‘จ่ายยาชุด’แก้บาทแข็ง!!

อ้างถึง

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ธาริษาแย้ม1-2วันเสนอคลังอนุมัติ/เสนอลดเงินสำรองไว้สู้ศึก

โพสต์ทูเดย์ — ธปท.แย้มไต๋ออกมาตรการแก้บาทแข็งเป็นแพ็กเกจ

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายใน 1-2 วันนี้ จะเสนอมาตรการการผ่อนปรนการนำเงินออกนอกประเทศเพื่อไปลงทุนต่อนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง เพื่อช่วยลดแรงกดดันของเงินบาท โดยจะเสนอเป็นแพ็กเกจหลายด้าน

นางธาริษา กล่าวว่า หนึ่งในมาตรการที่จะออกมาใช้คือ การขยายระยะเวลาให้ผู้ส่งออกถือเงินครองเงินตราต่างประเทศได้นานขึ้น และการให้ฝากเงินเหรียญสหรัฐเพื่อกินดอกเบี้ย ส่วนมาตรการอื่นขอปิดไว้ก่อน

ขณะนี้ ธปท.ได้หารือกับหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ ผู้ประกอบการส่งออก และกระทรวงการคลัง และยืนยันว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้ดูแลค่าเงินบาทด้วยวิธีการที่หลากหลาย โดยหากนำตัวเลขมาเปรียบเทียบรายวันจะเห็นความแตกต่าง และได้ทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น จึงไม่อยากให้ผู้ส่งออกตื่นตระหนกมากเกินไป

ทั้งนี้ มาตรการที่ ธปท.จะประกาศนั้นเป็น 2 ใน 8 เรื่องที่คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเสนอให้แก้ไข

ขณะที่มีรายงานว่า กระทรวงการคลังกำลังจะออกมาตรการแก้เงินบาทแข็งค่าด้วยการตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อระบายเงินตราต่างประเทศออกจากประเทศ โดยมีหน่วยงานรัฐบริหารการลงทุนเป็นการเฉพาะ สนับสนุนทางภาษีสำหรับเอกชนที่ชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด และชะลอแผน กู้เงินนอกประเทศมากู้ในประเทศ

นายฉลองภพ กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีการตั้งกลุ่มคน ซึ่งอาจจะเป็นคณะทำงาน หรือคณะกรรมการ แต่ไม่อยากให้เรียกวอร์รูม เพื่อมาประสานงานดูแลความผันผวนของค่าเงินบาท เพราะเรื่องค่าเงินไม่ใช่เรื่องของ ธปท.เพียงอย่างเดียว

นายฉลองภพ ยืนยันว่า ผู้บริหาร ธปท.ชุดปัจจุบันยังมีความสามารถ เพียงแต่ต้องรับฟังความเห็นจากที่อื่นๆ และต้องใช้เครื่องมือให้ทันท่วงที เพราะบางอาทิตย์มีความผันผวนมาก แต่จะไม่ออกมาตรการบังคับเงินลงทุนในตลาดหุ้น

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ กล่าวว่า ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าคือ การลดเงินสำรองระหว่างประเทศ จากที่มีอยู่ 7.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลงอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการใดๆ เป็นพิเศษ ตอนนี้ ธปท.ดูอยู่

ที่มา: http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=179065