สำนักงานการค้าแห่งชาติสหรัฐหรือเอฟทีซี (Federal Trade Commission) ประกาศสัดส่วนผู้ถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลชาวอเมริกันล่าสุดว่า คิดเป็นมีจำนวนราว 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยผู้ใหญ่ โดยกว่าครึ่งหนึ่งโชคดีไม่ได้รับความเสียหายทั้งในรูปตัวเงินหรือการถูกล่อลวง
เอฟทีซีพบว่าชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่กว่า 8.3 ล้านรายเคยถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการลักลอบเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร รวมถึงข้อมูลบริการอื่นๆด้านโทรศัพท์ อีเมล และข้อมูลสุขภาพสำหรับการประกันภัย
โชคดีที่การสำรวจพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของเหยื่อที่สำรวจได้ไม่ได้รับความเสียหายด้านการเงิน โดยแถลงการณ์ของเอฟทีซีระบุว่า ราว 10 เปอร์เซ็นต์ต้องสูญเงินเฉลี่ย 1,200 เหรียญขึ้นไปต่อคน ซึ่งหากพิจารณามูลค่าสินค้าหรือบริการที่โจรขโมยข้อมูลใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ขโมยมาได้ จะพบว่าเหยื่อกว่าครึ่งหนึ่งถูกโจรใช้ข้อมูลบัตรเครดิตซื้อสินค้าหรือบริการมูลค่าไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐ (ราว 16,000 บาท) โดย 10 เปอร์เซ็นต์โชคร้ายถูกนำข้อมูลไปซื้อสินค้ามูลค่า 6,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป (ราว 192,000 บาท)
ลิเดีย พาร์เนส ประธานฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภคของเอฟทีซีให้สัมภาษณ์ว่าทุกๆคนล้วนมีสิทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรขโมยข้อมูลทั้งสิ้น แต่สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรใส่ใจเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญของตัวเองคือการเปิดเผยข้อมูลการเงินของตัวเองอย่างระมัดระวัง และออกมาต่อสู้หากเกิดอาชญากรรมใดๆ
เอฟทีซีเผยว่า เหยื่อเพียง 37 เท่านั้นที่รายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเหยื่อเหล่านี้ล้วนได้รับความเดือนร้อนจากการถูกบริษัทเจ้าของเครดิตปฏิเสธวงเงินเครดิต บางรายไม่สามารถใช้งานเครดิตที่มีได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถระงับใช้บริการ รวมถึงต้องพบเจอขั้นตอนยุ่งยากหากต้องการเข้าถึงข้อมูลบัญชีในธนาคารของตัวเอง
เอฟทีซีระบุว่า สถิติเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลประจำปี 2005 ซึ่งรวบรวมได้จากการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับชาวอเมริกัน 4,917 ครั้งระหว่างวันที่ 27 มีนาคมและ 11 มิถุนายน ปี 2006
http://www.manager.co.th/Cyber...News.aspx?NewsID=9500000141406 