คือผมก็ไม่ได้คิดเอง วิเคราะห์เองหรอกนะครับ เราอยู่กันทุกวันนี้ก็รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อทั้งนั้น ถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อใครเลย ก็คงไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ดังนั้นต้องค่อยๆ ย่อยจากสื่อหลายๆ ที่ หลายๆ มุมมอง
ที่เอามาลงนี้ ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยนะ เหมือนเอาข่าวมาแปะให้อ่านกันก่อน
วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11027
ทางเลือกเชิงนโยบายบนพื้นที่ทับซ้อน
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เพราะเหตุฉุกละหุกบางอย่าง สิ่งที่สามารถค้นได้จากเอกสารจึงไม่ได้ค้น ขออนุญาตใช้ความจำสับปะรังเคแทน
ผมจำกรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหารระหว่างไทยและกัมพูชาได้ เพราะเกิดทัน จำความได้ และอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว กรณีนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะแย่งอำนาจจากจอมพล ป.พิบูลสงครามได้ ดูเหมือนไม่ต่ำกว่าสองปี
รัฐบาลจอมพล ป.ใช้ท่าทีอย่างไรกับการเรียกร้องเขาพระวิหารคืนของเจ้าสีหนุ ผมก็จำไม่ได้แม่น แต่กัมพูชาไม่ได้ยื่นเรื่องให้เป็นคดีในศาลโลก ดูเหมือนมีการเสนอให้จัดการร่วมกันอย่างที่เรากำลังเสนอกับ "พื้นที่ทับซ้อน" ตอนนี้ด้วย สรุปก็คือเป็นท่าทีที่พร้อมจะเจรจา (แม้เจรจาแล้วล้มเหลวก็ตาม) แต่ไม่พยายามขยายข้อพิพาทไปให้ถึงทางตัน
แต่ท่าทีของจอมพลสฤษดิ์ (หรือรัฐบาลใต้ฉายาอำนาจของเขา) กลับแข็งกร้าวมากขึ้น แล้วก็เริ่มพูดอะไรอย่างที่นักการเมืองและทหารในปัจจุบันพูด คือจะไม่ยอมเสียดินแดนไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ผมไม่ทราบว่าผู้นำกัมพูชาในสมัยนั้น พูดอย่างเดียวกันหรือไม่ว่า จะไม่ยอมเสียดินแดนให้ใครแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ถ้าเขาพูด ผมคิดว่าหูของชาวกัมพูชาจะผึ่งกว่าหูของคนไทย ไม่ใช่เพราะเขารักชาติกว่าคนไทย แต่การเสียดินแดนถูกจัดวางไว้เป็นบาดแผลใหญ่ในความทรงจำของชาวกัมพูชายิ่งกว่าไทย ซ้ำร้ายยังไม่ใช่การเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสหรืออังกฤษ แต่เป็นการเสียดินแดนแก่ไทยและเวียดนาม เพื่อนบ้านซึ่งนรกสั่งให้อยู่ร่วมกันไปตราบนิรันดร์เสียด้วย
คำพูดที่เรียกร้องความฮึกเหิมและการสนับสนุนจากประชาชนนี้ เท่ากับทำให้ข้อพิพาทถึงทางตันโดยปริยาย เพราะที่เถียงกันอยู่เป็นวรรคเป็นเวรก็คือ ดินแดนดังกล่าวนั้นเป็นของใคร หากคุณยืนยันเป็นของคุณฝ่ายเดียวแน่แล้ว เถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์
เพราะตกลงกันไม่ได้ว่า ดินแดนนั้นเป็นของใครกันแน่ต่างหาก จึงจำเป็นต้องเปิดการเจรจากันไม่ใช่หรือ
กรณี "พื้นที่ทับซ้อน" ที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน ท่ามกลางสภาพใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กัมพูชาก็เปลี่ยนไป ไทยก็เปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของสองประเทศก็เปลี่ยนไป พันธมิตรของทั้งสองฝ่ายก็เปลี่ยนไป ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายรู้ว่า การเบ่งกล้ามเข้าหากันจะกระทบต่ออะไรอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อสองประเทศเกินกว่าจะคุ้ม และทั้งสองฝ่ายมีความยับยั้งใจ (restraint) ที่จะไม่ทำให้ความขัดแย้งขยายเป็นความรุนแรง
ส่วนการเข้ามาตั้งที่มั่นทางทหาร หรืออื่นๆ บนพื้นที่ทับซ้อนนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมนอกโต๊ะเจรจา เพราะตั้งได้ก็ถอนได้
ว่าเฉพาะรัฐบาลไทย สามรัฐบาลที่ผ่านมา ยังพยายามรักษาโต๊ะเจรจาไว้เป็นทางออกของความขัดแย้งนี้เสมอมา ซึ่งนับว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่สุขุม
แต่เพราะข่าวสารข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย ความยับยั้งใจตรงนี้จึงค่อนข้างเปราะบาง เมื่อไรที่ลูกเสือชาวบ้านของทั้งสองฝ่ายแสดงอาการพร้อมจะหลั่งเลือดปกป้องดินแดนหนึ่งตารางนิ้วของบรรพบุรุษ เมื่อนั้นรัฐบาลของประเทศนั้นก็ไม่อาจรักษาท่าทียับยั้งใจไว้ได้ตลอดไป
และข่าวสารข้อมูลดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์ อย่างน้อยก็แก่ผม และผมเชื่อว่าแก่คนไทยอีกจำนวนมากด้วยก็คือ พื้นที่ดังกล่าวนั้นมันมา "ทับซ้อน" กันได้อย่างไร แผ่นดินของใครแลบเข้ามาในแผ่นดินของใครกันแน่ และทำไม
จากจำลองภาพถ่ายทางอากาศที่ทีวีเสนอให้ชม พื้นที่ส่วนนี้จะช่วยให้กัมพูชาเป็นเจ้าของทางขึ้นเขาพระวิหารเอง และในทางตรงกันข้าม อำนาจต่อรองของไทยกับเขาพระวิหารที่เป็นผู้กุมทางขึ้นไว้จะหมดไป ฉะนั้นพื้นที่ 4-5 ตร.กม.นี้จึงมีความหมายแก่ทั้งสองฝ่ายพอสมควร แก่นที่แท้จริงของความขัดแย้งจึงอาจสรุปลงเหลือเพียงผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปราสาทเขาพระวิหาร (ซึ่งไม่มีฝ่ายใดพูดออกมาชัดๆ อย่างนี้)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ในส่วนกัมพูชา ผลประโยชน์ตรงนี้เป็นผลประโยชน์ในอนาคต เพราะกว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางจากพนมเป็ญหรือเสียมเรียบมาถึงเขาพระวิหารโดยสะดวก ก็ต้องรอการตัดถนนและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการท่องเที่ยวอีกหลายอย่าง จะคุ้มหรือไม่ในการลงทุนก็ยังไม่แน่เหมือนกัน แม้กัมพูชาได้พื้นที่ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันตรงนี้ไป นักท่องเที่ยวที่อยากไปเขาพระวิหาร ก็คงสมัครใจที่จะเดินทางเข้าสู่เขาพระวิหารจากประเทศไทยมากกว่า แล้วก็ลงจากปราสาทมาก็คงมานอนในประเทศไทยอยู่ดี
ฉะนั้น ข้อเสนอของฝ่ายไทยที่ให้ "จัดการร่วมกัน" บนพื้นที่นี้ จึงเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมในเชิงปฏิบัติ (practical) แต่อาจไม่เหมาะสมทางทฤษฎีแก่กัมพูชานัก เพราะเท่ากับกัมพูชายอมรับว่าดินแดนส่วนนี้เป็นปัญหา ซึ่งต้องเจรจากันไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ และเป็นไปได้ที่ฝ่ายไทยจะเจรจาแบบยืดเยื้อไม่สิ้นสุดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหากกัมพูชาคิดจะลงทุนกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเขาพระวิหาร ก็ไม่คุ้มอยู่นั่นเอง ตรงกันข้าม โรงแรม, ร้านและแหล่งผลิตของที่ระลึก, แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ จะเปิดขึ้นจากศรีสะเกษ, อุบลฯ, ยันสุรินทร์ไปได้เรื่อยๆ
สรุปก็คือ ที่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะ "จัดการร่วมกัน" บนพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่นั้น เข้าใจจุดยืนของทั้งสองฝ่ายได้ไม่ยาก ถ้าเราเป็นเขาก็คงทำอย่างเดียวกัน หรือถ้าเขาเป็นเราก็คงทำอย่างที่เราทำนี่แหละ
แต่ที่ผมยังไม่แจ่มแจ้งอยู่นั่นเอง แม้มีการเสนอข่าวเรื่องนี้มานานแล้วก็คือ พื้นที่ดังกล่าวนั้นมา "ทับซ้อน" กันได้อย่างไร
ข้อมูลที่ผมมีได้จากทีวีซึ่งบอกสั้นๆ แต่ว่าทางกัมพูชาอ้างแผนที่ของฝรั่งเศส แผนที่ครั้งไหนไม่ทราบ ครั้งที่ฝรั่งเศสกับสยามร่วมกันปักปันเขตแดนสมัย ร.5 โน่น หรือฝรั่งเศสเขียนขึ้นใหม่หลังจากปกครองกัมพูชาแล้ว ถ้าเป็นแผนที่ครั้ง ร.5 คำตัดสินของศาลโลกว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ก็ย่อมจะดึงเอาพื้นที่ส่วนนี้ไปกับตัวปราสาทเขาพระวิหารด้วย แต่ถ้าเป็นแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสเขียนขึ้นฝ่ายเดียว นั่นก็เป็นคนละเรื่อง เพราะเราไม่จำเป็นต้องยอมรับ (เว้นแต่ผู้นำไทยผ่าไปเซ็นรับรองเอาไว้อีก)
ยังมีข้อน่าสงสัยอีกด้วยว่า เมื่อตอนที่กัมพูชาฟ้องศาลโลกเรียกเอาเขาพระวิหารคืนนั้น ในคำฟ้องของกัมพูชาได้แนบแผนที่ส่วนที่จะเรียกร้องเอาคืนไว้หรือไม่ ผมคิดโดยสามัญสำนึกว่าน่าจะแนบ เพราะฟ้องศาลเรียกเอาทรัพย์สินคืนโดยไม่ระบุให้ชัดว่าทรัพย์สินที่จะเรียกคืนนั้นคืออะไรก็ดูจะประหลาดเกินไป
ในการต่อสู้คดี ทางฝ่ายไทยได้ทักท้วงดินแดนส่วนที่ถือว่า "ทับซ้อน" นี้หรือไม่ หลังคำตัดสินของศาลโลกแล้ว ไทยได้ดำเนินการอะไรเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการทักท้วงเหนือพื้นที่ดังกล่าวหรือไม่ หรือเราใช้วิธีแบบผู้คุมคิวรถตู้ คือกูพอใจจะคืนมึงแค่นี้ มีอะไรหรือป่ะ
ถ้าเราไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง คำตัดสินของศาลโลกให้เราคืนปราสาทเขาพระวิหารแก่กัมพูชา ก็ต้องแปลว่าเราต้องคืนพื้นที่ส่วนนี้ไปด้วย
สรุปข้อสงสัยของผมก็คือ สิทธิของไทยในกฎหมายระหว่างประเทศเหนือ "พื้นที่ทับซ้อน" นี้ มีแค่ไหนอย่างไรกันแน่
ความทรงจำของคนรุ่นผมในกรณีเขาพระวิหารก็คือ ทีมทนายไทยยืนยันว่าในทางกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิของไทยเหนือเขาพระวิหารนั้นชัดเจนแน่นอน ฉะนั้นการต่อสู้คดีจึงหนักไปทางเอกสาร และทางเลือกเชิงนโยบายคือการหลั่งเลือดหยดสุดท้าย ในที่สุดเราก็แพ้คดี
ผมไม่ต้องการลำเลิกเรื่องนี้เพื่อตำหนิคณะทนายฝ่ายไทย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว (รวมทั้งพระเจ้าตากซึ่งสวรรคตมากว่า 200 ปีแล้ว) แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า เรา (ซึ่งรวมประชาชนไทยด้วย) ควรประเมินและรู้ว่าสิทธิที่แท้จริงของไทยเหนือ "พื้นที่ทับซ้อน" นี้เป็นอย่างไรกันแน่ เพื่อจะได้กำหนดทางเลือกเชิงนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริง
และถึงที่สุดของที่สุด หากไทยไม่มีสิทธิโดยสิ้นเชิงแล้ว จำเป็นต้องเลิก "ทับซ้อน" พื้นที่ของคนอื่น ก็ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องหลั่งเลือดปกป้องดินแดนที่ไม่ได้เป็นของเรามาแต่ต้น บุรณภาพทางดินแดนนั้น ก่อนจะตั้งอยู่บนเลือดเนื้อ ต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องเป็นธรรมก่อน
ผมคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อได้ยินคำถามของผู้สื่อข่าวทางทีวีซึ่งถามอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ว่าจะดีไหมถ้าเราส่งกำลังทหารไปตั้งใน "พื้นที่ทับซ้อน" เสียเลย คำถามของผู้สื่อข่าวเป็นคำถามของความไม่รู้ เหมือนกับที่คนไทยส่วนใหญ่รวมทั้งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทางเลือกเชิงนโยบายจึงแคบและสั้น
http://www.matichon.co.th/mati...=2008-05-19§ionid=0130 