ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeตายซะแล้ว ไม่น่าเลย = ="
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ตายซะแล้ว ไม่น่าเลย = ="  (อ่าน 2645 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
stahcus
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 49
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,074



ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 09:42:52 »

ผมก็อยากเลี้ยงมาก แต่นึกถึงตอนมันตายแล้วเศร้าๆเลยไม่กล้าเลี้ยงครับ

ใช่ครับ เวลาเราเลี้ยงสัตว์มันจะมีความผูกพันกับเรา เพราะสัตว์เลี้ยงเราต้องดูแลเอาใจใส่ตลอด จะปล่อยปะละเลยไม่ได้ บางทีมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว

แต่ยังไง มันก็มีความสุขมากเหมือนกัน อีกอย่างการเลี้ยงสัตว์มันฝึกจิตใจเราได้มากเลยล่ะ  :Smiley
บันทึกการเข้า

ssomaxp
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 18
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,154



ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 09:50:53 »

พุ๊ดเดิ้ลผม ออกลูกมา 5 ตัว ใครจะเอาบ้างครับ Grin
บันทึกการเข้า

eakvdo
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 357



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 13:09:02 »

เอาวิธีเลี้ยงกระต่ายมาฝากครับ
กระต่าย
การเลือกซื้อกระต่าย
     การเลี้ยงกระต่ายเพื่อให้ประสบผลสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆมากมาย ปัจจัยแรกคือ การเลือกซื้อกระต่ายที่จะนำมาเลี้ยง ส่วนใหญ่มักหาซื้อจากตำแหน่งต่างๆซึ่งมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอๆก็คือผู้ที่เริ่มเลี้ยงกระต่ายยังขาดหลักการและประสบการณืในการเลือกซื้อกระต่าย ทำให้ไม่สามารถเลือกซื้อกระต่ายที่ดีตามความต้องการได้
     ดังนั้นในขั้นแรกจึงควรจะทราบรายละเอียดและทำความเข้าใจในหลักการเลือกซื้อกระต่ายเสียก่อน การเลือกซื้อกระต่ายควรมีหลักการพิจารณา ดังนี้
เลือกพันธุ์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการเลี้ยง เช่นเมื่อต้องการเลี้ยงกระต่ายเนื้อก็ควรเลืกพันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์หรือแคลิฟอร์เนีย ถ้าต้องการเลี้ยงเพื่อเอาขนควรเลือกพันธุ์แองโกร่า แต่ถ้าต้องการเลี้ยงไว้ดูเล่นควรเป็นกระต่ายที่สวยงาม เช่น พันธุ์เซเบิล ( Sable )
รูปร่างลักษณะของกระต่าย ถ้าเป็นพันธุ์แท้ต้องมีลักษณะตรงตามพันธุ์กระต่ายตัวเมีย ควรมีเต้านมอย่างน้อย 8 เต้า มีอวัยวะเพศภายนอกปกติ กระต่ายตัวผู้ควรมีอัณฑะเต็มทั้ง 2 ข้าง และไม่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
สุขภาพ กระต่ายจะต้องมีสุขภาพดี ท่าทางตื่นตัว ไม่หงอยเหงา หรือเซื่องซึม ไม่มีโรคของระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และโรคของผิวหนังรวมทั้งไร ขี้เรื้อนต่างๆ
ประวัติ ควรซื้อจากแหล่งที่มีประวัติการเลี้ยงดี กระต่ายเติบโตเร็วและไม่มีโรค
อายุ ควรเป็นกระต่ายที่หย่านมแล้ว มีอายุเกิน 6 สัปดาห์ เพราะกระต่ายมีอายุน้อยกว่านี้จะอ่อนแอและมีความต้านทานโรคต่ำ
     หลังจากเลือกซื้อกระต่ายได้แล้ว การขนย้ายกระต่ายเพื่อนำไปเลี้ยงจำเป็นจะต้องทำอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว ในขณะที่อากาศยังไม่ร้อนในช่วงเช้าๆ หรือตอนเย็น หรือกลางคืน พยายามอย่าให้ถูกแสงแดดโดยตรง และมีอากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้กระต่ายเครียดเกินไป
     ช่วงที่นำกระต่ายมาเลี้ยงใหม่ๆ ควรดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะกระต่ายมักจะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย ควรที่จะผสมวิตามินในน้ำให้กระต่ายกินประมาณ 3-5 วัน ถ้ามีการนำกระต่ายใหม่มาเลี้ยงก่อนที่จะนำมาเลี้ยงรวมกัน ควรทำการกักโรคประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่ากระต่ายที่ซื้อมาใหม่จะไม่นำโรคเข้ามา
พันธุ์กระต่าย
     กระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่พันธุ์ ดังนี้
พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ ( Newzealand White ) เป็นกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายที่สุด มีขนสีขาวตลอดตัว ตาสีแดงหน้าสั้น มีสะโพกใหญ่ ไหล่กว้าง ส่วนหลังและสีข้างใหญ่มีเนื้อเต็ม ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้หนัก 4.1-5.0 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรัม
พันธุ์แคลิฟอร์เนีย ( Californian ) มีขนสีขาวตลอดตัวยกเว้นที่บริเวณใบหู จมูก ปลายเท้าและปลายหางจะมีสีดำ ลำตัวท้วมหนา สะโพกกลม ช่วงไหล่และช่วงท้ายใหญ่ ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.0-5.0 กิโลกรัม
พันธุ์แองโกร่า ( Angora ) เลี้ยงกันมากทางภาคเหนือ มีขนฟูยาว ขนสีขาว สีดำหรือสีอื่นๆ เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้หนัก 2.4-3.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.5-3.8 กิโลกรัม
พันธุ์พื้นเมือง มีหลายสีเช่น สีเทา ขาว น้ำตาล ฯลฯ ตาสีดำ หน้าแหลม เลี้ยงลูกเก่ง ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี เมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-3.0 กิโลกรัม ปัจจุบันมีการผสมข้ามพันธุ์กับกระต่ายพันธุ์อื่น จนหากระต่ายพื้นเมืองแท้ได้ยาก
โรงเรือนและอุปกรณ์การเลี้ยง
โรงเรือน ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกกับตะวันตก มีลวดตาข่ายล้อมรอบเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์ ซึ่งจะทำอันตรายและนำโรคมาสู่กระต่าย หลังคาของโรงเรือนจะต้องกันแดดและฝนได้ดี พื้นภายในโรงเรือนควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อไม่ให้เปียกชื้นและทำความสะอาดได้ง่าย กรณีที่ผู้เลี้ยงมีพื้นที่ในบ้านมากพอสมควร และกระต่ายที่เลี้ยงมีจำนวนไม่มากนัก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือน
กรง ขนาดของกรงจะขึ้นอยู่กับจำนวนกระต่าย ถ้าเป็นกรงเดี่ยวควรมีขนาดกว้าง 50 - 60 เซนติเมตร ยาว 60 - 90 เซนติเมตร สูง 45 - 60 เซนติเมตร ถ้าต้องการเลี้ยงกระต่ายหลายตัวอาจทำเป็นกรงตับและซ้อนกัน 2 - 3 ชั้น หรือถ้าจะขังหลายๆตัวรวมกัน กรงที่ใช้จะต้องใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ด้วยกันได้โดยไม่หนาแน่นเกินไป วัสดุที่ใช้ทำกรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่ายที่มีช่องกว้างประมาณ ? - ? นิ้ว ถ้าเป็นกรงสำหรับแม่กระต่ายเลี้ยงลูก ลวดตาข่ายที่ใช้บุพื้น ควรมีช่องขนาด ? นิ้ว เพื่อป้องกันขาของลูกกระต่ายติดในร่องของลวด ถ้าเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัว อาจซื้อกรงสำเร็จรูปที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่ต้องไม่ลืมว่ากรงที่ใช้จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ได้อย่างสบาย และต้องแข็งแรง ทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน
อุปกรณ์การให้อาหาร ควรใช้ถ้วยดินเผาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และมีน้ำหนักมากพอที่กระต่ายจะไม่สามารถทำล้มได้ อาจใช้กล่องใส่อาหารที่ทำด้วยอลูมิเนียมเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปครึ่งวงกลมผูกแขวนติดข้างกรง ถ้าเป็นกระต่ายขุนอาจใช้กล่องอาหารอัตโนมัติเพื่อที่กระต่ายจะได้กินอาหารตลอดทั้งวัน
อุปกรณ์การให้น้ำ มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ดินเผาใส่น้ำ แต่มีข้อเสียคือ กระต่ายอาจถ่ายมูลหรือปัสสาวะลงในถ้วยทำให้สกปรกได้ หรืออาจใช้ขวดอุดด้วยจุกยาง ซึ่งมีรูสำหรับสอดท่อทองแดง วิธีใช้ให้นำขวดไปเติมน้ำจนเกือบเต็มขวดแล้วคว่ำขวดแขวนที่ข้างกรงกระต่ายให้ปลายท่อทองแดงสูงระดับที่กระต่ายกินน้ำได้สะดวก ควรตัดท่อทองแดงให้โค้งพอเหมาะ น้ำจึงจะไหลได้ดีถ้าเลี้ยงกระต่ายเป็นจำนวนมากๆอาจใช้อุปกรณ์ให้น้ำแบบอัตโนมัติก็ได้ เพื่อประหยัดแรงงานและอุปกรณ์ แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
รังคลอด ควรมีขนาดกว้างพอที่แม่กระต่ายและลูกกระต่ายอยู่ได้อย่างสบาย โดยทั่วไปรังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร พื้นรังคลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด ? นิ้ว หรือใช้ไม้ตีปิดพื้นให้ทึบ ปูพื้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง
     การทำความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง เพื่อลดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากมูลกระต่าย ส่วนภาชนะใส่น้ำและอาหารควรล้างทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
อาหาร
     อาหารมีความสำคัญต่อการเลี้ยงกระต่ายอย่างยิ่งเพราะต้นทุนในการเลี้ยงกระต่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งใช้เป็นค่าอาหาร การที่จะเลี้ยงกระต่ายให้เติบโตเร็ว มีสุขภาพดีและให้ผลผลิตสูงจำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่เหมาะสม และมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของกระต่าย
     อาหารที่ใช้เลี้ยงกระต่ายแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
อาหารหยาบ ( Roughage ) หมายถึง อาหารที่มีโภชนะย่อยได้ต่ำ มีเยื่อใยสูง ซึ่งหมายถึงอาหารที่กินเข้าไปแล้วเหลือกากขับถ่ายออกมาเป็นของเสียมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากลำต้น และใบของพืชตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว เช่น หญ้าเนเปียร์ หญ้าขน หญ้ากินนี กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วซีราโต ถั่วไกลซีน ถั่เทาสวิลสไลโล เป็นต้น หรืออาจจะใช้ต้นพืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดหอม หัวผักกาด มันเทศ มันแกว ฯลฯ เลี้ยงกระต่ายก็ได้ อาหารหยาบประเภทใบพืช ผัก หญ้า ควรให้กินเต็มที่ กระต่ายชอบหญ้าสด ผักสด มากกว่าตากแห้ง แต่หญ้าแห้งก็อาจใช้ได้ แต่ควรเป็นหญ้าที่อยู่ในระยะยังอ่อน ตากแห้งสะอาดไม่มีรา ไม่สกปรก ไม่มียาฆ่าแมลง ควรหั่นเป็นท่อนๆได้ยาวพอควร
อาหารข้น ( Concentrate ) แม้ว่ากระต่ายจะสามารถยังชีพและขยายพันธุ์ตามปกติธรรมชาติ โดยอาศัยอาหารประเภทต้นหญ้า ใบพืชได้ก็ตาม แต่หากเราต้องการให้มันเจริญเติบโต ให้ผลผลิตเร็ว ให้เนื้อมาก ให้ขยายพันธุ์มีลูกดก ได้ลูกปีละหลายตัว เราจะต้องเลี้ยงดูให้ดี โดยมีอาหารข้น(Concentrates ) เพิ่มเสริมให้ด้วย อาหารข้นนี้เป็นอาหารที่มีโภชนะย่อยได้สูง มีเยื่อใยต่ำ ย่อยง่าย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
อาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน คือ อาหารที่มีแป้ง และน้ำตาล( คาร์โบไฮเดรต) หรือไขมันสูง ได้แก่ รำ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันเส้น และไขมันจากพืชหรือสัตว
อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ได้แก่ นมผง ปลาป่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง และใบกระถินป่น สำหรับอาหารข้นควรเสริมให้กินในตอนบ่าย กระต่ายไม่ได้เสริมด้วยอาหารข้นควรมีแร่ธาตุประกอบด้วย เกลือ กระดูกป่น และเปลือกหอยบดอย่างละเท่าๆกัน ผสมให้เข้ากัน ตั้งให้กินตามใจชอบ อาหารป่นที่แห้งอาจผสมน้ำเล็กน้อยพอชื้น เพื่อสะดวกในการกินและจะช่วยมิให้ร่วงหล่นเสียหาย
อาหารสำเร็จรูป ( Complete feed ) เกิดจากการนำอาหารข้นและหยาบมารวมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม มีสภาพเป็นผงหรืออัดเป็นเม็ด นำมาใช้เลี้ยงกระต่ายได้สะดวก กระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ในการเลี้ยงทั่วไปนิยมเสริมหญ้าสด เพื่อลดต้นทุนและควรให้หญ้าหลังจากที่กระต่ายกินอาหารสำเร็จรูปในปริมาณมากพอสมควร เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่จะเป็นอย่างเพียงพอ
ความต้องการโภชนะของกระต่าย
     ระดับโภชนะที่กระต่ายต้องการนั้นเกี่ยงข้องกับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ พันธุ์ น้ำหนัก ระยะการเจริญเติบโต อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมอื่นๆ ความต้องการโภชนะของกระต่ายที่เลี้ยงแบบให้กินอาหารเต็มที่ ได้แสดงไว้ในตารางที่1
ตารางที่ 1 ความต้องการโภชนะของกระต่าย
ประเภทโภชนะ    ระยะ
  เจริญเติบโต        ดำรงชีพ        ตั้งท้อง        เลี้ยงลูก      
  พลังงานย่อย ( แคลอรี่ )    2,500    2,100    2,500    2,500
  โภชนะย่อยได ้(%)    65    55    58    70
  เยื่อใย (%)    10-12    10-12    10-12    10-12
  ไขมัน (%)    2    2    2    2
  โปรตีน (%)    16    12    15    17
  แคลเซี่ยม (%)    0.4    *    0.45    0.75
  ฟอสฟอรัส (%)    0.22    *    0.37    0.75
 
* กระต่ายต้องการ แต่ไม่ทราบปริมาณที่แน่นอน
การให้อาหารกระต่าย
     ควรพิจารณาปริมาณที่ให้โดยให้พอดีกับความต้องการของกระต่ายซึ่งขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโตของกระต่าย น้ำหนักตัวและสภาพเฉพาะของกระต่ายแต่ละตัวด้วย
•  กระต่ายตั้งท้อง ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15 % วันละ 4.5 % ของน้ำหนักตัว หรือให้ในปริมาณ 120 - 180 กรัมต่อวัน โดยเริ่มให้ตั้งแต่ตรวจพบว่าตั้งท้องหรือท้องประมาณ 15 วันจนถึงวันคลอด
•  กระต่ายเลี้ยงลูก ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 17 % วันละ 4.5 % ของน้ำหนักแม่รวมกับน้ำหนักลูก หรือให้ในปริมาณ 50 - 150 กรัมต่อวัน
•  กระต่ายหลังหย่านม ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 16 % วันละ 5 % ของน้ำหนักตัว หรือให้ในปริมาณ 50 -150 กรัมต่อวัน
•  พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15 % วันละ 3.5 - 4 % ของน้ำหนักตัว หรือให้ในปริมาณ 90 - 140 กรัมต่อวัน ปริมาณอาหารสำหรับพ่อและแม่พันธุ์ควรปรับตามสภาพร่างกาย เพื่อควบคุมไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป ซึ่งจะมีผลทำให้ผสมติดยาก
ตารางที่ 2 ส่วนประกอบทางอาหารของอาหารกระต่ายบางชนิด
 
           วิธีจับกระต่าย
     กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่ายดังนั้นการจับกระต่ายจะต้องทำด้วยความนุ่มนวลและถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยของตัวกระต่ายและตัวผู้จับด้วย ไม่ควรจับกระต่ายโดยการหิ้วหูเพราะจะทำให้กระต่ายเจ็บปวด และอาจเป็นสาเหตุทำให้กระต่ายหูตกได้ การจับกระต่ายที่ถูกวิธีมีดังนี้
•  ลูกกระต่าย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มั่นคง แล้วยกขึ้นตรงๆ
•  กระต่ายขนาดกลาง ใช้มือขวา ( หรือมือที่ถนัด ) จับหนังเหนือไหล่ให้มั่นคง อาจรวบหูมาด้วยก็ได้ มือซ้ายรองใต้ก้นให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตัวผู้จับ
•  กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีที่ 2 แล้วยกอ้อมขั้นมาทางซ้ายมือใช้แขนซ้ายหนีบให้แนบชิดลำตัว โดยใช้มือซ้ายช่วยประคองก้น ให้หน้ากระต่ายหันไปทางหลังของผู้จับและขากระต่ายชี้ออกนอกตัวผู้จับ
           การดูเพศกระต่าย
     กระต่ายที่โตแล้วสามารถที่จะดูเพศได้อย่างชัดเจน โดยที่ตัวผู้จะเห็นลูกอัณฑะอยู่นอกช่องท้องชัดเจน และตัวเมียเห็นอวัยวะเพศอยู่ใต้ทวารหนัก แต่การดูเพศในลูกกระต่ายนั้นจะต้องอาศัยความชำนาญ ความแม่นยำทางสายตาและแสงสว่างที่เพียงพอ ลูกกระต่ายที่จะดูเพศได้อย่างชัดเจน ควรมีอายุเกิน 2 สัปดาห์
           วิธีการ จับลูกกระต่ายนอนหงายในฝ่ามือ ใช้นิ้วมือและนิ้วหัวแม่มือของอีกมือหนึ่งลูบ และกดเบาๆที่ข้างๆอวัยวะเพศ จะเห็นอวัยวะเพศอยู่เหนือทวารหนัก ถ้าเห็นเป็นแท่งกลมยื่นออกมาแสดงว่าเป็นตัวผู้ ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นรอยผ่ายาวจนเกือบถึงทวารหนัก
การขยายพันธุ์
     กระต่ายที่จะนำมาผสมพันธุ์ควรมีอายุอย่างน้อย 5 - 7 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์หรือมีน้ำหนักมากกว่า 2.5 กิโลกรัม อัตราส่วนของพ่อพันธุ์ต่อแม่พันธุ์คือ 1 ต่อ 8 - 10 ตัวและพ่อพันธุ์หนึ่งตัวไม่ควรผสมเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กระต่ายตัวเมียจะมีรอบการเป็นสัตว์ประมาณ 16 วัน ควรผสมพันธุ์เมื่อตัวเมียเป็นสัตว์เต็มที่ โดยดูที่อวัยวะเพศ ซึ่งจะบวมแดง มีเมือกเยิ้ม และกระต่ายอาจแสดงอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องหรือใช้เท้าตบพื้นกรง ถ้าเลี้ยงไว้หลายตัวรวมกัน ตัวที่เป็นสัดอาจขึ้นขี่ตัวอื่น เมื่อตัวเมียเป็นสัดเต็มที่แล้วให้จับกระต่ายตัวเมียไปใส่ในกรงตัวผู้ ตัวเมียจะยกก้นให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์เสร็จแล้วตัวผู้จะตกจากหลังตัวเมีย และมักส่งเสียงร้องพร้อมกับใช้เท้าตบพื้นกรง
     แม่กระต่ายจะตั้งท้องประมาร 29 - 35 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 31 วัน ในช่วงแรกของการตั้งท้อง ลูกกระตายจะโตขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากวันที่ 15 ของการตั้งท้อง ลูกกระต่ายจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรให้อาหารที่มีคุณค่าสูง และเพิ่มปริมาณอาหารให้กับแม่กระต่าย เมื่อแม่กระต่ายตั้งท้องได้ 4 สัปดาห์ ให้จัดเตรียมรังคลอดที่ปูด้วยฟางหรือหญ้าแห้งใส่ในกรงก่อนคลอด 1 - 2 วัน แม่กระต่ายจะกัดขนปูรังคลอด และคาบวัสดุต่างๆที่เราจัดไว้ให้มาจักใส่รังคลอดใหม่ ส่วนใหญ่แล้วแม่กระต่ายจะคลอดในตอนเช้ามือ และให้ลูกครอกละ 5 - 12 ตัว ลูกกระต่ายแรกเกิดจะยังไม่มีขนขึ้น และยังไม่ลืมตา แม่กระต่ายจะให้ลูกกินนมในตอนเช้าวันละ 1 - 2 ครั้งๆละ 3 - 4 นาที เท่านั้น เมื่ออายุ 10 วันลูกกระต่ายจะลืมตา และมีขนขึ้นเต็มตัว พออายุประมาณ 15 วัน ลูกกระต่ายจะเริ่มออกจากรังคลอดและเริ่มกินหญ้าหรืออาหารแข็งได้ ลูกกระต่ายจะหย่านมเมื่ออายุประมาร 5 - 7 สัปดาห์
     บางครั้งจะพบว่าแม่กระต่ายให้ลูกมากเกินไปทำให้ลูกกระต่ายในครอกนั้นเติบโตช้า ผู้เลี้ยงจึงอาจนำลูกกระต่ายไปฝากแม่ตัวอื่นเลี้ยงได้ แม่กระต่ายที่จะนำไปฝากจะต้องคลอดห่างกันไม่เกิน 3 วัน และควรฝากเมื่อลูกกระต่ายมีอายุน้อยกว่า 5 วัน โดยนำกระต่ายที่จะฝากไปถูกับขนของแม่กระต่ายที่จะรับฝากเลี้ยงแล้วนำไปรวมกลุ่มกับลูกกระต่ายที่มีอยู่ก่อนแล้ว ในกรณีที่ไม่มีแม่กระต่ายให้ฝากเลี้ยงอาจนำลูกกระต่ายมาเลี้ยงเองก็ได้ โดยใช้อาหารแทนนมดังตารางที่ 3 ส่วนขวดนมก็อาจใช้หลอดฉีดขนาดเล็กหรือหลอดยาหยอดตา โดยที่ปลายของหลอดมีสายยางขนาดเล็กต่อสวมไว้ เพื่อให้ลูกกระต่ายดูดนมจากหลอดได้ และทำการเลี้ยงดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 อาหารแทนนมที่ใช้เลี้ยงลูกกระต่าย
ส่วนประกอบ    ปริมาณ
ไข่แดง    1 ฟอง
นมผง    120 ลบ.ซม.(ลูกบาศก์เซนติเมตร)
น้ำสะอาด    120 ลบ.ซม.
น้ำเชื่อม    15 ลบ.ซม.
ตารางที่ 4 การเลี้ยงลูกกระต่ายกำพร้า
อายู    การเลี้ยงดู
1 สัปดาห์    ป้อนนมวันละ 5 ลบ.ซม. วันละ 3 เวลา
2 สัปดาห์    ป้อนนมวันละ 15 ลบ.ซม. วันละ 3 เวลา
3 สัปดาห์    ป้อนนมวันละ 25 ลบ.ซม. วันละ 3 เวลา เริ่มให้ผักสด หญ้า และอาหารอัดเม็ด นำลูกกระต่ายออกมาวิ่งเล่นบ้าง
6-8 สัปดาห์    งดให้นม ให้กินพวกผักสด หญ้าขน อาหารอัดเม็ด
การป้องกันและควบคุมโรค
•  โรคกระต่ายเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายในการเลี้ยงกระต่ายเสมอไม่ว่าจะเลี้ยงกระต่ายมากน้อยเท่าใด หรือมีการจัดการที่ดีเพียงใดก็ตาม การที่จะควบคุมโรคกระต่ายให้ได้ผลดี ควรเน้นที่การป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น และรักษาตั้งแต่กระต่ายเริ่มป่วยเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค และประหยัดค่ารักษา สาเหตุของโรคมีทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวกระต่ายเองและสาเหตุภายนอก ซึ่งสาเหตุต่างๆนั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
•  สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้แหล่งเชื้อโรค มีพาหะของเชื้อโรคมาก อากาศที่ร้อนชื้อ การระบายอากาศที่ไม่ดี เป็นต้น
•  อาหารและน้ำที่ไม่เพียงพอหรือมีสิ่งเจือปนที่เป็นพิษต่อกระต่าย
•  พันธุกรรม โรคหรือลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างสามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้เช่น ลักษณะฟันยื่น
•  เชื้อโรค ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว พยาธิ เห็บ หมัด เหา ไรเป็นสาเหตุที่เด่นชัดและพบได้เป็นประจำ
•  การป้องกันโรค ทำได้โดยพยายามลดสาเหตุของโรคให้เหลือน้อยที่สุด ได้แก่
•  เลือกซื้อกระต่ายที่แข็งแรงและปลอดโรคมาเลี้ยง
•  ดูแลกระต่ายให้อยู่สภาพที่สบาย สะอาด ได้รับอาหารและน้ำเพียงพอ ไม่ร้อนเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
•  หมั่นตรวจและสังเกตลักษณะอาการของกระต่ายเป็นประจำ ถ้าพบกระต่ายป่วยควรแยกไปเลี้ยงในที่เฉพาะและทำการรักษาทันที ถ้าไม่สามารถรักษาได้ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์ สำหรับกระต่ายตัวอื่นที่ยังไม่ได้ป่วยควรดูแลเป็นพิเศษ และทำความสะอาดโรงเรือนให้บ่อยขึ้น
•  ไม่ควรใช้ยาเอง ถ้าไม่มีความรุ้เพียงพอ ถ้าจะใช้ยาเองควรทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ และไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็นเพราะจะทำให้เชื้อโรคดื้อยา 
โรคกระต่าย
•  พาสเจอร์เรลโลสิส ( Pasturellosis ) เป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นปัญหาที่สำคัญในกระต่าย โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย พาสเจอเรลลา มัลโตซิดา ( Pasturella multocida ) ซึ่งทำให้กระต่ายป่วย และมีอาการแตกต่างกันตามอวัยวะที่เกิดติดเชื้อ ดังนี้
•  หวัด กระต่ายจะจามบ่อยๆมีน้ำมูกไหลออกจากช่องจมูก หายใจไม่สะดวก จมูกและเท้าหน้าจะเปียกชุ่ม และมีน้ำมูกติดเนื่องจากกระต่ายใช้เท้าเช็ดหน้าเช็ดจมูก
•  ปอดบวม มักเกิดจากการเป็นหวัดแล้วลุกลามเข้าสู่ปอด กระต่ายจะหายใจลำบาก หอบ และอาจหายใจด้วยท้อง ริมฝีปากและเปลือกตาจะมีสีคล้ำ ในระยะแรกจะมีไข้สูง เบื่ออาหารและนอนหมอบนิ่ง ลูกกระต่ายถ้าเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะตาย สำหรับกระต่ายใหญ่จะมีโอกาสรอดเพียง 75% ดังนั้นถ้าพบอาการเช่นนี้ในกระต่ายควรรีบนำกระต่ายไปพบสัตวแพทย์ทันที
•  ตาอักเสบ มักเกิดหลังจากที่กระต่ายเป็นหวัด เนื่องจากกระต่ายชอบใช้เท้าหน้าเช็ดจมูก ทำให้เชื้อโรคจากจมูกเข้าสู่ตาได้ง่าย อาการเริ่มแรกคือหนังตาและตาขาว อักเสบ บวมแดง บางครั้งมีหนอง ส่วนแก้วตาจะอักเสบและขุ่นขาว ถ้าไม่รีบรักษาอาจทำให้ตาบอดได้ การรักษา ล้างตาให้สะอาดโดยใช้น้ำเกลืออ่อนๆ ( 0.85 %) หรือน้ำยาล้างตา แล้วใช้ยาปฏิชีวนะในรูปครีม หรือใช้ยาหยอดตาของคนทาจนกว่าจะหาย
•  อัณฑะอักเสบ เกิดจากติดเชื้อที่อัณฑะ ทำให้ลูกอัณฑะขยายใหญ่ และมีหนองเมื่อจับที่อัณฑะจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ การอักเสบมักลุกลามไปที่อวัยวะเพศ ทำให้สามารถติดต่อได้โดยการผสมพันธุ์ การรักษามักไม่ได้ผลจึงควรตัดทิ้ง
•  มดลูกอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อหลังคลอดลูกหรือจากการผสมพันธุ์ ผนังมดลูกจะเกิดการอักเสบ มีหนองภายในโพรงมดลูกและอาจพบหนองถูกขับออกมาทางอวัยวะเพศ มักมีไข้สูง เมื่อคลำตรวจจะพบว่ามดลูกขนาดใหญ่ การรักษาทำได้ยากมากและกระต่ายมักจะเป็นหมันจึงควรตัดทิ้ง
•  สแตฟฟิลโลคอคโคซีส ( Staphylococcosis ) โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ สแตฟฟิลโลคอคคัส ออเรียส ( Staphylococcus aureus ) ทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการ ดังนี้
•  ฝีหนองใต้ผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง ทำให้เป็นหนองซึ่งมีเปลือกหุ้ม เมื่อฝีสุกเปลือกฝี ส่วนหนึ่งจะบางลงและแตกออกมีหนองไหลออกมา การรักษา ต้องรอให้ฝีสุกและเจาะเอาหนองออก ขูดเปลือกฝีด้านในให้สะอาดแล้วทาด้วยทิงเจอร์ ไอโอดีน
•  เต้านมอักเสบ เต้านมจะร้อน บวมแดง มีไข้ กระต่ายตัวที่เป็นอย่างรุนแรง เต้านมจะมีสีคล้ำ เย็น และแข็ง ถ้าพบอาการเช่นนี้ควรคัดทิ้งหรือถ้าไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์
•  ข้ออักเสบ เกิดจากมีบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าแล้วเชื้อโรคลุกงามเข้าสู่ข้อเท้า ทำให้ข้อเท้าบวมแดง เจ็บปวด กระต่ายอาจมีไข้และมักพบบาดแผลที่ฝ่าเท้า การรักษา ทำความสะอาดแผล แล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ถ้ามีหนองในข้อจะรักษาได้ยาก และอาจจะเป็นต้องตัดขาเหนือข้อที่อักเสบ ควรป้องกันโดยการดูแลพื้นกรง อย่าให้มีส่วนแหลมคมยื่นออกมาตำเท้ากระต่าย
•  โรคบิด ( Coccidiosis) เกิดจากเชื้อโปรโตซัวพวกไอเมอร์เรีย ได้แก่ Eimeria stiedac , E. irresdua , E. magna ฯลฯ การติดต่อจะเกิดจากโอโอซิส ( Oocyst) ของเชื้อที่ปนมากับอาหารและน้ำ อาการ ถ้าเป็นน้องจะไม่แสดงอาการ แต่ถ้าเป็นมากซึ่งมักพบในลูกกระต่าย จะทำให้น้ำหนักลด ท้องเสีย อาจถ่ายเป็นน้ำหรือมีเลือดปน และอาจทำให้ตายได้ การรักษา เลือกใช้ยาในกลุ่มซัลฟา ( Sulfa ) หรือแอมโปรเลียม ( Amprolium )
•  โรคทิซเซอร์ ( Tizzer's disease) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ แบซัลลัส ฟิลลิฟอร์มิส ( Bacillus pilliformis ) มักพบในกระต่ายที่มีอายุ 7 - 12 สัปดาห์มากที่สุด อาการ ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำหรือเลือด ในรายที่เกิดอย่างเฉียบพลันจะมีเลือดออกจากลำไส้ใหญ่ กระต่ายจะตายเนื่องจากเสียน้ำและเลือดมาก การรักษา ให้ยาออกซี่เตตร้าซัยคลิน (Oxytetracyclin) ละลายน้ำให้กิน
•  โรคติดเชื้อ อี.โค ไล ( Colibacillosis) เกิดจากการเพิ่มจำนวนเชื้อ E.coli ในทางเดินอาหาร กระต่ายจะมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงและตายได้ การรักษา แก้ไขตามอาการ อาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดจำนวนแบคทีเรียในลำไส้ ให้น้ำเกลือ เพิ่มอาหารหยาบ
•  เอ็นเทอร์โรท๊อกซีเมีย ( Enterotoxemia) เกิดจากเชื้อคลอสติเดียม ( Clostridium spp.) ทำให้กระต่ายท้องเสียหรือตายอย่างเฉียบพลัน การรักษาเช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออีโคไล
•  ไรในหู ( ear manage or ear canker) เกิดจากไรพวกโซรอบเตส แคนิคุไล ( Psoroptes caniculi) อาการ จะเห็นแผ่นสีน้ำตาลคล้ายขี้หูซ้อนเป็นชั้นๆที่ด้านในของใบหู ถ้าสังเกตดีๆจะพบตัวไรขนาดเล็กสีน้ำตาลจำนวนมาก กระต่ายที่เป็นโรคนี้จะคันหูทำให้มันสั่นหัวและใช้เท้าเกาหู บางครั้งเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ทำให้มีหนอง และมีกลิ่นเหม็น การรักษา ทำความสะอาดด้านในของใบหู เช็ดด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ( H2O2 ) แล้วทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถันให้ทั่ว ควรป้องกันโดยการตรวจหูกระต่ายเป็นประจำและทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์การเลี้ยงเสมอๆ
•  ไรที่ผิวหนัง ( skin manage ) เกิดจากไรพวก Sarcoptes scabei , var. cuniculi , Notedes cati var. caniculi อาการ ผิวหนังเป็นสะเก็ดหนาและย่น ขนร่วง พบมากที่ปลายจมูก และขอบใบหู การรักษา ขูดผิวหนังให้สะเก็ดหลุดออก ทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถัน ถ้ายังไม่หายควรปรึกษาสัตวแพทย์ การป้องกันและควบคุมทำเช่นเดียวกับโรคไรในหู
เกร็ดความรู้
•  กระต่ายกินน้ำตายจริงหรือไม่ ? " ปกติแล้วกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีความต้องการน้ำเช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ถ้ากระต่ายได้รับน้ำน้อยจะทำให้เจริญเติบโตช้า แต่การที่คนส่วนใหญ่เห็นว่ากระต่ายที่เลี้ยงกันนั้นไม่ได้ให้น้ำเลยให้แต่ผักหญ้า ก็ยังเห็นกระต่ายเป็นปกติดี เนื่องจากว่าในผักและหญ้ามีน้ำอยู่เพียงพอแล้วที่มำให้กระต่ายสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าให้น้ำเพิ่มด้วยจะทำให้กระต่ายโตเร็วยิ่งขึ้น การที่กระต่ายกินน้ำแล้วตายอาจเนื่องมากจากภาชนะที่ใส่น้ำเป้นชามที่กระต่ายสามารถทำล้มได้ง่าย ทำให้น้ำหกเจิ่งนองพื้น ซึ่งจะทำให้กระต่ายเป็นหวัดหรือปอดบวม และมีโรคอื่นๆแทรกซ้อน จนทำให้ตายได้
•  จับท้องกระต่ายจะทำให้กระต่ายตายจริงหรือไม่ ? " การจับกระต่ายที่ถูกวิธีและทำด้วยความนุ่มนวลโอกาสที่กระต่ายจะตายนั้นมีน้อยมาก แต่สัญชาติญาณของกระต่ายเมื่อโดนจับบริเวณท้องมันก็จะดิ้น คนที่จับไม่เป็นหรือไม่รู้โดยเฉพาะเด็กๆ เมื่อเห็นมันดิ้นก็จะยิ่งจับหรือบีบให้แน่นยิ่งขึ้น เพราะกลัวว่ากระต่ายจะหลุดจากมือ ทำให้อวัยวะภายในได้รับอันตรายจนกระทั่งกระต่ายช๊อคตายได้
•  ทำไมกระต่ายสีขาวจึงมีตาสีแดง ? " การที่กระต่ายจะมีตาสีอะไรขึ้นกับเม็ดสี ( pigment ) ที่อยู่ในตา แต่ในกระต่ายสีขาว เช่น พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์หรือแคลลิฟอร์เนียน ไม่มีเม็ดสี ทำให้เห้นเส้นเลือดสีแดงในตาซึ่งจะสะท้อนให้เราเห้นตากระต่ายเป้นสีแดง ส่วนในกระต่ายพันธุ์พื้นเมืองนั้นมีตาสีดำ เนื่องจากมันมีเม็ดสีเป็นสีดำในตานั่นเอง
•  กระต่ายเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับหนูใช่หรือไม่ ? " แต่ก่อนนักสัตววิทยาได้จัดให้กระต่ายอยู่ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับหนู ต่อมาได้พบว่ากระต่ายกับหนูนั้นมีข้อแตกต่างกันที่กระต่ายมีฟันตัดหน้าบน 4 ซี่ ส่วนหนูมีเพียง 2 ซี่ ทำให้มีการจัดกลุ่มใหม่ โดยให้กระต่ายอยู่ในอันดับกระต่าย ( Order Lagomorpha ) และหนูจัดอยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ ( Order Rodentia )
•  ทำไมช่วงที่อากาศร้อนจัดๆ กระต่ายถึงช๊อคตาย ? " เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อ ทำให้การระบายความร้อนเป็นไปได้ยาก ในช่วงที่อากาศร้อนๆ กระต่ายจะหายใจถี่ขึ้น โดยสังเกตที่จมูกจะสั่นเร็วขึ้น และมีการระบายความร้อนที่เส้นเลือดแดงใหญ่กลางหูมากขึ้น แต่ก็ยังระบายความร้อนไม่ทันทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงมากจนถึงขั้นทำให้ช๊อคตายได้
ตารางที่ 5 ค่าทางสรีรวิทยาของกระต่าย
ข้อมูล    ค่า
ช่วงชีวิต    5 - 13 ปี
วัยเจริญพันธุ์    4 - 5 เดือน
อายุที่เหมาะสำหรับผสมพันธุ์    6 - 8 เดือน
วงรอบการเป็นสัด    16 วัน
ระยะเวลาตั้งท้อง    29 - 35 วัน
อายุหย่านม    6 - 8 สัปดาห์
จำนวนโครโมโซม    22 คู่
อุณหภูมิร่างกาย    101.5 1 องศาฟาเรนไฮท์
อัตราการหายใจ    35 - 65 ครั้ง/นาที
อัตราการเต้นของหัวใจ    120 - 300 ครั้ง/นาที

บันทึกการเข้า

gftframe
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 751



ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 13:22:29 »

ร่วมแสดงความเสียใจ
บันทึกการเข้า

ขายดีล | ประกันบำนาญ ลดหย่อนภาษี | กรอบรูป | ตอบแบบสอบถามแล้วได้เงิน | คอนโดเด่น |

ขายซิม ทรู 7-11 ไว้สมัครอะไรที่ต้องการได้หมด ราคาพิเศษสุดๆ PM มาได้ครับ
iNspIr@Tion
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 135
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,816



ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 13:41:13 »

อยากได้ Doberman ชอบอยู่พันธุ์เดียว เลี้ยงแต่หมากับปลา ไม่รู้เลยว่ากระต่ายจะเลี้ยงยาก ยังไงก็เสียใจด้วยน่ะครับ

โดเบอร์แมนนี่นิสัยเป็นไงบ้างอ่ะครับ แล้วฝึกยากมั้ย จริงๆพันธ์นี้ก็เป็นตัวเลือกอีกตัวเหมือนกัน

จากที่เคยเลี้ยงมา 2 รุ่นนะครับ เป็นหมาที่รักเจ้าของมาก เชื่อฟังคำสั่งอย่างดีเลย ไม่ดื้อ คือถ้าเป็นคนในบ้านมันจะรักทุกคน รักเด็ก มันจะเห่าเวลาเพื่อนหรือคนแปลกหน้ามาบ้านแต่พอผมพาเพื่อนเข้าบ้านมันก็จะสงบ แ้้ล้วก็มันบ้าพลังมาก

ข้อเสีย หวงเจ้าของ เห่าบ้าเลือด ดุมากเวลาเจอหมาแปลกหน้าจะเข้าไปแด๊กให้ได้(อันนี้คิดว่าเพราะว่าไม่ค่อยได้พาไปปาตี้บ้านคนที่มีหมาเหมือนกันตั้งแต่มันเล็กๆ) เกรียดเด็กเวลามาแหย่มัน หมายถึงเด็กแปลกหน้าในหมู่บ้าน

อันนี้ผมจะแนะนำถ้าเลี้ยงน่ะ ต้องให้มันไปปาตี้กับหมาตัวอื่นตั้วแต่เล็กๆเป็นประจำ เดินเล่น อะไรพวกนี้ มันจะลดความดุไปได้เยอะเลย พันธุ์นี้เต็ม 10 ให้ 9.5 สำหลับหมาขาดใหญ่น่ะ
บันทึกการเข้า

ผิดหวังได้ ... แต่อย่าสิ้นหวัง
ผิดผลาดได้ ... แต่อย่าลืมแก้ไข
พ่ายแพ้ได้ ... แต่ต้องสู้ต่อไป
สูญเสียอะไรก็ได้ ... แต่อย่าสูญเสียกำลังใจในชีวิต

บริจาคเงินช่วยเหลือสัตว์กันครับ วัดพระบาทน้ำพุ
iNspIr@Tion
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 135
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,816



ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2009, 13:42:27 »

เพิ่มเติม ตอนนี้ที่ไม่ได้เลี้ยงเพราะยังหาไม่ได้
บันทึกการเข้า

ผิดหวังได้ ... แต่อย่าสิ้นหวัง
ผิดผลาดได้ ... แต่อย่าลืมแก้ไข
พ่ายแพ้ได้ ... แต่ต้องสู้ต่อไป
สูญเสียอะไรก็ได้ ... แต่อย่าสูญเสียกำลังใจในชีวิต

บริจาคเงินช่วยเหลือสัตว์กันครับ วัดพระบาทน้ำพุ
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
พิมพ์