ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปGeneral (ถามคุยวิชาการ IM)(ยาวแต่สนุก) บทความที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: (ยาวแต่สนุก) บทความที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ  (อ่าน 2420 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tanasak784
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 13
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 478



ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 12:04:56 »

บทที่ 4 หยุดทำงาน... แต่ยังคงมีรายได้อยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น หนุ่มน้อยชาวนามุ่งสู่บ้านเถ้าแก่ ทันที

"อ้าว.. เมื่อคืนไปนอนที่ไหนล่ะ ไม่เห็นกลับมาเลย"
เถ้าแก่ถามขึ้น เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม ยืนยิ้มแป้นอยู่ที่หน้าร้าน

"ผมค้างคืนที่บ้านท่านเศรษฐีที่เถ้าแก่แนะนำให้นั่นแหล่ะครับ"
ชายหนุ่มตอบ

"โอ้โห... นี่เขาให้ลื้อเข้าพบด้วยเหรอวะ..."

"โชคดีน่ะครับ ยามเข้าใจผิด คิดว่าผมคือคนที่ท่านเศรษฐีรอพบอยู่"
ชายหนุ่มเล่าเรื่องตางๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาให้เถ้าแก่ฟัง



"แล้ววันนี้มีแผนการอะไรบ้างล่ะ" เถ้าแก่ถามขึ้น

"ผมจะมาถามเถ้าแก่ว่า จะหาน้ำอ้อยได้ที่ไหน เพื่อจะเอาไปขายที่หน้าโรงงาน"


"จะเอาน้ำอ้อยไปขายหน้าโรงงาน... ก็เข้าท่าดีนะ"
เถ้าแก่หยุดพูด แล้วหันไปเขียนอะไรบางอย่างในสมุดฉีก
เสร็จแล้วก็ฉีกกระดาษนั้น ส่งให้ชายหนุ่ม

"นี่แผนที่ไปโรงงานน้ำตาลปึกที่เขาส่งของให้อั๊ว
เขาคั้นนำอ้อยเพื่อทำน้ำตาลขายน่ะ"

"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มยกมือไหว้ก่อนจะรับแผนที่แล้วกล่าวอำลาเถ้าแก่



ที่หน้าโรงงานนำตาลเล็กๆ ตามแผนที่ที่เถ้าแก่ให้มา
ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่ด้านนอกสักพักหนึ่งแล้ว

"จริงๆแล้ว หนูอยากดื่มน้ำอ้อยมากกว่า แต่ไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย"...
เสียงของสาวโรงงานคนที่ซื้อน้ำตาลปึกสองก้อนของเขา
ดังก้องขึ้นมาในหู

"เมื่อมีคนอยากซื้อ เราก็ต้องขายได้แน่ๆ
และคงมีอีกหลายคนอยากดื่มน้ำอ้อยเหมือนสาวโรงงานคนนั้นแน่ๆ"
เขาคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงงานทันที

"มีธุระอะไรหรือเปล่าพ่อหนุ่ม" เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม

"ผมอยากจะมาขอซื้อน้ำอ้อยเอาไปขายหน่อยครับ"
ชายหนุ่มตอบ

"จะเอาเยอะไหมล่ะ" หญิงคนนั้นถามต่อ

"ผมมีเงินติดตัวแค่สองบาทเองครับ" ชายหนุ่มตอบ
"ผมเลยตั้งใจว่าจะทำงานแลกกับน้ำอ้อยคุณป้า ได้ไหมครับ"

หญิงคนนั้นนิ่งคิดสักครู่หนึ่ง และตอบไปว่า
"ก็ได้ เธอทำหน้าที่รีดน้ำอ้อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะสอนให้
ส่วนค่าแรง ป้าให้วันละ 80 บาท กินข้าวกับป้า ตกลงไหมล่ะ"

"ตกลงครับ..." หนุ่มน้อยชาวนาตกลงด้วยความยินดี


หลังจากเรียนรู้วีธีรีดน้ำอ้อยแล้ว หนุ่มน้อยชาวนาก็ไม่รอช้า
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง
เมื่อถึงเวลาพักทานอาหารเที่ยง เขาก็รีบทานรีบเสร็จ แล้วมาทำงานต่อทันที...
จนถึงเย็น ใกล้เวลาที่โรงงานจะเลิก

"ป้าครับ ผมจะเอาน้ำอ้อยไปขายหน้าโรงงานตอนโรงงานเลิกน่ะครับ
ตอนนี้ใกล้เวลาโรงงานจะเลิกแล้วครับ"

หญิงวัยกลางคนมองไปที่กองอ้อยที่จะให้ชายหนุ่มรีดเอาน้ำ
พลัน แกก็ต้องตกใจ เมื่อกองอ้อยหมดไปแล้ว
ปกติ แกต้องรีดจนถึงค่ำเลยทีเดียว

"เออ อ้อยก็หมดแล้ว งานเอ็งก็เสร็จแล้วนี่...
เอางี้... ป้าขายส่งน้ำอ้อยให้เอ็งราคาขวดละเจ็ดบาทนะ
ค่าแรงเอ็งแปดสิบบาท ก็ได้สิบเอ็ดขวดบวกกับเงินอีกสามบาท
แต่เอ็งเอาการเอางานแบบนี้ ข้าแถมให้เอ็งเป็นสิบห้าขวดก็แล้วกัน..."

"ขอบคุณมากเลยครับป้า" ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้หญิงคนนั้น
พร้อมกับรับเงินสามบาทที่หญิงคนนั้นยื่นให้

"ผมอยากขอยืมกระติกน้ำแข็งของป้าอันนั้นได้ไหมครับ"
ชายหนุ่มชี้ไปที่กระติกน้ำแข็งที่ใช้ใส่น้ำกินในโรงงานของป้า

"เอ็งจะเอาไปทำไมล่ะ" ป้าถามขึ้น

"ผมจะเอาไว้แช่น้ำอ้อยในน้ำแข็ง มันจะได้เย็นๆ เวลาขายครับ"

"แล้วเอ็งจะเอามาคืนป้าตอนไหนล่ะ"

"ตอนค่ำๆ ครับ ก่อนผมจะกลับบ้าน... ป้าให้ผมยืมได้ไหมครับ"

"เอ้า... ให้ยืมก็ให้ยืม แต่พรุ่งนี้เอ็งต้องมาช่วยป้าทำงานอีกนะ"

"ตกลงครับ" ชายหนุ่มรับคำ แล้วรีบขนน้ำอ้อยใส่ลงในกระติก
เพื่อจะได้ไปให้ทันเวลาเลิกงานของโรงงาน

ระหว่างทาง เขาแวะซื้อน้ำแข็งเกร็ดด้วยเงินห้าบาท
ซึ่งเป็นเงินเก่าของเขาสองบาท กับเงินส่วนเกินที่ป้าโรงงานน้ำตาลให้มา...



หนุ่มน้อยชาวนามาถึงหน้าโรงงานพอดีกับเวลาเลิกงานพอดี
เขารีบเดินตรงดิ่งไปหารถเข็นขายของ ของป้าที่เคยช่วยเขาขายน้ำตาลปึก...

"สวัสสดีครับป้า" ชายหนุ่มทักทายพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

"เออ.... หวัดดีจ้า... วันนี้เอาอะไรมาขายล่ะ"

"น้ำอ้อยแช่เย็นจ้าป้า... เมื่อวานก่อน จำได้ว่า
มีสาวโรงงานบ่นอยากกิน แต่ไม่มีใครเอามาขาย"
ชายหนุ่มตอบ ว่าแล้วเขาก็เปิดกระติกน้ำแข็งและจัดเรียงน้ำอ้อยทันที...

"ป้า.... เขาขายกันขวดละกี่บาทจ๊ะ" ชายหนุ่มถาม

"เอาอีกแล้วเอ็งนี่... ไม่รู้ราคาของที่จะขายอีกแล้ว
เขาขายกันขวดละสิบบาท"
ป้าตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


.......................................
เพียงอึดใจเดียว เขาก็ขายน้ำอ้อยหมดซะแล้ว
ได้เงินทั้งหมด 150 บาท ชายหนุ่มดีใจมากๆ
เมื่อเช้าเขามีเงินสองบาทเอง พอตกเย็น
เขามีเงินอยู่ในกระเป๋าถึง 150 บาทแล้ว
ถ้าเขาทำงานแค่รีดน้ำอ้อยอย่างเดียว
วันนี้เขาจะทำเงินได้เพียง 80 บาท จากค่าแรงเท่านั้น

ชายหนุ่มรีบลาป้าขายของกลับทันที
หลังจากเอากระติกน้ำแข็งไปคืนป้าที่โรงงานน้ำตาลแล้ว
เขาก็รีบตรงไปยังคฤหาสถ์ของเศรษฐีไม้ท้าวทองคำ
เขาตื่นเต้นมากๆ อยากรีบกลับไปเล่าให้ท่านเศรษฐีฟังเร็วๆ...

ที่บ้านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ...
หนุ่มน้อยชาวนานำน้ำอ้อยสดใส่แก้วเดินไปให้เศรษฐี
หลังจากที่แจกจ่ายอีก 4 ขวดให้กับ รปภ.หน้าประตู กับคนในบ้านไปแล้ว...

"วันนี้ผมได้เงินทั้งหมด 150 บาทเชียวนะครับ
แต่ผมแบ่งซื้อน้ำอ้อยมา 5 ขวดเพื่อให้กับคนอื่นๆ ในบ้านด้วย
ความจริงผมก็อยากซื้อมามากกว่านี้หรอกครับ
แต่ผมต้องเก็บเงินไว้เป็นทุนอยู่"

"เธอทำถูกต้องแล้วล่ะ...
แบ่ง 10% ของรายได้ เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น"
เศรษฐีพูดจบก็ดื่มน้ำอ้อยสดจนหมดแก้ว...

"แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ที่จะหยุดทำงานแล้วยังคงได้เงินอยู่
อย่างที่ท่านบอกผมเมื่อคืนนี้ มันทำได้จริงๆ เหรอครับ"
ชายหนุ่มทำสีหน้างงๆ...

"มีสิ ถ้าเธอสังเกตุดีๆ บวกกับความคิดอีกสักนิด
เธอก็จะเจอวิธีที่ฉันพูดถึง..."
เศรษฐีพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"ท่านจะไม่บอกผมให้ชัดเจนเลยหรือครับ"

"แต่ละคน จะไม่มีวิธีการที่แน่นอนถูกต้อง
ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ฉันก็จะทำอีกอย่างหนึ่ง
เธอก็จะทำในแบบของเธอ คนอื่นก็จะทำในแบบของเขา
แต่ ทุกแบบที่ทำ อยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ
หยุดทำ แต่ยังมีรายได้เข้ามาอยู่...
ดังนั้น เธอต้องหาให้เจอด้วยตัวของเธอเอง"



เย็นของวันรุ่งขึ้น ที่หน้าโรงงาน
หนุ่มน้อยชาวนานำน้ำอ้อยสดมาขายมากกว่าเมื่อวาน
เนื่องจากได้ค่าแรงจากการคั้นน้ำอ้อย
รวมกับเงินที่ขายได้เมื่อวาน
ทำให้เขามีน้ำอ้อยมาขายถึง 35 ขวด

ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ขายหมด แสดงว่า ถ้ามีมากกว่านี้
เขาก็ขายหมดเช่นกัน ความต้องการซื้อยังมีมากกว่าสินค้าที่เขานำมาขาย...

เขาทำแบบนี้อยู่ 7 วัน ทำให้เขามีเงินสดหมุนเวียนถึง 5,000 กว่าบาท...
และเย็นวันที่ 7 นี้เอง

"มีโรงงานที่ใหญ่กว่านี้อีกนะ เอ็งรู้หรือเปล่า"
ป้าขายของถามหนุ่มน้อยชาวนา

"ไม่รู้จ้าป้า... แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะครับ"
ชาวนาถามขึ้นด้วยความสนใจ

หลังจากป้าอธิบายทางไปโรงงานที่ใหญ่กว่านั้นให้ชายหนุ่มแล้ว
ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น

"ผมสั่งเขาทำตู้แช่แบบกระจกมาอันหนึ่ง
ผมเห็นร้านขายตู้ปลาเขากำลังทำตู้ปลา
ก็เลยลองถามเขาให้ทำเป็นตู้แช่ให้
พรุ่งนี้ เขาให้ไปเอาได้..."
ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า

"ถ้าผมเอาตู้แช่กระจกนี้มาลงและฝากป้าขายให้นี่
จะได้ไหมครับ... ผมส่งของให้ป้าขวดละ 8 บาท"

"อ้าว... แล้วเอ็งไม่ขายแล้วเหรอ เห็นขายดีออก"
ป้าขายของสงสัย

"ผมก็จะไปขายอีกโรงงานไงป้า"
หนุ่มน้อยชาวนาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะวะ... ขายดีแบบนี้
แค่ตั้งเฉยๆ ข้าก็ได้กำไรวันละหลายร้อยแล้ว"
ป้าขายของยิ้มร่าออกมา



หนึ่งเดือนผ่านไป
หนุ่มน้อยชาวนา กลายมาเป็นคนขายส่งน้ำอ้อยสด
ลงตู้แช่ฝากขายกับแม่ค้าในที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก
ป้าโรงงานน้ำอ้อยสดเอง ก็ปล่อยเครดิตให้เขาด้วย
เนื่องจากเห็นในความขยันและซื่อสัตย์ของเขา
ทำให้เขาสามารถขยายสาขาได้เป็นอย่างมาก

ส่วนตัวเขาเอง ก็ไม่ได้ทำงานที่โรงงานน้ำอ้อยนานแล้ว
ทีแรกก็ออกมาเพื่อวิ่งส่งสินค้าตามจุดต่างๆ
แต่ตอนนี้เขามีคนงานวิ่งส่งสินค้าแทนแล้ว
พร้อมกับรถมอเตอร์ไซด์พวกอีก 1 คันเพื่อให้คนงานใช้ส่งของ
และพนักงานบัญชี พนักงานคุมสต๊อกสินค้า




"ไม่น่าเชื่อว่า เพียงเดือนเดียว
เธอจะสามารถวางระบบการบริหารจัดการ
จนวางมือปล่อยให้ระบบมันเดินไปได้เอง"
เศรษฐีไม้เท้าทองคำพูดกับชายหนุ่ม

"ก็เพราะได้ท่านช่วยแนะนำระบบบริหารจัดการให้น่ะสิครับ
ลำพังผมเอง ไม่มีปัญญาจะคิดได้หรอกครับ"
ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตนเอง

"เธอเป็นคนเก่งและฉลาดนะ
เพียงแต่เธอขาดโอกาสที่จะได้เรียนสูงๆ เท่านั้นเอง
... แต่มันก็เป็นข้อดีกับเธอ
เพราะคนที่คิดว่าตนเองเรียนน้อย ไม่มีความรู้
จะขนขวายหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา...
และที่สำคัญ... เธอให้คนที่เขาเก่งกว่าเธอ
มาทำงานให้เธอ..."
เศรษฐี หยุดพูดพร้อมกับมองหน้าชายหนุ่ม

"ฉันเห็นมาเยอะ...
คนที่เก่งแล้วพยายามทำทุกอย่างเอง
แต่เขาไม่รู้หรอกว่า มีคนเก่งกว่าเขา
ทำให้ธุรกิจของเขาเสียโอกาสที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด"
เศรษฐียิ้มให้ชายหนุ่ม และพูดต่อว่า

"คราวนี้เธอก็เข้าใจแล้วสิว่า หยุดทำงานแล้ว
แต่ยังมีรายได้อยู่ มันทำได้อย่างไร
เป้าหมายแรกที่ฉันให้เธอทำ ก็คือ
ให้มีค่าใช้จ่ายรายวัน โดยไม่ต้องทำอะไร
แต่เธอไปได้ไกลกว่านั้นอีก
มีกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้นกว่ารายจ่ายประจำวัน
หลายเท่าตัวนัก..."

"ลำดับต่อไปของเธอก็คือ
ขยายตัวสินค้าเพิ่ม
และคิดว่าจะเอากระแสเงินสดที่ได้มา ไปทำอะไรต่อ"



ที่โต๊ะน้ำชาร้านขายส่งของเถ้าแก่เฮง
หนุ่มน้อยชาวนา เอ๊ะ ไม่ใช่แล้วสิ
ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของกิจการไปแล้ว
งั้นเราต้องเรียกเขาใหม่แล้วสิครับเนี่ย
เอ.... แล้วจะเรียกเขาว่าอะไรดีนะ


เฮียน้ำอ้อยสด... ได้ยินใครๆ หลายคนเรียกเขาแบบนี้เหมือนกัน...
แต่ผมว่า... เรียกเขาว่า ชายหนุ่ม ดีกว่า หุหุ


วันนี้นอกจากชายหนุ่ม เถ้าแก่เฮงแล้ว ยังมีแขกอีกท่าน
ซึ่งเป็นเพื่อนของเถ้าแก่เฮงนั่นเอง
นานๆ เพื่อนคนนี้จะแวะมาเยี่ยมเยียนสักที
ส่วนชายหนุ่มนั้น มักจะมาหาเถ้าแก่เฮงบ่อยๆ

"ธุรกิจน้ำอ้อยสด ลื้อก็ไม่ต้องเข้าไปดูแลเต็มตัวแล้ว
ลื้อจะทำอะไรอีกล่ะ"...
เถ้าแก่เฮงหันมาถามชายหนุ่ม

"ผมยังไม่รู้เลยครับเถ้าแก่...
แต่ท่านเศรษฐีบอกว่า โอกาสมันมีมากมายในท้องถนน
ใครตาแหลมคมก็จะมองเห็น"
ชายหนุ่มตอบ

"โอกาสมันมีเยอะแยะก็จริง
แต่ลื้อมีเวลาเหลืออีก 11 เดือนเอง
ต้องเป็นโอกาสใหญ่ๆ เท่านั้น จึงจะบรรลุเป้าหมายได้"
เถ้าแก่เฮงเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยชายหนุ่มอย่างไรได้

"พูดถึงเรื่องโอกาสแล้ว
ผมส่งลูกน้องคนหนึ่งไปดูตลาดรองเท้าที่เมืองคูขาด
ตั้งใจว่าจะเข้าไปตีตลาดที่เมืองนี้
แต่ลูกน้องกลับมารายงานว่า ทำตลาดไม่ได้หรอก"
เฮียงเม้ง เจ้าของโรงงานรองเท้าเอ่ยขึ้นบ้าง

"ทำไมล่ะเฮียเม้ง" เถ้าแก่เฮงสงสัย

"ก็คนเมืองคูขาด เขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน
ไปไหนมาไหน เขาก็เดินเท้าเปล่ากันทั้งนั้น
ผมเลยหันไปทำตลาดที่เมืองปะคำแทน ขายดีมากเลย"
เฮียเม้งตอบ

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เกิดปี๊งขึ้นมาทันที

"เฮียเม้งครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

"ให้ผมไปทำตลาดที่เมืองคูขาดให้เฮีย เอาไหมครับ"
ชายหนุ่มพูดต่อ

"มันคงยากนะ เพราะทัศนคติคนที่นั่น เขาไม่ใส่รองเท้ากัน"
เฮียเม้งแย้งขึ้น

"เฮียคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหรอครับ" ชายหนุ่มถาม

"ถึงมันจะเป็นไปได้... แต่มันยาก" เฮียเม้งตอบ

ชายหนุ่มนิ่งคิดสักครู่... แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
"ผมสนใจจริงๆนะเฮีย
ผมคิดว่า ถึงมันจะยาก... แต่มันเป็นไปได้ ครับ"


ทุกคนนิ่งไปพักหนึ่ง
เฮียเม้งเอ่ยขึ้นว่า
"ได้สิ ถ้าคุณอยากทำจริงๆ แต่ผมแนะนำว่า
ให้คิดให้ถี่ถ้วนอีกทีดีไหม ในความคิดของผมนะ
ยังอีกหลายปี กว่าจะเข้าไปทำตลาดที่นั่นได้
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาหรอก
ทำไมคุณไม่ทำอะไรที่มันง่ายกว่านี้ล่ะ"

"ถ้าอย่างนั้น... พรุ่งนี้ผมโทรบอกเฮียอีกทีนะครับ
ผมจะกลับไปคิดคืนนี้ก่อนครับ"
ชายหนุ่มบอกกับเฮียเม้งไป แต่ในใจนั้น ตัดสินใจแล้วว่าเอาแน่...
บันทึกการเข้า
MrAeker
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 13
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 126



ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 13:14:19 »

เอาอีก เอาอีก :oอ่านแล้วดี แต่ติดปัญหาที่ไม่สามารถทำตามได้  Tongue
บันทึกการเข้า
tanasak784
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 13
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 478



ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 14:27:35 »

บทที่ 5
"เอารองเท้าไปขาย... แต่อย่าขายรองเท้าให้เขา"


"การจะเป็นคนที่แตกต่างจากคนทั่วไป
เราจำเป็นจะต้องคิดไม่เหมือนพวกเขา
ถ้าเราคิดเหมือนเขา... เราก็จะเป็นเหมือนพวกเขา"
เศรษฐีพูดขึ้น หลังจากชายหนุ่มกลับมาปรึกษาเขา

"คนทั่วๆไป มักจะทำอะไรๆ ที่มันไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เพราะมันง่ายกว่ากันเยอะเลย เขาไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงกับเรื่องอะไร
ปล่อยให้ชีวิตมันดำเนินไปเรื่อยๆ ของมัน
แต่ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก
เพราะเขาก็มีความสุขในแบบของเขา"
เศรษฐีมองเข้าไปที่ดวงตาชายหนุ่ม

"เมื่อเธอต้องการที่จะแตกต่างจากพวกเขา
เธอจึงพูดว่า ถึงมันจะยาก... แต่มันก็เป็นไปได้
ส่วนคนที่พูดว่า ถึงมันจะเป็นไปได้... แต่มันก็ยาก
ความมุ่งมั่น ทุ่มเทของสองคนนี้ก็ต่างกันแล้ว"
เศรษฐีพูดต่อ

"เหมือนกับคนที่บอกตัวเองว่า อยากรวย
กับคนที่บอกกับตัวเองว่า ต้องรวย
เราสามารถทำนายอนาคต คนทั้งสองได้เลย"
เศรษฐียิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก

"เมื่อเธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำ
ฉันก็อยากจะให้ข้อคิดเธอไปข้อหนึ่ง
เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา"


.....................................


สามวันผ่านไป ที่เมืองคูขาด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...
ชายหนุ่มขายรองเท้าได้ไม่ถึง 30 คู่
สถานที่ ๆ เขานำรองเท้าไปวางขายก็เป็นตลาดชุมชน
มีคนหนาแน่นมากมายจับจ่ายซื้อของ

ที่นี่ ถึงจะเป็นตัวเมือง แต่ผู้คนก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียง
ไม่ยึดติดวัตถุนิยม อยู่กันอย่าสมถะ
อยู่กันอย่าเท้าติดดิน...


"เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา"
คำพูดของท่านเศรษฐีดังก้องอยู่ในหูของเขา
เอารองเท้ามาวางขาย มันขายไม่ได้จริงๆ
แล้วจะขายอะไรเพื่อให้เขาซื้อรองเท้าล่ะ...


วันที่ 4 ของการอยู่ที่เมืองคูขาด
วันนี้ ชายหนุ่มมาขายของแต่เช้า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป...
เขาและลูกน้อง ช่วยกันจัดบอร์ด
ให้ความรู้เรื่องโรคที่เกิดจากการไม่ใส่รองเท้า
วันนี้เขาคิดว่าจะขายความกลัว...
กลัวที่จะเป็นโรคต่างๆ เหล่านั้น...

วันที่ 4 และ 5 ถึงแม้จะขายความกลัว
แต่เขาก็ขายรองเท้าได้ไม่ถึง 10 คู่
มันเกิดอะไรขึ้น ชาวเมืองส่วนใหญ่ ยังรู้สึกเฉยๆ
ไม่ได้สนใจเรื่องโรคต่างๆ ที่เขานำเอามาประกอบการขายเลย
และมีหลายๆเสียงพูดว่า

"ชาวเมืองทั้งหลายก็อยู่สุขสบายมาหลายร้อยปี
ไม่เห็นต้องใส่รองเท้าเลย หลายๆคนก็อยู่กันจนแก่จนเฒ่า"

เฮ้อ..... แล้วจะทำอย่างไรล่ะเนี่ย
จึงจะเปลี่ยนทัศนคติของชาวเมือง
ให้มาใส่รองเท้าได้นะ...
ส่วนตัวของเขาเองเชื่อมั่นอย่างเต็มที่เลยว่า
หากชาวเมืองนี้ ได้ใส่รองเท่า
รับรองว่า ทุกคนจะต้องใส่รองเท้าไปจนตลอดชีวติเลยล่ะ
เพราะเมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ใส่รองเท้า
สมัยที่อยู่บ้านนอก จนเริ่มเป็นหนุ่ม ปีนั่นแหล่ะ
เขาจึงมีโอกาสได้รองเท้าคู่แรกในชีวิต
และตัวเขาเองก็พบว่า
รองเท้าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งของชีวิต นอกจากเสื้อผ้าอาภร...



ขณะที่เขากำลังเครียดอยู่นั่นเอง
ก็มีลุงชาวเมืองคนหนึ่ง มาซื้อรองเท้าของเขา
แกเลือกเบอร์ต่างๆ ของรองเท้ามาได้ 4 คู่

"ลุงเอา สี่คู่นะ" ลุงชาวเมืองคูขาดเอ่ยขึ้น

ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ เพราะทำไมลุงแกจึงซื้อไปเยอะขนาดนั้น
ทั้งๆ ที่รองเท้าคู่เก่าของแกก็ยังไม่สึกหรอเสียหายเลย

"รองเท้าลุงก็ยังดีอยู่เลย ทำไมลุงซื้อใหม่อีกล่ะครับ"
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย

"ก็... ซื้อไปให้ลูกหลานด้วย อีกคู่ก็จะเก็บเอาไว้
เผื่อคู่นี้สึกแล้วจะได้มีรองเท้าใส่"
ลุงชาวเมืองตอบพร้อมกับยื่นเงินค่ารองเท้าให้

"คนเมืองนี้เขาไม่ใส่รองเท้ากัน
ลุงกลัวจะไม่มีใครเอามาขายอีก เลยซื้อเก็บไว้"
ลุงชาวเมืองยังพูดต่อ

"คู่แรกนี่... ลุงไม่ได้ซื้อหรอก
คราวก่อนโน้น คนขายรองเท้าเขาเล่นเกมส์ทายปัญหา
ใครตอบถูกก็ได้รองเท้าเป็นรางวัล
ลุงโชคดีตอบถูก"

"พอใส่รองเท้าแล้ว จึงเห็นคุณค่าของมัน
แล้วก็กลัวจะไม่มีใครเอามาขายอีก"
ลุงชาวเมืองรับเงินทอน แล้วก็เดินจากไป...

คำพูดของลุงชาวเมือง
ทำให้เขาเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีกว่า
หากใครได้ใส่รองเท้า รับรอง ชีวิตนี้ เขาจะขาดรองเท้าไปไม่ได้...

แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ จึงจะให้เขาได้ใส่รองเท้า
ครั้นจะแจกฟรี ก็ไม่ไหวแน่ๆ เพราะไม่ใช่การทำการค้า
และจะแจกฟรีได้สักกี่คน
คนในเมืองนี้ก็ร่วมๆ 2 แสนคน ใช่น้อยซะเมื่อไร
แต่หากทำตลาดได้ ยอดขายก็ไม่น้อยเหมือนกัน



ค่ำคืนของวันที่ 5 ที่เมืองคูขาด
หลังจากชายหนุ่มเสร็จภาระกิจประจำวันแล้ว
เขาก็ออกมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างๆที่พัก
เขากำลังตัดสินใจว่าจะยอมแพ้ แล้วขนรองเท้ากลับ
หรือจะสู้ต่อดีนะ เพราะเขามีเวลาไม่มาก
ไม่มีเวลามากพอ ที่จะค่อยๆ ทำให้คนใส่รองเท้ากัน ทีละนิด

คนที่มาซื้อรองเท้าของเขาเกือบทั้งหมด
คือคนที่มีรองเท้าอยู่แล้ว
แต่ลูกค้ารายใหม่ แทบจะไม่มีเลย

การที่เขาเพ่งจิตอยู่ที่ความคิดนั้นเอง
ทำให้จิตของเขาเป็นสมาธิ จนจิตสงบ
เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด

...........................

เขาร้องไชโย ในใจ
เขารู้แล้วว่าจะทำอย่างไร
นี่เองน่ะหรือ ที่ท่านเศรษฐีบอกว่า

"เธอเอารองเท้าไปขายก็จริง แต่จงอย่าขายรองเท้าให้เขา"

วิเศษจริงๆ เลย วิธีนี้
ได้ผลอย่างแน่นอน
และต่อไป เราก็จะยึดครองตลาดสิ้นค้ารองเท้าที่เมืองนี้ได้

ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น
กับความคิดที่แสนจะวิเศษของเขา
พรุ่งนี้เช้า เขาจะเริ่มปฏิบัติการ ทันที...



เช้าวันรุ่งขึ้น...
ชายหนุ่มจัดการหาห้องเช่าได้แห่งหนึ่ง เพื่อเป็นโกดังเก็บรองเท้า
และเขาสั่งให้ลูกน้องขนรองเท้าลงจากรถเข้าโกดังให้หมด
เสร็จแล้วให้นำรถกับรองเท้าส่วนหนึ่งไปเจอเขาที่ตลาด
จากนั้นชายหนุ่มก็ตรงดิ่งสู่ตลาดกลางทันที
เขาเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าเกือบทุกเจ้าในตลาด

เมื่อกลับมาถึงที่แผงขายรองเท้าของเขา
เขาติดป้ายตัวใหญ่บะเร่อเทิ่มว่า....

"รับซื้อสินค้าการเกษตรทุกชนิด"

ที่เมืองนี้ ชาวเมืองส่วนใหญ่จะทำการเกษตรเป็นหลัก
ดังนั้นสินค้าการเกษตรที่เขานำมาขายจึงมีราคาไม่แพง
ข้อมูลที่ได้ก็มาจากการที่เขาเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้านั่งเอง

ใช้เวลารออยู่ไม่นาน
ที่หน้าร้านของเขาก็มีผู้คนมากมายมายืนออกันแน่นเลยทีเดียว
เปล่าหรอก... ไม่ใช่เขามาซื้อรองเท้ากัน
แต่เขาพากันนำสินค้าการเกษตรมาขายให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มเองก็รับซื้อสินค้าในราคาตลาดที่เขาเดินสำรวจมาแล้ว
นอกจากเงินที่ชาวเมืองได้กลับไป
ยังได้รองเท้ากลับไปอีกด้วย
บางคนก็ได้รองเท้าคู่หรือสองคู่
บางคนก็ได้มากกว่านั้น ตามปริมาณสินค้าที่นำมาขาย

ไม่น่าเชื่อว่า การขายรองเท้าโดยวิธีรับซื้อสินค้าจะได้ผล
ใช้เวลาไม่นาน สินค้าเกษตรก็เต็มรถ
ส่วนรองเท้าของเขาก็หมดไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่เขานำมา

เมื่อปิดการรับซื้อสินค้าเกษตรเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็สั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งอยู่เฝ้าโกดังรองเท้า
ส่วนเขาเองกับลูกน้องอีกคนรีบตีรถกลับ

เมื่อกลับมาถึงเมือง ชายหนุ่มก็ตรงเข้าสู่ตลาดทันที
เขาเดินเช็กราคาสินค้าเกษตรอยู่สักพัก
เมื่อได้รู้ราคาจนเป็นที่พอใจแล้ว
เขาก็หาที่เหมาะๆ นำสินค้าเกษตรที่เขาซื้อมาจากเมืองคูขาด
ขายส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดแห่งนี้

ข่าวการขายส่งของเขากระจายไปจนทั่วตลาด
และไม่นานนัก สินค้าของเขาก็ขายหมดเกลี้ยง
หลังจากคำนวณกำไร-ขาดทุนแล้ว
ก็เป็นตามที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก
กำไรที่ได้จากการขายส่ง หักราคารองเท้า
ยังทำให้เขามีกำไรเหลืออีกพอสมควร
แต่สิ่งที่เขาจะได้ในอนาคตคือ
ตลาดรองเท้าที่เมืองคูขาดอย่างแน่นอน



ที่คฤหาสถ์ของเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
ชายหนุ่มเล่าเรื่องต่างๆให้เศรษฐีฟัง
เศรษฐีถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ...

"ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้เลยนะเนี่ย...
ความหมายของฉันไม่ได้โลดโผนขนาดนี้"
เศรษฐีพูดไปอมยิ้มไป

"อย่าขายผักบุ้งไฟแดง แต่จงขายไฟที่มันลุกพรึ๊บ
เวลาเทผักบุ้งใส่กระทะ และขายผักบุ้งที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า
แล้วตกลงมาสู่จานที่มีคนรอรับอยู่..."
เศรษฐีหยุดนิดหนึ่งเพื่อให้ชายหนุ่มจินตนาการณ์ตาม

"ฉันหมายถึงประมาณนี้...
แต่สิ่งที่เธอทำ ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ
ขายโอกาส... ให้ชาวเมืองนั้นได้ใส่รองเท้า"


................................................


ชายหนุ่มวิ่งรถไปมาระหว่างสองเมืองอยู่หนึ่งอาทิตย์
เขาก็ตัดสินใจหยุดแถมรองเท้า
จากนั้นก็จัดการตกแต่งโกดังรองเท้าให้เป็นร้านรองเท้า
เพื่อรองรับลูกค้าที่ตั้งใจที่จะมาซื้อรองเท้า
จากการที่ได้รองเท้าเป็นของแถมกลับบ้านของชาวเมือง
ที่นำสินค้าเกษตรมาขาย
นอกจากได้ใส่รองเท้าเองแล้ว
ยังได้เผื่อแผ่ให้กับลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย
การได้ใส่รองเท้าของชาวเมืองเริ่มกระจายออกไป


เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิดเอาไว้
ค่านิยมการใส่รองเท้าเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ใส่แล้วก็จะบอกต่อถึงข้อดีแบบปากต่อปาก
คนที่ยังไม่มีโอกาสได้ใส่ ก็รู้สึกเหมือนตนเองตกยุค
ความรู้สึกทางด้านวัตถุนิยมเริ่มก่อกำเนิดขึ้น ถึงแม้จะเล็กน้อย
แต่ก็มีผลทางด้านจิตใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์
ผู้ซึ่งยังหนาไปด้วยกิเลส
ไม่มีผู้ใดฝืนธรรมชาติไปได้เลย
ใครที่ล่วงรู้ความลับของธรรมชาติต่างหาก
ที่จะสามารถสร้างประโยชน์จากมันได้
แม้แต่เครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้า
ก็ไม่ได้ฝืนกฎของธรรมชาติ
ใครจะไปคิดล่ะว่า ก้อนเหล็กหนักๆ จะลอยไปมาอยู่บนฟากฟ้าได้...
ก็เพราะมีผู้ล่วงรู้ธรรมชาติของแรงต้านของอากาศ
และพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ
โธมัส เอดิสัน ก็ได้ล่วงรู้ธรรมชาติของกระแสไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า จนพัฒนาขึ้นมาเป็นหลอดไฟให้แสงสว่าง

ธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ
และพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เพื่อนำไปประยุกค์ใช้งาน
แม้แต่การบริหารงานมนุษย์ด้วยกันเอง
ยังต้องรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน
ซึ่งไม่มีใครจะเป็นได้เหมือนใคร
ใครล่วงรู้ธรรมชาติของมนุษย์
ก็จะบริหารงานมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ร้านรองเท้าของชายหนุ่มจึงเริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุด.....
ชาวเมืองคนใดที่ไม่ใส่รองเท้า
กลายเป็นบุคคลที่แปลกและแตกต่างไปจากคนของชุมชน

เมื่อต้องวิ่งรอกรถไปมาระหว่างสองเมือง
ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนกลางของสินค้าของสองเมืองนี้
สินค้าหลากหลายชนิดเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
จากร้านขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว
ได้พัฒนากลายมาเป็นร้านสรรพสินค้าของเมืองคูขาดไปเสียแล้ว
สินค้าฟุ่มเฟือยมากมายเริ่มเข้ามาสู่ตลาดของเมืองแห่งนี้
พร้อมกับพัฒนาการด้านวัตถุนิยมที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆของชาวเมือง


ชานหนุ่มมองไปยังอนาคตของธุรกิจของเขาที่เมืองคูขาดนี้
สิ่งที่เขาเห็นก็คือ
จากการรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรเพื่อระบายรองเท้า
ได้พัฒนากลายมาเป็น.....
"คูขาดพืชผล"
...ศูนย์รับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่ใหญ่โต
...ศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร
...ศูนย์สงเสริมการเกษตรครบวงจรทั้งพืชและสัตว์

เรื่องพืช ก็ขายตั้งแต่เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช
ไปจนถึงการรับซื้อผลผลิตกลับคืนมา

เรื่องสัตว์ ก็ขายตั้งแต่พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยา วัคซีน
และการรับซื้อผลผลิตกลับคืน


นั่นคือพัฒนาการที่เป็นไปของร้านรองเท้า
กับร้านรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรเล็กๆในตอนต้น
ซึ่งใช้เวลาพัฒนาเป็นแรมปีเหมือนกัน

...........................................


หลังจากวิ่งรถขนสินค้าระหว่างสองเมือง
รวมทั้งเริ่มมีสินค้าแตกไลน์เพิ่มขึ้น
ชายหนุ่มก็พอจะมองอนาคตของพัฒนาการ
และการเติบโตของธุรกิจทั้งสองสายงาน
คือการเติบโตของร้านรองเท้าไปสู่ร้านสรรพสินค้า
และการเติบโตของร้านรับซื้อสินค้าเกษตรไปสู่ศูนย์เกษตรครบวงจร...
แต่เขามีเวลาไม่มากพอที่จะรอคอยวันนั้น
เพราะมันต้องใช้เวลาพัฒนาการ เกินกว่าเวลา 1 ปีที่เขามีอยู่
นี่ก็ล่วงเข้าสู่เดือนที่ 2 แล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้...


หลังจากสอนงานให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้เป็นงานแล้ว
ชายหนุ่มก็ปล่อยให้ลูกน้องวิ่งรอกระหว่างสองเมืองแทนเขา
ส่วนเขาเองก็กลับมาตั้งหลักที่คฤหาสถ์ของเศรษฐี


"ที่ปรึกษา...." ความคิดหนึ่งแล่นปรี๊ดขึ้นมาในสมองของเขา
ชายหนุ่มเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการให้คนที่เก่งกว่าเรา ทำงานให้เรา
หรือเป็นที่ปรึกษาให้เรา
ชายหนุ่มรีบลงมือทันที

"ท่านเศรษฐีครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

"ผมอยากให้ท่านช่วยแนะนำผู้บริหารเก่งๆ สักคนให้ผมหน่อยครับ"
ชายหนุมกล่าวต่อ

"เธอจะเอาไปทำไมรึ?..." เศรษฐีถามทั้งๆ ที่อ่านเกมส์ชายหนุ่มออก

"ผมมองเห็นการเติบโตของธุรกิจของผมในอนาคต
แต่ผมเองไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะบริหารจัดการมัน
ให้เติบโตไปตามนั้นได้ครับ"

"แล้วเธอมีแผนการอย่างไรล่ะ" เศรษฐีถามอีก

"ผมจะตั้งทีมที่ปรึกษาเพื่อวางแผนบริหารงานเหล่านั้น
รวมทั้งงานอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกครับ"
ชายหนุ่มตอบ

เศรษฐีนิ่งคิดอยู่สักครู่ จึงเอ่ยขึ้นว่า

"ได้สิ... ฉันจะแนะนำให้เธอ"
บันทึกการเข้า
zante
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 26
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 439



ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 15:23:27 »

ชอบชอบ
บันทึกการเข้า
nimms
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 14
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 307



ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 16:31:56 »

อ่านเพลินเลยแฮะ สนุกดี Embarrassed
บันทึกการเข้า
!Blogger SEO~~
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 332
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,932



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2012, 17:14:12 »

ลงชื่อแล้วอ่าน น่าสนุกดีครับ

ขอตัวอ่านแปป ยาวเกิน
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
พิมพ์