ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ มากกว่าครึ่งที่คลิกเข้ามาในกระทู้นี้เพราะคิดว่ามี ดราม่า ... เพราะถ้าไม่ได้อ่านดีๆ จะไม่สังเกตเห็นเลยว่าคนโพสต์กระทู้คือผมเอง Content is King.
ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกกันนะครับ แค่ในวันนี้อยากจะพูดเรื่องนึงที่หลายๆ คนไม่ค่อยได้นำไปใช้จริง แต่มันคือสิ่งที่ผมและทีมใช้มากันตลอด
ระยะเวลา 2-3 ปีผ่านมาที่น่าตกใจก็คือ
เทคนิคนี้ยังได้ผล ไม่ว่าจะเจอเพนกวิ้น แพนด้า หรือ ในอนาคตจะมี นกเป็ดน้ำ หมีขาว หมีควาย หมีพู ผมก็คิดว่ามันก็คงยังใช้ได้อยู่
ยกตัวอย่าง กับคำว่า
"สถานที่ท่องเที่ยวกรุงเทพ" ดูนะครับ

ใคร Search ค้นหาใน Google แล้วการแสดงผลอันดับไม่เหมือนกันไม่ต้องเอามาประเด็นโชว์ความเทพนะครับ เพราะว่าผลการแสดง Google แต่ละคนคง Personalize ไว้ไม่เหมือนกัน
สังเกตได้ว่าใน
อันดับที่ 1 นั้นเป็นเว็บไซต์ travel.kapook.com หนึ่ง ในเว็บ ยักษ์ใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก
กับ
อันดับ 2 เว็บไซต์ roigoo.com ซึ่งผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่คิดว่าคงเป็นของเพื่อนๆ แถวๆ นี้ขอหยิบมาพูดหน่อยละกันนะครับ
โดยถ้าเป็นแนวคิดของคนหลายๆ คนยังเชื่อว่าการที่เราจะชนะในตลาดต่างๆ เราต้องติดคีย์ที่มีค้นหาเยอะๆ และติดที่ 1 ได้ก็จะยิ่งดี
แต่ถ้าดูในภาพหรือความรู้สึกคุณจะคลิกอันไหนครับ อันที่ติดอันดับ 1 หรือ อันที่ 2 ที่อันดับน้อยกว่าแต่ห้วข้อจูงใจกว่านั้นแสดงว่า Title Tag นั้นไม่ได้จะมีเรื่องคีย์เวิร์ดเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วยังมีเรื่องของการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยว่า มันสามารถดึงดูดเขาได้รึเปล่านั้นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว อาจจะไม่ได้ทราฟฟิคเท่ากับอันดับ 1 แต่ผมมั่นใจว่า เราก็ได้ดึงทราฟฟิคส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยจากอันดับ 1 มาเหมือนกันแน่นอน
1 ใน เทคนิค ภายใต้ Concept
Back to Basics ที่ผมว่าง่ายและทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานจริงได้เลย
ถ้าใครที่กลัวเปลี่ยนแล้วอันดับตก กลัวนู้น กลัวนี่ เลิกกลัวแล้วลองเถอะครับ มันตกก็เปลี่ยนกลับแค่นั้นเอง เพราะเลยคนที่รู้จักส่วนใหญ่ชอบกลัวเลยได้อยู่แต่ เดิม เดิม
ปล. ใครที่หวัง ดราม่า ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ แค่จะแสดงให้ดูว่า Title ค่อนข้างมีผลกับ CTR.
Content is King.