ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafe[ข่าวด่วนจาก Pantip] อเมริกาค้นพบไทม์แมชชีนจากโลกอนาคต!!!
หน้า: 1 2 3 [4]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: [ข่าวด่วนจาก Pantip] อเมริกาค้นพบไทม์แมชชีนจากโลกอนาคต!!!  (อ่าน 22760 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
fire2fight
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 161



ดูรายละเอียด
« ตอบ #60 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 08:20:02 »

ถ้ามีจริงก็ดีสิ จะย้อนกลับไปบอกให้ตัวเองในอดีตขยันๆๆๆๆ  Cool
บันทึกการเข้า
O be one
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 70
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,487



ดูรายละเอียด
« ตอบ #61 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 09:37:30 »



    ไม่อยากจะเชื่อเลยครับ ว่าจิตนาการของคนเราจะ ไปไกลถึงขนาดนี้  ความเห็นส่วนตัวผมว่า

             มันไม่มีอยู้จริงเหรอครับ :-\ :-\
บันทึกการเข้า
MrWebmonster
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 124
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,909



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 10:46:12 »

rep หลังๆ เรื่องเครื่องบิน = ไทม์แมชชีน อ่านแล้วเพลินดีครับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ คงต้องติดตามต่อไปว่าจะมีใครมาหักล้างหรือไม่  Cheesy
บันทึกการเข้า

รวมเรื่อง สัพเพเหระ ไอที แก้ปัญหาไวรัส คอมพิวเตอร์ทิป อินเตอร์เน็ตทิป โค้ด รหัส Ascii สัญลักษณ์facebook Messenger LINE Gplus Instagram แก้ปัญหาเว็บเบราเซอร์ สู้ๆ น้าาาาา ~
TBZS
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 146
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,056



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 13:10:51 »

ผมคิดว่า

การย้อนเวลา รึการไปอนาคต มันเป็นไปได้แต่ตัวเลขหน่ะครับ

ถ้าคิดไปตามนั้นคงต้องมีอะไรที่เร็วกว่าแสงซึ่ง เท่ากับว่าต้องมีมวลเป็น 0

สามารถที่จะเห็นได้ แต่ส่งเราไปคงไม่ได้

เครื่องไทม์แมชชีน หรือเครื่องแยกมวลสารที่จะแยกตัวเราไห้มีมวลเป็นศูนแล้วส่งไปด้วยความเร็ว


แล้วไปประกอบกันไหม่  ค่อนข้างจะเพ้อพก


แต่ถ้าสามารถเห็นย้อนหลัง หรือไปข้างหน้าก็เป้นไปได้ เพราะจิตไม่ไช่วัตถุนั้นไวกว่าแสง


ทฤษฎีสัมพันธภาพไม่ได้เป็นคำตอบของทุกอย่างได้ครับ



บันทึกการเข้า

zern
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 117
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,233



ดูรายละเอียด
« ตอบ #64 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 13:15:22 »

คือที่ไม่เรียกว่ากฏ น่าจะเป็นเพราะว่ายังพิสูจน์ทฤษฎีทั้ง 100% ไม่ได้ครับ เพราะมันมีเรื่องของกลศาสตร์ควอนตัมที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนี้อยู่น่ะครับ

แต่เวลาที่กล่าวถึงนี้มีการพิสูจน์แน่ชัดแล้วครับ  ตามนี้ครับ

อ้างถึง
เวลาในเอกภพไม่เป็นหนึ่งเดียว     
          แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เวลาเป็นหนึ่งเดียวและเท่ากันเสมอไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดในเอกภพ แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษบอกว่า เวลาในเอกภพแตกต่างกันได้ โดยความเร็วที่ต่างกันทำให้เวลาต่างกัน ยิ่งวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากเท่าไร เวลาก็จะเดินช้าลงเท่านั้นเมื่อเทียบกับวัตถุที่เคลื่อนที่ช้ากว่า ในชีวิตประจำวันเราจะสังเกตความแตกต่างของเวลาไม่ออก เพราะความแตกต่างของความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุมีน้อย แต่นักวิทยาศาสตร์   สามารถทดลองความต่างกันของเวลาได้ โดยนักวิจัยชื่อเฮเฟลและคิทติงแห่งสหรัฐอเมริกา ได้นำนาฬิกาที่สร้างจากอะตอมของธาตุซีเซียม ซึ่งวัดได้ละเอียดถึงย่าน 1 ใน 1,000 ล้านล้านของวินาที มาติดตั้งบนเครื่องบินพาณิชย์แล้วบินไปรอบโลก และเปรียบเทียบเวลาของนาฬิกาดังกล่าวกับนาฬิกาที่เหมือนกัน ซึ่งวางอยู่บนพื้นผิวโลก พบว่า นาฬิกาบนเครื่องบินช้ากว่าบนผิวโลก ทั้งสองได้เขียนรายงานลงในวารสารวิชาการชื่อ Science เมื่อ ค.ศ.1972 (พ.ศ.2515)
          จากเรื่องความเร็วที่มีผลต่อเวลานี้ ไอน์สไตน์ได้จินตนาการถึงคู่แฝดคู่หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า  Twin Paradox โดยสมมติว่าคู่แฝดคู่นี้มีอายุ 20 ปี ชื่อสมชายกับสมหญิง สมหญิงต้องการอยู่บนโลก แต่สมชายตัดสินใจเดินทางออกไปนอกโลกด้วยยานอวกาศที่มีความเร็ว 80% ของความเร็วแสง สมหญิงที่รออยู่บนโลกสามารถใช้คณิตศาสตร์คำนวณพบว่า จังหวะการทำงานของร่างกายสมชายจะช้ากว่าเธอประมาณ 60% กล่าวคือ เมื่อหัวใจเธอเต้น 5 ครั้ง หัวใจของสมชายจะเต้น 3 ครั้ง เมื่อเธอหายใจ 5 ครั้ง สมชายจะหายใจ 3 ครั้ง เป็นต้น ในที่สุดเมื่อสมชายกลับคืนสู่โลกเรา ตอนที่ปฏิทินบนโลกของสมหญิงผ่านไป 50 ปี แต่สำหรับสมชายแล้วเวลาเพิ่งผ่านไปเพียง 30 ปี ฉะนั้นสมหญิงจึงมีอายุ 70 ปี ขณะที่สมชายมีอายุเพียง 50 ปีเท่านั้น

โค๊ด:
http://main.dou.us/view_content.php?s_id=300&page=4

เอาลิงค์ให้ดู เดี๋ยวจะหาว่าผมโม้ เพราะตอนแรกที่ผมรู้ก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อเลย ว่ามนุษย์ก้าวหน้าไปถึงขนาดนี้แล้ว  Shocked
ขอพิมพ์ใหม่นะครับ อันเก่าลบไปแล้ว
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล
ผมว่ากรณี
อย่างที่เวลาบนเครื่องบินเดินช้าลง
เป็นเพราะ activity บนเครื่องบินมันช้าลงมากกว่า
เมื่อ activity ช้าลงทำให้นาฬิกาที่สร้างจากอะตอมของธาตุซีเซียม เดินช้าลงไปด้วย
อย่างกรณีของ Twin Paradox ก็เหมือนกัน
activity บนยานช้ากว่าบนโลก
มีผลให้สภาพของสิ่งที่ activityช้า เปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่าสิ่งที่activityเร็ว
การที่เวลาบนยานเป็น 30ปี เพราะเทียบกับactivityที่ช้าลงมากกว่า ซึ่งเวลาถ้าเทียบกับบนโลกแล้วก็ 50ปีเท่ากัน
 Shocked นี่ผมกำลังแย้ง ทฤษฎีสัมพัทธภาพอยู่เหรอนี่
มาคิดดูดีๆ
เอาของมาแช่ช่อง freeze แล้วเอาของออกมา ของนั้นจะเหมือน กรณีของ Twin Paradox หรือเปล่า
ไม่ต้องใช้ความเร็วสูง แค่ใช้ช่อง freeze ก็ทำได้  Grin

activity เช่น การหายใจ เมตาบอลิซึม การเคลื่อนที่ของอะตอม
ปล.ที่ผมบอกมันอาจผิดก็ได้  Grin เพราะผมเองไม่ค่อยเก่งฟิสิกส์มากนัก
แต่การขัดแย้งทฤษฎีเ่ก่าที่น่าเชื่อถือก็เป็น จุดเริ่มต้นของการค้นพบทฤษฎีใหม่ๆนะครับ
ถ้าไอสไตน์ไม่แย้งนิวตันก็คงไม่มีทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ถ้ากาลิเลโอไม่แย้งอริสโตเติลก็คงไม่รู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

แต่ต้องมีข้อมูลและเหตุผลที่เชื่อถือได้มากกว่าของเก่า  Smiley
บันทึกการเข้า

สูงสุด ที่สุดก็คืนสู่สามัญ
ta_to_to
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,760



ดูรายละเอียด
« ตอบ #65 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 16:34:27 »

บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด  Grin
บันทึกการเข้า

alert
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 50
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,736



ดูรายละเอียด
« ตอบ #66 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 16:40:00 »

ที่จริงนอกจากทฤษฎีสัมพัทธภาพ ยังอีกอีกอย่างนึงนะ ที่เชื่อกันว่าย้อนข้ามมิติเวลาได้ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี  :-\
บันทึกการเข้า

***** รับซื้อเว็บไซต์สายขาวคุณภาพ  ตั้งแต่ 500-30,000 uip มี traffic มาจาก Google  และไม่เคยโดนแบน adsense  เสนอราคามาทาง pm ได้เลยครับ *****
Rapture
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 116
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 639



ดูรายละเอียด
« ตอบ #67 เมื่อ: 16 มีนาคม 2009, 23:58:35 »

ผมว่านักวิทยาศาสตร์กำลังหลงทางเรื่องเวลานะ
ไม่ก็ผมเข้าใจผิดเรื่องเวลานี่แหละ
สำหรับผม เรื่องเวลา ผมก็ยังยืนยันว่าเป็นเรื่องสมมติ
เวลามีสิ่งที่ช่วยบอกคือ นาฬิกา
นาฬิกาเดินได้ต้องมีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดิจิตอลหรือแบบไหน อย่างดิจิตอลก็เช่น อิเล็กตรอนวิ่ง
แต่เวลาทดลองในที่ที่มีผลต่อการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวของวัตถุ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า เวลาที่วัดได้จากนาฬิกาช้าลงจากการทดลองอีกแห่งหนึ่ง (control)
แล้วมาสรุปว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เวลาช้าลง ที่จริงแล้วคือเวลาไม่ได้ช้าลง แต่นาฬิกามันเดินช้าลงต่างหาก
อย่างกรณีบนเครื่องบิน หรือดวงจันทร์ ก็เหมือนกัน



ที่บอกว่าวัตถุที่เร็วกว่าอีกวัตถุหนึ่ง วัตถุที่เร็วกว่ามีเวลาที่ช้ากว่า
สำหรับผม เวลามันก็ยังเท่าเดิมแหละ
เวลาเราอยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แล้วมองเห็นว่าอีกสิ่งหนึ่งเคลื่อนที่ช้า
จะบอกว่า เวลาของเราช้าลงได้เหรอ มันก็แค่สิ่งที่เราเห็นตาเท่านั้น
ส่วนเวลาก็เดินเท่าเดิม ตาก็แค่หลอกให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง
สิ่งที่จากตาเห็นก็เชื่อถือไม่ได้ 100 %
อย่าง กรณี
เราจะเห็นแสงมีความเร็วคงที่ 3แสน กม/วิ ไม่ว่าเราจะเดินทางด้วยความเร็วเท่าไรก็ตาม
หมาย ความว่ายังไง สมมติว่าเราเดินทางด้วยความเร็ว 1แสน กม./วิ ตามปกติเราควรจะเห็นแสงเดินทาง 2แสน กม./วิ แต่ไม่ใช่ครับ เราจะเห็นแสงเดินทาง 3แสน กม./วิ เท่าเดิม เป็นเพราะว่าแสงไปดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น ทำให้เราเห็นแสงเดินทางเร็วเท่าเดิม
ผมเข้าใจว่าไอสไตน์เห็นจากจินตนาการตัวเอง ซึ่งผมว่าเห็นจินตนาการถูกต้องแต่สรุปผิด
ความจริงแสงไม่ได้ดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น
แต่เนื่องด้วยความจริง สิ่งที่ทำให้ตาเราเห็นคือแสง
แสงกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตาจึงเห็นเป็นภาพ
ผมคิดว่า ถ้าเราจะเห็นแบบสัมพัทธ์ได้ แปลว่าเราต้องเคลื่อนที่แบบคู่ขนานกับวัตถุนั้น
ถ้าวัตถุมีความเร็วคงที่ 3กม/วิ เราเคลื่อนที่ขนานกับวัตถุในทางเดียวกัน 1 กม./วิ
เราจะเห็น วัตถุเคลื่อนที่ 2 กม./วิ
แต่ถ้าเป็นแสง มันคือสิ่งที่ทำให้เรามองเห็น เวลาเราสังเกตแสง ต่อให้เราเคลื่อนที่ขนานกับแสง
เราไม่เห็นแสงแบบสัมพัทธ์เพราะ เวลาแสงสะท้อนเข้าตาเรามันไม่ได้เคลื่อนที่แบบ ขนาน กับตัวเรา
สิ่งที่เราเห็นจึงไม่เห็นแบบ สัมพัทธ์ แต่เราจะเห็นความเร็วแสงที่สะท้อนเข้าตาเราแทน
สรุปแล้วเวลามันก็เท่าเดิม แต่แสงมันทำให้ตามองเห็น 3แสน กม./วิ  เท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มีนาคม 2009, 00:07:36 โดย Rapture » บันทึกการเข้า
zern
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 117
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,233



ดูรายละเอียด
« ตอบ #68 เมื่อ: 17 มีนาคม 2009, 01:10:46 »

ผมว่านักวิทยาศาสตร์กำลังหลงทางเรื่องเวลานะ
ไม่ก็ผมเข้าใจผิดเรื่องเวลานี่แหละ
สำหรับผม เรื่องเวลา ผมก็ยังยืนยันว่าเป็นเรื่องสมมติ
เวลามีสิ่งที่ช่วยบอกคือ นาฬิกา
นาฬิกาเดินได้ต้องมีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดิจิตอลหรือแบบไหน อย่างดิจิตอลก็เช่น อิเล็กตรอนวิ่ง
แต่เวลาทดลองในที่ที่มีผลต่อการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวของวัตถุ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า เวลาที่วัดได้จากนาฬิกาช้าลงจากการทดลองอีกแห่งหนึ่ง (control)
แล้วมาสรุปว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เวลาช้าลง ที่จริงแล้วคือเวลาไม่ได้ช้าลง แต่นาฬิกามันเดินช้าลงต่างหาก
อย่างกรณีบนเครื่องบิน หรือดวงจันทร์ ก็เหมือนกัน



ที่บอกว่าวัตถุที่เร็วกว่าอีกวัตถุหนึ่ง วัตถุที่เร็วกว่ามีเวลาที่ช้ากว่า
สำหรับผม เวลามันก็ยังเท่าเดิมแหละ
เวลาเราอยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แล้วมองเห็นว่าอีกสิ่งหนึ่งเคลื่อนที่ช้า
จะบอกว่า เวลาของเราช้าลงได้เหรอ มันก็แค่สิ่งที่เราเห็นตาเท่านั้น
ส่วนเวลาก็เดินเท่าเดิม ตาก็แค่หลอกให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง
สิ่งที่จากตาเห็นก็เชื่อถือไม่ได้ 100 %
อย่าง กรณี
เราจะเห็นแสงมีความเร็วคงที่ 3แสน กม/วิ ไม่ว่าเราจะเดินทางด้วยความเร็วเท่าไรก็ตาม
หมาย ความว่ายังไง สมมติว่าเราเดินทางด้วยความเร็ว 1แสน กม./วิ ตามปกติเราควรจะเห็นแสงเดินทาง 2แสน กม./วิ แต่ไม่ใช่ครับ เราจะเห็นแสงเดินทาง 3แสน กม./วิ เท่าเดิม เป็นเพราะว่าแสงไปดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น ทำให้เราเห็นแสงเดินทางเร็วเท่าเดิม
ผมเข้าใจว่าไอสไตน์เห็นจากจินตนาการตัวเอง ซึ่งผมว่าเห็นจินตนาการถูกต้องแต่สรุปผิด
ความจริงแสงไม่ได้ดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น
แต่เนื่องด้วยความจริง สิ่งที่ทำให้ตาเราเห็นคือแสง
แสงกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตาจึงเห็นเป็นภาพ
ผมคิดว่า ถ้าเราจะเห็นแบบสัมพัทธ์ได้ แปลว่าเราต้องเคลื่อนที่แบบคู่ขนานกับวัตถุนั้น
ถ้าวัตถุมีความเร็วคงที่ 3กม/วิ เราเคลื่อนที่ขนานกับวัตถุในทางเดียวกัน 1 กม./วิ
เราจะเห็น วัตถุเคลื่อนที่ 2 กม./วิ
แต่ถ้าเป็นแสง มันคือสิ่งที่ทำให้เรามองเห็น เวลาเราสังเกตแสง ต่อให้เราเคลื่อนที่ขนานกับแสง
เราไม่เห็นแสงแบบสัมพัทธ์เพราะ เวลาแสงสะท้อนเข้าตาเรามันไม่ได้เคลื่อนที่แบบ ขนาน กับตัวเรา
สิ่งที่เราเห็นจึงไม่เห็นแบบ สัมพัทธ์ แต่เราจะเห็นความเร็วแสงที่สะท้อนเข้าตาเราแทน
สรุปแล้วเวลามันก็เท่าเดิม แต่แสงมันทำให้ตามองเห็น 3แสน กม./วิ  เท่านั้น
ถึงกับบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าใจผิดเรื่องเวลาเลยเหรอครับเนี่ย เก๋าจริ๊ง  Shocked

ถ้างั้นก็แล้วแต่ความเชื่อแต่ละบุคคลครับ ผมไม่แย้งละ
แต่ผมก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่คุณคิดนะครับ ไม่ใช่เพราะไอสไตน์น่าเชื่อถือกว่า แต่เป็นเพราะคุณก็ยังจินตนาการเอาเองโดยไม่มีการทดลองเหมือนกัน และที่สำคัญก็ไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เลยด้วย  ส่วนการสรุปของคุณผมก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด เพราะผมก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เรียนคณะวิทย์ด้วย แค่เรียนสายวิทย์ตอนม.ปลาย  Cheesy

ดังนั้นผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเืชื่อว่านักวิทยาศาสตร์สรุปผิด แล้วเชื่อว่าคุณสรุปถูกครับ เพราะสำหรับผมแล้ว ข้อมูลย่อมเชื่อถือได้มากกว่าเหตุผล เพราะเหตุผลอาจจะผิดได้แต่ข้อมูลไม่มีวันผิด หากกระบวนการเก็บข้อมูลไม่ผิดพลาด
แต่ถ้าสักวันหนึ่งคุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และมาหักล้างทฤษฎีเก่าๆได้ผมก็พร้อมที่จะเชื่อครับ  Smiley
บันทึกการเข้า

สูงสุด ที่สุดก็คืนสู่สามัญ
Sylar
ทีมงานแสงอุษา
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 95
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,993



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: 17 มีนาคม 2009, 02:40:14 »

ซีรี่ย์ Heroes นี่ ไม่ได้ใช้เครื่องมือเครื่องจักรนะ แต่ฮีโร่ นากามูระ สามารถเดินทางย้อนเวลาได้เีพียงแค่หลับตา จึ่งเดียวย้อนไปเวลาไหนก็ได้  Cheesy
บันทึกการเข้า

etgsgroup
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 154
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,713



ดูรายละเอียด
« ตอบ #70 เมื่อ: 17 มีนาคม 2009, 06:20:11 »

พัฒนากันต่อไป คงมีสักวันนะ ขนาด เขายังเอาเหล็กไปบินบนฟ้าได้ เอาเหล็กออกไปนอกโลกได้ ว่าแต่พวกนี้ใช้ทุนมหาศาลเลยนะเนี่ย
บันทึกการเข้า

ขอบคุณ ThaiSeoBoard สำหรับความรู้ทั้งทางด้าน SEO, SEM, Affiliate ตั้งแต่สมัยที่คนไทยไม่มีความรู้เกี่ยวกับ Digital Marketing เลย ต้องอ่านจาก ต่างประเทศอย่างเดียว
Rapture
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 116
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 639



ดูรายละเอียด
« ตอบ #71 เมื่อ: 17 มีนาคม 2009, 10:12:31 »

ผมว่านักวิทยาศาสตร์กำลังหลงทางเรื่องเวลานะ
ไม่ก็ผมเข้าใจผิดเรื่องเวลานี่แหละ
สำหรับผม เรื่องเวลา ผมก็ยังยืนยันว่าเป็นเรื่องสมมติ
เวลามีสิ่งที่ช่วยบอกคือ นาฬิกา
นาฬิกาเดินได้ต้องมีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดิจิตอลหรือแบบไหน อย่างดิจิตอลก็เช่น อิเล็กตรอนวิ่ง
แต่เวลาทดลองในที่ที่มีผลต่อการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวของวัตถุ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า เวลาที่วัดได้จากนาฬิกาช้าลงจากการทดลองอีกแห่งหนึ่ง (control)
แล้วมาสรุปว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เวลาช้าลง ที่จริงแล้วคือเวลาไม่ได้ช้าลง แต่นาฬิกามันเดินช้าลงต่างหาก
อย่างกรณีบนเครื่องบิน หรือดวงจันทร์ ก็เหมือนกัน



ที่บอกว่าวัตถุที่เร็วกว่าอีกวัตถุหนึ่ง วัตถุที่เร็วกว่ามีเวลาที่ช้ากว่า
สำหรับผม เวลามันก็ยังเท่าเดิมแหละ
เวลาเราอยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แล้วมองเห็นว่าอีกสิ่งหนึ่งเคลื่อนที่ช้า
จะบอกว่า เวลาของเราช้าลงได้เหรอ มันก็แค่สิ่งที่เราเห็นตาเท่านั้น
ส่วนเวลาก็เดินเท่าเดิม ตาก็แค่หลอกให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง
สิ่งที่จากตาเห็นก็เชื่อถือไม่ได้ 100 %
อย่าง กรณี
เราจะเห็นแสงมีความเร็วคงที่ 3แสน กม/วิ ไม่ว่าเราจะเดินทางด้วยความเร็วเท่าไรก็ตาม
หมาย ความว่ายังไง สมมติว่าเราเดินทางด้วยความเร็ว 1แสน กม./วิ ตามปกติเราควรจะเห็นแสงเดินทาง 2แสน กม./วิ แต่ไม่ใช่ครับ เราจะเห็นแสงเดินทาง 3แสน กม./วิ เท่าเดิม เป็นเพราะว่าแสงไปดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น ทำให้เราเห็นแสงเดินทางเร็วเท่าเดิม
ผมเข้าใจว่าไอสไตน์เห็นจากจินตนาการตัวเอง ซึ่งผมว่าเห็นจินตนาการถูกต้องแต่สรุปผิด
ความจริงแสงไม่ได้ดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น
แต่เนื่องด้วยความจริง สิ่งที่ทำให้ตาเราเห็นคือแสง
แสงกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตาจึงเห็นเป็นภาพ
ผมคิดว่า ถ้าเราจะเห็นแบบสัมพัทธ์ได้ แปลว่าเราต้องเคลื่อนที่แบบคู่ขนานกับวัตถุนั้น
ถ้าวัตถุมีความเร็วคงที่ 3กม/วิ เราเคลื่อนที่ขนานกับวัตถุในทางเดียวกัน 1 กม./วิ
เราจะเห็น วัตถุเคลื่อนที่ 2 กม./วิ
แต่ถ้าเป็นแสง มันคือสิ่งที่ทำให้เรามองเห็น เวลาเราสังเกตแสง ต่อให้เราเคลื่อนที่ขนานกับแสง
เราไม่เห็นแสงแบบสัมพัทธ์เพราะ เวลาแสงสะท้อนเข้าตาเรามันไม่ได้เคลื่อนที่แบบ ขนาน กับตัวเรา
สิ่งที่เราเห็นจึงไม่เห็นแบบ สัมพัทธ์ แต่เราจะเห็นความเร็วแสงที่สะท้อนเข้าตาเราแทน
สรุปแล้วเวลามันก็เท่าเดิม แต่แสงมันทำให้ตามองเห็น 3แสน กม./วิ  เท่านั้น
ถึงกับบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าใจผิดเรื่องเวลาเลยเหรอครับเนี่ย เก๋าจริ๊ง  Shocked

ถ้างั้นก็แล้วแต่ความเชื่อแต่ละบุคคลครับ ผมไม่แย้งละ
แต่ผมก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่คุณคิดนะครับ ไม่ใช่เพราะไอสไตน์น่าเชื่อถือกว่า แต่เป็นเพราะคุณก็ยังจินตนาการเอาเองโดยไม่มีการทดลองเหมือนกัน และที่สำคัญก็ไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เลยด้วย  ส่วนการสรุปของคุณผมก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด เพราะผมก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เรียนคณะวิทย์ด้วย แค่เรียนสายวิทย์ตอนม.ปลาย  Cheesy

ดังนั้นผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเืชื่อว่านักวิทยาศาสตร์สรุปผิด แล้วเชื่อว่าคุณสรุปถูกครับ เพราะสำหรับผมแล้ว ข้อมูลย่อมเชื่อถือได้มากกว่าเหตุผล เพราะเหตุผลอาจจะผิดได้แต่ข้อมูลไม่มีวันผิด หากกระบวนการเก็บข้อมูลไม่ผิดพลาด
แต่ถ้าสักวันหนึ่งคุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และมาหักล้างทฤษฎีเก่าๆได้ผมก็พร้อมที่จะเชื่อครับ  Smiley
ผมก็ไม่ได้หวังให้เชื่อเท่าไหร่ครับ
ก็แค่เสนอความคิดที่มันมีความเป็นไปได้อย่างอื่น แล้วให้คนอ่าน
เผื่อว่าวันนึงจะมีคนไทยรับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในฐานะอธิบายได้ดีกว่าไอสไตน์
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]   ขึ้นบน
พิมพ์