อยากให้ลองอ่านกรณีศึกษาของ น.ส.เรืองระวี ช้างเสวก อีกหนึ่งผู้ประกอบการรายย่อย เจ้าของธุรกิจกระเป๋าหวายแฟชั่น เว็บไซต์
www.pjcraftshop.com 
(ที่มา :
http://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=8545 
๗
สรุปโดยย่อก็คือ
เธอ เล่าให้ฟังว่า ทำธุรกิจจำหน่ายกระเป๋าหวายสานประมาณ 2-3 ปี เพื่อต่อยอดธุรกิจโรงงานผลิตเครื่องจักรสานและหวายสานของครอบครัว เนื่องจากมองว่าอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการสร้างโอกาสและกระจายการเข้าถึง สู่ลูกค้า แม้บางช่วงจะขายสินค้าได้ไม่ค่อยดี แต่การซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตก็มีข้อได้เปรียบ ไม่ว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรลูกค้ายังสามารถเลือกชมสินค้าได้ตลอดเวลา แม้จะยังไม่ตัดสินใจซื้อทันทีก็ตาม เจ้าของธุรกิจกระเป๋าหวายแฟชั่น อธิบายตามความรู้สึกอีกว่า ข้องใจกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ค้าต้องเสียภาษี เมื่อนำสินค้าไปประกาศขายผ่านเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ ขณะที่การประกาศขายสินค้าบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น เฟซบุ๊ก กลายเป็นพื้นที่อิสระสามารถซื้อขายสินค้าได้เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่การเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเหมือนเป็นความเลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น หากจะมีการเรียกเก็บภาษีจากผู้ค้าอี-คอมเมิร์ซรายย่อย มองว่าควรเก็บจากผู้ให้เช่าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตมากกว่า เนื่องจากธุรกิจเหล่านั้นก็มีการคิดค่าใช้จ่ายซึ่งรวมค่าภาษีจากผู้ค้าอยู่ แล้ว
”ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเรียกเก็บภาษีกับผู้ค้ารายย่อย จากประสบการณ์ที่เคยขายสินค้าผ่านหน้าร้าน เคยพบว่ามีผู้ค้าจำนวนมากที่หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีและไม่ถูกดำเนินการแต่ อย่างใด หากพูดถึงการค้าบนอินเทอร์เน็ตจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากจะมีการเรียกเก็บภาษีกับผู้ค้ารายย่อยจริง ก็ถือเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึก ด้วยความรู้สึกว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จหรือ มีรายได้จำนวนมากพอก็ต้องเสียภาษี ถ้าเป็นแบบนั้นก็คิดว่าไปเปิดหน้าร้านขายจริงจังน่าจะดีกว่าขายผ่านออนไลน์ เนื่องจากระบบต่างๆ ยังคงยุ่งยากและตรวจเช็คได้ลำบาก” น.ส.เรืองระวี กล่าว
เจ้าของธุรกิจกระเป๋าหวายแฟชั่น ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่า หากระบบทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เชื่อว่าผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างก็ต้องยอมเสียภาษีอย่างถูกต้อง แม้อาจทำให้ผู้ค้ารายย่อยถอนตัวจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเป็นจำนวนมาก
นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร อธิบายให้ฟังว่า การชำระภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นเรื่องปกติของผู้มีเงินได้ถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย
แม้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซถือเป็นธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านไม่มีสถานที่ จึงอาจเกิดความไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องเสียภาษีหรือไม่ แต่เรื่องดังกล่าวไม่ถือเป็นข้อยกเว้นหรือแตกต่าง ถือเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่ต้องดำเนินการเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
ส่วนผู้ประกอบการที่มีเงินได้ประเภทซื้อมาขายไปก็ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาตามเกณฑ์ หากไม่มีหลักฐานชัดเจนก็อาจคิดเป็นค่าใช้จ่ายเหมาได้ "ตามกฎหมายผู้มีรายได้ปีละ 5 หมื่นบาท ต้องยื่นแบบแสดงรายการ แต่เมื่อคำนวณแล้วไม่ต้องเสียภาษีก็ไม่เป็นไร สมมุติว่าเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 15 ปี ที่ทำธุรกิจมีรายได้มหาศาลก็ยังต้องเสียภาษี เพราะเราใช้เกณฑ์พิจารณาจากรายได้ไม่ใช่อายุ" นายวินัย กล่าว
อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงด้วยว่า ส่วนการเรียกเก็บภาษีจากธุรกิจ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการศึกษา รวบรวมข้อมูล รวมถึงตัวอย่างจากต่างประเทศ จึงอาจมีการขยายฐานภาษีไปยังกลุ่มธุรกิจซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ขณะที่ประเทศไทยก็มีการเรียกเก็บภาษีจากธุรกิจออนไลน์เพียงบางประเภทเท่า นั้น ทั้งนี้จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ก็มีแนวโน้มและความน่าสนใจค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำผู้ประกอบการที่มีรายได้ชัดเจนให้เข้าสู่ระบบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้ค้าทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่าย เพิ่ม หากกรมสรรพากรตรวจพบในภายหลัง