ก็อยู่ที่ว่าเราจะเคารพคำตัดสินของศาลโลกหรือเปล่า น่ะครับคุณ pacapao
ดังนั้นเราคุยกันด้วยหลักฐาน ซึ่งเราแพ้เขาก็ด้วยหลักฐาน จนหมดเวลาที่สงวนสิทธิ์ เราก็ยังไม่มีหลักฐานที่ดีกว่าไปเอาคืนมาได้เลย
ดังนั้น การเอาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มาคุย มาเปิดเผย เอาคำแปลศาลโลกมาชี้กันชัดๆ จึงไม่ใช่การเข้าข้างเขมร หรือไม่เป็นการรักชาติอย่างไร
รักชาติจริง ต้องให้คุยกันอย่างมีสันติภาพ ไม่ใช่ยั่วยุส่งทหารเข้ารบแตกหัก จริงไม่จริง
สมมติเด็กสองคนชกต่อยกัน แต่อีกฝ่ายมีหลักฐานพยานว่า โดนหาเรื่องทำร้ายก่อน แต่ผู้ปกครองเด็กไม่เชื่อหลักฐาน ตามไปวิวาทกับผู้ปกครอง คุณคิดว่า เรื่องถึงตำรวจ ถึงศาล เขาจะดูอะไร
เขาดูหลักฐาน! จริงไหม?
คำตัดสินของศาลโลก (ส่วนหนึ่ง)In its Judgment on the merits the Court, by nine votes to three, found that the
Temple of Preah Vihear was situated in territory under the sovereignty of Cambodia and, in consequence, that Thailand was under an obligation to withdraw any military or police forces, or other guards or keepers, stationed by her at the Temple, or in its vicinity on Cambodian territory.
จากการตัดสินโดยวัดคะแนนเสียงในศาล ผลออกมามีคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ลงมติว่า
ปราสาทเขาพระวิหารนั้นตั้งอยู่ภายในบริเวณอาณาเขตของราชอาณาจักรกัมพูชาและประเทศไทยนั้นอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่จะต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ ตลอดจนกองรักษาการณ์ต่างๆ ออกจากบริเวณปราสาทเขาพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงอันเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชา
แปลโดย จากคุณ : ~นางสาวมารร้าย~อักษรานรี~ Pantip.com
http://www.pantip.com/cafe/raj...n/topic/P6743150/P6743150.html 
======================================================
คัดย่อจากรายการเสวนาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, กองทุนจิตร ภูมิศักดิ์, สมาคมจดหมายเหตุสยาม, และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดการอภิปรายเรื่อง สยามประเทศ (ไทย) หลังสมัคร 1: การเมืองกับลัทธิชาตินิยม— กรณีศึกษาปราสาทเขาพระวิหาร/รัฐบาลสมัคร—ปัญหาและทางออก ณ ห้อง 201 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ.
มีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตส.ว.จังหวัดตาก และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ., ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดี มธ., รศ.ดร.พิภพ อุดร อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ., รศ.ดร.สุ รชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการอภิปรายโดย สมฤทธิ์ ลือชัย
1. “ปราสาทเขาพระวิหาร” ถูกทิ้งปล่อยทิ้งร้างไปเมื่อหลังปี พ.ศ. 1974 (ค.ศ. 1431) คือภายหลังที่กรุงศรียโสธร (นครวัดนครธม) ของกัมพูชา “เสียกรุง” ให้แก่กองทัพของกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยของพระเจ้าสามพระยา)
2. เมื่อพระเจ้าตากสินสถาปนากรุงธนบุรี และต่อมารัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงเทพฯขึ้นมาได้ สยามประเทศในสมัยนั้น ก็แผ่อำนาจไป “ได้ดินแดน” ทั้งลาวและกัมพูชามาเป็น “ประเทศราช” ให้เจ้ามหาชีวิตปกครองลาว ให้กษัตริย์ขะแมร์ปกครองกัมพูชา แต่ต้องส่งส่วยบรรณาการให้กรุงเทพฯ เป็นประจำ ดังนั้นถ้าจะว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” ขึ้นอยู่ หรือเป็น “ของ” สยามในสมัยนี้
3. เมื่อสยามประเทศถูกคุกคามเมื่อ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436 Paknam Indident 1893) ฝรั่งเศสส่งเรือรบทะลวงปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาจอดข่มขู่อยู่ใกล้ๆโรงแรมโอเรียนเตล จนสยามเราเกือบเสีย “เอกราชและอธิปไตย” ก็ทำให้รัฐบาลของรัชกาลที่ 5 ต้องใช้ “นโยบายไผ่ลู่ลม” ที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนดินแดน ต้อง “เสียดินแดน” ยกเมืองเสียมราฐ เมืองพระตะบอง เมืองศรีโสภณ หรือ “มณฑลบูรพา” (มณฑลเขมร) ให้ฝรั่งเศสในกัมพูชาไป รวมทั้งยินยอมต่อการลากเส้น “แผนที่” ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” อยู่ฝั่งโน้น ส่วนสยามเรา “ได้ดินแดน” เมืองจันทบุรี เมืองตราด และเมืองด่านซ้ายกลับคืนมา (เป็น give and take)
4. และก็ดังนั้น เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพียง 3 ปี เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง “อภิรัฐมนตรี” และนายกราชบัณฑิตสภา ครั้งเสด็จเป็นขบวนใหญ่ไปทอดพระเนตรปราสาทเขาพระวิหาร จึงทรงแจ้งไปยังข้าราชการอาณานิคมฝรั่งเศสเป็นการล่วงหน้า
5. ฝรั่งเศสกำลังอ่อนแอ สงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล “ลัทธิชาตินิยม” ของ ป. พิบูลสงคราม ที่ได้แรงสนับสนุนจากลัทธิทหารฟาสซีสต์ญี่ปุ่นมหามิตร ทำการยึด “ได้ดินแดน” มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น “มณฑลบูรพา” หรือเมืองเสียมราฐ/เสียมเรียบ ในสมัยดังกล่าวนี้เช่นกัน ที่รัฐบาลพิบูลสงคราม ชี้แจงการ “ได้ดินแดน” มาต่อประชาชนว่า “ได้ปราสาทเขาพระวิหาร” มา
6. มหามิตรญี่ปุ่นของไทยแพ้สงครามอย่างย่อยยับ ถูกระเบิดปรมาณู ประเทศถูกยึดครอง และสถาบันจักรพรรดิญี่ปุ่นเกือบถูกล้มล้าง ดังนั้น รัฐบาลอำมาตยาเสนาธิปไตยของจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องตกจากอำนาจไปชั่วคราว และดังนั้น รัฐบาลไทยปีกซ้าย หรือปีกของเสรีไทยและ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ จึงต้องคืนดินแดนที่ได้มาดังกล่าวทั้งหมดให้กับฝรั่งเศสและอังกฤษไปในปี พ.ศ. 2488-89 พร้อมทั้งเสียค่าปรับจำนวนหนึ่ง และก็โชคดีที่ประเทศไม่ถูกยึดครองอย่างเยอรมนีหรือญี่ปุ่น
อย่างก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นและละเลย กล่าวคือไม่ได้มีการคืน “ปราสาทเขาพระวิหาร” ไปพร้อมกับ “มณฑลบูรพา” ทั้งนี้เพราะสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกล หนทางทุรกันดาลมากๆ ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ่และก็ไม่มีใครสนใจนัก (ยกเว้นฝ่ายทหารที่ถือว่านี่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ มองลงไปเห็นกัมพูชาทั้งประเทศ จำต้องยึดครองเอาไว้)
7. ในทศวรรษ 1960s สมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 (1953) อีก 6 ปีต่อมา พระเจ้านโรดมสีหนุซึ่งทรงเป็นทั้ง “กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช” และ “นักราชาชาตินิยม” ของกัมพูชา ก็ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 (1959)
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นทนายสู้ความ รัฐบาลสฤษดิ์ ปลุกระดมให้ประชาชน “รักชาติ” บริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อสู้คดี (เข้าใจว่าเมื่อจบคดีอาจจะมีเงินหลงเหลืออยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดประมาณ 3 ล้านบาท ค่าของเงินในสมัยนั้น เทียบได้กับก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ท่าพระจันทร์ตอนนั้น ชามละ 3 บาท (ตอนนี้ 30 บาท) ตอนนั้นทองคำหนัก 1 บาทราคาเท่ากับ 500 บาท (ตอนนี้ 1.4 หมื่นบาท)
8. ในปี 2505 ผลที่สุดไทยก็แพ้คดีด้วยคะแนนถึง 9 ต่อ 3 สำหรับ 9 ประเทศที่ออกเสียงให้กัมพูชาชนะคดี คือ โปแลนด์ ปานามา ฝรั่งเศส สหสาธารณรัฐอาหรับ อังกฤษ สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น เปรู และอิตาลี ส่วน 3 ประเทศ ที่ออกเสียงให้ไทย คือ อาร์เจนตินา จีน ออสเตรเลีย
ว่าไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและ “เขตแดนและแผนที่” ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่นเอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่กัมพูชาของฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทาง “ภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ” หรือ “ทางขึ้น” ไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ “กฎหมายปิดปาก” ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง (โปรดดูสรุปย่อคำพิพากษาของศาลโลกเป็นภาษาอังกฤษได้จาก
http://www.icj-cij.org/docket/files/45/12821.pdf 
)
9. หลายท่านคงได้ฟังว่า ในรอบ 2-3 สัปดาห์ มีนักวิชาการเปิดประเด็นว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เคยทำข้อสงวนสิทธิ์ไว้ แต่โดยหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การสงวนสิทธิมีอายุความ 10 ปี ผมไม่คิดว่าการสงวนสิทธิ์มีอายุความตราบสิ้นดินฟ้า จนสิ้นสลายของรัฐไทย ถ้าสมมติการสงวนสิทธิ์มีอายุความ 10 ปี สิทธิ์นี้สิ้นสุดที่ปี 2515 แต่สำคัญกว่าการสงวนสิทธิ์คือ รัฐบาลไทยหลังจากนั้นไม่เคยมีการใช้สิทธิ์ที่ตนสงวน คือไม่เคยส่งความเห็นแย้งให้กับศาลระหว่างประเทศ
ดังนั้น ต้องชัดเจนว่าหนึ่ง เส้นเขตแดนของสยามถูกกำหนด และชัดเจนว่า ตัวปราสาทพระวิหารวันนี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของรัฐไทย และถ้าเห็นคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศ เห็นการลากเส้นเขตแดนของ ครม. ปี 05 เห็นคำสงวนสิทธิ์ต้องมีอายุความ ถ้ารับเรื่องเหล่านี้เป็นเบื้องต้น จะสบายใจมากกว่านี้===========================================================