ThaiSEOBoard.com

อื่นๆ => Cafe => ข้อความที่เริ่มโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 00:17:43



หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 00:17:43
  เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "

             เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดยเร็วที่สุด
             ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้

             การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง
            
ยกตัวอย่าง

      ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
      ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
      กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"

๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
             ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
             คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
             อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
             คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้มเหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
             สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *

      ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็นแก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อจะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิดอาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: prima ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 00:41:20
ขอบคุณค่ะ

ชอบหนังสือธรรม อยู่เล่มนึง รุสึกจะชื่อ ธรรมะ delivery มั้ง ที่พระในเล่มเค้าจะเรียก คนทั่วไปว่าคุณโยมน่ะคะ

ท่านเขียนว่า ถ้า ธรรมะ เป็นเหมือนกาแฟ(ขมคนไม่ชอบ) อาตมาก็ขอให้เล่มนี้เป็นเค้กกาแฟแล้วกัน คือ ทานง่ายหน่อยแต่ก็มีกาแฟ(ธรรมะ)ผสมอยู่    อ่านผ่านๆอ่ะคะพอดีไปยืนอ่าน อะไรดลใจก็ไม่รู้ แต่รู้สึกดีจัง  :-[


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 00:51:28
แจกฟรี! วัคซีนป้องกันโรคอกหัก  :)

"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
             โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
           


วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก
คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

             "อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "
             ยกตัวอย่างเช่น

      คุณตุ่ยเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณตุ่ยจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี


             เพียงแค่นี้แหละ คุณตุ่ยก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
             คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ
           
"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน

      "โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"


             แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน

      คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ

ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้

             ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
             "เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง

             แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
             ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ

             นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทัวแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม
             แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย

"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: joe ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 01:48:26
ขอบคุณครับ
แต่ตอนนี้มึนๆ ขอมาอ่านตอนเช้าละกันนะครับ  :)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: Kaeji ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 02:53:36
ขอบคุณนะครับหลวงพี่
ผมมีหนังสือมาฝากครับศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต ตามหลักจิตวิทยาชาวพุทธ โดย เลียวนาร์ด เอ. บุลเลน


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 12:31:03
มีงานเขียนของคุณ ไชย ณ พล น่าอ่านแทบทุกเล่ม เลย รู้สึกว่าคุณโซวก็เป็นแฟนเหมือนกัน  :) ทำให้สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น
มีนามแฝงหลายชื่อเช่น อัคร ศุภเศรษฐ์/ศิยะ ณัญฐสวามี  ใครสนใจงานเขียน ก็ลองติดตามดูได้
ส่วนใหญ่เป็นของสำนักพิมพ์เคล็ดไทย
แต่ที่แนะนำให้อ่านมากที่สุดก็คงเป็นพระไตรปิฏก นั่นเอง ธรรมะ คือธรรมชาติ แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติ


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 12:39:45
" ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์ "

      1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

      2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น

      3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา
                  อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้

      4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง

      5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง
                  ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที :)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: buddy ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 15:10:09
ขอแจมด้วย เป็นของท่าน พุทธภิกขุ เป็นไฟล์เสียง ทำงานไป ฟังไป จิตใจจะได้สงบอีกด้วย

http://www.buddhadasa.com/dhammasound1/dhammaindex.html  :)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: Braveheart ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 15:15:44
ชอบมากๆ เลยครับ ได่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูกเลย เห็นคุณค่าของความเป็นคนดียิ่งขึ้นครับ
 :)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: sniperth2 ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 18:25:17
ขอบคุณครับ  :-*


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: thaibizgm1 ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 20:48:09
 8)ขอบคุณครับสำหรับเคล็ด เด็ดมาก


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 21:19:33
    "หมดหวัง ท้อแท้ แพ้ชีวิต" คิดอย่างไรให้ใจสู้ !"



               หนุ่มสาวหลายคนอาจมีความทุกข์ อาทิเช่น " ช่วยทีเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว ..พลาดหวังในความรัก ตัดใจไม่ได้ " บางคนก็บอกว่า " ตัวเองเจอปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นหนี้เป็นสิน ปฏิบัติธรรมข้อไหนดีให้หมดหนี้เร็ว ๆ รู้สึกท้อแท้ใจมาก ทำไงดี " บ้างก็ปรับทุกข์ว่า "ตกงานมา ๒ ปีแล้ว ป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เลย รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ช่วยหางานให้ทำหน่อยดิ " เป็นต้น
                เพราะเหตุใดสังคมไทยจึงเต็มไปด้วยปัญหาทำให้คนหนุ่มสาวคิดท้อแท้สิ้นหวังกันมากมาย   แต่สำหรับวันนี้ เราขอเสนอวิธีสร้างกำลังใจให้คนหนุ่มสาวสู้ชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาแด่คนหนุ่มสาว ด้วยวิธีคิด ๕ ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้  ;)


๑.ให้รู้จักความทุกข์ของคุณให้ชัดเจน

              คุณวิตกกังวล หรือ กลุ้มใจเรื่องอะไร ลองคิดดูให้ชัด ๆ คิดให้กระจ่างออกมาว่าคุณกำลังวิตกกังวลกับปัญหาเรื่องอะไรบ้าง ให้ใช้วิธีเขียนลงในไปกระดาษก็ได้ แจงออกมาให้เห็นเป็นข้อ ๆ นี่เป็นวิธีกำหนดรู้ตัวปัญหาให้ชัดเจน คือทำให้รู้ว่าเรากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ ที่มันทำให้เราเกิดความทุกข์อยู่ในขณะนี้ (การกำหนดรู้ความทุกข์ เป็นขั้นตอนแรกในอริยสัจ ๔ ภาษาพระท่านเรียกขั้นตอนนี้ว่า "ปริญญา" ) คือให้รู้จักมันในฐานะตัวปัญหา ที่เรากำลังจะศึกษาเพื่อทำการแก้ไขต่อไป

      ยกตัวอย่าง
      คุณติ่งศักดิ์รู้สึกแย่มากเลย ท้องใส้ปั่นป่วน ไม่สบายใจมาเป็นเดือนแล้ว กินเหล้าเป็นขวด ๆ เพื่อให้หายกลุ้มกลับยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก แต่ต่อมาภายหลังคุณติ่งลองตั้งคำถามกับตนว่าตนเองมีทุกข์เรื่องอะไร บ้าง ในที่สุดแกก็เขียนลำดับทุกข์ของแกออกมาเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
            ก. รถยังผ่อนไม่หมด เขากำลังจะยึดไปแล้ว
            ข. บริษัทกำลังมีนโยบายปลดพนักงาน รู้สึกกังวลว่าตนเองอาจจะโดนปลด
            ค. แฟนที่ดูใจกันมานาน ได้ข่าวว่ามีเสี่ยมาติดพัน หึงนะ
      เป็นอันว่าสำเร็จในขั้นตอนแรก คือ คุณติ่งเห็นตัวปัญหาว่ามีทั้งหมด ๓ ข้อ ที่ทำให้แกเกิดความทุกข์มาตลอดเดือน

           ในการแก้ไขปัญหา เราต้องรู้จักตัวปัญหาให้ชัดเจน ด้วยการกำหนดรู้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะคลุมเครือ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์อะไรบ้าง (บางคนอาจจะมีปัญหาในใจเยอะ เป็น สิบ ๆ เรื่อง โดยไม่รู้ตัว ทำให้ทุกข์ใจ ทนไม่ไหว ถึงกับฆ่าตัวตายก็มี)

๒. ให้คิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีอยู่เสมอ

               หากคนเรายังรู้สึกถูกปัญหาบีบคั้นจิตใจอยู่ สภาพจิตจะไม่แจ่มใส ขุ่นมัว หมองเศร้า เป็นอกุศล ทำให้สติปัญญาจะไม่สามารถทำงานได้โดยสะดวก การคิดว่าเรายังโชคดีอยู่เสมอ เป็นเทคนิคคิดเร้ากุศล คือมองโลกในแง่ดี ทำให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากการบีบคั้นของปัญหา มีสุขภาพจิตดี พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่อไป
              ในขั้นตอนแรกของฝึกคิดมองโลกในแง่ดีนี้ (อ่านตัวอย่างวิธีคิดแบบนี้ในพระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าทดสอบความคิดพระปุณณะก่อนที่จะไปเผยแผ่ธรรมที่ สุนาปรันตชนบท) ท่านให้เราหัดพูดให้กำลังใจกับตนเองในทำนองว่า เรายังโชคดีที่ไม่พบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือ นี่เป็นโอกาสอันดีที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคต การบอกตัวเองว่ายังเป็นคนโชคดีเช่นนี้ จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่น ปลื้มปีติยินดี พร้อมที่จะต่อสู้แก้ไขปัญหาสืบต่อไป ไม่ท้อถอย
            ยกตัวอย่าง เมื่อคุณติ่งกำหนดรู้ปัญหาได้ชัดเจนแล้ว แกก็ใช้วิธีคิดขั้นที่สอง ทันที โดยแกได้พูดกับตัวเองออกมาดัง ๆ ว่า (วิธีพูดให้กำลังใจตัวเองดัง ๆ เป็นอุบายที่ดี เพราะทำให้คิดได้ชัดเจนและมีพลังมากขึ้น)
                  ก. ถึงเราจะโดนยึดรถก็ไม่เป็นไร ยังดีที่บ้านเราไม่ได้โดนยึดไปด้วย เย้..โชคดี เรายังมีบ้านอยู่
                  ข. ถ้าเราโดนให้ออกจากงาน เราก็ยังโชคดีกว่าโดนไล่ออก บริษัทยังมีเงินจ่ายให้เรามา เป็นทุนสำรอง เราจะได้มีเวลาพักผ่อน เตรียมวางแผนหางานทำใหม่
                  ค. ถึงแฟนจะทิ้งเราไป ก็ถือว่าเราโชคดีอีกนั้นแหละ เพราะเราตอนนี้เรามีข้อมูลมากมาย ที่จะสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เย้..! (ทั้งน้ำตา) เราโชคดีที่สุดในโลกเลย  8)

๓. คิดถึงคนอื่นที่ได้รับความทุกข์มากกว่าคุณ

              หากคิดในขั้นตอนที่สองแล้ว ยังเอาไม่อยู่ เราก็สามารถใช้วิธีคิดขั้นตอนที่สามต่อไปได้เลย คือ ให้คิดถึงคนอื่น ๆ ที่มีความทุกข์มากกว่าเรา เช่น คนอดอยากในเอธิโอเปีย , ชาวเขมรนับล้านคนที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ , คนจรจัดที่นอนใต้สพาน , คนจนที่ถูกแย่งที่ทำกินจนต้องมาอดข้าวประท้วงที่กรุงเทพฯ ฯลฯ ให้พยายามนึกจินตนาการถึงความทุกข์ยากของคนเขาเหล่านั้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ของเรา เราจะเห็น ได้เลยว่า ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว คนเป็นจำนวนมากเขาต้องเจอทุกข์หนักหนากว่า เรามาก แทบจะเรียกได้ว่า ทุกข์ของเรากลายบเป็นเรื่องขี้ผงไปเลย ทีนี้ถ้าขืนมานั่งท้อแท้ใจ มันก็อายเขาแย่ ให้พูด ล้อตัวเองให้เกิดความละอายบ่อย ๆ จะช่วยได้มาก ( การสอนใจให้ตัวเองเกิดความละอายใจ เป็นเทคนิคป้องกันตนเองไม่ให้คิดไปในทางที่ผิด ๆ ตามหลักธรรมชุด "หิริโอตตัปปะ " ในพระไตรปิฎก)

๔. สร้างกำลังใจตนเองให้สู้ชีวิต

               แม้วิธีคิด ๑- ๓ ขั้นตอนที่ผ่านมา จะทำให้เราหายทุกข์ใจไปได้มาก แต่ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข มันก็จะ สร้างความทุกข์ให้กับเราไปได้เรื่อยไป ดังนั้นเราจึงต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญคือ สร้างกำลังใจให้ตนเองในการ เผชิญหน้าต่อปัญหา เพื่อแก้ไขให้มันลุล่วงไปด้วยดี
            เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกลอยคออยู่กลางมหาสมุทร แม้มองไม่เห็นฝั่ง ท่านยังใจสู้ เพียรว่ายน้ำมุ่งเข้าหาฝั่ง เพื่อทำการงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้จงได้ โดยไม่หวาดหวั่น ไม่คิดหวังพึ่งใคร ฉันใด
              ชาวพุทธไทย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาแม้จะใหญ่โตเพียงไร ก็มีจิตใจสู้ คิดแก้ไขให้มันลุล่วงไปให้จงได้ แม้ฉันนั้น
             คนไทยยุคนี้ต้องมีใจสู้เหมือนพระมหาชนก ไม่อย่างนั้นเราคงจะต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ เสียชื่อชาวพุทธแย่เลย  8)
วิธีปฎิบัติคือให้ใช้คำพูดปลุกใจตัวเองให้สู้อยู่เสมอ ถ้าจะให้ดี เอากำปั้นทุบฝ่ามือ สร้างความรู้สึก มั่นใจ สู้ตายถวายชีวิต ให้มันเกิดความเข้มแข็งขึ้นมา การที่เราคิดในใจเฉย ๆ ในขณะที่จิตใจไม่เคยคิดสู้มาก่อน บางทีอาจจะไม่มีพลังใจพอที่จะคิดได้เอง ดังนั้นใช้วิธีพูดปลุกใจตัวเอง จึงเป็นเทคนิคสร้างกำลังใจที่ดี หรือว่าง ๆ เราอาจจะไปหาอ่านชาดกในพระไตรปิฎกเรื่อง "พระมหาชนก" เพื่อเป็นคาถาสู้ชีวิตประจำตัวก็ได้นะ

      หลังจากที่มีใจสู้คิดแก้ไขปัญหาแล้ว จึงค่อยเข้าสู่กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาตามลำดับต่อไป คือ เริ่มจากการคิดสืบสาวหาเหตุปัจจัย คิดวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาให้ชัดแจ้ง จนสามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน ขั้นตอนสุดท้ายจึงกำหนดแนวทางในการปฏิบัติ หรือ วางแผนให้เป็นขั้นเป็นตอน เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาสืบต่อไป (วิธีตามหลัก อริยสัจ ๔ )
     

ดีใจที่มีคนชอบ  :-[ :-[ :-[ :-[ แล้วจะหามาให้อ่านเรื่อยๆๆนะ


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: Warrez ที่ 12 กรกฎาคม 2007, 21:22:38
ทำ blog จิคับ

น่าจะมีแฟนคลับเยอะพอตัวเลย


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 18:27:29
ใกล้จะถึงวันอาสฬหบูชาและวันเข้าพรรษากันแล้วนะ 
ขอเชิญไปทำบุญกันเถอะ  :)  :)
 


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: gmcon2 ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 19:11:54
ดี่ค่ะจะนำไปปฎิบัตินะคะ


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: L ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 19:39:24
เยี่ยม!  8)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: Jimlim ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 20:13:23
พี่ journey เจ๋งมากมายครับ  :'( ผมรู้สึกเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตเลย  8)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: asemm ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 20:21:32
อ่านแล้วดีมากครับ
(http://imagehost.compgamer.com/uploads/baccb42e26.gif)


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 20:21:43
พี่ journey เจ๋งมากมายครับ  :'( ผมรู้สึกเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตเลย  8)
 
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 20:47:34
มีอีก 2-3 อันอะ เข้าไปอ่านใน blog แล้วกันนะ ขี้เกียจเอามาโพสในนี้อะ (แล้วแต่อารมณ์)  :D :D


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 23 กรกฎาคม 2007, 21:26:28
อันนี้น่าจะซึ้งกว่าของ คุณ thaipays แน่นอน  :D :D


6 ครั้งที่ฉันต้องหลั่งน้ำตาให้น้องชายของฉัน ...

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวัน พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูด"ผมขโมยเองครับ"


ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแกเอง
แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ
ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"


พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน
เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียง ไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ...
ผมจะไปหางานทำ
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
...
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี


ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน


รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม
ที่ไซท์ก่อสร้าง ...
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ...
ฉันถามเขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันน้ำตานองหน้า ค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า
"ผมเห็นสาวๆ
ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
...
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก
น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผล บนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค
แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง


หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม


น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป

เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"


สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก
จึงตวาดน้องไปว่า

"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
ดูตัวเองซิเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย ...
ฉันบอกกับน้องว่า"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี
...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
"ใครคือคนที่คุณรักและเคารพที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ...
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียนและเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุดคือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้น อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
...ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม...

คัดมาจาก วัดยานนาวา



หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: Warrez ที่ 24 กรกฎาคม 2007, 01:08:05
 :'( :'( :'(


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 11 สิงหาคม 2007, 00:15:56
พุทธวิธีคิดให้ คลายความเหงา ความเครียด ในยามอกหัก
วิธีคิดให้หายทุกข์ใจยามอกหัก
"อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" สุภาษิตยอดฮิตสำหรับคนที่ำพบกับความผิดหวังในความรัก
แต่ถ้าอกหักบ่อยๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เำพราะมันช่างเจ็บช้ำระกำทรวง  ยิ่งคนหนุ่มสาวยุคไอที
พบกันง่าย ชอบกันง่าย เบื่อกันง่าย จะทำอย่างไรกันดี  บางคนอกหักวันละสามเวลาหลังอาหาร
เพราะเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ไปทั่ว บางคนอกหักอย่างเบา ๆ เพราะรักเขาข้างเดียว
แต่บางคนอกหักอย่างช้ำชอก เพราะถูกคนรักทอดทิ้งไม่ใยดี บางคนรักกันมานานแต่
ภายหลังจำต้องเลิกรา เพราะไปด้วยกันไม่ได้ อันนี้็ก็้เจ็บตัวทั้งคู่ สรุปแล้วอกหักไม่ดีเลย
ดังนั้นบทความในวันนี้จึงขอเสนอเทคนิคทางใจ ยามประสบกับความผิดหวังในความรัก
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนหนุ่มสาวในยุคไอที ที่พบรักกันง่ายๆ บนออนไลน์ ด้วยความเร็วเท่าแสง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิธีคิดทั้ง ๔ วิธีนี้ คงจะได้ช่วยรักษาใจ ให้ท่านมีกำลังใจ
เรียนรู้ชีวิตกันต่อไป จนกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตตามปรารถนาของทุกๆ คน
ต่อไปนี้ของเชิญติดตามได้เลย
 
๑. เข้าใจธรรมชาติของความรัก
ความรักแบบหนุ่่มสาว เป็นความรักที่มีรสหอมหวาน ใครๆก็ใคร่ปรารถนา
แต่ธรรมชาติของความรักแบบนี้ มันมาพร้อมกับพิษสงด้วย  คือหากไม่สมปรารถนาเมื่อใด
มันก็จะแสดงความเจ็บปวดออกมาทันที เจ็บมาก เจ็บน้อย แล้วแต่ว่าเรายึดมั่นทุ่มเท
ในความรักแค่ไหน ยึดน้อยก็เจ็บน้อย ยึดมากก็เจ็บมาก ดังนั้นในยามใดอกหัก
ให้เราบอกกับตัวเองว่า นี่เป็นธรรมชาติของชีวิตมันแสดงอาการตามธรรมชาติของมันเอง
ถ้าเราไม่คิดฟุ้งซ่านกับมัน  เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ทุเลาเบาบางไปเอง

๒.มีความเมตตากรุณาต่อตัวเอง
เมื่อใดต้องพบกับความเจ็บปวดจากความผิดหวังในความรัก ให้คิดเมตตากรุณาต่อตัวเอง
ไม่คิดลงโทษตัวเอง หรือคิดทำร้ายจิตใจของตัวเองซ้ำเป็นดาบสองลงไปอีก แต่ให้มองไปที่
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในจิตใจด้วยความกรุณา เหมือนกับว่าเรากำลังรู้สึกเมตตาสงสารใครสักคน
ปลอบใจตัวเองเหมือนกับที่เรากำลังปลอบเพื่อนด้วยความรักความเข้าใจ

ยกตัวอย่าง
"ทำใจสบายๆ นะ มันเจ็บไม่นานหรอก คราวหน้าเราจะระวังให้มากกว่านี้
ขอโทษทีนะเพื่อนนะ ที่ทำให้นายเจ็บ ฯลฯ"
คือมองที่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นใจว่านี่เป็นผลพวงที่เกิืดขึ้น
จากความรักแบบหนุ่มสาว (ดูข้อที่๑)

๓. มองโลกในแง่ดี

ให้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก ดีแล้วที่อกหัก เพราะคนที่เรารักคนนี้
อาจจะไม่ใช่เนื้อคู่ของเราก็ได้ หรือให้คิดดีใจว่า อกหักคราวนี้ดีจัง
เพราะเราได้ความรู้ใหม่ๆ ที่เราสามารถนำมาปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนา
ขึ้นไปได้อีกเยอะเลยทีเดียว เอ้.. อย่างนี้คงต้องขอบคุณคนที่หักอกเราแล้วสิ...
ไม่งั้นเราคงต้องเซ่อไำปอีกนาน หรือ คิืดว่า เออ..โชคเรายังดีนะ ที่ผิดหวังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าหากถลาลึกลงไปมากกว่านี้เราก็คงจะเจ็บสาหัสกว่านี้เป็นแน่

การคิดในแง่ดีเช่นนี้ สารพัดที่จะคิดไปได้หลายรูปแบบ ใครที่คิดอย่างนี้ได้
ถือว่าเป็นคนฉลาดคิด เพราะสามารถเอาปัญหามาสร้างเป็นปัญญา
เอาความทุกข์มาแปรให้กลายเป็นความสุขที่เป็นกุศล มองโลกในแง่ดีมากๆ
เช่นนี้ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีตลอดชีวิต

๔.ฝันเพิ่งตื่น

สำหรับคู่รักที่รักกันมานาน หวานชื่นกันมาโดยตลอด
แต่ต่อมาภายหลังมีอันต้องพลัดพรากจากกัน เพราะไปด้วยกันไม่ได้ หรือ
ขัดแย้งไม่เข้าใจกัน หรือ อีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ทำให้มีอันต้องแยกทางกัน หรือ
ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ปัญหาเหล่านี้ล้วนสร้างความทุกข์อย่างแสนสาหัส
ให้แก่จิตใจจนยากจะรับไว้ได้ ดังนั้น จึงมีบางคนถึงกับคิดสั้น
ทำลายชีวิตของตนเองไปเลยก็มี

ในกรณีนี้ หากใช้ ๓ วิธีข้างต้นดังที่แนะนำไปแล้ว ยังเอาไม่อยู่่ คือยังมีความร่าไรรำพัน
อาลัยอาวรณ์อยููเช่นเดิม ขอแนะนำให้ใช้วิธีคิดแบบ "ตัดใจ" อย่างเด็ดขาดไปเลย
นั่นคือ ทุกครั้งที่มีความคิดหวนอาลัยเกิดขึ้นเมื่อใด ให้บอกกับตัวเองทันทีว่า
วันชื่นคืนสุขเก่าๆ นั่นมันเป็นแค่เพียงเราฝันไป ตอนนี้เราตื่นขึ้นมาวันใหม่แล้ว
ไม่ต้องไปหวนอาลัยมันอีกต่อไป "ความฝันคือมายา ปัจจุบันคือความจริง"
ให้มีความร่าเริงในชีวิตใหม่ สำหรับความรับผิดชอบต่างๆ ที่ตามมา
บอกกับตัวเองไปเลยว่า  "เราทำได้สบายมาก" การอยู่เดียวถ้าหากชีวิตมันดีงาม
มันมีความสุขมากขึ้น เราก็น่าจะดีใจ บางทีไม่แน่ ในอนาคตเราอาจจะพบกับคนดีที่
ไปด้วยกันกับเราได้ ก็อาจจะเป็นได้ เป็นต้น

ขอสรุปย้ำอีกครั้งว่า ทุกครั้งที่มีความคิดอาลัยวันวานยังหวานชื่น ให้เราต้องบอกกับตัวเอง
่ทันทีว่า "นั่นมันความฝันเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เราตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ใจสว่างแล้ว"
ทำจิตใจให้ร่าเริง ได้เช่นนี้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธรุ่นใหม่อย่างแท้จริง


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: sealinda ที่ 11 สิงหาคม 2007, 04:48:04
6 ครั้งที่ฉันต้องหลั่งน้ำตาให้น้องชายของฉัน ...

เรื่องนี้อ่านแล้วอินอย่างแรงอ่ะ  :'( :'( :'(


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 27 กันยายน 2007, 22:25:36
โครงการแก้ไขปัญหาสายตาแก่ผู้ด้อยโอกาส
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://pr.egat.co.th/eyeglasses/images/eyeglasses.html

สถานที่รับบริจาค

หลายวิธีที่คุณสามารถหยิบยื่นแสงสว่างแก่พวกเขา
   คุณสามารถหยิบน้ำใจแก่พวกเขาผ่านทางวิธีใดก็ได้ที่สะดวกดังต่อไปนี้

                   • บริจาคเงิน 180 บาท สำหรับเลนส์ 1 คู่
                   • บริจาคเงิน 250 บาท สำหรับเลนส์พร้อมแว่นตา
                   • บริจาคเงินตามศรัทธา
                   • บริจาคแว่นตาหรือเลนส์ที่ไม่ใช้แล้ว

                   โดยบริจาคได้ที่กล่องรับบริจาคของ “โครงการแว่นแก้ว” ที่
    ตัวแทนยูบีซีทั่วประเทศ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ทุกสาขา ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
    ทุกแห่ง และสำนักงาน กฟผ. ทั่วประเทศ

                   • โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารใดธนาคารหนึ่งดังต่อไปนี้
              1. ฝาก ณ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
                         บางกรวย เลขที่ 143-1-09768-3
              2. ฝาก ณ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
                         เลขที่ 208-0-48188-6
              3. ฝาก ณ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
                          เลขที่ 277-2-33365-2
              4. ฝาก ณ ธนาคารไทยพานิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
                          บางกรวย เลขที่ 118-2-05944-2
                   
                   และขอความกรุณาส่งใบโอนเงินมายังหมายเลขโทรสาร
                                    0-2436-4894

                   • สั่งจ่ายเช็คในนาม “โครงการแว่นแก้ว”

   แค่น้ำใจเล็กน้อย…คุณก็ให้แสงสว่างแก่ชีวิตผู้ยากไร้และด้อยโอกาสได้แล้ว

              สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
             • ธนาคารแว่นตา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
                 52 หมู่ 2 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม 73210
                 โทร. (034) 325-456-69, 321-983 ต่อ 2101-2
                 E-mail : [email protected]

             • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 53 หมู่ 2
                 ถ.จรัญสนิทวงศ์ อ.บางกรวย นนทบุรี 11130
                 โทร. 0 2436 0000 กด 6
                 E-mail : [email protected] www.egat.or.th

              • กลุ่มบริษัทยูบีซี 118/1 อาคารทิปโก้ ถ.พระราม 6
                 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
                 โทร. 0 2615 9559 โทรสาร 0 2615 9119
                  www.ubctv.com

ขออนุโมทนาบุญครั้งนี้ด้วย  :-*


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: ColdMoney ที่ 27 กันยายน 2007, 23:04:23
ขอบคุณครับ  :'(


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 ตุลาคม 2007, 13:50:02
ขุด ๆๆ  :)


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: jane ที่ 05 ตุลาคม 2007, 14:18:22


                   • โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารใดธนาคารหนึ่งดังต่อไปนี้
              1. ฝาก ณ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
                         บางกรวย เลขที่ 143-1-09768-3
              2. ฝาก ณ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
                         เลขที่ 208-0-48188-6
              3. ฝาก ณ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
                          เลขที่ 277-2-33365-2
              4. ฝาก ณ ธนาคารไทยพานิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
                          บางกรวย เลขที่ 118-2-05944-2
                   
                   และขอความกรุณาส่งใบโอนเงินมายังหมายเลขโทรสาร
                                    0-2436-4894

แล้ว...ชื่อบัญชีอะไรคะ  ???


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: jane ที่ 05 ตุลาคม 2007, 14:31:32
โทรสอบถามมาแล้วนะคะที่หมายเลข 02-436-4864

ชื่อบัญชี "โครงการแว่นแก้ว" ค่ะ

เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเมื่อโอนแล้ว กรุณา fax ใบ pay in ไปให้ด้วยที่หมายเลข 02-436-4894

เค้าจะจัดส่งใบเสร็จรับเงินมาให้ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ค่ะ  :)


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 05 ตุลาคม 2007, 16:52:59
ช่วยขุดจ้า  :-*

ป้าก็เป็งหนึ่งแฟนคลับคุณ  journey  มีอะไรดีๆมาให้เสมอ  ::)


หัวข้อ: Re: มาทำบุญกัน กับโครงการแว่นแก้ว..
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 ตุลาคม 2007, 21:41:44
บทลงโทษด้วยความรัก

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคา แพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ

เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด
แม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความ
หวาดหวั่นรอคอยที่จะถูกทำโทษ

พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก
หนังสือคือความรู้
และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก

สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้
หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน
พ่อกลับนั่งลง
หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง

พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า

"ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ"

ต่อไปนี้
ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย
เหมือนกับที่พี่ๆของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อ
เหมือนกัน

ว้าว... ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า…
อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ


ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวัน
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า
เดี๋ยว ผมเทเองก็ได้

นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
และอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว

แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมาก เท่าใด
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง)

รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้ว

สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
แล้วคุณล่ะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า

ได้อ่านบทความนี้แล้ว มีรู้สึกดี ๆ เลยนำมาให้อ่านกัน
หากใครเคยอ่านแล้วก็ไม่เป็นไรนะ

หากครั้งนี้ลองอ่านดูอีกครั้งแล้วพินิจด้วยใจ
บางครั้ง....เราอาจเคยตั้งคำถามหนึ่งขึ้นในใจว่า
มนุษย์เรา ...เกิดมาเพื่ออะไร
บทความนี้อาจเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ...ก็เป็นได้
ขอมอบบทความนี้ให้กับผู้มีหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ทุกท่าน


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ บทลงโทษด้วยความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: *~เก้าคุง~* ที่ 05 ตุลาคม 2007, 21:48:40
ชอบบทความของคุณ journey มากเลยครับ ดีมากเลย ผมชอบแบบที่เป็นนิทานอ่ะครับ เอามาลงเยอะๆ ีอกเลยครับ ชอบมาก


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ บทลงโทษด้วยความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Sylar ที่ 05 ตุลาคม 2007, 21:51:04
ซึ้งมากมาย  :-[


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ บทลงโทษด้วยความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: jane ที่ 05 ตุลาคม 2007, 22:13:02
 :-* :-* :-*


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ บทลงโทษด้วยความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: sealinda ที่ 09 ตุลาคม 2007, 05:25:14
ซึ้งมั่กๆ อ่ะ  :'( :'(

คิดถึงพ่อเลย  :-[


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 09 ตุลาคม 2007, 21:41:28
คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ


วาจาที่เป็นยาพิษ คนฟังมีสิทธิ์ฆ่าตัวตายได้
คำพูดมีอิทธิพลต่อคนเราอย่างมาก สามารถสร้างมิตรก็ได้ สร้างศัตรูก็ได้
หรือพูดแล้วทำให้คนฟัง รู้สึกดีมีความหวัง
หรือรู้สึกเจ็บปวดก็ได้อีกเช่นกัน บางครั้งอาจเจ็บลึกกว่าด้วยซ้ำ
เพราะเจ็บที่ใจย่อมลืมเลือนได้ยาก
และในความเป็นจริงแผลใจก็มักจะหายช้ากว่าแผลกาย
กว่าจะทำใจหรือลบเลือนออกไปได้ บางคนอาจให้เวลายาวนาน
ดังนั้น จะพูดจาอะไรก็ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะกับคนที่อ่อนไหว
มีจิตใจเปราะบาง
คำพูดของคุณมีโอกาสที่จะทำร้ายความรู้สึกของเขาได้มากจนคุณอาจจะนึกไม่ถึงทีเดียว

อย่างคนที่มีประวัติเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
จิตใจของเขาจะหวั่นไหวง่าย คำพูดที่ไม่ควรพูด
กับคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด คือ คำพูดในเชิงเย้ยหยันทำนองว่า
"ไหนเก่งจริงก็ต้องทำ (ฆ่าตัวตาย) ให้สำเร็จสิ"
ซึ่งเท่ากับเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่ายลงมือฆ่าตัวตายซ้ำ

กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีคนพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า
"ที่เคยฆ่าตัวตายไม่เห็นจะตายจริงเลย" อีกฝ่ายก็โต้กลับทันควันว่า
"เดี๋ยวจะทำให้ดู" จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนระเบียงตึกสูง ๆ
เป็นที่น่าหวาดเสียวของผู้พบเห็น
โชคดีที่มีคนช่วยเกลี้ยกล่อมให้เลิกล้มความคิดที่จะกระโดลงมาก
ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นโศกนาฏกรรมอีกราย

วาจาที่เป็นยาพิษอีกแบบหนึ่ง คือ การพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
ไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ เช่น แม่ที่พูดกับลูกด้วยอารมณ์โกรธว่า
"อยู่ลำบากนักก็ไปตายเสีย" หรือ "อยู่ไปก็รังแต่จะทำให้
คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจ"

กรณีดังกล่าวมีจริง ๆ มีเด็กคนหนึ่งกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย
หลังจากช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว จิตแพทย์ได้เข้ามาพูดคุย และพบว่า
ทุกครั้งที่แม่ของเด็กคนนั้นโกรธขึ้นมา
แม่ก็จะพูดประชดให้ลูกไปกินยาตายเสีย และปรากฏว่าลูกก็ทำจริง ๆ

เป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าพลั้งเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิด
แล้วทำให้อีกฝ่ายถึงกับคิดสั้น
เพราะตัวผู้พูดเองก็คงหนีไม่พ้นความรู้สึกผิดที่จะติดฝังอยู่ในในนานเท่านาน
ดีไม่ดี อาจทำให้สุขภาพจิตเสียไปอีก

ดังนั้นต่อจากนี้ไป ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันระมัดระวังคำพูดให้มาก ๆ
โดยเฉพาะวาจาทั้งสองแบบข้างต้น
ซึ่งจัดเป็นคำพูดอันตรายที่สามารถผลักดันให้คนลงมือฆ่าตัวตายได้

และเมื่อใดก็ตาม ที่มีการพยายามฆ่าตัวตายเกิดขึ้น โปรดอย่ามองว่าเขาทำ
เพื่อเรียกร้องความสนใจเลย เพราะการที่ใครสักคนพยายามทำร้ายตัวเอง
นั่นหมายถึง เขาส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากในขณะนั้น
เขากำลังมีความทุกข์ใจแสนสาหัส จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้
เขากำลังอยู่ในความสับสนระหว่างความรู้สึกอยากตายและอยากที่จะมีชีวิตอยู่
เสมือนกับคนที่ กำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง
ถ้ามีใครสามารถช่วยทำให้เขามีความหวังเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งได้
เขาก็พร้อมจะเลือกการมีชีวิตอยู่ต่อไป


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 09 ตุลาคม 2007, 22:32:03
เข็มฉีดยา ผู้น่าสงสาร (นิทานเด็ก)
หมายเหตุ เอาไว้เล่าให้ลูกๆ ฟัังตอนจะพาไปฉีดยาละกัน

เรื่องนี้เกิดขึ้นในห้องเก็บยาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

“เข็ม...เธอเป็นอะไรไป ทำไมมานั่งเข็มคดเข็มงออยู่ที่นี่ล่ะ” ยาน้ำเชื่อมเอ่ยถามเข็มฉีดยาที่ทำเข็มงอๆงอนๆก้านสูบเคลื่อนที่ขึ้นลงในหลอดแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด

“ฮึ...ก็ฉันเนี่ยน้อยใจมากเลย ว่าทำไมเด็กๆถึงจงเกลียดจงชังฉันเหลือเกิน” เข็มฉีดยาตอบแล้วงอนเข็มต่อ

“โถ...อย่าคิดมากเลย เราทำตัวเป็นประโยชน์ต่อพวกเด็กๆนะ” ยาน้ำเชื่อมปลอบใจต่อ

“แหม...ก็เราไม่ได้หวานอร่อยลิ้นเหมือนเธอนี่ เด็กๆเขาถึงจะชอบ จะได้ไม่ต้องคิดมาก”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เราหมายถึงว่า เธอน่ะมีความสำคัญต่อพวกเขามากจริงๆ ถ้าคุณหมอไม่เอาแม่วัคซีนที่แสนจะโด่งดัง ใส่เข้าไปในตัวเธอก่อน พวกวัคซีนก็ไม่มีทางเข้าไปในสายเลือดของเด็กๆได้หรอก” ยาน้ำเชื่อมนี้หวานทั้งรส หวานทั้งคำพูดเชียว

“คิดๆไปก็น่าแปลกนะ เมื่อก่อนพวกยาน้ำอย่างเธอน่ะ ทั้งขมทั้งเหม็น ไม่มีเด็กคนไหนอยากเข้าใกล้ เดี๋ยวนี้ กลับทั้งหอมทั้งหวาน สีสันก็สดใสล่อใจพวกเด็กๆจนต้องอ้าปากรอเชียว

แต่ตัวฉันสิ เคยเป็นปีศาจร้ายมาเนิ่นนาน มาถึงวันนี้ ก็ยังเป็นที่น่ารังเกียจอยู่ตลอดไป”

ว่าแล้ว เข็มฉีดยาก็ทำหน้าย่นต่อ ตัวเลขและขีดบอกระดับบนหลอดก็ยับย่นตามไปด้วยมองเห็นเป็นเส้นเบี้ยวๆลายพร้อยไปทั่วตัว

วัคซีนโปลิโอโผล่เข้ามาทำหน้าล้อเลียน

“ว่าไงจ๊ะ พ่อเข็มสังคมรังเกียจ อย่างนายน่ะไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวฉันหรอก คุณหมอน่ะเขาใช้หยอดฉันทางปากให้เด็กกินแล้ว ดูสิ ฉันไม่ทำให้เด็กๆต้องเจ็บตัว แล้วยังช่วยป้องกันโรคร้ายอีกด้วย ฮิ...ฮิ”

เมื่อถูกแหย่ซ้ำเติม เข็มฉีดยาก็ก้มเข็มลงงุดๆ ก้านสูบเลื่อนขึ้นลงส่งเสียงฟืดฟาด แสดงการกระฟัดกระเฟียด ในใจยิ่งกลัดกลุ้ม และอึดอัดเข้าไปใหญ่

บรรดาวัคซีนทั้งหลาย ทั้งวัคซีนป้องกันวัณโรค ตับอักเสบบี คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และวัคซีนยอดนิยมอีกหลายตัวต่างก็รุมกรีดกรายมองเข็มฉีดยาด้วยสายตาเย้ยหยัน พวกเธอเห็นเข็มฉีดยาเป็นเหมือนทางผ่าน จึงพูดเยาะเย้ยเข็มฉีดยากันใหญ่

“เธอมันก็แค่ทางผ่านของพวกฉันเท่านั้น เมื่อเด็กๆได้รับพวกฉันเข้าไปแล้ว พวกเขาก็จะมีภูมิคุ้มกัน ทำให้พวกฉันได้รับการยกย่องว่าทำให้เด็กๆมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนเธอน่ะเหรอ ส่วนที่เป็นเข็มก็ต้องถูกโยนทิ้ง กลายเป็นวัตถุอันตราย ยิ่งเดี๋ยวนี้มีเรื่องโรคเอดส์ระบาดอีกด้วย ก็เพราะเธอนั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนติดเชื้อเอดส์กัน ไม่ไหวเลยเนี่ย เธอไปให้ไกลๆพวกเราเถอะ เดี๋ยวจะพาเอาเชื้อโรคมาแพร่อีก ยี้...ไป...ไป....ไป”

พวกยาเม็ดพลอยผสมโรงอีกด้วย เพราะอยู่ในกลุ่มยาที่เด็กๆไม่ได้เกลียด ไม่ได้กลัว เหมือนที่เห็นเข็มฉีดยา จะมีแต่ยาน้ำเชื่อมผู้อ่อนหวานเท่านั้นที่เห็นใจเข็มฉีดยาจริงๆ

คราวนี้ เข็มฉีดยาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาทางท่อปลายเข็มด้วยความอัดอั้นตันใจ

เสียงโห่ไล่ยังดังขึ้นรอบๆจากพวกที่ถือว่าเป็นดารายอดนิยมที่คุณหมอทั่วโลกต้องใช้กับเด็กๆ และเป็นดาวค้างฟ้าเสียด้วยสิ

เข็มฉีดยากระบอกเล็กหันไปหาเข็มฉีดยากระบอกโตผู้เป็นพ่อที่ยังหนักแน่น ไม่หวั่นไหว กับเสียงโห่ฮา เขายังคงยืนหยัดตั้งเข็มและกระบอกตรงด้วยความมั่นคง

“พ่อครับ...พ่อได้ยินทั้งหมดแล้วใช่มั้ยครับ ทำไมเรื่องอย่างนี้ต้องเกิดขึ้นกับพวกเรานะ ดูสิ พอเด็กๆรู้ว่าจะถูกฉีดยา ก็จะร้องไห้ราวกับว่าโลกจะแตก พวกเขาเกลียดกลัวพวกเรามาก ทั้งๆที่ปลายเข็มเล็กนิดเดียว แค่เจ็บเหมือนมดกัด พวกเขาก็มีภูมิคุ้มกันไปตั้งนาน ทำให้ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บมาคุกคาม ซึ่งอาจจะเจ็บปวดและทรมานมากกว่าหลายเท่านัก แล้วดูสิครับ เราได้อะไรเป็นการตอบแทนบ้าง มีแต่จะถูกดูหมิ่น และว่าร้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“เข็มเล็กลูกรัก...เราถูกสร้างขึ้นมาเป็นเข็มฉีดยา เราก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อไป ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกวัคซีนต่างหากที่จะต้องมีสำนึกว่า ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็เหมือนกับของเหลวที่ไม่มีประโยชน์อะไร”

เข็มฉีดยากระบอกโตพูดต่อว่า

“พ่ออยากให้ลูกภูมิใจในหน้าที่ของเรามากกว่า ว่าถึงแม้เราเป็นแค่ทางผ่านของพวกวัคซีน เราก็ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆมานานหลายร้อยปีแล้ว เราห้ามเด็กๆไม่ให้รู้สึกเจ็บจี๊ดไม่ได้ และพวกเขาก็ยังไม่รู้คุณค่าของเรา เพราะพ่อแม่พามาฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว เขาจึงไม่เป็นโรค

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้ถูกฉีดยา และถูกโรคร้ายรังแก พวกเขาจึงจะรู้ว่าการมีโรคภัยไข้เจ็บนั้น ต้องใช้เวลารักษาที่นาน และยุ่งยากกว่า และเขาก็จะเจ็บปวดและทรมานมากกว่าการที่ยอมเจ็บเพียงจิ๊ดเดียว

และที่สำคัญ เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และมีลูกมีเต้าบ้าง เขาก็จะรู้ว่าการฉีดวัคซีนเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเด็กๆ พ่อแม่ยอมให้ลูกร้องไห้เพราะถูกฉีดยาแป๊บเดียว ดีกว่าพ่อแม่จะต้องร้องไห้เสียใจ และสงสารลูกที่ไม่สบายทีหลังเพราะไม่ได้รับวัคซีน”

เข็มฉีดยากระบอกเล็กผงกเข็มแสดงว่าเข้าใจ ในใจคิดว่า
“อยากให้เด็กๆเข้าใจเราอย่างนี้จังเลย ว่าการเกลียดกลัวเรานั้น ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเลย แล้วเราก็ไม่ควรจะน้อยใจอีกต่อไป”

คิดได้อย่างนั้นแล้ว เข็มฉีดยากระบอกเล็กก็หันไปเต้นระบำกับยาน้ำเชื่อมอย่างสบายใจ


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: seven ที่ 09 ตุลาคม 2007, 22:55:56
ซึ้งกินใจมาก ๆ ค่ะ เสียน้ำตาไปหลายแหมะ เป็นกำลังใจที่ดี สู้ ๆ ต่อไป ขอบคุณค่ะ :(


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: sealinda ที่ 10 ตุลาคม 2007, 12:10:45
คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ


ขอบคุณค่ะ

หลายคน ก่อนพูดอะไรก้อไม่ค่อยได้คิดจริงๆ และลืมคิดว่า คำพูดเพียงนิดเดียว มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เอเองก้อเคยพูดไม่คิด จนผลเสียร้ายแรง มันเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบไหว   :'(  จนตอนนี้ไม่เอาแล้วอ่ะ ก่อนพูดต้องคิดแล้วคิดอีก


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: beginner ที่ 10 ตุลาคม 2007, 15:49:02
 :-* ทำความดี หมั่นปฏิบัติธรรม(บ้าง)
ทำสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ

ขอบคุณที่เอาสิ่งดี มาให้อ่านจ่ะ


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: แอร๊ยยยๆๆๆ ที่ 10 ตุลาคม 2007, 15:53:11
บทลงโทษด้วยความรัก<<<<<<< อ่านแล้วซึ้งมากๆ  :'(


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว +ไม่ยุติธรรมเลย (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 11 ตุลาคม 2007, 22:05:20
ไม่ยุติธรรมเลย


...พี่น้องสองคน คนพี่แต่งงานแล้ว คนน้องเป็นโสด
ทั้งสองร่วมกันเป็นเจ้าของที่นามรดกร่วมกัน ผลิตข้าวได้ปีละมากๆ
พี่น้องก็แบ่งกันคนละครึ่ง

ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีทุกปี
จนในกลางดึกของคืนหนึ่งพี่ชายคนที่แต่งงานแล้ว
สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกันฉุกคิดว่า “ไม่ยุติธรรมเลยน้องข้ายังไม่ได้แต่งงาน
แต่เขาได้ข้าวครึ่งหนึ่ง ส่วนข้ามีภรรยาและลูกอีกตั้งห้าคน
เวลาแก่ตัวข้าก็จะมีลูกคอยดูแล แต่ใครจะดูแลน้องชายข้าตอนที่เขาแก่ล่ะ
เขาควรจะได้ส่วนแบ่งมากกว่า เพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่ชรามากขึ้น”

คิดดังนั้นแล้วพี่ชายก็บรรทุกข้าวของตนใส่เกวียนจนเต็มเพื่อแอบเอาไปเทใส่ยุ้งของน้องชาย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฝ่ายน้องชายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นกัน และรำพึงกับตนเองว่า
“มันไม่ยุติธรรมเลย พี่ชายของข้ามีภรรยาและลูกอีกตั้งห้าคนแต่เขากลับได้ส่วนแบ่งแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ควรหรือที่ข้าจะได้รับผลผลิตเท่ากันกับเขา ในเมื่อข้ามันก็ปากเดียวท้องเดียว ไม่มีใครที่ข้าจะต้องดูแล”

เขาจึงลุกขึ้นจากเตียง ขนข้าวใส่เกวียนจนเต็ม เพื่อมุ่งไปยังยุ้งฉางของพี่ชาย

เกวียนของทั้งสองคน มาพบกันกลางทางพอดี!

ความมีน้ำใจงามของทั้งสองฝ่ายเป็นที่กล่าวขานไปในหมู่ชาวบ้าน
ภายหลังเมื่อจะมีการสร้างวัดขึ้นในหมู่บ้านนั้น
ชาวบ้านทั้งหลายต่างมีมติให้สร้างวัด ณ จุดที่พี่น้องคู่นั้นมาพบกันพอดี
เพื่อระลึกถึงความดีของทั้งคู่  :)


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ไม่ยุติธรรมเลย (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 11 ตุลาคม 2007, 22:37:21
หย่าร้างอย่างไรไม่ให้กระทบใจลูก
ปัจจุบันการหย่าร้างเป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ที่มีอยู่มากในสังคมทั้งการหย่าร้างกันอย่างเป็นทางการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
และหย่าร้างในทางพฤตินัยกล่าวคือ

ทั้งคู่สามีภรรยาแม้ยังมิได้จดทะเบียนหย่ากันอย่างเป็นทางการแต่แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดหรือบางคู่ยังอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
แต่ต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์และไม่ดูแลเอาใจใส่กันเลยก็พบอยู่ในสังคมไม่น้อยการมีคู่ครองที่สามารถปรับตัวอยู่ด้วยกัน
ด้วยความรักความเข้าใจเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัวมีความอบอุ่นแต่คู่ครองบางคู่ไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ พยายามเท่าไหร่แล้วก็ยังไม่ดีขึ้นจึงตัดสินใจหย่าร้างกัน

บทความที่เขียนในครั้งนี้ไม่ได้ประเมินว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะเหตุปัจจัยของการครองคู่หรือการหย่าร้างนั้นมักมีสาเหตุหลายประการ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว ปัญหาด้านบุคลิกภาพของคู่ครอง การทำร้ายซึ่งกันและกัน ปัญหาเรื่องเพศไม่สมดุลกัน ปัญหาจากสิ่งเสพติดเช่น สามีดื่มสุราจัด ปัญหาการพนัน

ปัญหาการปรับตัวเข้ากันไม่ได้กับญาติของคู่ครอง บางรายก็มีปัญหาหลายอย่างผสมผสานกันแต่ไม่ว่าท่านจะหย่าร้างกันด้วยสาเหตุใดก็ตามขอฝากข้อคิดแก่คู่ครองที่หย่าร้างกันไว้ 5 ประการ เพื่อจะได้ช่วยลดผลกระทบด้านจิตใจของลูกให้เป็นสุข ดังต่อไปนี้

1. รักษาความเป็นเพื่อน เมื่อตัดสินใจหย่าร้างกันแล้วทั้งสองฝ่ายควรพยายาม มองข้อดีของกันและกันให้ได้ว่าแต่ละฝ่ายยังมีคุณงามความดีอะไรบ้างที่จะสามารถดำรงความเป็นกัลญาณมิตรต่อกันได้ อาจทำได้ยากในช่วงแรกแต่เมื่อพยายามมองด้านดีเรื่อยๆ จะสามารถทำได้ในที่สุด เพราะเมื่อดำรงความเป็นเพื่อนต่อกันได้ก็อาจสามารถจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ตามอัตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอื้ออำนวยต่อการร่วมดูแลลูกสำหรับคู่หย่าร้างที่มีบุตรด้วยกัน

2. ลูกไม่ใช่ลูกบอล กล่าวคือ คู่หย่าร้างที่มีบุตรด้วยกันจำนวนไม่น้อยเมื่อหย่าร้างกันแล้วมักจะแย่งลูกกัน ทั้งการฟ้องร้อง กีดกัน กักกันเหมือนเด็กเป็นฟุตบอล ความรู้สึกของลูกส่วนใหญ่ต้องการอยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อแม่ลูก เมื่อมีการแย่งชิงกันเกิดขึ้นด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่มักจะทำให้ลูกรู้สึกร้าวรานใจกับการแย่งชิง

ดังนั้นทางที่ดีทั้งพ่อและแม่ควรทำให้ลูกรู้สึกว่าทั้งพ่อและแม่ยังรักและห่วงใยลูกสามารถจะไปมาหาสู่
หรืออยู่กับพ่อหรือแม่เมื่อไหร่ก็ได้แม้ชีวิตส่วนใหญ่ลูกอาจต้องอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามโปรดอย่าลืมว่า
ลูกไม่ใช่ลูกบอลที่ทั้งพ่อและแม่ต่างคนต่างโยนหรือแย่งกันอุตลุดเพื่อเป็นเครื่องมือในเกมส์หย่าร้างของคุณ

3. ลูกของเรา ไม่ใช่ลูกฉันลูกเธอ คู่หย่าร้างบางคู่มักใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรองหรือแบ่งลูกกันเลี้ยง เช่น มีลูกสองคนคนโตอยู่กับพ่อคนเล็กอยู่กับแม่ทั้งๆที่ลูกไม่พึงพอใจและไม่สบายใจเลย ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เพราะลูกไม่ใช่ขนมเค้กที่จะตัดแบ่งกันโดยไร้ความรู้สึกโอกาสอยู่ด้วยทั้งพ่อทั้งแม่นั่นแหละ

อยากอยู่กับใครก็อยู่ได้สบายใจไม่ว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่ก็ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขายังได้รับความรักความอบอุ่นจาก
ทั้งพ่อและแม่เช่นเคยเพราะการหย่าร้างเป็นคู่กรณีของคู่สามีภรรยาไม่ใช่อย่าร้างจากความเป็นพ่อแม่ลูก

4. ลูกไม่ใช่เครื่องมือสื่อสารความเลวร้ายของพ่อแม่ คู่หย่าร้างบางคู่เมื่อหย่าร้างกันแล้วมักใช้ลูกเป็นเครื่องมือสื่อสารความเลวร้ายของทั้งสองฝ่ายกล่าวคือเมื่ออยู่กับพ่อ พ่อ ก็จะพูดถึงความเลวร้ายของแม่ให้ลูกฟัง
เมื่อลูกอยู่กับแม่ แม่ก็พูดแต่ความเลวร้ายของพ่อให้ลูกฟังต่างคนต่างพูดเอาความ ดีใส่ตัวเองหวังจะให้ลูกรักและชื่นชม แต่ผล ลัพธ์ที่จะได้คือลูกจะไม่ชื่นชมทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ เพราะฟังแต่เรื่องเลวๆ ของทั้งสองฝ่าย
อาจส่งผลให้ลูกไม่อยากอยู่ด้วยทั้งพ่อและแม่เลยก็ได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีกมาก ดังนั้นเมื่อหย่าร้างกันทั้งพ่อและแม่ควรพูดถึงแต่ความดีของแต่ละฝ่ายให้ลูกฟังเพราะเด็กทุกคนต้องการรู้เห็นพ่อแม่ในเรื่องที่ดีและชื่นชม เสมอ

5. โอกาสสำคัญของลูกควรกลับมาร่วมกิจกรรม ลูกเปรียบเสมือนกาวใจของพ่อแม่และลูกปกติทุกคนรักทั้งพ่อและแม่และต้องการเห็นทั้งพ่อและแม่อยู่ด้วยในโอกาสสำคัญของเขา เช่น วันคล้ายวันเกิด วันสำเร็จการศึกษา วันบวช วันแต่งงานหรืออื่นๆอีกมากมาย เพราะโอกาสสำคัญที่แต่ละครอบครัวให้
ความหมายและความสำคัญนั้นต่างกัน

การมาร่วมงานในโอกาสสำคัญของลูกนอกจากจะช่วยให้ลูกมีความ ภูมิใจแล้ว ยังแสดงถึงความมีสัมมาทิษฐิที่มีอยู่ในหัวใจของคู่หย่าร้างที่เป็นพ่อแม่ทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีข้อเสนอแนะทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวอันประกอบด้วยเมื่อต้องการหย่าร้างควรพยายามรักษาความเป็นเพื่อนต่อกันไว้ ไม่แบ่งแย่งลูกกันไม่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรองแบ่งกันว่าลูกฉันลูกเธอไม่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือสื่อสารความเลวร้ายของกันและกัน
และเมื่อถึงโอกาสสำคัญของลูกทั้งพ่อและแม่ควรกลับมาร่วมงานของลูกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อ
สุขภาพจิตครอบครัวโดยเฉพาะลูก

แม้เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนักแต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะการปฏิบัติทั้ง 5 ประการดังกล่าวเป็นหลักการสำคัญเบื้องต้นที่จะช่วยลดผลกระทบทางด้านจิตใจของลูกได้ในที่สุด.



หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+กาแฟ หรือ ถ้วยกาแฟ? (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 20 ตุลาคม 2007, 03:28:02
กาแฟ หรือ ถ้วยกาแฟ?
วันหนึ่ง ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งน็อตเทรอะดามกลุ่มหนึ่งกลับไปเยี่ยมสถาบัน
ไม่ช้าวงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียดในเรื่องการทำงานและปัญหาชีวิต

แล้วอาจารย์ก็เสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า
อาจารย์เดินเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟแบบต่างๆ
บ้างเป็นถ้วยกระเบื้อง บ้างเป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว
โดยบางใบเป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบสวยวิจิตรสูงค่า

อาจารย์บอกให้ลูกศิษย์แต่ละคนจัดการการดื่มกาแฟร้อนๆ กันเอาเอง
และเมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคนแล้ว
อาจารย์ก็กล่าวว่า.....
ลองสังเกตุดูกันหรือเปล่าว่า ถ้วยสวยๆ แพงๆ ถูกเลือกไปหมด
เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก เป็นเรื่องปกตินะที่พวกเราต่างก็มักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
ซึ่งนี่คือที่มาของความเครียดและปัญหาทั้งหลายแหล่ในชีวิต

ในขณะที่สิ่งที่พวกเราต้องการแท้จริงแล้วคือกาแฟไม่ใช่ถ้วยกาแฟ
แต่จิตสำนึกกลับนำพาเราไปเลือกที่ถ้วยและมิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย

หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคมก็คือถ้วยใส่กาแฟ
มันเป็นเพียงเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา
มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิตเปลี่ยนไป

บางครั้ง.........การมัวไปเพ่งเล็งที่ถ้วยใส่กาแฟก็ทำให้เราลืมที่จะใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ

เมื่อเช้านี้ถ้วยกาแฟ เอ๊ะ ไม่ใช่สิ กาแฟของคุณรสชาติเป็นยังไง?


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา)(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 04 พฤศจิกายน 2007, 13:23:45
ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป

จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย

ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า

จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า "โยมจะทำอะไรรึ"

หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ
ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"

หญิงสาวตอบ พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า

"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า"ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงส์ตอบว่า"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า

"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"

พระธุดงส์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด

แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม

ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"




หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 04 พฤศจิกายน 2007, 13:25:30
อย่ามองข้าม เรื่องเล็กๆ


"อย่าปล่อยให้ความรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจค้างคาอยู่ในใจข้ามวันข้ามคืน
ไม่ว่าจะเป็นสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนใจหรือเพื่อนคู่ชีวิต"

"ในแต่ละวันเราอาจไม่รู้ตัวเวลาทำให้คนอื่นระคายเคืองใจ การทักทาย
ชักชวนพูดคุยอย่างที่นักให้การปรึกษาเรียกว่า small talk
หรือการร่ำลาและพูดแสดงน้ำใจก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน
ก็จะช่วยเคลียร์ใจของทุกฝ่าย ให้พร้อมที่จะมาร่วมงานกันในวันรุ่งขึ้น"

หลายปีมาแล้ว มีเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา
เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะเรียนรู้
อยู่ต่อมาก็สังเกตว่า เมื่อถึงเวลาเลิกงานเธอจะเข้าไปหาเพื่อนๆ
และพี่ๆ ที่ทำงานร่วมกัน แล้วถามว่ามีงานด่วนอะไรให้ช่วยทำบ้างไหม
ถ้าไม่มีเธอก็จะสวัสดี และบอกว่าพรุ่งนี้พบกันใหม่
เป็นกิจวัตรที่เธอทำอยู่ทุกวัน

เคยถามเธอว่าทำไมต้องบอกสวัสดีกันทุกเย็น
เธอตอบว่าในแต่ละวันที่เราทำงานร่วมกับคนอื่นๆ
อาจมีบางเวลาที่เราทำให้ใครบางคนระคายเคืองใจโดยไม่รู้ตัว
เช่น พูดของเราอาจทำให้ใครสักคนรู้สึกไม่สบายใจ
หรือท่าทีของเราอาจไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของใครบางคน
ดังนั้น ก่อนกลับบ้านเราควรพูดคุยทักทายกับคนที่เราทำงานด้วย
เพื่อเป็นการเคลียร์ใจและเท่ากับเป็นการทำให้เขารู้สึกว่า
เราไม่มีอะไรคลางแคลงใจหรือกินใจต่อกัน

ถ้าจะมีอะไรติดค้างอยู่ ท่าทีและคำพูดดีๆ ของเราที่แสดงต่อเขา
ก็จะช่วยชำระล้างตะกอนให้หมดไปจากใจได้บ้างไม่มากก็น้อย

ฟังแล้วเป็นเหตุผลที่เข้าที และตรงกับหลักการรักษาสัมพันธภาพที่บอกว่า
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจค้างคาอยู่ในใจข้ามวันข้ามคืน
ไม่ว่าจะเป็นสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนใจหรือเพื่อนคู่ชีวิตก็ตาม
เพราะถ้าปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่ดีติดคาใจนานๆ
ก็เปรียบเสมือนเวลาเราเช็ดถูบ้านแล้วไม่เคยเช็ดถูพื้นใต้โต๊ะหรือใต้ตู้เลย
แต่ปล่อยให้เศษผงฝุ่นละอองกองทับถมเป็นเดือนเป็นปี
พอยกโต๊ะยกตู้ขึ้นพื้นก็เต็มไปด้วยฝุ่นผงดำสกปรกอย่างเห็นได้ชัด
แต่ถ้าทำความสะอาดบ่อยๆ ฝุ่นก็จะไม่จับ
เหมือนใจที่ได้รับการเคลียร์ให้ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

โดยทั่วไป เราทุกคนจะรู้ซึ้งอยู่ในใจถ้ามีใครทำให้ไม่สบายใจ
แต่เราอาจไม่รู้ตัวเวลาทำให้คนอื่นระคายเคืองใจ
หลายครั้งที่มีคนมาปรึกษาถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากท่าทีของเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งเท่ากับย้ำให้เห็นว่าเราควรย้อนกลับมาดูตัวเองให้มากว่า
ในแต่ละวันเราทำให้ใครรู้สึกกระทบกระเทือนใจบ้าง
และน่าจะลองใช้วิธีการเคลียร์ใจก่อนกลับบ้าน

อย่างน้อยถ้าคิดไม่ออกจริงๆ หรือแต่ละวันมันยุ่งนัก
จนลืมไปหมดแล้วว่าวันนี้เราทำอะไร พูดอะไรไปบ้าง
การทักทาย ชักชวนพูดคุยอย่างที่นักให้การปรึกษาเรียกว่า small talk
หรือการร่ำลาและพูดแสดงน้ำใจก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน
ก็จะช่วยเคลียร์ใจของทุกฝ่าย เป็นการเตรียมใจให้พร้อม
ที่จะมาร่วมงานกันในวันรุ่งขึ้นอย่างกระจ่างใสและปลอดโปร่งใจ


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 16 พฤศจิกายน 2007, 23:43:58
พ่อค้ากับเจ้าลาน้อย

ชายหนุ่มคนหนึ่งคิดว่าจะหันมาทำอาชีพค้าขาย ดังนั้นเขาจึงไปซื้อลามาตัวหนึ่ง เพื่อใช้บรรทุกสินค้า แต่เพราะทุนน้อย เขาจึงได้ลาตัวไม่โตนัก เมื่อได้ลามาแล้วชายหนุ่มจึงขี่ลาออกเดินทางไปหาซื้อสินค้ายังอีกเมืองหนึ่ง เพื่อมา ขายที่หมู่บ้านของตัวเอง ที่เมืองนั้นมีสินค้าหลายชนิด และยังมีราคาถูกด้วย ชายหนุ่มเดินเลือกหาสินค้ามากมาย เจ้าของร้านค้าบอกว่าหากซื้อจำนวนมากๆก็จะลดราคาให้อีกด้วย ชายหนุ่มจึงคิดว่า

“ถ้าเราซื้อสินค้าพวกนี้ไปมากๆ เราก็จะยิ่งได้ราคาถูก แล้วเราก็จะขายได้กำไร งาม แถมยังไม่ต้องเสียเวลามาซื้อบ่อยๆอีกด้วย”

เมื่อเขาคิดคำนวณเงินที่มีอยู่แล้ว เห็นว่าเงินที่มีอยู่น้อยนั้น จะสามารถจะซื้อสินค้าได้มากทีเดียว เขาจึงตัดสินใจใช้เงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ ซื้อสินค้าหลายชนิด จำนวนมาก

ชายหนุ่มขนสินค้าทั้งหมดบรรทุกบนหลังลาตัวน้อย แล้วออกเดินทางกลับมา ยังหมู่บ้านของตนด้วยความร่าเริง พลางก็คิดถึงเรื่องกำไรที่ตัวเองจะได้ไปตลอดทาง เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถขี่ลากลับได้ แล้ว เพราะบนหลังลาเต็มไปด้วยสินค้า

เดินมาได้สักพักใหญ่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าลาตัวน้อยเดินช้าลงกว่าเดิม เขาจึงเอาไม้เฆี่ยนตีให้มันเดินเร็วขึ้น เพราะกลัวว่าจะถึงช้าและเสียเวลาค้าขาย

เจ้าลาน้อยเดินเร็วขึ้นได้ไม่นาน ก็กลับช้าลงเหมือนเดิม ชายหนุ่มก็เอาไม้มาเฆี่ยนตีอีก พร้อมกับดุด่าไปตลอดทาง แม้ว่าจะเดินมาได้ครึ่งวันแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดพักเลย ฝ่ายลาน้อยแม้จะโดนเฆี่ยนตี แต่มันก็ไม่สามารถจะเดินได้เร็วดังที่นายของมันต้องการ ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งเดินช้าลงๆๆๆเรื่อยๆ เพราะน้ำหนักที่มันแบกรับไว้นั้นมากเกินไป

ในที่สุดเจ้าลาน้อยก็หยุดเดิน ขาของมันค่อยๆทรุดลงจนกระทั่งมันล้มกลิ้งลง จากเนินเขาไปสู่เหวเบื้องล่างพร้อมกับสินค้ามากมายบนหลังของมัน พ่อค้าหนุ่มตกตะลึง ไม่สามารถช่วยลาของตนได้ เขายืนมองลากับสินค้าที่ลอยละลิ่วลงไปอย่าง รวดเร็ว

......
โบราณว่าไว้ “โลภมากมักลาภหาย” เพราะคนโลภมักจะเต็มไปด้วยกิเลส อยากได้อยากมีมากๆ โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนอย่างไร แต่ผลที่สุดตนเอง นั่นแหละที่จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 84 พ.ย 50 โดยนิรา)


หัวข้อ: Re: ทำบุญโครงการแว่นแก้ว..+ลายแทงมหาสมบัติ...... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 ธันวาคม 2007, 00:47:51
ลายแทงมหาสมบัติ......
ใกล้จะสิ้นปี แล้ว
ลองทิ้งเรื่องวุ่นวายรอบๆตัวเราไว้ก่อน
แล้วอ่านเรื่องต่อไปนี้
เหมือนเป็นลายแทงไปค้นหาความสุข ความสำเร็จ
ให้ตัวเราได้ ไม่เลวเลย

ความสุข..ความสำเร็จ

เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง
แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ
นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้
เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพลักษณ์
ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป

อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่ง
เขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเส้นเดิม
ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว
อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

การที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง
ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน
เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง
แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลง
โดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น

ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่
เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที
เปรียบเหมือนการที่ใครซักคน
ทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่

เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อน
และหาทางกลั่นแกล้งคนๆนั้นด้วยการหาทางทำลาย
เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง

ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น
เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้
แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้นใหม่
ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น
เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่เส้นเดิมที่คนอื่นลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออกให้สั้นลง"

การคิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน
เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร
แต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลา
และเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น

ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อกูลกัน
ทำให้ระบบโดยรวมมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก
คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด

สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้
ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมิใจ
และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ
เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความภูมิใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด
ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี
บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น
แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก

ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป
และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป
สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดมากกว่า

จงอย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น
เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน
ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่
ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้
สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก
ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ
ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ
แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมาย
ของคำว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 09 มกราคม 2008, 21:29:37
แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...
ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
หลายๆ คนคงจะได้ของขวัญ กระเช้า กันนะครับ
ของขวัญ กระเช้า บางชิ้น มี โบว์ผ้า สวยๆ อยู่ด้วย
ทีแรก ผมก็กำลังจะทิ้งครับ
แต่ดัน นึกถึง ร้าน ไอติม แห่งหนึ่ง ที่ บริกร ในร้าน ผูกโบว์แดงๆ เหมือนๆ กัน

ผมเลย แกะโบว์ นั้น รีดให้เป็นเส้นตรงๆ
แล้ว เอาไปให้ หลานสาวตัวเล็กๆ ของ ยามที่ เฝ้าตึกที่ผม ทำงานอยู่

รู้สึกดี มากเลยครับ ที หนูน้อยคนนั้น ชอบโบว์มาก
และเอาโบว์สวยๆ นั่นไปผูกผม แทน ยางวง ที่ แกผูกอยู่เดิม

อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนะครับ
แต่ถ้าใครเห็นภาพเด็กคนนั้นยิ้ม อาจจะรู้สึกดีเหมือนผม

ดังนั้น ผมจึงขออนุญาต ตั้งกระทู้นี้
เผื่อว่า ใครกำลังจะทิ้ง โบว์ ปีใหม่สวยๆ
ผมอยากจะให้ มันลองทำหน้าที่สุดท้าย ก่อนลงขยะนะครับ
หน้าที่ สร้างรอยยิ้ม ให้เด็กเล็กๆ ที่น่ารัก บางคน

ของที่ดูเหมือนจะไร้แล้ว บางที อาจจะยังมีค่า
ขนาด โกโก้ ก้นแก้วที่น้ำแข็งละลายจนหมดแล้ว
ผมยังเคย รินน้ำใสๆ ออก แล้ว เอา เศษข้นๆ รินให้หมากินเลย

(เรื่องน่ารักๆ จากเว็บลานธรรม) :)


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: win ที่ 09 มกราคม 2008, 21:31:40
อ่านเรื่องโบว์แล้ว น่าประทับใจมากครับ  :)


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 09 มกราคม 2008, 21:54:37
น่ารักจัง  :)

ปล.คิดถึงคุณ journey มากมาย ว่าจะตั้งกระทู้ถึงนานแล้ว  ดีใจที่ได้เห็นอีกค่ะ  ::)


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 09 มกราคม 2008, 22:05:54
น่ารักจัง  :)

ปล.คิดถึงคุณ journey มากมาย ว่าจะตั้งกระทู้ถึงนานแล้ว  ดีใจที่ได้เห็นอีกค่ะ  ::)


ขอบคุณที่คิดถึงกัน :-[ มีงานทำบุญบ่อยๆ ก็เลยยุ่งๆ จ้า... :)


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: youcanberich ที่ 09 มกราคม 2008, 22:09:07
ผมพลาดกระทู้นี้ ไปได้อย่างไร  :-[


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: spiceday ที่ 09 มกราคม 2008, 22:12:47
 :) เรื่องดีๆ ยามดึกๆ


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 09 มกราคม 2008, 22:26:56
นึกถึงตอนเด็กๆ ที่จะดีใจเวลาได้เปลือกส้มโอ เอามาครอบหัวเล่นทำหมวก  :-*


หัวข้อ: Re: แค่ โบว์เส้นเล็กๆ ที่กำลังจะทิ้ง..+อย่าตัดสินเพียงแค่เปลือกนอก^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 10 มกราคม 2008, 20:21:11
อย่าตัดสินเพียงแค่เปลือกนอก
สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบๆกับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดาๆ

ก้าวลงจากรถไฟในชาน ชาลาสถานีเมืองบอสตัน ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่าสามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอกและไม่น่ามีธุระ อะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้ได้ หล่อนขมวดคิ้ว "เราต้องการพบท่านอธิการบดี" สามีกล่าวนุ่มนวล "ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน" เลขาฯ สะบัดเสียงเล็กน้อย "งั้นเราจะรอ" ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ

โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้และกลับไปเอง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เลขาฯสาวเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องรบกวนเวลาท่านอธิการบดี "พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียวก็กลับ" หล่อนอธิบาย ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็พยักหน้าเสียไม่ได้ จริงๆแล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร?
แต่นั่นเถอะนะ ท่านคิด ว่าดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ให้ใครต่อใครมาเห็น ท่านเชิดหน้า อย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่ ภรรยากล่าวขึ้น "ลูกชายของ เราเคยเรียนในฮาร์ วาร์ด 1 ปี เขารักฮาร์วาร์ดมากและเขาก็มีความสุขที่นี่อย่างยิ่ง แต่เมื่อปีที่แล้วเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตสามี และดิฉันก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้"

ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมแต่อย่างใด เพียงแต่ช็อคเล็กน้อย

"คุณผู้หญิงเราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ดแล้วก็ตายหรอกนะ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่" "โอ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอธิการบดี" ภรรยารีบอธิบาย "เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก"

ท่านอธิการกรอกตาไปมา เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้ายกับสูทบ้านนอก

"สร้างตึก!พวกคุณรู้ไหมว่าใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่งเราใช้เงินไปมากกว่า 7.5ล้านดอลลาร์แค่ตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่"เป็นครู่ที่สุภาพสตรีเงียบกริบ ท่านอธิการรู้สึกโล่งอก ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็ถูกกำจัดไปได้เสียที แล้ว
ภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆว่า "ใช้เงินแค่นั้นเองน่ะหรือในการสร้างมหาวิทยาลัย?แล้วทำไมเราไม่สร้างของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ?" สามีผงกศีรษะ

สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด

แล้วนายและนาง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ก็เดินทางไปยังพาโลอัลโตในแคลิฟอร์เนีย
ที่ๆพวกเขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชายที่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณค่า เรื่องนี้ดีมากเลย มันเป็นเรื่องประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Standfordในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคู่แข่งกับมหาวิทยาลัย Harvard แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนที่ชอบตัดสินคนอื่น
จากเปลือกนอก และอเมริกา ประเทศที่เราอยากจะเอาตามอย่างเขาเหลือเกิน

จากเว็บไซต์วัดยานนาวา


หัวข้อ: Re: คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 14 มกราคม 2008, 02:37:15
คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้

------------------------------------------

หญิงคนนี้พบสิงโตในป่าและมันกำลังจะตาย เธอจึงนำมันไปรักษาจนกระทั่งมันมีสุขภาพดี เธอจึงเตรียมการนำมันไปให้สวนสัตว์ที่เป็นบ้านหลังใหม่ วีดีโอนี้ได้ถ่ายขณะที่เธอได้ไปเยี่ยมมันที่สวนสัตว์ ดูว่ามันมีปฎิกิริยาอย่างไร เมื่อเห็นเธอ

http://seedang.com/stories/17682


หัวข้อ: Re: คลิป คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้.^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jonu2528 ที่ 14 มกราคม 2008, 03:21:25
สุดยอดเลยครับ ซึ้งๆมีความรู้ทั้งนั้นเลย


หัวข้อ: Re: คลิป คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้.^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Dream2000 ที่ 14 มกราคม 2008, 13:51:58
ขอบคุณมากครับ...ให้ข้อคิดดีๆ ทั้งนั้นเลย
 :-*


หัวข้อ: Re: คลิป คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้.^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 14 มกราคม 2008, 14:03:41
 :-* :'(

 :)


หัวข้อ: Re: คลิป คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้+ ต้นแอ๊ปเปิ้ลกับเด็กน้อย...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 17 มกราคม 2008, 16:25:02
ต้นแอ๊ปเปิ้ลกับเด็กน้อย
กาลครั้งหนึ่งมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง
เด็กชายเล็กๆคนนึงชอบที่จะมาเล่นรอบๆต้นแอปเปิ้ลนี้ทุกวัน
หนูน้อยจะปีนต้นไม้เล่น ปลิดลูกแอปเปิ้ลมากินและก็งีบหลับใต้ต้นไม้นั้น
หนูน้อยรักต้นแอปเปิ้ลมาก และต้นแอปเปิ้ลก็รักแกเช่นกัน

แต่เวลาผ่านไป.... เด็กน้อยโตขึ้น
และไม่มาเล่นใต้ต้นแอปเปิ้ลทุกวันเหมือนก่อนแล้ว
วันนึง เด็กชายกลับมาพร้อมกับท่าทางหงอยเหงา
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวนเด็กชาย
”ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากเล่นรอบต้นไม้อีกแล้ว “
เด็กชายตอบ “ฉันอยากเล่นของเล่น แต่ไม่มีเงินซื้อมัน”
”เสียใจด้วย ฉันก็ไม่มีเงิน...แต่เธอพอจะเก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายได้นะ
เธอจะได้มีเงิน” ต้นแอปเปิ้ลกล่าว
เด็กใจดีใจมาก เก็บลูกแอปเปิ้ลจนหมดต้น
และจากไปอย่างมีความสุข และก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยหลังจากนั้น
ทิ้งให้ต้นแอปเปิ้ลเสียใจ

วันนึง ต้นแอปเปิ้ลตื่นเต้นที่เห็นเด็กชายกลับมา
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวน
”ฉันไม่มีเวลาที่จะเล่นแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉัน
เราต้องการจะสร้างบ้าน เธอพอจะช่วยฉันได้ไหม?”
”เสียใจด้วย
ฉันไม่มีบ้านจะให้เธอ...แต่เธอพอจะตัดกิ่งของฉันไปสร้างบ้านของเธอได้นะ”

เด็กชายจึงตัดกิ่งแอปเปิ้ลหมด และจากไปพร้อมกับความสุข
ต้นแอปเปิ้ลดีใจที่เห็นเด็กน้อยมีความสุขแต่เด็กชายก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

ทิ้งให้ต้นไม้ต้องเสียใจและเดียวดายเช่นเคย


วันนึงในฤดูร้อน เด็กชายได้กลับมาอีก ต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวน
”ฉันแก่มากจนเล่นไม่ไหวแล้วฉันอยากจะไปแล่นเรือเพื่อพักผ่อนในช่วงสุดท้าย
มีเรือให้ฉันยืมบ้างไหม?”
”ใช้ลำต้นฉันมาสร้างเรือสิ เธอจะได้แล่นเรือไปไกลตามที่ต้องการ”
เด็กชายจึงตัดต้นไม้มาสร้างเรือ และเขาก็แล่นเรือจากไป
ไม่ได้กลับมาให้เห็นอีกนาน

สุดท้าย หลายปีผ่านไป เด็กชายก็กลับมา
”ฉันเสียใจด้วย เด็กน้อยของฉัน
ฉันไม่มีอะไรเหลือจะให้เธออีกแล้ว แม้แต่ลำต้นให้ปีนก็ไม่มี”
ต้นแอปเปิ้ลกล่าว
”ฉันก็แก่เกินไปแล้วเหมือนกัน” เด็กชายตอบ
”สิ่งเดียวที่ฉันพอจะเหลือให้เธอได้คือ รากที่กำลังจะตายของฉันเท่านั้นเอง”
ต้นไม้ร้องไห้
”ฉันไม่ต้องการอะไรมากหรอก นอกจากที่ซึ่งจะได้เอนกายพักผ่อน
ฉันเหนือ่ยล้ามาหลายปีแล้ว” เด็กชายตอบ
”ดีเลย รากไม้นี่แหละคือที่ๆดีที่สุดที่จะเอนกาย นั่งลงสิและพักผ่อนเถิด”
เด็กชายนั่งลง ต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก และยิ้มทั้งน้ำตา....

นี่คือเรื่องราวของเราทุกคน
ต้นแอปเปิ้ลก็เปรียบได้กับพ่อแม่ของเรา
ตอนเรายังเด็ก เราอยากเล่นกับพ่อแม่ของเรา
แต่พอเราโต เราก็จากพวกเขาไป
จะกลับมาก็ต่อเมื่อ เรามีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ
แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเราก็ยังอยู่ที่นั่นเสมอ
คอยให้ทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่าเด็กชายในเรื่องช่างโหดร้ายต่อต้นแอปเปิ้ล
แต่เราล่ะ ไม่ได้ทำเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของเราหรือ.....


หัวข้อ: Re: คลิป คิดถึงที่ซู้ด...แต่พูดไม่ได้.+ต้นแอ๊ปเปิ้ลกับเด็กน้อย....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Puong ที่ 17 มกราคม 2008, 22:29:04
 :-* :'(


หัวข้อ: เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับงานศพ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 20 มกราคม 2008, 22:22:44
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับงานศพ
ความหมายบางอย่าง ที่คนไทยได้สัมผัส แต่ไม่เคยรู้ เพิ่งรู้เหมือนกัน อ่านแล้วจะได้ปลงๆ ชีวิตก็เป็นเช่นชะนี้เอง ความจริงแล้วปริศนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องงานศพนั้นมีอยู่หลายข้อ ซึ่งก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กมาแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย เหมือนกับว่าเขาให้ทำก็ทำกันไป โง่อยู่ตั้งนาน พอได้มาอ่านหนังสือธรรมลีลาของธรรมสภาแล้วก็ตาสว่างขึ้น มีอีกหลายข้อดังนี้


มัดตราสังข์สามเปราะ

มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น


เคาะโลงรับศีล

ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้


สวดอภิธรรม

มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวดเพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรม ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวดให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้


บวชหน้าไฟ

มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน


การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ

เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรม คำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า


การเวียนซ้าย 3 รอบ

หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลส ตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย


การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ

เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม


การแปรรูป

หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมา เพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป


หัวข้อ: "เมื่อเธอต้องการหย่าขาด........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 มกราคม 2008, 00:54:35
"เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป....
เธอควรเป็นคนที่จูงมือชั้นออกไป "


ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน
รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา
เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน
ดังนั้นผมจึงทำตาม
เธอเขินอายในอ้อมแขนผม

ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก...
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี... ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม

เรามีลูกด้วยกัน...ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...
เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น...
ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...
ทุกๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน
ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก...

แต่แล้ว
ความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย....

เจนเข้ามาในชีวิตของผม .... ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน...
เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง..
หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก...

ที่นี่...เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ...
เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคน ถวิลหา...

คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม...
ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า
วันที่คุณประสบความสำเร็จ
ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา...

ผมเริ่มรู้สึกลังเล...
ผมรู้ว่าผมกำลังทรยศภรรยาผม...
แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว....
ผมปลีกตัวออกจากเจน "
วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ
ผมต้องเข้าออฟฟิศ " ...
แน่นอน... เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะไปด้วยกัน...

ในตอนนั้น...ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม....
ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม....
ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด...
เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน...
จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก... ทุก ๆ
เย็นเธอจะวุ่นวายกับการทำอาหาร..ในขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน...
หรือ... ถ้าผมจะเลือกเป็น...นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์....
มองเรือนร่างอันงดงามของเจน...
ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง

วันนึงผมพูดทีเล่นทีจริงกับภรรยาของผมว่าจะเธอจะทำยังงัยถ้าเราหย่ากัน...
เธอจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร..
เธอมั่นใจว่าการหย่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเธอมาก...
ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเธอรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง... เธอจะเป็นอย่างไร

วันนึงภรรยาผมมาที่ออฟฟิศ...สวนทางกับเจนที่เพิ่งจะออกไปพอดี...
พนักงานทุกคนทำหน้าตาเลิกลัก... เหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างจากเธอ....
เธอเหมือนจะรับรู้มันได้... แต่เธอก็ยิ้มน้อย ๆกับพนักงานทุกคน....
แต่ผมก็สังเกตุเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอภายใต้รอยยิ้มนั้น

ในที่สุด...เจนก็บอกกบผมว่า...หย่ากับเธอน๊ะ..แล้วเราอยู่ด้วยกัน..ผมพยักหน้า....

ผมจะลังเลอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....ผมตัดสินใจบอกภรรยาผมในอาหารค่ำ..
ผมมีอะไรจะบอกคุณ... เธอนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ...
ผมสังเกตุเห็นแววตาอันเจ็บปวดของเธอ...มันทำให้ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการพูดไม่ออก..
แต่ท้ายที่สุดผมก็พูดออกไป...

ผมต้องการหย่า...

เธอดูไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไปเลย...
ผมย้ำกับเธออีกครั้ง...เธอเขวี้ยงตะเกียบในมือทิ้ง...
แล้วตะโกนใส่หน้าผมว่า..คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...เราไม่ได้คุยกันอีกเลยคืนนั้น...

เธอร้องไห้อย่างหนัก...

ผมรู้ว่าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา...
แต่ผมเองไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้...เป็นเพราะใจผมได้ให้เจนไปหมดแล้วงั้นเหรอ...
ผมคงไม่สามารถบอกเธออย่างนั้นได้..มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...

ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น...ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน...
ทุกๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ... หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด....

เธอเหลือบมองกระดาษที่ผมร่างขึ้นแล้วฉีกมันทิ้ง...
มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น...
ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นระยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน...
ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้...

เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด...
สำหรับผมแล้ว...การร้องไห้ของเธอเหมือนเป็นการปลดปล่ยยความสับสนของตัวผมเอง...

หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผม..ในที่สุด...มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริงๆ เสียที

คืนนั้น...ผมกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก...
เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ..ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย...
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า...

เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม...
แต่เธอต้องการให้ผมให้เวลาเธอหนึ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า...
และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ...
ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..
เธอไม่อยากให้ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่อนเวลานั้นจะมาถึง...

รัชต์..คุณจำได้มั๊ย...วันที่เราแต่งงานกัน...คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ..
ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชั้น...

ชั้นมีเรื่องขอร้อง...
ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจากห้องนอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน
ผมยอมรับด้วยความเต็มใจ...ผมรู้ดีว่า เธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น...
และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี

ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง...
เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข....
ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้...

คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง....

เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า...ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป...

พอถึงวันที่ผมประคองเธอลงจากห้องวันแรก...มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก...
ลูกชายเราตบมือแล้วพูดด้วยความดีใจว่า

ว้าว...วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย....มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น......
เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา...ผมพยักหน้า...ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม...
ผมขับรถไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ

วันถัดมา...ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป...เธอซบบนอกผม...
เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ...
ผมถึงได้ตระหนักว่า....เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว...เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น

ในวันที่สาม...เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย...

ในวันที่สี่...มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก...ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป...

วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน..
ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร...และอื่นๆ อีกมากมาย...
ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที...ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย...
ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย...

หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงขึ้น...แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...
เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้..นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น
ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้...
ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ...
สำหรับลูกแล้ว...การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็นภาพที่เขามีความสุขที่สุด....
เธอเอื้อมมือไปกอดลูกไว้แน่น...ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ
ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง....ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด...เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก......เธอบอกกับผมว่า...

ความจริงแล้ว...ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า...ผมกอดเธอแน่น...และผมก็ตระหนักว่า..
ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน...ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..
ผมลังเลเล็กน้อย..

แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้....เธอเปิดประตูออก...ผมบอกเธอว่า
เจน..ผมขอโทษ...ผมจะไม่หย่า....เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม.. คุณสบายดีหรือเปล่า
เจน...ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริง ๆ...ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม...
ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็นเพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย...
ผมขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ....มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน....
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้าน...เธอมีลูกให้ผม...ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่...
เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม....

ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้....
พนักงานขายดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร....ผมให้เธอเขียนว่า...ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่


(จำไม่ได้แล้วเอามาจากไหน)


หัวข้อ: Re: "เมื่อเธอต้องการหย่าขาด........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: hahokhok ที่ 22 มกราคม 2008, 01:10:01
"เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป....
เธอควรเป็นคนที่จูงมือชั้นออกไป "


ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน
รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา
เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน
ดังนั้นผมจึงทำตาม
เธอเขินอายในอ้อมแขนผม

ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก...
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี... ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม

เรามีลูกด้วยกัน...ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...
เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น...
ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...
ทุกๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน
ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก...

แต่แล้ว
ความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย....

เจนเข้ามาในชีวิตของผม .... ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน...
เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง..
หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก...

ที่นี่...เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ...
เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคน ถวิลหา...

คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม...
ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า
วันที่คุณประสบความสำเร็จ
ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา...

ผมเริ่มรู้สึกลังเล...
ผมรู้ว่าผมกำลังทรยศภรรยาผม...
แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว....
ผมปลีกตัวออกจากเจน "
วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ
ผมต้องเข้าออฟฟิศ " ...
แน่นอน... เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะไปด้วยกัน...

ในตอนนั้น...ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม....
ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม....
ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด...
เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน...
จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก... ทุก ๆ
เย็นเธอจะวุ่นวายกับการทำอาหาร..ในขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน...
หรือ... ถ้าผมจะเลือกเป็น...นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์....
มองเรือนร่างอันงดงามของเจน...
ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง

วันนึงผมพูดทีเล่นทีจริงกับภรรยาของผมว่าจะเธอจะทำยังงัยถ้าเราหย่ากัน...
เธอจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร..
เธอมั่นใจว่าการหย่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเธอมาก...
ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเธอรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง... เธอจะเป็นอย่างไร

วันนึงภรรยาผมมาที่ออฟฟิศ...สวนทางกับเจนที่เพิ่งจะออกไปพอดี...
พนักงานทุกคนทำหน้าตาเลิกลัก... เหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างจากเธอ....
เธอเหมือนจะรับรู้มันได้... แต่เธอก็ยิ้มน้อย ๆกับพนักงานทุกคน....
แต่ผมก็สังเกตุเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอภายใต้รอยยิ้มนั้น

ในที่สุด...เจนก็บอกกบผมว่า...หย่ากับเธอน๊ะ..แล้วเราอยู่ด้วยกัน..ผมพยักหน้า....

ผมจะลังเลอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....ผมตัดสินใจบอกภรรยาผมในอาหารค่ำ..
ผมมีอะไรจะบอกคุณ... เธอนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ...
ผมสังเกตุเห็นแววตาอันเจ็บปวดของเธอ...มันทำให้ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการพูดไม่ออก..
แต่ท้ายที่สุดผมก็พูดออกไป...

ผมต้องการหย่า...

เธอดูไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไปเลย...
ผมย้ำกับเธออีกครั้ง...เธอเขวี้ยงตะเกียบในมือทิ้ง...
แล้วตะโกนใส่หน้าผมว่า..คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...เราไม่ได้คุยกันอีกเลยคืนนั้น...

เธอร้องไห้อย่างหนัก...

ผมรู้ว่าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา...
แต่ผมเองไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้...เป็นเพราะใจผมได้ให้เจนไปหมดแล้วงั้นเหรอ...
ผมคงไม่สามารถบอกเธออย่างนั้นได้..มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...

ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น...ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน...
ทุกๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ... หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด....

เธอเหลือบมองกระดาษที่ผมร่างขึ้นแล้วฉีกมันทิ้ง...
มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น...
ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นระยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน...
ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้...

เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด...
สำหรับผมแล้ว...การร้องไห้ของเธอเหมือนเป็นการปลดปล่ยยความสับสนของตัวผมเอง...

หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผม..ในที่สุด...มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริงๆ เสียที

คืนนั้น...ผมกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก...
เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ..ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย...
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า...

เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม...
แต่เธอต้องการให้ผมให้เวลาเธอหนึ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า...
และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ...
ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..
เธอไม่อยากให้ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่อนเวลานั้นจะมาถึง...

รัชต์..คุณจำได้มั๊ย...วันที่เราแต่งงานกัน...คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ..
ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชั้น...

ชั้นมีเรื่องขอร้อง...
ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจากห้องนอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน
ผมยอมรับด้วยความเต็มใจ...ผมรู้ดีว่า เธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น...
และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี

ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง...
เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข....
ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้...

คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง....

เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า...ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป...

พอถึงวันที่ผมประคองเธอลงจากห้องวันแรก...มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก...
ลูกชายเราตบมือแล้วพูดด้วยความดีใจว่า

ว้าว...วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย....มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น......
เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา...ผมพยักหน้า...ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม...
ผมขับรถไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ

วันถัดมา...ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป...เธอซบบนอกผม...
เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ...
ผมถึงได้ตระหนักว่า....เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว...เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น

ในวันที่สาม...เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย...

ในวันที่สี่...มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก...ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป...

วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน..
ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร...และอื่นๆ อีกมากมาย...
ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที...ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย...
ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย...

หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงขึ้น...แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...
เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้..นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น
ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้...
ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ...
สำหรับลูกแล้ว...การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็นภาพที่เขามีความสุขที่สุด....
เธอเอื้อมมือไปกอดลูกไว้แน่น...ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ
ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง....ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด...เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก......เธอบอกกับผมว่า...

ความจริงแล้ว...ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า...ผมกอดเธอแน่น...และผมก็ตระหนักว่า..
ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน...ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..
ผมลังเลเล็กน้อย..

แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้....เธอเปิดประตูออก...ผมบอกเธอว่า
เจน..ผมขอโทษ...ผมจะไม่หย่า....เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม.. คุณสบายดีหรือเปล่า
เจน...ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริง ๆ...ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม...
ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็นเพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย...
ผมขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ....มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน....
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้าน...เธอมีลูกให้ผม...ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่...
เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม....

ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้....
พนักงานขายดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร....ผมให้เธอเขียนว่า...ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่


(จำไม่ได้แล้วเอามาจากไหน)

โอ้..ซึ้งสุดๆโดนใจมากๆ  :'( :'( :'(


หัวข้อ: Re: "เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kentaro ที่ 23 มกราคม 2008, 00:31:43
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวดีๆ


ผมยังโชคดีที่เพิ่งมาเจอ เพราะมีอีกหลายคนที่ยังไม่เจอ แหะๆ


 :) :)


หัวข้อ: Re: "เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kentaro ที่ 23 มกราคม 2008, 00:56:49
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวดีๆ


ผมยังโชคดีที่เพิ่งมาเจอ เพราะมีอีกหลายคนที่ยังไม่เจอ แหะๆ


ส่วนเรื่องเมื่อเธอต้องการหย่ากับชั้น...


พล็อตเรื่องคลับคล้ายคลับครากับหนังเรื่อง... ยังไงก็รักเลยครับ


 :) :)


หัวข้อ: Re: "เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: seven ที่ 23 มกราคม 2008, 02:39:34
ขอบคุณค่ะ

ซึ้งมากมาย เสียดายคนที่เดินจากไปไม่ได้อ่าน  :(


หัวข้อ: Amazing parrot นกแก้วพูดได้ สุดยอดมาก ......^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 30 มกราคม 2008, 20:15:26

Amazing parrot นกแก้วพูดได้ สุดยอดมาก ในเว็บคุณ dochost

http://video.thaihealth.net/view_video-7f89ddbebc2ac9128303

ดูแล้วตลกดี

(แต่ทางพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลย
ในพระไตรปิฏก มาอยู่หลายตอนด้วยกันที่คนกับสัตว์สามารถสื่อสารด้วยภาษามนุษย์ได้
และอีกอย่างหนึ่งสัตว์เหล่านั้นกาลครั้งหนึ่งก็คือคนนั่นเอง)


หัวข้อ: บาปที่ทำง่ายเหลือเกิน แค่ปลายนิ้ว....................^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 00:47:40

ถาม – การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน

ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ‘มโนกรรม’ สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันทีที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา

แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ‘ภาษา’ นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ

อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้

ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ


(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๒ คุณดังตฤณ)


หัวข้อ: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 21:53:42
ใกล้จะถึงวันแห่งความรักกันแล้ว....
วันนี้มาดูเรื่อง ความรัก เนื้อคู่ ในทางพระพุทธศาสนากัน


ถาม – แสวงหาคนจริงใจแต่ไม่เคยเจอ ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ?

ถ้าคิดว่าโลกนี้เป็นโรงละครที่เรากำลังรับบทโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ บางคนก็เหมือนโดนผู้กำกับแกล้งให้รับบทหนัก ต้องร้องไห้ช้ำใจเพราะถูกหลอกอยู่บ่อยๆ ยิ่งนึกว่าจริงใจด้วย ก็ยิ่งต้องพบความจริงในภายหลังว่าที่แท้เขากะเล่นไม่ซื่อตั้งแต่ต้น จะในเกมความรักหรือเกมธุรกิจก็ตาม

ก่อนอื่นขอให้มองว่าพื้นฐานของมนุษย์เป็นไปในทำนองเดียวกันคือ ‘อยากเอาเข้าตัว’ แต่ละคนเริ่มคิดออกมาจากจุดนี้ ความแตกต่างขึ้นอยู่กับใครจะถูกอบรมให้มีมโนธรรมต้านทานความเห็นแก่ตัวมากน้อยเพียงใด

ถ้าคุณมองว่าการมี ‘ใจจริง’ หมายถึงการซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียวไม่แปรผันเป็นอื่น ก็ต้องเห็นให้ซึ้งเสียก่อนว่าใจจริงสร้างขึ้นด้วยอะไร หรือใจจริงมาจากไหน อย่ามองด้วยความคาดหวังเผินๆว่าโลกนี้มีใครคนหนึ่งถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับมีใจจริงติดตั้งไว้ในตัวสำเร็จรูป ทุกคนต้องผ่านสัญชาตญาณเอาเข้าตัวมาก่อน เริ่มตั้งแต่ร้องอ้อแอ้ขอข้าวแม่กินเป็นต้นมา

พอโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนพบสิ่งน่าชอบน่าชังมากมาย นอกจากนั้นยังเจอสอนให้เอาแต่ได้บ้าง เจอสอนให้เสียสละบ้าง ในที่สุดทุกคนจะไปถึงจุดของการตัดสินใจว่าจะมีชีวิตแบบไหน คิดเอาหรือคิดให้เป็นหลัก

คนที่ตัดสินใจว่าจะคิดเอาเป็นหลักนั้น นึกถึงใจคนอื่นมากกว่าใจตัวเองไม่เป็นหรอกครับ พอเขาได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็พร้อมจะสลัดเราทิ้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักหรือหุ้นส่วนธุรกิจของเขา

คราวนี้ลองคิดดูว่าโลกกำลังเต็มไปด้วยคนคิดเอาหรือคนคิดให้มากกว่ากัน? ถ้าพูดกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือโลกนี้เต็มไปด้วยคนคิดเอา จะมีสักกี่คนที่คิดให้ ดังนั้นคุณจึงกำลังแสวงหาสิ่งที่หาได้ยากประมาณเข็มในมหาสมุทร

วิธีที่จะเจอคนจริงใจกับเรา ไม่ว่าในด้านความรักหรือธุรกิจ จึงต้องไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ทำนองเดียวกับที่ไม่มีใครงมเข็มในมหาสมุทรเจอโดยปราศจากเครื่องช่วย ซึ่งในที่นี้ก็คือกรรมนั่นแหละครับ คุณต้องเข้าใจหลักกรรมข้อหนึ่ง คือเมื่อให้สิ่งใดย่อมไม่สูญเปล่า ต้องมีการสะท้อนตอบเป็นการได้รับสิ่งนั้นคืนมาเสมอ ฉะนั้นตอนนี้อยู่ในช่วงรับความไม่จริงใจซึ่งเราเคยทำไว้กับใครมาก่อนก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าขอให้สร้างเหตุ สร้างเครื่องช่วยให้เราไปพบกับคนจริงใจในกาลข้างหน้า คือพยายามจริงใจกับคนอื่นโดยไม่ย่อท้อก็แล้วกัน

ถ้าคุณซื่อกับคนอื่น ไม่คิดหลอกคนอื่นได้ทั้งชาติ ชีวิตนี้คุณจะมีใจที่สะอาดของตัวเองเป็นเพื่อนแท้ และภพต่อไปคุณจะไม่ถูกกรรมเหวี่ยงไปอยู่ในหมู่คนอสัตย์

อีกประการหนึ่ง ถ้าคุณต้องการหาเข็มในมหาสมุทรให้เจอก่อนตาย คุณไม่ควรรู้แค่ว่าเข็มมันอยู่ในมหาสมุทร คุณไม่ควรโดดตุ๋มลงไปเฉยๆตรงไหนก็ได้ ก่อนอื่นคุณควรสืบให้พอรู้เป็นเค้าเป็นแนว ว่าเข็มน่าจะหล่นอยู่ในย่านใด แล้วค่อยใช้ความจริงใจดำดิ่งลงไปค้นหา จึงจะพอมีสิทธิ์เจอกันได้

ขอให้พิจารณาดู ปัจจุบันเรามีอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากหน้าหลายตา พอจะหาคู่ หาความรัก หาความจริงใจ เราก็มักตระเวนไปตามเว็บบอร์ดหรือห้องสนทนาที่มีชื่อตรงตามเกณฑ์นั้นๆ เช่นเว็บหาความรัก หรือห้องหาคนจริงใจ ตรองดูเถิดว่าโอกาสจะได้เจอนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เสือหิวย่อมรอตะครุบกวางตามแหล่งน้ำฉันใด ชายเจ้าเล่ห์ย่อมดักรอสาวหน้าซื่อตามแหล่งถามหารักฉันนั้น

บางทีที่เราไม่เจอสิ่งที่ต้องการก็เพราะเราแสวงหาผิดที่ เราคาดหวังว่าคงเจอคนจริงใจตามบ้านใกล้เรือนเคียง ตามอาคารสำนักงาน หรือตามสถานบันเทิง นั่นก็อาจเป็นไปได้ แต่ยากหน่อย เพราะตามความน่าจะเป็นเรามักเจอ ‘คนธรรมดา’ ที่คิดเอาเข้าตัวกันโดยมาก ทำไมไม่ลองมองว่าคนจริงใจควรอยู่ตามงานบุญ ตามเว็บธรรมะ หรือห้องสนทนาเรื่องศีลเรื่องธรรม

ไม่ต้องกลัวว่าตามงานบุญหรือตามแหล่งกิจกรรมธรรมะทั้งหลายจะชวนคุณคุยเรื่องหลุดพ้นลูกเดียว และในอีกทางหนึ่ง ก็อย่าหวังว่าจะพบแต่คนดีๆในงานบุญหรือแหล่งกิจกรรมธรรมะ แต่อย่างน้อยให้คิดเสียว่าโอกาสจะเจอคนดีๆควรมีมากกว่าแหล่งกิจกรรมเพื่อความสนุกฉาบฉวยทั้งหลาย

ถ้าได้ยินคำว่า ‘ธรรมะ’ แล้วร้องกับตัวเองว่า ‘ยี้’ หรือ ‘น่าเบื่อจัง’ ก็ขอให้ทราบว่าคุณยังไม่ได้ต้องการความจริงใจเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคุณจะเจอคนจริงใจได้ในหมู่คนมีธรรมะเท่านั้น

และเมื่อใดคลุกคลีกับธรรมะมากพอ คุณจะพบว่าธรรมะไม่ได้มีแต่ภาพกักบริเวณตนเองเพื่อหลุดพ้นจากกิเลส คุณจะเห็นโลกในอีกมิติหนึ่ง คือไม่ใช่เอาแต่มองหารูปเสียงน่าชอบใจภายนอก แต่จะเริ่มแสวงหาความรู้สึกแสนดีน่าครอบครองอันเป็นภายใน

คุณจะตระหนักว่าความรู้สึกแสนดีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องมีวิธีอะไรอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างทำให้มันเกิดขึ้น เช่นกำหนดกรอบไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้ความโลภและความโกรธทะยานแรงขึ้นถึงระดับที่จะกระทำการอันเป็นความเดือดร้อนของคนอื่น เมื่อรู้สึกตัวเองว่าเป็นความปลอดภัยให้คนอื่นได้ คุณก็จะรู้สึกถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจของตนเองด้วย

จากนั้นเขยิบขึ้นไปอีก เช่นรู้จักสละสิ่งที่คุณมีให้คนอื่นทั้งที่ไม่จำเป็นต้องให้ คุณจะลืมคำว่า ‘ให้ทำไมให้โง่’ แต่จะพบคำใหม่ในหัวตัวเองคือ ‘ทำไมมัวโง่ไม่ให้มาเสียตั้งนาน’ คุณจะรู้ว่าการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นเป็นสุข และคุณก็อาจจะรู้ว่าในที่สุดแล้ว การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั่นเอง จะพาคุณไปรู้จักกับคนประเภทเดียวกัน โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ในวันใดวันหนึ่ง

สรุปคือถ้าแสวงหาคนจริงใจอยู่ และยังไม่เลิกย่อท้อ ก็ขอให้ปลูกฝังความซื่อสัตย์จริงใจให้เกิดขึ้นในตนเองก่อน และพยายามรักษามันไว้จนลมหายใจสุดท้าย พอเชื่อได้ว่าอย่างน้อยมีคุณคนหนึ่งในโลกที่ซื่อสัตย์และจริงใจ จะได้ไม่ต้องไปแสวงหาคำตอบจากที่ไหนว่าคนซื่อสัตย์และจริงใจมีอยู่แต่ในนิทานหรือมีตัวตนอยู่ในโลกความจริงนี้ด้วย

นอกจากนั้นถ้าจะแสวงหา ก็ควรแสวงหาในที่ที่มี อย่ามัวเสียเวลาไปแสวงหาในที่ที่ไม่มี ผมให้คำรับรองไม่ได้ว่าคุณจะเจอเมื่อไหร่ แต่เชื่อมั่นว่าวันหนึ่งคุณจะได้เจอครับ ด้วย ‘กรรม’ และ ‘ความเข้าใจ’ ที่ถูกต้องนั่นเอง

จาก http://dungtrin.com/newsletter/prepare006.html


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 21:59:41
ถาม – คู่เวรมีจริงหรือไม่? แบบที่พออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความวิบัติ และความหมายของคู่แท้หมายถึงอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความสุขความเจริญใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้นต้องเชื่อเกณฑ์ของดวงชะตาราศีที่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อนั่นเมื่อนี่ใช่ไหม? ถ้าหากว่าเรามีวิบากที่ต้องเจอคู่ที่ทำให้เราไม่มีความสุขเราจะหลีกหนีได้หรือไม่?

คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน

ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

๑) มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

๒) มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

๓) มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

๔) มีปัญญาเสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้วิบากเก่าบันดาลให้ช่วงแรกคบเกิดแต่เรื่องดีๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นสุขชื่นมื่น ไปที่ไหนใครก็เชียร์ ทำอะไรร่วมกันก็รุ่งเรือง แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อยๆสั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ ความหลงลืมอดีตชาติ ความประมาทในวัย และความไม่รู้จักบุญบาป ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีผลนั่นแหละ ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

บาปนั้นแม้เล็กน้อยก็เหมือนเหรียญหยอดกระปุก เพียงสั่งสมให้มากวันละเล็กวันละน้อย เมื่อถึงวันหนึ่งลองยกกระปุกดู ก็อาจพบว่ามันหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ และถ้าเป็นบาปที่สะสมร่วมกัน ก็อาจถูกฉุดลากลงต่ำพร้อมกันได้

บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส ๓ ประการของมนุษย์ ได้แก่

๑) ราคะ คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด และเมื่อประจวบกับความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเมื่อเรื่องแดง คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิดๆว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม หรือกระทั่งเกิดความรู้สึกสกปรกเมื่อถูกเนื้อต้องตัวในช่วงแรกๆ ขัดแย้งกันแปลกๆกับความวาบหวามเมื่อใกล้กัน

รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มเหงและเป็นโรคจิตวิปริตทางเพศ กระทำย่ำยีให้อีกฝ่ายเจ็บกายเจ็บใจเป็นประจำ ก็มีส่วนก่อกระแสภัยเวรขึ้นในสายสัมพันธ์ได้เช่นกัน

๒) โทสะ ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน เมื่อสำเนียงและภาษาต่างกัน อะไรๆในทางร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง พูดไม่ได้ก็เย้ยหยันเหยียดหยามผ่านแววตาให้สะใจเสียหน่อยก็ยังดี กรรมร่วมกันที่ทำด้วยโทสะจะเป็นแรงผลักไส หรือดลใจให้นึกเกลียดกัน แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและกัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ทุกวันนี้ที่เห็นดาษดื่นคือการน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก

๓) โมหะ หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆร่วมกัน โดยอาจสำคัญว่าได้ใช้ความฉลาดเฉียบแหลม ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน เช่นเคยร่วมกันโกงสงฆ์ โกงเงินบริจาควัด โกงประชาชน โกงหมู่คณะ โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันแบบโง่ๆนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก อันนั้นแหละกรรมร่วมกันที่ยืนพื้นอยู่บนโมหะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด

แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย

ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม

สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด

http://dungtrin.com/prepare/book05.html


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 22:07:26
วันนี้ครึ้มใจ  :) โพสอีกสักอันนะ :) :)

ความสุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่ขว้า

คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตัลสักตัวหนึ่ง

หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู ้จัก
ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร
คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหาร้านที่ขายถูกที่สุด

แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕ %
คุณตัดสินใจควักเงิน ๗ , ๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้าน
ด้วยความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับ คุณ
แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไปเพียง ๕ , ๐๐๐ บาทเท่านั้น

คุณจะรู้สึกอย่างไร? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?
ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป
อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ ?
แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเอง
เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ?

คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น
ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้

จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบเป็นหนทางลัดไปสู่ควา มทุกข์

เคยสังเกตหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของ ตัว
แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว
และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก
แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที

อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆ
เช่น ได้โทรศัพท์มือถือ มาฟรี ๆ ๑ เครื่อง
ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว ่า
จากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันที

แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม ?
ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น

ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป
เราจึงไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใด

ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไป
แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา
แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี
มองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่
ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันที
จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย

เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่ งของต่าง ๆ มากมาย
เพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา
พอใจในสิ่งที่เรามี
ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว
นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น

พระไพศาล วิสาโล



หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Chocolate_cake ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 22:17:02
ซึ้งมากมาย...เข้ามากระทู้นี้แล้ว..มีแต่เรื่องให้อ่านแล้วซึ้ง... :'( :'(


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: stahcus ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 22:53:15
อ่านแล้วนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปทำบุญที่วัดเลย  ต้องหาเวลาว่างไปสักหน่อยแล้ว...



หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jane ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 22:54:10
ขอบคุณค่ะ  :-*

ธรรมะวันละนิด..ช่วยขัดเกลาจิตใจ  :D


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 22:55:44
บางเรื่อง อ่านแล้วร้องไห้เลยค่ะ



หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: tikanaht ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2008, 23:21:06
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่นำมาให้อ่านกัน


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: korpai ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2008, 11:34:02
อนิจจา เวรย่อมระงับด้วยการไม่ทำเวร


หัวข้อ: Re: ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ? ........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: stahcus ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2008, 11:46:15
บางเรื่อง อ่านแล้วร้องไห้เลยค่ะ



สงสัยตอนนี้ป้าแกกำลังเครียดอยู่  ยังไงธรรมมะถ้าเราเข้าใจแม้จะเพียงนิดก็ตามมันก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว...

ถึงจะร้องไห้แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความสุขใช่มั้ยครับป้า...


หัวข้อ: ของชวัญที่มอบให้กันได้ทุกวัน........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2008, 20:51:55
ของชวัญที่มอบให้กันได้ทุกวัน

" ข อ ง ข วั ญ "

ของขวัญอันล้ำค่าเหล่านี้
ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล
เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี
และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ให้แล้ว
ผลที่ได้รับ มีคุณค่ามากมายมหาศาล



ของขวัญจาก " ก า ร ฟั ง "
จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก
อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่น
พูดให้น้อย ฟังให้มาก



ของขวัญจาก " ภ า ษ า ก า ย "
อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ
การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้
จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ



ของขวัญจาก " ค ว า ม เ บิ ก บ า น "
แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง
มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว



ของขวัญจาก " ก า ร เ ขี ย น "
กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง
เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ
จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย



ของขวัญจาก " คำ ช ม "
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม
เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ



ของขวัญจาก " ค ว า ม มี น้ำ ใ จ "
ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ
สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด
ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน
การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น



ของขวัญจาก " เ ว ล า ส่ ว น ตั ว "
บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง
อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว
เมื่อเขาต้องการ



ของขวัญจากการ " ใ ห้ กำ ลั ง ใ จ "
คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด
ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส
ใจเย็น ๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย
สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้



ของขวัญจาก " ม ธุ ร ส ว า จ า "
คำพูดดี ๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี
อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ
คุณอยากฟังคำพูดดี ๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน



และที่สำคัญ
มั น เ ป็ น ข อ ง ข วั ญ ที่ ม า จ า ก ใ จ โ ด ย ไ ม่ ต้ อ ง ล ง ทุ น สั ก แ ด ง เ ดีย ว


หัวข้อ: Re: ของขวัญที่มอบให้กันได้ทุกวัน........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2008, 21:05:17
ชอบค่ะ  :)  คิดถึงคุณ journey ค่า  :-*


หัวข้อ: Re: ของขวัญที่มอบให้กันได้ทุกวัน........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: vigo ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2008, 08:29:13
ขอบคุณครับ สำหรับบทความดีๆ   :-* :-*


หัวข้อ: ความสุขยิ่งกว่าการให้........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 02 มีนาคม 2008, 11:28:02
ความสุขยิ่งกว่าการให้

ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต มีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา

วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอด สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโต ซื้อรถสปอร์ตคนงามเป็นของขวัญให้กับน้องชาย ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหน เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้ เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต เมื่อความฝันเป็นจริง
สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวน
ไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก

ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังแค่ไหน อีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้ คงไม่บ้าเก็บเอาไว้ดูตามลำพัง ที่โรงรถในบ้าน ขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ

เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเดินลูบๆคลำๆรอบรถคันงาม ด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ สิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม

"ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" เขาบอก

เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ "รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ"

"แน่นอน" เขาตอบ

"พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่" เด็กคนเดิมถาม

"คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้เป็นของขวัญ"

"โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...."

เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่าอิจฉาตัวเขาเอง อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง

...มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ...

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด "โอ้โห ดีจัง ผมอยาก....เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง"

เด็กคนนั้นพูด "ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง"

ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง ในสังคมทุกวันนี้ ที่ใครๆตั้งหน้าตั้งตาแต่จะรับ หรือบางคนไม่ยอมรอ ใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ

...เขาอยากเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ...

.... ชายหนุ่มมองเด็กด้วยความรู้สึกทึ่งและพูดออกมาทันทีว่า "อยากนั่งรถเล่นกับฉันไหม"

"ครับ อยากมากเลย"

หลังจากขับรถเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กชายหันมาพูดด้วยดวงตาวาวแวว

"คุณจะกรุณาขับรถไปหน้าบ้านผมได้ไหมครับ" ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร

เขาคงต้องการให้เพื่อนบ้านเห็นว่าเขาได้นั่งรถคันโตกลับบ้าน
แต่ชายหนุ่มคิดผิดอีกแล้ว

"คุณจอดตรงบันไดนั่นล่ะครับ" เขาวิ่งขึ้นบันได

จากนั้นสักครู่จึงกลับมาแต่เขาไม่ได้วิ่ง เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆที่ขาพิการมาด้วย และวางน้องลงที่บันไดล่าง กอดไว้และชี้ไปที่รถ

"นั่นไง บัดดี้ รถคันที่พี่เล่าให้ฟัง พี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญ เขาไม่ต้องเสียตังค์เลย สักวันหนึ่งพี่จะซื้อให้น้องบ้าง น้องจะได้ดูของสวยๆงามๆด้วยตาของน้องเองเหมือนที่พี่เคยเล่าให้ฟัง"

ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นรถ พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้และแล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง ชายหนุ่มรู้แล้วว่า "ความสุขยิ่งกว่าการให้" หมายถึงอะไร




คนส่วนใหญ่แสวงหาความสุขอย่างรีบเร่ง
จนกระทั่ง ผ่านเลยความสุขไป


หัวข้อ: Re: ความสุขยิ่งกว่าการให้........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 02 มีนาคม 2008, 11:30:40
บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งได้สองเดือน
อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง
ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย

"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?"

ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่
ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง
เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50
แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?
ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย
ก่อนหมดคาบเรียน เพื่อนคนหนึ่งถามว่า
คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่

"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน
เธอจะต้องพบกับคนมากมาย
ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ
ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่
แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"

ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย
และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี


บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น.
สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สาย อลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่
รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชก เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ
ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง
เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60
ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่

แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา
และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย
เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา ด้วยความประหลาดใจ
โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมาด้วย ใจความว่า:

"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น
แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย

แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต
ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน
และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"

ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก
เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ
เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า
"ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?"

"ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ
แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า
แล้วก็นับเ หรียญในมือ

"งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก

ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน

"สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ
เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง

"ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก
แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา
ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา
เธอก็เริ่มร้องให้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น
มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น

เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด
เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น



หัวข้อ: Re: ความสุขยิ่งกว่าการให้........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: wikandagay ที่ 02 มีนาคม 2008, 12:38:02
อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ (ซาบซึ้ง) ขอบคุณเจ้าขอบทความนะค่ะ  :)


หัวข้อ: Re: ความสุขยิ่งกว่าการให้........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Gu[PoW-HoD] ที่ 02 มีนาคม 2008, 13:05:16
 :) ไปนิพพานกันเถอะ  หึหึ โลกนี้ก็งั้นๆ


หัวข้อ: เสน่หา: คนมีเสน่ห์... ....... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 18 มีนาคม 2008, 21:34:31
เสน่หา: คนมีเสน่ห์...

นำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ

มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)

มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้

1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ
2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ
3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น
4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที
5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ
6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน
7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่
8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ
9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย
10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง


วาจาต้องใจ

11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม
13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ
14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง
15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า
16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา
17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเองเพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ
18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น
19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป
20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม
ภายในต้องเยี่ยม
21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง
22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น
23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก
24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม
25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม
26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน
27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน
28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง
29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ
30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์


เบ็ดเตล็ด

31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี
32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร
33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้
34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ
35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย
36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ
37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี
39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่
40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า
41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ
42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที
44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก
45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้
46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา
47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว


จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้


หัวข้อ: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ ...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 21 มีนาคม 2008, 23:43:07
ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ

ผู้ชายคนหนึ่งเพึ่งซื้อรถกระบะคันใหม่ เขาเดินออกมานอกบ้านเพื่อชื่นชมมัน
แต่แล้วก็ต้องงุนงงแกมตกใจ เมื่อเห็นบุตรชายวัย 3 ขวบ กำลังใช้ฆ้อนตอกตัวถังรถจนสีกระเทาะ
ผู้ชายคนนั้นวิ่งลิ่วไปหาลูกชาย ปัดตัวเด็กไปทางหนึ่ง และอารามโกรธจัด
เขาก็คว้าฆ้อนมากระหน่ำทุบ ใส่มือลูกชายทั้งสองข้าง!
พอได้สติ เขาก็รีบอุ้มลูกไปส่งที่โรงพยาบาล
แต่.... แม้หมอจะพยายามรักษา กระดูกที่แหลกละเอียดเพียงใดก็ตาม หากก็สุดความสามารถที่จะช่วยเหลือไว้ได้
ในที่สุด......หมอจำต้องตัดนิ้วทุกนิ้วออกไปจากมือของเด็ก
ครั้นเด็กฟื้นจากการผ่าตัด แล้วเห็นมือที่พันผ้าของตัวเองไว้ ก็พูดกับพ่อด้วยเสียงซื่อๆว่า
"พ่อครับ .. ผมขอโทษเรื่องรถของพ่อ "
ต่อจากนั้นก็ถามตามมาว่า
" แล้วนิ้วของผม เมื่อไหร่มันจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ล่ะครับพ่อ "
ผู้เป็นพ่อกลับบ้านแล้ว .... ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย .....


............ ฝากไว้เตือนใจ ... ใครหลายๆ คนที่ใจร้อนและขี้โมโหง่าย........

 


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: thenetxx ที่ 21 มีนาคม 2008, 23:52:22
เอ่อ

เรื่องล่าสุดนี่อ่านแล้ว สลดไปหน่อยอะคับ -*- :P


หัวข้อ: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดีๆ...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 21 มีนาคม 2008, 23:55:43
ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดีๆ

ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดีๆ...
คิดว่าจริงรึเปล่า
คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่แปลกเมื่อได้ยินได้ฟังหรอก..
เป็นคำถามปกติธรรมดาที่แทบจะได้ยินทุกเมื่อเชื่อวัน..
ผู้ชายหลายคนมักจะตั้งคำถามแบบนี้เสมอๆ
ยิ่งเมื่อเห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบไปเลือกคบกับไอ้หนุ่มที่ท่าทางเจ้าชู้
และไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว
แทนที่จะเลือกคบกับตัวเขา..
ถึงแม้ว่าผู้ชายทั้งหลายละทิ้งอคติ..
ที่มองว่าตัวเองดีกว่าชาวบ้านเสมอไปแล้วก็ตาม
แต่คำถามนี้ก็ยังคงไม่หายไปจากโลกง่ายๆ..
เพราะว่าความเข้าใจในความ "ดี"
ที่ผู้หญิงและผู้ชายมองนั้นแตกต่างกันไป...
ผู้ชายมักจะมองว่าผู้ชายที่ดี ที่ผู้หญิงควรจะเลือกคือ
ผู้ชายที่เรียบร้อย ไม่เจ้าชู้ ไม่ยุ่งกับอบายมุข
เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้หญิงพอใจที่จะเลือกเป็นคู่ครอง
ทว่า.. ผู้ชายมองอะไรที่ตื้นเขินเกินไป

ในความเป็นจริงแล้ว
ผู้หญิงทุกคนจะให้คำจำกัดความของคำว่า "ดี" คือ
ผู้ชายที่รักเธอจริงและแสดงออกว่าเธอเป็นคนสำคัญ
มีความเป็นผู้นำ รวมทั้งฉลาดพอที่จะต่อกรกับเธอได้

จะเห็นได้ว่าคำว่า "ดี" ที่ผู้หญิงกับผู้ชายคิดนั้น
แทบจะหาความเกี่ยวข้องกันไม่ได้เลย..
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้ชายหลายคน
ถึงไม่อาจยอมรับการตัดสินใจเลือกคบกับใครสักคนของผู้หญิงได้
เพราะว่าเธอเลือกผู้ชายที่ไม่ดีในสายตาเขา
แต่เป็นผู้ชายที่ดีในสายตาของเธอ..
ในอีกกรณีหนึ่ง..
ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมทุกประการก็เจอกับปัญหานี้เช่นกัน
แต่ไม่ใช่เพราะว่าคำว่า "ดี"
หากแต่เป็นเพราะความสมบูรณ์แบบของเขาต่างหาก
ที่ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าเลือกผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ครอง...

ผู้ชายที่เป็นคนดีเกินไปนั้น
ทำให้ผู้หญิงอึดอัดทั้งกายและใจในการที่จะอยู่ด้วย
มากกว่าผู้ชายที่มีข้อบกพร่องบ้าง
เพราะว่าผู้หญิงก็รู้ตัวดีอยู่ว่าตัวเองนั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก
ถ้าผู้ชายที่เธอคบด้วยเป็นคนสมบูรณ์แบบเกินไป
ก็จะทำให้เธอขาดความมั่นใจ
และไม่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงที่มีข้อบกพร่องต่อหน้าเขาได้
เพราะว่าเขาสมบูรณ์แบบเสียจนเธอไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจเรื่องบกพร่อง
ในบางครั้งเขายังทำลายความมั่นใจในตัวผู้หญิงได้อย่างไม่รู้ตัว
และสุดท้ายคือ
ผู้หญิงกลัวที่จะสูญเสียเขาไปเมื่อเขารู้จักเธอมากพอ...

เมื่อรู้ว่าเธอไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาอยากได้..
ดังนั้นผู้หญิงเลยเลือกที่จะไม่สนใจผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ต้นเสียดีกว่า

โดยเนื้อแท้แล้ว
ไม่มีใครอยากได้คู่ครองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเลวหรอก..
ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย
เราทุกคนต่างก็เสาะหาคนดีๆกันทั้งนั้น
ดังนั้นสิ่งที่จะสามารถผูกมัดอีกฝ่ายหนึ่งไว้ได้คือ..
จงทำตัวเหมือนหนังสือที่มองภายนอกแล้วน่าสนใจ..
เปิดมาอ่านภายในแล้ววางไม่ลง..
แต่อ่านเท่าไรก็ไม่สามารถหาตอนจบได้พบ...

 


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: D-N-A ที่ 22 มีนาคม 2008, 00:03:30
งั้น เปลี่ยนจาก คบ ผู้ หญิง มาเป็ฯ คบกับผู้ชายแทน เลยดีมั้ย   ;D ;D


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: pguroo ที่ 22 มีนาคม 2008, 00:06:13
เยี่ยมครับอ่านแล้วใด้คิดเลย


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 22 มีนาคม 2008, 00:20:43
ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ

ผู้ชายคนหนึ่งเพึ่งซื้อรถกระบะคันใหม่ เขาเดินออกมานอกบ้านเพื่อชื่นชมมัน
แต่แล้วก็ต้องงุนงงแกมตกใจ เมื่อเห็นบุตรชายวัย 3 ขวบ กำลังใช้ฆ้อนตอกตัวถังรถจนสีกระเทาะ
ผู้ชายคนนั้นวิ่งลิ่วไปหาลูกชาย ปัดตัวเด็กไปทางหนึ่ง และอารามโกรธจัด
เขาก็คว้าฆ้อนมากระหน่ำทุบ ใส่มือลูกชายทั้งสองข้าง!
พอได้สติ เขาก็รีบอุ้มลูกไปส่งที่โรงพยาบาล
แต่.... แม้หมอจะพยายามรักษา กระดูกที่แหลกละเอียดเพียงใดก็ตาม หากก็สุดความสามารถที่จะช่วยเหลือไว้ได้
ในที่สุด......หมอจำต้องตัดนิ้วทุกนิ้วออกไปจากมือของเด็ก
ครั้นเด็กฟื้นจากการผ่าตัด แล้วเห็นมือที่พันผ้าของตัวเองไว้ ก็พูดกับพ่อด้วยเสียงซื่อๆว่า
"พ่อครับ .. ผมขอโทษเรื่องรถของพ่อ "
ต่อจากนั้นก็ถามตามมาว่า
" แล้วนิ้วของผม เมื่อไหร่มันจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ล่ะครับพ่อ "
ผู้เป็นพ่อกลับบ้านแล้ว .... ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย .....


............ ฝากไว้เตือนใจ ... ใครหลายๆ คนที่ใจร้อนและขี้โมโหง่าย........

 

น่าสงสารเด็ก ที่มีพ่อเป็นควาย


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: 3didy ที่ 22 มีนาคม 2008, 00:34:16
ถ้าจะตอบตรงๆก็คือ ผู้ชายดีๆเขาต้องทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่ ไม่มีปัญญาหาเงินมาบำรุงบำเรอผู้หญิง
เรื่องง่ายๆที่ไม่มีใครยอมรับ


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: thenetxx ที่ 22 มีนาคม 2008, 01:01:18
อ้างถึง
จงทำตัวเหมือนหนังสือที่มองภายนอกแล้วน่าสนใจ..
เปิดมาอ่านภายในแล้ววางไม่ลง..
แต่อ่านเท่าไรก็ไม่สามารถหาตอนจบได้พบ...

ชอบตรงนี้จังเลยคับ คมมาก


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Keizz ที่ 22 มีนาคม 2008, 21:56:10
แสดงว่าผมก็เป็นคนดีจิงๆอ่ะจิ เขาถึงไม่ชอบ ดีจายยยย  :-[ อ้าว   :'(


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: eakk468 ที่ 22 มีนาคม 2008, 22:10:25
สมัยเรียนจีบสาวคนนึง พอมาวันนึงเธอก็มาบอกว่า...
นาย..ดีเกินไป เศร้าเลย แงแง ก้เลยทำตัวเลวสมใจ....
แล้วสาวก็มาเยอะกว่าเดิม  :D


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: Nongkhai_tong ที่ 22 มีนาคม 2008, 22:12:15
ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ

ผู้ชายคนหนึ่งเพึ่งซื้อรถกระบะคันใหม่ เขาเดินออกมานอกบ้านเพื่อชื่นชมมัน
แต่แล้วก็ต้องงุนงงแกมตกใจ เมื่อเห็นบุตรชายวัย 3 ขวบ กำลังใช้ฆ้อนตอกตัวถังรถจนสีกระเทาะ
ผู้ชายคนนั้นวิ่งลิ่วไปหาลูกชาย ปัดตัวเด็กไปทางหนึ่ง และอารามโกรธจัด
เขาก็คว้าฆ้อนมากระหน่ำทุบ ใส่มือลูกชายทั้งสองข้าง!
พอได้สติ เขาก็รีบอุ้มลูกไปส่งที่โรงพยาบาล
แต่.... แม้หมอจะพยายามรักษา กระดูกที่แหลกละเอียดเพียงใดก็ตาม หากก็สุดความสามารถที่จะช่วยเหลือไว้ได้
ในที่สุด......หมอจำต้องตัดนิ้วทุกนิ้วออกไปจากมือของเด็ก
ครั้นเด็กฟื้นจากการผ่าตัด แล้วเห็นมือที่พันผ้าของตัวเองไว้ ก็พูดกับพ่อด้วยเสียงซื่อๆว่า
"พ่อครับ .. ผมขอโทษเรื่องรถของพ่อ "
ต่อจากนั้นก็ถามตามมาว่า
" แล้วนิ้วของผม เมื่อไหร่มันจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ล่ะครับพ่อ "
ผู้เป็นพ่อกลับบ้านแล้ว .... ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย .....


............ ฝากไว้เตือนใจ ... ใครหลายๆ คนที่ใจร้อนและขี้โมโหง่าย........

 

น่าสงสารเด็ก ที่มีพ่อเป็นควาย

น่าสงสารจริง ๆ  ;D


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: นายบุญเปิก ที่ 22 มีนาคม 2008, 22:30:52
คือ ไอสิ่งที่เราเรียกว่า ผู้ชายที่ดีเนี่ย ในสายตาผู้หญิงมันดีจริงเหรอ ที่จะพอให้ผู้หญิงคนนึงมารักได้เนี่ย



หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: Nongkhai_tong ที่ 22 มีนาคม 2008, 22:33:27
ไม่มีใครดีที่สุดดีทุกอย่าง เป็นไปบ่ได้ดอก


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue-WaterSilver ที่ 22 มีนาคม 2008, 22:34:41
อยากให้มองชีวิตลูก(ผู้)ชายอย่างผมเป็น"ทรงกลมสีขาว"กันน่ะครับ เวลาที่ด้านไหนมีจุดดำที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด(แบบไม่ได้ตั้งใจ) ก็ขอให้พลิกทรงกลมนั้นไปด้านอื่น แล้วเปิดใจมองสีขาวที่เหลือด้านอื่นๆของทรงกลมนั้นๆบ้างนะครับ


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: tonnum ที่ 23 มีนาคม 2008, 01:41:48
อ่านแล้วรู้สึกดีครับ...แล้วจะนำไปใช้ ;)


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: sealinda ที่ 23 มีนาคม 2008, 03:24:16
คือ ไอสิ่งที่เราเรียกว่า ผู้ชายที่ดีเนี่ย ในสายตาผู้หญิงมันดีจริงเหรอ ที่จะพอให้ผู้หญิงคนนึงมารักได้เนี่ย



ตามนี้เลยอ่ะ
V
V
V




ในความเป็นจริงแล้ว
ผู้หญิงทุกคนจะให้คำจำกัดความของคำว่า "ดี" คือ
ผู้ชายที่รักเธอจริงและแสดงออกว่าเธอเป็นคนสำคัญ
มีความเป็นผู้นำ รวมทั้งฉลาดพอที่จะต่อกรกับเธอได้



แต่ต้องเข้าจายว่า ญ. แต่ละคน จะรู้สึก "ถูกรัก, ถูกสำคัญ" ได้ต่างกัน...
ญ.บางคนชอบให้ช.แสดงออกว่าร้ากกกกกกกกกกกกรัก โรแมนติคค้อดๆๆๆ
ญ. บางคนก้อชอบให้ช. เป็นผู้นำ ฉลาด ช่วยเหลือเทอได้

ต้องลองสังเกต (หรือไม่ก้อถามตรง ๆ เลย เอเชื่อว่า ญ. จะตอบตรง ๆ เหมือนกัน) ว่า "อะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกรัก, และเป็นคนสำคัญ"  ::)



หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jonu2528 ที่ 24 มีนาคม 2008, 01:58:11
ถึงเราจะเลวในสายตาคนอื่น   แต่...เราจะดีในสายตาเธอ :-[ :-[


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 24 มีนาคม 2008, 02:28:35
ต้องลองสังเกต (หรือไม่ก้อถามตรง ๆ เลย เอเชื่อว่า ญ. จะตอบตรง ๆ เหมือนกัน) ว่า "อะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกรัก, และเป็นคนสำคัญ"  ::)

แล้วเอละจ้ะ อะไรที่ทำให้เอรู้สึกว่าถูกรัก  :-[


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: sealinda ที่ 24 มีนาคม 2008, 03:12:12
ต้องลองสังเกต (หรือไม่ก้อถามตรง ๆ เลย เอเชื่อว่า ญ. จะตอบตรง ๆ เหมือนกัน) ว่า "อะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกรัก, และเป็นคนสำคัญ"  ::)

แล้วเอละจ้ะ อะไรที่ทำให้เอรู้สึกว่าถูกรัก  :-[

เอียงหูมาสิจ๊ะ เด๋วกระซิบให้ฟัง  :-[ :-[


 จ๊วบส์ส์ส์ส์  :D


หัวข้อ: Re: ความโกรธเป็นบ่อเกิดความหายนะ + ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี...... ^_^ (jour
เริ่มหัวข้อโดย: khanom ที่ 24 มีนาคม 2008, 03:29:48
แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ ช่วยเติมชีวิตที่ว่างเปล่า ช่วยเอาความรักมาให้ มีใครบ้างไหม สักคน :D :D :D


หัวข้อ: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก........ ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 24 มีนาคม 2008, 20:56:05
โปรแกรมความรัก........ ^_^

ช่างเทคนิค :
" ฮัลโหล สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ "

ลูกค้า :
" ดิฉันได้นั่งนึกดูแล้วคิดว่า โปรแกรมความรัก นี่ก็น่าสนใจ ดีนะคะ คุณช่วยกรุณาแนะนำดิฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะลงโปรแกรมนี้ยังไง "

ช่างเทคนิค :
" ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ "

ลูกค้า :
" อืม... ไม่รู้เหมือนกันคะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้ เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไร แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมคะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำยังไงบ้างคะ "

ช่างเทคนิค :
" อันดับแรกเลยคุณต้องเปิดใจคุณก่อนครับ "

ลูกค้า :
" ไม่มีปัญหาคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาใน การติดตั้งไหมคะถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้ "

ช่างเทคนิค :
" ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ "

ลูกค้า :
" เดี๋ยวขอดิฉันดูนิดนึงนะคะ อืม... ก็มีโปรแกรม "ความเจ็บปวดในอดีต" , "การไม่เห็น คุณค่าของตัวเอง", "ความริษยา", "ความขุ่นเคือง" และก็ "โปรแกรมความโกรธ" ทั้งหมดที่เปิดก็มีเท่านี้คะ "

ช่างเทคนิค :
" ไม่มีปัญหาครับ โปรแกรมความรักจะค่อยๆลบความเจ็บปวดในอดีต ออกจากระบบปฏิบัติการครับ
มันอาจจะคงอยู่ในหน่วยความทรงจำแต่ว่าจะไม่รบกวนการทำงานของโปรแกรมอื่นๆครับ ไม่ต้องกังวล
สำหรับโปรแกรมการไม่เห็นคุณค่าของตัวเองนั้นจะค่อยๆหายไปเอง เพราะส่วนประกอบส่วนหนึ่งของโปรแกรมความรัก คือการเห็นคุณค่าของตนเอง ส่วนนี้จะค่อยๆเข้ามาแทนที่อย่างช้าๆจนการไม่เห็น คุณค่าตัวเองหมดไป
แต่ว่าคุณเองจะต้องปิดโปรแกรมความริษยา ความขุ่นเคืองและ ความโกรธลง เพราะโปรแกรมพวกนี้จะขัดขวางไม่ให้โปรแกรมความรักสามารถติดตั้งได้ รบกวนช่วยปิดโปรแกรมพวกนี้ ก่อนได้ไหมครับ "

ลูกค้า :
" บอกตามตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รู้จริงๆคะว่าจะปิดโปรแกรมพวกนี้ยังไง "

ช่างเทคนิค :
"เข้าไปที่ Start Menu นะครับ แล้วเรียกโปรแกรมการให้อภัยขึ้นมา
ต้องเปิดโปรแกรมนี้เรื่อยๆจนกว่าความริษยา, ความขุ่นเคืองและก็ความโกรธจะถูกลบออกไปจนหมด "

ลูกค้า :
" ได้คะ.... เสร็จแล้วคะ ตอนนี้โปรแกรมความรักเริ่มที่จะติดตั้งอัตโนมัติแล้วคะ
แต่เอ..........นี่เป็นปกติของโปรแกรมใช่ไหมคะที่ติดตั้งด้วยตัวมันเอง "

ช่างเทคนิค :
" ใช่ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่า นี่เป็นเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น
คุณจะต้องติดต่อกับหัวใจดวงอื่นๆเพื่อที่จะได้ upgrade โปรแกรมความรักให้มี version ที่สูงขึ้น "

ลูกค้า :
" อุ้ย....มีข้อความผิดพลาดขึ้นที่หน้าจอ
บอกว่า " โปรแกรมไม่สามารถติดต่อออก ไปสู่ภายนอกได้" ดิฉันควรทำยังไงดีคะ "

ช่างเทคนิค :
"ไม่ต้องตกใจครับ นั่นแสดงว่าตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งอยู่ภายในใจคุณเรียบร้อยแล้วครับ
แต่ที่โปรแกรมยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เพราะว่าคุณต้องเริ่มรักตัวคุณเองก่อน จากนั้นคุณถึงจะรักคนอื่นได้ "

ลูกค้า :
" แล้วดิฉันควรจะทำยังไงคะ "

ช่างเทคนิค :
" คุณช่วยเลื่อนการยอมรับตัวเองลงมาหน่อยได้ไหมครับ จากนั้นให้คลิกที่ไฟล์ "การยกโทษให้ตนเอง" "การรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง" และ การยอมรับถึงความจำกัดในตัวคุณ"......"

ลูกค้า :
" ได้คะ...เสร็จแล้วคะ "

ช่างเทคนิค :
" โอเคครับ จากนั้นก็ก๊อปปี้ไฟล์พวกนี้เข้ามาในไดเร็กทอรี่ "ใจฉัน" ระบบจะทำการจัดการไฟล์ที่มีปัญหารวมทั้งแก้ไขโปรแกรมต่างๆที่มีข้อผิดพลาด แต่ว่าคุณจะต้องลบไฟล์ "การพูดถึงตัวเองในแง่ลบ" และ "ไฟล์การตัดสินผู้อื่น" ออกจากทุกๆไดเร็กทอรี่นะครับ และอย่าลืมเข้าไปลบอีกที ใน Recycle Bin นะครับ
เพื่อให้มั่นใจว่าไฟล์พวกนี้ถูกลบจนหมดและไม่มีทางกลับเข้ามาทำความยุ่งยากได้อีก "

ลูกค้า :
"ทราบแล้วคะ เอ๊ะ!!...มีไฟล์ใหม่ๆเกิดขึ้นในหัวใจตั้งเยอะคะ
"ยิ้ม" กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหน้าจอ "สันติสุข" และ "ความยินดี" กำลังก๊อปปี้ตัวเองอยู่ทั่วไปภายในใจฉัน
นี่เป็นปกติหรือเปล่า คะ "

ช่างเทคนิค :
" ครับ บางครั้งสำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ท้ายที่สุดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งและเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกก่อนที่จะวางสายครับ
ความรักเป็นโปรแกรมให้เปล่า อย่าลืมแบ่งปันให้คนอื่นนะครับ ความรักที่คุณให้ไปจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน และความรักนี้จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆและส่วนหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่ตัวคุณด้วย และเมื่อนั้นความรักของคุณก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง "

ลูกค้า :
" ดิฉันให้สัญญาคะ...................ว่าจะแบ่งปันโปรแกรมความรักให้กับคนอื่นๆ
รบกวนขอทราบชื่อของ คุณหน่อยได้ไหมคะ "

ช่างเทคนิค :
" เรียกผมว่า "ผู้ชันสูตรจิตใจ" หรือ เราเป็น" (I AM) ก็ได้ครับ คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะต้องไปตรวจสุขภาพจิตใจปีละครั้ง เพื่อให้หัวใจเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ผู้ที่สร้างใจ (ผมเอง) ขอแนะนำว่าไม่จำเป็น................ เพียงแต่คุณคอยหมั่นดูแลความรักให้คงอยู่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ"


ที่มา : www.tttonline.net


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: nopponx1 ที่ 24 มีนาคม 2008, 21:04:57
จรรโลงใจ ดีครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jotaki ที่ 24 มีนาคม 2008, 21:31:06
รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยครับ เลิกกะแฟนร้องไห้มาสองวัน ทำไมผู้ ญ ไม่ชอบผู้ชายดี ได้อ่านแล้ว ถึงบางอ้อเลย


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 24 มีนาคม 2008, 21:55:40
รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยครับ เลิกกะแฟนร้องไห้มาสองวัน ทำไมผู้ ญ ไม่ชอบผู้ชายดี ได้อ่านแล้ว ถึงบางอ้อเลย

สู้ๆนะคะ เดี๋ยวก็เจอคนดีๆค่ะ   :)


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: tenzamak ที่ 24 มีนาคม 2008, 21:57:19
รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยครับ เลิกกะแฟนร้องไห้มาสองวัน ทำไมผู้ ญ ไม่ชอบผู้ชายดี ได้อ่านแล้ว ถึงบางอ้อเลย

ในเมื่อผู้ ญ ที่คบกันไม่ชอบผู้ชายๆดีๆ เราก็เปลี่ยนไปครบผู้ชายดีๆสิอย่าไปคบเลยผู้ ญ










เข้ามาพูดให้สบายใจ อย่าซีเรียสเน้อ


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: DONKEY ที่ 25 มีนาคม 2008, 01:51:12
ดีจังครับ ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะมานานแล้ววว

ขอบคุณครับ


กระทู้นี้ทำให้ได้สติกลับมาอีกเยอะ........


อ่านจบอยากบวชชชชชชชชชชชชชช


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: wear428 ที่ 25 มีนาคม 2008, 02:55:49
ถ้าจะขอ ก็อบไปทำเว็บ เพื่อให้คนแอื่นได้รับรู้เรื่องดีๆ แบบนี้ จะเป็นไรไหมครับ  8)


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 มีนาคม 2008, 13:09:48
ถ้าจะขอ ก็อบไปทำเว็บ เพื่อให้คนแอื่นได้รับรู้เรื่องดีๆ แบบนี้ จะเป็นไรไหมครับ  8)

 :-[ :-[ไม่ได้หวงจ้า..... ทำตามธรรมเนียมละกันใส่อ้างอิงไว้ด้วยนะจ๊ะ  ขออนุโมทนาจ้าา.. :) :)็




หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 มีนาคม 2008, 13:19:17
แล้วเว็บอะไรละ จะตามไปเยี่ยมชม  ::) ::)


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก...... ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: amphibology ที่ 25 มีนาคม 2008, 14:15:27
เจ๋งมากมายก่ายกอง  :'(


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก +เพียงคำบางคำ.. ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 มีนาคม 2008, 23:01:52
เพียงคำบางคำ..ก็ช้ำทั้งชีวิต


(http://img2.freeimagehosting.net/uploads/b4f0b0cb36.gif)

บทความคัดลอกบางบทจาก...
(http://img42.imagevenue.com/loc607/th_60108_book_hope-happy_122_607lo.jpg)

ชุติปัญโญ
ราคา 159 บาท
จำนวนหน้า 192 หน้า


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก +เพียงคำบางคำ.. ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: DONKEY ที่ 26 มีนาคม 2008, 01:37:14
แหะๆๆ ชอบรูปปกหนังสือจังงงงงงงง ขอเอามาำทำ avatar น่ะครับ............. :P


ภาพปกเห็นแล้วน่าอ่านจังงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ขอบคุณครับ ที่แนะนำหนังสือดีๆๆๆๆๆ.. :'(


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก +เพียงคำบางคำ.. ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: toony ที่ 26 มีนาคม 2008, 02:57:10
ผู้หญิง บางครั้งก็เข้าใจยาก  :'(


หัวข้อ: Re: ทำไมผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายดี + โปรแกรมความรัก +เพียงคำบางคำ.. ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: seven ที่ 26 มีนาคม 2008, 02:57:37
กรรมจริง :-X

แล้วลูกจะอยู่กับใครเนี่ย ไม่โดดน้ำตายเพราะผู้ชายคนเดียว หันมาเลี้ยงลูกให้อยู่ดีมีสุขดีกว่า ::) :-[


หัวข้อ: เพียงคำบางคำ..+ ลักษณะของคนที่น่ารัก ...^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 30 มีนาคม 2008, 21:12:12
ลักษณะของคนที่น่ารัก

พระธรรมวิสุทธิกวี

เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร





ลักษณะของคนที่น่ารัก

ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย

คนบางคนในโลกนี้ เป็นที่เคารพรักใคร่ของคนทั้งหลาย แม้เพียงพบเห็นครั้งแรก จึงมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก
เพราะเขามีคุณธรรมอันเป็นลักษณะของคนที่น่ารักอยู่ในตัว คนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยในสังคมปัจจุบัน
แต่บางคนเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย แม้เมื่อพบเห็นหรือรู้จักกันครั้งแรก ไม่อาจมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้
เพราะมีลักษณะนิสัยไม่ดี ขาดคุณธรรม
คนประเภทนี้ก็มีอยู่มากเช่นกันในสังคม

ดังนั้น ความประพฤติหรืออุปนิสัยใจคอ จึงเป็นตัวบ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าและความเสื่อมของคนเรา

ตามหลักในพระพุทธศาสนานั้นคนที่น่ารัก ซึ่งเป็นที่รักพอใจของคนทั้งหลายเมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้วมีลักษณะ ๙ ประการ คือ

• ไม่เป็นคนอวดดี

• ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ

• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว

• พูดจาอ่อนหวาน

• เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น

• เป็นคนกตัญญูกตเวที

• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น

• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน



ลักษณะของคนที่น่ารัก

• ไม่เป็นคนอวดดี
คือใครก็ตาม ถ้าชอบเป็นคนอวดดี
เช่น อวดรวย อวดเก่ง อวดยศศักดิ์ตำแหน่งของตน ชอบคุยอวดคนโน้นคนนี้ถึงความดีเด่นของตนอย่างโน้นอย่างนี้
หรืออวดสมบัติของตน จนทำให้คนอื่นเบื่อฟังและรู้สึกหมั่นไส้ คนเช่นนี้แม้ตนเองจะมีคุณสมบัติหรือความดีเด่นจริง
ก็เป็นที่ชิงชังและเบื่อระอาของคนทั้งหลาย เพราะเขาไม่ชอบคนอวดดี ยิ่งถ้าตนไม่มีคุณสมบัติอันใดก็ยิ่งเป็นที่ชิงชัง ของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น
แต่คนที่มีนิสัยดีน่ารักนั้น เขาจะไม่โอ้อวด
แม้จะมีดีอวดแต่เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
และบางคนถึงกับปกปิดคุณความดีของตน
ถ้าใครจะทราบก็ค่อยรู้เอาเอง คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักใคร่ เอ็นดู หรือเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย
และย่อมมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก
เพราะได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากบุคคลทั่วไป



• เป็นคนไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
คือใครก็ตามถ้าไม่รู้จักประมาณตนในการพูด
พูดพล่ามพูดไร้สาระหรือพูดมากจนเกินไป
จนคนทั้งหลายเบื่อฟังและรู้สึกรำคาญไม่อยากฟัง
อยากออกไปเสียให้ห่าง เมื่อคนนั้นพูด
คนเช่นนี้แม้จะมีความรู้ความสามารถดี ก็หาเป็นที่รัก
แลเป็นที่เคารพของคนทั้งหลายไม่
ถ้ายิ่งเป็นคนต่ำต้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น
ฉะนั้น คนที่ฉลาดและน่ารักจึงพูดแต่พอประมาณไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
แต่พูดมีสาระน่าฟัง เช่นพูดแนะนำหรือพูดสร้างสรรค์ เป็นต้น และเมื่อพูดสิ่งใดก็คิดใคร่ครวญก่อนแล้วจึงพูด คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย
และย่อมได้รับความเอ็นดู ความเกื้อกูลจากคนทั่วไป
ฉะนั้น คนที่มีลักษณะนิสัยที่น่ารัก
จึงไม่พูดมากจนเขาเบื่อแต่เป็นผู้พูดพอประมาณ




• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
คือบางคนขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนแข็งกระด้าง
ขาดสัมมาคารวะชอบดูหมิ่นดูถูกคนอื่น เป็นคนไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครคนประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย
เหมือนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย หรือเหมือนรวงข้าวที่ลีบไม่มีเมล็ด
ไร้ค่า ยืนชูรวงโด่อยู่ไม่โน้มลง
แต่คนที่น่ารักนั้นย่อมมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิสัยมีสัมมาคารวะ
ไม่แข็งกระด้าง เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ที่เจริญกว่าตน
ทั้งโดยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิ
คนเช่นนี้ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก
สมดังพุทธพจน์ แปลความว่า ธรรมะ ๔ ประการ
คือมีอายุยืน ๑ มีผิวพรรณผ่องใส ๑ มีความสุขกายสุขใจ ๑ มีกำลังกายกำลังใจ ๑ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ
ฉะนั้นผู้หวังให้ผลดีทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นแก่ตน ก็ต้องสร้างเหตุคือ นิสัยที่น่ารักด้วยการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิจ



• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
คือใครก็ตาม รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาต่าง ๆ
ในข้อตกลงหรือปรึกษาหารือต่างๆ ไม่ดึงดันเอาแต่ความเห็นหรืออำนาจตามอำเภอใจของตนฝ่ายเดียว
ย่อมรู้จักประนีประนอมในปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน
เมื่อฝ่ายหนึ่งรุนแรงยืนยันขันแข็งในท่าที
หรือจุดประสงค์ของตนก็ผ่อนปรนลงบ้าง
ไม่ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าปัญหาครอบครัว
การทำงานหรือในข้อขัดแย้งต่าง ๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อความสามัคคีถนอมน้ำใจกัน
และความสงบสุขในครอบครัว ในหน่วยงานหรือในสังคม
ถ้าเมื่อฝ่ายหนึ่งหย่อนยานเกินไป อันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียหายได้ ก็มีทีท่าเข้มงวดเข้าไว้ให้ถูกระเบียบและกฎเกณฑ์ ก็จะทำให้เกิดความพอดีขึ้น
คนเช่นนี้ สามารถดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุข
ราบรื่นไม่ค่อยมีความขัดแย้งกับใคร
จึงทำให้เป็นคนมีนิสัยน่ารักเพราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวนี้ ทำให้เกิดความพอดี ไม่เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและความขัดแย้งกับใคร ๆ
เพราะไม่ตึง ไม่หย่อน จนเกินไป
เหมือนคนที่เล่นว่าว ถ้าเล่นว่าวเป็น ว่าวก็จะไม่ตกและกินลมได้ดี
คือ เมื่อลมแรงเกินไป ก็ปล่อยสายป่านให้ยาวออกไป
เพราะถ้าดึงไว้สายป่านก็จะขาดทำให้ว่าวตก
หรือเมื่อลมอ่อนเกินไปก็พยายามดึงสายป่านเอาไว
ว่าวก็จะกินลมได้ดีและไม่ตก การดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าจะให้ราบรื่นก็ต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ
ถ้าไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวแล้ว ก็จะขัดแย้งกับคนอื่นอยู่เสมอ
ไม่ว่าในปัญหาครอบครัวหรือปัญหาใด ๆ
ฉะนั้น การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว จึงเป็นลักษณะนิสัยที่น่ารักประการหนึ่ง



• พูดจาอ่อนหวาน
การพูดจาอ่อนหวานเป็นเสน่ห์ประการหนึ่ง
ที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นไว้ได้
เพราะทำให้ผู้ฟังชื่นใจ สบายใจ
ทำให้เป็นกันเอง ทำให้ผูกมิตรไมตรีไว้ได้
จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย
ผู้ที่พูดจาไม่น่าฟัง พูดขาดสัมมาคารวะ พูดไม่รู้ที่ต่ำที่สูงหรือพูดส่อเสียด ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย
การพูดจาอ่อนหวานนี้ จัดเป็นวาจาสุภาษิตประการหนึ่ง



วาจาสุภาษิตมีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ

• เป็นคำจริง

• เป็นคำอ่อนหวาน

• เป็นคำมีประโยชน์

• พูดถูกกาลเทศะ

• พูดประกอบด้วยเมตตา

คำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง และเป็นคำอ่อนหวาน แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไม่ให้พูด เพราะไม่ได้ประโยชน์
หรือคำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง คำอ่อนหวานและมีประโยชน์ แต่ถ้าพูดไม่ถูกกาลเทศะ พระองค์ก็ไม่ตรัสสอนให้พูดเช่นกัน เพราะไม่เป็นวาจาสุภาษิต
แต่ถ้าคำนั้นปะกอบด้วยลักษณะ ๕ ประการ
คือ เป็นคำจริง เป็นคำอ่อนหวาน เป็นคำมีประโยชน์
พูดถูกกาลเทศะ และพูดด้วยเมตตาจิตแล้ว
พระองค์ก็ตรัสสอนให้พูดคำเช่นนี้
เพราะก่อให้เกิดคุณค่าให้แก่ตนเองและผู้อื่นเป็นอันมาก
ทำให้เป็นที่รักของคนทั้งหลาย และจัดเป็นมงคลแก่ชีวิต



• เป็นคนเสียสละ
ไม่เอาเปรียบผู้อื่น คือใครก็ตามถ้ามีน้ำใจเป็นนักเสียสละ
ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวรู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพนับถือของคนทั้งหลายโดยทั่วไป เพราะการให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ และผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย การเป็นคนเสียสละหรือนักเสียสละในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง การเสียสละเงินทอง หรือวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากแต่หมายถึง การเสียสละกำลังกาย เสียสละกำลังสติปัญญาช่วยเหลือกิจการของผู้อื่น
หรือสาธารณกุศลโดยส่วนรวมหรือแม้แต่ชีวิตก็สละได้ เมื่อมาคำนึงถึงความยุติธรรมและความถูกต้อง
แต่ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แปลความว่า

นรชนพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ

พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

เมื่อระลึกถึงธรรม พึงสละทุกอย่าง

คือ ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต

นอกจากเสียสละแล้ว คนที่น่ารักต้องไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นด้วย
คือไม่เห็นแก่ได้ หรือความสะดวกสบายส่วนตนแต่ฝ่ายเดียว
ให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย แต่คนที่มีลักษณะขี้เหนียว ไม่เห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบก็ย่อมเป็นที่เกลียดชัง



• เป็นคนกตัญญูกตเวที
คือ ใครก็ตามถ้าเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อท่านผู้มีพระคุณแก่ตนมาก่อน
คนนั้นจัดเป็นคนดี เป็นคนที่น่ารักและน่าเคารพนับถือ ยกย่อง จากคนทั้งหลาย เพราะเป็นการแสดงถึงพื้นฐานจิตใจของคนดี
ดังคำพระบาลีที่ว่า ภูมิ เว สาธุรูปานํ กตญฺญกตเวทิตา
(ความกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นใจของคนดี)
กตัญญูกตเวทีนี้ แยกเป็น ๒ ศัพท์ คือ กตัญญู ศัพท์หนึ่งและ กตเวที ศัพท์หนึ่ง
กตัญญู หมายถึง ผู้รู้อุปการคุณที่คนอื่นได้เคยทำแก่ตนมา
เช่น เคยเลี้ยงดูและเคยช่วยเหลือตนมา เป็นต้น
แม้ยังไม่ได้ตอบแทน แต่ถ้ารู้ถึงบุญคุณที่คนอื่นเคยกระทำแก่ตนมา
ก็จัดเป็นคนกตัญญูแล้ว
ส่วน กตเวทีนั้น หมายถึง คนที่ได้ตอบแทนอุปการคุณที่เขาได้เคยทำแก่ตนมาแล้ว
เช่น ได้ตอบแทนอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน
หรือต่อคนที่เคยช่วยเหลือตนเป็นต้น
คนที่รู้บุญคุณที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วแก่ตน และได้ตอบแทนเช่นนี้
จัดเป็นคนกตัญญูกตเวที ย่อมเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลายที่พบเห็น และย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก
เช่น คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเป็นต้น
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตนํ แปลว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดาเป็นมงคลอย่างสูงสุดของชีวิต
คือใครก็ตาม ถ้าได้เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน
จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ตกอับ
ถ้าจะตกอับบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมชั่วในปางก่อนติดตามมา
แต่ต้องเจริญรุ่งเรืองในที่สุด
เพราะได้บุญมากอันเกิดจากการเลี้ยงดูมารดาบิดาของตนนั่นแล ข้อนี้พิสูจน์ดูก็ได้คือถ้าผู้ใดยังมีพ่อแม่ ทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่
หรือยังอยู่คนใดคนหนึ่ง โดยเราเอาเสื้อผ้า อาหาร
หรือเงินทองไปมอบให้แก่ท่าน
หรือได้เลี้ยงดูท่านด้วยความจริงใจในอุปการคุณของท่าน
ผู้นั้นจะได้ลาภ ยศ หรือความรุ่งเรืองในชีวิตเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
บางทีภายในเดือนหนึ่ง หรือ ๒-๓ เดือนเท่านั้น
ถ้าผู้นั้นมีลูกหลาน ๆ ก็จะเลี้ยงเขาตอบ
แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ใดเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ไม่รู้คุณท่านผู้มีพระคุณแก่ตนและไม่คิดตอบแทน
เช่นไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน และซ้ำร้ายกลับด่าว่าทุบตี
และเหยียดหยามมารดาบิดาของตน
และปล่อยให้ท่านถึงความลำบากเมื่อท่านป่วยไข้เข้าสู่วัยชรา คนเช่นนี้จะไม่มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้เลย จะมีแต่ตกต่ำฝ่ายเดียว ถ้าจะเจริญบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมดีในปางก่อนดลบันดาลมา
แต่ก็ต้องเสื่อมไปในที่สุด เพราะบาปมาก
อันเกิดจากการประพฤติผิดต่อมารดาบิดาของตน
ถ้าเขามีลูกหลาน ๆ ก็จะประพฤติต่อเขา
เหมือนอย่างที่เขาเคยประพฤติต่อพ่อแม่ของตน
ด้วยเหตุนี้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย
จะไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ของเรา
ฉะนั้นคนแก่เฒ่าในชาติของเรา จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากลูกหลานของตน มากกว่าคนแก่ในโลกตะวันตกซึ่งมักจะถูกทอดทิ้ง
ความกตัญญูกตเวทีจึงมีผลอย่างมากต่อครอบครัว
และสังคมไทยโดยส่วนรวม ฉะนั้น ความกตัญญูกตเวที
จึงเป็นลักษณะของคนที่น่ารัก และเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวม



• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น
คือใครก็ตาม ถ้าเป็นคนมีนิสัยริษยาผู้อื่น
เห็นใครเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้ รู้สึกเร่าร้อนใจ ไม่สบายใจ
ในความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของผู้อื่น
และพยายามกลั่นแกล้งกีดกันต่อผู้ที่ดีเหนือกว่าตน ไม่อยากให้เขาได้ดีเหนือตน
เช่น เห็นเขาสบายกว่าตน เขารวยกว่าตน
เขามีทรัพย์สมบัติแลเกียรติยศชื่อเสียงเหนือกว่าตน
หรือไม่อยากให้เขาดีเสมอตน ก็มีความเร่าร้อนใจ
ที่เรียกว่า อิจฉาตาร้อน ต้องการให้ผู้นั้นเสื่อมไป
หรือไม่ได้รับสิ่งที่ดีนั้นเหนือตน หรือเหนือกว่าดีกว่าคนที่ตนรักใคร่นับถือ
คนเช่นนี้ย่อมมีใจต่ำ และจิตใจที่ร้อนผ่าวเมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดี
เป็นคนขาดมุทิตา คือการพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดีแท้ที่จริง ความริษยาเป็นพิษต่อจิตใจของผู้ริษยาเอง คือทำให้ใจเร่าร้อน ไม่สงบสุข แม้คนที่ถูกริษยาเขาจะทุกข์หรือไม่ก็ตาม แต่คนที่ริษยาก็มีความเดือดร้อนแล้ว เพราะสร้างไฟริษยาขึ้นเผาใจตนเอง
บางคนไม่ใช่มีนิสัยริษยาอย่างเดียว แต่ยังมีนิสัยเสียดสีผู้อื่นอีกด้วย คือกระทำหรือพูดกระทบกระแทกให้คนอื่นเขาเจ็บใจ เพราะเขาทนในความสุขความเจริญของผู้อื่นไม่ได้
คนเช่นนี้นอกจากตนเองจะเดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และเป็นที่เกลียดชังของคนที่มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย
แต่คนใดที่มีนิสัยไม่ริษยาเสียดสีผู้อื่น และพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดี
เช่นเห็นเขาสวย เขารวย เขามียศตำแหน่งฐานะดี
ก็แสดงความยินดีต่อผู้นั้นด้วยจริงใจ
เหมือนอย่างพ่อแม่เห็นความเจริญรุ่งเรืองของลูก
ก็รู้สึกปลื้มใจยินดีอย่างเหลือล้น และด้วยความบริสุทธิ์ใจ
คนเช่นนี้ย่อมได้รับความสุขใจ และเป็นที่รักใคร่ยกย่องของคนทั้งหลาย
เพราะเป็นผู้มีใจสูงประกอบด้วยคุณธรรม
ฉะนั้น การเป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น
จึงนับว่าเป็นลักษณะของคนที่น่ารักประการหนึ่ง



• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน
คือใครก็ตามไม่ว่าจะทำงาน จะลุก จะเดิน จะเจรจาปราศรัย
ก็ทำด้วยความนิ่มนวล สุขุมรอบคอบ
มีนิสัยเรียบร้อย สำรวม ละมุนละม่อม ไม่โฉ่งฉาง
มีกิริยามรรยาทน่าเลื่อมใส น่ารัก น่าเอ็นดู
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพนับถือ น่าบูชา
และทำงานด้วยความเรียบร้อยไม่ประมาท ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย
ผลงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่พอใจของผู้พบเห็น
ทั้งเป็นคนไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยกตนข่มท่าน ให้เกียรติแก่คนทั้งหลาย
คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่เคารพ รักใคร่ นับถือ ยกย่อง ของคนทั่วไป ทั้งได้รับความไว้วางใจให้ทำงานที่ต้องไว้วางใจสูง
ที่มีเกียรติ หรือตำแหน่งสูง
เพราะมีลักษณะนิสัยเป็นที่ประทับใจของคนทั่วไป
แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าผู้ใดมีนิสัยขาดความสุขุมรอบคอบ ไร้มารยาท ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้การงานเสียหาย
และมีนิสัยกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ยกตนและพวกพ้องของตนว่าดีแต่ผู้เดียว แต่ข่มผู้อื่น แม้เขาจะดีก็พูดไม่ให้กำลังใจ คนเช่นนี้ไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าสมาคม ไม่มีใครพอใจให้ทำงานหรือทำงานด้วย
ฉะนั้น คนดีทั้งหลายจึงพยายามหลีกเลี่ยงนิสัยที่ตรงกันข้ามนี้เสีย แล้วพยายามฝึกอบรมนิสัยของตนเอง ให้สุขุมรอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน เพราะย่อมเป็นไปเพื่อความน่ารัก อันมีผลสะท้อนเป็นความสุขความเจริญทั้งแต่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม


ท่านสาธุชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นได้แล้วว่า
คนที่มีลักษณะนิสัยน่ารักนั้น ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย นำความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมาแก่ตน และสังคมส่วนรวมได้อย่างไร ส่วนคนที่มีลักษณะนิสัยตรงกันข้าม ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย และนำความเสื่อมมาสู่ตนและโดยส่วนรวมอย่างไร

เมื่อทราบชัดเช่นนี้ก็พึงฝึกอบรมตนให้มีลักษณะที่น่ารัก ๙ ประการ
ไม่เป็นคนอวดดี ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว พูดจาอ่อนหวาน เป็นคนเสียสละ
ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น
และเป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน
ก็จะเป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนทั้งหลาย
ซึ่งย่อมเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญทั้งแก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ในที่สุดนี้ ขออำนวยพรให้ท่านสาธุชนทุกท่าน
จงประสบแต่ความสุขความเจริญ เป็นที่รักใคร่เคารพ นับถือ ของคนทั้งหลายด้วยการสร้างลักษณะของคนที่น่ารัก ๙ ประการ
ดังกล่าวมาแล้วโดยทั่วกันเทอญ ขอเจริญพร


ที่มา : http://www.kanlayanatam.com/sara/sara86.htm
> http://board.palungjit.com/showthread.php?t=120709


หัวข้อ: Re: เพียงคำบางคำ..+ ลักษณะของคนที่น่ารัก..^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: aeam23 ที่ 31 มีนาคม 2008, 00:26:38
ขอบคุณกับสิ่งงดีๆที่มาให้อ่านครับ  :)


หัวข้อ: จะฝึกลูกอย่างไรให้มีนิสัยที่ประหยัด และ อดออม ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 เมษายน 2008, 10:43:20
จะทำอย่างไรให้เด็กสมัยนี้ รู้จักประหยัดและอดออมเจ้าคะ ?

การประหยัดและอดออมเป็นหัวใจของการตั้งหลักตั้งฐานให้มั่นคง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ว่า การที่ใครจะตั้งหลักตั้งฐานให้ได้นั้น มีหลักอยู่ ๔ ประการด้วยกัน เรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ได้แก่

                            ๑. อุฏฐานสัมปทา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยความหมั่น หรือว่า หาเป็น

                            ๒. อารักขสัมปทา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยการรักษา หรือว่า เก็บเป็น

                            ๓. กัลยาณมิตตตา แปลว่า ความมีเพื่อนเป็นคนดี หรือว่า สร้างเครือข่ายคนดีเป็น

                            ๔. สมชีวิตา แปลว่า การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ หรือว่า ใช้เป็น

                             นิสัยอดออมและนิสัยประหยัดนี้ อยู่ดีๆ คงไม่ตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอย่างกับน้ำฝน เมื่อเป็นนิสัย ก็ต้องเกิดจากการ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ นั่นเอง 
   

                            เพราะฉะนั้น อยากจะให้ลูกมีนิสัยประหยัด ก็ฝึกลูกให้ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องประหยัด

                             อยากจะให้ลูกมีนิสัยอดออม รู้จักออมทรัพย์เป็น ไม่ว่าจะออมทรัพย์เป็นตัวเงิน หรือจะออมทรัพย์เป็นบุญก็ตาม ต้องฝึกลูกให้ ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องของการอดออมอยู่เสมอ จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย

                             แต่ว่าการที่จะให้ลูกหลานของเรา หรือใครก็ตาม ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเชิงประหยัด ในเชิงอดออมนั้น ต้องมีข้อแม้ เอาเป็นว่าจากในครอบครัวก็แล้วกัน คือ

                             ๑. คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ดู การประพฤติปฏิบัติตนด้วยความประหยัดและอดออมให้ลูกดู คือวิธีการสอนที่วิเศษที่สุด เพราะเมื่อพ่อแม่ทำให้ดู ทำให้เห็นอยู่เป็นประจำ ลูกก็จะมีแนวคิด แนวพูด แนวการกระทำ ตามอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ดูนั้น
                             เพราะฉะนั้น นิสัยประหยัด นิสัยอดออม ของลูก แน่นอนและชัดเจนลงไปเลยว่า ย่อมได้จากคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก

                             ๒. หาเพื่อนดีให้ลูกคบ เพื่อนที่มีนิสัยประหยัด มีนิสัยอดออม หาทาง ชวนให้แกมาที่บ้านบ่อยๆ เพื่อส่งเสริมให้คบกับลูกๆ ของเรา แล้วการซึมซับนิสัยดีๆ จากเพื่อนก็จะเกิดขึ้น

                             ๓. หาครูดีให้ลูก พาไปเรียนหนังสือ หรือหาครูดีๆ มาสอนหนังสือที่บ้านให้ลูกของเราเป็นพิเศษ ซึ่งครูนั้นนอกจากจะมีความรู้ด้านวิชาการดีแล้ว ยังต้องมีนิสัยประหยัด มีนิสัยอดออมด้วย เดี๋ยวแกก็จะซึมซับนิสัยดีๆ เหล่านั้น จากคุณครูเข้ามาในตัวของแกได้เอง

                             สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกของเรา ซึ่งจัดเป็นองค์ประกอบภายนอก
แต่ที่สำคัญคือองค์ประกอบภายใน ซึ่งก็ตกเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่อีกเหมือนกัน ที่จะต้องให้หลักการที่ชัดเจน

                             เมื่อได้หลักการแห่งการประหยัด การอดออมที่ชัดเจนแล้ว แกจึงจะเข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ดู ที่เพื่อนทำให้ดู ที่คุณครูได้อบรมสั่งสอนอยู่เป็นประจำ

                             คือ การที่ใครจะประหยัดเป็น เขาจะต้องรู้จักคำว่า " จำเป็น" กับคำว่า " อยาก" นั้นแตกต่างกันอย่างไร ต้องแยก ๒ คำนี้ให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็ประหยัดไม่เป็น
   

                            ยกตัวอย่าง ลูกเอ๊ย เสื้อผ้าเขามีไว้สำหรับนุ่งห่ม เพื่อกันแดด กันลม กันฝน กันร้อน กันหนาว กันเหลือบ ยุง ลิ้น ไร มาไต่ตอม และที่สำคัญกันอายนะลูก

                             ถ้าลูกยังใช้เสื้อใช้ผ้า ใช้เครื่องนุ่งห่ม อยู่ในลักษณะเพื่อป้องกันแดด กันลม กันฝน กันอาย อย่างที่ว่ามานี้ ก็เป็นเรื่องของความประหยัด

                             แต่เมื่อไหร่ ลูกจะใส่เสื้อใส่ผ้าเพื่อ ความเด่น ความดัง ตามแฟชั่น เดินผ่านไปถึงไหน ใครๆ ก็ต้องเหลียวหน้ากลับมาดู อย่างนี้ไม่ประหยัดแล้ว แต่จะกลายเป็นการฟุ่มเฟือยไป

                             การใช้เสื้อผ้าก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักแยกให้ออกได้อย่างนี้

                            ในบางกรณี ถ้าลูกอยากหล่อ อยากสวย อยากเด่น กับเขาบ้าง เป็นบางครั้งบางคราวก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ต้องออกแรงทำงานเสียก่อน โดยอาจจะให้ทำงานในบ้าน หรือไปทำงานนอกบ้านก็ตาม
   

                            ฝึกให้ลูกรู้จักเหนื่อยเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าค่อยแบมือขอแม่เพียงอย่างเดียว เมื่อต้องเหนื่อยเสียก่อนแล้วจึงจะได้ของที่ต้องการ อย่างนี้ความคิดที่จะฟุ้งเฟ้ื้อก็ลดลง

                             ยิ่งกว่านั้น ยังต้องสอนให้ลูกของเรารู้จักหยอดเงินใส่กระปุกออมสิน โดยเก็บเงินส่วนที่เหลือจากค่าขนมบ้าง เหลือจากตรงนั้น ตรงนี้บ้าง เอามาใส่กระปุกไว้ หรือว่าเอาไปทำบุญ

                             ก็จะกลายเป็นทั้งออมเพื่อเตรียมไว้สำหรับอนาคตชาตินี้ และออมไว้สำหรับอนาคตชาติหน้า ด้วยการเปลี่ยนเป็นบุญ
                             ถ้าทำอย่างนี้กันทั้งครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ รับรองนิสัยประหยัดและอดออมของคนทั้งชาติไทยจะบังเกิดขึ้นมาได้ในไม่ช้านี้

ขอขอบคุณ DMC.TV


หัวข้อ: จะวางตัวอย่างไรดีเมื่อมีเพื่อนหรือญาติมาขอยืมเงิน ..^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 เมษายน 2008, 10:46:11
    
ถ้ามีญาติ หรือมีเพื่อนมาขอยืมเงิน เราควรจะวางตัวอย่างไร เพราะไม่ให้ เขาก็จะเสียน้ำใจ แต่ถ้าให้บ่อยๆ เราก็เดือดร้อน เหมือนกัน?
   


             สำหรับผู้ที่มีเพื่อน มีญาติพี่น้อง สิ่งสำคัญที่ต้องจำเอาไว้ก็คือ เมื่อถึงคราวจำเป็น เราต้องเป็นที่พึ่งให้แก่พวกเขาได้ เพราะถ้าถึงคราวจำเป็น ใครก็มาพึ่งไม่ได้ แล้วใครเขาจะอยากมาเป็นเพื่อน เป็นญาติกับเรา

            หรือแม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน บางครั้งถึงคราวเข้าที่คับขัน สิ่งที่เตรียมเอาไว้อย่างดี ก็อาจขาดแคลนได้ เข้าทำนองถึงเวลาราชสีห์ก็ต้องพึ่งหนูเหมือนกัน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้ให้ดี

           เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวญาติพี่น้อง พรรคพวกเพื่อนฝูง บ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือ ลูกเอ๊ย! วิสัยของคนดี วิสัยของคนที่หวังจะมีความเจริญก้าวหน้า จะต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ตลอดเวลา ว่า ถ้าพรรคพวกเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย บ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องไม่ยอมให้เขากลับไปมือเปล่า จำคำนี้ไว้ก่อน

            ส่วนจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเป็นอีก เรื่องหนึ่ง อย่างช่วยอะไรกันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีค่ารถ ให้เขากลับบ้านได้

            การที่จะให้ความช่วยเหลือใครได้มากน้อยแค่ไหน มีหลักพิจารณาดังนี้

           ๑. ดูความพร้อม หรือดูกำลังของเรา ว่าเรา มีความรู้ มีความสามารถ มีกำลังที่จะให้เขาพึ่ง ได้เท่าไร คือ ใครที่ควรช่วยก็ช่วยเถอะ แต่ว่าอย่าให้เกินกำลังของเรา ข้อนี้ ต้องถือเป็นหลักเอาไว้ให้ดี

           ๒. ดูความจำเป็นของบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือ ดูว่าบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนก็ตาม เขามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีความจำเป็น เท่าไรนัก เขามาเผื่อว่าจะได้เท่านั้นเอง อย่างนี้เลี้ยงข้าวสักมื้อหนึ่ง แล้วให้ ค่ารถกลับบ้านก็พอ

           แต่ถ้าหากมีความจำเป็นมากๆ เช่น ตัวเขาเองป่วยหนัก พ่อแม่ตาย หรือลูกเกิดอุบัติเหตุ อะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาแกล้งทำกัน และไม่ใช่เขาไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ เขาอาจ จะเตรียมพร้อม แต่ว่าเป็นเรื่องที่สุดวิสัย ในกรณีอย่างนี้ จะมากจะน้อยต้องช่วยกันให้เต็มที่ เต็มตามกำลังของเรา

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเขาผู้นั้นเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับเราในอดีต หรือเคยมีพระคุณกับเรา ถึงคราวเราเดือดร้อน เขาเคยช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ เต็มกำลังมาก่อน เมื่อถึงคราวเขาเดือดร้อนบ้าง เราก็ต้องช่วยเหลือเขาให้เต็มที่เต็มกำลังเหมือนกัน

            อย่าว่าแต่เขาขอยืมเท่าไรแล้วให้เท่านั้นเลย เนื่องจากเขาเป็นคนดี เขาแสนจะเกรงใจ ที่เขาเอ่ยปากมา เขาก็กระเบียดกระเสียรเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องให้เป็น ๒ เท่า จากที่เขาขอ เพราะว่าเขาเป็นคนดี และเคยมีพระคุณกับเรามาก่อน แล้วครั้งนี้เขาก็จำเป็นจริงๆ

            ในกรณีเช่นนี้ ถ้าเราเป็นประเภทตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวให้ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังละก็ ท่านใช้คำว่า "ลูกผู้ชายใจนักเลง" คือ เทช่วยกันหมดกระเป๋าเลย

           แต่ในกรณีทั่วไป เขากับเราเพียงแค่รู้จักกัน นิสัยใจคอก็ยังไม่ชัดเจนนัก ก็ให้ดูว่าเขาหมกมุ่น อยู่กับอบายมุขหรือไม่

           ถ้าเขาหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ขืนเราให้ไป นอกจากไม่เกิดประโยชน์ ต้องสูญเปล่าแล้ว ยังจะกลายเป็นการส่งเสริมให้คนทำความชั่วอีกด้วย ในกรณีอย่างนี้อย่าให้

            ยกตัวอย่าง ดื่มเหล้า เมา กลิ่นฟุ้งมา มาขอยืมเงิน หรือมาขอยืมเงินเพื่อเอาไปเล่นหวย เอาไปแทงม้า อย่างนี้ไม่ต้องให้ เขาจะโกรธก็ปล่อยให้โกรธไปเถอะ

            แต่ว่าเขาเป็นคนตั้งใจทำมาหากิน นิสัยใจคอดูแล้วก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร อย่างนี้ ถ้าไม่มากนัก ให้ไปตามสมควรเถอะ

            ส่วนในกรณีที่ให้ไปแล้วเขาไม่เอามาคืน หรือเอามาคืนไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดความเสียหาย แก่เรา อย่างนี้คงต้องคิดมากสักหน่อย

            หรือไม่อย่างนั้นให้เขาไปสักครึ่งหนึ่ง สักส่วนหนึ่งก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือคุณไปหาจากพรรคพวก เพื่อนฝูงคนอื่นบ้าง เพราะว่าถ้าคุณไม่เอามาคืนให้ตรงเวลา ฉันจะเดือดร้อน

            เพราะฉะนั้น ช่วยใครได้ก็ช่วยเหลือกันไป ถ้าเขายังไม่มีประวัติในทางเสียหาย ช่วยเท่าที่ไม่เกินกำลังเรา เมื่อให้ไปแล้ว วันหลังเขาเอามาใช้คืนตามที่สัญญาไว้ ก็ถือว่าประวัติ ของเขาใช้ได้

            หากวันหลังเดือดร้อนมา ก็ช่วยเขาอีกเหมือนกัน เพราะประวัติของเขาดี เข้าทำนองที่ว่า "ให้ก็ให้" คือ เราให้ไปแล้ว เขาก็ให้กลับคืน

            แต่ว่าพวกไหนให้ไปแล้ว ไม่เคยให้กลับคืนเลย ถ้ามาอีกก็คงให้ไม่ได้ พอกันที เข้าทำนองที่ว่า "ไม่ให้ก็ไม่ให้ไ คือ ให้คุณไปแล้ว คุณไม่ให้กลับคืน มาขอใหม่อีก ก็เลยไม่ให้

            ส่วนในกรณีที่เขาก็เป็นคนดี นิสัยใจคอก็ดี แต่ว่าตอนนี้เขาเกิดเคราะห์หามยามร้าย กลายเป็น คนพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยจะได้เสียแล้ว รู้เลย ว่าถ้าให้ไปคงจะไม่ได้กลับคืนมาแน่นอน

           ในกรณีนี้ทำใจเสียเถอะ ว่าต้องให้ แต่ให้ในระดับที่เราไม่เดือดร้อน ให้ได้เท่าไรก็ให้ไป เพราะเขาเป็นคนดี เขาไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ว่าเขาโชคร้าย ถึงจะไม่มีปัญญามาใช้คืน ก็ไม่ว่ากัน

            เพราะฉะนั้น ช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ เข้าทำนอง ว่า "ให้ ไม่ให้ ก็ให้" คือ ให้ไปแล้ว เขาจะคืนได้ หรือไม่ได้ก็ตาม เมื่อมาขอใหม่ก็ต้องให้ไปอีก นึกเสียว่าสงสารลูกนกลูกกาก็แล้วกัน
            หรือนึกเผื่อว่า ถึงคราวเราเคราะห์หามยามร้าย ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้บ้าง เช่น รถคว่ำจนทำให้พิกลพิการ หรือเกิดอุบัติเหตุจนกระทั่ง ตาบอด หูหนวก ทำมาหากิน ก็ขาดแคลนเต็มที ซึ่งไม่รู้ว่าเรา จะเจอกับ ภาวะอย่างนี้เมื่อไร ก็คงจะมีใครเมตตาเราบ้าง เพราะบุญที่เราทำไว้กับเพื่อนคนนี้ หรือญาติคนนี้
            แล้วถ้าจะให้ดี รีบสร้างบุญไว้ตั้งแต่วันนี้ให้มากๆ ถึงเวลาสมบัติเกิดกับเรา จะได้เกิดขึ้นมากๆ เวลามีใครเดือดร้อนมาหา เราก็จะได้ช่วยเขาได้ทีละมากๆ กลายเป็นไม้ใหญ่ให้นกให้กาได้อาศัย ก็ดีเหมือนกัน

ขอขอบคุณ DMC.TV


หัวข้อ: Re: จะสอนลูกให้ประหยัดอย่างไร + เมื่อเพื่อนยืมเงิน.^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 เมษายน 2008, 11:14:36
  ส ังคมไทยสมัยก่อน มักจะสอนให้ลูกกราบเท้า พ่อแม่ก่อนเข้านอน สิ่งนี้จะพัฒนาคุณธรรมในตัวเด็กได้อย่างไร และถ้าคนในยุคนี้จะทำบ้าง ควรเริ่มต้นอย่างไรเจ้าคะ ?

                 คุณโยมถามได้ถูกจังหวะทีเดียว เพราะว่าปัจจุบันประเพณีอันดีงาม ของปู่ย่าตาทวดในเรื่องนี้ กำลังจะหายไปจากแผ่นดินไทยของเรา ซึ่งถ้าปล่อยให้หายไปเมื่อใด การถ่ายทอดคุณธรรม จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ก็คงจะหมดไปด้วย

                 ปัญหาต่างๆ ที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ เช่น วัยรุ่นยกพวกตีกัน วัยรุ่นเสพยาเสพติด เป็นต้น สาเหตุเบื้องต้นก็มาจากการที่เด็กเหล่านั้น ไม่ได้รับการสอนให้กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ก่อนนอนนั่นเอง

             กุศโลบายถ่ายทอดนิสัย

                 เรื่องสอนให้ลูกกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ก่อนนอนนี้ เป็นหลักการ หรือว่าเป็นกุศโลบายในการถ่ายทอดนิสัยอันดีงามที่คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกฝนมาตลอดชีวิต ไปสู่ลูกหลานของตัวเอง เพราะว่าความดีที่จะเกิดขึ้น ได้ในตัวของคนทุกคนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังให้กันและกัน จะรอให้เกิดขึ้นมาเองนั้นไม่ได้ เหมือนชาวนาต้องลงมือปลูกข้าว ถ้าไม่ปลูกต้นข้าวในนา ก็ไม่สามารถที่จะงอกขึ้นมาเองได้

                 ปู่ย่าตาทวดของเรามองในเรื่องเหล่านี้ออก ท่านจึงมีกุศโลบายโดยสอนให้ลูกหลาน มากราบเท้าท่านก่อนเข้านอน 

             ประโยชน์จากการที่ลูกกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอน

                 การที่ลูกคลานเข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่ แล้วกราบงามๆ นั้น ไม่ได้เป็นการบังคับจิตใจลูกเลย แต่ว่ากลับก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาอย่างมากมาย คือ

                 ๑ . พ่อแม่ลูกมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน ทำให้ได้พูดคุย ได้ทำความเข้าใจกัน และเมื่อทำเป็นประจำทุกคืน ลูกๆ จะเกิดความซาบซึ้งถึงความปรารถนาดี ที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อตน

                 ๒ . คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นพฤติกรรมของลูก ตามธรรมดาใจของเด็กสะอาดเหมือน กับผ้าขาว เพราะฉะนั้นเวลาไปทำอะไรผิดมาในครั้งแรกๆ แกจะรู้ตัวว่าทำผิด และจะมีพิรุธกลับมาให้คุณพ่อคุณแม่เห็น

                 แต่ว่าถ้าปล่อยให้แกทำผิดซ้ำๆ กันเกิน ๓ ครั้ง แกจะถือว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นเรื่องปกติ และจะไม่มีพิรุธกลับมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่รู้เลยว่า ลูกของตนไปทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง ในที่สุดแม้ลูกติดยาเสพติด หรือว่าไปเกะกะเกเรมาอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ เพราะแกไม่มีพิรุธอะไรกลับมาให้เห็น

                 เพราะฉะนั้น การที่คุณพ่อคุณแม่สอนให้ลูกกราบเท้าก่อนเข้านอน นอกจากจะทำให้ได้ใกล้ชิดกันแล้ว ยังมีโอกาสตักเตือนลูกในตอนที่แกทำผิดพลาดครั้งแรกๆ และมีโอกาสแก้ไขได้ทันท่วงทีอีกด้วย

                 ๓. คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกฟัง เช่น สถานการณ์ของบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไร ลูกจะได้มีหูตาที่กว้างไกล หรือว่าสถานการณ์ของครอบครัว ตอนนี้มีสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร ยิ่งกว่านั้น คุณพ่อคุณแม่มีแนวทางที่จะปูพื้นฐานเส้นทางชีวิตให้กับลูกอย่างไรในอนาคต ก็จะเล่าให้ลูกฟังกันตอนนี้แหละ

                 ๔ . คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี โดยใช้วิธีง่ายๆ คือ เล่าถึงความดีที่พ่อแม่ทำในแต่ละวันให้ลูกฟัง ลูกๆ ก็จะซึมซับความดีเหล่านั้นเข้าไปในใจ จนกระทั่งทำให้รู้ว่า ดี ชั่ว ถูก ผิด และบุญ บาปเป็นอย่างไร

                 ในยุคนี้มีคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากที่มักจะหวังว่า ลูกของเราเมื่อโตขึ้นมาคงจะเป็นคนดี เพราะว่าคุณครูที่โรงเรียนได้อบรมสั่งสอนให้แล้ว หรือว่าเราให้ความรักต่อลูกมากพอแล้ว เช่น ตุ๊กตาตัวโตๆ ก็ซื้อให้เล่น อยากกินขนมอะไรก็ไปหาซื้อมาให้ เป็นต้น ก็คิดว่า ลูกของเราจะต้องเป็นคนดีแน่นอน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าได้ลูกที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมา ๑ คน

                 ถ้าวันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับมาใช้วิธีสอนให้ลูกกราบเท้าก่อนนอนทุกคืน แล้วถ่ายทอดความรู้และความดีที่ตนทำมาในแต่ละวันด้วยการเล่าให้ฟังว่า ขณะที่ทำงานในวันนี้ พ่อแม่มีวิธีตัดสินใจที่จะทำ หรือไม่ทำงานนั้นๆ อย่างไร พ่อแม่ทำอย่างไรงานถึงได้ออกมาดี ซึ่งก็คือการถ่ายทอดความรู้ ในเรื่องการประกอบอาชีพให้ลูกนั่นเอง

                 หรือเล่าให้ฟังว่า วันนี้แม่ไปทำบุญ ไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลามา วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา แม่จึงตั้งใจรักษาศีลเป็นพิเศษ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

                 ลูกก็จะเห็นภาพของชีวิตในวันข้างหน้า อีกทั้งได้รับความรู้และความดีจากประสบการณ์ของพ่อแม่อยู่ในตัวอย่างพร้อมสรรพอีกด้วย กลายเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาประจำตัวลูกที่พ่อแม่มอบให้แก่เขาทุกคืนไม่ได้ขาด และเป็นแนวทางการเผชิญโลกและชีวิตด้วยความดีอย่างตลอดฝั่งในวันข้างหน้า

                 สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความดีที่ควรนำมาเล่าให้ลูกๆ ฟัง เพราะถือว่าเป็นอริยทรัพย์ คือทรัพย์อันประเสริฐ ที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด ย่อมดีกว่าสมบัติพันล้าน หมื่นล้านที่พ่อแม่หาสะสมไว้ให้ แต่ลูกแยกไม่ออกว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด แล้วก็เอาสมบัติเหล่านั้น ไปมั่วสุมในอบายมุขจนหมด

             วิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์

                 การสอนให้ลูกกราบพ่อแม่ก่อนเข้านอนนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติ คือ

                 ๑. เป็นต้นแบบทางศีลธรรมให้ลูกดู ถ้าคุณพ่อยังชอบดื่มเหล้า ส่วนคุณแม่ก็ชอบเล่นไพ่ แล้วเรียกให้ลูกเข้าไปกราบ อย่างนี้ลูกคงจะกราบไม่ไหวเหมือนกัน

                 ๒. สอนให้กราบเท้าพ่อแม่ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่ต้องรอจนโตขึ้นมาก่อน เดี๋ยวแกไม่อยากเข้าใกล้คุณพ่อคุณแม่ แต่กลับไปติดเพื่อนแทน แล้วจะไปโทษว่าลูกดื้อไม่ได้

                 ๓. สอนให้กราบเท้าพ่อแม่ เป็นประจำทุกคืน พ่อแม่ต้องสอนให้ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าวันไหนอารมณ์ดีก็เรียกลูกให้เข้ามากราบ วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็ไล่ให้ไปพ้นๆ อย่าเข้ามาใกล้

                 หากทำได้อย่างนี้ หิริโอตตัปปะ หรือว่าความอายบาป กลัวบาป จะเกิดขึ้นกับลูกของเรา ทำให้ไม่กล้าทำความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลัวว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าจะเสียใจ เช่น เวลาจะทำความชั่วครั้งใด หน้าแม่ก็ลอยขึ้นมา หน้าพ่อก็ลอยขึ้นมา “ ลูกเอ๊ย ไม่รักพ่อรักแม่แล้วหรือ” แค่นี้ก็จะกลายเป็นยันต์สำหรับปิดนรกให้ลูกแล้ว

              การฟื้นฟูประเพณีลูกกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอน

               การสอนลูกให้มากราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอนทุกคืน มีผลดีต่ออนาคตของลูกถึงขนาดนี้ ปู่ย่าตายายท่านจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แต่ว่าคนในยุคปัจจุบัน กำลังจะลืมเลือนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะฟื้นฟูประเพณีอันดีงามนี้ให้กลับมาอีก

               ๑. คุณพ่อคุณแม่ต้องเพาะนิสัยตัวเองเสียใหม่ คือคุณพ่อคุณแม่ที่ชอบดูหนัง ดูละคร จนกระทั่งหลับไปต่อหน้าโทรทัศน์ ก็เลิกเสียที หัดนอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เป็นตัวอย่างให้ลูกดู สิ่งที่สำคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่จะได้มีเวลาพาลูกๆ ไหว้พระ สวดมนต์ พอสวดมนต์เสร็จก็ให้พร แล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณแม่คุณพ่อได้ประกอบคุณงามความดีเอาไว้ให้ลูกฟัง

               ๒. อย่าทำโทษลูกในขณะนั้น หากรู้ว่าลูกไปทำผิดอะไรมา ถ้าไม่รุนแรงนัก แค่ว่ากล่าวตักเตือนกันบ้างก็ทำได้ แต่ถ้าหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องลงโทษกัน อย่าทำในขณะนั้นเป็นอันขาด เอาไว้ค่อยพิพากษากันในวันต่อไปก็ได้ เมื่อพ่อแม่ทำอย่างนี้ ลูกจะเกิดความอุ่นใจ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่าไปทำผิดทำพลาดอะไร เขาก็กล้าที่จะมาสารภาพกับคุณพ่อคุณแม่

               เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งผู้บริหารบ้านเมือง สามารถฟื้นฟูประเพณีสอนให้เด็กกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอนกลับมาได้ รับรองว่าปัญหา เรื่องวัยรุ่นชายยกพวกตีกัน หรือว่าวัยรุ่นหญิงแอบไปทำแท้ง จะไม่มีเกิดขึ้นอีก จะมีแต่เด็กๆ ประเภทที่เป็นลูกแก้วเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่เองก็จะได้ตายตาหลับ เพราะลูกแก้วจะรักษาประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้คู่บ้านคู่แผ่นดินตลอดไป
ขอขอบคุณ DMC.TV


หัวข้อ: Re: จะสอนลูกให้ประหยัดอย่างไร + เมื่อเพื่อนยืมเงิน.^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 01 เมษายน 2008, 11:47:03
๒. อย่าทำโทษลูกในขณะนั้น หากรู้ว่าลูกไปทำผิดอะไรมา ถ้าไม่รุนแรงนัก แค่ว่ากล่าวตักเตือนกันบ้างก็ทำได้ แต่ถ้าหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องลงโทษกัน อย่าทำในขณะนั้นเป็นอันขาด เอาไว้ค่อยพิพากษากันในวันต่อไปก็ได้ เมื่อพ่อแม่ทำอย่างนี้ ลูกจะเกิดความอุ่นใจ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่าไปทำผิดทำพลาดอะไร เขาก็กล้าที่จะมาสารภาพกับคุณพ่อคุณแม่

ดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณ journey  นะจ๊ะ   :)



หัวข้อ: พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร ลูกเป็นอย่างนั้น^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 16 เมษายน 2008, 22:58:22
คุณ เซเว่น ขอมา้ จัดให้ :) :)

พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร ลูกเป็นอย่างนั้น

ความหมายของคำว่า “ลูก” มิใช่เป็นเพียงแค่ผู้สืบสายเลือดหรือดวงใจอันเป็นที่รักยิ่งของพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นผลิตผลทางจิตวิญญาณของพ่อแม่ด้วย และการที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้หรือไม่ เป็นที่ยอมรับกันว่าขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่วัยรุ่นว่า ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบใด

สังคมยุคใหม่พ่อแม่มีทัศนคติ ค่านิยม และความคิดความอ่านเปลี่ยนไปจากเดิมและมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ทำให้พ่อแม่ในสังคมยุคใหม่มีรูปแบบและแนวทางในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปเรามักจะพบเห็นรูปแบบการเลี้ยงลูก 4 แบบ คือ การเลี้ยงแบบให้ความรักมากเกินไป โดยไม่มีขอบเขต การเลี้ยงแบบไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร การเลี้ยงแบบประคบประหงม และแบบสุดท้ายคือ การเลี้ยงลูกแบบเจ้าระเบียบ และบังคับเด็กจนเกินไป


รักหนูมากไป...หนูจะเป็นแบบไหนนะ


การเลี้ยงลูกแบบรักลูกมากไป ตามใจจนไร้ขอบเขตเป็นวิธีที่พบมากในปัจจุบันที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก เมื่อมีเวลาใกล้ชิดก็อยากจะมอบความรักความอบอุ่นให้โดยการยอมตามที่ลูกขอแทบทุกครั้งไป


การทำอย่างนี้นอกจากจะขัดขวางไม่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองแล้วยังส่งผลให้ลูกมีนิสัยเห็นแก่ตัว รอคอยไม่เป็น อารมณ์ไม่มั่นคง ก้าวร้าว ไม่เห็นใจคนอื่นที่ต่ำกว่า เก็บกด ปรับตัวได้ไม่ดีต้องพึ่งผู้อื่นโดยเฉพาะพ่อแม่ตลอด ในกรณีที่รุนแรงลูกจะขาดคุณลักษณะที่สำคัญต่อการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต ทำให้ในระยะยาวมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง เนื่องจากขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการแข่งขันกับตัวเอง ขาดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความอดทนและความรับผิดชอบ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะหงุดหงิด มีปัญหาทางอารมณ์ในระยะยาว


ประคบประหงมแบบนี้...ความรักหรือยาขมกันนะ

การเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม วิตกกังวลหวาดกลัวไปต่างๆ นานา ว่าลูกจะป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรค หรืออุบัติเหตุต่างๆ มักเกิดกับพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว มีลูกยาก ไม่สามารถมีลูกได้อีกเนื่องจากการถูกตัดมดลูกหรือพ่อแม่ที่เคยสูญเสียลูกไปแล้วคนหนึ่งและไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้ลูกผจญต่ออะไรมากนัก คอยติดตามและปกป้องอันตรายให้ลูกตอลดเวลา ไม่ให้ช่วยทำงานบ้าน ไม่มีการฝึกวินัย การทำแบบนี้มีผลดีบ้างตรงที่ลูกได้รับความรักความอบอุ่นเหมือนแบบแรก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายลูกอย่างไม่รู้ตัว เนื่องจากจะทำให้ลูกไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เนื่องจากถูกปิดกั้นด้วยความรักของพ่อแม่ พ่อแม่ควรปรับความคิดใหม่คิดให้เหมือนเด็ก นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กว่าในวัยนี้เราต้องการอะไรจากพ่อแม่บ้าง และอย่าจมกับอดีต อย่าวิตกกังวลมากไป ให้ความมั่นใจกับตัวลูกว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ จะเป็นผลดีต่อการปูพื้นฐานการเรียนรู้ของลูกในอนาคต


เจ้าระเบียบบีบบังคับมากไป...ก็ไม่ดีนะแม่

การเลี้ยงลูกแบบนี้ พ่อแม่จะเฝ้าควบคุมลูกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ บางครอบครัวควบคุมไปถึงเรื่องส่วนตัวของลูก ทั้งเรื่องการทานอาหาร การขับถ่าย การออกกำลังกาย เหมือนการเลี้ยงลูกแบบทารกที่คอยควบคุมช่วยเหลือการทำงาน ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ต้องการได้ คอยชี้แนะว่ากล่าวตักเตือนสม่ำเสมอ คอยแก้ปัญหาให้เกือบทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเกิดความเครียดเก็บกดมีพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกและอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ในอนาคตหรืออาจเป็นเด็กก้าวร้าวจากการสะสมอารมณ์เก็บกดนั้นๆ


เอายังไงแน่แม่...หนูงงแล้วนะ


การเลี้ยงลูกแบบไม่สม่ำเสมอ ไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร บางครั้งเข้มมาก บางครั้งตามใจ บางครั้งปล่อยปละละเลย พ่อแม่สอนลูกคนละแบบหรือขัดแย้งกัน เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกบ่อยๆ จนลูกไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงผลแห่งการกระทำของตัวเอง ส่วนมากเกิดกับพ่อแม่ที่มีความเป็นเด็กอยู่ พ่อแม่ที่มีความเครียดมากหรือไม่มีเวลาให้ลูก มักมีการสอนหรือให้ข้อมูลที่สับสน ตีความหมายได้หลากหลายแก่ลูก การเลี้ยงลูกในลักษณะนี้จะทำให้ลูกเกิดความสับสน ขาดวินัย รักสบาย และขาดความยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากจะปรับตัวเองตามลักษณะอารมณ์ของพ่อแม่ โดยในระยะแรกลูกจะแสดงออกเพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อแม่ แต่พอนานวันเข้าก็จะกลายเป็นความเคยชิน เกิดการทำโดยอัตโนมัติและไม่รู้สึกเดือดร้อน


เด็กที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน รูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอต่างกัน การที่พี่น้องท้องเดียวกัน แม้แต่ฝาแฝดก็มีความแตกต่างกันเพราะได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน รวมถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันด้วย ส่งผลให้สุขภาพจิตแต่ละคนแตกต่างกัน การอบรมเลี้ยงดูที่แตกต่างส่งผลต่อพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป


การเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่แต่ละคนส่วนใหญ่จะอาศัยประสบการณ์ที่ถูกเลี้ยงดูมา การเรียนจากตำรา หรือการเห็นคนอื่นเลี้ยงมาประยุกต์ใช้ในแบบที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม แต่บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพ่อแม่แต่ละช่วงก็ส่งผลให้การเลี้ยงดูลูกแตกต่างกันออกไป เกิดการเลี้ยงดูหลายแบบในครอบครัวเดียวกัน เราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า แบบไหนดีไม่ดี หรือแบบไหนถูกแบบไหนผิด พ่อแม่ควรเลือกและปรับวิธีการดูแลเลี้ยงดูลูกตามความเหมาะสม


พ่อแม่มืออาชีพ...ต้องแบบนี้สิ


การอบรมเลี้ยงดูลูกที่ดีนั้น ไม่มีรูปแบบตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าวางกฎเกณฑ์หรือคุณค่าในเรื่องต่างๆ สูงแค่ไหน เช่น การลงโทษลูก การควบคุมเรื่องต่างๆ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของลูกมีมากน้อยแค่ไหน รูปแบบการเลี้ยงลูกควรพิจารณาจาก


ความเท่าเทียมกันทางสังคม


คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักว่าลูกเรามีสิทธิ์ที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกวัยนี้อายุยังน้อยตัดสินใจอะไรหรือทำอะไรไม่ค่อยเป็น ปล่อยให้ลูกได้คิด ได้ทำและตัดสินใจในสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าลูกจะไม่ฉลาด ไม่มีประสบการณ์ ไม่แข็งแรงหรือไม่มีความรู้เท่าพ่อแม่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรให้เกียรติในความคิดของลูก ไม่บังคับให้ทำตามความคิด ความเชื่อของพ่อแม่ ส่งเสริมลูกด้วยการจัดหาแนวทางและชี้นำเรื่องต่างๆ แก่ลูกอย่างเหมาะสม


ความรับผิดชอบร่วมกัน


เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว การร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำและตัดสินใจ หรือการทำข้อตกลงรับผิดชอบร่วมกัน บ้านที่มีความเป็นประชาธิปไตยควรมีทั้งอิสระ ขอบเขตและฝึกให้ลูกเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบ เช่น การเก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จ การรับประทานอาหารที่ตรงเวลา การให้ลูกได้รับประสบการณ์จากผลการกระทำของเขาเป็นเทคนิคการฝึกที่มีพลังมาก ลูกมีอิสระที่จะเลือกและได้รับประสบการณ์จากผลของการกระทำของตัวเอง เช่น ลูกไม่ยอมรับประทานอาหารจะรู้สึกหิว หรือเล่นมากไปจนกลับมาไม่ทันมื้ออาหารเย็น เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ลูกจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ทำเพราะรางวัลหรือถูกลงโทษ แต่จะทำเพราะว่าได้รับรู้ถึงผลเสียของการกระทำนั้นๆ และในขณะที่พยายามพัฒนาความรับผิดชอบของลูก พ่อแม่ต้องไม่พยายามเข้าไปช่วยลูกโดยไม่จำเป็นจริงๆ เพราะจะทำให้ลูกมีความรู้สึกรับผิดชอบลดลง


ความร่วมแรงร่วมใจกัน


ครอบครัวที่มีการแข่งขันกันทำให้เกิดความแตกต่างของลูกแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัด อาจทำให้ลูกคนที่สู้คนอื่นไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อรั้น ไม่ยอมร่วมกิจกรรมในบ้าน ไม่มีเพื่อน สุดท้ายจะพบความล้มเหลวด้านการเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนทัศนคติทั้งตัวเองและลูกจากการแข่งขันเป็นร่วมมือช่วยเหลือกัน สอนลูกให้มีความเมตตา มีน้ำใจช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า จะช่วยให้คนๆ นั้นมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตในอนาคต


ความมีวินัยในตัวเอง



พ่อแม่ที่มักสอนให้เรามีความรับผิดชอบโดยการให้รางวัลและการลงโทษ จะส่งผลให้ลูกเรียนรู้ว่าพ่อแม่และคนอื่นมีผลต่อพฤติกรรมของเขา เมื่อใดที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะไม่มีคนคอยดูหรือคอยสอนให้ทำดี ถ้าพ่อแม่ต้องการให้ลูกทำดี โดยสมัครใจด้วยแรงกระตุ้นภายในตัวเด็กเอง ไม่ใช่จากการถูกลงโทษหรือให้รางวัลได้ พ่อแม่ควรฝึกให้แรงกระตุ้นและแรงเสริมเป็นอย่างอื่น เช่น การชมเชย การกอดลูก เมื่อลูกเกิดความรับผิดชอบโดยสมัครใจ รู้สึกอยากทำสิ่งต่างๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้อควบคุม นั่นคือพ่อแม่สามารถสร้างบทบาทของการมีวินัยในตนเองให้ลูกได้สำเร็จ


แบบนี้เรียกว่า...พ่อแม่รังแกหนู

ในขณะที่พ่อแม่พยายามเลี้ยงลูกให้พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ในสังคม เป็นการวางรากฐานให้ลูกออกสู่โลกกว้างเมื่อโตขึ้นได้อย่างเหมาะสมด้วยประสบการณ์ของตัวลูกเอง บางครั้งพ่อแม่อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่เอาไหน หรือด้วยสำนึกของความเป็นพ่อแม่ จึงพยายามเข้าไปช่วยลูก เช่น ช่วยแต่งตัว ช่วยทำการบ้าน ช่วยป้อนข้าว การทำอย่างนี้ไม่เหมาะสมนะคะ เพราะแทนที่ลูกจะพัฒนาตัวเองกลับมีพฤติกรรมถดถอยได้ ซึ่งการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ไม่เหมาะสมมีหลายปัจจัยด้วยกัน

การอบรมสั่งสอนลูก ไม่ ควรเป็นการเทศนา เพราะลูกวัยนี้ไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่พ่อแม่สอนได้ในเวลาเดียวกัน และจะทำให้ลูกเบื่อหน่ายไม่สนใจฟัง ทำให้เกิดผลเสียทั้ง 2 ฝ่าย พ่อแม่อารมณ์เสียและลูกเกิดความเครียด เก็บกด เพราะไม่สามารถแสดงความโกรธออกมา ดังนั้น พ่อแม่ควรสอนลูกด้วยเหตุผลที่สั้น ชัดเจนและเข้าใจง่าย และไม่ควรหลอกหรือหยอกล้อลูกในทางที่ไม่ควร เพราะจะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผล อีกทั้งเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของลูก ทำให้ลูกขาดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในตัวพ่อแม่ด้วย


การดุด่าและการขู่ลูก เป็นอีกพฤติกรรมที่ไม่ควรนำมาใช้ โดยเฉพาะการดุด่ากลางที่สาธารณะ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกจะเกิดความอาย เครียดและอาจเกลียดพ่อแม่ได้ รวมถึงการพูดจาเสียดสี เหน็บแนมหรือถากถางลูกโดยหวังผลให้ลูกปรับปรุงพฤติกรรม อย่าใช้กับลูกเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกวัยนี้เขาไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำเหล่านั้นหรอกค่ะ รังแต่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองทำถูกอีกทั้งลูกอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องและนำสิ่งที่ได้เห็นจากพ่อแม่ไปใช้กับคนอื่นด้วย


การติดสินบนลูก
นิยมมากในกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการสอนหรือต้องการหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการในตัวลูก พ่อแม่ควรเปลี่ยนความคิดและมุมมองใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้ลูกทำความดีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ไม่สามารถติดตัวจนกลายเป็นนิสัยได้ ในทางตรงข้ามอาจเป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ไม่ดีให้ลูกทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนเท่านั้น


สอนลูกสร้างทางเดินอย่างเหมาะสม


ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกแบบใด ล้วนมีผลต่อความคิดความอ่าน และพฤติกรรมของเด็กทั้งสิ้น การที่ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสั่งสมประสบการณ์ การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กจนถึงวัยรุ่น พ่อแม่ที่เลี้ยงดู อบรม สั่งสอนลูกด้วยความรัก ความอบอุ่น ให้กำลังใจ ให้ความยุติธรรม ยอมรับในความสามารถของลูกและพร้อมที่จะให้การสนับสนุน และส่งเสริมความสามารถพิเศษที่มีในตัวของลูก ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีมานะ อดทน เข้าใจชีวิต มีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หากพ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างขาดความรัก ความเข้าใจ มุ่งแต่ใช้การตำหนิติเตียน เมื่อลูกโตขึ้นมักจะเป็นคนล้มเหลวในชีวิต การเลี้ยงลูกด้วยความก้าวร้าว มักจะพบว่าเมื่อลูกเติบโตจะกลายเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าว หยาบกระด้าง ในการแก้ปัญหามักจะใช้กำลังมากกว่าเหตุผล พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยคำเย้ยหยันให้ลูกเกิดความอับอาย นำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่นที่ประสบความสำเร็จ เมื่อโตขึ้นลูกจะเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกและหวาดระแวง


การเลี้ยงลูกด้วยทางสายกลางเป็นวิธีที่ควรทำมากที่สุด
คือ การให้ความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การยอมรับลูกเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง มีความสม่ำเสมอในการอบรมเรื่องต่างๆ รวมถึงการสร้างระเบียบวินัยที่ไม่ย่อหย่อนหรือเคร่งครัดจนเกินไป ให้ความยุติธรรมต่อลูกทุกคนด้วยความเสมอภาคกัน สิ่งนี้จะเป็นเครื่องหล่อหลอมเด็กให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และเติบโตไปเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศ


(update 28 พฤษภาคม 2005)
[ ที่มา...นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ]


หัวข้อ: Re: พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 16 เมษายน 2008, 23:03:55
คุณเคยอยู่ในภาวะกดดันไหม ความรู้สึกนั้นแย่และเครียดจนต้องหาทางระบายใช่ไหม แล้วถ้าลูกคุณต้องอยู่ในภาวะนี้ โดยมีคุณเป็นต้นเหตุล่ะ ?

ไปเจอบทความนึงมา ลองอ่านกัน

เมื่อไม่กี่วันนี้ กระเตงลูกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมก๊วนสมัยเรียนมาค่ะ นอกจากแม่ๆ จะได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกันแล้ว ลูกๆ ก็ได้เพื่อนเล่นด้วย แต่ลูกสาววัย 2 ขวบกว่าของเพื่อนดิฉันสิคะ เอาแต่หลบหลังแม่ตลอด ดูท่าทางไม่มั่นใจเอาเสียเลย


สังเกตอาการหลานสาวสักพัก ก็เห็นว่าเขาเองก็อยากจะไปวิ่งเล่นเหมือนกัน แต่เพื่อนของดิฉันก็คอยส่งสายตาปรามไว้เสมอ เพราะไม่อยากให้ลูกวิ่งซน เธอบอกว่ากลัวลูกจะหกล้มเจ็บตัวน่ะค่ะ แต่แหม...ธรรมชาติของเด็กวัยนี้น่ะเขาจะซน อยากวิ่ง อยากปีนป่าย อยากสำรวจ แล้วมาถูกบังคับให้อยู่นิ่งๆ แบบนี้คงอึดอัดแย่


และเธอยังบ่นให้ดิฉันฟังอีกว่า ลูกสาวไม่ได้อย่างใจเอาเสียเลย เพราะออกนอกบ้านทีไรหลบหลังแม่ตลอด อยากให้ลูกเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ปล่อยไว้แบบนี้เห็นทีจะไม่ได้การ เพื่อนที่แสนดีอย่างดิฉันต้องหาทางช่วยแล้วล่ะค่ะ


กรณีอย่างนี้ พญ.เสาวภา วชิรโรจน์ไพศาล กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต แนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรบังคับหรือห้ามเด็กอย่างไม่เหมาะสม เพราะจะเป็นการกดดันลูกได้ค่ะ

เรื่องที่หนูๆ มักโดนกดดัน


ลูกได้รับความกดดันจากพ่อแม่ได้หลายทางค่ะ เช่น จากการที่พ่อแม่ใช้เสียงดังตวาด บางคนอาจถึงขั้นตี เป็นการใช้อำนาจซึ่งลูกย่อมกลัว ยอมจำนน และต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ รู้สึกไม่มีความสุข ส่วนเรื่องที่เด็กวัยนี้มักจะโดนกดดันเสมอคือ


การรับประทานอาหาร พ่อแม่ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานความคิดที่ปรารถนาดีต่อลูก ว่าลูกต้องได้สารอาหารอย่างครบถ้วนทั้ง 3 มื้อ บางบ้านนอกจากข้าวแล้ว ลูกยังต้องรับประทานผักทุกชนิดด้วย เพื่อร่างกายจะได้สมบูรณ์แข็งแรง จึงพยายามอธิบายให้ลูกเห็นถึงความสำคัญของข้าวและผัก แล้วก็คอยควบคุมและจัดการให้ลูกรับประทานให้ได้ตามที่คุณแม่เตรียมไว้ แทนที่จะใช้วิธีเชิญชวนหรือโน้มน้าว โดยลืมคิดไปว่านี่เป็นการกดดันลูก


การเล่น เด็กวัยนี้จะชอบเล่นโลดโผน ชอบเล่นปีนป่าย บางบ้านพ่อแม่เองก็อยากให้ลูกเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวลูกเจ็บเลยห้าม แต่พอออกไปข้างนอกเห็นเด็กคนอื่นปีน ลูกตัวเองปีนไม่ได้ ก็คะยั้นคะยอลูกว่าทำไมไม่ปีน คืออยากให้ลูกทำได้แต่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกลองทำ

เมื่อหนูโดนกดดัน


การกดดันลูกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ

ลูกไม่อยากทำ แต่พ่อแม่อยากให้ทำ อย่างนี้จะเป็นการบังคับ เช่น บังคับให้กิน

ลูกอยากทำ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้ทำ อย่างนี้จะเป็นการห้าม ลงโทษ เช่น ห้ามปีน ห้ามเล่น


ผลลัพธ์ออกมาคือ เด็กจะสงสัยในศักยภาพของตัวเองในการทำกิจกรรมต่างๆ พ่อแม่ที่มักจะห้ามหรือดุลูกก็มักจะไม่ได้ดุแค่เรื่องเดียวในหนึ่งวัน แต่จะห้ามและดุลูกอยู่อย่างนี้เกือบทุกเรื่อง โอกาสที่เด็กจะทำอะไรสำเร็จดังใจน้อยมาก เขาจะถูกอำนาจสั่งการอยู่ตลอดเวลา


อาการที่แสดงให้เห็นว่าเด็กกำลังได้รับความกดดัน ในเรื่องของการรับประทานอาหาร เช่น บ้วนทิ้ง อมข้าว วิ่งหนี ร้องไห้ เป็นต้น


ส่วนในเรื่องของการเล่น สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเด็กกำลังได้รับความกดดันอยู่ จะแสดงออกมาเมื่อออกไปข้างนอกค่ะ คือเขาจะอาย ไม่มั่นใจ ติดแม่ มีความเครียดเหมือนลูกสาวของเพื่อนดิฉันนี่แหละ


ซึ่งคุณหมอบอกว่าถ้าไม่รีบแก้ปัญหา เมื่อเขาโตกว่านี้จะกลายเป็นเด็กที่ไม่มี Self-esteem (ความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง) ออกไปข้างนอกก็แก้ปัญหาไม่เป็นต้องยอมแพ้ และเด็กที่ได้รับความกดดันส่วนใหญ่มักจะลงเอยด้วยการร้องไห้ค่ะ

เลี้ยงอย่างไร ไม่กดดัน

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่กดดันลูกเกินไปค่ะ ในเมื่อสิ่งที่ทำอยู่ด้วยรักและเป็นห่วงลูกทั้งนั้นนี่น่า คุณหมอแนะนำว่า ควรเดินสายกลางค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ควรคุยกัน และร่วมกันสร้างกฎของบ้านขึ้นมาเพื่อสร้างวินัย (Discipline) ให้กับเด็กตามวัย โดยต้องเป็นกฎที่ชัดเจน แต่ก็ต้องมีอิสระอยู่ในเรื่องเดียวกันด้วยค่ะ เช่น ในเรื่องการรับประทานอาหาร ควรกำหนดเวลาให้ชัดเจน อาจเป็นครึ่งชั่วโมงที่ลูกต้องนั่งรับประทานด้วยกันที่โต๊ะเหมือนกับทุกคนในบ้าน ฝึกให้ลูกใช้ช้อนป้อนตัวเอง ลูกจะมีอิสระที่จะได้ใช้ช้อนเอง โดยไม่ถูกตำหนิว่าเปื้อนหรือเสียเวลา ลูกจะลงจากโต๊ะเพื่อไปเล่นก่อนถึงเวลาที่กำหนด หรือเล่นที่โต๊ะอาหารไม่ได้ ซึ่งลูกมีอิสระที่จะหยิบของเล่นโปรด 1 ชิ้นมาร่วมโต๊ะได้ แต่ไม่ให้หยิบมาหลายๆ อย่างเพื่อตั้งใจมาเล่น ถ้าลูกไม่ต้องการรับประทานอาหารแล้ว พ่อแม่ไม่ควรบังคับให้กิน แต่ควรยืนยันให้ลูกอยู่บนโต๊ะอาหารจนครบเวลาเหมือนทุกคน ส่วนการกระตุ้นให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ต้องใช้วิธีเชิญชวนหรือดัดแปลงอาหารให้น่ารับประทาน เป็นต้น


ส่วนการเล่น ในเมื่อเด็กวัยนี้ชอบวิ่ง ชอบปีนป่าย พ่อแม่ก็ต้องจัดที่ให้ลูกได้เล่นอย่างที่เขาต้องการ กำหนดเวลาให้เล่น เช่น ให้เวลาเล่นน้ำ 1 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นมาฟังนิทานกับแม่ ให้ลูกเลือกว่าจะทำกิจกรรมใดก่อน พยายามมีขอบเขตเรื่องของเวลาที่ชัดเจนด้วยว่านานเท่าไหร่ และพยายามทำตามกฎนั้นเสมอ โดยขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านที่จะตกลงกันระหว่างพ่อแม่ค่ะ


นอกจากนั้นควรสอนให้ลูกมีวินัยแบบไม่กดดันเกินไป คือสอนให้รู้ว่าช่วงไหนควรหรือไม่ควรทำอะไรโดยอาศัยความสม่ำเสมอและจริงจัง อาจใช้เสียงเข้มแต่ไม่ใช่เสียงตวาด เด็กจะสามารถรับสัญญาณได้ค่ะ เพราะโดยสัญชาตญาณของเด็ก เขาต้องการภาพเชิงบวกจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยิ้มหรือชมเชย เขาจะภูมิใจและมีกำลังใจมากค่ะ


คุณหมอบอกว่าถ้าพ่อแม่เริ่มมองเห็นและเข้าใจว่าลูกกำลังเกิดปัญหา ก็ถือว่าแก้ปัญหาสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่มักไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิด แต่ถ้าเริ่มเข้าใจแสดงว่าพ่อแม่เปิดกว้างและพร้อมที่จะรับหลักการใหม่ ก็อาจจะหาข้อมูลจากหนังสือ หรือพาไปพบแพทย์ก็ได้ค่ะ


เฮ้อ...ได้ฟังแล้วก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองเป็นการใหญ่ ว่าทุกวันนี้กดดันลูกบ้างหรือเปล่า กลับถึงบ้านคงต้องไปสร้างกฎของบ้านร่วมกับพ่อของเจ้าตัวเล็กแล้วล่ะค่ะ


(update 20 กุมภาพันธ์ 2006)
[ ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 23 ฉบับที่ 275 ธันวาคม 2548 ]


หัวข้อ: Re: พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: I~Beau ที่ 16 เมษายน 2008, 23:06:32
โอ้ววว ได้ข้อคิดมากมายหลายอย่างเลยค่ะ

ขอบคุณน่ะค่ะสำหรับข้อคิดดีๆแบบนี้ ชอบมากๆค่ะ



หัวข้อ: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 29 เมษายน 2008, 13:45:05
ทำบุญ มุ่งหวังอะไร

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำบุญบริจาคทานก็เพื่อทำลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบ จิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา และก็ความอาฆาตพยาบาท คือทำลายความไม่ดีในตัวเองให้ลดลง เพราะสิ่งเหล่านี้มันหายไปได้ด้วยการทำบุญ ทำทานหรือการให้การบริจาค

แต่การทำบุญไม่ใช่ทำด้วยความตะกละ เช่น เจ้าประคู้ณ ขอให้เลขเด็ดๆสักทีเถอะน่า...ขอให้ทำมาค้าขึ้น...ขอให้ได้มีรถ มีบ้านเรือน...มีบริวารชายหญิง...ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี และขอให้ได้อะไรๆอีกมากมาย อย่างนี้เรียกว่าทำบุญไม่ได้มุ่งหวังพระธรรม กลับมุ่งหวังแต่สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าพระธรรมทั้งสิ้น

คนสมัยนี้จึงมักทำบุญเพียงเพื่อหวังโลกธรรม ไม่ได้มุ่งหวังจะให้ถึงธรรม ปฏิบัติธรรม และเจริญในธรรม ซึ่งผิดกับสมัยก่อนที่คนทำบุญสุนทานกันมากมายมหาศาล ก็เพียงเพื่อปฏิบัติธรรมให้เกิดธรรม

ตัวอย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีของเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ได้สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี ถวายให้แก่พระศาสนา เพื่อสร้างวัดพระเชตวันถวายต่อสมเด็จพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี เพื่อจะแลกกับประโยค ที่ว่า

"ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ถึงธรรมที่พระองค์ได้ทรงถึงแล้ว"

ดังนั้น เมื่อไม่ได้มุ่งหวังธรรม ไม่ได้ปรารภธรรม อธรรมก็เจริญรุ่งเรือง นักบวช ที่เข้ามาในพระพุทธศาสนาก็มุ่งหวังแค่เพียงว่า เมื่อแสดงธรรมชาวบ้านไม่ฟัง ก็แสดง สิ่งที่เป็นอธรรม เช่น โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ประกาศว่า หลวงพ่อรุ่นนั้นรุ่นนี้ รุ่นรวยไม่เลิก อะไรอย่างนี้

แต่อธรรม คือ สิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ในเมื่อไม่ใช่ธรรม เราก็ต้องโดนเขากระทำเรื่องร้ายๆ ต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น!

จาก : นสพ.ธรรมลีลา มค.๒๕๔๔

ใกล้ จะถึงวันวิสาขบูชากันแล้ว ในวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม    ไปทำบุญ เวียนเทียน กันเถอะ...... :) :)


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 29 เมษายน 2008, 13:46:36
ขอบคุณครับ ได้อ่านแต่สิ่งดีดี ชีวิต ก็เป็นสุขจาย  :)


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: BB ที่ 29 เมษายน 2008, 13:50:29
เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  :P


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kazama ที่ 29 เมษายน 2008, 13:57:51
เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  :P

เห็นด้วย   :P


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 29 เมษายน 2008, 14:00:15
อ้างจาก: kazama link=topic=12097.msg349430#msg34javascript:void(0);
แลบลิ้น9430 date=1209452271
เห็นลายเซ็นแล้วทุกข์ใจกว่า  :P

เห็นด้วย   :P

เอาออกดีก่า คริ คริ  :-[


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: abac401 ที่ 29 เมษายน 2008, 14:02:30
^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  ;D มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  ;D


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 29 เมษายน 2008, 14:06:20
^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  ;D มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  ;D


ไม่ทันเหมือนกันคับ นั่งพิมซะยาว...กดโพสต์ไปปุ๊ป ระบบ แจ้งว่าล๊อกไปแล้ว ซะงั้น 


(http://lof.anime-forge.net/thinger.gif)


หัวข้อ: Re: ทำบุญ มุ่งหวังอะไร....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kazama ที่ 29 เมษายน 2008, 14:07:43
^^^^
ล็อกกระทู้ไว อุส่าหารูปไว้และ  ;D มาไม่ทัน มาปูดตรงลายเซ็นแทน  ;D

ไม่ทันเหมือนกันคับ นั่งพิมซะยาว...กดโพสต์ไปปุ๊ป ระบบ แจ้งว่าล๊อกไปแล้ว ซะงั้น 

เป็นเมื่อก่อนคงแจมด้วย  สาวกน้องเอมเหมือนกัน


หัวข้อ: กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 30 เมษายน 2008, 23:42:20
กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า

ธัมมทินน์


หัวข้อ: Re: กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 30 เมษายน 2008, 23:50:09
กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..


 :'(


หัวข้อ: Re: กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: sermphon7 ที่ 01 พฤษภาคม 2008, 00:11:31
กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..


 :'(
:'( :'(
ขอบคุณกำลังใจดีดีครับ กำลังต้องการพอดีเลย


หัวข้อ: ศิลปะแห่งการให้อภัย....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 16:38:43
ศิลปะแห่งการให้อภัย

การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี แต่พอให้อยู่เสมอ กลับกลายเป็นต้องยอมอยู่ตลอด
เพราะคนที่ได้รับการอภัยไม่เคยสำนึกได้เลยว่าทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง
ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ควรทำอย่างไร

การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครเถียง แต่การ "ให้อภัยอยู่เสมอ" นี่เอง
คือสาเหตุที่ทำให้การอภัยนั้นไม่มีราคา ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย
ในใจของผู้รับ

สาเหตุก็เพราะคุณกำลังทำผิดหลักการของการให้อภัยที่แท้

การให้อภัยที่ถูกนั้นควรให้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้ามีการ
ให้อภัยจนเป็นเรื่องปกติก็ไม่ใช่ความผิดของผู้ทำผิด หากแต่เป็นความผิด
ของผู้ให้อภัยเอง ที่ให้ไม่เป็น หรือไม่มีศิลปะของการให้ การให้อภัย
ซ้ำซากคือการลดคุณค่าของการให้อภัย หรือคือการแสดงให้เห็นว่าสิ่ง
ที่ทำผิดพลาดไปไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

ในทางพุทธศาสนา เวลาให้อภัยใคร ท่านวางขั้นตอนดังนี้

1. ผู้ทำผิดต้องตระหนักรู้ถึงความผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว
2. ตัวผู้ทำผิดนั้นเกิดความรู้สึกอยากจะขอโทษ
3. พยายามขอโทษด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
4. ผู้ที่เหนือกว่าเขายกโทษให้ (= ให้อภัย)
5. ก่อนจะยกโทษ มีการชี้แจงความผิดและชี้ทางออกที่ถูกต้องให้
6. ผู้ทำผิดและมาขอให้บยกโทษให้ ตั้งใจว่าจะปรับปรุงตัว บางที
อาจมีการปฏิญาณตนว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทางที่ถูกต้อง

ลองทบทวนดูว่าทำไมการให้อภัยของคุณจึงให้ผลในทางลบ ทั้งที่
การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี

ในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกเร ติดเหล้า ติดการพนัน
แม่ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนปัญญาจะทำให้กลับตัวเป็นคนดีได้
หลวงลุงซึ่งบวชเป็นพระเซนอยู่ทราบเรื่อง รีบเดินทางกลับมายัง
บ้านน้องสาวและพำนักที่บ้านหลังนั้นหนึ่งคืน เช้ามาขณะกำลังจะ
เดินทางกลับ หลวงลุงหารองเท้ามาสวมด้วยด้วยกิริยางก ๆ เงิ่น ๆ
เจ้าหนุ่มที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาแอ๋กลับจากบ่อนเมื่อใกล้รุ่ง จึงกุลีกุจอ
เข้าไปช่วยผูกเชือกรองเท้า หลวงลุงยืดตัวขึ้นพลางลูบหัวพร้อมกล่าว
ว่า

"หลานเอ้ย! หลวงลุงต้องขอโทษด้วยที่รบกวนเธอ ดูเอาเถอะ
คนเราวันหนึ่งก็ต้องแก่เหมือนหลวงลุงนี่แหละ พอแก่แล้วทำอะไรก็
ไม่สะดวก หูตาฝ้าฟางลงทุกที นี่แค่ผูกเชือกรองเท้ายังต้องพึ่งคนอื่น
เลย หลวงลุงขอโทษเธอจริง ๆ นะ เฮ้อ! ไม่น่าเกิดมาสร้างภาระให้
ใครเลย"

ไม่พูดเปล่า น้ำตาหลวงลุงร่วงพรูลงบนหลังมือเจ้าหลานชาย นาทีนั้น
เอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเขาทอดทิ้งหลวงลุงมาเป็นเวลานาน แล้วใจ
ก็เชื่อมโยงถึงผู้เป็นแม่ ซึ่งต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาวันแล้ววันเล่า
โอ... เขากลายเป็นภาระของแม่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หยาดน้ำตาบน
หลังมือพลันให้เขาเกิดสามัญสำนึกถึงความไม่ได้เรื่องของตน จึงบอกว่า

"หลวงลุงครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมละเลยทั้งแม่และหลวงลุง
มาโดยตลอด จากนี้ไปผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขอหลวงลุงให้อภัยผมด้วย"

จากนั้นเป็นต้นมา แม่ก็ได้ลูกชายคนใหม่มาด้วยกุศโลบายในการทำให้
หลานชายรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งจากหลวงลุงของเขานั่นเอง

การให้อภัยที่จะมีผลที่แท้จริงจึงไม่ใช่การบอกว่า "ฉันยกโทษให้เธอ"
แล้วจบกัน หากแต่ต้องมาจากการที่คนทำผิดเกิดจิตสำนึกขึ้นมาอย่าง
ถ่องแท้ว่าสิ่งทีเขาทำนั้นผิด แล้วอยากเริ่มต้นใหม่ อยากแก้ไขตัวเอง

หากการให้อภัยดำเนินไปในลักษณะนี้ จึงจะเป็นการให้อภัยใน
ความหมายที่แท้




โดย.... "ท่าน ว. วชิรเมธี"


หัวข้อ: Re: ศิลปะแห่งการให้อภัย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 16:40:47
แหล่มเรยยยยยยย  :)


หัวข้อ: Re: ศิลปะแห่งการให้อภัย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Saethao ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 16:42:00
ดีครับ 

ฝึกมีธรรมะในตัวเอง


หัวข้อ: Re: ศิลปะแห่งการให้อภัย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue-WaterSilver ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 16:51:46
สาธุ Amen ~~*


หัวข้อ: Re: ศิลปะแห่งการให้อภัย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: oldgame ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 19:49:05
ว้าว ไม่เคยอ่านเลยงับ เดี๋ยวอ่านตั้งแต่หน้า 1 เลย

ชอบจริง ๆ เลยงับ บทความเพิ่มพลังชีวิต

ขอบคุณงับ  :)


หัวข้อ: Re: ศิลปะแห่งการให้อภัย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: iampum ที่ 22 พฤษภาคม 2008, 20:17:35
 ??? ???


หัวข้อ: อิฐ 2 ก้อน ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 31 พฤษภาคม 2008, 19:47:17
 (http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/38074_1181138509_122_975lo.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/38080_1181138552_122_49lo.jpg)


หัวข้อ: 3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 03 มิถุนายน 2008, 22:40:31

3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก


                   หลวงพ่อเจ้าคะ เนื่องจากลูกทำธุรกิจส่วนตัวต้องดูแลลูกน้องจำนวนมาก ทำอย่างไรลูกถึงจะเป็นผู้บริหารที่สามารถครองใจลูกน้องได้ ?

   
                   การครองใจคนนั้นความจริงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ขอให้เราครองใจของเราเองให้ได้เสียก่อน เมื่อครองใจตนเองได้แล้ว จึงค่อยไปครองใจคนอื่น ตรงนี้จำไว้ให้ดี

                   การครองใจตนเอง คือ การรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสามารถรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลาได้อย่างนั้น เรื่องครองใจคนอื่นก็ไม่ยาก ส่วนที่ถามว่า การครองใจลูกน้องจะทำอย่างไร ก็ต้องดูศัพท์คำว่า "ลูกน้อง" ให้ดี เพราะว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรานั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน

                   เรามีคำหลายคำตั้งแต่คำว่า "พนักงาน" "คนงาน" "คนรับใช้" หนักเข้าไปก็คำว่า "ข้าทาส" แย่หนักเข้าไปอีกก็คำว่า "ขี้ข้า"

                   สำหรับคำว่า "ขี้ข้า" กับคำว่า "ข้าทาส" นั้น ปู่ ย่า ตา ทวดเราไม่ใช้กันหรอก เพราะถือว่าเป็นคำที่ใช้จิกหัวเรียกกัน จนกระทั่งหมดความเป็นคนเลย

                   ท่านให้มีจิตเมตตามองว่า เขากับเราก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน การที่เขามาอยู่กับเรา เขาก็เป็นบุคคลที่มาช่วยผ่อนแรง มาช่วยเราทำมาหากิน เราได้เขาเป็นแรงกาย ส่วนเราก็ออกแรงสติปัญญา พูดไปแล้วก็เหมือนอย่างกับมือซ้ายกับมือขวา หรือเท้าหน้ากับเท้าหลัง คิดอย่างนี้ถึงจะไปด้วยกันได้

                   เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะครองใจลูกน้อง ขั้นต้นเลยต้องมองคำว่า "ลูก" กับคำว่า "น้อง" ก่อน คือไม่ว่าใครมาอยู่กับเราก็ให้ความเมตตาเขา เรารักความสุข รักความสะดวกสบายอย่างไร คนอื่นเขาก็เป็นคน เขาก็รักความสุข รักความสะดวกสบายเหมือนเรานั่นแหละ

                   เพียงแต่ว่า วันนี้เรามีฐานะ มีความรู้ มีความสามารถมากกว่าเขา เขาเลยยอมมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา แล้วเราล่ะถือว่าเขาเป็นคนหรือเปล่า

                   ถ้าถือว่าเขาเป็นคน แต่เป็นแค่คนรับใช้ เป็นแค่คนงาน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา หรือถือว่าเขาไม่ใช่คน เพราะว่าเขาอยู่ต่ำกว่าเรา เป็นไอ้ขี้ข้า ไอ้ข้าทาส อย่างนี้ก็หมดสัมพันธไมตรีกันเลย
                 
                   แต่ถ้าถือว่าเขาเหมือนลูก เหมือนน้อง อย่างนี้ใช้ได้ เพราะว่าลูกน้องก็คือลูก แต่ว่าเป็นลูกชนิดที่ต้องจ่ายเงินจ่ายทอง หรือจะเรียกว่าเป็นลูกจ้างก็ยังดี
    แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือลูกจ้างก็เท่ากับเรายอมรับว่า เขามีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนเช่นเดียวกับเรา เพียงแต่เขาด้อยโอกาสกว่าเราสักหน่อย เราก็ให้โอกาสเขา อย่าไปดูถูกดูหมิ่น แต่คิดว่าเขามาช่วยทำมาหากิน ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่ขี้ข้า แล้วทำใจให้ได้อย่างนี้

                   ข้อที่ ๑ มีจิตเมตตา คือ สอนงานให้เขาทำเป็น ใช้งานให้พอเหมาะพอสม แล้วก็อบรมศีลธรรมให้เขาด้วย เพราะถึงแม้เขาด้อยโอกาสชาตินี้ แต่ถ้าชาติหน้าพอมีศีลมีธรรมติดตัวไป เขาก็จะได้ไม่ด้อยโอกาสอีก ถ้ายกระดับชีวิตให้เขาได้อย่างนี้ เขาก็เหมือนลูก เหมือนน้องเราแล้ว

                   ข้อที่ ๒ มีความกรุณา คือ ถึงคราวดีก็ใช้ ถึงคราวไข้ก็รักษา เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษา หอบหิ้วกันไปไม่ทอดทิ้ง เรียกว่าเอาใจซื้อใจกันนั่นเอง

                   ข้อที่ ๓ มีมุทิตาจิต คือ คนไหนฝีมือดีกว่าก็ส่งเสริมให้เขาก้าวหน้าไป อย่าไปกัก อย่าไปกดเขาเอาไว้ แล้วเอาแต่พวก เอาแต่ลูกหลานของตัว ใครฝีมือดีไม่ดีก็ต้องว่ากันตามผลงาน
    อย่าเอาคำว่า "คนอื่น" คำว่า "ญาติ" มาปนเปกัน เพราะว่าถึงตอนนี้ต้องถือว่าจะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติ จะเป็นสายเลือดหรือไม่ใช่สายเลือด เมื่อมาเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพี่ร่วมงาน เป็นน้องร่วมงานกันแล้วอย่าไปเกี่ยง ใครมีฝีมือดีกว่าก็ต้องส่งเสริมให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป มีมุทิตาจิตกับเขาไม่กักกันเอาไว้

                   ในเวลาเดียวกันใครย่ำแย่ ฝีมือยังไม่ถึง ถ้าบ่ายหน้ามาพึ่งเราแล้ว ก็อย่าไปทอดทิ้งเขา อย่างน้อยที่สุดถ้าพบว่า ยังมีแววรักดี มีแววซื่ออยู่ละก็ ใครล้าหลังก็ลากก็จูงกันไปไม่ ทอดทิ้ง

                   ถ้าทำกันอย่างนี้ ถึงจะครองใจคนได้ ไม่อย่างนั้นหากมัวแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เขาจะได้แต่เงิน เราจะได้แต่งาน แต่ว่าไม่ได้ใจกัน ถ้าจะให้ได้ใจกันละก็ ต้องเข้าไปครองใจกันอย่างนี้ โดยถือว่าเขาเป็นลูก ถือว่าเขาเป็นน้อง แล้วประคับประคอง สร้างงาน สร้างบุญ สร้างความดี กันไป


ขอขอบคุณ kalyanamitra.org

     



หัวข้อ: Re: 3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 03 มิถุนายน 2008, 22:48:13
      
   
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระภาวนาวิริยคุณ
(หลวงพ่อทัตตชีโว)


    ลูกเอ๊ย พ่อแม่ ครูอาจารย์ ไม่เคยสอนให้ลูกสูบบุหรี่
    ไม่เคยสอนให้ลูกเล่นไพ่ ไม่เคยสอนให้ลูกโกหก
    แต่ปรากฏว่า ของเหล่านี้เราเป็นกันเกือบทุกคน
    เหล้า พ่อไม่เคยสอนให้กิน แต่ลูกก็กินเป็น
    บุหรี่ พ่อไม่เคยสอนให้สูบ แต่ลูกก็สูบกันควันโขมงอย่างกับโรงสี
    แม่ไม่เคยสอนให้โกหกเลย แต่ลูกก็โกหกกันเป็นว่าเล่น


    นิสัยไม่ดีได้มาจากไหน

                 พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ไม่เคยสอนให้เราเกเรเลย ถามว่าแล้วเราได้นิสัยเหล่านี้มาจากไหน ลูกเอ๊ย มันก็ได้มาจากเพื่อนที่เราคบนั่นแหละ พ่อแม่สอนให้ลูกทำความดี แต่ลูกก็ไม่ค่อยอยากจะเอา ไปสังเกตดูให้ดีเถอะ นิสัยเลวๆ ทั้งหลายถามว่า ได้มาจากไหน ก็ได้มาจากเพื่อน แล้วเพื่อน ก็ได้นิสัยเลวๆ มาจากเรา ติดกันไปติดกันมา

                 ยกตัวอย่าง เรื่องเหล้า ทีแรกเพื่อนเอาเหล้ามาล่อเรา เราก็กินเข้าไป อาทิตย์สองอาทิตย์กินที เราก็ชักติดใจเข้า งวดนี้ชวนเพื่อนกินเหล้ากลับไปบ้าง วันสองวันกินที เพื่อนก็แน่เหมือนกัน ชวนเรากลับบ้าง งวดนี้เลยกินเหล้าได้ทุกวัน เราแน่หนักเข้าไปอีก ชวนเพื่อนกินเหล้าทั้งเช้าทั้งเย็น นี่เป็นอย่างนี้


    นิสัยดีๆ ได้มาจากไหน


                 ในเวลาเดียวกัน นิสัยดีๆ หลายๆ อย่างก็ได้มาจากเพื่อนอีกเหมือนกัน

                 ยกตัวอย่าง ความสามารถความละเอียดลออในการทำงาน บางอย่างเราก็ได้มาจากเพื่อน เราไปได้มาแล้วก็มาปรับปรุงเป็นนิสัยของเรา วันหลังเพื่อนมาเห็นเราทำงานฝีมือดีๆ เพื่อนก็ลอกเอากลับไปเป็นของเขา แล้วก็เอาไปปรับปรุง เพื่อนปรับปรุงแล้วเราเห็นว่าดี เราก็เอากลับมาเป็นของเราอีก มันก็กลับกันไปกลับกันมา ถ่ายทอดความดีจากกัน นิสัยเลวๆ ก็ได้จากเพื่อนเลวๆ นิสัยดีๆ ก็ได้จากเพื่อนดีๆ


    หลักการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี


                 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งเอาไว้ว่า ถ้าอยากจะเป็นคนดีมีมงคลติดตัว เพื่อนเลวๆ เลิกคบเสีย เพื่อนขี้เหล้าเมายา เพื่อนเล่นการพนัน เพื่อนเจ้าชู้ เพื่อนขี้เกียจ เลิก ไม่คบกัน คบแล้วจะติดนิสัยเสียกันไปหมด

                 ในเวลาเดียวกันเพื่อนที่ดีๆ คบเถอะ คบไปทุกคน ใครเขามีความดี คบเขาเรื่อยไป นี่เป็นเรื่องตัวของเรา

                 หลวงพ่อขอฝากเรื่องสำหรับคนที่มีลูกแล้ว หรือกำลังจะมีลูกก็ตาม โบราณท่านเตือนไว้ อยากได้ลูกแก้ว ให้ทำ ๔ อย่างนี้


    ๑. ทำดีๆ ให้ลูกดู


                 อยากจะให้ลูกน่ารัก ลูกดี พ่อแม่ต้องทำดีๆ ให้ลูกดู พูดง่ายๆ พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนชนิดหนึ่งของลูกเหมือนกัน แต่เป็นเพื่อนชนิดผู้ใหญ่ เพราะพ่อแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับลูกที่สุด ทำดีๆ ให้ลูกดู ลูกจะได้ติดนิสัยดีๆ จากเรา

                 เพราะฉะนั้น ใครอยากจะได้ลูกดีๆ อย่าไปกินเหล้าให้ลูกดู ลูกจะได้ติดนิสัยดีๆ เอาไป

                 บางคนบอกว่า "อู้ย ไอ้ลูกเนี่ย ดื้อ กับพ่อกับแม่ล่ะ มันเถียงคอเป็นเอ็นเชียว"

                 หลวงพ่อเลยถามเขากลับว่า "แล้วเอ็งสองคนผัวเมียเถียงกันบ้างมั้ย"

                 "โอ๊ย ทั้งเช้าทั้งเย็นล่ะ"

                 "เออ ก็ทำอย่างนั้น ลูกมันก็ติดนิสัยเอามาล่ะซิ"

                 เพราะฉะนั้น อะไรไม่ดีอย่าไปทำให้ลูกเห็น


    ๒. หาเพื่อนดีๆ ให้ลูกเล่น


                 ไปสังเกตดูเถอะลูกเอ๊ย เด็กคนไหนถ้าคบกับเพื่อนขี้ขโมย เดี๋ยวเขาก็ขี้ขโมยตามเพื่อน ให้ไปเล่นกับเพื่อนด่าเก่งๆ เดี๋ยวเถอะด่าฉอดๆ เลย ขนาดเด็กผู้หญิงอายุ ๒-๓ ขวบ ยังพูดไม่ทันชัดเลย แต่ชักจะด่าคล่องเสียแล้ว เพราะฉะนั้นต้องหาเพื่อนดีๆ ให้ลูกเล่น


    ๓. หาหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน


                 วิธีหาหนังสือดีๆ แบบง่ายๆ ก็คือการเขียนบันทึกข้อคิดประจำวัน เช่น วันนี้ไปฟังเทศน์จากหลวงพ่อมา ได้ข้อคิดมาปรับปรุงแก้ไขตนเองเยอะเลย ก็หัดบันทึกข้อคิดประจำวันลงในสมุดไป พอลูกโตขึ้น ส่งให้ลูกแล้วบอกว่า "ลูกอ่านให้พ่อ ฟังที อ่านแล้วจะได้ประโยชน์"

                 แต่ถ้าเราขี้เกียจเขียนบันทึก พอถึงเวลา เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเราไม่มีพิมพ์เป็นหนังสืออยู่ในเล่มไหนหรอก แล้วก็จะสูญหายไป แต่ถ้าเราเขียนบันทึกไว้ดี ไม่ต้องไปสอนลูกสอนหลานมากหรอก ให้ลูกอ่านให้พ่อแม่ฟังทุกคืนๆ แล้ว ลูกเราจะดีเอง


    ๔. พาลูกไปหาพระอาจารย์ดีๆ


                 หลวงพ่อ หลวงปู่ หรือครูบาอาจารย์ดีๆ ผู้ใหญ่ดีๆ พาลูกไปหา แล้วลูกเราก็จะได้เห็นของมาตรฐาน แล้วลูกก็จะรู้ว่า ของดีเป็นอย่างไร ของเลวเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่ทำอย่างนี้ จะได้ลูกแก้วไว้ในบ้าน

                 ถ้าทำได้ทั้ง ๔ ข้อนี้ แล้วเราจะได้ลูกแก้วไว้ในบ้าน ข้อสำคัญที่สุดคือใน ๔ ข้อนี้ อยู่ที่ตัวเรา นั่นแหละ คือต้องทำตัวดีๆ ให้ลูกดู การจะทำ ตัวดีๆ ให้ลูกดูนั้น มีทางเดียว คือเพื่อนเลวๆ เราอย่าไปคบ เลิกให้เด็ดขาด เพื่อนขี้เหล้า เพื่อนเล่นการพนัน เพื่อนเจ้าชู้ เพื่อนขี้เกียจ เลิกคบกัน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวลูกเราจะติดนิสัยพรรค์นั้นไป แล้วเราจะเสียชาติเกิด ตัวเราก็เลว ลูกก็เลว ผลสุดท้ายเจ็ดชั่วโคตรเลวหมด แต่ถ้าทำอย่างหลวงพ่อว่า คือตัวเราก็ดี ลูกก็ดี เจ็ดชั่วโคตรทั้งหมดดีนะ

  ขอขอบคุณ   kalyanamitra.org

     



หัวข้อ: Re: 3 วิธีง่ายๆในการครองใจลูกน้อง+ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: khanom ที่ 03 มิถุนายน 2008, 22:50:38
ขอบคุณคะ ก๊อปปี้ลงบล็อกดีมั้ยนี่  ;D ;D


หัวข้อ: Re: 3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 03 มิถุนายน 2008, 22:56:39
ขอบคุณครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ
แต่ทางด้านทฤษฎีกับปติบัติมันก็ต่างกันสิ้นเชิงครับ...(เฉพาะกรณีของผมคับ)

บางทีลูกน้องกวนตีนก็มีครับ
เราดูแลทุกอย่าง อาหารการกินเต็มที่ ในแต่ละวันเวลาพักผ่อน แทบจะมากกว่าเวลาซะอีก
เราให้แต่สิ่งดีดีไป เราให้เขาด้วยใจ มีการแบ่งปัน เื้อื้อเพื้ออยู่เป็นประจำ

แต่ในทางตรงกันข้าม เขาไม่เคยจะสนใจเราเลย
นึกอยากขาดก็ขาด อยากหยุดก็หยุด
ทำงานไม่ดี อู้บ้าง ไม่ละเอียดบ้าง

ตัวเราเองคิดกับเขาเป็นเหมือนกับพี่ๆ น้องๆ พึ่งพาอาศัยกัน
แต่ตัวเขาแล้วเขาคิดแค่ว่าจะทำงานให้มันเสร็จๆ ไปวันๆ งานดีหรือไม่ดี ไม่เคยจะสนใจ
ถ้าเจ้านายไม่เห็นก็ไม่ทำ ทำผิดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พูดแล้วพูดอีก ไม่พูดก็ไม่ทำ ไม่แก้ ไม่ตรวจให้ดี ต้องคอยคุมตลอดเวลา


ทำดีกับพวกเขาแค่ไหน เขาไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของเราบ้างเลย
กวนตีนจริงๆ



 


หัวข้อ: Re: 3 วิธีง่ายๆ ในการครองใจให้ลูกน้องรัก ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: youcanberich ที่ 03 มิถุนายน 2008, 23:06:49
ขอบคุณครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ
แต่ทางด้านทฤษฎีกับปติบัติมันก็ต่างกันสิ้นเชิงครับ...(เฉพาะกรณีของผมคับ)

บางทีลูกน้องกวนตีนก็มีครับ
เราดูแลทุกอย่าง อาหารการกินเต็มที่ ในแต่ละวันเวลาพักผ่อน แทบจะมากกว่าเวลาซะอีก
เราให้แต่สิ่งดีดีไป เราให้เขาด้วยใจ มีการแบ่งปัน เื้อื้อเพื้ออยู่เป็นประจำ

แต่ในทางตรงกันข้าม เขาไม่เคยจะสนใจเราเลย
นึกอยากขาดก็ขาด อยากหยุดก็หยุด
ทำงานไม่ดี อู้บ้าง ไม่ละเอียดบ้าง

ตัวเราเองคิดกับเขาเป็นเหมือนกับพี่ๆ น้องๆ พึ่งพาอาศัยกัน
แต่ตัวเขาแล้วเขาคิดแค่ว่าจะทำงานให้มันเสร็จๆ ไปวันๆ งานดีหรือไม่ดี ไม่เคยจะสนใจ
ถ้าเจ้านายไม่เห็นก็ไม่ทำ ทำผิดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พูดแล้วพูดอีก ไม่พูดก็ไม่ทำ ไม่แก้ ไม่ตรวจให้ดี ต้องคอยคุมตลอดเวลา


ทำดีกับพวกเขาแค่ไหน เขาไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของเราบ้างเลย
กวนตีนจริงๆ



 
ดูโหด แต่.... จริง ผมคนนึงหละเข็ดกับลูกน้องเลย โขมยเงินก็มี ลูกน้องดีๆหายากจริงๆ  :P


หัวข้อ: ครองใจลูกน้อง+ เลี้ยงลูกอย่างไร+ครอบครัวเป็นสุข....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 03 มิถุนายน 2008, 23:22:50
ครอบครัวเป็นสุข

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระภาวนาวิริยคุณ
(หลวงพ่อทัตตชีโว)

                 ลูกเอ๊ย มีเรื่องหนึ่งในครอบครัวของพวกเรา ซึ่งถ้าใครปล่อยปละละเลย พยายามแก้ไขเสียเถอะ ถ้าแก้ไขได้ พี่น้องทุกๆ คนในครอบครัวจะรักกัน หลวงพ่อเคยเตือนพวกเรามาแล้วว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในครอบครัวซึ่งพ่อแม่จะต้องรีบแก้ไข คือ ทำอย่างไรลูกๆ ทุกคนจึงจะรักกัน ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าลูกยังไม่รักกันแล้วจะไปหวังว่า เราตายแล้วลูกคงจะรักกัน ช่วยเหลือกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้
   

                ส า เ ห ตุ ที่ ลู ก ไ ม่ รั ก กั น


                หลวงพ่อเห็นครอบครัวของพวกเรา หลายๆ คน ลูกๆ ไม่ค่อยถูกกัน ทั้งที่กินข้าวหม้อเดียวกัน วันเกิดก็คลอดตามกันมาจากพ่อแม่เดียวกัน แต่เสร็จแล้วลูกก็ยังไม่ถูกกัน

                จะใช้ได้อย่างไร ถ้ากินข้าวด้วยกันยังไม่พูดกัน
    ยกตัวอย่าง แม่ใช้ลูกคนโตไปสั่งงานลูกคนเล็ก เจ้าคนเล็กไม่พูดด้วยเสียอย่างนั้นแหละ พอแม่ใช้เจ้าคนเล็กไปเรียกเจ้าคนโต เจ้าคนเล็กก็ไม่ยอมไป ขนาดพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ยังมีสภาพอย่างนี้ นี่เป็นความพินาศของครอบครัววงศ์ตระกูล
    อะไรเป็นสาเหตุใหญ่ของสิ่งเหล่านี้ ที่ทำให้พี่ๆ น้องๆ ลูกๆ ในครอบครัวไม่รักกัน


                ประการแรก พ่อแม่ไม่ได้ฝึกลูกให้มีความเคารพกันตามลำดับอาวุโส


                พี่ต้องเป็นพี่ น้องต้องเป็นน้อง ให้เคารพนับถือกันตามอาวุโสอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กจึงจะถูกต้อง

                ถ้าน้องคนไหนเรียกพี่ว่า "ไอ้ อี" ขึ้นมาละก็ พ่อแม่ต้องห้ามปรามดุว่าไปเลยตั้งแต่ยังเล็ก สอนเขาให้เรียกพี่เรียกน้องกันว่า "พี่ครับ พี่จ๋า" "แม่จ๊ะ แม่จ๋า" "พ่อจ๊ะ พ่อจ๋า"

                ถ้าลูกพูด "จ๊ะ จ๋า" "ครับ ผม" ไม่เป็นตั้งแต่เล็ก โตขึ้นลูกก็พูดไม่เป็น แล้วคำพูดทุกคำเวลาเขาโตขึ้น จะเป็นคำพูดที่ระคายหู ไม่เพียงระคายหูเฉพาะเราหรอก กับคนอื่นก็ระคายหูไปหมด แล้วลูกเราก็คือคนที่โลกไม่ต้องการ เข้าไปที่ไหนคนเขาก็รังเกียจ เพราะลูกพูดจาระคายหู เหมือนอย่างเอาลวดหนามแยงหูอย่างนั้นแหละ


                ประการที่ ๒ พ่อแม่บางคนลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน


                นี่ก็ความผิดของพ่อแม่ ถามใจตัวเองดูว่า เรามีลูกกี่คน แล้วรักลูกเท่ากันไหม ถ้ารักไม่เท่ากัน นี่จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกมองหน้ากันไม่ติด ถึงแม้สมมติว่า เรารักลูกไม่เท่ากัน ก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ข้างในใจ ข้างนอกต้องปฏิบัติกับลูกให้เสมอกันให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นลูกจะไม่ถูกกัน ใครรักลูกไม่เท่ากัน แก้ไขเสีย


                ประการที่ ๓ ถึงเวลากินข้าว กินไม่พร้อมกัน

                ระวังนะ ถ้ากินไม่พร้อมกัน แม้กับข้าวเตรียมไว้เพียงพอสำหรับทุกๆ คน แต่ถ้ามากิน ไม่พร้อมกัน คนหนึ่งมาก่อน มือหนักกินมากไปบ้าง คนหลังมา เหลือแต่น้ำแกง เขาก็ขุ่นอยู่ในใจ แล้วก็เก็บไว้ข้างใน วันหลังเจออย่างนั้นอีก ก็ยิ่งขุ่นใจหนักเข้าไปอีก แต่ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร มีความรังเกียจกันอยู่ในใจ แต่ยังหาเหตุไม่ได้ พอไปหาเหตุอะไรได้สักอย่างหนึ่ง ระเบิดตูมเลย แล้วตั้งแต่นั้นมาพี่น้องจะกินใจกัน

                แล้วไปสังเกตเถอะ ถ้าบ้านไหนกินข้าวไม่พร้อมกัน ลูกคนขี้เกียจที่สุดนั่นแหละ จะรีบมากินก่อน เขาจะเป็นคนที่อิ่มที่สุด ในขณะที่ลูกคนขยันจะเป็นลูกที่อดที่สุด แล้วลูกขยันคนนี้แหละ ก็จะหาทางออกจากบ้านให้เร็วที่สุด ไม่รู้จะอยู่ทำไม ส่วนลูกคนขี้เกียจ ก็รู้ตัวว่าทำงานไม่เป็น เขาก็ประจบแม่ประจบพ่ออย่างที่สุด ให้พ่อให้แม่โอ๋ ต่อหน้าทำตัวให้น่ารัก แต่ลับหลังกลับไปก่อเรื่องแสบที่สุดเอาไว้ เมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าลูกดีๆ ออกจากบ้านหมด เหลือเจ้าลูกเกเรอยู่ในบ้าน แล้วพ่อแม่ก็มาบ่น "แหม..ลูกมันไม่รักเรา ลูกทิ้งๆ ขว้างๆ เรา"
    ความจริงคือมันรักไม่ไหวหรอก เพราะเขาทนเจ้าคนขี้เกียจรังแกไม่ได้ ก็เลยต้องไป อย่างนี้เรียกว่า เลี้ยงลูกไม่เป็น


                ประการที่ ๔ ไม่เคยสอนลูกให้สวดมนต์ ไหว้พระ

                เมื่อไม่เคยสอนลูกให้สวดมนต์ไหว้พระ แต่ละคนก็พูดแต่ว่า "กูเก่งๆ" คนเราถ้าได้สวดมนต์ไหว้พระกราบพระเป็นประจำแล้ว เท่ากับฝึกลูกให้รู้ตัวว่า คนเก่งกว่าเขายังมี อย่างน้อยก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เคยสวดมนต์ ไม่เคยไหว้พระเลย ลูกจะมีความนึกคิดอย่างนี้เข้ามาว่า "กูก็หนึ่ง ใครๆ ก็สู้กูไม่ได้" แล้วถ้ามี พี่น้องกัน ๓ คน ๕ คน แต่ละคน "กูก็หนึ่ง แล้วกูก็เก่ง" ใครจะไปยอมกันได้อย่างไร ลูกเอ๊ย

                ถ้าเราช่วยกันแก้ไขในสิ่งเหล่านี้ ครอบครัว เราจะอยู่เย็นเป็นสุข พ่อแม่มีชีวิตอยู่ก็ชื่นใจ เพราะลูกเต้าไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตายก็นอนตาหลับ มั่นใจว่าพี่ๆ น้องๆ คงจะประคับประคองกันไปได้ ใครยังไม่ได้ทำ รีบทำเสีย ถึงแม้บางท่าน ไม่มีลูก แต่ขณะนี้ยังอยู่กับพ่อกับแม่ ลองถาม ตัวเองสิว่า "ขณะนี้ในบ้านเราเป็นอย่างไร กินข้าว พร้อมกันไหม พี่ๆ น้องๆ พูดกันเพราะดีไหม เคารพกันตามอาวุโสไหม หรือเรียกพี่ก็เรียก "อี" เรียก "ไอ้" เวลาอยู่ในบ้านก่อนนอนสวดมนต์กันบ้างหรือเปล่า ถ้าสวดมนต์สวดพร้อมกันไหม ไปดูแก้ไขกันให้ครบให้ถ้วน ถ้าไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่า ที่บ้านจะมีความสุข มีพี่น้องก็เหมือนเป็นคนอื่น เพราะถ้ากินใจกันเพียงแค่กินข้าวไม่พร้อมหน้ากัน ก็พอมีเหตุที่จะทำให้พี่ๆ น้องๆ แตกแยกกันได้ ขอให้พิจารณากันให้ดี แล้วครอบครัวจะได้เป็นสุข




หัวข้อ: ขำ ขำ กับยุคที่ข้าวของแพง สูตรทำมาม่าอร่อยๆ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 04 มิถุนายน 2008, 15:32:54
ขำ ขำ กับยุคที่ข้าวของแพง สูตรทำมาม่าอร่อยๆ :) :)


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/2.jpg)


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/3.jpg)


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/4.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/5.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/6.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/7.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/8.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/9.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/10.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/11.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/12.jpg)




หัวข้อ: Re: ขำ ขำ กับยุคที่ข้าวของแพง สูตรทำมาม่าอร่อยๆ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: ~อุอุ~ ที่ 04 มิถุนายน 2008, 16:20:27
เข็มขัดสั้น  :'(


หัวข้อ: Re: ขำ ขำ กับยุคที่ข้าวของแพง สูตรทำมาม่าอร่อยๆ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Commando ที่ 04 มิถุนายน 2008, 17:26:15
ลึกซึ้งจริงๆ  :'(


หัวข้อ: ระลึกนึกถึงความตาย....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 มิถุนายน 2008, 15:04:29
ระลึกนึกถึงความตาย

กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น

ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/DSC06679.jpg)

จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี

เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ

ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน

เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน

ขอขอบคุณ วารสารอยู่ในบุญ kalyanamitra.org

ในเดือนหน้า วันที่ 17 กรกฎาคมนี้ ก็ใกล้จะถึงวันอาสาฬหบูชา เราชาวพุทธเตรียมตัววางแผนไปทำบุึญกันแล้วหรือยัง??


หัวข้อ: ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 06 มิถุนายน 2008, 11:15:03
ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน


เห็นสาวๆทั้งหลายวิตกกังวลกันเหลือเกินว่า หลังแต่งงานแล้ว ชีวิตรักจะชืดจืดจางไม่มีรสชาติ อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆดีกว่า  ส่วนมากที่อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆ  มักจะไม่ได้แต่งหรอกครับ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องแต่งงาน  เกิดเป็นความเคยชิน  ยิ่งถ้าฝ่ายชายไม่ได้คิดอยากจะมีทายาทแล้วละก็ เขาคงไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นภาระหรอกครับ

ส่วนหนุ่มๆทั้งหลายก็วิตกกังวลว่า หากแต่งงานไปแล้ว ชีวิตจะขาดอิสรภาพ  มีห่วงคล้องคอ จะไปไหนมาไหน ต้องมาคอยตอบคำถาม  โดนซักฟอกกันให้ปวดหัวรำคาญใจ  ก็เลยอยากใช้ชีวิตโสดให้คุ้มค่าไปนานๆก่อน  จนกลายเป็นความเคยชิน และไม่อยากแต่งงาน  นอกจากจะโดนมัดมือชกจริงๆ   หรือตกกระไดพลอยโจน

ก่อนตัดสินใจแต่งงาน  ตอบคำถามต่อไปนี้ดูก่อนเป็นไร:


1. เรารักเขาไหม?
 
เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด   เพราะถ้าปราศจากความรักแล้ว ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด  และคำว่ารัก ในที่นี้  คือ  ต่อไปนี้ คงไม่ไปหลงรักใครอีกแล้ว   คนที่เราจะแต่งงานด้วย  คือรักครั้งสุดท้ายของเรา   และเราจะไม่คิดไปสร้างสัมพันธ์รัก สัมพันธ์สวาท กับใครอีก  ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนต่างเพศจนเกิดเป็นความรัก ความผูกพันได้อีก นอกเสีียจากว่า คู่ครองของเราจะตายจากเราไปแล้วเท่านั้น


2. เราพร้อมทางด้านจิตใจหรือเปล่า?

คือ พร้อมที่จะร่วมทั้งทุกข์  ร่วมทั้งสุข    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว  เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา  โดยไม่คิดจะทอดทิ้งกันเสียก่อน   เขาอาจจะเจ็บป่วย  หรือ พิการหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว  เราพร้อมที่จะดูแลเขาไหม    หรือเขาอาจจะตกงาน ไม่มีเงิน  เราพร้อมที่จะช่วยกันก่อร่างสร้างตัวไหม   หรือถ้าเขาอาจทำอะไรผิดพลาดไป  หรือ ทำอะไรให้เราโกรธไม่พอใจ  เราพร้อมที่จะอภัยให้เขาได้ไหม    ถ้าเราคาดหวังเพียงความสุขจากการแต่งงาน   ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด  เพราะชีวิต คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปหรอกนะครับ


3. เราพร้อมทางด้านการเงินไหม?

มีหน้าที่การงานที่มั่นคง   มีรายได้เพียงพอ   มีเงินเก็บจำนวนหนึ่งที่พอจะเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานได้   และยังพอมีเงินสำรองได้บ้างอีกจำนวนหนึ่งไว้ยามฉุกเฉิน     เพราะ ความรัก  ถ้าขาดเงิน  ความรักก็ไม่หวานหรอกนะ  ถ้าต้องพากันไปกัดก้อนเกลือกิน    ความเครียดจะมีตามมา  เมื่อเครียดแล้ว ก็อาจทะเลาะเบาะแว้งกันได้   อารมณ์รัก อารมณ์ใคร่  ก็จะลดลง คนบางคนก็จะพาลโทษคู่ของตนเอง  โยนความผิดให้กันและกันในยามมีอารมณ์เครียด   ถ้ายังมีปัญหาเรื่องเงินอยู่  ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน    รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน    อย่าแต่งงานเพราะอยากหาที่พึ่งทางด้านการเงิน     เพราะนั่น  คงไม่ใช่ความรัก   แต่เป็นความโลภ   อยากสุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน อยากได้ในสิ่งที่เขามีเพื่อเอามาเป็นของตนเอง   เราเองก็คงไม่ชอบใจนัก ถ้ารู้ว่า คนที่อยากแต่งงานกับเรา ไม่ใช่เพราะรักเรา แต่เพราะเห็นแก่เงินของเราต่างหาก   สิ่งใดที่เราไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา  เราเองก็ไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่นเช่นกัน


4. เราพร้อมทางด้านร่างกายหรือเปล่า?

ความรักและการแต่งงาน  จำเป็นต้องมีเรื่องความต้องการทางเพศเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการแต่งงานด้วย  เรามีทัศนคติเรื่องเพศสัมพันธ์ถูกต้องหรือไม่   ถ้าเราเห็นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องจำเป็น  นั่นเราคิดผิดแล้ว   ทั้งหญิงและชาย  ต้องเรียนรู้ที่จะทำให้คู่ของตนมีความสุขทางเพศ    หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบกพร่อง  อาจมีปัญหาเรื่องการนอกใจตามมาได้   เพราะเพศสัมพันธ์  เป็นแรงขับภายในร่างกายตามธรรมชาติ    หรือถ้าเราคิดว่า  ยังอยากสนุกกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของเรา   ถ้าคิดอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งแต่งงานเลย เพราะขืนแต่งงานไป   ปัญหาบ้านแตกก็คงมีตามมา  และคู่ครองของเรา ก็คงไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงานเป็นแน่

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากมีลูก   ควรต้องคุยกันก่อนแต่งงาน  เพราะถ้าหลังจากแต่งงานแล้ว อาจไม่มีลูกสมใจหมาย  ปัญหาในชีวิตสมรส ก็อาจมีตามมาได้  ผู้ชายอาจจะอ้างได้ เรื่องการมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  เพื่อจะมีทายาทให้กับตนเองได้   หรือฝ่ายหญิงอาจอยากมีลูก  แต่ฝ่ายชายเป็นหมัน   ปัญหาความคับข้องใจก็อาจมีตามมาได้  ควรได้นำเรื่องการมีลูกมาคุยกันก่อนแล้วก่อนแต่งงาน  ถ้าทั้งสองฝ่ายรักกัน  และไม่ได้มีเป้าหมายว่า จะต้องมีลูกด้วยกัน   จึงควรจะแต่งงานกัน   จริงๆแล้ว  ลูก   ไม่ใช่โซ่ทองคล้องใจ  สำหรับคู่สมรสบางคู่   บางคนมีลูกด้วยกัน 1 - 4 คน  แต่ก็ยังหย่าร้างกันได้   บางคนไม่มีลูกด้วยกัน  แต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนวันตายก็มีหลายคู่

ถ้าเรามีโรคประจำตัว   หรือมีสุขภาพไม่ดี   ควรได้คุยกันก่อนแต่งงาน  ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รังเกียจ  และยินดีจะดูแลเรา   ก็ควรแต่งงานกัน     ไม่ใช่ปิดบังเอาไว้  แล้วไปรู้เอาทีหลัง   หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว    ถ้าเรารู้ตัวว่าตนเองอาจเป็นภาระของอีกฝ่ายหนึ่ง  ก็ไม่ควรคิดเอาเปรียบ  ด้วยการหลอกให้เขามาแต่งงานกับเรา   เว้นไว้เสียแต่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้น เขารักเรามาก และยินดีจะร่วมทุกข์ร่่วมสุขด้วย  แม้เราจะมีโรคประจำตัว  ยังไงๆก็ควรบอกกันให้รู้ก่อนดีกว่าการปิดบังอำพราง


การแต่งงาน  คือ  การที่คนสองคนที่รักกัน ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต  จะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  ทั้งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยและยามมีสุขภาพดี   ทั้งในยามขัดสนและยามมั่งมีศรีสุข  เขาสองคนจะไม่ทอดทิ้งกัน    จะรักและซื่อสัตย์ต่อกัน  โดยไม่มีชายอื่นหรือหญิงอื่นอีกแล้ว    การแต่งงาน ทำให้คนสองคน  กลายเป็นคนเดียวกันตามกฏหมาย  และหล่อหลอมดวงใจสองดวงให้เป็นดวงเดียวกัน

ถ้าเมื่อไรเรารักใครได้อย่างน้ี  และมีทัศนคติต่อการแต่งงานแบบนี้แล้ว รีบแต่งงานกันเถอะครับ จะได้มีความสุขด้วยกันตลอดชีวิต   แม้ในยามที่ชีวิตมีปัญหา  คนรักกันก็จะกอดกันไว้  ให้กำลังใจกัน   ไม่กล่าวโทษกัน   ไม่ซ้ำเติมกัน   และจะร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายในชีวิตไปได้

ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน  ได้แต่งงานกับคนที่เรารัก และเขาก็รักเราอย่างจริงใจ  ได้ใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  รักกัน เข้าใจกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน  และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไปนะครับ

ขอขอบคุณ  oknation.net/blog/pimahn


หัวข้อ: Re: ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: tradeya ที่ 06 มิถุนายน 2008, 11:37:42
ทุกข้อความ อ่านแล้วซึงครับ  :'(


หัวข้อ: Re: ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Keizz ที่ 06 มิถุนายน 2008, 12:35:24
แต่กว่าจะได้แต่งนี่สิครับ เหอๆ ใช้งบประมาณอีกบานเลย  :D เฮ้อ  :-X


หัวข้อ: Re: ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kentaro ที่ 06 มิถุนายน 2008, 13:33:48
ครบทุกอารมณ์เลย

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: ขอกอดหน่อยน้า.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 06 มิถุนายน 2008, 23:37:11
ขอกอดหน่อยน้า...

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cni_macaque.jpg)


หัวข้อ: คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย. ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 23 มิถุนายน 2008, 21:41:18
คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย
กรมสุขภาพจิต


ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็ย่อมมีช่วงเวลาของความอ่อนแอ อ่อนล้าในชีวิตอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม
 

กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่งยเหลือ ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้
ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้

การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น

คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

 

    * มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
       
    * ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
       
    * ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
       
    * ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
       
    * มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์
       


คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้



    * ความเข้าใจ
       
    * เพื่อนที่จริงใจ
       
    * การระบายความทุกข์
       
    * ความใส่ใจ
       


ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย
 


   1. พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร
       
   2. พูดหรือเขียนสั่งเสีย
       
   3. เคยพยายามฆ่าตัวตาย
       
   4. นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
       
   5. ป่วยเป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น
       
   6. ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ
       
   7. มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น
       
   8. มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม
       
   9. สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
       
  10. ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน
       
  11. เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง


ถ้ามีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา
ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโยเร่งด่วน โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้

เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร



   1. สังเกตว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่ ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อจะช่วยเหลือ
       
   2. ลองถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเองหรือไม่อย่างไร ถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้านหรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตาและให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง
       
   3. พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
       
   4. กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง
       
   5. ติดต่อหาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
       
   6. กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย
       
   7. ให้ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ


เทคนิคการปลอบใจ

เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้


    * พูดให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น " ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "
       
    * ยังมีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น " ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "
       
    * ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น " ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู " แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
       
    * พูดให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น " ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ "ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "
       
    * พูดให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น " คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ " คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "
       
    * ในกรณีที่เวลาผ่านไประบะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอกบาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "



 

อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย
เพราะจะกายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก
การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด
คือการรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา
และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ



เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร

 


    * รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
       
    * ปลอบโยนญาติให้มีสติ
       
    * ทำความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการกาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ และช่วยกัยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก


สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย

 


    * ตายเสียได้ก็ดี
       
    * ไม่น่ารอดมาเลย
       
    * อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
       
    * เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
       
    * อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
       
    * ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
       
    * อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น
       




   แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้



    * สถานีอนามัย
       
    * โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช
       
    * บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน
       
    * แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว
       
    * ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค

ต่อชีวิตคน ได้กุศล ผลบุญแรง

ขอขอบคุณ www.dhammajak.net
 


หัวข้อ: Re: คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 23 มิถุนายน 2008, 21:47:55
อ่านแต่ละบทความของคุณ journey ...

สุดยอดจิงๆ คับ  :)


หัวข้อ: ห่วงได้....แต่อย่าหวง ....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 26 มิถุนายน 2008, 10:11:28
ห่วงได้....แต่อย่าหวง


ได้ยินลูกสาวหลายๆคนบอกว่า พ่อรักมาก พ่อหวงลูกสาว  พ่อสอนไม่ให้รักใคร      แต่ให้รักตัวเองมากๆ  เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนในโลก ที่จะมารักลูกสาว เท่ากับที่พ่อรัก........

พ่อที่สอนลูกแบบนี้   รักลูกสาวหรือ?
หวงลูกสาว  หวงเอาไว้ทำไม  เพื่ออะไร? 
เพื่อให้ลูกกลายเป็นสาวทึนทึก?
ความรักของพ่อ คือ การกักขังลูกสาวไว้ ไม่ให้รักผู้ชายคนใด นอกจากพ่อของตัวเอง?
ความรักของพ่อ คือ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ อิสรภาพของลูกสาว?

แท้จริง การหวงลูกสาว คือ  ความเห็นแก่ตัวของพ่อเองต่างหาก
พ่อไม่ต้องการแบ่งปันความรักของลูกสาว ไปให้ผู้ชายที่ลูกอาจรักได้มากกว่าที่รักพ่อ
พ่อต้องการเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจลูกตลอดไป ไม่ต้องการให้มีใครมาแทนที่ในใจลูก
แล้วลูกสาวก็มีปัญหาจิตใจ   รักใครไม่เป็น   มีแต่ความหวาดระแวงว่าจะไม่มีใครมารักจริง
เพราะว่าพ่อ  สอนไว้อย่างนั้น   พ่อสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ดีพอสำหรับลูก
ลูกสาวจะรักหนุ่มคนไหน  มากไปกว่าพ่อของตัวเองไม่ได้
พอลูกสาวเริ่มจะรักหนุ่มคนไหน   ลูกก็จะเกิดความรู้สึกผิด  ผิดต่อพ่อ
ผิดที่ไปรัก  ไปคิดถึงเขา   อยากอยู่ใกล้เขา  มากกว่าที่อยากอยู่กับพ่อ
แล้วลูกสาวก็เกิดความขัดแย้งในใจ
ในที่สุด  หนุ่มก็ต้องจากไป   เพราะความไม่เข้าใจพฤติกรรมที่ขัดแย้ง
ไม่รู้ว่าเธอรักเขา หรือไม่รักกันแน่นะ
พอโดนหนุ่มทิ้ง   ลูกสาวก็จะคิดว่า.....ใช่สินะ...  พ่อพูดถูก
หารู้ไม่ว่า   ตัวเอง ทำตัวของตัวเองแท้ๆ    ทำให้หนุ่มต้องจากไป

พ่อที่ดี  ควรแสดงความรักต่อลูกสาวอย่างไร
ผมในฐานะพ่อ  ที่มีลูกสาวกำลังจะโตเป็นสาว 
ความรักที่ผมมีต่อลูกสาว   เพื่อความสุขของลูกสาวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวผม
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวมีความสุข
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวไม่มีความทุกข์ร้อนวิตกกังวล
ความรัก  ทีีพลอยยินดีในความสุขและความสำเร็จของลูกสาว
และทำใจปล่อยวาง  ในเรื่องที่ลูกอาจดื้อรั้น ผิดพลาดไป 
หรือดันทุรัง ทั้งๆที่ได้แนะนำตักเตือนแล้ว

พ่อรักแม่ของลูก   และเชื่อเหลือเกินว่า....
วันหนึ่ง ลูกสาวของพ่อ  จะมีหนุ่มท่ีจะมารักลูกพ่อ  เหมือนที่พ่อรักแม่ของลูก
ลูกต้องเรียนรู้นิสัยใจคอหนุ่มที่มาชอบพอกัน    เข้ากันได้ดีหรือไม่ ก่อนที่จะปล่อยใจให้รัก
ต้องลองคบหาดูใจกันไป  ถ้าไปกันไม่ได้ดี  ก็ต้องเลิกกันไป
แล้วคบคนใหม่ ศึกษานิสัยใจคอกันใหม่
การคบหาสมาคมกัน  พ่อจะคอยแนะนำให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร
แต่ไม่จำกัดอิสรภาพของลูกสาว
และไม่เสียใจเลย ถ้าลูกสาวจะรักหนุ่ม  มากกว่าที่รักพ่อ
เพราะโดยธรรมชาติแล้ว   มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
แม่ของลูก   เขาก็รักพ่อยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิต
แล้วทำไม ลูกของพ่อ  อาจจะรักคนรักของลูก  ยิ่งไปกว่าที่รักพ่อไม่ได้  พ่อเข้าใจดี
พ่อจะไม่ทำตัวเป็นคู่แข่งกับคนรักของลูก    พ่อจะไม่น้อยใจ  ไม่เสียใจ เมื่อลูกรักเขา
แต่พ่อ  จะส่งเสริมสนับสนุนความรักของลูกให้ยั่งยืนตลอดไป
หนักนิด เบาหน่อย ก็ให้อภัยเขาได้   พ่อจะคอยแนะนำให้คำปรึกษา

เพราะความรัก ที่พ่อมีต่อลูก  คือการให้อิสรภาพแก่ลูก 
ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก   เพื่อความสุข เพื่อประโยชน์ของตัวลูกเอง   ไม่ใช่เพื่อพ่อ
พ่อแม่นั้นมีแต่ "ให้" อยู่แล้ว   ไม่เคยต้องการอะไรจากลูก  นอกจากอยากเห็นลูกมีความสุข

พ่อไม่ครอบงำความคิดของลูก   พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
ลูกต้องคิดเองเป็น    พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนเข้มแข็ง และยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
แม้วันหนึ่ง   ไม่่มีพ่อกับแม่   ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างปกติสุข

พ่อคนนี้ ไม่หวงลูกสาวหรอก   เพราะพ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนฉลาดทันคน
ลูกจะเรียนรู้ รู้จักคน  เข้าใจคน  และเลือกคนไม่ผิดมาเป็นคู่ชีวิต
พ่อไม่เคยต้องการให้ลูกสาว  ต้องกลายเป็นสาวทึนทึก  อยู่คนเดียวไปจนวันตาย
อยากให้มีใครสักคน  ที่เขาจะรักและจริงใจกับลูก   อยู่เป็นเพื่อนลูก
ทำให้ลูกมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขตลอดไป

พ่อ    ควรสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการมีครอบครัวให้กับลูกสาว
ทัศนคติที่ถูกต้อง   จะทำให้ลูกสาว มีจิตใจที่สมบูรณ์  เป็นผู้ใหญ่  และเข้าใจความรัก
เข้าใจชีวิต   ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและเป็นปกติสุข 
ไม่มีอคติกับผู้ชาย ไม่มีอคติกับความรัก   มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สมวัย

ถามใจตัวเองหน่อยเถอะครับ  คุณพ่อทั้งหลาย  ท่านจะหวงลูกสาวเอาไว้ทำอะไรครับ
ท่านไม่อยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่เป็นสุขหรือครับ   หรือจะหวงไว้จนลูกสาวขึ้นคาน


--------------------------------------------
ขอขอบคุณ

โค๊ด:
http://www.oknation.net/blog/pimahn


หัวข้อ: Re: ข้อคิดเรื่องชีวิตและความรักเพื่อความสุขและการประเทืองปัญญา ....^_^ (journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 26 มิถุนายน 2008, 10:20:03
ว่าด้วยการเลี้ยงลูก



พ่อแม่นั้นคือพรหมของลูก  จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องมีพรหมวิหารธรรม   คือ

1. มีเมตตาเอ็นดูรักใคร่ลูก
2. มีความกรุณาสงสารลูกในยามที่ลูกมีความทุกข์ไม่สบายกายไม่สบายใจ
3. มีมุทิตาความพลอยยินดีในความสุขความสำเร็จของลูก
4. มีอุเบกขา รู้จักทำใจ  ปล่อยวางได้  ในยามที่ไม่อาจช่วยเหลือสนับสนุนอะไรลูกได้มากไปกว่าที่ได้ทำไปแล้ว

เด็กๆทุกคนที่เกิดมา  ต่างก็มีนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างๆกัน   มีพื้นฐานทางจิตใจและอารมณ์แตกต่างกัน มีความถนัด  ความชอบ มีพรสวรรค์ต่างกัน  มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน  มีความสามารถทางกายภาพ   มีศักยภาพแตกต่างกัน และ  มีบุญกรรมโชควาสนาที่แตกต่างกันด้วย   ฉะนั้น  พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังให้ลูกของตนเป็นได้อย่างลูกของคนอื่น   ไม่ควรเอาลูกของตนไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น 

หลักการเลี้ยงลูกที่ดีนั้น   พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้มีความสุข  ให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้  เป็นตัวของตัวเอง  รู้จักผิดชอบชั่วดี   รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง  และในที่สุด  เลี้ยงลูกให้ลูกพึ่งตนเองได้  มีหลักการ 6  ข้อ  ดังนี้คือ


1. จงให้ความรักแก่ลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข

จงรักลูกของตน   ในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นลูกของเรา   ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกสวยหน้าตาน่ารัก  แม้ลูกของเราอาจจะไม่สวยเหมือนลูกของคนอื่น  เราก็ยังต้องรัก    ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกเรียนเก่ง  แม้ลูกของเราอาจจะเรียนไม่เก่ง  สอบตกบ้าง  เราก็ยังต้องรัก   ไม่ควรมีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น สำหรับการที่จะไม่รักลูกของตนเอง   ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้น  ต้องไม่มีเงื่อนไข   ไม่มีคำว่า "ถ้า"  เช่น  ถ้าลูกเรียนไม่เก่ง พ่อแม่จะไม่รัก  ถ้าลูกไม่ทำตามที่พ่อแม่สั่ง  พ่อแม่จะไม่รัก  ฯลฯ  จงแสดงออกให้ลูกรู้ว่า   ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร เราก็จะรักเขา  เพราะเขาเป็นลูกของเรา

พ่อแม่ที่ดี  จะเลี้ยงดูอบรมลูกด้วยความรัก   ยุติธรรม และ มีเหตุผลกับลูก  จะมีผลให้ลูกมีอารมณ์มั่นคง มีความคิดสร้างสรรค์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น เด็กที่เกเร โดยมากมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อบรมเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกต้อง


2. จงให้อิสรภาพ/เสรีภาพแก่ลูกตามสมควร


2.1 อิสรภาพ/เสรีภาพทางกาย   

ไม่กักขังจำกัดบริเวณแก่ลูก   การที่จะอนุญาตให้ลูกไปไหนมาไหนได้ อาจกำหนดเวลากลับบ้านว่าไม่เกินสามทุ่ม เพื่อความปลอดภัยของตัวลูกเอง  ถ้าลูกอยากไปดูหนังกับเพื่อน ก็ควรอนุญาตให้ไปได้ แต่ควรได้ทำความรู้จักกับเพื่อนของลูก  เพื่อจะได้แน่ใจว่า ลูกเลือกคบแต่เพื่อนที่ดี

ควรอนุญาตให้ลูกพาเพื่อนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านได้  แต่ต้องอยู่ในขอบเขต  ไม่มากเกินไปจนกระทั่งลูกทำตัวเป็นใหญ่ในบ้าน


2.2 อิสรภาพ/เสรีภาพในเรื่องของรสนิยม  การแต่งกาย การแสดงความคิดเห็น 

พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง โดยพ่อแม่เป็นผู้ชี้แนวทางว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร

เพื่อฝึกให้ลูกของเรา  รู้จักคิดเองเป็น  จะได้ไม่เป็นคนที่เอาอย่างคนอื่น  ตามก้นคนอื่น  หรือถูกชังจูงได้ง่าย ควรเปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆได้   รับฟังลูกอย่างตั้งใจ  ไม่ควรครอบงำความคิดของลูก   ให้ลูกมีอิสระทางความคิดและแสดงออกได้เต็มที่ แม้เราอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูก   เราก็ควรบอกลูกด้วยเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เห็นด้วย เพราะอะไร  และเรามีความคิดเห็นในเรื่องนั้นอย่างไร

เรื่องรสนิยม  การแต่งกายของลูก  ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดเอง  เลือกเอง ตัดสินใจเอาตามรสนิยมของลูก  เป็นการฝึกลูกให้เป็นตัวของตัวเอง 

เด็กที่พ่อแม่ให้เกียรติ  เคารพความคิดเห็นของลูก  จะเป็นเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง  มีเหตุผล และไม่ดื้อรั้น  จะไม่เป็นคนที่หูเบา ถูกชักจูงได้ง่าย   ไม่ตามกระแส แต่จะเป็นคนมีเหตุผล  รู้จักคิดพิจารณาว่าอะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ เพราะอะไร

2.3 อิสรภาพ/เสรีภาพในการศึกษาและการเลือกอาชีพ

เนื่องจากเด็กๆแต่ละคนมีความชอบ   ความถนัด ความสามารถ และ พรสวรรค์ต่างกัน  เด็กควรเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกสาขาที่จะศึกษาเล่าเรียน หรือเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและถนัด   ไม่ใช่ว่าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ  ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับให้ลูกเข้าเรียนแพทย์ให้ได้  ถ้าลูกไม่ชอบวิชาชีพนี้  แม้ลูกจะสอบเข้าเรียนได้  จนจบออกมาเป็นแพทย์  แต่ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานในอาชีพนี้  พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเป็นนายร้อย   ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับลูกให้เข้าเตรียมทหาร  และเป็นนายร้อย จปร  แต่ลูกไม่ชอบอาชีพทหาร   ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานไปตลอดชีวิต  หรือลูกบางคน ก็ลาออกจากอาชีพทหาร และไปประกอบอาชีพอื่นในภายหลัง

บางอาชีพ  เช่น  อาชีพจิตรกร   เด็กๆบางคนรักการวาดภาพ  แต่พ่อแม่ห่วงว่า  อาจไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ด้วยอาชีพนี้  จึงไม่อยากส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกได้เรียนเป็นจิตรกร  ทำให้ศักยภาพในตัวเด็กถูกจำกัด   อันที่จริงแล้ว เด็กๆทุกคนมีเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเอง  พ่อแม่ควรทำหน้าที่เพียงส่งเสริมสนับสนุน   แต่ไม่ควรตัดสินใจแทนลูก   หากลูกรักที่จะเป็นจิตรกร หรือ การงานอาชีพใด  จงปล่อยให้ลูกทำตามความใฝ่ฝันของตนเอง   ลูกย่อมพบหนทางแห่งความสำเร็จในการงานอาชีพที่เขารักได้เสมอ

2.4 อิสรภาพ/เสรีภาพในการเลือกคู่ครอง

"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่"  ฉันใดก็ฉันนั้น  การที่ลูกจะรักจะชอบใคร  พ่อแม่ไม่ควรไปมีอิทธิพลต่อลูกในการเลือกคู่ครองของตน คนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เขารัก  คือ ตัวเขา   ไม่ใช่พ่อแม่   สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ  คือ  ทำความรู้จักกับคนที่ลูกรัก   หากพบว่าคนรักของลูกเป็นคนไม่ดี  พ่อแม่อาจแนะนำตักเตือนลูก  เพื่อให้ลูกตาสว่าง และมองเห็นข้อเสียของคนที่ลูกรัก   ส่วนการตัดสินใจจะคบหากันต่อไป   หรือจะเลิกคบน้ัน  ลูกต้องเป็นคนตัดสินใจเอง

ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกมาอย่างมีเหตุผล  ลูกก็จะเป็นคนมีเหตุผล  และเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดพลาด   แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยวิธีครอบงำความคิด   ลูกก็มักจะปล่อยให้คู่ครองของตนครอบงำความคิดตนได้ เขามักจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคู่ครองเช่นกัน เพราะเคยชินกับการถูกครอบงำ   ลูกที่พ่อแม่ให้เกียรติ  เคารพความคิดเห็นของลูก  เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของใครได้ง่ายๆ


3. กำหนดบทบาท หน้าที่ และ ความรับผิดชอบให้ลูก

ส่งเสริมให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ให้โอกาสลูกได้กระทำกิจกรรมต่างๆโดยให้ลูกได้พยายามคิดและรู้จุดมุ่งหมายของงานด้วยตนเอง

เพื่อฝึกให้ลูกเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบ  พ่อแม่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ลูก  เช่น ลูกคนโต  ให้ช่วยดูแลเป็นธุระสอนการบ้านน้อง   ลูกคนเล็ก ให้ช่วยรดน้ำต้นไม้เป็นกิจวัตรประจำวัน ฯลฯ  ถ้าลูกทำหน้าที่ของตนได้ดี  ไม่ละเลยหน้าที่  ก็ชมเชยลูก  เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำหน้าที่ของเขาด้วยดีต่อไป

เมื่อลูกโตพอสมควรแล้ว   ลูกอาจอยากได้รองเท้าคู่ใหม่  พ่อแม่อาจให้เงินค่าขนมเป็นรายเดือน และฝึกให้ลูกใช้จ่ายเงินนั้นให้เพียงพอต่อเดือน  หากอยากได้รองเท้าใหม่ หรือสิ่งใดเป็นการพิเศษ  ควรฝึกให้ลูกรู้จักหารายได้พิเศษ   หรือ ประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ซื้อรองเท้าคู่ใหม่เอง

ไม่ควรฝึกลูกให้เอาแต่ใจตัวเอง  ถ้าอยากได้อะไรพ่อแม่ซื้อให้ทันที  ลูกจะไม่เห็นค่าของเงิน  ต้องฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนของลูกเองด้วย

หากลูกทำผิดอะไรมา   หรือมีปัญหามาให้พ่อแม่แก้ให้  ควรรับฟังลูก  และแนะนำวิธีแก้ไขปัญหา แต่อย่าไปลงมือแก้ไขปัญหาให้ลูก   เพื่อเป็นการฝึกไม่ให้ลูกเป็นคนหนีปัญหา และโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น   คนที่ผูกเอง   ต้องแก้เอง


4. ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก   แต่ไม่ถึงกับโอบอุ้มไปเสียทุกอย่าง

เพื่อฝึกให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้   พึ่งตนเองได้ในวันข้างหน้า   พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักช่วยตนเองในทุกๆด้าน   ลูกจะได้เป็นคนเก่ง  ใช้ความมานะพยายาม   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ  พ่อแม่ไม่ควรทำให้ลูกไปเสียทุกอย่าง  เช่น  เรื่องการสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย   ลูกต้องเป็นฝ่ายหาข้อมูลเองว่า อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไหน    อยู่ที่ไหน จะเดินทางไปอย่างไร  จะเลือกเรียนวิชาใดดี   จบการศึกษาแล้ว จะไปทำงานอะไร    พ่อแม่ไม่ควรไปหาข้อมูลมาให้ลูกทุกอย่าง  หรือพาลูกไปมหาวิทยาลัยเอง  จะเป็นการฝึกให้ลูกอ่อนแอ  เป็นลูกแหง่   ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

เด็กที่เติบโตมาเป็นคนเก่งนั้น  มักเป็นเด็กที่ต้องขวนขวายเอง   เด็กจะเคยชินกับการต้องด้ินรนเอง เจอปัญหาและอุปสรรค  เด็กจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาเอง   แม้เด็กอาจจะปรึกษาพ่อแม่  แต่ก็รับฟังคำแนะนำ  ส่วนการนำไปปฏิบัติ  เด็กต้องเป็นคนปฏิบัติเอง


5. จงใช้เหตุผล  อย่าใช้อารมณ์กับลูก

พ่อแม่ต้องปกครองลูกด้วยเหตุผล ชี้แจงให้ลูกเข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อลูกทำผิดไม่ควรดุด่า หรือ เฆี่ยนตี ควรชี้แจงเหตุผลให้เด็กเข้าใจ ฝึกให้เด็กเป็นคนรักเหตุผล   รู้ว่าผิดอะไร และที่ถูกต้อง  ต้องทำอย่างไร

พ่อแม่ไม่ควรบันดาลโทสะกับลูกอย่างเด็ดขาด  ถ้าเกิดอารมณ์น้อยใจ หรือโมโหลูก  ควรหลบไปก่อน จนกว่าจะอารมณ์เย็น และ คุยกับลูกด้วยเหตุผลได้ จึงค่อยชี้แจงลูกว่า ลูกทำอะไรไม่ถูกไม่ควร

แต่อย่าใจเย็นจนมองไม่เห็นว่าลูกทำอะไรไม่ดีไม่งามไปบ้าง  เพราะจะทำให้ลูกได้ใจ  และ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด


6. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน

จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก เพื่อให้ลูกเกิดความนิยม นับถือ และปฏิบัติตาม   สิ่งใดที่พ่อแม่สอนลูกว่า ควรประพฤติปฏิบัติ  สิ่งนั้น ต้องเป็นสิ่งที่พ่อแม่เองก็ทำอยู่เป็นประจำ สิ่งใดที่พ่อแม่ห้ามลูกกระทำ  สิ่งนั้น  พ่อแม่ต้องไม่กระทำด้วย

ถ้าจะสอนให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล  พ่อแม่ก็ไม่ควรแสดงความเจ้าอารมณ์ให้ลูกเห็น   ถ้าจะสอนให้ลูกรู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย  พ่อแม่ต้องเป็นคนรู้ค่าของเงิน ใช้จ่ายเงินทองอย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือยให้ลูกเห็นก่อน

พ่อแม่เองควรรักกัน  ซื่อสัตย์ต่อกัน  แบ่งหน้าที่กันทำ  ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน พูดจากันอย่างมีเหตุมีผล  จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นได้ทุกวัน  และลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่


ขอให้พ่อแม่ทุกท่าน  มีลูกที่รักดี  สนใจศึกษาเล่าเรียน  ใฝ่หาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต  รู้จักกตัญญูรู้คุณพ่อแม่   ไม่นำเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่พ่อแม่   เป็นเด็กเฉลียวฉลาด  มีเหตุผล เป็นตัวของตัวเอง   นำแต่ความสุขความชื่นใจมาสู่พ่อแม่ และ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล

-----------------------------------------------
ขอขอบคุณ

โค๊ด:
http://www.oknation.net/blog/pimahn


หัวข้อ: ความสุขที่ถูกมองข้าม ....^_^ (journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 30 มิถุนายน 2008, 22:13:46
ความสุขที่ถูกมองข้าม
(พระไพศาล วิสาโล)

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?


เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง



พระไพศาล วิสาโล

..............................


หัวข้อ: เธอ....ขาว.....อวบ...น่ารัก....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 10 กรกฎาคม 2008, 17:25:26
(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat2.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat3_1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat4.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat1.jpg)

 ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: .. บุญสลากภัต ......ประทับใจอย่างแรง ^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 กรกฎาคม 2008, 15:28:22

.. บุญสลากภัต ..


เช้าวันนี้พวกเรานัดกันตั้งแต่เช้าตรู่
ต่างคนต่างเตรียมข้าวของกันมาหลายอย่าง
ทั้งถ้วยโถโอชาม ทั้งสำรับภัตตาหาร

พวกเรานัดกันไปร่วมทำบุญ "สลากภัต"

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0pgb79odqM-dqQCdox61Fdt.jpg)

วัดเล็กๆ ในหมู่บ้านที่เงียบสงบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่
แค่ขับรถชั่วโมงหนึ่งก็ถึง อ.บ้านนา จ.นครนายก

วันนี้ที่วัดคึกคักด้วยญาติโยมคนในหมู่บ้านใกล้เคียง
ซึ่งว่าไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เครือญาติกันเกือบทั้งนั้น

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0qToNsyaGiu8bopdUjWWJh6.jpg)

บุญสลากภัตหรือใครจะเรียกว่าฉลากภัตรก็น่าจะได้
ก็คือการถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์
เพียงแต่เราต้องจัดเตรียมสำรับอาหาร
โดยไม่เจาะจงว่าจะถวายให้พระรูปไหน
เราต้องจับฉลากเลขเบอร์ของพระ
ได้เบอร์อะไร ก็ต้องนำอาหารที่เราเตรียมไปถวายพระรูปนั้น

ถึงเรียกกันว่า ฉลาก + ภัตตาหาร นั่นละ
แต่ไม่รู้เพี้ยนมายังไงถึงได้ออกมาเป็น "สลากภัต"
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ เหมือนกันนะ

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0pQx9Q2AaCgal-6ov6meqSx.jpg)


บางทีจับฉลากได้เป็นพระหนุ่ม หรือพระที่สูงวัย หรือรูปที่อาพาธ
อาหารที่เตรียมไว้จึงควรเป็นอาหารรสกลางๆ ไม่รสจัดเกินไปด้วยเหมือนกัน

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0qeG7Sjc3OSwV6UUC88z_Oa.jpg)

ถ้าเป็นวัดในเมืองกรุง
เราอาจเห็นคนเมืองเอาอาหารใส่ถุงพลาสติกหรือกล่องโฟม
หิ้วใส่ถุงก๊อปแก๊ปขึ้นศาลาไปถวายอาหารเพล

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0qyrl8hb9g2_1aIpws08Afv.jpg)

แต่ที่วัดแห่งนี้
ชาวบ้านยังคงเก็บงำรักษาประเพณีเล็กๆ ของหมู่บ้านเอาไว้อย่างงดงาม
คนเฒ่าคนแก่นุ่งซิ่นผืนงามแต่งตัวกันเรียกว่าเต็มยศ
จัดเตรียมอาหารกันข้ามวันข้ามคืน
สำรับอาหารจะถูกบรรจงใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดี
จัดเรียงลงกระบุงขึ้นคานหาบ

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0pN_KPlVNBKUITGsjgk9Vhb.jpg)

เข้าใจว่าเมื่อก่อน ชาวบ้านคงเอาสำรับอาหาร
ใส่คานขึ้นหาบออกจากบ้านมาที่วัด
แต่ทุกวันนี้คงไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนั้น
แค่เอาหาบใส่กระบะขับรถมาที่วัดได้ง่ายขึ้นเยอะ

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0rtagJoRtNnA2D5Jdhrx7yU.jpg)

ทุกครอบครัวเอาอาหารใส่หาบกันขึ้นมาบนศาลา
ทั้งคนเฒ่าคนแก่ ลูกหลานคนหนุ่มคนสาว
แต่เท่าที่ดูเห็นมีแต่คนแก่ๆ ผมสีดอกเลาเท่านั้นละที่หาบของขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าหนุ่มๆ รุ่นลูกรุ่นหลานจะใจไม้ไส้ระกำ
ไม่ยอมมาช่วยคุณย่าคุณยายหาบของหรอกนะ

แต่ขืนให้พวกนี้มาหาบสำรับละก็นะ
กระดกขึ้นกระดกลงเป็นไม้กระดกสนามเด็กเล่น
มีหวังข้าวของระเนระนาดไม่ได้ไปทำบุญกันพอดี

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0qUjLnd7zO2Ko8Hrsms2ZW-.jpg)

ก็ยังดีใจที่ชาวบ้านยังอนุรักษ์การใช้คานหาบ
หาบสำรับอาหารขึ้นศาลามาถวายพระ
ขากลับก็ได้หาบบุญกลับบ้านกันไป
เหมือนได้หาบเงินหาบทองกลับไปเต็มกระบุงนั่นละ

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0rwJZOWDaU7M0nH1QFCtdMF.jpg)

คุณยายที่นั่งข้างๆ เล่าว่า
สมัยที่ยายยังสาวๆ อยากได้ชุดกระเบื้องเคลือบ
ไว้ใส่สำรับสลากภัตของตัวเองสักชุดนึง
ก็เลยไปรับจ้างเกี่ยวข้าวได้ค่าแรงไร่ละห้าสิบสตางค์
ค่อยๆ เก็บหอมรอมริดจนได้พอซื้อชุดกระเบื้องเคลือบ
โถชามสีขาวสะอาดพร้อมฝาปิดลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ
อย่างที่สมัยนี้คนกรุงเทพฯ จะเรียกว่าชามลาย Japanese Occupied

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0qa9oaJ9kBcN1_26qC7aXCi.jpg)

ยายเก็บเงินซื้อมาชุดละ 5 บาทแพงเอาการสำหรับสมัยนั้น
แล้วคุณยายก็ยกโถขึ้นมาใบหนึ่ง พลิกให้ดูที่ก้นถ้วยด้านล่าง
เขียนเลขเอาไว้ด้วยปากกาสีเลือนๆ "2502"

48 ปีแล้วนะ ชามใบนี้..คุณยายยิ้มอย่างภูมิใจ
พร้อมกับสายตาที่มีความสุขกับเรื่องราวของวันวาน

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0rkxpXfm-iOmlOe5mlC4bmU.jpg)

บนศาลาวัดวันนี้ คึกคักเนืองแน่นไปด้วยผู้คนญาติโยม
ต่างคนต่างหน้าตาอิ่มเอิบอิ่มบุญอิ่มใจ

โดยเฉพาะคนแก่เฒ่าคุณตาคุณยาย
ที่นั่งมองพระฉันภัตตาหารด้วยอาการสำรวม
อิ่มใจที่พระท่านฉันอาหารที่เตรียมไว้ได้เยอะ
อิ่มใจที่ได้เอาชุดสำรับที่เก่าเก็บมานมนานออกมาใช้แค่ปีละหน
แม้จะไม่สวยหรูเหมือนถ้วยชามเบญจรงค์สมัยใหม่
แต่ก็เป็นวัตถุที่เก็บงำความทรงจำเรื่องเล่าแห่งเงาอดีต

และเหนืออื่นใด
สุขใจ..ที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา กับลูก กับหลาน
ในวันที่ครอบครัว..เป็นครอบครัวกันพร้อมหน้า


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/y1pBTYlY_NsR0pk8_41Mb_9UbPxtNJKEezh.jpg)

ขอขอบคุณเรื่องดีๆ จาก hxxp://loorsad.exteen.com
เรื่องนี้้ประทับใจอย่างแรง

ทำ ให้เห็นว่าคนเมื่อก่อนมีศรัทธามหาศาลต่อพระพุทธศาสนามักจะเลือกสิ่ง ที่ดีๆ ไปถวายเป็นพุทธบูชา ดูแล้วถ้วยชามหรูหราเอาการมากๆ ไม่ได้มีโอกาสใช้ในชีวิตประจำวันเป็นแน่ และเรื่องที่คุณยายเล่าให้ฟังก็แสดงถึงความตั้งใจและศรัทธาที่เต็มเปี่ยมใน การทำบุญ

ดูผู้เฒ่า ผู้แก่ทำบุญแล้วรู้สึกดีจริงๆ เลย ^____^

บุญใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ซะที่ไหน ไหนจะต้องตื่นแต่เช้า จัดเตรียมข้าวของ
ผู้ที่มีบุญมากเท่านั้นจึงจะสามารถทำบุญได้มาก บางคนตายเสียก่อนที่จะมางานบุญใหญ่เพี่ยงไม่กี่วันเท่านั้น
บางคนมัวแต่หาเงิน หรือใช้ชีวิตโดยลืมไปว่าเราจะต้องตายสักวันหนึ่ง
มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่ติดตัวเราไปยังภพหน้า


หัวข้อ: Re: .. บุญสลากภัต ......ประทับใจอย่างแรง .^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 25 กรกฎาคม 2008, 15:53:02
แถวบ้านก็มี เรียกว่างานกินข้าวสลาก ไม่ได้เลี้ยงสำรับกับข้าวสวยๆแบบนี้อ่ะ แต่เป็นถังสังฆทาน มีปัจจัยเสียบยอดอยู่


หัวข้อ: .. คนน่ารัก....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 09 กันยายน 2008, 10:27:48
.. คนน่ารัก..

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/e4870400.jpg)

ท่านผู้รู้กล่าวว่า วิธีทำให้คนรัก มีอยู่สองแบบด้วยกัน นั่นคือ แบบโลกวิธี และ แบบพุทธวิธี แบบที่ชาวโลกทั่วไปทำกัน โดยมากก็คือ การบังคับให้คนอื่นมารักตัว ในที่นี้หมายความว่า เอาใจหรือเจตนาเข้าไปบังคับ อยากแต่ให้เขารัก ถ้าเขาไม่รัก ก็พาลหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี “คนไร้หัวใจ ไม่รู้จักรัก” (ว่ากันไปโน่น) เจตนาที่จะสร้างความรักนั้น เป็นเจตนาที่พุ่งไปหาคนอื่นฝ่ายเดียว เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็เลยเกิดภาวะสลับขั้ว คิดโกรธอาฆาตแค้นไปเลย ภรรยาไม่รักก็คิดแต่ว่าภรรยาไม่ดี สามีไม่รักก็คิดแต่ว่าสามีเถลไถล ทำการงานเจ้านายไม่โปรด ก็พาลหาว่าเจ้านายลำเอียง หนักเข้าแทนที่จะแก้ตัวเอง ก็เลยคิดหาทางจะปรับปรุงภรรยา สามี หรือเจ้านายโดยไม่ได้ดูตัวเองเลย นี่แหละคือ โลกวิธี

อีกแบบหนึ่ง แทนที่จะไปจัดที่คนอื่นหรือทำให้คนอื่นมารักเรา ก็ย้อนกลับเข้ามาจัดที่ตัวเราเอง คือทำให้เป็น “คนน่ารัก” ถือหลักใหญ่ว่า ถ้าตัวเราน่ารัก คนอื่นเขาก็รัก จะขอเสนอตัวอย่างง่ายๆ เวลาเรายืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มองดูที่จะกระจกเงา ถ้าเราอยากเห็นเงาในกระจกยิ้มจะทำอย่างไร จะใช้ปืนขู่ จะพูดจาโอ้โลมหรือ ก็เปล่า! ง่ายนิดเดียว เราก็ยิ้มเสียเอง พอเรายิ้ม เงามันก็ยิ้มกับเรา นี่แหละคือ พุทธวิธี

การทำให้คนรักแบบทางโลก ก็เหมือนการขู่หรือพูดโอ้โลมให้เงายิ้ม ซึ่งไม่มีทางจะสำเร็จหรือคงอยู่ถาวร ส่วนแบบพุทธวิธี ก็คือการปรับที่ตัวเรานั่นคือ เรายิ้มเสียเอง วิธีทำให้คนรักแบบโลกๆ เราตั้งปัญหาว่า “ทำอย่างไรเขาจึงจะรักเรา?” แต่แบบพุทธวิธีท่านกลับปัญหาเสียใหม่ว่า “ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นที่รักของเขา?” ถ้าเราศึกษาจะพบว่า พระพุทธองค์ทรงสอนมุ่งเข้าสู่การปรับปรุงตัวเองเป็นสำคัญ เช่น การรักษาศีล ให้เว้นทุจริต ให้ประพฤติสุจริต คือให้เราเป็นผู้เว้น เป็นกระผู้ทำทั้งสิ้น ผมยังไม่เห็นธรรมะข้อใดที่พระพุทธองค์สอนให้เราบังคับคนอื่นทำดี แต่ตัวเราไม่ต้องทำก็ได้ เมื่อเราเข้าใจหลักการแล้วว่า การครองใจคน หรือการทำให้คนรักก็คือ การทำให้ตัวเราน่ารักเสียก่อน

คำถามมีว่า ทำอย่างไรตัวเราจึงจะน่ารักล่ะ ? หรือ คนทั้งหลายเขารักคนอย่างไร ? ซึ่งคำถามนี้ก็ได้มีผู้ทรงปัญญาคิดค้นหาคำตอบไว้แล้วว่า จิตใจคนเราโดยทั่วๆ ไป รักอะไร? สิ่งพิเศษอันนั้น ที่เมื่อคนทั้งหลายเห็นเข้าเป็นต้องเกิดความรักในผู้นั้น ก็คือ “ความงาม” ตามหลักทางพุทธศาสนานั้น มนุษย์จะงามมากงามน้อย ก็โดยคุณสมบัติสี่ประการคือ อาภรณ์ ร่างกาย มารยาทและจิตใจ ความงามทั้งสี่นี้ น้ำหนักไม่เท่ากัน สองอย่างหลัง ซึ่งจัดเป็นความงามภายในมีน้ำหนักมากกว่า ความงามสองอย่างแรกซึ่งจัดเป็นความงามชั้นนอก ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ระหว่างหญิงแต่งตัวดี มีเครื่องประดับงดงาม แต่ร่างกายไม่สมประกอบ กับหญิงผิวพรรณดี รูปร่างดี เสียงดี แต่ขาดอาภรณ์งาม อย่างไหนที่เราจะเลือกเป็นคู่รัก? แน่นอนว่าเป็นคนที่สอง เพราะเครื่องประดับภายนอกยังเปลี่ยนกันได้ เช่นเดียวกัน หญิงงามหุ่นดีหน้าตาดีแต่ปากจัด มารยาทไม่งาม ก็ใช่ว่าจะเป็นต่อผู้หญิงที่ดูธรรมดาแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เพราะความงามภายในของเธอใช่ไหมครับ? (ผมตอบแทนก็แล้วกันว่า “ใช่”) ในทางศาสนาท่านเพ่งเล็งเรื่องมารยาทและจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของความงามทีเดียว

เนื้อเรื่อง นายแพทย์ไพศาล บุญสะกันต์

โดย สรุป การที่คนเราจะรักกัน ก็เพราะเห็นความงามของอีกฝ่าย คือ งามอาภรณ์ งามร่างกาย งามมารยาท และงามจิตใจ ยิ่งงามพร้อมครบสี่ประการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่รักมากเท่านั้นครับ

ขอขอบคุณ
hxxp://www.dmc.tv/


หัวข้อ: Re: เธอ....ขาว.....อวบ...น่ารัก....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยแว๊น ที่ 09 กันยายน 2008, 11:08:40

([url]http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat4.jpg[/url])

 ;D ;D ;D ;D


น่ารัก อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: เธอ....ขาว.....อวบ...น่ารัก....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: mai-a651 ที่ 09 กันยายน 2008, 17:25:44

([url]http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/cat4.jpg[/url])

 ;D ;D ;D ;D


น่ารัก อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


น่ารักงิ


หัวข้อ: Re: ....คนน่ารัก.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Legendary Pon ที่ 09 กันยายน 2008, 17:35:39
แมวเหมียวน่ารักครับ  ;)


หัวข้อ: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์........^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 17 กันยายน 2008, 15:11:52
หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254443.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254454.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254469.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254484.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254505.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254520.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254535.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254550.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254565.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254581.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254611.jpg)

ขอขอบคุณ
hxxp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&group=61


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: ball6847 ที่ 17 กันยายน 2008, 15:19:27
อันนี้ จิง ถูกต้องที่สุด นี่คือแก่นสาร
พลังน้ำใจ+1

 :)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1216254565.jpg)


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: win ที่ 17 กันยายน 2008, 16:32:33
คำบรรยายและภาพประกอบโดนใจ

 +1


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Dj.wayne_Gum ที่ 17 กันยายน 2008, 16:51:05
อ่านแล้วสงบมาก กระทู้นี้
 :) ปลง ๆ บอกไม่ถูก
 8)
แต่ดีแล้วล่ะครับ
ขอบคุณมาก ๆ
สำหรับบทความที่ดีมาก ๆ


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยแว๊น ที่ 17 กันยายน 2008, 17:08:07
+1 ค่ะ

ขอบคุณนะคะบทความดีๆ อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: newie ที่ 17 กันยายน 2008, 17:12:43
ได้อะไรดีๆเยอะดีครับ THANK


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: deepsnows ที่ 17 กันยายน 2008, 17:18:11
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: pizad_sura ที่ 17 กันยายน 2008, 17:47:46
อ่านแล้วปลง ๆ 555+ เดือนนี้จะได้ซักกี่เหรียญก็ช่างมานเหอะ  ;D


หัวข้อ: Re: หมื่นตากับคมมีดจากลมปากมนุษย์.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยแว๊น ที่ 17 กันยายน 2008, 18:43:37
พระคาถาป้องกันภัยสิบทิศ


เมื่อสวดคาถานี้ก็อาจสามารถป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่านานาชนิด และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ถ้าผู้ใดสวดเป็นประจำ ก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลาย จงตั้งใจสวดทุกเช้าทุกเย็น ก่อนออกจากบ้านไหนก็ตาม ถ้าสวดคาถานี้จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง มีโชคมีลาภและป้องกันอันตรายต่างๆ
 
(http://bannpeeploy.exteen.com/images/resize_159610__04072008053729.jpg)
  ลิขิตโดย  พระอาจารย์ฝั้น  อาจาโร
 

         บูระพารัสมิง พรพุทธะคุณัง บูรพารัสมิง พระธัมเมตัง บูรพารัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          อาคะเนยรัสมิง พรพุทธะคุณัง อาคะเนยรัสมิง พระธัมเมตัง อาคะเนยรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          ทักษิณรัสมิง พรพุทธะคุณัง ทักษิณรัสมิง พระธัมเมตัง ทักษิณรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          หรดีรัสมิง พรพุทธะคุณัง หรดีรัสมิง พระธัมเมตัง หรดีรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          ปัจจิมรัสมิง พรพุทธะคุณัง ปัจจิมรัสมิง พระธัมเมตัง ปัจจิมรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          พายัพรัสมิง พรพุทธะคุณัง พายัพรัสมิง พระธัมเมตัง พายัพรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          อุดรรัสมิง พรพุทธะคุณัง อุดรรัสมิง พระธัมเมตัง อุดรรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          อิสานรัสมิง พรพุทธะคุณัง อิสานรัสมิง พระธัมเมตัง อิสานรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          อากาศรัสมิง พรพุทธะคุณัง อากาศรัสมิง พระธัมเมตัง อากาศรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

          ปฐวีรัสมิง พรพุทธะคุณัง ปฐวีรัสมิง พระธัมเมตัง ปฐวีรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ



หัวข้อ: หมื่นตากับคำพูดละลายหัวใจ.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 18 กันยายน 2008, 21:37:39
หมื่นตากับคำพูดละลายหัวใจ


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753065.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753078.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753096.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753118.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753142.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753159.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753177.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753196.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1218753217.jpg)

ขอขอบคุณ
โค๊ด:
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&month=08-2008&date=15&group=63&gblog=26


หัวข้อ: ตอบคำถามคุณ EthaiZone เมื่อหลายก่อนที่ถามเรื่องการใช้สรรพนาม.....^_^ (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 กันยายน 2008, 16:31:56
ตอบคำถามคุณ  EthaiZone เมื่อหลายก่อนที่ถามเรื่องการใช้สรรพนามเรียกแทนชื่อ รวมไปถึงการใช้คำลงท้าย

ในหนังสือ มีศีลก่อนจะสาย เล่มนี้อธิบายไว้ดีมาก 
เขียนโดยคุณอัจฉราวดี วงศ์สกล เจ้าของร้านเพชรแบรนด์หรู เซนต์โทรเพร์ ไดมอนด์

ในเรื่องของการใช้สรรพนาม "คุณ พี่ รวมไปถึงโอกาสที่จะใช้คำลงท้าย จ๊ะ ค่ะ "
มีเนื้อหาส่วนนี้ไม่กี่หน้าไปอ่านเอาตามร้านหนังสือก็ได้...
เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่ต้องเข้าสังคมดังนั้นจึงอธิบายเรื่องนี้ไว้ได้ดีทีเดียว 
อยู่ในหน้า 60- 70


(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/4season_23_05_51_P06.jpg)


หัวข้อ: Re: ตอบคำถามคุณ EthaiZone เมื่อหลายก่อนที่ถามเรื่องการใช้สรรพนาม...และคำลงท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: win ที่ 22 กันยายน 2008, 16:38:22
ถูกใจกระทู้นี้   8)


หัวข้อ: แนะนำหนังสือน่าอ่าน "รักแท้มีจริง"
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 26 กันยายน 2008, 10:40:40
(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/editor1.jpg)

เขียนโดยคุณดังตฤณ

หนังสือเล่มนี้จะช่วยคุณทุกคน
ให้หลุดพ้นจากคำสาปแห่งกรรมเก่า
รับเอาพรประเสริฐแห่งกรรมใหม่
ด้วยความเข้าใจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
นับแต่รู้ตามจริงว่ารักแท้คืออะไร
ไปจนถึงการสร้างเสน่ห์
เพื่อดึงดูดคนที่ใช่
ตลอดจนรักษาเขาหรือเธอไว้
เพื่อรอวันจากไปอย่างงดงาม
และเพื่อตามไปพบกันใหม่
ในโลกที่คุณนึกว่าเป็นเพียงความฝัน!




"รักแท้มีจริง" เป็นหนังสือเรื่องใหม่ และนับเป็นหนังสือเล่มแรก ที่คุณดังตฤณ
เขียนเกี่ยวกับความรักโดยเฉพาะ โดยที่เนื้อหาทั้งหมดไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน
และยังนับเป็นหนังสือเล่มแรกที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์น้องใหม่ - สำนักพิมพ์ฮาวฟาร์
ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่คุณดังตฤณและคณะก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตหนังสือคุณภาพ
โดยมีความมุ่งหวังสำคัญคือ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น

หลายคนอาจเคยได้ยินวาทะของคุณดังตฤณที่กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า
"รักแท้มีจริง แต่ที่จริงกว่าคือกิเลส"
หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้คุณผู้อ่านได้เห็นต่างไปอีกมุมหนึ่งว่า
แม้รักแท้จะไม่จริงเท่ากิเลส แต่ก็สูงส่งเหนือกิเลสได้
ขอเพียงคุณเข้าใจและรู้วิธีสร้างความรักที่เป็นอิสระจากราคะ
เพราะเมื่อเป็นอิสระจากราคะ รักนั้นก็ย่อมไม่พังเพราะราคะ
 
โจทย์ตั้งต้นคือ แล้วจะทำอย่างไร จึงจะสร้างรักอันทรงพลังและมีอายุยืนให้เกิดขึ้นได้?
และคำตอบ ก็คือเนื้อหาทั้งหมดที่คุณดังตฤณตั้งใจถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้

เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรให้คุณได้รู้บ้าง
ที่พอจะเป็นแนวทางให้คุณสร้างและวางรากฐานของ "รักแท้" ให้เกิดขึ้นได้จริงกับตนเอง?

เริ่มต้น คุณจะได้รู้... วิธีสร้างเสน่ห์ดึงดูดความสนใจ
เพื่อจะมีโอกาสเป็นผู้เลือกบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งของใคร ๆ
และการสร้างเสน่ห์ในที่นี้ ก็ไม่ได้เน้นที่รูปกายซึ่งแข่งกันยาก แต่เน้นที่กระแสทางใจ
ซึ่งตกแต่งกันง่าย ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือขี้ริ้วขี้เหร่มาจากไหนก็ตาม

คุณจะได้รู้... วิธีเลือกคนที่ใช่
เพื่อที่จะให้ความรักเกิดขึ้นเองจากความใช่
ไม่ใช่เอาแต่คาดหวังให้ความรักเกิดขึ้นโดยปราศจากพื้นฐานความเป็นจริงรองรับ

คุณจะได้รู้... วิธีรักษาความรัก
ไม่ใช่ปล่อยให้ความใช่อย่างเดียวทำหน้าที่ไปจนตาย
แต่ให้คุณเลี้ยงความรักเป็น เหมือนคนมือเย็นเลี้ยงต้นไม้รอดไปจนกว่าจะถึงอายุขัย

คุณจะได้รู้... วิธีจากกัน
เพราะไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ใครจะพยายามหลีกเลี่ยงด้วยวิธีใด ๆ
ต่อเมื่อเข้าใจคุณค่าและความหมายของการจากกัน
จึงเป็นการสร้างนิยามความรักได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง

และคุณจะได้รู้... วิธียกระดับความรัก
อันเป็นบทศึกษาสำรองสำหรับคนที่ไม่อาจพบคู่รักด้วยวิธีใด ๆ
หรือพบแล้วแต่ปรารถนาความสุขขั้นสูงสุดที่เหนือรักเชิงชู้สาว

ในยุควัตถุนิยมแบบคนรุ่นใหม่ ที่แทบจะไม่มีใครรู้จักความหมายของรักแท้อีกต่อไป
มีแต่เพียง ราคะ ที่สวมหน้ากากมาทักทายในคราบของภาพฝันสวยหรู
จนหนุ่มสาวจำนวนนักต่อนัก ต้องบอบช้ำกับความฉาบฉวยเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งที่ส่วนลึกยังโหยหา แต่ก็ไม่มีใครรู้ความหมาย ไม่มีใครเห็นวิธี...

"รักแท้มีจริง" ผลงานเล่มล่าสุดโดยคุณดังตฤณ
พร้อมรอให้คุณผู้อ่านได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ผ่านร้านหนังสือซีเอ็ด บีทูเอส ร้านนายอินทร์
และร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ ราคาเล่มละ 140 บาท


หัวข้อ: หมื่นตากับการปล่อยวางความทุกข์
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 26 กันยายน 2008, 10:46:31
หมื่นตากับการปล่อยวางความทุกข์

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042096.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042107.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042123.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042139.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042155.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042170.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042186.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1222042203.jpg)
ขอขอบคุณ
โค๊ด:
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kawaka


หัวข้อ: Re: ตอบคำถามคุณ EthaiZoneเรื่องการใช้สรรพนาม+รักแท้มีจริง...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: geddd ที่ 26 กันยายน 2008, 22:37:00
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความดีๆ  :'(


หัวข้อ: มีสติยั้งใจ อะไรก็ไม่เลวร้าย...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 29 กันยายน 2008, 14:13:41
มีสติยั้งใจ อะไรก็ไม่เลวร้าย

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/01.jpg)

ผู้ชายคนนึงเดินออกมาชมรถกระบะคันใหม่ที่จอดหน้าบ้าน..

แต่แล้วก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อเห็นลูกชายกำลังเอาฆ้อนทุบรถเล่น
เขาผลักลูกชายกระเด็น คว้าค้อนทุบมือลูกจนน่วมเป็นการลงโทษ

เมื่อระงับสติอารมณ์ได้ จึงนำลูกส่งโรงพยาบาล
หมอพยายามช่วยสุดความสามารถ
แต่ไม่สามารถกู้กระดูกที่แหลกเหลวกลับคืนมาได้
จึงต้องตัดสินใจตัดนิ้วของลูกชายทิ้งทั้ง 10

พอเด็กฟื้นขึ้นมา และเห็นมือที่พันผ้าอยู่ ก็พูดกับพ่ออย่างเดียงสาว่า
"พ่อ..ครับ ผมเสียใจ กับเรื่องรถ ...แต่ว่าเมื่อไหร่นิ้วผมจะงอกเหมือนเดิม ครับ"
.
.
.
.
พ่ออึ้ง..ไม่ตอบ กลับบ้านแล้วพ่อก็ฆ่าตัวตาย......

รถกระบะ ซ่อมได้ แต่กระดูกที่หัก
หรือใจที่ปวดร้าว ยากนักที่จะเยียวยา รักษา

คนเราทุกคนผิดพลาดได้ แต่การกระทำในขณะที่มีโทสะ โมหะ
จะติดอยู่กับเราไปตลอดกาล...และสร้างหายนะได้มากมาย

มีสติ...ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ


*เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอเมริกา
ขอขอบคุณ
tamdee.net


หัวข้อ: ความห่วงใย..จากหัวใจของผู้หวังดี.....^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 ตุลาคม 2008, 13:08:35
ความห่วงใย..จากหัวใจของผู้หวังดี..
(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/544.jpg)

การกระทำบางสิ่งบางอย่าง...
โดยความตั้งใจดีเป็นที่ตั้ง...
มีความปรารถนาดีอย่างจริงใจ..
และมีความพยายามทำอย่างดีที่สุด...
>>>…แม้จะเป็นเพียงบางสิ่งบางอย่าง..
>>>…ซึ่งอาจจะดูว่า.. “เล็กน้อย”...
>>>…ในความรู้สึกของผู้กระทำ..
>>>…ที่มีแต่ความหวังดีตลอดเวลา...
>>>…พร้อมทั้งคอยดูแล เอาใจใส่..
>>>…ทุก ๆ ก้าวย่างของชีวิต..
>>>…ทุก ๆ วินาทีของความสำเร็จ..

เพียงเพื่อ..หวังว่าสักวัน...
ชีวิตน้อย ๆ ด้อยคุณค่า..
ที่ใครต่อใครต่างดูถูก ดูแคลน..
และมองข้าม เหยียบหยามตลอดเวลา...

จะเป็นชีวิตที่ทรงคุณค่าต่อไป...
ในโลกแห่งการต่อสู้..แข่งขัน..เหมือนในยุคปัจจุบัน..
คนที่จะสามารถต่อสู้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้...
>>>…จะต้องมีกำลังใจ...
>>>…อีกส่วนหนึ่งมาจาก...
>>>…ความห่วงใยเล็ก ๆ น้อย ๆ ...
>>>…การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันตลอดเวลา...

จะช่วยเป็นแรงผลักดันอันวิเศษ...
>>>…ที่จะทำให้จิตใจที่อ่อนล้า...
>>>…กลับมามีพลังอย่างมหาศาลอีกครั้ง..

ความห่วงใย..
>>>…คือ..ความห่วงหาอาทร..
>>>…ได้แก่ การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน..
>>>…ที่จะต้องแสดงออกจากจิตใจที่ดีและงดงาม...

เพียงคำพูดชื่นชมดี ๆ สักคำ..
>>>…ในเวลาที่เขาตั้งใจทำอะไรได้สำเร็จ
>>>…แม้จะเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
>>>…เพียงคำชื่นชมคำเดียวจากใจจริง
>>>…ก็มีคุณค่าทางจิตใจของเขาเป็นอย่างดียิ่งแล้ว..

เพียงคำแนะนำดี ๆ สักคำ...
>>>….ในเวลาที่เขามีปัญหา หาทางออกไม่เจอ...
>>>….คำแนะนำ เพียงคำ ก็สามารถเปิดประตูห้องหัวใจแห่งความสำเร็จ
>>>….ให้กับชีวิตของเขาผู้นั้นได้เป็นอย่างดีเช่นกัน..

เพียงคำปลอบโยนดี ๆ สักคำ..
>>>….ในเวลาที่เขาเกิดความท้อแท้ในชีวิต..
>>>….คำปลอบโยนเพียงคำ ก็สามารถสร้างวีรบุรุษหัวใจยอดนักสู้..
>>>….ให้กลับมามีชีวิตชีวาได้ใหม่อีกครั้ง..

คนเราทุกคน...
ล้วนต้องการและปรารถนาอย่างยิ่ง...นั่นคือ..
>>>…กำลังใจและความห่วงใย
>>>…จากผู้อื่น...จากคนรอบข้าง...และจากทุก ๆ คน..

นักกีฬา...ย่อมประสบชัยชนะได้สำเร็จ....
>>>…เพราะเสียงโห่ร้องแห่งกำลังใจ...
>>>…ที่ทำให้เขาเหล่านั้น...ลุกขึ้นสู้..และรุกก้าวไปข้างหน้า ฉันใด...

ผู้ที่กำลังท้อแท้...
>>>…ก็มักปรารถนาและต้องการเป็นอย่างยิ่ง..
>>>…ซึ่งเสียงปลอบโยนแห่งกำลังใจ...ฉันนั้น..

ไม่มีใครที่จะกล้าปฏิเสธ...
>>>…ความห่วงใย
>>>…และความปรารถนาดี
จากผู้ที่หยิบยืนกำลังใจแห่งดอกไม้ที่งดงามด้วยสำเร็จ....อย่างแน่นอน..

สิ่งหนึ่งที่เราจะช่วยเขาได้..
ในเวลาที่เขาทุกข์ เศร้าใจ...
>>>…ก็คือ....การแสดงความเห็นอกเห็นใจ..
>>>…และการมอบให้ซึ่งคำปลอบโยนที่โอนอ่อนด้วยความเมตตาปรารถนาดี..

แม้อาจจะดูว่า....การปลอบโยนเป็นการเพิ่มความอ่อนแอให้เขา..
แต่การเป็นผู้ฟังที่ดี...ให้เขาได้ระบายความรู้สึกต่าง ๆนั้น..
เพียงวินาทีแห่งความเศร้าโศกเล็ก ๆ น้อย ๆ..
เขาก็อาจกลับมามีกำลังใจขึ้นมาใหม่ได้...
>>>…เพียงเพราะ...คำปลอบโยนที่อ่อนหวาน...
>>>…เพียงเพราะ...คำแนะนำอันน้อยนิด..ที่สะกิดให้กำลังใจได้ฟูขึ้น..

การแสดงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น..
เป็นการบ่งบอก..ถึง..
>>>…พลังใจอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในตัว...
>>>…ของผู้กระทำหน้าที่ในการมอบความรู้สึก..
>>>…ปรารถนาดีอย่างจริงใจ..

ถ้าเรามีและมอบให้ผู้อื่นมากเท่าไร..
ก็จะทำให้เรา..มีกำลังใจมากขึ้น..จนกลายเป็นพลังใจที่เข้มแข็ง..
>>>…ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพลังอันมหาศาล...
>>>…แต่แฝงไปด้วยความงดงามและความอ่อนโยนทางจิตใจ...

กำลังใจของผู้หวังดี..
>>>…คือ..ความห่วงใยที่งดงาม
>>>…ที่ต่างฝ่ายได้แสดงออกมาจากหัวใจแห่งความปรารถนาดี...
>>>…จะไม่มีวันหมด..หรือเสื่อมสลาย..สูญหายไปจากผู้นั้นอย่างแน่นอน...

บทความโดย..ชายน้อย...

ที่มา : hxxp://blog.kapook.com/chaynoi3


หัวข้อ: Re: ความห่วงใย..จากหัวใจของผู้หวังดี...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: deepsnows ที่ 01 ตุลาคม 2008, 13:23:47
ขอบคุณครับ :'(


หัวข้อ: Re: ความห่วงใย..จากหัวใจของผู้หวังดี...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: Bourne ที่ 01 ตุลาคม 2008, 13:25:39
กำลังเซ็งๆ กับการหาkw ได้มาอ่านกระทู้นี้แล้วมีแรงขึ้นเยอะเลย  :)


หัวข้อ: Re: ความห่วงใย..จากหัวใจของผู้หวังดี...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: ClickToBan ที่ 01 ตุลาคม 2008, 13:58:36
อ่า ขอบคุณครับ  :) :) :)


หัวข้อ: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 ตุลาคม 2008, 22:14:13
การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?
- พระพุทธเจ้าทรงห้ามพุทธบริษัทรับประทานเนื้อสัตว์ หรือไม่
- การรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ งดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์
เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่
- การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ .....
อาหารมังสวิรัติ

ความหมาย
อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่พืชผัก ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด

ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่เคร่ง และ กลุ่มที่ไม่เคร่ง
๑. กลุ่มที่เคร่ง จะกินเฉพาะอาหารที่มาจากพืชเท่านั้น
ไม่กินอาหารที่มาจากสัตว์ คือ ไข่ นม และเนย
๒. กลุ่มที่ไม่เคร่ง จะกินอาหารที่มาจากพืชไม่กินเนื้อสัตว์
แต่กินไข่ นม และเนย

การ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ทำให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุได้ โดยเฉพาะชาวมังสวิรัติที่เคร่งครัด (ไม่กินนมและไข่) อาจขาดธาตุแคลเซียม วิตามินบี และวิตามินดี ทำให้เกิดโรคบางอย่างได้

อาหารหลัก ๕ หมู่
นักวิทยาศาสตร์ทางอาหาร หรือที่เรียกว่า นักโภชนาการ ได้แยกธาตุอาหารออกเป็น ๕ ประเภท นิยมเรียกกันว่าอาหารหลัก ๕ หมู่ คือ
หมู่ที่ ๑ โปรตีน เป็นสารอาหารที่อยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม และเมล็ดถั่ว อาหารประเภทโปรตีนสร้างความเจริญเติบโตแข็งแรงให้แก่เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
หมู่ที่ ๒ คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรต คือ ให้พลังงานแก่ร่างกาย
หมู่ที่ ๓ ไขมัน เป็นสารอาหารที่อยู่ในอาหารประเภทไขมัน ซึ่งได้มาจากไขมันสัตว์ และไขมันจากพืช ประโยชน์ของไขมัน คือ ให้พลังงานแก่ร่างกาย ละลายวิตามิน และแทรกอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
หมู่ที่ ๔ เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เมล็ดถั่ว และผักใบสีเขียว เกลือแร่ที่สำคัญ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส ทั้งสองชนิดนี้ร่างกายใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเม็ดโลหิตแดง อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ได้แก่ เครื่องในสัตว์ พวกตับและหัวใจ
หมู่ที่ ๕ วิตามิน เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารประเภทตับ หัวใจ ไข่ น้ำนม และผลไม้บางชนิด ถ้าร่างกายขาดวิตามิน หรือ มีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จะทำให้ร่างกายผิดปกติขึ้นได้ เช่น ขาดวิตามินบี ๑ ทำให้อ่อนเพลีย และเป็นโรคเหน็บชา ขาดวิตามินดี เป็นโรคกระดูกอ่อน ขาดวิตามินเอ ทำให้ตาพร่ามัว มองไม่ชัดเจนและถึงกับตาบอดได้ ขาดวิตามินซี ทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด มีอาการเลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม และเกิดโรคโลหิตจาง

การรับประทานอาหารมังสวิรัติ กับ การกินเจ
การรับประทานอาหารมังสวิรัติกับการกินเจ แม้จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือ

ผู้ ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็เพราะมีเจตนาจะละเว้นการกินเนื้อสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนสัตว์ คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ เหตุให้ไม่ฆ่าสัตว์ เพื่อเอามาเป็นอาหาร

แต่การกินเจ เป็นประเพณีของชาวจีน การกินเจ ไม่ใช่งดเว้นเนื้อสัตว์ตลอดเวลานาน แต่งดกินเนื้อสัตว์ชั่วระยะเวลาเทศกาลกินเจเท่านั้น คือ ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ของจีน เป็นเวลา ๙ วัน ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำเดือน ๑๑ ของไทย (แต่เฉพาะในปีที่ปฏิทินจีนมีเดือน ๕ สองครั้ง จะตรงกับ ขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๑๒ ไทย) การกินเจมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระเจ้าเก้าพระองค์ (เก๊า-ฮ้วง-ฮุดโจ้ว) ซึ่งเป็นเทพเจ้าอยู่บนสวรรค์ ในหนึ่งปีพระเจ้าเก้าพระองค์จะลงมาตรวจดูคนในมนุษยโลกว่าใครทำดีทำชั่ว แล้วจะจดบัญชีไว้ เพราะเจ้าทั้งเก้าจะลงมาในมนุษยโลก ผู้ที่ต้องการให้พระเจ้าทั้งเก้าช่วยเหลือ ก็ต้องรักษาศีลกินเจเป็นเวลา ๙ วันนอกจากไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ยังต้องไม่กินผักที่มีกลิ่นแรงก่อให้เกิดราคะ ๕ ชนิด ที่มีในเมืองไทย ๓ ชนิด คือ หอม กระเทียม และกุยช่าย (อีก ๒ ชนิด คือ หลักเกี๋ย และเฮงกื๋อ ไม่มีในประเทศไทย)

ดังนั้น ในวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำเดือน ๙ ของจีน คนจีนจึงกินเจ เพื่อทำความดีให้เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว เห็นจะได้จดบันทึก และบันดาลให้มีอายุยืนต่อไป

ทำไมพระมหายานจึงฉันอาหารเจ
พระสงฆ์มหายาน คือ พระจีนและพระญวน มีอุดมคติ หรือจุดหมายสูง
สุดในการปฏิบัติธรรมต่างกับพระสงฆ์เถรวาท
พระสงฆ์เถรวาท คือ พระสงฆ์ไทย ลังกา พม่า ลาว เขมร มีจุดมุ่งหมายสูง
สุดในการปฏิบัติธรรม คือ ทำจิตให้บริสุทธิ์ หมดกิเลส
เป็นพระอรหันต์ หรือเรียกว่า บรรลุนิพพาน
นิพพาน คือ จุดหมายสูงสุด

แต่ พระสงฆ์มหายาน ไม่ต้องการบรรลุนิพพานแต่ลำพังตนเอง แต่ต้องการช่วยให้มหาชน บรรลุนิพพานทั้งหมด จึงต้องบำเพ็ญบารมีให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในระหว่างที่บำเพ็ญบารมีอยู่นี้เรียกว่า เป็นพระโพธิสัตว์ คำว่าพระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จะต้องรักษาศีลเรียกว่า “สิกขาบท พระโพธิสัตว์” เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ปฏิบัติพร้อมกันกับสิกขาบทที่มีมาในพระปาฏิโมกข์ เหมือนกับพระสงฆ์เถรวาท แต่ต้องรักษาศีลสำหรับพระโพธิสัตว์เพิ่มขึ้น ๕๘ ข้อ ในสิกขาบท พระโพธิสัตว์ ๕๘ ข้อนี้ มีบัญญัติว่าห้ามบริโภคโภชนาหารปลาและเนื้อ และห้าบริโภคผักที่มีกลิ่นฉุน ก่อให้เกิดราคะ ๕ อย่าง คือ หอม กระเทียม และกุยช่าย (อีก ๒ ชนิด คือ หลักเกี๋ย และเฮงกื๋อ ไม่มีในประเทศไทย)

พระพุทธเจ้าทรงห้ามพุทธบริษัทรับประทานเนื้อสัตว์ หรือไม่

คำถามนี้ต้องแยกตอบเป็น ๒ พวก คือ
๑. พุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์
๒. พุทธบริษัทที่เป็นบรรพชิต
สำหรับ พุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์นั้นพระพุทธเจ้าไม่ห้ามการรับประทานอาหารทุกชนิด เพราะชาวบ้านมีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างกัน ความเชื่อถือในเรื่องการรับประทานอาหารก็เป็นไปตามตระกูลและวรรณะของตน พระพุทธเจ้าจึงไม่ห้ามชาวบ้านในเรื่องการเลือกอาหาร

แต่สำหรับบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี และ สามเณรนั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อห้ามไว้ ๒ กรณี คือ
กรณีที่ ๑ ห้ามรับประทานเนื้อ ๑๐ ชนิด คือ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู
การที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อเสือ ๓ ชนิด แทนที่จะพูดรวมๆ “เนื้อเสือ” เพราะในภาษาบาลี เสือแต่ละชนิด ใช้คำเรียกต่างกัน คือ เสือโคร่ง ใช้คำว่า พยคฺฆมํสํ , เสือดาว ใช้คำว่า ตรจฺฉมํสํ , เสือเหลือง ใช้คำว่า ทีปิมํสํ เนื้อ ๑๐ ชนิดนี้ ถ้าภิกษุฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ (ที่มา : ฉบับหลวง เล่ม ๕ ข้อ ๕๗ หน้า ๖๙-๗๒)
กรณีที่ ๒ พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อที่เขาฆ่า เพื่อทำอาหารถวายพระโดยเฉพาะ เรียกในพระวินัยว่า “อุททิสุสมังสะ” แปลว่า เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายภิกษุ ท่านห้ามมิให้ภิกษุฉัน หากภิกษุฉัน ทั้งได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฎ

พุทธบัญญัติข้อนี้ มีในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๕ ข้อ ๘๐ หน้า ๑๐๐-๑๐๑ ดังนี้
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงฉันเนื้อที่เขาทำจำเพาะ รูปใดฉัน ต้องอาบัติ ทุกกฎ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ปลาเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม
คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ”

การรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ งดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่
คำตอบที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสนับสนุน มิได้ทรงสรรเสริญ มิได้ทรงติเตียน การบริโภคอาหารมังสวิรัติแต่อย่างใด และการบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้น ก็มิได้ช่วยให้บรรลุธรรมพิเศษแต่อย่างใด
บางคนยึดถือว่า การบริโภคอาหารมังสวิรัติเป็นสิ่งสำคัญ เป็นข้อปฏิบัติอันประเสริฐ จึงสรรเสริญผู้บริโภค ติเตียนผู้ไม่บริโภค
เคย มีภิกษุสำนักหนึ่ง ติเตียนผู้ที่กินเนื้อสัตว์ว่าเป็นยักษ์มาร ปากที่กินเนื้อสัตว์ เป็นปากของคนใจดำอำมหิต กระเพาะของคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นป่าช้า ที่ฝังของเนื้อและปลาทั้งหลาย คำกล่าวอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง คือ มานะ ถือตัว , อติมานะ ดูหมิ่นท่าน , สาเถยยะ โอ้อวด

การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่
การ ที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
เมื่อ เทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา
ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?
การ ที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
เมื่อ ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย
มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่
ปัญหา เรื่องพระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่ นี้ พูดกันถามกันอยู่เสมอ คำตอบที่ถูกต้อง คือ พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์ หลักฐานที่จะนำมาอ้างมีในพระไตรปิฎกหลายแห่งที่ยกมาเป็นตัวอย่างเพียง ๒ แห่ง คือ
๑. เรื่องสีหะเสนาบดี ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๕ ข้อ ๘๐ หน้า ๙๙
๒. อรรถกถาอามคันธสูตร พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย
เล่ม ๔๗ หน้า ๘๗ และ หน้า ๙๒

เรื่องที่ ๑ สีหะเสนาบดี แห่งแคว้นวัชชี เดิมเป็นสาวกของนครนถ์ (นักบวชเปลือย) ต่อมาได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน จึงเปลี่ยนศาสนามาเป็นอุบาสก และอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ไปรับภัตตาหารที่นิเวศน์ของ สีหะเสนาบดี ในวันรุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าทรงรับอาราธนาแล้ว สีหะเสนาบดีจึงได้สั่งให้มหาดเล็ก ไปซื้อเนื้อสดที่เขาขายในตลาด มาทำภัตตาหารถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเสวยภัตตาหารนั้น

เรื่องที่ ๒ อามคันธสูตร ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้มีพราหมณ์คนหนึ่งอามะคันธะบวชเป็นฤาษี อยู่ในป่าหิมพานต์ มีบริวาร ๕๐๐ ดาบสเหล่านั้น ออกจากป่าหิมพานต์ไปจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นเวลาปีละ ๔ เดือน เป็นประจำชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาก ให้การต้อนรับเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
สมัย ต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย เมื่อชาวบ้านได้เห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสถวายมหาทาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่คนเหล่านั้น คนเหล่านั้นบางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี บางพวกได้บรรพชาอุปสมบทบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปยังกรุงสาวัตถี
ต่อมาดาบสเหล่านั้น ได้เข้าไปสู่หมู่บ้านนั้นอีก แต่คราวนี้ชาวบ้านไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างโกลาหล เหมือนคราวก่อนๆ ดาบสเหล่านั้นเห็นผิดจากเดิม จึงถามคนเหล่านั้นว่าเพราะอะไรพวกท่านจึงไม่เป็นเช่นคราวก่อน ชาวบ้านได้เรียนให้ดาบสทราบว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก คนทั้งหลายได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคล ชั้นต่างๆ มีพระโสดาบัน เป็นต้น พวกดาบสเมื่อได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ก็เกิดความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ค่อยเชื่อว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าจริง จึงสอบถามชาวบ้าน ถึงพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า โดยถามว่าพระพุทธเจ้าเสวยอย่างไร ทรงเสวยปลาหรือเนื้อหรือไม่ คนเหล่านั้นกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเสวยปลาและเนื้อ” เมื่อ อามะคันธดาบส ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ชอบใจ เพราะไม่ตรงกับความคิดของตน เพราะมีความเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าต้องไม่เสวยปลาและเนื้อ อามะคันธะดาบสพร้อมด้วยดาบสที่เป็นบริวารจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระ วิหารเชตวัน ที่พระนครสาวัตถี และได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์เสวยปลาและเนื้อหรือไม่ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า พระองค์เสวยปลาและเนื้อที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้รังเกียจ (คือไม่สงสัย ว่าเขาฆ่าเพื่อตน) จัดเป็นสิ่งหาโทษมิได้
อา มะคันธะดาบส ได้โต้แย้งกับพระพุทธเจ้าว่าการเสวยปลาและเนื้อไม่เหมาะสมแก่ชาติสกุลของ พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ควรที่จะเสวยปลาและ เนื้อ
พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงให้อามะคันธะดาบสเข้าใจว่า การไม่กินปลา กินเนื้อ ย่อมไม่ทำสัตว์ให้บริสุทธิ์ได้
พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงความที่บุคคลไม่สามารถจะทำตนให้บริสุทธิ์ด้วยการไม่ บริโภคปลาเนื้อเป็นต้น อย่างนี้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่สามารถจะทำสัตว์ให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยหลักธรรม คือ อินทรีย์สังวร การสำรวมอินทรีย์ ความเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้บางเบา ซึ่งกิเลสทั้งหลายมีราคะและโทสะ เป็นต้น ดำรงอยู่ในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันจะพึงบรรลุได้ด้วย อริยมรรค
อามะคันธะดาบส ครั้นสดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็มีใจอ่อนน้อม ถวายบังคมที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบวชพร้อมกับดาบสผู้เป็นบริวารของตน พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด” ดาบสเหล่านั้นได้เป็นภิกษุด้วยพระวาจานั้น ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ทุกท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

การรับประทานอาหารมังสวิรัติไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของใคร ?
คำสอนให้งดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ เป็นคำสอนของ พระเทวทัต
พระ เทวทัตเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางยโสธราพิมพา ผู้เป็นพระชายาของสิทธัตถกุมาร เจ้าชายเทวทัต ออกบวชพร้อมกับเจ้าชายในราชวงศ์ศากยะ ๕ คน มีพระอานนท์ เป็นต้น และมีพนักงานภูษามาลา (ช่างตัดผม) ชื่อ อุบาลี รวมเป็น ๗ คน ออกบวชพร้อมกัน หลังจากออกบวชแล้วเจ้าชายในราชวงศ์ศากยะทั้ง ๕ พระองค์ และพระอุบาลี ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ส่วนพระเทวทัตไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ได้สำเร็จโลกียฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ
ต่อมาพระเทวทัต อยากจะมีอำนาจปกครองสงฆ์ จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐิธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่าเลย ! เทวทัต เธออย่าพอใจที่จะปกครองภิกษุสงฆ์เลย”
แม้ พระพุทธเจ้าทรงห้ามแล้ว พระเทวทัตก็ไม่ฟัง ยังกราบทูลขอปกครองสงฆ์ถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระเทวทัต เป็นผู้ปกครองสงฆ์
พระเทวทัต โกรธ น้อยใจ จึงคิดจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง พระเทวทัตเข้าไปหาเจ้าชายอชาตศัตรู ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ยุยงให้เจ้าชายอชาตศัตรูเป็นกบฏ ชิงราชบัลลังก์ โดยกล่าวว่า “ดูก่อนกุมาร ถ้ากระนั้น ท่านจงปลงพระชนม์พระชนกเสีย แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเป็นพระพุทธเจ้า”

พระเทวทัตวางแผนปลงพระชนม์ พระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ พระเทวทัตขอให้เจ้าชายอชาตศัตรู ส่งทหารแม่นธนูไป พบพระพุทธเจ้าแล้วไม่กล้ายิง พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรม ทหารแม่นธนูได้ฟังธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมประกาศตนเป็นอุบาสกแล้วกลับไป
ครั้งที่ ๒ เมื่อแผนการแรกไม่สำเร็จ พระเทวทัตจึงลงมือเอง โดยขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏ กลิ้งศิลาก้อนใหญ่ลงมาขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ที่เชิงเขา ด้วยจงใจว่าเราเองจักเป็นผู้ปลงพระชนม์พระสมณโคดม แต่ศิลานั้นกลิ้งไปกระทบศิลาก้อนอื่น แตกเป็นสะเก็ด กระเด็นไปกระทบพระบาท (หัวแม่เท้า) ทำให้ห้อพระโลหิต บรรดาภิกษุช่วยกันทำแคร่หามพระองค์ไปยังบ้านหมอชีวก หมอชีวก ทำการรักษาด้วยการพอกยาจนพระโลหิตที่ห้อนั้นหายสนิท
ครั้งที่ ๓ พระเทวทัตไม่ละความพยายามเข้าไปหาควาญช้างหลวง แอบอ้างรับสั่งของพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชาพระองค์ใหม่ ให้ปล่อยช้าง นาฬาคิรี ออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ขณะเสด็จบิณฑบาต เมื่อช้างแลเห็นพระพุทธองค์ก็ปรี่เข้าไปจะทำร้าย พระอานนท์ออกไปยืนขวางหน้าด้วยความจงรักภักดี ตั้งใจสละชีวิต เพื่อปกป้องพระพุทธองค์ ด้วยอำนาจเมตตาจิต ที่พระศาสดาทรงแผ่เจาะจงยังช้างนาฬาคิรี ทำให้ช้างนั้นเมื่อได้สัมผัสกับกระแสเมตตาจิตของพระพุทธองค์ก็ลดงวงลง เข้าไปหมอบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วกลับไปสู่โรงช้างตามเดิม

ทำสังฆเภท
พระ เทวทัต เมื่อพยายามทำร้ายพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้งไม่เป็นผลสำเร็จ จึงใช้อุบายที่จะทำให้สงฆ์แตกแยกกัน พระเทวทัตจะได้แบ่งแยกพระสงฆ์ส่วนหนึ่งไปจากพระพุทธเจ้า
พระเทวทัต กับบริวารของตน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบท ๕ ประการ โดยอ้างว่าเพื่อความเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัดกิเลส การไม่สั่งสม เพื่ออาการที่น่าเลื่อมใส เรื่องที่พระเทวทัตทูลขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทขึ้นใหม่ ๕ ข้อนั้น เรียกว่า วัตถุ ๕ ประการ คือ
๑. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่รูปนั้น
พึงต้องโทษ
๒. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์รูปนั้น
พึงต้องโทษ
๓. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้น
พึงต้องโทษ
๔. ภิกษุทั้งหลาย พึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง
รูปนั้นพึงต้องโทษ
๕. ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้น
พึงต้องโทษ

พระ ศาสดารับสั่งว่า ภิกษุพึงถือเป็นวัตรได้ตามความสมัครใจ ภิกษุรูปใดปรารถนาจะอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจะอยู่บ้าน ก็จงอยู่บ้านรูปใดปรารถนาจะถือบิณฑบาตเป็นวัตร ก็จงถือบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจะรับกิจนิมนต์ก็จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ก็จงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดจะรับผ้าคหบดีจีวร ก็จงรับ เราอนุญาตการอยู่โคนไม้เป็นเสนาสนะ ๘ เดือน นอกฤดูฝน ในฤดูฝนต้องอยู่ในที่มุงที่บัง เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ คือไม่สงสัยว่าเขาฆ่าสัตว์นั้นเพื่อถวายพระ
พระ เทวทัต ประกาศให้ประชาชนทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตข้อวัตรที่ตนทูลขอทำ ให้ประชาชนที่ไร้ปัญญา เข้าใจว่า พระเทวทัตเป็นผู้มีความประพฤติขัดเกลา ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความประพฤติมักมาก
พระเทวทัต ประกาศโฆษณาให้พระภิกษุเห็นด้วยกับ วัตถุ ๕ ประการ โดยอ้างว่าเป็นการปรารถนาความเพียร เพื่อความมักน้อย พระเทวทัตอ้างว่าคำสอนของตนประเสริฐกว่า เคร่งครัดกว่า น่าเลื่อมใสกว่า
พระ ภิกษุวัชชีบุตร (ชาวเมืองเวสาลี) ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็นพระบวชใหม่ และรู้พระธรรมวินัยน้อย พากันหลงเชื่อ ยอมตนเข้าเป็นสาวกของพระเทวทัต พระเทวทัตพาภิกษุเหล่านี้ไปอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ เป็นการแยกคณะสงฆ์
พระสา รีบุตร พระโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า พระเทวทัต ทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ หลีกไปทางคยาสีสะ
พระเทวทัต เข้าใจว่า พระอัครสาวกทั้งสองตามมา เพราะชอบใจธรรมะของตน จึงนิมนต์ให้นั่ง หลังจากพระเทวทัตแสดงธรรมกถาเป็นเวลานานแล้ว จึงมอบให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ แสดงธรรมต่อ โดยกล่าวว่า “ท่านจงแสดงธรรมต่อจากเราเถิด เราเหนื่อยแล้ว จักนอนพัก” จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป
พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ แสดงธรรมเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ กลับใจภิกษุเหล่านั้นให้เข้าใจความจริง แล้วพาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นกลับไปอยู่กับพระพุทธเจ้าตามเดิม
พระเทวทัตตื่น ขึ้นมา ปรากฏว่าพระภิกษุส่วนใหญ่ตามพระอัครสาวกกลับไปแล้ว คงเหลือพระภิกษุที่ยังอยู่เพียงเล็กน้อย พระเทวทัตเสียใจมาก ล้มป่วยถึง ๙ เดือน ในกาลสุดท้ายสำนึกผิด ต้องการจะไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลขอขมา จึงให้สาวกที่เหลือ นำตนไปเฝ้า เมื่อสาวกนำพระเทวทัตมาใกล้ถึงพระเชตวัน ก็วางคานหามลงริมฝั่งสระโบกขรณี พระเทวทัตลุกขึ้นนั่ง ก้าวลงจากคานหาม พอเท้าทั้งสองถึงพื้นดิน แผ่นดินสูบพระเทวทัตจมลงในพื้นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกเผา เพราะอนันตริยกรรมที่ตนได้กระทำทั้ง ๒ อย่าง คือ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกกัน

คำ สอนของพระเทวทัตให้งดเว้นจากการรับประทานปลาและเนื้อ หรือที่เราเรียกกันว่ารับประทานอาหารมังสวิรัติก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามจนทุก วันนี้ .....

**********************************************************
ชำนาญ นิศารัตน์
อดีตศึกษานิเทศก็ระดับ ๙
กรมการศึกษานอกโรงเรียน
(หนังสือทางเดิน)


หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: Vanguard ที่ 01 ตุลาคม 2008, 23:39:35
โห...สุดยอด  :'(


หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: abac401 ที่ 02 ตุลาคม 2008, 00:19:17
ครบ ถ้วน จริงๆครับ ขอบคุณมาก

เ่ท่าที่ จำได้ คือ พระเทวทัต พยายาม โชวย์ ว่า เราเคร่งกว่า พระพุทธองค์ จึงออก กฎข้อนี้ขึ้นมา

 เรื่อง งดอาหาร สัตว์ สำหรับพระ นั้น สรุปหลักมีอยู่ว่า  ภุกษุ กินเพื่ออยู่ ไม่สามารถ หาอาหารเองได้ โยม ใส่อะไรก็ ฉันอย่างนั้น ยิ่ง เลือกมาก โยม ก็ยิ่งลำบาก 
 ส่วน ผู้นับ ถือศาสนาพุทธ ก็ ใครจะ กินเนื้อ สัตว์หรือไม่กิน ก็แล้วแต่ ใจ แต่จะกิน หรือ ไม่กินก็ไม่มีผลอะไรกับ การบรรลุธรรม ( แต่บางคนอาจกินหรือ ไม่กินด้วยเหตุผลอื่นๆ ทางศิลธรรม)



หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 02 ตุลาคม 2008, 00:24:56
เป็นความรู้ที่ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะข้อที่บอกว่า

พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อที่เขาฆ่า เพื่อทำอาหารถวายพระโดยเฉพาะ เรียกในพระวินัยว่า “อุททิสุสมังสะ” แปลว่า เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายภิกษุ ท่านห้ามมิให้ภิกษุฉัน หากภิกษุฉัน ทั้งได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฎ

บางทีชาวบ้านอย่างเราๆไม่รู้เรื่องอะไร เวลามีงานบุญก็ฆ่าสัตว์เพื่อเอามาทำอาหารดีๆถวายพระ


หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: เดี๋ยวจะบอกว่าชื่ออะไร ที่ 02 ตุลาคม 2008, 00:56:28
สาธุ

คุณ journey  เป็นพระรึเปล่าครับเนี่ย เห็นมีบทความแบบนี้เพียบเลย


หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: Threst ที่ 02 ตุลาคม 2008, 01:23:33
ตอบแทนไม่ใช่พระครับ


 :)


หัวข้อ: Re: การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้บุญ หรือ ไม่ ?...^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: ~สายลม~ ที่ 02 ตุลาคม 2008, 04:40:15
กว่าจะจบ อ่านก่อนนอนซะด้วย ... บทความดีมากๆครับ :)


หัวข้อ: ฉลาดทำใจ : ทำงานล้มเหลว....^_^journey
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 06 ตุลาคม 2008, 14:38:07
ฉลาดทำใจ : ทำงานล้มเหลว

* * *

งานล้มเหลว ไม่ได้แปลว่า ตัวคุณล้มเหลว

งานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของคุณ

อย่าให้ความล้มเหลวของงานมาบั่นทอนคุณค่าของตัวคุณ หรือความเคารพตนเอง

เพราะคุณยังมีอีกหลายด้านหลายฐานะ ที่คุณอาจทำได้ดี เช่น

เป็นลูกที่ดี เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี หรือเป็นคนดี เหล่านี้ล้วนมีค่าที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ

* * *

อย่ามองความล้มเหลวว่าเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียหมด ลองมองหาส่วนดีหรือประโยชน์จากความล้มเหลว

อย่างหนึ่งที่คุณน่าจะได้คือ ความรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง

ความรู้หรือบทเรียนดังกล่าว ไม่ควรปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ แต่ควรเอามาใช้ประโยชน์สำหรับการงานในปัจจุบันและอนาคต อย่างน้อยก็ช่วยหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำรอยเดิมได้

* * *

ใช่หรือไม่ว่าคนเราเรียนรู้จากความล้มเหลว ได้มากกว่า ความสำเร็จ

เด็กเล็กเดินเป็นได้ ก็เพราะผ่านการล้มนับครั้งไม่ถ้วน

การล้มแต่ละครั้งเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่เด็กจนเดินได้คล่องแคล่วในที่สุด

ความล้มเหลวที่ไม่ช่วยให้เราฉลาดขึ้น หรือเข้มแข็งขึ้นแม้เล็กน้อย ถือว่า “ขาดทุน”

* * *

ควรมองความล้มเหลวว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่องและทุกครั้ง

เช่นเดียวกับนักกีฬาที่ต้องผ่านทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้

ดังนั้นจึงอย่ากลัวความล้มเหลว และอย่าให้ความล้มเหลวที่รออยู่ข้างหน้า มาทำให้คุณลังเลใจในการทำสิ่งที่ดีงามหรือถูกต้อง

ทั้งๆ ที่รู้ว่าล้มเหลวแน่ แต่หากเป็นสิ่งถูกต้อง ชอบธรรม ก็สมควรทำ เพราะถึงอย่างไรยังดีกว่าชัยชนะจากการทำสิ่งเลวร้าย

* * *

ประการสุดท้ายที่พึงตระหนักก็คือ ความสำเร็จและความล้มเหลวนั้น ไม่อยู่ในอำนาจของคุณหรือของใครคนใดคนหนึ่ง จึงไม่อาจควบคุมให้เป็นไปตามใจคุณได้ หากขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยมากมายที่อยู่นอกตัวคุณ

บางครั้งแม้คุณจะทำดีที่สุด แต่เหตุปัจจัยอื่นๆ ไม่อำนวย ก็ล้มเหลวได้

ดังนั้นจึงไม่ควรเป็นทุกข์ หรือโทษตัวเองเมื่อประสบความล้มเหลว

จะให้ดี หากรู้เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็ควรปล่อยละวางจากความคาดหวังในเรื่องความสำเร็จ และพร้อมทำใจยอมรับความล้มเหลว เมื่อวางใจได้เช่นนี้แล้ว ความล้มเหลวก็ไม่อาจทำอะไรคุณได้

- - - - - - -

คัดลอกจากหนังสือ “ฉลาดทำใจ”
โดย พระไพศาล วิสาโล


หัวข้อ: หนังสือแนะนำ "พูดกับลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟังและไม่ต่อต้านเรา"....(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 14 ตุลาคม 2008, 11:05:51
หนังสือแนะนำ "พูดกับลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟังและไม่ต่อต้านเรา"

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221652747.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221652761.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221955573-1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221955595-1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221955606-1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221955618-1.jpg)

(http://i304.photobucket.com/albums/nn173/dhammavoice/1221955632-1.jpg)


หัวข้อ: Re: หนังสือแนะนำ "พูดกับลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟังและไม่ต่อต้านเรา"........(journe
เริ่มหัวข้อโดย: janistar ที่ 14 ตุลาคม 2008, 11:23:14
^
^
เมื่อเช้าเพิ่งดูจากในทีวีเหมือนกันค่ะ ว่าจะไปซื้อมาอ่าน อยากอ่านมากเลย


หัวข้อ: Re: หนังสือแนะนำ "พูดกับลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟังและไม่ต่อต้านเรา"........(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jonu2528 ที่ 20 ตุลาคม 2008, 19:29:52
+1


หัวข้อ: Re: หนังสือแนะนำ "พูดกับลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟังและไม่ต่อต้านเรา"........(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Luru ที่ 20 ตุลาคม 2008, 19:38:41
 :o ต้องอ่านซะมั่งละเรากระทู้นี้


หัวข้อ: แด่เธอผู้ที่อยู่ในฐานะ"เจ้านาย"..หากต้องไล่คนออกมีหลักตัดสินใจอย่างไร(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 24 พฤศจิกายน 2008, 14:44:24
    หลวงพ่อตอบปัญหา
         
    โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
    เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
     
    Q1: เราควรจะใช้หลักธรรมข้อใดในการพิจารณาเพื่อรับพนักงาน?
    Q2: ถ้าเราจำเป็นจะต้องคัดบุคคลที่ไม่มีคุณภาพออก เราจะมีหลักในการตัดสินใจอย่างไร?
    Q3: ถ้าเราจะเลื่อนตำแหน่งลูกน้องขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน บุคคลผู้นั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?
     
    คำถาม:กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยความเคารพครับ ลูกและเพื่อนๆต่างก็เปิดบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจ ในการนี้ต้องรับพนักงานเข้าทำงาน เราควรจะใช้หลักธรรมข้อใดในการพิจารณาเพื่อรับพนักงานครับ
     
    ตอบ:เจริญ พร...โดยทั่วไปในการคัดคนเข้ามาทำงาน จะเป็นในระดับไหนก็ตาม ส่วนมากในยุคนี้ เขาก็มักจะมองว่า มีวุฒิอย่างไร จบอันโน้น จบอันนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอก...กันบ้าง พิจารณาจากประสบการณ์ในการทำงาน...บ้าง พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ...บ้าง อะไรทำนองนี้ บางทีก็ไล่ไปจนกระทั่งชาติตระกูลก็มี สอบสาวเข้าไป เจ็ดชั่วโคตรเลย บางทีก็สอบไปถึงการเงินการทอง ประวัติของตระกูลในอดีต
     
    แต่ว่าจะใช้หลักอะไรก็ใช้ไป นั่นถือว่า เป็นแค่องค์ประกอบ แต่เรื่องหลักจริงๆแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราคัดคนดีเข้ามาอยู่ร่วมกับเรา ในการคัดคนดีก็มีวิธีมองว่า ใครเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะเอาคนมาทำงาน ถือหลักง่ายๆ คนที่จะทำงานได้ดี คือ คนอย่างไร...คำตอบ คือ คนที่มีความรับผิดชอบ พูดง่ายๆ...คนดี ดีกันด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่ดีเพราะมีปริญญา ไม่ใช่ดีเพราะหุ่นดี เสียงดี ชื่อดี หรือ ตระกูลดี...ไม่ใช่ เมื่อจะเอาคนมาทำงาน เพราะฉะนั้นคนจะดี ต้องดีด้วยความรับผิดชอบ
     

    ความรับผิดชอบ มีดังนี้
     
    ประการที่1.รับผิดชอบตนเอง
     
    ที่เรียกว่า...รับผิดชอบต่อตนเองเป็นอย่างไร เอาขั้นต้นก็แล้วกัน ในทางศาสนา รับผิดชอบต่อตนเอง คือ รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ของตัวเอง วัดด้วยอะไร...ก็วัดด้วยศีลห้าของเขา เขาอาจจะมีความรู้ความสามารถเยอะ แต่ถ้าศีลไม่มี ถือว่าเขาไม่รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ของเขา เอาเข้ามาใกล้ตัวอันตราย จะฆ่าเราตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะหักหลังเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
    
    ประการที่2.รับผิดชอบต่อครอบครัว
พ่อแม่ พี่น้อง วงศ์วาน ว่านเครือ รับผิดชอบหมด
     
    มี ความรับผิดชอบต่อครอบครัว ดูง่ายๆ ตั้งแต่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่หรือไม่ ถ้ามีครอบครัวแล้ว เลี้ยงลูก เลี้ยงภรรยาหรือไม่ เลี้ยงสามีหรือไม่ ถ้าเขายังปล่อยปละละเลยในสิ่งเหล่านี้...อย่าเอามาเลย
     
    ประการที่3.รับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ อาจจะฟังยากสักหน่อย
     
    รับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ หมายถึง ไม่ไปแตะต้องอบายมุขนั่นเอง สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ไม่เกี่ยวข้อง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ ถมไม่รู้จักเต็ม
     
    สุรา ยาเสพติด...รู้จักกันอยู่แล้วว่าไม่ดีอย่างไร
    นารี...ก็เจ้าพวกที่เที่ยวกลางคืน
    พาชี...ไม่ใช่ไปแทงม้าที่สนามม้า แต่ว่าไอ้พวกนี้คือขี่ม้ากินลม ขี่รถกินลม พูดง่ายๆ ไอ้ขี้เกียจ อย่าไปเอามา
    ประการสุดท้าย กีฬาบัตร...คือการพนันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเล่นไพ่หรือว่าพนันมวย พนันบอล การพนันทุกชนิด
     
    ไปแตะต้องกับอบายมุขทุกชนิด ได้ชื่อว่าไม่รับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ เพราะ อย่างนั้น ใครแตะต้องสิ่งเหล่านี้ อย่าไปเอามาเลย คนพวกนี้ในใจไม่มีคิดดี คนในวงไพ่คิดอย่างเดียว จะให้ทุกคนที่เล่นไปด้วยฉิบหาย เพราะถ้าเขาไม่ฉิบหาย เราก็ไม่รวย...แล้วทั้งวงมีกี่คน...มันก็คิดแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นวงพวกนี้จึงเรียกว่า “วงฉิบหาย” เพราะฉะนั้นเอาพวกนี้มาร่วมด้วยไม่ได้
     
    ประการที่4.รับผิดชอบต่อสังคม ตรงนี้เราคุ้น แต่ถ้าถามว่า “มันเป็นอย่างไร รับผิดชอบสังคม” เราอาจจะตอบกันไม่ได้
     
    รับผิดชอบต่อสังคม คือ ไม่มีความลำเอียง คนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน...คนพวกนี้จะเกลียดนักเกลียดหนาคือ ความอยุติธรรม ความลำเอียง ถ้าเอาคนมาใช้งาน แล้วมีความลำเอียงอยู่ในใจ เอามาใช้ไม่ได้ จำไว้ก็แล้วกัน คุณต้องสอบจนแน่ใจได้ว่า เขาไม่มีความลำเอียง คุณเอามาเถอะ
     
    ประการที่5.รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
     
    รับ ผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พูดง่ายๆ เราอยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่ช่วยกันถนอมโลก ไม่ว่าแผ่นดินในโลกนี้ อากาศในโลกนี้ น้ำในโลกนี้ ต้นไม้ ต้นไร่ในโลกนี้ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ถ้าเขามีสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมดีละก็ อย่างนั้น สมบัติทุกชิ้นที่เรามี ที่เราต้องไปเกี่ยวข้อง คนแบบนี้เขาจะช่วยเรารักษา
     
    ทั้งห้าประการนี้ เป็นเรื่องหลัก ซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบ หรือเป็นตัวบ่งบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่า “ฝึกเขาเข้าไปเถอะ จะช้าจะเร็ว เขาจะมีความรับผิดชอบต่องานที่เราต้องการให้เขาทำ” นี่เป็นหลัก
     
    เมื่อ ได้คนที่มีคุณสมบัติทั้ง 5ประการนี้ล่ะก็ เราจะฝึกขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นฝึกไม่ขึ้นหรอกคุณ ทีนี้เมื่อเราได้มาแล้ว ยังไม่พอนะ คุณจะต้องฝึกให้เป็นด้วย แต่เอาเถอะ...หลวงพ่อเชื่อว่า ในความสามารถของคุณ ตั้งเนื้อตั้งตัวกันมาขนาดนี้แล้ว ฝึกตัวเองมาขนาดนี้ คุณสามารถฝึกเขาได้ ยกเว้นไม่ได้ทุ่มเทในการฝึก ถ้าอย่างนั้นแม้ได้คนดีมา ก็เอามาทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ตรงนี้ต้องโทษคุณนั่นแหละ อย่าไปโทษเขานะ
     
    คำถาม:กราบหลวงพ่อด้วยความเคารพครับ ในอีกด้านหนึ่งครับ ถ้าเราจำเป็นจะต้องคัดบุคคลที่ไม่มีคุณภาพออก เราจะมีหลักในการตัดสินใจอย่างไรบ้างครับ
    
    ตอบ:
คุณโยม...ความจริงเมื่อตอนเอาเขาเข้ามา เราก็ว่าเราคัดแล้วล่ะนะ...ตรงนี้ ครั้งใดที่คัดคนออก ต้องโทษว่า เป็นความผิดของเราเป็นประการแรก คือ ดูคนพลาด หรือดูคนไม่เป็น ไม่ใช่ความผิดของเขาเพียงลำพัง...เอาล่ะ...เราพบว่าเขาไม่ดี แต่ขอให้รู้ด้วยว่า นั่นเป็นความผิดของเราด้วย เพราะว่า เราว่าเราคัดแล้ว แล้วเราคัดอย่างไร เขาถึงได้หลุดหูหลุดตาเรามาได้
     
    อีก ประการหนึ่ง ต้องดูด้วย เราอาจจะคัดเขามาดี ดูแล้วดูอีกก็ดีจริง แต่ว่าเมื่อมาถึงเราแล้ว เราฝึกเขาไม่ถึงขั้น แม้อย่างนี้ก็เป็นความผิดของเรา
     
    ที นี้...เมื่อดูว่า จำเป็นต้องคัดเขาออกเสียแล้ว ผลปรากฏว่า ขณะนี้...เขาไม่ค่อยดีเท่าที่เราหวัง หรือไม่ใช่เขาไม่ค่อยดี แต่แย่เอามากๆเลย ตรงนี้ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าทำด้วยความเคียดแค้น เพราะถ้าเราจะคัดใครออกสักคน จำไว้...หากเราทำผิดพลาดนิดเดียว มีโอกาสถึงตายเชียวล่ะคุณ คุณจำไว้ คัดคนเข้าว่ายากแล้ว คัดคนออกยิ่งแสนยากหนักเข้าไปอีก
     
    เมื่อเป็นอย่างนี้ จะคัดคนออกแต่ละครั้ง คิดแล้วคิดอีกให้ดี ไล่ความหนักหนาสาหัสไปตามลำดับว่า ควรจะกรณีอย่างไหน เอาออกก่อน-หลัง
     
    ขั้นต้นเลย... ในการจะเอาคนออก ที่จะประจักษ์กับคนทั้งหลายว่า เขาไม่เหมาะสมที่จะอยู่ต่อไป แล้วคนอื่นก็สามารถเห็นได้ด้วย ตัวเขาก็ยอมรับด้วยว่า เขามันไม่ค่อยจะเข้าท่า
   
    บุคคลประเภทแรก
ที่พอจะคัดออกได้ง่ายหน่อย แล้วใครก็ติเราไม่ได้ คือ ผู้ที่เขาก็ไม่ค่อยจะมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน พูดง่ายๆ เช้าชามเย็นชาม พวกทำงานอย่างนี้ เช้าช้อนเย็นช้อน พวกอย่างนี้...ออกไปได้ก็ดี พรรคพวกก็อยากให้ออกอยู่แล้ว อย่างนี้อันตรายไม่เกิดกับเรา เอาออกไปเถอะ
     
    บุคคลประเภทที่สอง
คือ ผู้ที่ไม่รับผิดชอบต่อศีลธรรม กล่าว คือ เขาอาจจะรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน แต่ว่าศีลธรรมที่จะพึงมีกับหมู่คณะมันไม่ค่อยจะมี เช่น แอบไปกินเหล้าบ้าง หรือยืมเงินเพื่อนแล้วไม่คืนบ้าง อะไรทำนองนี้ คนพวกนี้เอาไว้ไม่ได้ จัดเป็นพวกไม่รับผิดชอบต่อศีลธรรม อย่าเอาไว้ หาทางคัดออกไปเถอะ เพราะฝึกก็ยาก
     
    บุคคลประเภทที่สาม
คือ ผู้ที่ไม่เคารพต่อกฎระเบียบ ฝีมือ อาจจะดี ความรับผิดชอบการงานใช้ได้ แต่ว่า...ทำงานอยู่กับหมู่กับคณะ แล้วมักไม่เคารพกฎระเบียบ มีกฎมีระเบียบขั้นตอนอย่างนั้น...อย่างนี้ เขาก็มักข้ามขั้นตอนอยู่บ่อยๆ ทำให้หมู่คณะกระทบกระทั่ง...ตรงนี้คัดออก แต่ต้องระวังนะ มีโอกาสเดือดร้อนได้ เพราะว่าคนส่วนมากในองค์กร อาจจะไม่ทราบในความไม่เหมาะไม่ควรในสิ่งเหล่านี้ ต้องระมัดระวังให้ดี คนประเภทนี้ควร “เชิญออก” หรือ “แนะนำให้ออก” ไม่ใช่ “ไล่ออก” ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเดือดร้อน
     
    บุคคลประเภทที่สี่
ประเภทนี้อันตรายแล้วเอาออกยากมากๆด้วย คือ ผู้ที่ชักนำ ไปชักชวน เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานไปในทางที่ผิด ตัวอย่าง เช่น ชักชวนกันไปยกพวกตีกันกับคนอื่น ชักชวนไปเที่ยวในที่ไม่ควรเที่ยว ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที ถ้ามีแววชักชวนในทางนี้บ่อยๆล่ะก็ คนประเภทนี้ ถ้าหาทางเชิญเขาออกมาได้แต่ต้นมือจะดี แต่ว่าขอเตือนไว้นะ...ยากมาก แล้ว ถ้าปล่อยเอาไว้ คนประเภทอย่างนี้จะชักชวนกันเดินขบวน ชักชวนสไตร์ท ทีแรกก็ไปเดินขบวนให้กับที่อื่น ไปๆมาๆ เดี๋ยวเถอะเดินขบวนในที่ของคุณเองนั่นแหละ บุคคลประเภทนี้เป็นบุคคลที่ต้องพึงระมัดระวัง เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ดูให้ดีตั้งแต่ต้น จะมาเสียหายตรงนี้
     
    ตรง นี้ฟ้องว่าอะไร...ฟ้องว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ค่อยจะรับผิดชอบทั้งตัวเอง และครอบครัวของเขาเท่าที่ควรจะเป็น คนที่รับผิดชอบต่อครอบครัวดีจริงแล้ว จะไม่ทำแน่นอน ในเรื่องของชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงร่วมงานในทางที่ผิด เขาจะไม่ทำ ถ้ามีอย่างนี้เมื่อไหร่ แสดงว่า คุณแย่มากเลย ไม่ได้เช็คถึงความรับผิดชอบในครอบครัวของเขาตั้งแต่ต้น
     
    บุคคลประเภทที่ห้า
ประเภทนี้ยิ่งยากต่อการที่จะคัดออก แต่จริงๆเอาไว้ไม่ได้ เป็นอย่างไร...ก็คือ ผู้ที่ใครๆก็เตือนไม่ได้ ถาม ว่า มีฝีมือดีหรือไม่...ดี แต่ถือตัวว่าเจ๋งมาก เพราะอย่างนั้นใครๆก็เตือนไม่ได้ เตือนก็โกรธ พวกนี้ถึงคราวจะต้องเอาออกก็ยาก...คุณแทบจะต้องกราบให้เขาออกเลย เตือนไว้ อย่าเอาออกด้วยวิธีการง่ายๆ ไม่งั้นอันตราย
     
    เพราะ ฉะนั้น ดีที่สุด คือ คุณต้องคัดคนให้สุดฝีมือ แล้วก็ทดลองงานให้นานพอสมควร แล้วหาวิธีค้นให้ได้ว่า เขาเป็นมนุษย์ที่ใครเตือนไม่ได้หรือไม่ หรือถ้ามีแววว่า ทีแรกค้นอย่างไรก็ไม่เจอ ต่อมามีแววว่าจะเตือนไม่ได้ ใครเตือนไม่ได้ เหลือแต่เราคนเดียวล่ะก็...ตรงนี้หาทางยักย้ายถ่ายเทให้ดี ให้ไปอยู่ในตำแหน่งหรือในงานที่พร้อมจะยุบล่ะก็...บางทีจะรอดตัว...ถ้าไม่ อย่างนั้นจะยาก
     
    บุคคลประเภทที่หก
ที่คุณจะต้องกำจัดออก คือ ผู้ที่ชอบก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น... คนพวกนี้ จะมีความสามารถในการที่จะรายงานเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของคนอื่นทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า “เออ...คนนี้เป็นหูเป็นตาเราดี” ที่ไหนได้ คนแบบนี้ชอบแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่น คุณเองก็ระวังเอาก็แล้วกัน ถ้าคุณไม่ระวังในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ต้น แล้วคุณต้องมาคัดออกตอนท้าย องค์กรของคุณจะป่วนหมดนะ แล้วคุณก็มีสิทธิ์ตายได้อีกด้วย
     
    คำถาม:หลวงพ่อครับ ถ้าเราจะเลื่อนตำแหน่งลูกน้อง ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน บุคคลผู้นั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างครับ
     

    ตอบ:คุณโยม...ถ้าพูดโดยหลักการ การจะเลือกใครขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน นั้นไม่ยาก...ลองฟังหลักการก่อน หลักการมีอยู่ 2ประการ คือ
     
    ประการแรก บุคคลนั้นต้อง ไม่ลำเอียง เพราะถึงเขาจะเก่งงานขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเขาลำเอียงเสียแล้ว เมื่อเขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าคน เดี๋ยวเขาก็ทำหน่วยงานนั้นพังหมด คนเก่งแต่ลำเอียง ฝีมือดี เก่งขนาดไหนก็ทำให้หน่วยงานพังซะจนได้ เพราะฉะนั้นอย่าเอาขึ้นไปเป็นหัวหน้า
     
    ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคน ที่ว่าไม่ลำเอียงเป็นอย่างไร...คือ ผู้ที่ไม่มีความลำเอียง ดังต่อไปนี้
     
    1.ลำเอียงเพราะรัก คือ ประเภทที่ชอบเล่นพวกเล่นพ้อง พูด ง่ายๆ เอาคนชอบเล่นพวกเล่นพ้องมาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน เดี๋ยวก็ทำงานพัง ดูเผินๆ คนพวกนี้มีมนุษยสัมพันธ์ แต่จริงๆไม่ใช่ ถ้าหันหน้าหน่วยงานเล่นพวกแล้ว งานก็จะพัง คือ จะมีคนประจบสอพลอ หรือคนคุณภาพไม่ถึง มาอยู่เต็มไปหมด แล้วคุณจะพัง
     
    2.ลำเอียงเพราะชัง คือ ประเภทที่ตัวเองฝีมือดี แต่ว่า...ถ้าได้โกรธใครล่ะก็...ผูกอาฆาตเลย ใครไม่ถูกใจ...จะจงเกลียดจงชัง ขังลืมเอาไว้ในใจ ใครทำให้ไม่ถูกใจสักหน่อย...คนคนนั้น ชาตินี้ทำอะไรก็ไม่ถูกตลอด อย่างนี้ก็ให้ไปเป็นหัวหน้าคนไม่ได้
     
    3.ลำเอียงเพราะกลัว คือ ประเภทที่กลัวเส้นก๋วยเตี๋ยว กลัวเส้นกวยจั๊บ พูดง่ายๆ คนพวกนี้ พอมีลูกน้องที่หัวแข็งสักหน่อย ไม่กล้าว่า ไม่กล้าเตือน ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าลำเอียงเพราะกลัว เราได้คนอย่างนี้ขึ้นมา หน่วยงานก็รวน
     
    4.ลำเอียงเพราะโง่ ตรงนี้ยากหน่อย การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะไม่ลำเอียงเพราะโง่นี่...ตรงนี้ยากนะลูกนะ...เพราะอะไร...เพราะทุกคนในโลกไม่ได้เป็นสัพพัญญู คือ รู้ไม่หมดทุกอย่าง โอกาสที่จะลำเอียงเพราะโง่จึงมีมาก
     

    สรุป การเลือกคนที่จะไม่ลำเอียง เพื่อมาขึ้นเป็นหัวหน้า หลักง่ายๆก็คือ
    1.ดูว่า เขาไม่เล่นพรรคเล่นพวก
    2.ดูว่า เขาไม่ใช่เป็นคนที่อาฆาตคน
    3.ดูว่า เขากล้าเตือนคน กล้าเตือนลูกน้อง
    4.ดูว่า เขาเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน รักการค้นคว้า รักความก้าวหน้า และใครก็สามารถจะเตือนเขาได้
     
    คนอย่างนี้ คือ เป็นคนที่มีแววว่าจะไม่ลำเอียง พร้อมที่จะเป็นหัวหน้า
     
    ประการที่สอง
บุคคลที่จะขึ้นเป็นหัวหน้างานได้ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่ คุณต้องระมัดระวังไว้ พวกที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีนั้น ส่วนมากฝีมืองาน หรือความทุ่มเทในงาน มักจะหย่อน ในขณะที่ผู้ที่ทุ่มเทกับงานอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มนุษยสัมพันธ์มักจะหย่อน พูดง่ายๆ ถ้าดีในเรื่องงานล่ะก็ มนุษยสัมพันธ์จะหย่อน ถ้ามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะก็ งานจะหย่อน ตรง นี้เราต้องชั่งใจให้ดี ถ้าชั่งใจไม่ดี เดี๋ยวมันพลาดไป แน่นอนเราอยากได้ทั้งมนุษยสัมพันธ์ก็ดี การทุ่มเทกับงานก็ดี ถ้าได้อย่างนี้มันก็วิเศษ แต่...มันไม่ง่ายหรอกนะ...อันนี้เตือนไว้ก่อน
     
    ดูความมีมนุษยสัมพันธ์ของเขาให้ดี คือ คุณจะเอาใครขึ้นมา คุณก็คงจะมองว่า เขามีความสามารถในงาน ถ้าไม่มีความสามารถในงาน คุณก็คงไม่คิดจะเอาเขาขึ้นไปเป็นหัวหน้า ตรง นี้อีกเหมือนกัน ระวังก็แล้วกัน ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น...มีความสามารถในงาน แต่มักจะขาดมนุษยสัมพันธ์ อีกพวกหนึ่ง มีความสามารถในมนุษยสัมพันธ์ แต่ว่างานมักจะหย่อน
     
    ตรงนี้คุณดูนะ...ในพวกมีความสามารถในงาน แต่มนุษยสัมพันธ์หย่อน คุณต้องเข้าไปประกบ แล้วค่อยๆสอนให้เขา ตั้งแต่...
     
    1.ให้เขารู้จักเป็นคนให้ทาน หรือว่าโอบอ้อมอารีต่อลูกน้อง
    2.ให้เขาพูดเพราะๆให้เป็น ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวกระทบกระทั่งกันตาย
    3.คอยสอนเขาว่า...อย่าหวงความรู้ อบรมลูกน้องให้เป็น
    4. ให้เขาเป็นคนประเภทที่เสมอต้นเสมอปลาย ได้ดีไม่เหลิง ไม่ยกตนข่มท่าน ตกต่ำทำผิดทำพลาดไม่ใช่เศร้าสร้อยหงอยเหงา คุณต้องไปประกบตรงนี้ให้ดี
     
    พุทธองค์ทรงให้หลักเอาไว้ คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีนั้น คือ
    1.มีทาน คือ รู้จักปัน
    2.มีปิยวาจา คือ พูดเพราะ พูดให้กำลังใจคนเป็น
    3.มีอัตถจริยา คือ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยให้ความรู้เป็นทาน
    4.มีความเสมอต้นเสมอปลาย ได้ดีก็ไม่ยโสโอหัง ไม่ใช่พอได้รับการ Promote ขึ้น ไปเป็นหัวหน้าเลยดูถูกคนทั้งแผนก คุณดูให้ดีว่า เขาเสมอต้นเสมอปลายได้ อย่างนี้ก็ถือว่าเขามีมนุษยสัมพันธ์ ถ้ายังมีไม่พอคุณก็เติมให้เต็ม
     
    ส่วนพวกที่มนุษยสัมพันธ์ดี แต่ว่างานหย่อน ก็ฝึกงาน เคี่ยวงานให้หนักหน่อย ก่อนจะไป Promote หรือถ้าจำเป็นต้อง Promote คุณก็ต้องประกบให้ดี ไม่อย่างนั้นงานของคุณจะแย่
     
    ก็มีหลักง่ายๆสองประการ ดังที่ได้กล่าวมานี้ ทั้งไม่ลำเอียง ทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ดี อย่างนี้งานของคุณจะเดิน เพราะเขาเหมาะจะเป็นหัวหน้างาน
 :) :)
 ::) ::)


หัวข้อ: Re: แด่เธอผู้ที่อยู่ในฐานะ"เจ้านาย"..หากต้องไล่คนออกมีหลักตัดสินใจอย่างไร(journe
เริ่มหัวข้อโดย: deepsnows ที่ 24 พฤศจิกายน 2008, 15:10:29
ขอบคุณครับที่หาบทความดีๆมาให้อ่าน :'(


หัวข้อ: Re: แด่เธอผู้ที่อยู่ในฐานะ"เจ้านาย"..หากต้องไล่คนออกมีหลักตัดสินใจอย่างไร(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: tinnoi ที่ 24 พฤศจิกายน 2008, 18:21:01
กระทู้นี้รวบรวมบทความดี ๆ ให้เราเยอะมาก ๆ เลยครับ


หัวข้อ: คนจนห้ามท้องเสีย (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 18 ธันวาคม 2008, 10:58:41
คนจนห้ามท้องเสีย


ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักท่านหนึ่งกินอาหารเป็นพิษ ท้องเสียอย่างหนักจนต้องผ่านสองราตรีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากอาการท้องเสียหายดีแล้ว อาการหัวใจวายก็กำเริบ เนื่องจากใบเสร็จค่ารักษาเป็นเงินสี่หมื่นกว่าบาท

ไม่น่าเชื่อว่าค่ารักษาอาการท้องเสียใน พ.ศ. นี้จะสูงได้สาหัสสากรรจ์เช่นนี้!

ประหลาดใจหรือ? ไม่เชิง! ผมเคยเป็นไข้หวัดธรรมดา แวะโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนานครึ่งชั่วโมง เสียค่ารักษาหวัดห้าพันกว่าบาท หมอบอกว่าราคายาปฏิชีวนะหลายพันบาทเพราะเป็นของนอก มียี่ห้อ

อืม! แม้แต่เชื้อโรคก็นิยมตายด้วยสินค้าแบรนด์เนม!

นโยบายการทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในโลก ที่เรียกโก้ๆ ว่า เมดิคัล หับ (Medical Hub) กำลังหับกินชาวบ้านทั้งเป็น ทำให้หลายคนไม่กล้าหาหมอทั้งที่หายใจพะงาบๆ จวนตาย เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่ารักษาแพงๆ ซึ่งเป็นราคาสำหรับชาวต่างชาติ นี่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า '30 บาทรักษาทุกโรค' เป็นนโยบายที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลก

ทุกๆ วัน โรงพยาบาลรัฐจึงคลาคล่ำไปด้วยคนไข้ แน่นขนัดราวมีงานวัด หรือห้างสรรพสินค้าที่จัดรายการเซลส์ลดกระหน่ำ 80% ผู้ที่ถือปรัชญา 'เสียเงินดีกว่าเสียเวลา' จึงต้องกัดฟันจ่ายค่ารักษาสูงๆ ที่โรงพยาบาลเอกชน แล้วรีบกลับไปทำงานหาเงินมาจ่ายค่ารักษา และภาวนาว่าจะไม่ป่วยอีก

สรุปสั้นๆ คือ ห้ามท้องเสียโดยไม่ได้รับอนุญาต

ความฝันสูงสุดของหลายคนคืออยากให้โรงพยาบาลทุกแห่งติดป้ายราคาค่ารักษาเหมือนร้านอาหารที่ปากซอย เช่น

เป็นหวัด 650 บาท
ไอ 270 บาท
เจ็บคอ 150 บาท
เจ็บหัวแม่ตีน 220 บาท
เบื่อรัฐบาล 10,000 บาท
แพ้หน้านายกฯ 20,000 บาท
ฯลฯ

ไม่เฉพาะแต่วงการแพทย์ที่ตกอยู่ในวงโคจรของ 'กำไรสูงสุด' วงการอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้

สมัยผมยังเป็นเด็ก หาดใหญ่บ้านเกิดของผมเริ่มกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียขึ้นรถบัสคันใหญ่มาเที่ยวราตรีที่หาดใหญ่ทุกวัน ค่าอาหารการกินในเมืองสูงพรวดขึ้นตามกลไกอุปสงค์อุปทานธรรมดา

จะโทษพ่อค้าแม่ค้าก็ไม่ได้ เพราะใครๆ ก็อยากขายสินค้าได้กำไรมากๆ ในเมื่อขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวได้เงินมากกว่า ทำไมจะโง่ไม่ทำ

เมืองสวยงามหลายแห่งกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่อาจไม่ใช่สวรรค์ของคนพื้นเมือง

นโยบายเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวเป็นดาบสองคม มันนำเงินตราเข้าประเทศปีละมากๆ ก็จริง แต่ก็ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นเร็วกว่าเดิม นอกเหนือไปจากผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น คนขับแท็กซี่แถวบ้านผมไม่ยอมรับผู้โดยสารคนไทย แต่จับฝรั่งแทน ชาวประมงจำนวนมากเลิกจับปลา หันไปรับนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมเกาะแก่ง งานง่าย เงินดี นานวันระบบเศรษฐกิจที่ตั้งบนฐานของหลากหลายอาชีพก็รวน เช่นเดียวกับผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพคน ยกตัวอย่างเช่น เซ็กส์ทัวร์ทำเงินเข้าประเทศมากก็จริง แต่ก็ลดการใช้คนอย่างเต็มศักยภาพ นั่นคือแทนที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพและทักษะในการผลิตสินค้า ก็กลับต้องมาฝึกฝนการให้บริการทางเพศ เมื่อสรีระเสื่อมลง ก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น กลายเป็นภาระของสังคมอีก บวกลบคูณหารแล้ว ก็อาจเข้าข่าย 'ได้ระยะสั้น เสียระยะยาว'

บางครั้งเราก็ลืมไปว่า รากฐานของสังคมไทยคือเกษตรกรรม และเป็นจุดเด่นของเราที่อีกหลายๆ ชาติไม่มี

ทว่ามุมมองของผู้กำหนดทิศทางของประเทศมักจำกัดอยู่ที่วงแคบๆ ของตัวเลขและเม็ดเงินมากกว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนเจ้าของประเทศ

กี่ปีๆ นโยบายแทบทั้งหมดของเราตั้งบนคำว่า 'เม็ดเงิน' เศรษฐกิจของเราปีนี้โต x เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าปีก่อน xx เปอร์เซ็นต์ เงินเข้าประเทศปีนี้ xxx หมื่นล้าน ฯลฯ ฟังดูดี และแสดงว่ารัฐบาลทำงานสำเร็จบรรลุเป้าหมายสวยงาม

สื่อลงข่าวราคาหุ้นทุกวัน แต่ไม่เสนออีกด้านหนึ่งของสังคมเงินตรา ไม่มีสื่อใดที่ลงข่าวว่าปีนี้คนไทยมีความสุขกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่มีนโยบายรัฐบาลใดที่ตั้งเป้าว่าประชาราษฎร์จะมีความสุขเพิ่มขึ้นกี่ เปอร์เซ็นต์

นักการเมืองชอบสัญญาชาวบ้านว่า "เลือกข้าพเจ้าแล้ว ท่านจะอยู่ดีกินดี" ไม่เคยมีใครสัญญาว่า "เลือกข้าพเจ้าแล้ว ท่านจะมีความสุขกว่าเดิม" เพราะสังคมถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่า 'มีเงินก็คือมีความสุข'

นี่อาจเป็นการมองด้านเดียว เพราะ 'รายได้สูง' ไม่ได้แปลว่า 'คุณภาพชีวิตสูง' เสมอไป



หน่วยย่อยของสังคมแต่ละหน่วยเกี่ยวพันกันหมด ทั้งชีวิตต่อชีวิต และชีวิตต่อสังคม ถ้าเกี่ยวพันอย่างเหมาะสม ประโยชน์สุขก็ตกอยู่กับคนทั้งประเทศ

ชีวิตต่อชีวิตคือความอาทรต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่เอาแต่ได้ ไม่กำไรเกินควร

ชีวิตต่อสังคมคือการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม

นี่ก็คือคุณภาพชีวิตที่ดี

การวิ่งตามหลังเงินตราอย่างเดียวจนลืมทุกอย่างมีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย เพราะเมื่อใช้เงินตราเป็นโจทย์ หาเท่าไรก็ไม่พอ

เราอยู่บนแผ่นดินทองที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง หากเราไม่โลภ ไม่เกลียดกัน เราจะเป็นประเทศที่ผู้คนมีความสุขที่สุดในโลกได้ไม่ยาก

อาจเป็นโลกที่ไม่รวยแบบ 'โคตรโคตร' แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาท้องเสียครั้งละสี่หมื่นบาทแน่ๆ


บทความโดย...วินทร์ เลียววาริณ


หัวข้อ: คาด(ไม่ได้ดัง)หวัง ^_^(journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 18 ธันวาคม 2008, 11:08:11
คาด(ไม่ได้ดัง)หวัง

ความคาดหวัง เป็นเรื่องของการคิดถึงว่าอนาคตจะออกมาเป็นเช่นไร หลายครั้งเราคิดมาก
เป็นห่วงมากถึงอนาคตและส่วนใหญ่เป็นการคิดในทางลบ!!


ถ้าจะคิดหรือคาดหวัง ขอให้เป็นการคาดหวังแบบบวก แน่ละมันอาจจะไม่เป็นดังใจหวัง!!
แต่อย่างน้อย ขณะที่เรากำลังคิดถึงมันอยู่ ณเวลานี้ ถ้าคิดเรื่องดีๆ มันก็ช่วยให้เรามีความสุขได้...


ความทุกข์ของเรา มาจาก” ความผิดหวัง” ที่เกิดมาจาก “ ความคาดหวัง ที่ไม่สามารถเป็นจริงได้( unrealistic)”
ชีวิตให้เราไม่ได้ เราคาดหวังให้สามีเราเป็นสามีที่พิเศษกว่าสามีคนอื่น เราคาดหวังให้ลูกของเราเป็นเด็กที่พิเศษ กว่าเด็กอื่น
เราคาดหวังว่าชีวิตเราต้องดีกว่าคนอื่น!!!


เรากดดันคนรอบข้าง ด้วยคำว่า “ควรจะ” (should) “ลูกควรจะขยันมากกว่านี้นะ” “คุณควรจะกลับบ้านเร็วกว่านี้ ”
“ฉันควรจำต้องทำได้ดีกว่านี้”ฯลฯ ความคาดหวัง กลายเป็นกดดัน ยิ่งผลักดัน นอกจากเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
ยังเป็นการเพิ่มความทุกข์ ให้ทั้งเขาและเรา



พุทธองค์ ตรัสว่า “สิ่งที่เราคาดหวังให้เป็น มันมักจะเป็นตรงกันข้าม ” ท่านจึงบอกว่า แทนที่เราจะคาดหวัง( expect)
แต่ให้เรา มองลึกวิเคราะห์ ( inspect) ลงในปัญหา และดูว่าจริงๆ แล้วคนของเรา
เป็นแบบไหน และเรามีอะไรอยู่ในมือของเราบ้าง


ลูกเราชอบศิลปะ แต่เราให้เขาเป็นหมอ สามีเราก็เหมือนกับผู้ชายทั่วๆไป
แต่เราหวังให้เขาเป็นสามีสมบูรณ์แบบ ถ้าได้ วิเคราะห์ อย่างลึกซึ้ง( inspect ) เราจะนึกได้ว่า
แทนที่เราจะ คาดหวัง(expect) เราควรจะเปลี่ยนมาเป็น นับถือ (respect) ยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา ในแบบที่เขาเป็น!!!


เมื่อไรที่คิดได้แบบนี้ ชีวิตเราจะทุกข์น้อยลง !! เพราะว่าเราอยู่กับความจริงของโลกและชีวิต
ชีวิตที่แท้จริงก็คือ “ ไม่เป็นดั่งใจ “
พุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เราคาดหวังได้ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย!! เราจะต้องเจอแน่นอน!!!นอกนั้นไม่แน่!!


ยอมรับในสิ่งที่เรามี เราเป็น คือหัวใจของการมีความสุขในชีวิต..ไม่ใช่การที่มี ลูก ,สามี,
ตัวเอง, เจ้านาย , ญาติพี่น้อง ฯลฯที่”สมบูรณ์แบบ” ต่อให้เราใช้เวลาทั้งชีวิต เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้แม้แต่ตัวเราเอง !!


เพราะทุกคนเกิดมา ล้วนมีต้นทุน และ “กรรมเก่า” ติดตัวมา เราไม่ได้เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์
และทุกคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน มองดูซิ !! ทำไมบางคนเกิดมาเป็นอัจฉริยะ!!
บางคนปัญญาอ่อน!! บางคนรวยล้นฟ้า!! บางคนยากจนเข็ญใจ....


บางคนเกิดมา 5ขวบแต่งเพลงได้แล้ว!! คงไม่ใช่สิ่งที่เด็ก5ขวบ จะเรียนรู้วิธีแต่งเพลงได้ภายใน5ปีแรกของชีวิตหรอกนะ
แต่มันคือ” ความสามารถเก่าที่ติดตัวเขามาต่างหาก!!”


ขอให้เรามีความรักต่อกัน ไม่คาดหวัง(เกินไป) และยอมรับในแบบที่เขาเป็น ในศักยภาพที่เขามี .. และไม่ว่า อนาคต
สิ่งที่เราคาดหวังจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะยินดีกับมันเสมอ...เพราะนี้แหละชีวิตของการเกิดเป็นคน...
”ไม่ต้องดีที่ สุด” แต่”ขอแค่เป็นสุข”ก็พอแล้ว


แปลบางตอนจากเรื่อง no expectation ทาง hxxp://www.bswa.org.com
โดย....ย่าชอบเล่า


หัวข้อ: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 มกราคม 2009, 23:00:31
วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

         รู้ ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า ''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด'' คนเราไม่ควรพร่าเวลา อันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ  ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ  กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร  หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า  ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
   
         คนทุกคนนั้น ต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง  ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา   จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่าง ไร้ค่า บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น   เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก  เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว  มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง  ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า วิธีที่แนะนำ ทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง'' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน'' แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด   สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
   
       วิธีที่ดีที่ สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่กับเราทุกขณะ หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์ ปราชญ์จีนบอกว่า    ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง'' ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

     
ที่มา :  +http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16259


หัวข้อ: Re: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Himalayan ที่ 12 มกราคม 2009, 23:11:19
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ ทำให้นึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า "เปลี่ยนคนอื่นเปลี่ยนยาก เปลี่ยนตัวเราเองดีกว่า" แต่ก็ทำยากเหมือนกัน กว่าจะมาคิดได้อย่างนี้ก็เมื่อสติเกิด แต่ตอนยังไม่เกิดนี้ซิดับไม่ได้เพราะไม่รู้ตัวเลย.. มัวแต่ป้องกันอัตตาของตน จนลืมหลักสำคัญไปเลย คงต้องฝึกฝนกันอีกนานเลย... :-X


หัวข้อ: Re: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Finish ที่ 13 มกราคม 2009, 00:00:40
ขอบคุรธรรมะดีๆ :-*


หัวข้อ: Re: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: บอท! ที่ 13 มกราคม 2009, 00:56:46
วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด มีวิธีง่าย ๆ คือไม่ต้องอยู่กับคนที่เกลียด
เปลี่ยนความเกลียดเป็นความเห็นใจ ความเข้าใจดีกว่าไหม

ผมใช้คำนี้เสมอ
เพียงเราเข้าใจในธรรมชาติ

ธรรมชาติของ...

อย่างอันดับในgoogle ก็เป็น ธรรมชาติของgoogle

เพียงเราเข้าใจในธรรมชาติของgoogle  :o


หัวข้อ: Re: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยแว๊น ที่ 13 มกราคม 2009, 02:32:11
มี่อยู่ได้ เพราะมี่ไม่เกลียดใคร เย้ เย

ส่วนใครจะเกลียดมี่ นั่นเรื่องของเค้า ไม่เกี่ยวกับมี่

ถ้าเกลียดมี่จนทนไม่ได้ก็ปล่อยให้ชักแหงกๆๆ ตายไปเลย อิอิ


หัวข้อ: Re: วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Nicky ที่ 13 มกราคม 2009, 02:47:28
เป็นวิธีคิดที่ดีนะ  ;)


หัวข้อ: โอวาทวันมงคลสมรส พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 14 มกราคม 2009, 17:09:29
โอวาทวันมงคลสมรส
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ธรรมกถา  แสดงเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๖


          วันนี้ เป็นวันมงคลสมรสของคุณโสภณ  และคุณวิมลวรรณ   คุณพ่อคุณแม่  ท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ   และท่านผู้ปรารถนาดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันจัดพิธีนี้ขึ้น   ทั้งนี้ก็โดยหวังให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของคู่บ่าวสาวทั้งสอง


เริ่มต้นดี  มงคลก็เกิดขึ้นทันที

          ประการ แรกก็ได้ให้ท่านทั้งสองมาอยู่ใกล้ชิดพระรัตนตรัยซึ่งในพิธีนี้ได้มีพระพุทธ รูปเป็นตัวแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   และพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์   ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้ากล่าวคือพระธรรม   และองค์พระภิกษุซึ่งมาเจริญพระพุทธมนต์ในที่นี้ก็เป็นตัวแทนของพระสงฆ์   นับว่ามีตัวแทนพระรัตนตรัยมาพร้อมมูลในที่นี้

          พระรัตนตรัย นั้นเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชน   แม้ในพิธีอันสำคัญนี้เราก็มาอยู่กันในที่พร้อมหน้าของพระรัตนตรัยเพื่อเป็น เครื่องบำรุงน้ำใจให้มีจิตใจผ่องใส   เป็นการยกระดับจิตใจไว้ในที่สูง   จึงให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเป็นนิมิตที่ดี   คือให้เป็นการเริ่มต้นที่ดีงาม   ในเวลาเดียวกันนั้นก็เป็นการให้ความสำคัญแก่เหตุการณ์ในชีวิตของบุคคลทั้ง สอง   แต่ที่เป็นพื้นฐานสำคัญก็คือความรัก  ความปรารถนาดี  ความมีเมตตาธรรมของท่านผู้ใหญ่และญาติมิตรทั้งหลายนั้น   ซึ่งช่วยบันดาลให้จัดพิธีนี้ขึ้น   และมาร่วมในพิธีนี้เพื่ออวยชัยให้พร

          ประการ สำคัญในอันดับต่อไปที่จะให้เกิดความเป็นสิริมงคลพร้อมกันก็คือ   ทางฝ่ายของคู่บ่าวสาวนั้นเองที่จะเปิดใจรับเอาความเป็นสิริมงคลและความ ปรารถนาดีของท่านผู้ใหญ่ที่นับถือ

          ถ้าหากได้พร้อมกันทุก ฝ่ายอย่างนี้  คือ  มีพระรัตนตรัยเป็นประธาน  มีความรักความปรารถนาดีและเมตตาธรรมของผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานนี้  และมีความพร้อมใจ  การเปิดใจรับ  ความผ่องใสในกายและใจของคู่บ่าวสาวแล้ว   ก็จะเป็นสิริมงคลโดยสมบูรณ์เพราะความเป็นสิริมงคลนี้ต้องเริ่มต้นที่จิตใจ ก่อน   จิตใจที่เบิกบานผ่องใสนั้นเองจะแสดงออกมาในชีวิตและกิจการงาน   ในเมื่อโอกาสนี้เป็นโอกาสของความเป็นสิริมงคล   อาตมาก็จะขอกล่าวเรื่องมงคลสักเล็กน้อย  เพื่อเสริมความเป็นมงคลนี้ให้ยิ่งขึ้นไป


มงคลแท้ไม่จบแค่พิธี

          ถ้า กล่าวตามหลักพระศาสนาแล้วพูดได้ว่า   มงคลนั้นจัดเป็น ๒ อย่าง  อย่างแรกเรียกว่า  พิธีมงคล  หรือมงคลพิธี  ได้แก่  การจัดเตรียมพิธีการต่าง ๆ   ดังที่ปรากฏขึ้นที่นี้เรียกว่า  พิธีมงคลส่วนอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า  ธรรมมงคล  มงคลคือธรรม  หรือตัวธรรมนั่นเองทำให้เกิดสิริมงคล

          อย่างแรกคือ  พิธีมงคล  มีความหมายว่า  ในเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง   เราก็จัดเป็นพิธีขึ้น   นอกจากจะให้ความสำคัญแก่เหตุการณ์นั้นแล้ว   ก็เป็นโอกาสให้คนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดทั้งหลายจะได้มาร่วมกัน  พร้อมกัน  มีความสามัคคีในพิธีนั้น   และจะได้อวยชัยให้พรตลอดจนมีความสนุกสนานรื่นเริงต่างๆ อีกทั้งจะได้เป็นที่ระลึกในกาลสืบไปภายหน้า   เมื่อวันเวลาได้ล่วงไปแล้ววันหลังย้อนมาหวนรำลึกถึงจะได้เป็นเครื่องเตือนใจ ที่ดีงาม   ทั้งในด้านที่เป็นความคิดและด้านที่เป็นความสัมพันธ์ต่อกัน   ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจของบุคคล   ดังนั้น  มงคลพิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง

          แต่ว่ามงคลพิธี อย่างเดียวยังไม่พอ   ความเป็นสิริมงคลจะพร้อมสมบูรณ์ต่อเมื่อมีมงคลที่สองด้วย  คือธรรมมงคล   มงคลคือธรรมะ  ธรรมะคืออะไร  ธรรมะคือความจริง  ความถูกต้องดีงาม   ความดีงามที่มีในบัดนี้อย่างที่กล่าวแล้วก็คือ   ความมีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล  และนึกถึงสิ่งที่ดีงาม  ทำจิตใจของเราให้ผ่องใส   พร้อมทั้งความมีเมตตาธรรมของท่านที่มาร่วมพิธี   ดังนั้น  ในเวลาใดความดีงามมีอยู่พร้อมในจิตใจของแต่ละคนแล้ว   ก็เกิดเป็นธรรมมงคลขึ้นเสริมให้มงคลพิธีเป็นพิธีที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง

เป็นมงคลตลอดชีวิต
เมื่อครองเรือนด้วยหลักธรรม ๔

          อย่าง ไรก็ตาม  ควรจะได้กล่าวถึงธรรมที่เหมาะเฉพาะในโอกาสแห่งพิธีนั้น ๆ ไว้ด้วย   เพราะธรรมคือคุณธรรมความดีงามเหล่านี้เป็นธรรมมงคลคู่ชีวิต   ที่มีไว้สำหรับประพฤติปฏิบัติกันตลอดเรื่อยไปและทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล ระยะยาวตลอดชีวิต   เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจะได้กล่าวถึงธรรมะที่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าบาง ประการ   ซึ่งจะนำให้เกิดคุณงามความดีนั้น ๆ ให้เหมาะสมกับโอกาสนี้   จะของแสดงเป็นหมวดหมู่

          ธรรมะหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เหมาะสมกับโอกาสพิธีนี้  คือ  ฆราวาสธรรม ๔ ประการ   ฆราวาสธรรมแปลว่า  ธรรมสำหรับการครองเรือน   มีอยู่ ๔ ข้อด้วยกัน  คือ  หนึ่ง  สัจจะ  แปลว่าความจริง   สอง  ทมะ  แปลว่า  การฝึกฝนปรับปรุงตน   สาม  ขันติ  ความอดทน   สี่  จาคะ  ความเสียสละ  ความเอื้อเฟื้อ  ความมีน้ำใจ   จะขอกล่าวถึงธรรม ๔ ประการนี้โดยสังเขป

          สัจจะ

          ประการ ที่ ๑ สัจจะ  ความจริง  อาจแบ่งแยกได้ ๓ ด้าน   ความจริงขั้นที่หนึ่ง  คือ  ความจริงใจ  ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด   และเป็นรากฐานที่มั่นคงของความสัมพันธ์ที่ดีงาม   ความจริงใจแสดงออกเป็นความซื่อสัตย์ต่อกัน   จากนั้นก็จริงวาจา  คือพูดจริง   ขั้นที่ ๓  จริงการกระทำ  คือการทำจริงตามที่ใจคิดไว้  ตามที่วาจาพูดไว้   ตลอดจนกระทั่งว่าการดำเนินชีวิต  ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ก็ตั้งใจทำจริงดังที่ตั้งความมุ่งมาดปรารถนาไว้   แต่ทั้งหมดนี้ก็มีความจริงใจนั่นเองเป็นรากฐาน   ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงยั่งยืน

          ทมะ
          ประการที่ ๒   ทมะ  แปลว่า  การฝึกฝนปรับปรุงตน  ทมะนี้เป็นข้อสำคัญในการที่จะให้เกิดความเจริญก้าวหน้า

          ประการ แรกที่สุดที่จะเห็นได้ง่ายในความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็คือ   บุคคลที่มาอยู่ร่วมสัมพันธ์กันนั้น   ย่อมมีพื้นเพต่าง ๆ กัน  มีอุปนิสัยใจคอและสั่งสมประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน   แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้วก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเข้าหากัน

          ใน เมื่อมีพื้นเพต่างกันสั่งสมมาคนละอย่าง   ก็อาจมีการแสดงออกที่ขัดแย้งกัน  หรือไม่สอดคล้องกันได้บ้าง   การที่จะทำให้เกิดความราบรื่นเป็นไปด้วยดี   ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเข้าหากัน   รู้จักที่จะข่มใจไว้  แล้วรู้จักที่จะสังเกต   ใช้สติปัญญาพิจารณาสิ่งที่ผิดแปลกไปจากความคิดนึกตามความหวังความปรารถนาของ ตน   เมื่อไม่วู่วาม  ข่มใจไว้ก่อน  และใช้สติปัญญาพิจารณา  ก็หาทางที่จะปรับตัวเข้าหากันด้วยวิธีที่เป็นความสงบ   และเป็นทางที่จะรักษาน้ำใจกันไว้ได้   มีความปรองดองสามัคคี  อันนี้ก็เป็นการปรับตัวอย่างหนึ่ง

          นอกจากนั้น  ในการอยู่ร่วมกับบุคคลภายนอกหรือในกิจการงานและสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย   เราก็ต้องรู้จักปรับตัวเข้ากับบุคคล  การงาน  และสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น  และรู้จักปรับปรุงฝึกฝนตัวให้ดียิ่งขึ้น   ด้วยการขวนขวายหาความรู้ให้เท่าทันสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ  เป็นต้น  ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้าได้

          ทมะนี้ต้องมีปัญญาเป็นแกนนำสำคัญ  เพราะต้องรู้จักคิดพิจารณา   และมีความรู้ความเข้าใจ  จึงจะปรับตัวและฝึกฝนปรับปรุงตนได้

          ขันติ

          ประการที่ ๓  คือ  ขันติ  ความอดทน  ความอดทนเป็นเรื่องของพลัง  ความเข้มแข็ง  ความทนทาน

          คน เมื่ออยู่ร่วมกัน  ท่านว่าเหมือนลิ้นกับฟัน   ย่อมมีโอกาสที่จะกระทบกระทั่งกัน  จึงต้องมีความหนักแน่น  ความเข้มแข็งในใจที่จะอดทนไว้ก่อน  เรียกว่า  อดทนต่อสิ่งกระทบใจ   นอกจากนั้นก็อดทนต่อความเจ็บปวดเมื่อยล้าทางกาย  และอดทนต่อความลำบากตรากตรำในการทำการงาน  เป็นต้น  ซึ่งจะทำให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคลุล่วงไปได้

          ถ้าหากว่า บุคคลสองคนหรือหลายคนมาอยู่ร่วมกันแล้วเอาความเข้มแข็งที่มีอยู่ของแต่ละคน มารวมกันเข้า   ก็จะเพิ่มกำลังความเข้มแข็งให้มากขึ้น   จะสามารถร่วมฝ่าฟันอุปสรรคและเพียรสร้างสรรค์รุดหน้าไปสู่ความสำเร็จ   อันนี้เป็นเรื่องของขันติ  ความอดทนที่จะช่วยเสริมให้มีความก้าวหน้า  เจริญมั่นคง  และพรั่งพร้อมด้วยความสำเร็จ

          จาคะ

          ประการ ที่ ๔  จาคะ  แปลว่า  ความเสียสละ  เริ่มแต่ความมีน้ำใจ  คือความพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวให้แก่ผู้อื่น   โดยเฉพาะผู้อยู่ร่วมกันก็จะต้องมีความเสียสละต่อกัน  เช่น  เวลาฝ่ายหนึ่งไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วย   อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเสียสละความสุขของตนเองเพื่อช่วยรักษาพยาบาล   อย่างน้อยก็มีน้ำใจที่จะระลึกถึงเมื่อจะทำอะไรก็ตามก็คำนึงถึงความสุขของอีก ฝ่ายหนึ่ง   อย่างนี้ก็เรียกว่ามีจาคะ

          จาคะก็พึงเผื่อแผ่ ไปยังญาติมิตร  บิดามารดา  หรือผู้อยู่ใกล้ชิด   ตลอดจนกระทั่งถึงเพื่อนมนุษย์โดยทั่วไป   ถ้าหากว่ามีกำลังพอ  ก็สละทรัพย์สินสิ่งที่ตนมีอยู่นี้ในการอนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้อื่น

          จาคะนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกัน   และของคนทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ไว้ได้

          นี่ คือหลักธรรม ๔ ประการ  ซึ่งมีความสำคัญในการครองเรือนโดยสรุปก็คือ  สัจจะ  ความจริง  เป็นรากฐานให้เกิดความมั่นคงยั่งยืน   ประการที่ ๒  ทมะ  การฝึกฝนปรับปรุงตน  เป็นเครื่องนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและการงาน   ประการที่ ๓  ขันติ  ความอดทน   เป็นเครื่องช่วยให้ความเจริญก้าวหน้านั้นเป็นไปได้สำเร็จเพราะมีความเข้ม แข็ง  มีพลังที่จะช่วยเสริม   และประการที่ ๔  จาคะ  ความเสียสละ  มีน้ำใจ  เป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยงมนุษย์ช่วยให้เกิดความชุ่มฉ่ำสดชื่น

บำรุงต้นไม้แห่งชีวิตสมรสให้แข็งแรงงอกงาม

          ธรรมะ ๔ ประการนี้เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในชีวิต   เหมือนกับต้นไม้จะเจริญงอกงามต้องมีรากฐานที่มั่นคง   คือสัจจะ  มีความเจริญเติบโต  คือทมะ   มีความแข็งแรงของกิ่งก้านสาขาตลอดจนลำต้น  นั่นคือขันติ   ซึ่งจะทนต่อดินฟ้าอากาศ  ทนต่อสัตว์ทั้งหลายที่จะมาเบียดเบียน   และมีเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยง  เช่น  น้ำและอากาศ  เป็นต้น   ซึ่งช่วยให้เกิดความชุ่มชื้นสดชื่น  กล่าวคือ  จาคะ  ความมีน้ำใจ

          เมื่อต้นไม้นั้นมีทุนในตัว  เช่น  มีน้ำมีอาหารหล่อเลี้ยงดี  มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไป   ต้นไม้นั้นเองก็กลับให้ความร่มเย็นแก่พื้นดินและแก่พืชสัตว์ที่มาอาศัยร่ม เงา   ตลอดจนช่วยรักษาน้ำในพื้นดินนี้ไว้ด้วย   เช่นเดียวกับคนเรานั้นเมื่อได้สร้างเนื้อสร้างตัวโดยกำลังและเครื่องหล่อ เลี้ยงขึ้นแล้ว   ก็ไม่ได้มีกำลังแต่เพียงตัวเองเท่านั้น   แต่กลับเอากำลังและสิ่งที่บำรุงเลี้ยงนั้นออกมาช่วยเหลือส่งเสริมผู้อื่นและ สิ่งนี้ก็กลับมาเป็นผลดีแก่ตัวเอง   ด้วยอำนาจของจาคะนั้น

          ธรรมะ ๔ ประการนี้แหละจะเป็นเครื่องทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ   พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้   สำหรับคฤหัสถ์  คือผู้ครองเรือนทั่วไปให้ดำเนินชีวิตตามหลักธรรม ๔ ประการนี้  จึงเรียกว่า  ฆราวาสธรรม   เมื่อดำเนินชีวิตได้ดังนี้ก็นับว่าได้ประสบสิริมงคลอย่างแท้จริง   ธรรมะดังกล่าวมานี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นธรรมมงคล   เพราะเป็นหลักความดีงามที่จะทำให้เกิดความสุขความเจริญก้าวหน้า

          ใน โอกาสนี้   ญาติมิตร  ท่านผู้ใหญ่  มีคุณพ่อคุณแม่เป็นต้น   ตลอดจนท่านผู้หวังดีที่เคารพนับถือทั้งหลาย  ได้มาประชุมพร้อมกันในที่นี้  ต่างก็ตั้งใจมาเป็นอันเดียวกันคือ  มาให้ความสำคัญแก่เหตุการณ์ในชีวิตของบุคคลทั้งสอง   ตั้งใจมาอวยชัยให้พรเพื่อความสุขความเจริญแก่ทั้งสอง   ฉะนั้น  ก็ขอจงได้ทำจิตใจของตนให้เบิกบานแจ่มใส   เปิดใจออกรับความรักความปรารถนาดีเหล่านี้เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งในบัด นี้   และตั้งใจที่จะนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นหลักในการ ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดเป็นธรรมมงคลในระยะยาวอันยั่งยืนต่อไป

          ใน โอกาสนี้  พระสงฆ์จะได้เจริญชัยมงคลคาถา   และบัดนี้ทุกคนก็อยู่ในที่พร้อมหน้าพระรัตนตรัย  คือ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  จึงขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยอวยชัยให้พร   คุณโสภณและคุณวิมลวรรณ   จงประสบจตุรพิธพรชัย  พรั่งพร้อมด้วยอายุ  วรรณะ  สุขะ  พละ  พร้อมทั้งปฏิภาณ  ธนสารสมบัติทุกประการ  จงมีความเจริญก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตและในการประกอบกิจการงาน   ได้สำเร็จสัมฤทธิผลในสิ่งที่อันพึงปรารถนาโดยชอบธรรมและดลให้เกิดความเป็น สิริมงคลในทางธรรม   อันเป็นมงคลที่ตั้งอยู่ในตนเอง   และอำนวยผลแก่ญาติมิตรตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องโดยทั่วไป  ตลอดกาลนานเทอญ

จากหนังสือ  “รักนั้นดีแน่  แต่รักแท้ดีกว่า”  หน้า 133 – 143


หัวข้อ: เห็นพระทําผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาปแต่ได้บุญ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 29 มกราคม 2009, 17:47:53
เห็นพระทําผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาปแต่ได้บุญ

เป็นบทสนทนา....ถาม-ตอบ ระหว่างผู้เห็น(คือตัวเรา)กับพระสงฆ์


ทุก วันนี้มีเสียงบ่นกันมากเกี่ยวกับปัญหาเรื่องพระประพฤติผิดพระธรรมวินัย เสียงโพนทนาว่ากล่าวเหล่านี้เราสามารถได้ยินทั่วไปทุกหนแห่ง แม้แต่ในกระดานข่าวอินเทอร์เน็ต ก็มีกระทู้บ่นถึงพระประพฤติผิดพระธรรมวินัยให้เห็นอยู่เป็นประจำ อาทิเช่น ปัญหาพระชอบเข้าไปในสถานที่ไม่เหมาะสม (เช่นห้างพันธ์ทิพย์) พระใช้อินเทอร์เน็ตไปในทางที่ไม่สมควร เป็นต้น

มีบางท่านได้เกิดความ สงสัยว่า การที่เราพบเห็นพระประพฤติผิดพระธรรมวินัยแล้ว เราคิดไม่พอใจ หรือ ขุ่นเคืองใจในตัวพระผู้ประพฤติผิดนั้น มันจะเป็นบาปหรือไม่ บางท่านก็ถามว่าเราจะควรโกรธเกลียดพระที่หลอกลวงประชาชน หรือที่เข้ามาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหรือไม่ เป็นต้น

เครือข่ายชาว พุทธฯ เห็นว่าปัญหานี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อย สมควรที่จะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิธีปฏิบัติต่อพระที่ทำผิดพระธรรมวินัย มานำเสนอ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธทั่วไป

ในการนี้เราได้เขียน เป็นบทสนทนา ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง และ ชวนให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิดให้มากขึ้น อันเป็นกระบวนการเรียนรู้ตามหลักพุทธศาสนา ขอเชิญท่านติดตามได้ ณ บัดนี้

ถาม : ถามจริง ๆ นะ เวลาเราเจอพระทำไม่ดี แล้วเราคิดรังเกียจ สะอิดสะเอียนเนี่ย มันจะบาปมั๊ย?


ตอบ : บาปหรือไม่บาปให้ดูตรงไปที่ ใจของเรา คือให้ดูว่าจิตใจของเรามันขุ่นมัว หรือไม่สบายใจหรือเปล่า คือ ถ้าเราเห็นพระปฏิบัติไม่ดีแล้ว จิตใจของเราหดหู่ขุ่นมัว หรือ ร้อนรุ่ม ก็แสดงว่าในขณะนั้นได้เกิดอกุศล (บาป) ขึ้นในจิตใจของเราแล้ว

ถาม : เห็นบางคนถึงกับด่าพระด้วย อ่านเจอในอินเทอร์เน็ตบ่อย ๆ แต่พระก็ทำไม่ดีจริง ๆ นะ หลอกลวง ประชาชนก็มี ต้มตุ๋นก็มี บางกลุ่มรวมหัวกันเป็นแก๊งเลย?

ตอบ : กรณีนี้มันเป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะเป็นปฏิกริยาของสังคมที่มีต่อบุคคลเหล่านี้ แต่ทีนี้เราต้องยอมรับว่า ลำพังการพูดบ่นหรือด่าว่าอย่างเดียว คงไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ มันก็แค่เพียงการระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจไปวัน ๆ เท่านั้นเอง คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์อะไรดีขึ้นมาได้

ถาม : ในพระไตรปิฎกมีคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าว่าจะควรจะคิดอย่างไรกับพระที่ทำตัวไม่ดี?


ตอบ : ท่านวางหลักง่าย ๆ ว่า จะคิด พูด ทำอะไรกับพระก็ให้ประกอบไปด้วยเมตตา อันนี้ครอบคลุมไปหมดเลย หมายความว่าถ้าเห็นพระทำผิด ก็ให้คิดมองเห็นด้วยความเมตตากรุณา แต่ทว่าต้องคิดต่อไปถึงการแก้ไขปัญหาด้วยนะ ไม่ใช่เมตตาแบบเห็นใจแต่ไม่ยอมแก้ไขปัญหา

ถาม : ไหนลองยกตัวอย่าง สมมติว่า ไปเจอะพระเดินเรี่ยไรเงินทองญาติโยมตามบ้าน น่ารังเกียจมาก เราจะคิด อย่างไรจิตใจถึงจะเป็นกุศล (บุญ)?

ตอบ :ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาก่อนเลย โดยอาจจะคิดว่า " โอ้..! น่าเวทนาสงสารพระรูปนี้จัง ท่านไม่รู้วินัย จึงได้มาเที่ยวเดินเรี่ยไรเงินทองรบกวนญาติโยมเช่นนี้ ตัวท่านเองคงต้องได้รับผลจากการกระทำของท่านเอง จิตใจคงเศร้าหมองไปไม่น้อย นี่แหละหนา บวชเรียนเข้ามาแต่ไม่ได้รับการศึกษา ผลเลยออกมาเป็นเช่นนี้ "

นี้ คิดขั้นแรกให้เกิดความเมตตากรุณาเสียก่อน จากนั้นก็ให้คิดต่อเพื่อเกิดเป็นพลังสร้างสรรค์ เช่น เราอาจจะคิดต่อไปว่า " ปรากฏการณ์ที่เห็นนี้มันเป็นเครื่องส่งสัญญาณบอกเหตุเตือนเราว่า ถึงเวลาแล้วที่ชาวพุทธทั้งหลายต้องมาช่วยกันฟื้นฟูพุทธศาสนา คือต้องมาร่วมด้วยช่วยกันทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สถาบันสงฆ์ดีขึ้น ทางพระเองท่านคงแก้ไขปัญหาฝ่ายเดียวไม่ไหวแล้ว พวกเราเหล่าฆราวาสนี้แหละที่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือท่าน " เห็นไหมคิดแบบนี้มันจะเกิดกำลังใจขึ้นมาทันที ไม่เห็นต้องไปท้อใจ หรือ สลดใจอะไรเลย การคิดแบบนี้ มันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คือทำให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหา

ถาม : บางคนเห็นพระบวชเข้ามาทำพุทธศาสนาเสื่อมแล้ว ถึงกับท้อใจอยากเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นก็มี


ตอบ : อันนี้คล้าย ๆ กับว่าเราเห็นคนมาเผาบ้านของเราแล้วแทนที่จะคิดช่วยกันจับคนเผาบ้านแล้วดับ ไฟ แต่นี่กลับคิดวิ่งหนีเพื่อหวังที่จะไปขออาศัยบ้านของคนอื่น อันนี้เท่ากับเป็นการฟ้องว่าตัวเองเป็นคนชอบหนีปัญหา

ถาม : อยากจะถามว่าในยามที่เราได้พบเห็นพระทั่วๆไปตามสถานที่ต่างๆ เราควรจะคิดอย่างไรจึงจะได้บุญ


ตอบ : เมื่อพบเห็นพระทั่ว ๆ ไป ให้คิดด้วยความเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจท่าน คือเราต้องยอมรับว่า ในยุคปัจจุบันสถานะของพระตกต่ำไปมาก ผิดกับในยุคสมัยอดีตที่ท่านเคยเป็นผู้นำสติปัญญาของคนทุกชนชั้นมาก่อน คือในสมัยก่อนนับตั้งแต่พระราชายันยาจก ทุกคนเป็นลูกศิษย์พระหมดเลย

แต่ ปัจจุบันนี้พระกลับกลายเป็นตัวแทนของผู้ไร้การศึกษา หรือ ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา ใครพบเห็นก็อดที่จะรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้ (พระไม่ต้องถึงกับทำผิด ฆราวาสก็นึกดูหมิ่นในใจอยู่แล้ว)

ดังนั้น เวลาเราพบเห็นพระที่ไหน ให้เราคิดเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจท่านก่อนเลย เช่นอาจจะคิดว่า " โถ.. ท่านเคยเป็นผู้นำของสังคมมาก่อน แต่มาบัดนี้สังคมได้ทอดทิ้งท่านให้กลายเป็น ส่วนเกินของสังคมไปแล้วหรือนี่ "

เมื่อคิดด้วยเมตตาแล้ว ก็ควรจะคิดปลุกใจของตนเองต่อไปว่า " ทำอย่างไรหนอ..จึงจะช่วยสนับสนุนให้ท่านได้รับการศึกษาที่เป็นเลิศ เพื่อให้ท่านได้กลับมาเป็นผู้นำทางสติปัญญาของสังคมอีกครั้งหนึ่ง สังคมไทยของเราจะได้ไปรอด ฯลฯ "

ถาม : คิดทุกครั้งที่ได้พบเห็นพระใช่หรือเปล่า? ไม่คิดไม่ได้หรือ?

ตอบ : ถ้าไม่คิด ความเข้าใจเก่า ๆ จะทำให้เรามองท่านผิดไป ทำให้เราไม่สบายใจเมื่อพบเห็นท่าน ..แต่ถ้าคิดอย่างที่แนะนำนี้ จิตจะเกิดบุญกุศลทุกขั้นตอน ลองลำดับดูนะ คิดขั้นที่หนึ่ง เมตตากรุณามาก่อนเลย คิดขั้นที่สอง คิดให้เกิดความตื่นตัวรับผิดชอบ (ไม่ประมาท) เกิดธรรมฉันทะ (ใฝ่ดี) เกิดวิริยะ (ความเพียรสู้) เกิดปัญญา (คิดหาหนทางแก้ไข) จะเห็นได้ว่าสภาพจิตแต่ละขณะเป็นกุศลทั้งนั้นเลย การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็น คุณต่อตัวผู้คิดเองแล้ว ยังเป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาอีกด้วย

ถาม : แล้วอย่างในกรณีพระที่ประพฤติผิดเลวทรามถึงขั้นทำลายพระพุทธศาสนา เราจะคิดอย่างไรกับพระเหล่านี้ พวกนี้แย่มากนะ มันอดโกรธไม่ไหวเหมือนกัน

ตอบ : ก็ยังคงถือหลักที่พระพุทธองค์วางไว้ให้นั้นเอง คือตราบใดที่บุคคลนั้นยังครองผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ควรมีสติคิด ให้เกิดเป็นความเมตตากรุณาให้ได้ ไม่ว่าเขาจะมีความร้ายกาจสักเพียงใดก็ตาม เช่นเราอาจจะคิดเวทนาสงสาร ที่เขาทำตัวประดุจโจรร้ายเที่ยวหลอกลวงมหาชน คติภายหน้าคงไม่พ้นอบายภูมิเป็นแน่ ถึงแม้ปัจจุบัน ชีวิตของเขาแม้ดูอย่างผิวเผินอาจจะเสมือนว่ามีความสุขจากทรัพย์สินเงินทอง ที่หลอกลวงมาได้ แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วภายในจิตใจของเขามีแต่ความร้อนรุ่ม กินแหนงแคลงใจตัวเองไปตลอดทิวาราตรี

คิดให้ได้แบบนี้ จิตใจก็จะเกิดความรู้สึกกรุณา ไม่ได้โกรธ หรือ เกลียดชังอะไร จากนั้นจึงค่อยคิด หนทางช่วยกันแก้ไขปัญหาต่อไปดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ถาม : อยากให้สรุปวิธีคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระอีกครั้ง

ตอบ :

๑. พบเห็นพระทั่วไปให้คิดเห็นอกเห็นใจที่ท่านด้อยโอกาส แล้วคิดช่วยเหลือท่านให้ได้รับการศึกษาที่ดี

๒.พบเห็นพระทำผิดให้คิดสงสารที่ท่านไม่ได้รับการศึกษา ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้ แล้วคิดช่วยกันแก้ไข

๓. ได้ทราบข่าวพระหลอกลวงประชาชน จาบจ้วงพระธรรมวินัย ให้คิดเวทนาสงสารที่บุคคลเหล่านี้ ว่าต้องตกอยู่ในความร้อนรุ่ม อยู่ไม่เป็นสุขไปตลอดกาลนาน แล้วคิดช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา

สรุป คือ คิดให้เกิดความเมตตากรุณา และ คิดรับผิดชอบแก้ไขปัญหา นี้คือวิธีคิดของชาวพุทธรุ่นใหม่ยุคไอทีที่ควรมีต่อพระภิกษุสงฆ์ในยุค ปัจจุบัน หากเราทำได้พุทธศาสนาของเราก็จะได้พระภิกษุสงฆ์กลับเป็นผู้นำทางสติปัญญา เช่นเดิม พุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่สืบต่อไปด้วยความร่วมแรงร่วมใจของพวกเราฆราวาสชาวพุทธ นี่เอง

ขออภัยจำที่มาไม่ได้ :) :)


หัวข้อ: Re: เห็นพระทำผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาป แต่ได้บุญ.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: บอท! ที่ 29 มกราคม 2009, 17:57:50
สาธุ

เป็นวิธีที่ควรเอามาใช้ในการมองทุกๆคน


หัวข้อ: Re: เห็นพระทำผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาป แต่ได้บุญ.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: zern ที่ 29 มกราคม 2009, 18:01:57
ผมว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ใช้ได้่กับพระที่ทำผิดนะ แต่ใช้ได้กับฆราวาสด้วย เมื่อเราเจอใครทำผิดทำเลว แล้วด่าว่า เราก็จะพลอยบาปไปด้วย

ผู้ที่ทำเช่นนี้(ที่ จขกท. โพส) เมื่อเห็นพระ/ฆราวาสกระทำผิดสิถึงจะเป็นคนดีจริง คนที่ด่าพระ/ฆราวาสเมื่อเห็นเค้ากระทำผิดจะเรียกคนนั้นว่าคนดีก็คงยังไม่ได้


หัวข้อ: Re: เห็นพระทำผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาป แต่ได้บุญ.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: ohmohm ที่ 29 มกราคม 2009, 18:25:02
เคยเข้าห้องน้ำ เห็นพระยืนฉี่ แล้วพระท่านเห็นเราก็สะดุ้งเล็กน้อย
พึงมารู้ที่หลัง มีศีลของพระที่ห้ามยื่นฉี่ล่ะ

(http://tbn3.google.com/images?q=tbn:wzK3p-kaxTBZvM:http://www.yenta4.com/webboard/upload_images/1240452.jpg)


หัวข้อ: Re: เห็นพระทำผิด คิดอย่างไรจึงไม่บาป แต่ได้บุญ.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 16:56:16
วิธีปราบปีศาจ


ณ พระราชวังแห่งหนึ่ง มีปีศาจตนหนึ่งบุกเข้ามาในวัง ทหารเห็นดังนั้นก็ตะโกนขับไล่
ทันทีที่ ปีศาจโดนด่า ตัวใหญ่มันก็ใหญ่ขึ้น และมันก็ตรงไปนั่งบนบัลลังก์ของพระราชา ทหารก็เอาอาวุธไล่ฟันและแทง และด่าด้วยคำหยาบคาย!!


ทุกครั้งที่ปีศาจ โดนด่าหรือโดนทำร้าย ตัวมันจะใหญ่ขึ้นๆๆ
ร่างกายเริ่มน่าเกลียด และส่งกลิ่นเหม็นเน่า โชยหนักขึ้นเรื่อยๆๆ แต่ทหารก็ไม่สามารถขับไล่มันได้


จน เมื่อ พระราชากลับมาก็พบว่า ปีศาจ ได้ใหญ่โตจนคับท้องพระโรง และหน้าตาก็น่าเกลียดสุดๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่ว ทันทีที่พระราชาเห็นดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า


“โอ ท่าน มาเยี่ยมข้าพเจ้า เหรอ ทำไมไม่บอกล่วงหน้า”
“ทหารหาน้ำ อาหารมาเลี้ยงท่านเร็ว”ทุกคำพูดดีๆ ที่พระราชาพูด ทำให้ขนาดของปีศาจเล็กลง !!


ทหารเห็นท่าทีของพระราชา จึงเริ่มเข้าใจต่างพากันวางอาวุธ และหันมาพูดเพราะๆ กับเจ้าปีศาจ ถามว่า “ท่านต้องการกินอะไร ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียวไม๊ “ ( อิอิ เอาความชอบคนเขียนเป็นหลัก) ว่าแล้ว อาหารมากมายก็ถูกลำเลียงมาให้ปีศาจกิน แล้วเจ้าปีศาจก็ตัวเล็กลงๆๆอีก


“ท่าน เมื่อยไม๊” ว่าแล้วทหารก็พากันมานวดให้ ปีศาจ ปีศาจก็เล็กลงๆ จนตัวเท่ากับคนธรรมดา และเมื่อ พระราชาได้พูด คำหวานและเอาใจครั้งสุดท้าย เจ้าปีศาจ ก็ หายวับไปกับตา!!


ในชีวิตเรา หลายครั้ง เราเจอปีศาจในที่ทำงาน ที่รร.หรือที่บ้าน แล้วเราได้ จัดการกับปีศาจด้วยวิธีใด? เราทำให้ปีศาจตัวใหญ่ขึ้น และน่าเกลียดมากขึ้น ด้วย คำพูดแย่ๆ และด้วยท่าที ที่ไม่ดีหรือไม๊?


แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า วิธีปราบปีศาจ ก็ด้วย คำพูดที่ดีๆ เต็มไปด้วยเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ การเอาอกเอาใจ ในครอบครัว เมื่อ ปีศาจกลับเข้าบ้าน (เพราะเขาไปเจอเรืองแย่ๆมาก็ได้ใครจะรู้) เรากลับทำให้ปีศาจตัวใหญ่และน่าเกลียดขึ้น ด้วยคำพูดว่า “ไปไหนมา!! ทำไม กลับมาป่านนี้ !!“ ฯลฯ



ต่อไป เราจะเปลี่ยนเป็นพูดว่า “เป็นไงบ้าง ? เหนื่อยไม๊ ? กินอะไรมาหรือยัง ?” แล้วเราก็จะพบว่า ปีศาจ ก็จะเล็กลงๆๆ และ ก็จะหายวับไป เหลือ แต่ สามี , ภรรยา, พ่อ, แม่, พี่, น้อง หรือ เจ้านายที่น่ารัก ของ เรา !! เย้ๆๆปราบ ปีศาจ ได้แล้ว !!!!!!!  :) :)

ที่มา+www.tamdee.net


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: wear428 ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 18:38:49
ครับ ขอบคุณมาก


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kkusd ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 18:49:22
 :D :D :D อ่านตอนแรกนึกว่าวิธีปราบปีศาจ ..ชื่อ.. (journey)


กระทู้ดีจริงๆ


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: zern ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 19:59:49
ให้ข้อคิดดีจริงๆ  :'(


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: jokesk8 ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 20:02:36
ขอบคันคับ >:(


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: O u IvI ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 21:07:15
ขอบคุณครับ  :'( :'(


หัวข้อ: Re: วิธีปราบปีศาจ .... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: mai8888 ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2009, 22:07:40
โดนใจมากคะ เพราะปกติจะชอบพูดว่าไปไหน ทำอะไรอยู่ พูดบ่อยมาก
เหอๆๆ เพิ่งรู้ว่ามันจะกระตุ้นปีศาจ :'(


หัวข้อ: ผู้นำองค์กร.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2009, 19:40:12
ลิงกับลา 
   
         หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว
   
คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง
   
แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของ
   
ต่างๆ ได้รับความเสียหาย
 

         ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลาย
   
ปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น
   
ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อ
   
ค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ
   

           สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง
   
ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง


            ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ
   
ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง
   
คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา
   
ทุบตีลาอย่างรุนแรง   ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย
   

เธอทั้งหลาย...
   

       เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของ

ทำโทษจนตาย   ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้

ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้  เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไป

ตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว  เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า

ลาคงเป็นผู้กระทำ  แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย  เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่

ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง  ความจริงถ้าเธอรู้จัก

สำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย

เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน 
   

    เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง
   
สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"
   ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา
   
ตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม    ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด

แต่ไม่เคยทำงานจริง   นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
   

     ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย  นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม  รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา

อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   

ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย


หัวข้อ: เห็นมดเท่าช้าง.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 มีนาคม 2009, 23:59:44
เห็นมดเท่าช้าง

นิตยสารการ์ตูน MAD ของอเมริกาถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 ไม่ใช่การ์ตูนประเภทอ่านเอาขำแล้วจบแค่นั้น หลายเรื่องขำลึกและต้องนำไปคิดต่ออีกหลายวัน เสียดสีสังคมแสบๆ คันๆ ด้วยการ์ตูนแนวล้อเลียน เสียดสีแบบขันขื่น

การ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ผมอ่านนานปีมาแล้วเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่เดิน ไป ตามทางเท้าริมอพาร์ตเมนท์หลังหนึ่ง ยามหัวค่ำ แสงสว่างจากภายในห้องพักห้องหนึ่งส่องให้เห็นเงาร่างของชายในห้อง มือหนึ่งถือปืนจ่อหัวตัวเอง อีกมือหนึ่งถือซองจดหมายลาตาย

ด้วยความตกใจเขารีบตามตำรวจมาทันที ตำรวจมาถึงก็รีบพังประตูเข้าไปเพื่อห้ามชายคนนั้นฆ่าตัวตาย ปรากฏว่าเบื้องหน้าเป็นภาพชายเจ้าของห้องกำลังถือไดร์เป่าผม อีกมือหนึ่งถือแผ่นกระจกสี่เหลี่ยม!

หากเรื่องนี้เป็นเพียงขำขันก็คงไม่เป็นไร แต่ทว่าในชีวิตจริงมนุษย์จำนวนมากชอบมองอะไรเป็นเรื่องร้ายไว้ก่อนอย่างนี้เสมอ

เห็นกิ่งไม้เป็นงูเขียว เห็นงูเขียวเป็นงูเหลือม
เวลาปวดท้อง ก็คิดว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
ปวดหัวก็สงสัยว่าตัวเองอาจเป็นมะเร็งสมองขั้นสุดท้าย
เห็นฟ้าแลบก็กลัวว่าจะถูกฟ้าผ่าตาย
ทำข้อสอบเสร็จ ก็บอกว่าตัวเองต้องสอบตกแน่ๆ
ฯลฯ

อันที่จริงการมองโลกในด้านร้ายไว้บ้างทำให้ระมัดระวังตัว เช่นเดินในที่เปลี่ยว ก็ระวังคนร้าย หรือเดินที่พงรกก็ระวังงูกัด เป็นสัญชาตญาณการรักษาชีวิตของตน

ทำแต่พอดีก็ไม่เป็นไร แต่หากใช้ชีวิตแบบ 'เห็นมดเท่าช้าง' ตลอดเวลา ย่อมทำให้ไม่มีความสุข หากเป็นการทำธุรกิจก็อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด

การเห็นปัญหาใหญ่เกินจริง หรืออาการ 'เห็นมดเท่าช้าง' เกิดขึ้นบ่อยๆ และทำให้แก้ปัญหาผิดทาง

ในตำนานเรื่อง สามก๊ก มักมีฉากการรบที่กองทัพฝ่ายหนึ่งส่งเสียงโห่ลั่นสนั่นทุ่งเพื่อลวงให้ฝ่าย ศัตรูตกใจ และหลงเชื่อว่าฝ่ายตนมีกำลังมากกว่าหลายเท่า เมื่อตกใจก็มักสูญเสียความฮึกเหิมในการรบ อาจตามมาด้วยความปราชัย

ทั้งนี้เพราะมนุษย์มักมีนิสัยแย่อย่างหนึ่งที่ชอบมองเรื่องเล็กให้เป็น เรื่องใหญ่ การบอกต่อข่าวสารใดๆ จึงมักเป็นการขยายเรื่องเกินจริง



พุทธปรัชญาสอนให้มองทุกข์ที่ต้นเหตุ มองทุกอย่างที่ความเป็นจริง มองด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เมื่อมีข้อมูลที่ถูกต้อง ก็สามารถตัดสินแก้ปัญหาได้ตรงจุด

หากยืมหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) มาประยุกต์ใช้ เราก็สามารถถอดชิ้นส่วนของปัญหาออกเป็นสี่ขั้น คือ ปัญหา ต้นเหตุของปัญหา การสิ้นสุดของปัญหา และทางไปสู่การสิ้นสุดของปัญหา

หลักการแก้ปัญหานี้ง่ายนิดเดียว : มองปัญหาที่สาเหตุ มองสาเหตุให้ชัดเจน แล้วแก้ตรงจุดนั้น

แต่การตามล้างตามเช็ดปัญหามิสู้การป้องกันไว้ก่อน นั่นคือ มองว่าปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหา เพราะชีวิตของคนเรานั้นอาจหนีไม่พ้นปัญหาก็จริง แต่ปัญหาที่แย่ที่สุดคือปัญหาที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหา เป็น ‘สัตว์ร้าย’ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง มันทำให้เราเสียเวลา พลังงาน และทรัพยากรโดยไม่จำเป็นเพื่อจะจัดการมัน

เงาในน้ำมักมีขนาดใหญ่กว่าของจริงเสมอ

บทความโดย...วินทร์ เลียววาริณ


หัวข้อ: เพราะไม่ใช่เราที่แย่ที่สุดในโลก... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 02 มีนาคม 2009, 00:04:02

เพราะไม่ใช่เราที่แย่ที่สุดในโลก

(http://www.whitemedia.org/wma/images/stories/teamwork/aun/baby(1).jpg)

“เราอาจรู้สึกว่าแย่กว่าคนอื่น ๆ ....
เมื่อได้เห็นใครที่ดีหรือเด่นกว่า
แต่เราอาจดีกว่าคนเป็นจำนวนมาก
ถ้าได้เห็นคนอื่น ๆ ที่แย่กว่า
ไม่มีอะไรที่แย่ที่สุดในชีวิต
ถ้าหากไม่สรุปความคิดเอาเองว่า...ฉันมันแย่ที่สุด”

ความรู้สึกที่จำเจอยู่กับงานที่ซ้ำซาก ชีวิตที่วนเวียนไปอย่างเดิม ๆ ทุกวี่ทุกวัน
ตื่นเช้าขึ้นมาแต่งตัวไปทำงาน เสร็จงานก็กลับบ้านเพื่อพักผ่อน
วนอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

เราอาจจะเคยรู้สึกหรือสัมผัสกับบรรยากาศอย่างนี้มาบ้าง
พอ ๆ กับชีวิตของผมที่เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน
แต่ผมจะเปลี่ยนความคิดนี้ได้โดยไม่ใช้วิธีการผิด ๆ
เพื่อหนีความซ้ำซากจำเจนี้

ผมมักจะใช้เวลาตอนที่นั่งรถเดินทางไปทำงานหรือจะไปทำธุระที่ไหน ๆ ก็ตาม
ให้เป็นทางออกของชีวิตและสร้างกำลังใจให้แก่ตัวเองเสมอ
นั่นคือผมจะไม่ละสายตาและจะไม่หยุดความคิดของตัวเองอยู่ภายในรถเท่านั้น
แต่จะกวาดสายตามองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว
ตามท้องถนนกับเส้นทางที่เดินทางผ่านไป
โดยเฉพาะชีวิตของผู้คนที่อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และลำบากกว่า

การได้เห็นคนบางคนที่นอนฟุบอยู่แถวป้ายรถเมล์หรือตามฟุตบาธข้างถนน
หรือบางครั้งก็เห็นคนเฒ่าคนแก่ทั้งสามีภรรยามาเดินพยุง
จับมือถือแขนกันด้วยวัยใกล้ฝั่ง แทนที่จะได้พักผ่อนอยู่กับบ้าน
แต่ต้องมาเดินเป็นวณิพกกับกำลังวังชาที่เหลือน้อยเต็มที
เพียงเพื่อแลกกับเงินไม่กี่ตังค์ วันหนึ่ง ๆ จะได้สักเท่าไหร่

(http://horoscope.sanook.com/story_picture/b/02212_002.jpg)

สิ่งที่เห็นนี้เป็นเรื่องราวที่ตัวเองไม่เคยลืม
เพราะว่ามันทำให้ตระหนักและคิดอยู่เสมอว่า...คนที่แย่กว่าเรายังมีเยอะมาก
ไม่เพียงเฉพาะในสังคมที่เห็น แต่ยังมีคนอีกมากมายทั่วโลก
ซึ่งไม่มีอาหารจะกินสักมื้อหนึ่ง

เมื่อคิดอย่างละเอียดถึงความลำบากของคนอื่น
เราก็จะได้มองเห็นขุมทรัพย์ที่แอบซ่อนอยู่ในชีวิตของตัวเอง
เพราะมีบางครั้งเหมือนกันที่ตัวเรามักจะลืม
และมองแต่ตัวเองว่าชีวิตฉันแย่
จนกลายเป็นการสร้างอาการท้อแท้ต่อชีวิตตามมา

(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img1/18332.jpg)

แม้งานที่เราทำจะน่าเบื่อแค่ไหน...
ก็ยังดีกว่าคนเป็นจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้ทำงาน
หรือคนจำนวนมากที่กำลังตกงาน.....
อาหารที่ได้กินอาจซ้ำ ๆ ในแต่ละมื้อ...ก็ยังดีกว่ากันเยอะ....
เพราะยังมีคนมากมายบนโลกนี้ที่ไม่รู้ว่า...วันนี้จะมีอะไรกิน...
บ้านที่ได้อาศัยอยู่อาจคับแคบไปบ้าง...
แต่คงไม่แย่ไปกว่าคนเป็นจำนวนไม่น้อย
ที่จะต้องอาศัยนอนอยู่ป้ายรถเมล์หรือข้างถนน

......คุณลองสังเกตชีวิตคนอื่น ๆ บ้างซิ....แล้วจะรู้ว่า....
ความจริงแล้วชีวิตที่แย่ที่สุด...มันเกิดมาจากความคิดที่ว่า...
.ตัวเองแย่ที่สุด หากไม่มองถึงคนที่แย่กว่า
แต่ชีวิตที่ดีที่สุดคือการมองเห็นส่วนดีและพอใจในชีวิตที่เหลืออยู่….

ที่มา : หนังสือชีวิตมืด 8 ด้าน ทางสว่างอยู่ด้านที่ 9
เขียนโดย : สันทัด ขุนหมุด

(http://blog.fukduk.tv/files/cover/well_600.11%5B1%5D.jpg)

ที่มา +tamdee.net


หัวข้อ: Re: เห็นมดเท่าช้าง.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: TAXZe ที่ 02 มีนาคม 2009, 02:22:21
กระทู้ไรเนี่ย ไม่เคยเห็น

บุ๊คๆๆ

 :)


หัวข้อ: สุขได้แม้ไม่สำเร็จ.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 17 มีนาคม 2009, 23:26:15
สุขได้แม้ไม่สำเร็จ



IMAGE ฉบับเดือน ตุลาคม 2551

ความสำเร็จเป็นยอดปรารถนาของทุกคน เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข แต่ความสำเร็จก็เช่นเดียวกับความมั่งมี ไม่สามารถเป็นหลักประกันแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง ใครก็ตามที่เอาความสุขไปผูกไว้กับความสำเร็จ ย่อมยากที่จะพบกับความสุขที่ยั่งยืน ทั้งนี้ก็เพราะรสชาติของความสุขชนิดนี้หอมหวานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกจืดชืด ไม่ต่างจากเพลงที่ไพเราะ ฟังครั้งแรกก็ให้ความซาบซึ้งตรึงใจ แต่ถ้าฟังไปนาน ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะเริ่มรู้สึกจำเจ และกลายเป็นเบื่อในที่สุด ต้องขวนขวายหาเพลงใหม่มาฟังแทน

ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนที่พอใจหรือพอเพียงกับความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มายังไม่เพียงพอ ต้องการได้อีก และนั่นคือที่มาแห่งความทุกข์ จนกว่าจะประสบความสำเร็จครั้งใหม่

นักธุรกิจผู้หนึ่งประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว เขาสามารถปลดหนี้สินของธุรกิจครอบครัวซึ่งสูงถึง ๗,๐๐๐ ล้านได้ภายในเวลา ๓ ปีเท่านั้น และใช้เวลาอีกไม่กี่ปีขยายธุรกิจดังกล่าวจนมีผลประกอบการปีละ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เขามีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่าตัวเองเปลี่ยนไป เบื่อหน่ายกับการทำงาน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่…มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง (ในจำนวนอีกหลายร้อยคนในไทย)” ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องดิ้นรนหาความสำเร็จอย่างใหม่ นั่นคือเอาดีทางการเมือง เขายอมรับว่าวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วย ว่าการในเวลาต่อมา แต่น่าสงสัยว่าเขาจะมีความสุขไปได้นานเท่าใดตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ว่าการ

ความสำเร็จหากผูกติดกับตำแหน่ง ยิ่งให้ความสุขที่คลอนแคลน เพราะตำแหน่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ไม่นานก็ต้องตกเป็นของคนอื่น บิล คลินตันเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของยุคนี้ เขาได้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ยังหนุ่ม และเป็นถึง ๒ สมัย แต่เมื่อเขาพ้นตำแหน่ง เขากลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะยังโหยหาอาลัยอดีตอันหอมหวาน เมื่อไม่นานมานี้เขาเผยความในใจว่า “คิดดูสิว่าตอนผมเป็นประธานาธิบดี เขาจะบรรเลงเพลงทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้อง (แต่ตอนนี้) ไม่มีใครบรรเลงเพลงอีกแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน”

ใช่หรือไม่ว่าหากสุขใจที่ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต้องทุกข์แน่นอนเมื่อกลายเป็นราษฎรเต็มขั้น มองในแง่นี้ความสำเร็จทำให้เกิดทุกข์ได้ เหมือนคนที่ลอยสูงมากเท่าไร เมื่อตกลงมาก็เจ็บมากเท่านั้น

ที่น่าคิดมากกว่านั้นก็คือ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าความสำเร็จจะเป็นสิ่งน่าชื่นชมไปตลอดกาล มีหลายคนที่เมื่อมองย้อนไปถึงความสำเร็จของตนในอดีต กลับรู้สึกว่าไม่น่าชื่นชมเสียเลย เพราะเห็นข้อบกพร่องหรือข้อเสียติดตามมามากมาย ไอน์สไตน์เคยพูดว่าหากเขารู้ล่วงหน้าว่าระเบิดปรมาณูซึ่งสร้างขึ้นจากทฤษฎี สัมพัทธภาพของเขาจะสร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่ชาวญี่ปุ่นและทำให้โลกตก อยู่ในอันตราย เขาคงตัดสินใจเป็นช่างซ่อมนาฬิกาดีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนกล่าวว่า “ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ”

ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่ แต่มิใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการได้ทำสิ่งดีงาม ถูกต้อง และเสียสละ หากได้ทำความดีงามอย่างเต็มที่ แม้ไม่สำเร็จหรือประสบชัยชนะ ก็ได้ชื่อว่าทำสิ่งที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ ซึ่งให้ความสุขที่ยั่งยืนกว่าความสำเร็จทั่ว ๆ ไป

ซารา เรนเนอร์ เป็นนักกีฬาสกีวิบากชาวแคนาดาที่นำคู่แข่งมาโดยตลอด แต่แล้วจู่ ๆ ไม้ค้ำสกีของเธอหัก เธอพยายามฝืนสู้ แต่ก็ไม่ประสบผล นักสกีหลายคนแซงเธอไป ขณะที่เธอรู้สึกหมดหวังก็มีชายผู้หนึ่งยื่นไม้ข้างหนึ่งให้เธอ เธอจึงกลับเข้าสู่การแข่งขัน และสามารถนำทีมแคนดาคว้าเหรียญทองได้ในที่สุด

เธอรู้เมื่อจบการแข่งขันว่าผู้ที่ช่วยเธอคือบเยอร์นาร์ ฮาเกนสโมเอน นักกีฬาชาวนอรเวย์ ซึ่งเข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับสี่ เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาวแคนาดาในทันที แต่เขากลับให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยกย่องกันขนาดนี้ เขาให้เหตุผลว่า “ถ้าคุณชนะแต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน” สำหรับเขาการทำสิ่งที่ถูกต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าชัยชนะ

ความสำเร็จนำมาซึ่งความสุขก็จริง แต่การอยู่เหนือความสำเร็จ หรือไม่หมกมุ่นติดยึดกับความสำเร็จต่างหาก คือที่มาแห่งความสุขที่แท้จริง

โดย… ภาวัน


หัวข้อ: Re: สุขได้แม้ไม่สำเร็จ.... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 17 มีนาคม 2009, 23:37:01
ชำระใจให้หายแค้น



มติชน ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552

การแก้แค้นเป็นพฤติกรรมที่ติดมากับมนุษย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก็ว่าได้ มันเป็นยิ่งกว่าปฏิกิริยา “สู้หรือหนี” อันเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ทุกชนิดเมื่อเผชิญกับภัยคุกคาม คนเราไม่ได้อยากแก้แค้นเพียงเพราะโกรธที่ถูกทำร้ายเท่านั้น หากยังเพราะมีความอาฆาตพยาบาทซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยความทรงจำ สัตว์บางชนิดอาจมีความอาฆาตพยาบาทเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่นั่นเพราะมันหรือลูกของมันถูกทำร้าย ส่วนมนุษย์นั้นเพียงแค่เสียหน้าหรือถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีก็เป็นเหตุผลมากพอ แล้วที่จะลงมือล้างแค้นจนถึงตาย

อย่างไรก็ตามการแก้แค้นไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ มนุษย์ตั้งแต่ยุคบรรพกาลมีเหตุผลที่ต้องแก้แค้น ไม่ใช่เพื่อความสะใจเท่านั้น แต่เพื่อส่งสัญญาณให้คู่กรณีรวมทั้งคนอื่น ๆ ได้รู้ว่าตนจะไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว ใครที่มาล่วงล้ำ กล้ำเกิน หรือทำร้ายตนย่อมถูกโต้ตอบกลับคืน กล่าวอีกนัยหนึ่งนี้เป็นวิธีป้องปรามหรือกลไกป้องกันตัวอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจำเป็นในยุคที่ผู้คนอยู่กันด้วย “กฎป่า” หรือใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ การไม่แก้แค้นหมายถึงการแสดงความอ่อนแอ ซึ่งเท่ากับเชื้อเชิญให้ใครต่อใครมาเอาเปรียบเบียดเบียนไม่หยุดหย่อน

การป้องกันตนเองด้วยวิธีการดังกล่าวมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความอยู่ รอดของปัจเจกบุคคลและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับกลุ่มชนหรือเผ่าพันธุ์ด้วย เผ่าจะอยู่รอดไม่ได้หากคนอื่นนิ่งดูดายปล่อยให้เพื่อนพ้องในเผ่าถูกทำร้าย การแก้แค้นให้กับเพื่อนร่วมเผ่าเป็นทั้งการป้องปรามไม่ให้ใครมาทำเช่นนั้น อีก ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของเผ่าตน ด้วยวิธีนี้เผ่าจึงจะมีโอกาสอยู่รอดและปลอดพ้นจากภัยคุกคามได้

คงเพราะเหตุนี้จึงมีการส่งเสริมค่านิยมการล้างแค้นในหมู่เผ่าพันธุ์และ กลุ่มชนต่าง ๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมไปทั่วโลก และในบางแห่งก็ถึงกับกลายเป็นข้อบัญญัติหรือเป็นที่รับรองของศาสนาด้วยซ้ำ มองในแง่นี้ก็เหมือนกับจะยืนยันว่าการล้างแค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ติด มาในยีนเลยก็ว่าได้ แต่มองอีกมุมหนึ่งการที่หลายชุมชนหลายเผ่าพันธุ์พยายามตอกย้ำเหตุการณ์อัน น่าขมขื่นเจ็บปวดในอดีต (ผ่านบทเพลง บันทึกประวัติศาสตร์ และเรื่องเล่าปากต่อปาก ฯลฯ)เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอาฆาตพยาบาทและอยากแก้แค้นนั้น ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าการแก้แค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์จริง ทำไมจึงต้องตอกย้ำและปลุกเร้าให้เกิดความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทไม่หยุด หย่อน ราวกับกลัวว่าผู้คนจะลืมเหตุการณ์เหล่านั้นหรือไม่อาฆาตพยาบาทมากพอ

มีผู้คนเป็นอันมากที่พยายามหล่อเลี้ยงความอาฆาตพยาบาทด้วยการเตือนตนให้ ระลึกถึงความเจ็บแค้นในอดีต เช่น นึกถึงมันบ่อย ๆ หรือบันทึกเอาไว้ บ้างก็ถึงกับทำรายชื่อศัตรูเหมือนกับจดรายการจ่ายตลาด ทั้งนี้ก็เพราะเขากลัวลืม แต่ยิ่งนึกย้ำซ้ำทวนก็ยิ่งถูกไฟโทสะเผาลนจิตใจ การพยายามปกป้องตนเองด้วยการแก้แค้นกลับกลายเป็นการบั่นทอนทำร้ายตนเอง ตั้งแต่เริ่มคิดแก้แค้นด้วยซ้ำ

แต่การแก้แค้นก่อผลเสียยิ่งกว่านั้น มันสามารถชักนำครอบครัวและกลุ่มชนของตนให้ตกอยู่ในวังวนแห่งความรุนแรง ติดกับดักแห่งการแก้แค้นไม่รู้จบ เพราะอีกฝ่ายย่อมไม่อยู่นิ่งเฉยหากพยายามแก้แค้นเอาคืน การแก้แค้นให้กับคน ๆ หนึ่งที่ถูกฆ่าตายอาจตามมาด้วยการสังหารผู้คนอีกเกือบ ๓๐ คน (ดังที่เกิดกับ ๒ ชนเผ่าในนิวกีนีเมื่อหลายปีก่อน) หรือมีการจองล้างจองผลาญติดต่อกันนานถึง ๒๗๐ ปี (ดังกรณีที่เกิดในอัลเบเนีย) แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับการแก้แค้นระหว่างเซิร์บกับเติร์กซึ่งยืดเยื้อมา ๖๐๐ ปี หรือระหว่างยิวกับอาหรับซึ่งสาวไปได้ถึงพันปีที่แล้ว

ทุกวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการแก้แค้นย่อมรู้ดีว่าการแก้แค้นที่ปล่อยให้เกิด ขึ้นตามอำเภอใจย่อมนำมาซึ่งความโกลาหลวุ่นวาย ทำลายความสามัคคีและบั่นทอนเสถียรภาพของสังคม จึงพยายามสร้างกติกาหรือข้อกำหนดขึ้นมาเพื่อให้การแก้แค้นอยู่ในขอบเขต (เช่น อนุญาตให้แก้แค้นได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง หรือกันเด็ก ผู้หญิง ชายชราจากหน้าที่แก้แค้น หรืออนุญาตให้ดวลปืนยิงกันด้วยกระสุนนัดเดียว) แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด หลายชุมชนจึงหันมาส่งเสริมการปรับหรือเรียกค่าสินไหมแทนการแก้แค้น หรือไม่ก็มอบหมายให้รัฐหรือผู้ปกครองทำการแก้แค้นแทน โดยมีมาตรการต่าง ๆ ตั้งแต่ปรับ จำคุก ไปจนถึงประหารชีวิต (ในอดีตอนุญาตให้รัฐใช้วิธีทรมานได้ด้วย)

แต่ความรุนแรงควรยุติด้วยการแก้แค้นเท่านั้นหรือ? หากเราไม่ลงมือแก้แค้นเอง เราควรพอใจที่รัฐแก้แค้นแทนเราเท่านั้นหรือ? มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ที่เราสามารถทำได้ ? คำตอบคือมี ได้แก่ “การล้างแค้นอย่างสร้างสรรค์” คือ การล้างแค้นด้วยการยกระดับตัวเองแทนที่จะไปเหยียบย่ำคนอื่นให้ตกต่ำลง เมื่อเราโกรธหรือเกลียดใครสักคน เราอยากทำกับเขาเหมือนกับที่เขาทำกับเรา หากเขาด่าว่าเรา เราก็ต้องด่าเขากลับคืน หากเขาทำร้ายเรา เราก็ต้องเล่นงานเขาให้สาสม วิธีนี้ก็คือการทำตัวเองให้ต่ำลงเหมือนเขา แต่ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ดีว่าการทำให้เขาเจ็บปวดที่ดีกว่านั้นก็คือการทำตน ให้ดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา หรือเป็นสุขเบิกบานใจยิ่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตามการล้างแค้นแบบสร้างสรรค์สามารถนำความทุกข์มาให้แก่เราได้ ตราบเท่าที่เรายังไม่เก่งกว่าเขาหรือประสบความสำเร็จมากกว่าเขา เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าวคือความโกรธเกลียดซึ่งสามารถเผาลนจิตใจเราได้ ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงมีวิธีที่ดีกว่านั้นอีก นั่นคือ การให้อภัย การให้อภัยมิได้หมายถึงยอมรับการกระทำไม่ดีของเขา แต่หมายถึงการปลดเปลื้องความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทออกไปจากจิตใจของเรา แม้เราจะยอมรับการกระทำของเขาไม่ได้ แต่เราสามารถยอมรับเขาในฐานะมนุษย์ได้ การฆ่า การหลอกลวง หรือการดูหมิ่นเหยียดยาม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องวันยังค่ำ แต่คนเราอาจทำสิ่งนั้นเพราะความพลั้งเผลอ เพราะความไม่รู้ เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาอาจทำเพราะแรงบีบคั้นจากความเจ็บปวดในอดีต หรือเพราะเคยถูกกระทำย่ำยีมาก่อนก็ได้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนทุกข์ เขาควรได้รับการให้อภัยจากเรา ในฐานะที่เรามีหน้าที่ทำตนให้เป็นสุข เราควรปลดเปลื้องความอาฆาตพยาบาทไปจากจิตใจ

มิใช่แต่การล้างแค้นเท่านั้นที่อยู่คู่กับมนุษย์ การให้อภัยและการสมานไมตรีก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติมาช้านาน อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์ก็รู้จักคืนดี นักสัตววิทยาที่สังเกตพฤติกรรมของลิงในสวนสัตว์และป่าธรรมชาติพบว่า เมื่อลิงทะเลาะเบาะแว้งกัน จะมีความพยายามคืนดีกันเสมอ หากไม่ “วาน”ตัวกลางให้ช่วยไกล่เกลี่ย คู่กรณีตัวใดตัวหนึ่งก็จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหา งอนง้อ หรือทำดีด้วย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยกราดเกรี้ยวคู่กรณีเพียงใด แต่ในที่สุดก็จะคืนดีด้วยการเกาหลังให้กันและกัน

มนุษย์ไม่ได้มีแต่ความโกรธเกลียดเท่านั้น เรายังมีเมตตา กรุณา และความเข้าใจด้วย ความสามารถในการให้อภัยจึงอยู่ในใจของเราทุกคน จะว่าไปการให้อภัยเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการปกป้องตนเอง มิใช่ปกป้องจากศัตรูภายนอก แต่ปกป้องจากศัตรูภายใน ได้แก่ความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทนั่นเอง หากความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทคือมีดกรีดใจ การให้อภัยก็คือยาสมานใจนั่นเอง ใจที่ไร้ยาสมานย่อมมีแผลเรื้อรัง ชีวิตที่ให้อภัยไม่เป็นย่อมหาความสุขได้ยาก

เราจะสุขหรือทุกข์มิใช่เพราะมีใครมาทำให้ หากอยู่ที่ใจของเราเอง ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของเราได้นอกจากตัวเราเอง ถึงที่สุดแล้วเราต้องเลือกว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ระหว่างการหล่อเลี้ยงความโกรธเกลียดเอาไว้ หรือการบ่มเพาะเมตตาและกรุณา ผู้คนเป็นอันมากเลือกอย่างแรกจึงจมปลักอยู่ในความทุกข์ ส่วนผู้มีปัญญาเลือกอย่างหลังจึงเป็นสุขอยู่เสมอ

ความอาฆาตพยาบาทนั้นมีความทรงจำเป็นตัวหล่อเลี้ยง แต่ก็มิได้หมายความว่าเราต้องลืมก่อนถึงจะให้อภัยได้ การให้อภัยมิได้เกิดจากการหลงลืมแต่เกิดจากความตระหนักรู้ถึงโทษของความโกรธ ที่สำคัญก็คือเกิดจากความเข้าใจในคู่กรณี โดยเฉพาะเมื่อเห็นถึงความเป็นมนุษย์ของเขาซึ่งไม่ต่างจากเรา อีกทั้งเห็นถึงความทุกข์ของเขาด้วย เราสามารถจะให้อภัยโดยไม่ลืมได้

คิม ฟุค ถูกไฟจากระเบิดนาปาล์มของอเมริกาเผาลวกทั้งตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังสูญเสียลูกพี่ลูกน้อง ๒ คนจากเหตูการณ์ แม้แผลจะหายหลังจากผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้ง แต่ความแค้นฝังใจเธอร่วม ๒๐ ปี แต่ในที่สุดเธอก็ให้อภัยทหารอเมริกันเมื่อเธอประจักษ์แก่ใจว่า “การบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

อาซิม กามิซา สูญเสียทาริก ลูกชายคนเดียววัย ๑๔ ปีเพราะความคิดชั่วแล่นของวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่ต้องการอวดความเก่งกล้า สามารถของตนให้เพื่อนร่วมแก๊งได้เห็น แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ให้อภัยวัยรุ่นคนนั้น เพราะเห็นว่า “การแก้แค้นไม่อาจช่วยอะไรได้ เอาชีวิตทาริคกลับมาได้ไหม การแก้แค้นมีแต่จะทำให้ความรุนแรงที่คร่าชีวิตทาริคยืดยาวต่อไป” เขาพบว่าตัวการที่ฆ่าลูกเขาไม่ใช่ใครอื่น หากคือวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นต่างหาก เขาจึงต้องต่อสู้กับความรุนแรงนี้ด้วยการตั้งมูลนิธิในนามลูกของตนเพื่อส่ง เสริมให้คนหนุ่มสาวเห็นโทษของความรุนแรงในการแก้ปัญหา

ในทำนองเดียวกันเมื่อแม่ของสิบเอกสามารถ กาบกลางดอน ต้องสูญเสียลูกชายในเหตุการณ์นองเลือดที่ปัตตานี (ซึ่งโยงกับกรณีกรือเซะ)เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ แทนที่จะเรียกร้องการล้างแค้น เธอกลับให้อภัยฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นต้องเจ็บปวดเช่นเดียวกับเธอ “ฉันไม่อยากเห็นสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป ไม่ว่ากับใครอีกเราควรจะหยุดฆ่ากันได้แล้ว นี่เป็นความสูญเสียของทุกฝ่าย ฉันก็เสียลูกชายเหมือนแม่คนอื่น ๆ อีกหลายคน”

“เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร” นี้มิใช่เป็นแค่คำสอนทางพุทธศาสนา หากเป็นความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาและเป็นสากล การแก้แค้นไม่เคยชำระปัญหาให้จบสิ้น อีกทั้งไม่สามารถนำความสุขมาสู่ชีวิต การให้อภัยต่างหากที่ทำให้ปัญหายุติได้ ต่อเมื่อชำระใจให้ปลอดจากความแค้น เมื่อนั้นชีวิตจึงจะพบความสงบเย็นอย่างแท้จริง

โดย… พระไพศาล วิสาโล


หัวข้อ: ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา).... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 03 เมษายน 2009, 22:39:05
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไปจึงกำลังจะฆ่าตัวตาย

ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้าจึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า
"โยมจะทำอะไรรึ"

หญิงสาวตอบ
"อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"

พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า
"ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงส์ตอบว่า
"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"


พระธุดงส์ตอบ
" โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"




  :) :) :)





หัวข้อ: วิกฤติกับโอกาส ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 07 เมษายน 2009, 20:13:47
วิกฤติกับโอกาส

โจทย์การออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่ยากโจทย์หนึ่งคือเมื่อที่ตั้งของโครงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่น่าดู

นักออกแบบบางคนก่อกำแพงสูงเพื่อปิดบังทัศนียภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเสีย บางครั้งการออกแบบนั้นๆ กลับทำให้สภาพแวดล้อมโดยรวมดูแย่กว่าเดิม

ในบางกรณี ปัญหาอาจไม่สามารถแก้ได้ด้วยการก่อกำแพงสูง เช่น มลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในย่านจอแจ

ทว่าทุกปัญหาล้วนมีทางแก้อย่างสร้างสรรค์เสมอ

อาคารบางหลังซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่มีเสียงรถราดังมาก สามารถแก้ปัญหาด้วยการออกแบบน้ำตกให้เป็นส่วนหนึ่งของอาคาร เสียงน้ำไหลเป็นจังหวะทำให้คนที่เดินผ่านรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ จิตใจสงบลง ขณะเดียวกันเสียงน้ำตกก็กลบเสียงรถราข้างนอกด้วย เมื่อรวมกับต้นไม้สีเขียว ก็ไม่มีใครเชื่อว่ามันอยู่กลางป่าคอนกรีต

เสียงเหมือนกัน ดังเหมือนกัน แต่ให้ผลต่างกัน

ความคิดสร้างสรรค์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนวิกฤติให้ เป็นโอกาสได้เสมอ หลายคนโยนเสื้อผ้าที่เลอะสีดำเป็นหย่อมๆ ดูน่าเกลียด ทั้งที่มันยังไม่ขาด แต่บางคนก็ย้อมผ้าเลอะนั้นให้เป็นสีดำทั้งตัวไปเสียเลย งามไปอีกแบบ

เคยไหมที่เมื่อคุณวาดรูปเพลินจนสีเลอะเทอะ กลายเป็นสีเน่า แต่เมื่อพลิกแพลง ใช้สีเน่านั้นเป็นพื้น วาดลายเส้นสดใสทับลงไป ก็ได้ภาพใหม่ที่สวยไปอีกแบบ

คุณสามารถทำเรื่องแย่เป็นเรื่องเยี่ยมได้เสมอ หากยอมเปิดใจกว้าง และใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา



เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของ โอ. เฮ็นรี ปรมาจารย์นักเขียนเรื่องสั้นแนวหักมุมจบ เป็นเรื่องของเซลส์แมนหนุ่มที่ถูกส่งไปขายรองเท้าแก่คนพื้นเมืองในเกาะแห่ง หนึ่ง ห่างไกลจากความเจริญ เมื่อลงจากเรือ เซลส์แมนหนุ่มเห็นชาวพื้นเมืองเดินเท้าเปล่าทุกคน ก็โทรเลขไปรายงานสำนักงานใหญ่ว่า ขายรองเท้าที่นี่ไม่ได้แน่นอน เพราะคนที่นี่ไม่มีพฤติกรรมสวมรองเท้า

บริษัทส่งเซลส์แมนคนใหม่ไปดูสำรวจตลาด เขาโทรเลขกลับไปที่สำนักงานใหญ่ทันทีว่า "ส่งรองเท้ามาทันที เพราะที่นี่ไม่มีใครเคยสวมรองเท้า"

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมอง

มองให้ดีก็เห็นโอกาส

ปราชญ์เดโมสเธนีสแห่งกรีกโบราณจึงกล่าวว่า "โอกาสเล็กๆ มักเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการใหญ่" เช่นเดียวกับ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน ที่ว่า "คนฉลาดสร้างโอกาสมากกว่าที่จะแสวงหามัน"

คำว่า 'วิกฤติ' ในภาษาจีนออกเสียงว่า เหวย จี อักษรแรกหมายถึงอันตราย อักษรหลังหมายถึงโอกาส

ในทุกๆ อันตรายมีโอกาส

ทุกๆ ปัญหาไม่ว่าใหญ่เพียงไร มีทางแก้อย่างสร้างสรรค์เสมอ ถ้าเปิดใจมอง


บทความโดย... วินทร์ เลียววารินทร์
 :) :) :)


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: [email protected] ที่ 07 เมษายน 2009, 20:15:19
เจ๋งคับ ชอบอ่าน แต่ไม่ค่อยอ่าน


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 07 เมษายน 2009, 20:23:42
จงสู้ๆอย่าท้อ

ไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาแล้ว
ไม่เคยประสบพบเจอแต่ความล้มเหลว
แต่ถ้าหาก เรายังจมปลัก อยู่กับความล้มเหลวโดยไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่
ชีวิตนี้ของเราก็จะพ่ายแพ้และล้มเหลวตลอดไป

เมื่อใดก็ตามที่เราประสบความล้มเหลว
เราก็จะได้รับบทเรียนให้กับชีวิต
การค้นหาข้อผิดพลาด และข้อบกพร่อง
จะทำให้เราได้ประสบการณ์ และสามารถลุกขึ้นสู้
จนท้ายที่สุดก็จะพบกับชัยชนะ จากการต่อสู้นั้นๆ

หากเราคิดในทางสร้างสรรค์
ความล้มเหลวยังทำให้เรามีสติปัญญาคิดไตร่ตรองมากยิ่งขึ้น
มีกำลังใจที่เข็มแข็ง มีความเชื่อมั่น เข้าใจในความทุกข์
และมีความอุตสาหะมากยิ่งขึ้นด้วย
ถ้าเราคิดได้ดังนี้เราจะมีแรงฮึด
ลุกขึ้นมาสู้ได้อีกอย่างแน่นอน

การรู้จัก ที่จะมีความอดทน ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค
เป็นสิ่งสำคัณอย่างยิ่งกับความเจริญก้าวหน้า
คนที่ไม่รู้จักอดทนต่อสู้ มักจะมีชีวิตที่แห้งเฉา
อยู่อย่างซังกะตายไปวันๆ
ชีวิตไม่มีความหมายกับคนพวกนี้เลย
ผู้ที่ไม่อดทนต่อสู้กับอุปสรรค
จะไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ได้
เพราะเขาจะไม่มีพลังใดๆ มาต่อสู้กับปัญหาได้เลย
เขาจึงต้องพบกับความผิดหวัง และความล้มเหลวอยู่เป็นประจำนั่นเอง

นอกจากนี้การต่อสู้ ที่งดงาม
ก็มิใช่การต่อสู่ที่เหยียบย่ำผู้อื่น
จนทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อใดก็ตามที่เราลงมือต่อสู้
เราก็จะพบว่า...
เราก็มีความสามารถและมีพรสวรรค์
ที่กำลังก่อตัวอยู่ในตัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ
ชึ่งนี้นี่เองคือผลพลอยได้ อย่างหนี่ง
ของการได้ลงมือต่อสู้ นั่นเอง
 :) :) :)

คุณ [email protected] เข้ามาอ่านอยู่เสมอ  :-[ :-[


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส + จงสู้ๆอย่าท้อ + ความมั่นคงที่แท้จริง... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 07 เมษายน 2009, 20:29:20
ความมั่นคงที่แท้จริง


            ทุกวันนี้เรามักจะได้ยินคนบ่นดังๆ ว่า เมื่อไรจะมีเงินมากๆ จะได้มีชีวิตอย่างมีความสุข ความจริงก็คือ เราไม่จำเป็นต้องมีเงินมากๆ เพื่อจะมีความสุข และมีเงินมากๆ ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าชีวิตจะมีความสุข หลายคนจะรีบสวนว่า นั่นแหละขอมีเงินก่อนก็แล้วกัน

           ที่จริงแล้ว เราเลือกที่จะมีความสุขได้ตั้งแต่วันนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้หัวใจยิ้มได้ไม่ต้องใช้เงินซื้อ การที่เราพัฒนาจิตใจให้มีความสุขที่ไม่ต้องใช้เงิน จะทำให้ใจเราสงบประณีตมั่นคง ความสุขในชีวิตคน เกิดจากสิ่งที่เราทำ เห็น เป็น ไม่ใช่เงินที่เรามี การที่คนคนหนึ่งทำงาน ทำทุกอย่างในชีวิตอย่างรู้คุณค่า เห็นประโยชน์ต่อโลก ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อการขัดเกลาจิตวิญญาณของตัวเอง เขาจะมีความสุขกับทุกขณะในชีวิต ได้เรียนรู้จากความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จ ความล้มเหลว มีภูมิคุ้มกันป้องกันใจตัวเอง เมื่อทำทุกอย่างเต็มที่ด้วยสติปัญญา เพราะเห็นคุณค่า ผลตอบแทนเป็นเงินที่ดีตามมา ก็นำไปช่วยผู้อื่น ได้ความปิติอิ่มใจ เพราะประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่าการจับจ่ายใช้สอยของตัวเอง ใจจะยิ่งมั่นคง พึ่งพาเงินน้อยลง

            ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเข้าใจผิด คิดว่าเงินเป็นเป้าหมาย เราจะยอมให้การหาเงินทำลาย กีดขวาง ความรัก ความอบอุ่น เวลาของครอบครัว ความนับถือตัวเอง ความรักโลก รักเพื่อนมนุษย์ ใจจะแห้งแล้วหดหู่ ไม่สามารถมีความสุขได้ จากความรัก ความปรารถนาดี ความดีงามรอบตัว ต้องแสวงหาความสุขจากการใช้เงินซื้อวัตถุสิ่งของ เมื่อใจหมดความสามารถที่จะมีความสุขที่ประณีต เงินก็เป็นแหล่งเดียวที่ให้ความสุขได้ ถึงมีเงินก็ต้องหาเงินมากขึ้น เพราะกลัวเงินหมด เงินหมดไปก็ทุกข์เดือนร้อนกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะไม่มีความสุขทางอื่น มีความทุกข์เดือดร้อนตลอดทั้งวงจร ตั้งแต่อยากมีเงิน หาเงิน ใช้เงิน กลัวเงินหมด ตกเป็นทาสของเงิน ถูกเงินครอบงำ

           ชีวิตแอบเฉลยคำตอบให้เราเสมอว่า เราต้องฝึกตัวเองให้สามารถมีความสุขจากภายในที่เป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆ ภายนอก เพราะทุกอย่างไว้วางใจไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควบคุมให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้ ทรัพย์สมบัติภายนอกเปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา แต่สมบัติภายในใครก็แย่งไปไม่ได้ การที่คนคนหนึ่งพยายามฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง เรียนรู้ทั้งจากการทำถูกทำผิด มีศรัทธาในเหตุและผลของการกระทำ ศึกษากลับเข้ามาภายใน จนมีปัญญาเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ รวมถึงจิตใจตัวเอง ใจที่มีความมั่นคง กล้าหาญ รู้ว่าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไร เมื่อประสบผลดี ก็ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ไม่หลงมัวเมาในความสำเร็จ พัฒนาจิตใจตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป มีความสุขความมั่นคงตลอดทั้งวงจร

            ชีวิตเราเหมือนยืนอยู่บนปากเหว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราควบคุมสิ่งต่างๆ ให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้ แต่เราฝึกอบรมใจ ให้เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เป็นทรัพย์สมบัติที่ให้ความอบอุ่น มั่นคงกับเราได้ตลอดไป


เรื่อง ฐิตินาถ ณ พัทลุง
นิตยสาร Health & Cuisine พฤษภาคม 2551


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส + จงสู้ๆอย่าท้อ + ความมั่นคงที่แท้จริง... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkong0749 ที่ 07 เมษายน 2009, 21:03:37
กระทู้ดีมาสาระ  ขอเอาข้อมูลไปลง blog ด้วยได้มั้ยครับชอบๆๆ


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส + จงสู้ๆอย่าท้อ + ความมั่นคงที่แท้จริง... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 07 เมษายน 2009, 21:39:54
กระทู้ดีมาสาระ  ขอเอาข้อมูลไปลง blog ด้วยได้มั้ยครับชอบๆๆ

ดีใจที่ชอบ เพราะว่าไม่เสียเวลาเปล่า ไม่เมื่อยมือเปล่า  :-[ :-[
เชิญตามสบายเลย  :) :) ที่ไหนหนอ อยากจะตามไปเยี่ยม :-[ :-[


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส + จงสู้ๆอย่าท้อ + ความมั่นคงที่แท้จริง... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: k_malee ที่ 07 เมษายน 2009, 22:23:04
ขอบคุณครับ  ;D


หัวข้อ: Re: วิกฤติกับโอกาส + จงสู้ๆอย่าท้อ + ความมั่นคงที่แท้จริง... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: chaivat ที่ 07 เมษายน 2009, 22:33:58
เยี่ยมครับ กำลังใจ


หัวข้อ: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 เมษายน 2009, 20:57:27
แม่จ๋าอย่าตีหนู
การลงโทษที่พ่อแม่มักจะทำกับเด็กเมื่อเด็กทำผิด จริงๆแล้วในการสร้างวินัยให้เด็ก พ่อแม่ควรจะคิดในแง่ของการอบรมสั่งสอน มากกว่าการมุ่งลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายเด็ก เพราะพ่อแม่ คือผู้ที่จะคอยปรับพฤติกรรมของลูกให้ค่อยๆ เป็นไปตามทิศทางที่ต้องการ พ่อแม่ไม่ควรมีบทบาทเป็นผู้คุม ที่จะใช้อำนาจทำร้ายร่างกายหรือจิตใจลูก เพราะลูกไม่ใช่นักโทษ
เด็กหรือมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครสามารถงอกงามเติบโตในบรรยากาศของการทำร้าย ลงโทษ หรือสาปแช่ง ที่เขาได้รับจากผู้ที่เลี้ยงดูเขา แต่เขาจะเจริญงอกงาม ในบรรยากาศของการส่งเสริม สนับสนุนและให้กำลังใจกันเท่านั้น
ทำไมพ่อแม่ถึงนิยมที่จะตีหรือลงโทษลูก หลายคนอาจจะตอบ ว่าเพื่อให้ลูกหยุดพฤติกรรมที่คุณไม่อยากเห็นเขาทำ เช่นแกล้งน้อง ไม่ทำการบ้าน หรือถ้าเป็นเด็กวัยรุ่น ก็อาจเป็นเรื่อง หนีเที่ยว สูบบุหรี่ กินเหล้า
การลงโทษ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ได้ผลจริงหรือ
จริงหรือที่น้องเต้นหยุดรังแกน้องตุ๊ก
จริงหรือที่น้องเก๋หยุดเล่นวีดีโอเกม และหันมาทำการบ้านทุกวัน
จริงหรือที่ธงชัยไม่แอบสูบบุหรี่อีก
คำตอบคือ ไม่จริง
เขาอาจจะหยุดในช่วงที่เขาถูกทำโทษ แต่มันจะทำให้เขากลายเป็น เด็กดี ตามที่คุณต้องการตลอดไปในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า เปล่าเลย
เขาไม่ได้กลายเป็นเด็กดีขึ้น ไม่ได้ร่วมมือกับคุณมากขึ้น มิหนำซ้ำเขาอาจจะยิ่งมีอาการ หนักข้อ กับคุณยิ่งขึ้น ทำให้คุณต้องเพิ่ม ดีกรี แห่งการลงโทษของคุณให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ผลก็คือ คุณจะเหนื่อยมากขึ้นทั้งกายและใจ
เด็กเขาก็จะมีความเจ็บปวด เสียใจ และเกลียดชัง ความรู้สึกด้านลบที่ไม่อาจจะถูกลบเลือนไป ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเท่าใด
พ่อแม่บางคนอาจคิดว่าการตีหรือลงโทษจะทำให้เด็กหลาบจำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กๆ คิดคนละอย่างกับผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง สมมติว่า คุณเคยห้ามไม่ให้น้องโอ เล่นวีดีโดเกม ก่อนทำการบ้านเสร็จ ถ้าคุณอยู่บ้าน น้องโอจะไม่กล้าเล่น แต่เมื่อคุณไม่อยู่ น้องโอจะเล่นอย่างสนุกสนาน ในความคิดของน้องโอ เธอจะคิดว่า "ขอให้สนุกไว้ก่อนละกัน เรื่องถูกลงโทษเอาไว้แก้กันทีหลัง"
เมื่อคุณกลับบ้านและเจอน้องโอเล่นวีดีโอ คุณก็ลงโทษน้องโอ การลงโทษของคุณกลายเป็นสิ่งที่น้องโอคาดไว้ก่อน เป็นการชดใช้ กับความสนุกสนานที่เธอได้รับ น้องโอไม่ต้องรู้สึกผิดเพราะได้ชดใช้กรรมนั้นกับคุณไปแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเธอ และเมื่อการชดใช้ได้สิ้นสุดลง เธอก็จะรู้สึกอิสระ และทำผิดได้ ในขณะที่คุณกลับรู้สึกงงว่าทำไมลูกไม่รู้จักหลาบจำ
การลงโทษของคุณจึงไม่ได้ทำให้ลูกมีพฤติกรรมดีขึ้น ตรงข้าม เด็กๆ กลับจะเรียนรู้ว่าถ้าเขาพร้อมที่จะเสี่ยงต่อการลงโทษละก็ เขาจะผิดอย่างไร แค่ไหนก็ได้
เด็กๆที่มาจากบ้านที่มีการลงไม้ลงมือ กันแรงๆ ทุกครั้งที่เด็กทำผิด เราจะพบว่า เด็กๆมีวิธีการคิดดังนี้คือ “ไหนๆ เราก็ต้องโดนอยู่แล้ว ก็ทำมันลงไปซะเลย”
เด็กที่มีนิสัยเกเร หรือเป็นอันธพาลก้าวร้าว ที่เรียกว่า "เหลือขอ" เหล่านี้ มักจะมาจากบ้านที่เขาถูกทำร้ายร่างกาย และได้รับฟังคำพูดที่รุนแรงจากพ่อแม่ของเขาเสมอ และแน่นอนว่า เด็กๆแทบจะไม่เคยได้ยินพ่อแม่ของพวกเขา ใช้คำพูดที่ให้กำลังใจ หรือชมเชยพวกเขาเลย บ้านประเภทนี้เองจะผลิตเด็กที่เป็นเหยื่อของการใช้กำลังและในอนาคต เด็กจากบ้านทำนองนี้ ก็จะสร้างปัญหาทำให้ผู้อื่นในสังคม ต้องตกเป็นเหยื่อ ของพวกเขาด้วยเช่นกัน

จากหนังสือ ก่อนจะถึงวันนั้น ของ รศ. ดร. นวลศิริ เปาโรหิตย์  :) :)


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 เมษายน 2009, 21:05:00
สอนให้ลูกรับผิดชอบ ทำยังไงดี?

การ สอนให้เด็กๆ ให้มีความรับผิดชอบตั้งแต่เล็ก เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรทำ เพื่อให้ลูกของคุณได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทั้งกับตัวเอง และสังคมที่เขาอยู่

ซึ่งเด็กบางคนก็ดูจะสอนยากสอนเย็นเหลือเกิน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะ คอยบอก...คอยสอนเค้าอยู่ร่ำไป แต่เจ้าเด็กน้อยทั้งหลายก็ดูจะไม่ใส่ใจจำซักเท่าไร่ ...มันทำให้ต้องปวดหัวอยู่เป็นประจำ

1.คุณต้องทำเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น จำไว้เสมอว่าธรรมชาติของเด็กๆ จะมี การเรียนรู้โดยการสังเกตจากผู้ใหญ่.. มากกว่าทำตามคำบอกเล่าของคุณ อย่างเช่น....ถ้าคุณสั่งเขาว่า ถอดรองเท้าแล้ว ให้วางเก็บเขาที่ให้เรียบร้อย แต่คุณเอง พอกลับถึงบ้าน คุณกลับถอดรองเท้าวางเกลื่อนไปทั่ว เด็กๆ ก็จะเรียนรู้โดยการวางรองเท้าเกลื่อนไปเช่นเดียวกับคุณ

เด็กๆ จะไม่ทำตามที่คุณสอน แต่เขาจะทำตามพฤติกรรมที่เขาเห็นพ่อแม่ทำอยู่ทุกวัน ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น จำไว้ว่าคุณเป็นต้นแบบของลูกๆ คุณควรแสดงพฤติกรรมของความรับผิดชอบให้เขาเห็น ซึ่งเขาจะเลียนแบบพฤติกรรมนี้เข้าไปทีละเล็กละน้อย

2. หากต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมรับผิดชอบอะไร ควรสอนเขาทีละขั้นตอน พฤติกรรมบางอย่างอาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และเป็นการเรียนทีละขั้นตอน จะง่ายกว่าการคาดหมายให้เด็กทำได้หมดในคราวเดียวกัน

ซึ่งคุณควรสอนเขาอย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่อยากหงุดหงิดกับการที่ลูกทำแล้วไม่ได้อย่างใจคุณ

เช่น ต้องการบอกให้ลูกทำความสะอาดห้อง คุณควรจะแสดงให้เขารู้ว่า การทำความสะอาดนั้นมีวิธีการทำอย่างไร และอย่างไหนเรียกว่า "สะอาด" หรือ "ไม่สะอาด"

แต่อย่างเพิ่งคาดหวังว่าลูกๆ จะต้องทำได้อย่างที่คุณคาดเอาไว้ ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน

3. ให้ลูกมีโอกาสรับผิดชอบงานในบ้านบ้าง
พ่อ แม่บางท่านคอยพะเน้าพะนอทำโน่นทำนี่ให้ลูกทุกอย่าง...เจ้าลูกๆก็เลยไม่ต้อง รับผิดชอบอะไรเลย การทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับลูกของคุณเลยนะคะ ตรงกันข้าม..กลับทำให้เด็กเติบโตอย่างขาดความรับผิดชอบ ไม่เข้าใจชีวิต และโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมรับผิดชอบต่ออะไรเลย

ดังนั้น ถ้าคุณรักลูก โปรดให้เขาได้มีโอกาสรับผิดชอบในเรื่องที่เด็กในวัยของเขา สามารถรับผิดชอบได้ทีละเล็กละน้อย

ยกตัวอย่างน้องแทน ตอนนี้เค้าอายุ 3 ขวบกว่าๆ.. เค้าเริ่มชงนมกินเองได้ (แต่เราต้องคอยดู) ถึงแม้ตอนแรกจะทำเลอะไปหมดเลย แต่เค้าจะทำได้ดีขึ้น สะอาดขึ้นถ้าเราคอยบอกเค้า ....ไม่อดตายแล้วลูก

4. ตรวจสอบความเข้าใจในสิ่งที่คุณให้เขารับผิดชอบ
คุณอาจจะนั่งพูดคุย หรือเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า คุณอยากให้เขาทำสิ่งใด ทำอย่างไร ทำเมื่อไร เพื่อจะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกับเขาว่า คำสั่งของคุณไม่ชัดเจน

เมื่อ เขาทำสิ่งที่คุณต้องการได้ดี คุณอาจมีรางวัลบางอย่างให้เขา รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ของขวัญราคาแพง แต่อาจเป็นการอนุญาตให้เขานอนดึกได้ในบางคืน ดูรายการโทรทัศน์ ที่เขาชอบได้นานขึ้น ไปเที่ยวกับเพื่อนได้ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้แล้วแต่ที่เด็กวัยเขาต้องการ

แต่ถ้าเขาไม่ทำพฤติกรรมที่รับผิดชอบ คุณก็ต้องตกลงกับเขาก่อนว่า โทษของเขาควรเป็นอย่างไร เช่น อาจถูกตัดค่าขนม ไม่ได้ไปเที่ยว หรือถ้าเขาทำสิ่งของเสียหาย คุณอาจสอนให้เขารับผิดชอบ โดยการหักเงินเขาหรือให้เขาซื้อของใหม่มาแทนสิ่งที่เขาทำเสีย ในกรณีที่เขาทำบ้านสกปรก เขาอาจจะต้องมาทำความสะอาดบ้านด้วยตนเองจนสะอาด เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เด็กจะต้องรู้ก่อนเสมอว่า ถ้าเขาทำพฤติกรรมที่รับผิดชอบผล จะเป็นเช่นไร และถ้าไม่รับผิดชอบผลเสียคืออะไร และเมื่อเขาตัดสินใจทำลงไปคุณต้องทำ (ให้รางวัลหรือลงโทษ) ตามที่ได้ตกลงกับเขาไว้เสมอ

5. เมื่อคุณสั่งให้เขาทำสิ่งใด แล้วเขาไม่ทำ แม้ว่าคุณจะโกรธก็อย่าใช้อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรงกับเขา บอกให้เขารู้ว่าเขายังไม่ได้ทำสิ่งนั้นๆ และขอให้เขาทำในทันที
การขึ้นเสียง หรือใช้อารมณ์กับลูกๆ นั้น นอกจากจะไม่ เป็นผลดีใดๆ กับภาพพจน์ของตัวคุณแล้ว ยังแสดงให้ลูกรู้อีกด้วยว่า คุณเป็นคนที่ระงับอารมณ์ไม่อยู่ และเขาก็คงจะเลียนแบบการขึ้นเสียง เอากับคุณบ้างในโอกาสต่อไป

6. เมื่อเขาเริ่มมีพฤติกรรมที่รับผิดชอบมากขึ้น ให้พูดหรือแสดงออกให้เขารู้ว่าคุณชื่นชม
และปลื้มใจในตัวเขา พ่อแม่บางคนชอบที่จะดุว่าลูก เมื่อลูกทำผิด แต่ไม่เคยชื่นชมหรือแสดงความรู้สึกที่ดีกับลูก เมื่อเขามีพฤติกรรมดีเลย การกระทำเช่นนั้นไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งสำหรับเด็ก

โปรดระลึกเสมอว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะชอบคำชื่นชมมากกว่าตำหนิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ เมื่อเขาได้รับคำชมจากผู้ที่เขารักก็จะแสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้น พ่อแม่ทุกคนจึงไม่ควรลืมที่จะสังเกตลูก เมื่อเขาทำสิ่งใดที่น่าชื่นชมยินดี โปรดบอกให้เขารู้ อย่าชื่นชมในใจ เพราะเขาอ่านใจคุณไม่ออก

พฤติกรรม การรับผิดชอบก็เช่นเดียวกับพฤติกรรมอื่นๆ จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจ เวลา และความอดทนของพ่อแม่ ในการค่อยๆ ดัดและปรับการแสดงออกของเด็ก


พ่อแม่ทุกคนควรถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะอบรมสั่งสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบกับชีวิตตั้งแต่เด็ก เพราะมันจะเป็นดังเมล็ดพันธุ์ที่ค่อยๆ เจริญงอกงามในจิตใจ และกลายเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง ของบุคลิกภาพในอนาคตของเขา

 ::) ::) ::)
ข้อมูล : หนังสือก่อนจะถึงวันนั้น โดย รศ.ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย์


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณป้าขา ที่ 25 เมษายน 2009, 21:28:17
คิดถึง จขกท.   :-[


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 25 เมษายน 2009, 21:51:03
คิดถึง จขกท.   :-[

คิดถึงแฟนๆ เช่นกัน  :-[ :-[
กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วหรือจ๊ะ  :)
จะว่าไปเห็นบางมุมคุณป้าขา ก็คล้ายๆน้องการ์ตูนที่เป็นแฟนโดม เหมือนกันนะ


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: khanom ที่ 26 เมษายน 2009, 07:35:30
ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆคะ ชอบๆ เดี๋ยวขอเอาไปลงบล็ิิอกบ้างนะคะ  :D :D

ว่าแต่หายไปไหนมาไม่ค่อยเห็นโพสเลยพักนี้


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: อุ้ม ที่ 26 เมษายน 2009, 12:30:47
เยอะแยะ

อ่านไม่หมดเรยอ่า  :)

ขอบคุณค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ  :-*


หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Normaderm ที่ 26 เมษายน 2009, 12:35:18
หากเราคิดในทางสร้างสรรค์
ความล้มเหลวยังทำให้เรามีสติปัญญาคิดไตร่ตรองมากยิ่งขึ้น
มีกำลังใจที่เข็มแข็ง มีความเชื่อมั่น เข้าใจในความทุกข์
และมีความอุตสาหะมากยิ่งขึ้นด้วย
ถ้าเราคิดได้ดังนี้เราจะมีแรงฮึด
ลุกขึ้นมาสู้ได้อีกอย่างแน่นอน


 :'(



หัวข้อ: Re: แม่จ๋าอย่าตีหนู... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 26 เมษายน 2009, 23:17:35
ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆคะ ชอบๆ เดี๋ยวขอเอาไปลงบล็ิิอกบ้างนะคะ  :D :D

ว่าแต่หายไปไหนมาไม่ค่อยเห็นโพสเลยพักนี้

ก็ไม่ได้หายไปไหนจ๊ะ ส่วนมากจะไม่ได้ล็อกอินเข้ามา  :-[ :-[ แต่ก็เข้ามาดูผ่านๆ อยู่เรื่อยๆ
โดยส่วนใหญ่ก็จะไปทำบุญจ้า..  :) :) :)


หัวข้อ: มาราธอน ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 15 พฤษภาคม 2009, 16:13:32
มาราธอน

ลูกชายของ เพื่อนรักคนหนึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แม่เห็นเด็กแอบไปร้องไห้เงียบๆ คนเดียว ผมเชื่อว่าเขาไม่ใช่เด็กคนเดียวในประเทศนี้หรือในโลกนี้ที่ร้องไห้เงียบๆ เมื่อพลาดหวัง ในโลกที่คำว่า 'ความสำเร็จ' วัดกันที่ผลการสอบแข่งขันชิงพื้นที่เรียน ย่อมมีคนร้องไห้เสมอ

ผู้ที่สอบผ่านเข้าสถาบันที่ตนเลือก หรือสถานที่เรียนที่มีชื่อเสียงอาจยินดีปรีดา แต่นี่ไม่ใช่การแข่งขันครั้งสุดท้าย

ความสามารถกับการเตรียมพร้อมรับมือการสอบเป็นเรื่องหนึ่ง ความเครียดกับความวิตกกังวลต่อผลที่อาจเกิดขึ้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และสองเรื่องนี้มักมาคู่กัน เด็กที่ต้องเข้าห้องสอบในเกมที่อาจตัดสินอนาคตเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าจะ เครียดที่สุดในจักรวาล จึงไม่ประหลาดใจที่มีคนจำนวนมากในโลกที่เกลียดระบบการแข่งขันแบบนี้

ผมนึกถึงตัวเอง ตลอดชีวิตผ่านการสอบในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเป็นโรคเกลียดกลัวการสอบแข่งขัน ความกลัวนี้ฝังลึกในจิตใต้สำนึก ผมเชื่อว่าผมไม่ใช่คนเดียวในโลกนี้ที่ฝันร้ายว่ากำลังสอบอยู่และทำข้อสอบไม่ ได้

ทว่าความจริงชีวิตในโลกที่มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ เราต้องแข่งขันตั้งแต่วินาทีแรกของการปฏิสนธิ แต่ละชีวิตที่เกิดมาในโลกล้วนสอบผ่านด่านแรกซึ่งประกอบด้วยผู้แข่งหลายล้าน ตัวโดยมีเส้นชัยอยู่ที่รังไข่ เมื่อโตขึ้นมาก็แข่งกันหาที่เรียน เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องการโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ลูก จากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถม จากโรงเรียนประถมสู่โรงเรียนมัธยม จากโรงเรียนมัธยมสู่มหาวิทยาลัย และจากมหาวิทยาลัยสู่โลกของการทำงานแบบผู้ใหญ่ แข่งขันแย่งลูกค้ากัน

เราหนีไม่พ้นการแข่งขัน! แข่งขันกันทั้งชีวิต!

แล้วจะทำอย่างไรในโลกของการสอบการแข่งแบบนี้?

ในเมื่อเรายังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการคัดเด็กเข้าโรงเรียนและ มหาวิทยาลัย ยังไม่อาจเปลี่ยนค่านิยมของการมุ่งเข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง อย่างน้อยที่สุดเราก็ควรปลูกฝังค่านิยมและความเข้าใจแก่เด็กว่า :

หนึ่ง ความล้มเหลวในชีวิตไม่ได้มาจากการสอบเข้าสถาบันศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศไม่ได้

สอง ความสำเร็จในชีวิตมาจากการแข่งขันกับตัวเอง ไม่ใช่กับคนอื่น

การพลาดหวังจากการสอบเข้าสถาบันศึกษาใดๆ จะเป็นความผิดพลาดก็ต่อเมื่อเราไม่สามารถเรียนรู้เหตุผลของความผิดพลาดนั้นและแก้ไขมันเสีย

ความผิดพลาดก็มีประโยชน์ของมัน หากรู้จักใช้ มันจะเป็นฐานที่แข็งแรงในการก้าวเดินต่อไป

ชีวิตก็เหมือนการวิ่งมาราธอน 'ความสำเร็จ' ในชีวิตนั้นไม่ได้วัดกันที่สองสามก้าวแรก ไม่ได้วัดกันว่าใครถึงหนึ่งร้อยเมตรแรกก่อน ใครก้าวถึงสี่ร้อยเมตรแรกแล้ว แต่ดูที่ความอึดของการวิ่ง การไม่ยอมแพ้ทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อย การไม่หยุดวิ่งทั้งที่คนอื่นคนแล้วคนเล่าวิ่งแซงหน้าเราไป ไปจนถึงการเรียนรู้ที่จะไม่สะดุดล้มแบบเดิมอีก

นี่ก็คือความสำเร็จ และความสำเร็จของการแข่งกับตัวเองนั้นอยู่เหนือความสำเร็จของการแข่งขันกับคนอื่นมากนัก

บทความโดย วินทร์ เลียววาริณ


หัวข้อ: อัจฉริยะ...บนยอดตึก ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 27 พฤษภาคม 2009, 11:45:18
อัจฉริยะ...บนยอดตึก

วันนี้เลยขอเอา forward mail ที่ชอบมาก ๆ อีกเรื่องนึงมาฝาก...เผื่อท่านที่ยังไม่ได้อ่าน!

เรื่องนี้อ่านแล้วได้หลากหลายอารมณ์จริง ๆ ครับ ทั้งขำ ๆ + ความรู้ (ที่ไม่คงไม่ได้นำไปใช้)
แถมด้วยความสะใจเล็ก ๆ (แบบประชดประชัน)

ลองอ่านดูนะ  :)

โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้

"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

บาโรมิเตอร์ คือเครื่องมือวัดความกดอากาศ

(อากาศนั้นมีน้ำหนักหรือมีแรงกด และแรงกดของอากาศนั้น
เมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)

นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า

"เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบาโรมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก
แล้วก็เอาความยาวเชือก บวกความสูงบาโรมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"

อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก!!

นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า คำตอบของเขา
ควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และคำตอบของเขา
ก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์

ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้
และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์

ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการ
จึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า
โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม
เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่
กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร

นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์
แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี

และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบาโรมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา
จับเวลาจนถึงพื้นความสูงของตึกหาได้จาก
สูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอ ให้วัดความสูงบาโรมิเตอร์
แล้วก็วางบาโรมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของ
เงาบาโรมิเตอร์์ จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก
แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึก
โดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้น ๆ มาผูกกะบาโรมิเตอร์
แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน
แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้าความสูงของตึก
จะหาได้จากความแตกต่างของคาบการแกว่ง
เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล
คำนวณจาก
T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

หรือถ้าตึกมีบันไดหนีไฟ
ก็ง่าย ๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบาโรมิเตอร์ทาบ
แล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดตึกนับไว้
คูณด้วยความสูงของบาโรมิเตอร์ก็จะได้ความสูงตึก

แต่...ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก
ก็เอาบาโรมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก
คำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมา
ก็คือ ไปเคาะประตูห้องคนดูแลตึก
แล้วถามว่า อยากได้บาโรมิเตอร์สวย ๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม?
ช่วยบอกความสูงของตึกให้ที...แล้วจะยกให้

.....

นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
ในปีค.ศ.1922


หัวข้อ: ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 05 มิถุนายน 2009, 13:15:02

ปุจฉา
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว


วิสัชนา

ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

ว.วชิรเมธี  :) :) :)  ::)

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต

ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า

“เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ”

ชีวิต ของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี

วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก

วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่ พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก

คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ แต่ สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม

คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?

(๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ

(๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ

(๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง

(๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง

(๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป

(๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน

(๗) คำ ด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ

(๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้

(๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์)

(๑๐) คำ ด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด

เพราะคำด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว


หัวข้อ: Re: ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: aseptic ที่ 05 มิถุนายน 2009, 20:45:45
 :)


ดีมากๆ ค่ะ


หัวข้อ: Re: ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Hikki ที่ 05 มิถุนายน 2009, 21:28:49
เข้ากับสถานการณ์  :D


หัวข้อ: Re: ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 06 มิถุนายน 2009, 18:03:41
เข้ากับสถานการณ์  :D

แน่ะ รู้ทัน  :-[ :-[


หัวข้อ: Re: ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: darksammer ที่ 06 มิถุนายน 2009, 21:10:41
ได้อะไรดีดีเยอะเลย


หัวข้อ: คำบวกคำลบ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 08 มิถุนายน 2009, 14:27:54
คำบวกคำลบ
นักเขียนสุนทรพจน์พิถีพิถันกับการเลือกใช้คำเช่นเดียวกับจิตรกรเลือกใช้สี และขนาดพู่กัน เพราะหากเลือกคำไม่เหมาะสมเพียงคำเดียว ความหมายก็อาจผิดไปเลย หรือเป็นแง่ลบได้โดยไม่ตั้งใจ

ยก ตัวอย่างเช่น ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งใช้สโลแกนโฆษณาว่า "เค็ม... แต่ดี" แม้ว่าความหมายจะชัดเจนว่าความเค็มช่วยรักษาเหงือกและฟันให้แข็งแรง คำว่า 'แต่' มีนัยของด้านลบอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบยาสีฟันรสเค็ม

หากจะพูดแบบด้านบวกก็คือ "เค็ม... จึงดี" จะสวยงามกว่า นั่นคือก็เพราะมันเค็ม มันจึงดี

โฆษณาบ้านจัดสรรหลายแห่งใช้คำว่า "ราคาเพียง 35 ล้าน" หรือ "แค่ 35 ล้านบาท"

35 ล้านบาทย่อมไม่ใช่เงินเล็กน้อย การใช้คำว่า 'เพียง' หรือ 'แค่' จึงเหมือนกับคนพูดอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง

'ราคา เพียงหนึ่งพันบาท' กับ 'ราคาถึงหนึ่งพันบาท' อาจให้ความหมายต่างกัน ขึ้นกับลักษณะการใช้ เช่น เมื่อได้รับส่วนลดในการซื้อรถยนต์คันหนึ่งเป็นเงินหนึ่งพันบาท ถ้าคนขายใช้คำว่า "ลดให้ถึงหนึ่งพันบาท" คนซื้ออาจรู้สึกว่าลดไม่มาก แต่หากเป็นการซื้อรองเท้าหรือเสื้อผ้า "ลดให้ถึงหนึ่งพันบาท" อาจจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามาก

การใช้คำเล็กๆ น้อยๆ จึงมีความสำคัญ

ใน ชีวิตจริงของคนเรา ต้องเจอะหน้าเจอตาผู้คนมากมาย เราไม่อาจเลี่ยงการพูดจากับคนอื่น มันจะเป็นเครื่องมือหรืออาวุธก็แล้วแต่การใช้ การใช้คำพูดที่เหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเจ้านายสั่งงานลูกน้องว่า "ทำให้เสร็จภายในห้าโมงเย็น" อาจให้ความรู้สึกต่างกับ "ขอโทษด้วยที่เร่งคุณ แต่ช่วยทำให้เสร็จภายในห้าโมงเย็นนะครับ"

ใน หลายกรณี คนที่ใกล้ชิดกันมักจะลืมไปว่า คำพูดอ่อนโยนยังเป็นสิ่งจำเป็น เช่นสามีพูดกับภรรยาว่า "เอาน้ำมาแก้วนึง" ย่อมให้ความรู้สึกต่างจาก "ช่วยรินน้ำมาแก้วนึงได้มั้ยจ๊ะ" แค่เติม 'จ๊ะจ๋า' ในประโยค ความรู้สึกก็ต่างกันใหญ่หลวง

ภรรยาบางท่านนิยมใช้คำว่า "นี่คุณ" นำหน้าประโยค คำนี้มีนัยของแง่ลบอยู่บ้าง เพราะ "นี่คุณ" มีความหมายในเชิงว่า ประโยคที่ตามคำนี้จะเป็นประโยคคำสั่ง แค่เปลี่ยนคำนี้เป็น "คุณคะ" หรือ "คุณขา" ก็ดีกว่าเดิมหลายเท่า

จริงไหมจ๊ะ?  :-[ :-[ :-[
บทความโดย...วินทร์ เลียววาริณ


หัวข้อ: Re: คำบวกคำลบ.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: PositiveThinking ที่ 08 มิถุนายน 2009, 15:06:33
ขอเป็แฟนคลับด้วยคนนะครับ +1


หัวข้อ: อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 21 มิถุนายน 2009, 19:50:30
อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้

"ดูก่อนอุปกะ เราจะขอสาธกให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง" นานมาแล้ว มีมานพหนุ่มน้อยลามารดาบิดาไปเรียนศิลปวิทยา ณ สำนักทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา เมื่อเรียนจบแล้วจึงลาอาจารย์กลับบ้าน มารดาต้อนรับเขาด้วยความยินดียิ่ง เมื่อสนทนากันไปมารดาถามว่า ลูกได้เรียนอสาตมนต์แล้วหรือ

ลูกชายตอบว่า ยังไม่ได้เรียน มารดาจึงขอร้องให้ไปเรียนอสาตมนต์เสียก่อน เขาจึงลามารดาไปหาอาจารย์กราบเรียนให้อาจารย์ว่ายังมีมนต์สำคัญอยู่อย่าง หนึ่ง ซึ่งเขายังมิได้เรียนจากอาจารย์ มารดาของเขาขอร้องให้มาเรียนอสาตมนต์ อาจารย์ได้ทราบดังนั้นยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า "มานพ เวลานี้เรามาพักอยู่ในป่าไม่มีใครเลย นอกจากเราและมารดาผู้ชราของเรา เธอจะปฏิบัติบำรุงมารดาของเราสักชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วเราจะบอกอสาตมนต์ให้ แต่ในขณะที่ปฏิบัติมารดาของเรา เช่นการอาบน้ำ ป้อนข้าวให้ และนวดเฟ้นให้ เจ้าจงชมเชยอวัยวะต่างๆ แห่งมารดาของเราทุกครั้งไป เช่น "ว่ามือสวย เท้าสวย เป็นต้น" มานพหนุ่มรับคำของอาจารย์ด้วยความปีติยินดี

ตั้งแต่วันนั้นมาเขาตั้งใจปฏิบัติมารดาของอาจารย์ เช่นการอาบน้ำให้ ป้อนข้าว และนวดเฟ้นเป็นต้น
"มือและแขนของคุณแม่สวยน่าดูเหลือเกิน" วันหนึ่งเด็กหนุ่มเริ่มทำตามที่อาจารย์สอน

นางยิ้มอย่างร่าเริง ทั้งๆ ที่ฟันของนางหักหมดแล้วและกล่าวว่า
"มือและแขนของฉันสวยจริงๆ หรือ พ่อหนุ่ม ฉันแก่แล้วนะ"
" คุณแม่แก่แล้วมือและแขนยังสาวขนาดนี้ เมื่อคุณแม่สาวๆ คงจะสวยมิใช่น้อย ขาและเท้าของคุณแม่ก็สวย ใบหน้าก็งามซึ้งน่าดูเหลือเกิน กระผมดูไม่เบื่อเลย เมื่อคุณแม่ยังสาวคงจะสวยหาคนเสมอเหมือนมิได้"

นาง รู้สึกปีติยินดีอย่างล้นเหลือ เป็นเวลานานมาแล้วที่นางไม่เคยได้ยินคำอ่อนหวานระรื่นหูชูกำลังใจอย่างนี้ เลย อะไรเล่าจะเป็นที่พอใจของสตรีมากเท่าได้ยินคำชมว่าเธอสวย ไม่ว่าสตรีนั้นจะอยู่ในวัยใด มานพหนุ่มเวียนพูดชมเชยนางผู้เป็นมารดาของอาจารย์อยู่อย่างนี้ทุกวัน บางคราวเขายังพูดเพิ่มเติมว่าถ้าเขาได้ภรรยาที่มีความงามพร้อมเพียงครึ่ง หนึ่งของนาง เขาก็จะมีความสุขหาน้อยไม่ และทำทีเป็นมีความรู้สึกเสน่หาในตัวนางเสียสุดประมาณ จนกระทั่งนางรู้สึกว่า หนุ่มน้อยนี้คงมีจิตพิศวาสปฏิพัทธ์ในตัวนางเป็นที่ยิ่ง วันหนึ่งจึงถามว่า

"พ่อหนุ่ม! เธอมีความพอใจในตัวเรามากหรือ?"
"มากเหลือเกิน คุณแม่ กระผมไม่ทราบจะสรรหาคำพูดใดๆ มาพูด ให้สมกับความรู้สึกที่กระผมมีต่อคุณแม่ได้"
"เธอจะเลี้ยงดูเราอย่างนี้ตลอดไปหรือ?"
" ตลอดไป คุณแม่ การได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่เป็นความสุขอย่างยิ่งของกระผม ถ้าคุณแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปสักร้อยปี และกระผมปฏิบัติคุณแม่อยู่อย่างนี้ถึงร้อยปี กระผมก็จะไม่เบื่อหน่ายเลย"

หญิง ชราเข้าใจว่า มานพหนุ่มมีจิตปฏิพัทธ์ในตน ให้รู้สึกกระสันยิ่งนัก จึงกล่าวว่า "ก็จะเป็นไรไปเจ้าหนุ่ม เมื่อเธอปรารถนาอย่างนั้นก็คงจะเป็นได้ เมื่อเธอต้องการจะร่วมอภิรมณ์กับเรา เราก็ยินดี"
"จะทำได้อย่างไรคุณ แม่ คุณแม่เป็นแม่ของอาจารย์ กระผมต้องเคารพยำเกรงคุณแม่ยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก ตราบใดที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ กระผมจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย" ว่าแล้วมานพหนุ่มก็แกล้งเคล้าเคลียและเอาใจหญิงชรายิ่งขึ้น

"พ่อหนุ่ม" หญิงชราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "เธอจะปฏิบัติเราไม่ทอดทิ้งเราจริงๆ หรือ?"
"ข้อนี้กระผมรับรองได้ คุณแม่" มานพตอบ
"ถ้าอย่างนั้นจะขัดข้องอะไรกับเรื่องชีวิตลูกชาย เธอฆ่าเขาเสียก็หมดเรื่อง"
" กระผมจะฆ่าเขาได้อย่างไรครับคุณแม่ ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนศิลปศาสตร์ให้กระผม และดีต่อกระผมเหลือเกิน กระผมฆ่าท่านไม่ได้ดอก" มานพยืนยัน
"เธอรับรองแน่นะว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งฉัน" หญิงชราพูด
"ข้อนี้กระผมรับรองครับ คุณแม่" ชายหนุ่มตอบ
"ถ้าอย่างนั้น เมื่อเธอฆ่าไม่ได้ฉันจะฆ่าเขาเอง" หญิงชราพูดอย่างมั่นคง
" เอาไว้รอคิดการดีๆ ให้รอบคอบก่อนเถิดครับคุณแม่" พูดแล้วชายหนุ่มก็ออกจากห้องของหญิงชราไปหาอาจารย์ เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ทราบ ความจริงเขาเล่าเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้นมาให้อาจารย์ทราบโดยตลอด เพราะถือว่าเป็นการเรียน และเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของอาจารย์ที่จะสอนศิษย์เรื่องอสาตมนต์ ชายหนุ่มพูดอย่างไร หญิงชราแสดงอาการอย่างไร และโต้ตอบอย่างไร อาจารย์ได้รับทราบจากชายหนุ่มเป็นระยะๆ ตลอดมา

เมื่ออาจารย์ได้ ทราบจากชายหนุ่มว่ามารดาของตนคิดจะฆ่าตน ทีแรกรู้สึกสลดใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากอาจารย์เป็นผู้รู้เรื่องอย่างนี้ดีอยู่แล้ว จึงวางเฉยได้ในไม่ช้า และตรวจดูอายุขัยแห่งมารดาตน ทราบว่าถึงอย่างไรๆ มารดาก็หมดอายุในวันพรุ่งนี้แล้ว ถึงเหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มารดาก็จะต้องตายในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว จึงต้องการจะสอนศิษย์ให้รู้แน่ใจในวิชาอสาตมนต์จึงบอกชายหนุ่มให้ไปตัด ต้นไม้ต้นหนึ่ง ทำให้มีลักษณะคล้ายรูปคน แล้วนำมาวางไว้บนเตียงนอนของอาจารย์เอาผ้าคลุมไว้ แล้วเอาเชือกขึงจากห้องมารดาทำเป็นราวมาสู่ห้องของตน

ทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มเข้าไปสู่ห้องของมารดาอาจารย์ นวดเฟ้นปฏิบัติอย่างที่เคย กล่าวชมเชยความงามของหญิงชราด้วยประการต่างๆ
"ว่าอย่างไร พ่อหนุ่ม" หญิงชราพูดขึ้น "เมื่อเธอไม่ฆ่า เราจะฆ่าเอง"

" คุณแม่จะฆ่าจริงๆ หรือ?" ชายหนุ่มถามแล้วแสร้งคลอเคลียแสดงความรักในหญิงชราให้มากขึ้น ด้วยความเคลิบเคลิ้มและหลงใหล หญิงชรายืนยันอย่างแข็งขันว่าจะฆ่า ชายหนุ่มจึงกล่าวว่าเขาได้เตรียมแผนการไว้พร้อมแล้ว "นี่ขวาน" เขากล่าว "คุณแม่เดินไปตามเส้นเชือกที่ขึงไว้นี้ ปลายเชือกไปสุดลงที่ใด ที่นั่นเป็นเตียงนอนของอาจารย์ เวลานี้อาจารย์นอนหลับแล้ว พอสุดปลายเชือกเอี้ยวตัวมาทางขวานิดหนึ่งจะตรงคออาจารย์พอดี คุณแม่ฟันทีเดียวให้คอขาด แล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกต่อไป"

หญิง ชรานัยน์ตาฝ้าฝาง มองอะไรไม่ค่อยจะเห็นแล้ว เดินไม่ค่อยถนัดเพราะความแก่เฒ่า รับขวานจากชายหนุ่มแล้วงกงันเดินคลำเส้นเชือกไป ใจของเธอเวลานี้ถูกห่อหุ้มด้วยโมหะ ถูกความเสน่หาเร่งเร้าปลงใจฆ่า แม้แต่ลูกของตนเองซึ่งมีความดีงามพร้อมทุกประการ

เมื่อเดินคลำเส้น เชือกมาถึงปลายสุด หญิงชราก็เอี้ยวตัวมาคลำดูบนเตียง มองเห็นรางๆ เหมือนภาพคนนอนคุมผ้าอยู่ นางแน่ใจว่าเป็นลูกชายตนจึงจ้วงคมขวานลงสุดแรง คมขวานกระทบไม้ดังโผะ นางรู้ตัวว่าถูกหลอกเสียแล้ว ตกใจอย่างยิ่งประจวบกับชรามากถึงแล้วซึ่งอายุขัย นางจึงสิ้นใจตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง

อาจารย์และศิษย์หนุ่มเฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยตลอดสังเวช สลดใจเป็นที่ยิ่ง ทั้งสองยืนเศร้าซึมอยู่ใกล้ๆ ร่างของหญิงชราอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่า

" มานพ! เธอได้เรียนอาสตมนต์จบเรียบร้อยแล้ว" ชายหนุ่มทรุดตัวลงกราบอาจารย์และกอดเท้าทั้งสองไว้ พร่ำรำพันถึงเมตตากรุณาของอาจารย์ที่มีต่อตน น้ำตาของเขาหยดลงสู่หลังเท้าของอาจารย์ ในขณะนั้นความรู้สึกของเขาสับสนวุ่นวาย จนไม่อาจพรรณนาได้ว่าเป็นฉันใด
นี่เอง อสาตมนต์ที่มารดาของเขาเร่งเร้าให้มาเรียน ช่างเป็นวิชาที่แปลกและมีคุณค่าแก่ชีวิตอย่างเหลือล้น

ที่มา หนังสือพระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน วศิน อินทสระ


หัวข้อ: Re: อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Kamilia ที่ 21 มิถุนายน 2009, 20:11:30
โอ้++ไว้จะสวดให้สาวๆ SNSD ฟัง ทิฟฟานี่จะได้หลง 555+


หัวข้อ: Re: อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: O be one ที่ 21 มิถุนายน 2009, 20:14:21


   ไม่คิดมาก..มันก็ดีไปอย่างครับ :D :D :D


หัวข้อ: Re: อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Himalayan ที่ 21 มิถุนายน 2009, 20:27:47
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง.. "อสาตมนต์"  :-[ 
อำนาจของโมหะ ช่างรุนแรงนักขนาด แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พี่น้องฆ่ากันเอง ได้เลย ก็เพราะตัวนี้แท้ๆ  :P
และจะทำไงถึงขจัดกิเลส ตัวนี้ออกจากใจได้ แนะนำเพิ่มหน่ิอยซิครับ  :-*


หัวข้อ: Re: อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: khanom ที่ 21 มิถุนายน 2009, 21:29:48
เป็นอย่างนี้นี่เอง ใครหลงกับมนต์นี้ถึงกับทำเรื่องไม่คาดคิดไ้ด้เลย  :P :P


หัวข้อ: ว่ากันด้วยเรื่องสาเหตุของการที่ผู้ปกครองพ่อแม่ คุยกับลูกไม่รู้เรื่อง . (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 20 กรกฎาคม 2009, 19:04:25
หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัด ท่าขนุน
ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เล่มล่าสุด ฉบับที่ ๖๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ มีบันทึกบทสนทนาเรื่องปัญหาครอบครัวไว้ ขออนุญาตนำมาพิมพ์แบ่งปัน ดังนี้

ถาม : ... ว่ากันด้วยเรื่องสาเหตุของการที่ผู้ปกครองพ่อแม่ คุยกับลูกไม่รู้เรื่อง .... ที่ว่ากันมานี้ เป็นเพียงส่วนเหนึ่งเท่านั้น เรื่องความรัก และความเข้าใจในครอบครัว เรื่องนี้พูดกันมามาก เพราะไม่เข้าใจกัน ท่านพระคุณเจ้าพอจะมีหลักที่จะเสริมสร้าง ความเข้าใจอันดีในครอบครัวหรือไม่ อย่างไรบ้าง?

ตอบ : จริง ๆ แล้ว มันพูดภาษาเดียวกันนั่นแหละ แต่มันคนละอารมณ์กัน ส่วน ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่มักจะลืมไปว่า ตอนเป็นเด็ก ตัวเองทำอะไรไว้ ต้องการอะไรบ้่าง แล้วพอถึงเวลา ลูกก็ไปทำซ้ำ ๆ กับที่ตัวเองทำนั่นแหละ แต่ไม่ชอบใจ คราวนี้ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่พยายามเข้าใจเด็กตรงจุดนี้ ถึงพูดเรื่องเดียวกัน มันก็กลายเป็นคนละภาษา เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้ว ก็คือว่าในช่วง โดยเฉพาะวัยรุ่น กำลังพลังงานเหลือเฟืออยู่ ผู้ใหญ่เรามีหน้าที่ประคับประคองเท่านั้น ชี้แจงเหตุชี้แจงผลอะไรให้เขาเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ต้องชี้แนะชักนำหรอก โดยธรรมชาติแล้ว ทุกคนมีความใฝ่ดีอยู่ในตัว ถ้ามีคนที่เป็นที่ปรึกษาที่เขาไว้ใจอะไรได้ เขาก็ยินดีที่จะมาปรึกษา แต่ว่า ไอ้ความที่ว่า วัยรุ่นกำลังไฟแรง เขาไม่ชอบให้ใครครอบงำทางความคิด ดังนั้นเราก็ควรจะแยกแยะทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กระจ่าง แล้วให้เขาเลือกเอาเองว่า เขาจะเลือกเดินแบบไหน มันจะเป็นความยินยอมพร้อมใจโดยเฉพาะของเขา ถ้าเขาเลือกผิดนะ อย่าโกรธ รอไว้เดี๋ยวมันเดือดร้อนเมื่อไหร่ มันกลับมาเอง ตอนกลับมานี่แหละ อย่าซ้ำเติมเป็นอันขาด ประเภทที่ว่า ได้แผลมา ก็ใส่ยาให้อย่างนั้นแหละ แล้วก็ยุมันไปใหม่ ถ้าเขาเห็นว่า บ้าน พ่อแม่ ผู้ใหญ่ในบ้าน เป็นที่พึ่งเขาได้ เด็กไม่ไปไหนหรอก ถึงเวลามันกลับบ้านก่อน ที่อื่นไม่สบายเหมือนบ้านแน่ ๆ แต่ทุกวันนี้ เขาพยายามทำบ้านเหมือนกับนรก อย่างที่เด็กมันว่า ถึงเวลาก็บีบคอเค้นเอา มีเด็กอยู่คนหนึ่ง กำลังเรียนอยู่ปี ๑ ที่เทคโนพระจอมเกล้า พ่อเขาโกรธนักโกรธหนา ตีกระจายเลย บอกว่า เด็กมันชอบโกหก ฟ้องหลวงพ่อบอกงั้น เอามาฟ้องอาตมา อาตมาแค่พูดประโยคเดียวเลย บอกว่า ถ้าไม่จำเป็น เด็กมันไม่โกหกหรอก เท่านั้นแหละ เด็กเขาบอก แล้วทำไมพ่อเขาไม่คิดอย่างนี้บ้าง ถ้าไม่จำเป็น เราอยากโกหกมั้ย? ไม่มีใครอยากโกหกหรอก คราวนี้ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก ในเมื่อไม่เข้าใจเด็ก ๆ เขาเองเขาเห็นว่า เขาไม่สามารถจะพึ่งได้ เขาก็ไปกับเพื่อน คราวนี้ ระหว่างเพื่อนด้วยกัน อายุมันไล่เลี่ยกัน ประสบการณ์ใกล้เคียงกัน มันช่วยกันไม่ได้มากหรอก ลองผิดลองถูกไปเรื่อยแหละ คนไหนโชคดีลองถูกก็เฮงไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกิน ๙๐ เปอร์เซนต์ มันลองผิด ดังนั้นก็ต้องทำอย่างที่ว่า พยายามคิดดูว่า สมัยก่อนเราเองเป็นอย่างไร?๋ ตอนนี้เด็กก็เป็นอย่างนั้น อย่า ไปตีกรอบให้เขา แยกแยะสิ่งที่เขาทำแล้ว ให้เขาเลือกทางของเขาเอง ถ้าเขาเลือกพลาด อย่าไปโกรธเคือง ให้อภัยเขา กลับมายังคงให้ความรักความเอาใจใส่ดูแลเขาเหมือนเดิม เขาจะรู้สึกว่า ไม่มีที่ใดดีกว่าที่บ้าน ถ้าเป็นอย่างนั้นเอง เด็กไม่ไปไหนหรอก ทุกวันนี้พ่อแม่หลายคนน้อยใจ บอกว่า ลูก ๆ รักหลวงพ่อมันมากกว่าตัวเขาอีก ไอ้เราก็ไม่มีอะไรเลย ก็แค่บอกเขาไปว่า ต้องทำอะไร ก็แค่นั้นเอง เขาจะทำ ไม่ทำ เราไม่ได้บังคับซะที บางทีทำผิดมา น้ำตาไหล น้ำตาร่วง หลวงพ่อจะเกลียดหนูแล้ว ไม่มีหรอก อยู่ต่อหน้าเรา ถ้าหากว่า ไม่ทำผิด ไม่เกลียดหรอก ไม่ตีหรอก แต่ถ้าทำผิดต่อหน้าต่อตาที่ฟาด (หัวเราะ) เอาเถอะไปเลือกใช้เอา วิธีของอาตมามันอาจจะเฮงซวยก็ได้ อาตมาเคยแยกแยะให้เขา บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะมีผลอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้น จะได้มีผลอย่างนั้น แล้วให้เขาเลือกเอาว่า จะทำอย่างไหน เห็นว่า เขาเลือกถูกทุกที


หัวข้อ: Re: ว่ากันด้วยเรื่องสาเหตุของการที่ผู้ปกครองพ่อแม่ คุยกับลูกไม่รู้เรื่อง . (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: หางหนอน ที่ 20 กรกฎาคม 2009, 22:50:23
ขอบคุณกับสาระน่ารู้ค่ะได้แง่คิดดีๆเยอะเลยค่ะ :)


หัวข้อ: ตกงาน แต่อย่า ตกใจ.. . (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 19:48:20
ธรรมะประจำวัน โดยท่านว.วชิรเมธี

ปุจฉา
ตกงาน แต่อย่า ตกใจ

ปุจฉา

                  ผม เพิ่งลาออกจากงาน และมาทำธุรกิจของตัวเอง แต่มาเจอสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ เครียดมากเลยครับ การค้าขายไม่รุดหน้าเลย แถมนับวันมีแต่จะนั่งรอเจ๊งเท่านั้น พระอาจารย์ช่วยแนะวิธีแก้ไขด้วยครับ และขอคำแนะนำวิธีการสร้างความสามัคคีในที่ทำงานและในหมู่คนไทยด้วยครับ

คนมองหาทางออก


วิสัชนา

                  ขอเล่าประสบการณ์ตรงของมหาเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งเคยล้มละลายจนเกือบจะฆ่าตัวตายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ให้ฟัง

                  ตอนที่เกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นที่ประเทศไทยนั้น รัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินลุกลามไปทั่วโลก มหาเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งมีเงินกว่าพันล้าน ก็ถูกพายุต้มยำกุ้งรุมกระหน่ำจนล้มทั้งยืน แกทำใจยอมรับความล้มเหลวไม่ได้ ทุกข์หนักหนาสาหัสถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอม ไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน มองเห็นแต่ม่านสีดำครอบคลุมชีวิตไปทุกแง่ทุกมุม จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง แกเริ่มบ่นว่าจะฆ่าตัวตาย ญาติ ๆ กลัวแกจะทำจริงๆ จึงพากันเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ต่อมาเมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงเพื่อนคนหนึ่งของแกซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่ถูกมรสุมลูกเดียวกันกระหน่ำไม่น้อยไปกว่ากัน แต่เพื่อนคนนี้ตั้งตัวได้ ไม่เสียใจจนเสียจริต เสียผู้เสียคน  เพื่อนคนนี้ แวะมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ระหว่างสนทนาปราศรัยกันนั้น แกก็ถามขึ้นว่า

                  “เห็นลือกันว่า แกจะฆ่าตัวตาย”

                  “ใช่, ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

                  “เพื่อน เอ๋ย - - ฉันว่า ถ้าแกกลัวทุกข์ จนคิดว่าจะฆ่าตัวตายนั้น นับว่าแกเป็นยอดคนจริงๆ เพราะในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความตาย  แต่ตอนนี้  แกบอกว่า  แกไม่กลัวตาย  ซ้ำยังพร้อมจะตายอีกต่างหาก   ก็ในเมื่อความตาย  แกยังไม่กลัว  แล้วแกจะกลัวทำไมกับความล้มเหลว”

                  เพราะคำปลอบใจที่ว่า

                  “ก็ในเมื่อความตาย แกยังไม่กลัว  แล้วแกจะกลัวทำไมกับความล้มเหลว”

                  แท้ ๆ ทำให้อดีตมหาเศรษฐีคนนั้นเกิดอาการ “สว่างโพลง” ขึ้นมา แกตบไหล่เพื่อนด้วยความดีใจ ประกาศว่า

                  “เออ - - จริงของแกว่ะ ขนาดความตายฉันยังไม่กลัว ถ้างั้นโลกนี้จะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก”

                  พอคิดได้อย่างนี้เท่านั้นแหละ แกจึงเกิดกำลังใจอันใหญ่หลวง ลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า ผลของการ “ตกงาน” แต่ไม่ “ตกใจ” ทำให้คนที่คิดฆ่าตัวตายได้กลับกลายมาเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านอีกครั้ง หนึ่ง ทุกวันนี้ มหาเศรษฐีคนนี้ก็ยังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในโลกธุรกิจอย่างมีความสุข

                  ปัญหาทางการเมืองไทย ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณในวันนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า คงไม่ถึงหลักพันล้าน เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกตัวเองว่า “หากเราไม่ปล่อยให้ใจเสีย  ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องมานั่งเสียใจ” ในยามวิกฤติ สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่เงิน (เพียงอย่างเดียว) หากแต่หมายถึง “ใจ” ต่างหาก เราต้องรักษาใจเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้ใจเสีย เพราะถ้าใจเสียอาจเสียทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต

                  ยามที่เราทุกข์หนักหนาสาหัส อย่าหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์นั้น จนไม่ยอมลุกขึ้นมาทำอะไร ขอแนะนำว่า

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีรองเท้าใส่        ลองนึกถึงคนที่เขาไม่มีเท้า

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีเสื้อใส่ ลองนึกถึงคนที่ไม่เคยได้ใส่เสื้อ

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีข้าวกิน            ลองนึกถึงคนที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีเพื่อน              ลองนึกถึงคนที่ถูกเพื่อนรุมทำร้าย

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีแว่นตา            ลองนึกถึงคนตาบอด

                  ด้วยวิธีคิดที่ว่า ในโลกนี้ ยังมี “เพื่อนทุกข์” อีกมากมายนัก ไม่ใช่เราเท่านั้น ที่ทุกข์อยู่คนเดียว จะทำให้เราก้าวข้ามความทุกข์ออกมาดำนเนิชีวิตอย่างมีความสุขได้ ก็หวังว่า คุณจะลองนำวิธีมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ไปปรับใช้กับการทำงานจนฟันฝ่าวิกฤติไป ได้ในที่สุด

 


หัวข้อ: Re: ตกงาน แต่อย่า ตกใจ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: aofarashizaa ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 20:32:35
สิ้นเดือนนี้ผมก็กลายเป็นคนตกงานแหละครับ เศร้า มีบริษัทไหน รับเว็บดีไซน์ตัวน้อยๆบ้างไหม อิอิ :-*


หัวข้อ: Re: ตกงาน แต่อย่า ตกใจ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Threst ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 21:39:59
สิ้นเดือนนี้ผมก็กลายเป็นคนตกงานแหละครับ เศร้า มีบริษัทไหน รับเว็บดีไซน์ตัวน้อยๆบ้างไหม อิอิ :-*

ไม่ลองพลิกวิกฤตเป็นโอกาสละครับ

ไหนๆก็ตกงาน ไม่มีใครรับ ก็ลุยทำธุรกิจไปเลยสิครับ เหตุการณ์แบบนี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาเยอะแล้วครับ


ดูไม่ต้องไกลครับในบอร์ดสามบอร์ดมีคนที่เริ่มจากเงินทุนเล็กน้อยจนถึงไม่มีเลย ทุกวันนี้นับเงินกันห้า หก เจ็ดหลักต่อเดือนขึ้นทั้งนั้น

เราไม่ทำแล้วใครจะทำครับ ชีวิตเราถึงจะดีขึ้น


หัวข้อ: Re: ตกงาน แต่อย่า ตกใจ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: PositiveThinking ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 21:51:35
ขอบคุณครับผม


หัวข้อ: Re: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต....โดย journey
เริ่มหัวข้อโดย: tonnumlove ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 22:12:25
แจกฟรี! วัคซีนป้องกันโรคอกหัก  :)

"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
             โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
           


วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก
คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

             "อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "
             ยกตัวอย่างเช่น

      คุณตุ่ยเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณตุ่ยจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี


             เพียงแค่นี้แหละ คุณตุ่ยก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
             คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ
           
"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน

      "โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"


             แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน

      คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ

ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้

             ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อผมลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
             "เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง

             แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
             ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ

             นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทัวแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม
             แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย

"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด

ขอบคุณบทความดีๆมากเลยครับ


หัวข้อ: Re: ตกงาน แต่อย่า ตกใจ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: yingnohng ที่ 22 กรกฎาคม 2009, 22:13:50
ช่วงนี้รู้สึกในบอร์ดจะมีแนว

1. ท้อแท้
2. ฮาแก้เครียด
3. สาระเพื่อให้ปลงและสู้ต่อไป

สงสัยจะมาจากพิษเศรษฐกิจ................. :D


หัวข้อ: งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์-ท่าน ว. วชิรเมธี... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 12 สิงหาคม 2009, 16:14:22

ปุจฉา
งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์

ดิฉันมีปัญหาใคร่ขอกราบเรียนถามท่าน ว. วชิรเมธีดังนี้

ทุก วันนี้ ดิฉันไม่มีความสุขที่จะไปทำงานและไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผู้ร่วมงานเลย โดยพื้นฐานแล้วดิฉันเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ไม่ค่อยพูดเล่นกับใครถ้าไม่สนิทด้วย ดิฉันย้ายที่ทำงานมาที่ใหม่ อยู่มาได้ปีกว่าแล้ว แต่ ยังไม่สนิทกับใครเลย ดิฉันทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ทำร้ายใคร  บ่อยครั้งคนในที่ทำงานคุยกัน เล่นกัน แต่ดิฉันจะนั่งเงียบๆ รู้สึกอึดอัดว่าเราเป็นตัวประหลาด ดิฉันไม่ทราบว่าจะพูดอะไรจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยในการทำงานที่นี่ ทั้งๆที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี  ดิฉันอยากลาออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่กลัวเหลือเกินว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จ ดิฉันขอกราบเรียนถามท่านว่า

 

1. ผิดไหมที่ดิฉันเป็นแบบนี้ และดิฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับหรือไม่ แค่คิดดี ทำดี ไม่เบียดเบียนใครพอหรือเปล่าคะ

2. กรุณาให้คำแนะนำถึงวิธีการที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่


วิสัชนา

การ ที่คุณเป็นคนมีบุคลิกภาพเงียบขรึม คงไม่ใช่ความผิดบาปอะไร เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะมีปัญหาขึ้นมาก็คงเป็นเพราะว่า คุณคงไปทำงานอยู่ในแวดวงของคนที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของคุณต่างหาก

                  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ งานกับคน ไม่สอดคล้องกัน จึงเกิดอาการผิดฝาผิดตัวขึ้นมา จนชีวิต การงาน สัมพันธภาพ ไม่ราบรื่น

                  นาน มาแล้ว ผู้เขียนเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาคล้ายๆ คุณ กล่าวคือ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นก็สู้อุตส่าห์เรียนมาทางการตลาดจนจบ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็พบกับปัญหาใหญ่อันเนื่องมาแต่บุคลิกภาพกับงานที่ทำไม่สอดคล้องกัน เพราะงานในฐานะนักการตลาดนั้น ไม่ต้องการคนที่มีบุคลิกภาพเงียบๆ ขรึม ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่มีความทะเยอทะยาน เมื่อทนทำงานไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นก็ได้งานใหม่ตามสายงานการตลาดที่เรียนมาเหมือนเดิมอีก แต่ทำไปไม่กี่เดือนก็ลาออกอีก วันหนึ่งนักการตลาดที่มีโลกส่วนตัวสูงคนนี้ ก็ได้ค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งานอีกต่อไปแล้ว หากแต่อยู่ที่ตัวเองที่ไม่ชอบงานของนักการตลาด ที่ต้องเป็นคนหูไวตาไว มีความกระตือรือร้น คิดแคมเปญเก่ง ช่างพูดช่างจา มนุษยสัมพันธ์เยี่ยม เมื่อเกิดการ “ค้นพบ” อย่างถ่องแท้แล้ว จึงผันตัวเองไปทำงานส่วนตัวที่ได้ “เงียบสมใจ” ทุกวันนี้ ก็เลยมีความสุขดี เพราะได้มีโลกส่วนตัวสมใจ

                  กรณีของคุณถ้าเป็นไปในทำนองนี้ก็คงต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดสภาวะ “คนไม่สำราญ งานไม่สำเร็จ” ยิ่งทำงาน ยิ่งเสียคุณภาพชีวิต

                  การ ทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ควรคำนึงถึงคุณภาพชีวิตด้วยเสมอไป เพราะหากคุณทำงานไป แต่ไม่ได้คุณภาพชีวิต ปัญหาทางจิต ปัญหาสุขภาพ รวมทั้งปัญหาสังคมคือการ “ต่อ” กับใครไม่ติดก็จะตามมา และหากเราทิ้งอาการอย่างนี้ไว้นานๆ วันหนึ่งเราก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ทว่ากลับเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว

                  การคิดดี ทำดี นั้นมองเผินๆ ก็เหมือนจะพอแล้ว แต่หากมองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ควรจะเติมอะไรดีๆ เข้าไปได้อีกมากมายเช่น

                  -คิดดี

                  -พูดดี

                  -ทำดี

                  -มนุษยสัมพันธ์ดี

                  -รับผิดชอบดี

                  -อารมณ์ดี

                  -ใจดี

                  หาก คุณยังไม่อยากลาออกจากที่ทำงานเก่า ก็ขอแนะนำให้คุณลองปรับตัวให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าเดิม โดยปรับตัวตามแนวทางสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามสูตรของพระพุทธเจ้า ๔ ประการ คือ

(๑)  เอื้ออารี

(๒)  วจีไพเราะ

(๓)  สงเคราะห์มวลชน

(๔)  วางตนเสมอสมาน

เอื้ออารี หมายถึง ฝึกการเป็นผู้ให้ เพราะผู้ให้ ย่อมได้รับการให้ตอบ การให้คือการเชื่อมไมตรีที่มีผลต่อสัมพันธภาพดีเยี่ยม ผู้รู้กล่าวว่า

“ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก

เหมือนเหล็กฟากผูกไว้ก็ไม่มั่น

ถึงผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์

ก็ไม่มั่นเหมือนผูกไว้ด้วยไมตรี”

คุณ อาจหยิบยื่นอะไรให้ใครสักคนหนึ่งโดยไม่เคยหวังผลด้วยซ้ำ แต่บางทีหนึ่งครั้งที่คุณให้ออกไป อาจจารึกอยู่ในใจของผู้รับตราบนานเท่านาน  ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า “หากเรามีขนมอยู่ในมือชิ้นหนึ่ง เรากินคนเดียว ก็อิ่มแค่มื้อเดียว แต่หากแบ่งให้เพื่อน ขนมชิ้นนั้น จะอิ่มอยู่ในใจเพื่อนไปตลอดกาล”

วจีไพเราะ หมายถึง การเป็นคนพูดจาน่ารับฟัง ช่างพูดช่างจา มีวาทศิลป์ในการพูด รู้จักว่าเมื่อไหร่จะพูด เมื่อไหร่จะนิ่ง เมื่อไหร่ควรพูดเล่น เมื่อไหร่ควรพูดจริง การพูดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งในการสร้างความ สำเร็จ คุณลองสังเกตดูสิ คนสำคัญๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จ โดยมากล้วนแล้วแต่เป็นนักพูดเก่งๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลินคอร์น, จอห์น เอฟ เคเนดี,มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์,หรือแม้แต่บารัค  โอ บาม่า พลังของการพูดนั้นมีมหาศาลสามารถเปลี่ยนทางน้ำ ย้ายขุนเขา สะกดทัพนับแสนก็ยังได้ หากคุณไม่ค่อยพูด ก็ลองบอกตัวเองใหม่สิว่า ธรรมชาติสร้างปากมาไม่เฉพาะแต่ใช้รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังสร้างมาให้เรารู้จักการพูดจาอย่างมีวาทศิลป์อีกด้วย

สงเคราะห์มวลชน
หมายถึง การเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีอันดี เข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ เห็นใครทำอะไรแล้วไม่นิ่งเฉย มีจิตสำนึกสาธารณะ ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมงาน เพื่อนมนุษย์ กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือ การไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง

วางตนเสมอสมาน หมายถึง การปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างปกติในลักษณะ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” หากเราลงเรือพาย แต่เราไม่พายเรือเหมือนคนอื่น ก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนแปลกแยก ถ้าคุณรู้ว่า คุณไม่ชอบพายเรือ ก็ไม่ควรจะไปนั่งอยู่ในเรือพาย ซึ่งเขาต้องการความร่วมมือร่วมใจ คุณควรออกไปหาที่นั่งที่เหมาะกับคุณจะดีกว่า

อย่าง ไรก็ตาม เท่าที่อ่านจากคำถาม คุณคงมีปัญหาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ แต่คุณไม่ได้มีปัญหาในแง่จิตวิทยาแน่ เพราะคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของตนเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว ดังนั้น ก็หวังว่า คำวิสัชนาที่เขียนมาข้างต้นนั้น คงจะทำให้คุณมองเห็นทางออกได้อย่างแน่นอน

 


หัวข้อ: Re: งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์-ท่าน ว. วชิรเมธี... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: Disco ที่ 13 สิงหาคม 2009, 01:01:48
แบบนี้ต้องนำไปปฏิบัติครับ  ::)


หัวข้อ: รักจริง ต้องใช้เงินเป็น ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 01 กันยายน 2009, 16:16:12
รักจริง ต้องใช้เงินเป็น
 ศาสตราจารย์ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
วันที่ : 11 มีนาคม 2551 นิตยสาร/หนังสือพิมพ์ : Hi-Class
 
            คนสองคนรักกัน “ความรัก” นั้นไม่ต้องใช้เงิน แต่หากก่อนแต่งงาน ไม่ได้วางแผนการใช้เงิน นิสัยการใช้เงินของคนรัก อาจเป็นเหตุให้ความรัก ‘ร้าว’ ได้
 
            คำกล่าวนี้ ไม่เกินจริงเลย หากเราสังเกตชีวิตคู่บางคู่ที่ต้องจบลง ไม่น่าเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเกิดจาก ปัญหาการเงิน...ซึ่งมิใช่ปัญหาการไม่มีเงิน แต่เป็นปัญหาการใช้เงินไม่เป็น ใช้อย่างไม่เหมาะสมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
 
            ผมตระหนักในเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน และได้เขียนแนะนำไว้ในหนังสือ หาเงิน ใช้เงิน: วิธีเล่นกับเงินอย่างผู้ชนะ บทหนึ่งว่า คนที่กำลังจะแต่งงานกันควร เรียนรู้นิสัยการใช้เงิน ของแต่ละฝ่าย และควรตกลงร่วมกันเรื่อง แผนการใช้เงิน ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ด้วย
 
            เป็นความจริงที่ว่า วันที่คนสองคนตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์ สามีภรรยา ณ วันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดูสดใสเพราะมี "ความรัก" นำหน้า ทว่า..ความรักอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าชีวิตคู่นั้นจะยั่งยืน เพราะยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการ หนึ่งในเรื่องสำคัญเหล่านั้นก็คือ การวางแผนด้านการเงิน
 
            "เงิน" โดยตัวมันเองนั้นไม่อาจเป็นได้แม้สักส่วนหนึ่งของความรัก แต่หลายครั้งที่ "เงิน" กลับเป็นเครื่องมือบั่นทอนความรักให้ล่มสลายไปได้ หากทั้งคู่ไม่มีข้อตกลงต่อกันว่า จะใช้เงินอย่างไร
 
            ค่าใช้จ่ายในบ้านค่าเช่าบ้านค่าผ่อนรถจะแบ่งกันรับผิดชอบอย่างไร..จะเก็บเงินร่วมกันเพื่อยามฉุกเฉินเพื่อการลงทุนในอนาคตอย่างไร..จะทำประกันความมั่นคงให้กับอนาคตด้านใดบ้าง..ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายรู้จักนิสัยและทัศนะต่อการใช้เงินของกันและกันเพียงใด??
 
            ก่อนตกลงปลงใจร่วมชีวิตกับใคร ผมขอแนะนำว่าจะต้องรู้จักอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่อง "เงิน" อย่างน้อยใน 2 เรื่องคือ ลักษณะนิสัยการใช้เงินของแต่ละฝ่าย และ การวางแผนการเงินร่วมกันหลังแต่งงานแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของครอบครัวให้ยั่งยืนได้หากมีการเตรียมการที่ดี 
 
 
            เรียนรู้ลักษณะนิสัยการใช้เงิน การเรียนรู้ลักษณะนิสัยการจับจ่ายใช้สอย การเก็บออม เป้าหมายการใช้เงินของแต่ละฝ่ายเป็น จะทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่านิสัยการใช้เงินเช่นนี้จะส่งผลเช่นไรในอนาคต อาทิ หากสังเกตพบว่าฝ่ายหนึ่งไม่มีการวางแผนการใช้เงิน ชอบช็อปปิ้งซื้อของตามที่ตนเองต้องการโดยไม่ได้พิจารณาว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ทำให้ไม่มีเงินเก็บสะสมหรืออาจทำให้มีหนี้บริโภค เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากเราแต่งงานโดยไม่ตกลงเรื่องการใช้จ่ายให้ดี ครอบครัวย่อมเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน  ดังนั้น จึงควรมีการเจรจาตกลงร่วมกันว่า เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องใช้จ่ายเงินเช่นไร
 
            วางแผนการเงินในครอบครัวก่อนแต่งงานการ ตกลงเรื่องการเงินจะช่วยให้เกิดความเข้าใจกันในระยะยาว ทั้งคู่จึงควรปรึกษาหารือเรื่องการเงินการกำหนดงบประมาณการใช้จ่ายและการ เก็บออมในแต่ละเดือน โดยควรพิจารณาครอบคลุมด้านต่าง ๆ อาทิการเปิดเผยสถานะทางการเงินของกันและกัน อันจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนการใช้เงินต่อไป การตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว-ส่วนรวม เพื่อเป็นการสร้างความรับผิดชอบและลดความตึงเครียดในการใช้จ่าย การตกลงเรื่องการออมทรัพย์ร่วมกัน เพื่อเก็บออกไว้ใช้ในยามจำเป็นทุกด้านและความมั่นคงของชีวิตในอนาคต 
 
            การตกลงเรื่องการใช้เงินเหล่านี้ต้องพูดคุยกันก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานกัน เพราะหากไม่มีการสื่อสารทำความตกลงกันก่อน แม้มี “ความรัก” เชื่อมทั้งคู่ไว้ด้วยกัน แต่หากเมื่อแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันแล้วมีปัญหาการใช้เงิน ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของกันและกัน ย่อมตามมาด้วยปัญหาในชีวิตคู่ที่ทั้งสองฝ่ายคาดไม่ถึง และลืมเลือนความรักที่เคยมีต่อกันได้ในที่สุด
 
 


หัวข้อ: Re: รักจริง ต้องใช้เงินเป็น.. (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 22 มกราคม 2010, 11:48:53
ขออภัยห่างหายจากบอร์ดนี้ไปนาน เพราะว่าไปติดทวีตเตอร์  :-[

การถนอมรักษาสายตา ด้วยตนเองโดยวิธีนวด

การถนอมรักษาสายตามีมากมายหลายวิธีดังที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น

1. ไม่มองของสีขาวกลางแดดหรือมองแสงสว่างจ้านานๆ เช่น ดวงอาทิตย์ แสงจากการเชื่อมโลหะ เป็นต้น

2. ไม่อ่านหนังสือตัวเล็กเกินไปเป็นเวลานานๆ รวมทั้งไม่อ่านหนังสือในรถ เรือ ที่มีความสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาด้วย

3 ไม่อ่านหนังสือในที่สลัวๆ หรือมีแสงมากเกินควร ต้องให้มีความเข้มของแสงพอเหมาะ ส่องมาจากข้างหลังหรือด้านซ้ายมือ

4. ไม่อ่านหนังสือ (หรือมองวัตถุ) ชิดใบหน้า ควรวางหนังสือให้ห่างจากตาประมาณ 1 ฟุต

5. ไม่เอามือหรือผ้าสกปรกเช็ดหรือขยี้ตา

6. ระวังไม่ให้มีการกระทบกระเทือนกะโหลกศีรษะบริเวณเบ้าตา เช่น ชกต่อย อุบัติเหตุ ยิงหนังสติ๊กถูกตา ถูกไอสารเคมี หรือน้ำยาที่ระคายต่อตา

7. ไม่ไว้ผมยาวปรกหน้าและมาบังตา ทำให้มองไม่ถนัด และเป็นช่องทางให้ควาบสกปรกจากผมเข้าเบ้าตาได้

8. ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าขาวม้าร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเป็นโรคตา เป็นต้น

9. เมื่อเป็นโรคตาต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรใช้ยาตา (หยอด, ป้าย) เอง

10. เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา แว่นตา ควรไปปรึกษาแพทย์เรื่องการใส่แว่นและเรื่องการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม

การฝึกนวดตนเอง 7 ท่า

ตามไปอ่านต่อที่นี่เลย

http://www.doctor.or.th/node/6000


หัวข้อ: Re: การถนอมรักษาสายตา ด้วยตนเองโดยวิธีนวด... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: peach ที่ 26 มกราคม 2010, 21:48:30
สาธุ :wanwan008:


หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ... (journey)
เริ่มหัวข้อโดย: journey ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2010, 21:52:32
    
อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ

   
บรมธรรม : ดร. ประมวล เพ็งจันทร์
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๗ ณ อาศรมวงศ์สนิท องครักษ์ จ.นครนายก
ในโครงการธรรมโฆษณ์ศึกษา


อ.ประมวล :
เมื่อ หลายปีมาแล้วผมได้กลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน และได้พบว่าที่บ้านแม่มีสมาชิกใหม่คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอายุตอนนั้นประมาณ ๓ ขวบกว่า ได้ทราบจากแม่ว่าเป็นลูกของน้องชายที่ไปมีภรรยาที่ต่างอำเภอ แล้วต่อมาแยกทางกันไม่มีใครรับผิดชอบดูแลหลานคนนี้ แม่จึงพามาเลี้ยงดูเพราะสงสารหลาน

ช่วงกลางคืน ผม แม่ และหลาน นอนด้วยกัน ตอนหัวค่ำแม่และหลานนอนดูทีวีไม่นานหลานก็นอนหลับตามประสาเด็ก แม่ดูทีวีจนละคอนจบจึงปิดทีวีแล้วเตรียมตัวนอนหลับ แต่ก่อนจะปิดไฟนอนแม่ได้ปลุกหลานให้ตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นไปฉี่เสียอีกครั้ง ก่อนนอน เพราะแม่เกรงว่าหลานจะฉี่รดที่นอนซึ่งเป็นที่นอนยัดนุ่น หลานร้องไห้เมื่อถูกปลุกให้ตื่น เขาร้องไห้ไปฉี่ไปตามลักษณะอาการของเด็ก เสร็จแล้วก็กลับมานอนต่อแม่ก็ปิดไฟนอน ผมเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจทั้งแม่ที่เป็นคนแก่และหลานที่เป็นเด็ก แต่ก็รู้ว่านี่คือเรื่องปกติของคนแก่และเด็ก

ในวันที่สองของการกลับ ไปเยี่ยมแม่ ผมได้ไปตลาดแล้วซื้อเสื้อกางเกงซึ่งมีลักษณะเป็นชุด คล้ายๆชุดทหารสำหรับเด็กราคา ๒๖๐ บาท เพื่อมอบให้กับหลานคนใหม่ของผม ทันทีที่หลานได้รับเสื้อกางเกงชุดใหม่ในตอนบ่าย เขาสวมทันทีและก็ไม่ถอดเปลี่ยนอีกเลยในวันนั้น ตั้งแต่บ่าย – เย็น แล้วก็นอนดูทีวีในตอนหัวค่ำ

คืนที่สองของการนอนกับแม่และหลาน มีบรรยากาศแบบเดิมคือ แม่และหลานนอนดู     ละคอนทีวีด้วยกัน โดยที่หลานหลับไปก่อนขณะที่ละคอนทีวียังไม่ทันจบ แม่ดูทีวีจนละคอนจบแล้วเตรียมตัวนอน โดยปลุกหลานให้ตื่นลุกขึ้นมาฉี่ก่อนนอน หลานลุกขึ้นมาฉี่โดยไม่มีโยเยเหมือนคืนก่อน แม่ปิดไฟนอนโดยไม่มีเสียงร้องไห้ของหลานเหมือนคืนแรก

เวลาผ่านไปไม่ นานผมยังไม่หลับ ได้ยินเสียงหลานขยับตัวลุกขึ้น แล้วคงไปทำให้แม่ที่กำลังเคลิ้มจะหลับ สะดุ้งตื่นมาด้วยความหงุดหงิดที่ถูกหลานรบกวน ได้ยินเสียงแม่ถามหลานว่า

“ลุกขึ้นมาทำไมอีก”
“จะฉี่” เสียงหลานตอบ
“ก็ฉี่ไปแล้วก่อนนอน ไม่ต้องฉี่อีกแล้วนอนซะ”
แม่คงสั่งด้วยการตีเบาๆ เพื่อให้หลานนอนหลับเสีย หลานร้องไห้เมื่อถูกตี เสียงร้องไห้ของหลานเงียบไปแล้ว แต่ผมนอนร้องไห้ในใจแทน

ผม ร้องไห้ไม่ใช่เพราะแม่ตีหลาน แล้วหลานร้องไห้เพราะถูกตี แต่ร้องไห้กับความหมาย (อรรถะ) ของชีวิต ผมจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยแค่ ๒๖๐ บาท เพื่อซื้อเสื้อกางเกง ๑ ชุดให้หลาน เงินจำนวนนี้มิได้มีความหมายอะไรมากนักแก่ชีวิตผม แต่เสื้อกางเกง ๑ ชุดที่หลานได้ไปกลับมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ชีวิตที่เกิดมาแล้วพ่อ-แม่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ชีวิตที่ไม่มีอะไรเป็นของตนเองเลย วันนี้ที่เขาได้เสื้อผ้า ๑ ชุดเป็นของตนเอง เป็นเสื้อผ้าที่ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาด้วยความกังวลกลัวว่า เขาจะฉี่รดกางเกงของตัวเอง คืนก่อนหลานร้องไห้เพราะถูกบังคับให้ลุกขึ้นมาฉี่ คืนนี้หลานร้องไห้เพราะถูกตีเนื่องจากเขาอยากลุกขึ้นฉี่

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ทุกท่านฟัง เพื่อให้ทุกท่านช่วยพิจารณาดูเถิดว่า อรรถะหรือความหมายของชีวิตนั้นควรจะเป็นเช่นไร
 เด็ก ตัวเล็กๆอายุเพียงแค่ ๓ ขวบกว่า เสื้อผ้าราคาถูกๆก็สามารถกลายเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตได้ ชีวิตและอารมณ์ของเด็กยังไม่ลึกลับซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่ เราจึงสามารถจะมองเห็นความหมายที่เขาสร้างขึ้นมาได้โดยไม่ยาก แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่เส้นทางของการสร้างความหมายมีความวกวนและซับซ้อนมาก ขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเด็กอายุ ๓ ขวบหรือผู้ใหญ่เช่นเราก็มีนัยแห่งการสร้างความหมายเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงว่าเราแต่ละคนทำชีวิตของตนเองให้มีความหมายเกิดขึ้นจากอะไร ด้วยกลวิธีอย่างไร

ในการแสวงหาความหมาย แห่งชีวิต อย่าลืมเป็นอันขาดว่าความหมายที่งดงามแห่งชีวิต จะงอกงามขึ้นมาได้ก็ด้วยจิตใจที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเมตตาธรรมและการุณยธรรม หรือที่เราใช้คำง่ายๆว่า “ความรัก”

ถ้า จิตใจขาดแคลนความรักเสียแล้วความหมายที่งดงามก็ยากที่จะบังเกิดขึ้นมาได้ ขอพวกเราช่วยกันบำเพ็ญภาวนา ให้จิตใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม และการุณยธรรมต่อสรรพสิ่ง เริ่มต้นจากบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดเรา คู่ชีวิตเรา ลูกๆของเรา พี่น้อง-เพื่อนบ้าน ตลอดไปจนถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งโลก และสรรพสัตว์ทั้งหมดทั้งสิ้นรวมทั้งธรรมชาติทั้งมวล

เมื่อเรามีความ รักต่อสิ่งใดสิ่งนั้นจะกลายมาเป็นความหมายแห่งชีวิตของเรา เราจะทะนุถนอมเอื้ออาทรต่อสิ่งนั้น เราจะอ่อนโยนนุ่มนวลต่อบุคคล สิ่งของที่เรารัก เมื่อเรารักโลกทั้งใบเราก็จะอ่อนโยนนุ่มนวลต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้ก็จะมีความหมายที่ดีงามต่อเรา นี้คือความหมายที่ยิ่งใหญ่นี้คือบรมธรรม ที่อยากให้ทุกๆท่านช่วยค้นหาให้เจอ แล้วบอกเล่าแก่บุคคลอันเป็นที่รักของทุกๆคนแต่ละคน บรมธรรมไม่ได้อยู่ห่างไกลแต่อยู่ในใจของทุกๆท่าน

ที่มา
http://enneagramthailand.org/webboard/index.php?topic=31.0