหล่านั้น ถ้าพวกเขาสนใจก็ชวนมาลุยกันเลย ย้ำอีกทีว่าเสนอไอเดียแค่กับคนที่คุณอยากได้มาเป็นทีมงาน และให้เริ่มลงมือทำในทั้งๆที่ไม่พร้อมนั่นแหละครับ!!
เพิ่มเติมอีกนิด:
- การหานายทุนได้คือโชคดี เพราะพวกเขาเหล่านั้นมักจะมาพร้อมกับพี่เลี้ยงทางธุรกิจที่มีความรู้ความาสามารถที่หลากหลายกว่า แต่ก็แน่นอนว่าคุณควรจะมี Prototype ไปแสดงให้เขาเห็นจริงๆก่อน มากกว่าทีแต่ไอเดียแล้วเข้าไปพูดปากเปล่า
- อยากทำ Startup ไทยให้ดังไกล เรื่องการออกสื่อเป็นเรื่องจำเป็น (ผมพลาดตรงนี้) เมืองไทยกับเส้นสาย ไม่ว่ายังไงมันก็ยังต้องใช้ ถ้ามุมมองของคุณในเรื่องนี้เห็นต่างจากสังคม ว่าต้องการเน้นแค่คุณภาพหรือบริการ โดยไม่มีการสร้างภาพอะไรขึ้นมาเลย อันนี้คิดว่าอาจจะทำให้คุณอยู่ในวงการยากขึ้นอีกนิดหน่อย ><
ยังไงก็ผมขอเอาใจช่วยให้เข็นไอเดียนี้ออกมาได้เร็วๆ รอติดตามนะครับ
