ปรากฏการณ์ "แม็กนั่มฟีเวอร์" กับไอศกรีมหมายเลข 1 ของโลก ที่กำลังสร้างกระแส แรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างทั้งโลกออนไลน์และสื่อต่าง ๆ รวมถึงวงสนทนาของเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และกระทู้ต่าง ๆ กลายเป็นคำถามให้กับคนในแวดวงนักการตลาด
โซเชียลเน็ตเวิร์กว่า เกิดอะไรขึ้นกับ "แม็กนั่ม" ไอศกรีมแท่งละ 40 บาท
อะไรที่ทำให้แม็กนั่มสามารถจุดกระแส กลายเป็นกรณีศึกษา "success story"
"สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์" รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจ
อาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ออกตัวว่า ความสามารถดังกล่าวค่อนข้างเกินความคาดหมายของบริษัท
"หลังการเปิดตัวแม็กนั่ม ผ่านมา 1 เดือนเราไม่คิดว่าจะได้ขนาดนี้"
แต่ที่ได้เธอว่า มาจากส่วนผสมที่ลงตัว ใน 5 กลยุทธ์ที่บริษัทนำมาใช้จุดกระแส "แม็กนั่มฟีเวอร์"
"จริง ๆ ต้องบอกว่าเริ่มจากโปรดักต์ที่ดี การรีลอนช์ครั้งนี้เกิดขึ้นทั่วโลกในรอบ 20 ปี โดยปรับสูตรใช้ส่วนผสมจากช็อกโกแลตเบลเยียม หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของการตลาด ซึ่งทุกกลยุทธ์ล้วนสำเร็จเกินความคาดหมาย"
เธอชี้ว่า แม็กนั่มถือเป็นครั้งแรก ๆ ของยูนิลีเวอร์ก็ว่าได้ ที่ทำการตลาดแบบกลับด้าน นั่นคือมีการจัดงานเปิดตัวสินค้า เปิดตัวแคมเปญ สร้างกระแส ก่อนที่สินค้าจะวางตลาด
"ปกติมีสูตรว่าจะต้องให้สินค้าวางตลาดก่อนกี่วัน กี่สัปดาห์ แล้วจึงทำตลาด เพื่อให้คนสามารถไปซื้อของได้เลย แต่สำหรับครั้งนี้ เราทำกลับกันเพื่อทำให้คนเกิดอาการ...รอ...ที่จะได้ลิ้มลองรสชาติ"ยูนิลีเวอร์มีการจัดงานเปิดตัวแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ หรือเรียกว่าเป็น The Face of Magnum มาถ่ายทอดความรู้สึกตั้งแต่ 7 มิ.ย. ก่อนสินค้าวางตลาดในวันที่ 22 มิ.ย.
"วันที่ 22 มิ.ย. หลายที่เกิดปรากฏการณ์เชลฟ์ว่าง เพราะของแทบไม่พอขาย"
"สุพัตรา" ชี้ว่า การตอบรับที่เกิดขึ้น ในช่วง 4 สัปดาห์ที่วางตลาด แม็กนั่มสามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 10 ล้านแท่ง จากปกติที่ขายได้ต่อปีที่ 5 ล้านชิ้นเท่านั้น
นั่นหมายถึง ภายใน 1 เดือนสามารถขายได้มากกว่า 1 ปีถึง 2 เท่า
เธอเล่าว่า นอกจากโปรดักต์แล้ว กลยุทธ์อื่น ๆ มีความสำคัญหมด โดยเฉพาะการใช้ตัวแทน 5 คน ทั้งชมพู่ อารยา, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, โอปอล์ ปาณิสรา, พลอย-ชวพร เลาหพงศ์ชนะ, เต๋อ-ฉันทวิชช์
ก็ผ่านการคิดทบทวนมาอย่างหนัก
แต่ละคนเป็นตัวแทนของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญคือ ทุกคนล้วนเป็น "โซเชียล แม็กเนต" มีแรงดึงดูดทางสังคมออนไลน์
"คนทั้ง 5 คน เป็นเหมือนหยดน้ำ ที่หยดลงไปแล้วก็กระจายเป็นวงกว้าง เราจะทำยังไงให้น้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้างมากที่สุด อาจจะมีซ้อนวงกันบ้างก็ไม่เป็นไร"นั่นเองทำให้กิจกรรม "ฟิน" กับแม็กนั่ม เกิดขึ้นโดยการถ่ายรูปอาการฟิน หรือมีความสุข ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาแพร่ระบาดอยู่ในเฟซบุ๊ก
"สุพัตรา" ชี้ว่า นอกจากแอมบาสซาเดอร์ 5 คนแล้ว วงน้ำก็เริ่มกระจายมาจากคนในแวดวงอื่น ๆ ที่ทางทีมงานส่งไอศกรีมไปให้ชิมก่อน ซึ่งเรียกว่า "first to try" ประกอบด้วยพันธมิตรอย่างเป็นทางการอย่างแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ รวมไปถึงกลุ่มเซเลบ, ดีเจ., กองถ่ายภาพยนตร์"เราเน้นไปที่กลุ่มคนที่เป็น key opinion จะเป็นบุคคลหรือองค์กรก็ได้ ที่มีไลฟ์สไตล์เหมาะกับแม็กนั่ม จริง ๆ ช่วงนั้นใครโทร.มาขอเราก็จะไปส่งให้ที่ออฟฟิศ หลังจากนั้นทุกคนก็ไปเป็นตัวแทนถ่ายทอดความฟินกันเอง ทำให้เกิดเป็นกระแสในที่สุด"
ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.-22 ก.ค.ก่อนสินค้าวางตลาด มีการแชร์รูป "ฟินกับแม็ก นั่ม" เป็นหมื่น ๆ รูปในเฟซบุ๊กของแม็กนั่ม
ผู้บริหารยูนิลีเวอร์ชี้ว่า หากดูจากการสำรวจจะพบว่าการเล่นเฟซบุ๊ก นิสัยคนไทยชอบกดไลก์ คอมเมนต์ กับแชร์รูปมากที่สุด อยู่ในอันดับท็อป ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
"กลยุทธ์การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง สำหรับคนไทยคือ ทำให้ไลก์ แชร์ และครีเอต ซึ่งคอนเทนต์ที่นำเสนอเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องทำให้คูล ให้เท่ ซึ่งถูกจริตกับคนไทย เป็นเหตุผลที่เราเลือกกิจกรรมให้คนถ่ายรูปฟินกับแม็กนั่ม"หลังจากนี้เธอมั่นใจว่าจะสร้าง "แรงกระเพื่อม" ให้กับแม็กนั่ม และขยายผู้ชื่นชอบให้กระจายเป็นวงกว้างที่สุด
"เรามีไพ่ใบต่อไป ไม่ได้หยุดแค่นี้ หวังว่ากระแสที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่แค่สั้น ๆ และหมดไป แต่จะเป็นระยะยาว"
http://www.prachachat.net/news...amp;catid=00&subcatid=0000 
___________________________________________________________________________
ผมลองวิเคราะห์เล่นๆครับ ว่าทำไมยอดขายถึงได้ถล่มทลายขนาดนี้
1. เค้ามีการปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน มีการปรับสูตรส่วนผสม
เราก็ต้องรู้จักปรับปรุงสินค้าและบริการของเราครับ ถ้าของดีจริงก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
อีกครึ่งหนึ่งก็คือ ต้องมีการตลาดที่ดีด้วย
2. สร้างการรับรู้ในหมู่ผู้บริโภค (Brand Awareness) ทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของเรา
- จัดงานเปิดตัวสินค้า
- ใช้ Brand Ambassador ที่มีชื่อเสียงถึง 5 คน ช่วยโปรโมตสินค้า
- มีการส่งสินค้าไปให้ชิมก่อน (First to try)
ข้อนี้เป็นหลักการตลาดที่พวกเราๆท่านๆก็ทำกันอยู่ครับ เช่น เมื่อเราเปิดเว็บใหม่
เราก็เอาไปลงประกาศตามเว็บต่างๆ + เช่าแบนเนอร์ + แลกลิ้งค์ + อื่นๆ
3. กลยุทธ Digital Marketing
ผมคิดว่าเค้าสรุปประเด็นได้ตรงจุดมากๆครับ
" นิสัยคนไทยชอบกดไลก์ คอมเมนต์ กับแชร์รูปมากที่สุด "ผมสรุปมาเป็น 3 ข้อสั้นๆครับ
1) Like - ทำให้มีคนมากด Like ก่อน ข้อนี้มีหลายวิธีการครับ เช่น ใช้ app, จ้างทำหรืออื่นๆ
2) Content - เมื่อมีคนมากด Like แล้วสิ่งสำคัญต่อไป คือ เราต้องหา Content โดนๆครับ ตามนิสัยคนไทยก็ตามที่เขาสรุปมา คือ การแชร์รูปครับ พยายามสร้าง Content โดยเกี่ยวข้องกับการแชร์รูปด้วยครับ
3) Share - เมื่อ Content ของเราโดนใจ จะส่งผลให้เกิดการ share ครับ เปรียบเสมือนกลยุทธปากต่อปากครับ ยิ่ง share มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ธุรกิจของเรามากขึ้นครับ
* มี Like เยอะอย่างเดียวไม่เพียงพอครับ * เปรียบเสมือนกับเราเป็นเจ้าของบริษัทครับ เรามีคนที่มา Like เราเป็นลูกน้องในบริษัท
เราต้องหาจุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเราให้เจอ แล้วนำเสนอออกไป เปรียบได้กับเรามี Content ที่ดี แล้วเราก็จะเป็นบริษัทที่โชคดีที่สุดในโลกครับ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้อง แต่ลูกน้องก็ทำงานให้เราอย่างเต็มใจ ด้วยการ share ข้อมูลสินค้าหรือบริการของเราไปให้คนอื่นๆได้รู้ครับ
เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวครับ ผิดถูกอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยครับ
