ต่อไป »

[washiravit]

แปลกเเต่จริง ร้าน E commerce บางร้าน ทำไมทำตัวเองไม่ให้น่าเชื่อถือ
สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบจาก stats.com คือลูกค้าที่ตัดสินใจสั่งซื้อส้วนใหญ่มี 2 ประเภท
ประเภทเเรกคือ เข้ามาปุ๊ป ก็ซื้อเลย
ประเภทที่สองคือ เข้ามาปุ๊ป เช็คความน่าเชื่อถือของเว็บเรา จาก รหัสพัสดุที่เราได้เคยส่ง
ทุกครั้ง ที Stats เเจ้งว่ามีคนเข้ามาดูในส่วนเเจ้งรหัสพัสดุ เมื่อนั้นคือผมขายได้เเน่นอน
เเละก็ขายได้จริงๆ

เพราะฉะนั้น ผมจึงฟันธงว่าส่วนของรหัสพัสดุนั้น จำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้
ตอนนี้ผมลงทุนถึงขนาดซื้อเครื่องสเเกนมา เพื่อที่จะเเสกนใบเสร็จของไปรษณีย์มาให้ลูกค้าได้ดูเลย่าส่งของเเล้วจริงๆ

สำหรับเว็บเพื่อนๆที่ทำ E Commerce ทั้งหลาย ผมอยากให้รู็ว่าการจดทะเีบยนการค้าอิเลคทรอนิคนั้น
มีประโยชน์มาก เเต่ก็ไม่ถึงที่สุดเพราะคนบางกลุ่มเขาก็ไม่สนใจตรงนี้หรอก (ยกเว้นเราโฆษณาว่าสัญลักษณ์ Trust คืออะไร)

เเต่สิ่งที่เราสามารถชดเชยเว็บที่ไม่มี e commerce ได้ คือความน่าเชื่อถือที่เปิดเผยอย่างจริงใจ
ตอนที่เว็บของผมเปิดใหม่ๆ ในส่วนของรหัสพัสดุยังว่างเปล่า มีลูกค้าถามว่า ซื้อของเเล้วจะได้ของมั้ย กลัวโดนโกงจัง
ผมประกาศกับลูกค้าเลยว่า เว็บเราพึ่งเปิด เเต่เราจะขายระยะยาว เพราะฉะนั้นเราใส่ใจกับลูกค้าเเม้ปัญหาจะเล็กน้อยเเค่ไหนก็ตาม

หลังจากล้มลุกคุกคลานได้ซักพัก ตอนนี้้ยอดขายของผม ตกที่ 2-3 วันต่อ 1 ออเดอร์ ซึ่งยังถือว่าน้อย
เเต่ก็มากพอที่อยากจะเเนะนำสำหรับเว็บที่ขายของไม่ได้เลย
ฉะนั้น ผมขอเเนะนำว่า
1. ทำร้านให้น่าเชื่อถือ ขโดยเฉพาะเลขไปรษณีย์ จะมากจะน้อยก็ขอให้ได้ใส่
2. พยายามฝึกทักษะการพูดไว้ อย่าประมาทเวลาคุยกับลูกค้า เพราะอาจจะทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพ
3. พยายามอัพเดทเว็บให้บ่อย ยิ่งมีความเคลื่อนไหวเยอะยิ่งดี (ตอนนี้ร้านผมก็ไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน ตั้งใจจะทำเว็บใหม่เเต่ลูกค้าสั่งของมาเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงเว็บได้ซะที เดี๋ยวลูกค้าจะกังวลว่าเราได้เงินเเล้วหนี)
4. สุดท้ายคือ ต้องมีกำลังใจสม่ำเสมอ




วิธีการตรวจสอบเว็บไซท์ด้วยตนเองเว็บของเรามีคุณภาพมากขนาดไหน
ผมขอเเบ่งเป็น 3 ขั้นตอนนะครับ
1. ตรวจสอบจำนวนคนเข้า
การเอาคนเข้าให้มากที่สุดนั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสเปอร์เซ็นในการขายของเราให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นก่อนจะวัดว่าเว็บของเราล้มเหลว เราควรวัดเปอร์เซ็นการขายให้ได้ก่อน อย่างเช่นของผมตกที่ประมาณ 200 คนเ้ข้าต่อ 1 ออเดอร์ นั้นหมายความว่าผมมีโอกาสเอาชนะใจลูกค้าได้ให้ซื้อสินค้าของผมได้ 0.5%  ตอนนี้เป้าหมายของผมคือทำเปอร์เซ็นให้สูงขึ้นเป็น 1 % เพราะฉะนั้น จึงคิดพัฒนาเว็บไซท์ให้ดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น

2. ตรวจสอบจากการสอบถามของลูกค้า
ผมขอเเบ่งหัวข้อหลักๆเป็น 3 ข้อนะครับ คือ ไม่มีคนสอบถามเลย มีสอบถามบ้างเเต่ไม่ซื้อ เเละมีสอบถามเเละก็ซื้อด้วย ถ้าไม่มีคนสอบถามเลยไม่ว่าจะเป็นทางเมลล์หรือทางโทรศัพท์ ให้รีบปรับปรุงเว็บไซท์ด่วน เพราะเเสดงว่าเว็บไซท์ของคุณไม่สามารถดึงดูดใจให้ลูกค้าแยากลงทุนโดยการยกหูโทรศัพท์เเม้กระทั่งมาสอบถาม นั่นหมายความว่าคุณกำลังล้มเหลวเเละถ้าคุณปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป คุณจะหมดกำลังใจเเละกลัวการทำ E Commerce ไปอีกนาน
ถ้าคุณไม่มีปัญหาตรงนี้ คือคุณเข้าสู้กรับวนการที่ 2 คือ มีคนโทรมาเเละไม่ซื้อ นั่นหมายความว่าเว็บของคุณน่าสนใจมากพอสมควร เเต่การที่ลูกค้าไม่ซื้อนั้นอาจจะเป็นเพราะ คุณประมาทเกิดไปที่จะขาย พูดไม่เป็นมืออาชีพ สินค้าโดนเปรียบเทียบราคาจากคู่เเข่ง หรือเพราะคุณไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนโทรมา มีคนสอบถามเเต่ไม่สิ้น ให้มุ่งความสนใจไปที่การเเก้ไขปัญหาจากสินค้านั่นเอง หมายความว่าให้คุณจดจำเอาไว้เลย ลูกค้าถามอะไรในตัวสินค้า นั่นคือข้อมูลชั้นยอดที่จะทำให้เราสามารถเอาไปเเก้ไขเว็บไซท์ได้ ยกตัวอย่างเช่นเว็บวัตถุมงคลของผมทุกชิ้น จะถ่ายคู่กับเหรียญ 5 บาทบ้าง 10 บาทบ้าง เเต่ลูกค้าก็มักจะถามว่าขนาดเท่าไหร่ นั่นหมายถึงลูกค้าใบ้มาเเล้ว ให้ผมรีบเพิ่มข้อมูลในสินค้าด่วน เเละถ้าคุณอยู่ในกรณีสุดท้าย คือมีทัั้งคนถามเเละคนซื้อ ผมก็ไม่รู็ว่าคุณจะมาอ่านทำไมให้เสียเวลา

3. ขายได้มั้ย
อันนี้เเหละครับ จุดสุดยอดของ E-commerce ตอนที่ผมขายของได้ชิ้นเเรก กำไร 60 กว่าบาท ผมนั่งกอดเงินนั้นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความสุขเป็นกำลังใจในการทำงานอย่างมหาศาล สำหรับคนที่ขายไม่ได้ก็อาจจะไม่เข้าใจความสุขตรงนี้ เเต่ถ้าเว็บของใครที่ขายได้ประจำเเล้วหละก็น่าจะเข้าใจดีเเท้ การขายสินค้าไม่ได้มีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่นสินค้าเเพง ไม่น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อถือ เเละอื่นๆอีกมากมาย ถ้าท่านกำลังเศร้าใจเรื่องขายไม่ได้ ผมก็บอกได้เลยว่า ใจเย็นๆ ย้อนกลับไปดู 2 ข้อเเรกก่อน ถ้าเว็บคุณมีคนเข้าน้อย ก็ต้องรีบทำให้มันเยอะก่อน เมื่อคนเข้าเยอะเเล้วก็ถือว่าผ่าน ตราบใดที่คนยังเข้าเว็บไม่เยอะ ก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจว่าคุณจะขายไม่ได้ เมื่อคุณคิดว่าเว็บคุณคนเข้าเยอะเเล้ว ก็มาขั้นที่ 2 คือดูว่ามีการสอบถามเกิดขึ้นมั้ย หรือลูกค้ามาเเล้วก็ไป ตรงนี้เป็นจุดที่เราใช้ตัดสินกันว่าเว็บของเราดีไซน์เป็นอย่างไร ถ้าดีไซน์ดีอย่างน้อยก็ต้องเกิดการสอบถามขึนบ้างเเหละ เเต่ถ้าห่วยก็จะไม่มีลูกค้าโทรเข้ามาหาเลย

เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากให้เพื่อนชาว E commerce ท้อ เพราะผมก็เคยท้อมาเเล้ว โชคดีมีคนใจดีในเว็บนี้มาเป็นเเสงสว่างให้ผม ผมเลยสู้จนตอนนี้เริ่มมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างเเล้ว
ผมหวังว่าเพื่อนๆที่เป็น E commerce จะมองเว็บไซท์ของตัวเองกันใหม่ มีความภูมิใจในเว็บไซท์ของตัวเองเเม้มันจะทำเงินไม่ได้ก็ตาม

[Reality]

+ แรงๆ!!

 

[katarika]

แจ่มเลย 

[khonthai]

สุดยอด +11

[JustMy2Cent]

ตรงเลขพัสดุนี่ เราขี้เกียจพิมพ์ที่สุด  ลายตามั่กๆ
เลยไม่ใส่มันซะเลย แต่ก็มีคนซื้ออยู่ดีนะ คงเพราะปัจจัยปากต่อปาก
 แถมช่วงนี้ไม่โปรโมทเองอีกต่างหาก งดแบนเนอร์ไปเป็นปี อาศัยบารมีSEOเดิมๆ

[ninebookshop]

เป็นกำลังใจให้อีกแรงครับ 

[nooknikz]

เป็นคำแนะนำที่เยี่ยมมาก ๆ

[ขัน]

ยินดีกับเจ้าของกระทู้นะครับ

ขอมาแชร์ด้วยเผื่อกระทู้นี้จะได้มีประโยชน์ขึ้นอีกครับ

ในแนวผมนะ

จะขายของต้องฝึกเขียนอธิบายในเว็บไซต์ให้เป็นครับ ให้ชัดเจน ครบถ้วน
หน้าตาอาจจะไม่ต้องหรู ไม่ต้องเทคนิคมาก ขอให้เป็นระเบียบ อ่านง่าย เข้าใจง่ายก็พอ

สินค้าบางประเภทเขาตัดสินใจซื้อเพราะหน้าเว็บมันดูง่ายๆ เหมือนเจ้าของเว็บทำเอง โรงงานผู้ผลิตทำเอง มันจะดูเหมือนราคาถูก เป็น Original
แต่สินค้าบางประเภทก็ต้องนำเสนอแบบเลิศสุดๆ เขาถึงจะยอมซื้อแบบไฮโซก็ว่ากันไป

แต่ส่วนใหญ่เว็บในไทยที่เห็นกันจะไปให้น้ำหนัก นำเสนอกราฟิกส์ ของตกแต่งร้านมากเกินหน้าเกินตาตัวสินค้าซะอีก

ส่วนตัวผม ผมเน้นตามนี้นะครับ

1. รูปสินค้า
2. รายละเอียดสินค้า
3. ราคาเท่าไหร่
4. วิธีสั่งทำอย่างไร
5. คนขายคือใคร
6. ติดต่อได้ง่ายๆอย่างไร

มันก็มีแค่นี้เองครับ เรียงเลย แต่ก็ให้ข้อมูลกันไม่ค่อยครบ
ส่วนใหญ่จะเสียเวลาไปหาตัวดุ้กดิ้ก ไปหาอะไรไม่รู้เลอะๆมากองไว้ในเว็บ


 

[PositiveThinking]

ขอบคุณครับ +1

[washiravit]

ยินดีกับเจ้าของกระทู้นะครับ

ขอมาแชร์ด้วยเผื่อกระทู้นี้จะได้มีประโยชน์ขึ้นอีกครับ

ในแนวผมนะ

จะขายของต้องฝึกเขียนอธิบายในเว็บไซต์ให้เป็นครับ ให้ชัดเจน ครบถ้วน
หน้าตาอาจจะไม่ต้องหรู ไม่ต้องเทคนิคมาก ขอให้เป็นระเบียบ อ่านง่าย เข้าใจง่ายก็พอ

สินค้าบางประเภทเขาตัดสินใจซื้อเพราะหน้าเว็บมันดูง่ายๆ เหมือนเจ้าของเว็บทำเอง โรงงานผู้ผลิตทำเอง มันจะดูเหมือนราคาถูก เป็น Original
แต่สินค้าบางประเภทก็ต้องนำเสนอแบบเลิศสุดๆ เขาถึงจะยอมซื้อแบบไฮโซก็ว่ากันไป

แต่ส่วนใหญ่เว็บในไทยที่เห็นกันจะไปให้น้ำหนัก นำเสนอกราฟิกส์ ของตกแต่งร้านมากเกินหน้าเกินตาตัวสินค้าซะอีก

ส่วนตัวผม ผมเน้นตามนี้นะครับ

1. รูปสินค้า
2. รายละเอียดสินค้า
3. ราคาเท่าไหร่
4. วิธีสั่งทำอย่างไร
5. คนขายคือใคร
6. ติดต่อได้ง่ายๆอย่างไร

มันก็มีแค่นี้เองครับ เรียงเลย แต่ก็ให้ข้อมูลกันไม่ค่อยครบ
ส่วนใหญ่จะเสียเวลาไปหาตัวดุ้กดิ้ก ไปหาอะไรไม่รู้เลอะๆมากองไว้ในเว็บ


 

ผมให้ + 1 ครับ เป็นข้อมูลที่เยี่ยมจริงๆ ผมรอปรับปรุงเว็บใหม่ จะเอาหลักการนี้ไปใช้ด้วยครับ

[ร้อยศพสยบแทบเท้า]

+1 ขอบคุณมากๆ

สำหรับบทความครับ

 

[ขัน]

ยินดีกับเจ้าของกระทู้นะครับ

ขอมาแชร์ด้วยเผื่อกระทู้นี้จะได้มีประโยชน์ขึ้นอีกครับ

ในแนวผมนะ

จะขายของต้องฝึกเขียนอธิบายในเว็บไซต์ให้เป็นครับ ให้ชัดเจน ครบถ้วน
หน้าตาอาจจะไม่ต้องหรู ไม่ต้องเทคนิคมาก ขอให้เป็นระเบียบ อ่านง่าย เข้าใจง่ายก็พอ

สินค้าบางประเภทเขาตัดสินใจซื้อเพราะหน้าเว็บมันดูง่ายๆ เหมือนเจ้าของเว็บทำเอง โรงงานผู้ผลิตทำเอง มันจะดูเหมือนราคาถูก เป็น Original
แต่สินค้าบางประเภทก็ต้องนำเสนอแบบเลิศสุดๆ เขาถึงจะยอมซื้อแบบไฮโซก็ว่ากันไป

แต่ส่วนใหญ่เว็บในไทยที่เห็นกันจะไปให้น้ำหนัก นำเสนอกราฟิกส์ ของตกแต่งร้านมากเกินหน้าเกินตาตัวสินค้าซะอีก

ส่วนตัวผม ผมเน้นตามนี้นะครับ

1. รูปสินค้า
2. รายละเอียดสินค้า
3. ราคาเท่าไหร่
4. วิธีสั่งทำอย่างไร
5. คนขายคือใคร
6. ติดต่อได้ง่ายๆอย่างไร

มันก็มีแค่นี้เองครับ เรียงเลย แต่ก็ให้ข้อมูลกันไม่ค่อยครบ
ส่วนใหญ่จะเสียเวลาไปหาตัวดุ้กดิ้ก ไปหาอะไรไม่รู้เลอะๆมากองไว้ในเว็บ


 

ผมให้ + 1 ครับ เป็นข้อมูลที่เยี่ยมจริงๆ ผมรอปรับปรุงเว็บใหม่ จะเอาหลักการนี้ไปใช้ด้วยครับ

กลับมา ลืม+1 ให้น่ะครับ ว่าแต่ท่านขายส่ง หรือรับจ้างนำเข้าสินค้ารึปล่าวครับ
รายละเอียดเดี๋ยว pm

[Meaw-IE]

ผมมองว่าปัจัยที่กล่าวมาทั้งหมด ถูกต้องเลยหละครับ แต่มันยังมีปัจจัยบางอย่าง ที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ สำหรับผม มันคือ สื่อ พวกช่อง 3 ,4,5,6,7,8,9 ทั้งหลายแหละครับ ที่มักจะเอาเรื่องราวการโดนโกง การหลอกลวง ต่างๆ ออกมานำเสนอ (ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะเปนหน้าที่เค้า) แต่ มันกลับสร้างความกลัวให้ลูกค้าอย่างมากเลยหละครับ ผมสังเกตุง่ายๆ จากที่เคยทำ วันไหนมีข่าว โกงกันทางเนต วันนั้นเตรียมตัว อยู่นิ่งได้เลย แม้แต่โทรศัพย์ยังไม่มีเลย

มีอย่างนึงที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก ตอนคิดจะเริ่มทำ Ecom คือ ลักษณะการซื้อขายของคนไทยครับ มันยังไม่เหมือนเมืองนอก ที่ซื้อปุ๊ปจ่ายเงินปับด้วยบัตรเครดิต ผมเคยลองเปิดให้จ่ายเงินด้วยบ้ตรได้ ไม่มีคนจ่ายผ่านทางช่องทางนี้แม้แต่คนเดียว  ตอนหลังเลยปิดทิ้งไปเลยครับ

ทางแก้ทางเดียวนะครับ คือ นัดเจอแล้วจ่ายเงิน ใ่ครับ ได้ยินไม่ผิด ตอนแรกผมก็ทำแบบส่งอย่างเดียว ไม่ว่าที่ไหน พอเปลี่ยนมา เพิ่มการนัดเจอ นัดรับของเอง (เฉพาะใน กทม นะ) ยอดขายเพิ่มขึ้น 300% ครับ แต่เหนื่อยๆๆ

ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะทำไงให้มันเพิ่มได้อีก มีไอเดียขึ้นมา 1 อย่าง
1. ตอนไปส่งของ ให้ขอลูกค้า ถ่ายรูปลูกค้ากับของ ยืนยันการรับของด้วยครับ อยากอัด วีดีโอ แต่กลัวมันจะมากไป ตอนถ่ายก็อ้างว่า เป็นหลักฐานการรับสินค้าแล้ว ก็ได้ครับ

[minigear]

ใช้พวก tarad pay หรือว่า paysbuy สิ

พวกนี้น่าจะเป็นตรารับประกันร้านเราได้ดีด้วย

เพราะอย่างน้อยร้านที่จะมีต้องส่งหลักฐานหลานยอย่างเลย

[g-ji]

+1 สุดยอดจริงๆ

คุณ washiravit นี่ก็เป็นคนนึงที่ เห็นตั้งแต่ เริ่มทำ E-com แรกๆ เปลี่ยนสคริปท์มาก็หลายตัว แก้ปัญหากันยาวพอสมควร สมาชิกหลายๆท่านในนี้น่าจะจำกันได้ ช่วยตอบ+แก้ปัญหาไปก็พอสมควร แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง จขกททำได้เองบ้าง สุดท้ายก็ตั้งหลัีกได้ แถมวางรากฐานธุรกิจได้ค่อนข้างดีซะด้วย

ดูๆ ไปแล้ว มีความเป็น "พ่อค้า" เต็มตัว มีการติดตามผล+มัดใจลูกค้า มีการศึกษาพฤติกรรมลูกค้า ใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยของลูกค้า เพื่อเอามาปรับปรุงตัวเอง

แล้วยังเอามาเผื่อแผ่ในบอร์ดอีก ^^ +1 ไม่แน่จะพอนะนี่

ยังไงก็ ขอให้ค้าขายร่ำรวยเงินไหลมาเทมาเน้อ

[jutarat]

ขอบคุณค่ะ  ได้ประโยชน์มากมาย

[qoo]

ได้ความรู้มากเลยครับ ผมเลยติดต่อไปว่าจะมีปัจจัยอะไรอีกที่เพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีก เช่น

- ระยะเวลา ยิ่งทำนาน ยิ่งน่าเชื่อถือ
- คำสัมภาษณ์จากลูกค้าผู้เคยใช้บริการ
- เว็บบอร์ดสำหรับลูกค้า เพื่อที่ผู้ใช้ได้เห็นว่าเราเข้ามาตอบทุกกระทู้ ไม่มีลูกค้าคนใดที่ซื้อแล้วไม่ได้ของ


ขอเชิญเพื่อนๆ ที่มีประสบการณ์มาช่วยกันเขียนปัจจัยที่ส่งเสริมเว็ฐ E-commerce ให้ประสบความสำเร็จกันเพิ่มอีกนะครับ 

[Rosemary Syrup]

+1 ให้ครับ ขอให้กิจการร่ำรวยๆ ขายดียิ่งๆขึ้นไปครับ

อยากหาของมาขายในประเทศบ้าง แต่ยังไร้ไอเดียอยู่เลยครับ แถมช่วงนี้ amazon ก็กำลังซื้อร่วงซะแล้ว 

[fernsterno]

ขอบคุณมากครับผม เจอเหมือนกันแล้วทำเหมือนกันเลยครับผม ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเชื่อว่าเราไม่หนี เพราะคนไทยกลัวเรื่องนี้ที่สุด

[moneyjr]

เรื่องเก็บเลข พัสดุ หรือ tracking  ถ้าขี้เกียจ ก็ซื้อเครื่องยิงบาร์โค๊ต สิครับ  ถ้าส่งทีละเยอะๆ ไป ปณ ขอ เลขลงทะเบียนเค้ามาเป็นเล่มเลย ตีซี้ ไว้ เวลา แพ็คของส่ง ส่งของลูกค้าที ก็ยิงแต่ละซองเก็บไว้เลยใน excel เก็บเป็นแต่ละรายการได้เลย สามารถเอามาประยุกต์ได้หลายทางเลย
-เขียนโปรแกรมโชว์ tracking ให้ลูกค้าในเว็บได้เลย เชือมไปยังเว็บ ปณ
-เขียนโปรแกรมจัดการการขายส่งเมลล์ หาลูกค้าแจ้งว่าของส่งไปแล้ว วันที่เท่าไหร่ เลข tracking ใหน
-เก็บข้อมูลได้ง่าย ลูกค้าถามถึงสินค้าที สามารถเปิด excel หรือ datbase ของเราดู order ว่าส่งไปรึยัง มีเลขพัสดุหรือเลขลงทะเบียนรึยัง

เป็นกำลังใจให้ครับ