ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อะไรคือ สิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณ.... (journey)  (อ่าน 42526 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
darksammer
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,759



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #260 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2009, 21:10:41 »

ได้อะไรดีดีเยอะเลย
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #261 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2009, 14:27:54 »

คำบวกคำลบ
นักเขียนสุนทรพจน์พิถีพิถันกับการเลือกใช้คำเช่นเดียวกับจิตรกรเลือกใช้สี และขนาดพู่กัน เพราะหากเลือกคำไม่เหมาะสมเพียงคำเดียว ความหมายก็อาจผิดไปเลย หรือเป็นแง่ลบได้โดยไม่ตั้งใจ

ยก ตัวอย่างเช่น ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งใช้สโลแกนโฆษณาว่า "เค็ม... แต่ดี" แม้ว่าความหมายจะชัดเจนว่าความเค็มช่วยรักษาเหงือกและฟันให้แข็งแรง คำว่า 'แต่' มีนัยของด้านลบอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบยาสีฟันรสเค็ม

หากจะพูดแบบด้านบวกก็คือ "เค็ม... จึงดี" จะสวยงามกว่า นั่นคือก็เพราะมันเค็ม มันจึงดี

โฆษณาบ้านจัดสรรหลายแห่งใช้คำว่า "ราคาเพียง 35 ล้าน" หรือ "แค่ 35 ล้านบาท"

35 ล้านบาทย่อมไม่ใช่เงินเล็กน้อย การใช้คำว่า 'เพียง' หรือ 'แค่' จึงเหมือนกับคนพูดอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง

'ราคา เพียงหนึ่งพันบาท' กับ 'ราคาถึงหนึ่งพันบาท' อาจให้ความหมายต่างกัน ขึ้นกับลักษณะการใช้ เช่น เมื่อได้รับส่วนลดในการซื้อรถยนต์คันหนึ่งเป็นเงินหนึ่งพันบาท ถ้าคนขายใช้คำว่า "ลดให้ถึงหนึ่งพันบาท" คนซื้ออาจรู้สึกว่าลดไม่มาก แต่หากเป็นการซื้อรองเท้าหรือเสื้อผ้า "ลดให้ถึงหนึ่งพันบาท" อาจจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามาก

การใช้คำเล็กๆ น้อยๆ จึงมีความสำคัญ

ใน ชีวิตจริงของคนเรา ต้องเจอะหน้าเจอตาผู้คนมากมาย เราไม่อาจเลี่ยงการพูดจากับคนอื่น มันจะเป็นเครื่องมือหรืออาวุธก็แล้วแต่การใช้ การใช้คำพูดที่เหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเจ้านายสั่งงานลูกน้องว่า "ทำให้เสร็จภายในห้าโมงเย็น" อาจให้ความรู้สึกต่างกับ "ขอโทษด้วยที่เร่งคุณ แต่ช่วยทำให้เสร็จภายในห้าโมงเย็นนะครับ"

ใน หลายกรณี คนที่ใกล้ชิดกันมักจะลืมไปว่า คำพูดอ่อนโยนยังเป็นสิ่งจำเป็น เช่นสามีพูดกับภรรยาว่า "เอาน้ำมาแก้วนึง" ย่อมให้ความรู้สึกต่างจาก "ช่วยรินน้ำมาแก้วนึงได้มั้ยจ๊ะ" แค่เติม 'จ๊ะจ๋า' ในประโยค ความรู้สึกก็ต่างกันใหญ่หลวง

ภรรยาบางท่านนิยมใช้คำว่า "นี่คุณ" นำหน้าประโยค คำนี้มีนัยของแง่ลบอยู่บ้าง เพราะ "นี่คุณ" มีความหมายในเชิงว่า ประโยคที่ตามคำนี้จะเป็นประโยคคำสั่ง แค่เปลี่ยนคำนี้เป็น "คุณคะ" หรือ "คุณขา" ก็ดีกว่าเดิมหลายเท่า

จริงไหมจ๊ะ?  Embarrassed Embarrassed Embarrassed
บทความโดย...วินทร์ เลียววาริณ
บันทึกการเข้า

PositiveThinking
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 107
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,605



ดูรายละเอียด
« ตอบ #262 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2009, 15:06:33 »

ขอเป็แฟนคลับด้วยคนนะครับ +1
บันทึกการเข้า

การทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรคทุกคนจึงกลัวอุปสรรค แต่อุปสรรคกลัว...คนทำจริง
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #263 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2009, 19:50:30 »

อสาตมนต์..มนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้

"ดูก่อนอุปกะ เราจะขอสาธกให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง" นานมาแล้ว มีมานพหนุ่มน้อยลามารดาบิดาไปเรียนศิลปวิทยา ณ สำนักทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา เมื่อเรียนจบแล้วจึงลาอาจารย์กลับบ้าน มารดาต้อนรับเขาด้วยความยินดียิ่ง เมื่อสนทนากันไปมารดาถามว่า ลูกได้เรียนอสาตมนต์แล้วหรือ

ลูกชายตอบว่า ยังไม่ได้เรียน มารดาจึงขอร้องให้ไปเรียนอสาตมนต์เสียก่อน เขาจึงลามารดาไปหาอาจารย์กราบเรียนให้อาจารย์ว่ายังมีมนต์สำคัญอยู่อย่าง หนึ่ง ซึ่งเขายังมิได้เรียนจากอาจารย์ มารดาของเขาขอร้องให้มาเรียนอสาตมนต์ อาจารย์ได้ทราบดังนั้นยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า "มานพ เวลานี้เรามาพักอยู่ในป่าไม่มีใครเลย นอกจากเราและมารดาผู้ชราของเรา เธอจะปฏิบัติบำรุงมารดาของเราสักชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วเราจะบอกอสาตมนต์ให้ แต่ในขณะที่ปฏิบัติมารดาของเรา เช่นการอาบน้ำ ป้อนข้าวให้ และนวดเฟ้นให้ เจ้าจงชมเชยอวัยวะต่างๆ แห่งมารดาของเราทุกครั้งไป เช่น "ว่ามือสวย เท้าสวย เป็นต้น" มานพหนุ่มรับคำของอาจารย์ด้วยความปีติยินดี

ตั้งแต่วันนั้นมาเขาตั้งใจปฏิบัติมารดาของอาจารย์ เช่นการอาบน้ำให้ ป้อนข้าว และนวดเฟ้นเป็นต้น
"มือและแขนของคุณแม่สวยน่าดูเหลือเกิน" วันหนึ่งเด็กหนุ่มเริ่มทำตามที่อาจารย์สอน

นางยิ้มอย่างร่าเริง ทั้งๆ ที่ฟันของนางหักหมดแล้วและกล่าวว่า
"มือและแขนของฉันสวยจริงๆ หรือ พ่อหนุ่ม ฉันแก่แล้วนะ"
" คุณแม่แก่แล้วมือและแขนยังสาวขนาดนี้ เมื่อคุณแม่สาวๆ คงจะสวยมิใช่น้อย ขาและเท้าของคุณแม่ก็สวย ใบหน้าก็งามซึ้งน่าดูเหลือเกิน กระผมดูไม่เบื่อเลย เมื่อคุณแม่ยังสาวคงจะสวยหาคนเสมอเหมือนมิได้"

นาง รู้สึกปีติยินดีอย่างล้นเหลือ เป็นเวลานานมาแล้วที่นางไม่เคยได้ยินคำอ่อนหวานระรื่นหูชูกำลังใจอย่างนี้ เลย อะไรเล่าจะเป็นที่พอใจของสตรีมากเท่าได้ยินคำชมว่าเธอสวย ไม่ว่าสตรีนั้นจะอยู่ในวัยใด มานพหนุ่มเวียนพูดชมเชยนางผู้เป็นมารดาของอาจารย์อยู่อย่างนี้ทุกวัน บางคราวเขายังพูดเพิ่มเติมว่าถ้าเขาได้ภรรยาที่มีความงามพร้อมเพียงครึ่ง หนึ่งของนาง เขาก็จะมีความสุขหาน้อยไม่ และทำทีเป็นมีความรู้สึกเสน่หาในตัวนางเสียสุดประมาณ จนกระทั่งนางรู้สึกว่า หนุ่มน้อยนี้คงมีจิตพิศวาสปฏิพัทธ์ในตัวนางเป็นที่ยิ่ง วันหนึ่งจึงถามว่า

"พ่อหนุ่ม! เธอมีความพอใจในตัวเรามากหรือ?"
"มากเหลือเกิน คุณแม่ กระผมไม่ทราบจะสรรหาคำพูดใดๆ มาพูด ให้สมกับความรู้สึกที่กระผมมีต่อคุณแม่ได้"
"เธอจะเลี้ยงดูเราอย่างนี้ตลอดไปหรือ?"
" ตลอดไป คุณแม่ การได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่เป็นความสุขอย่างยิ่งของกระผม ถ้าคุณแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปสักร้อยปี และกระผมปฏิบัติคุณแม่อยู่อย่างนี้ถึงร้อยปี กระผมก็จะไม่เบื่อหน่ายเลย"

หญิง ชราเข้าใจว่า มานพหนุ่มมีจิตปฏิพัทธ์ในตน ให้รู้สึกกระสันยิ่งนัก จึงกล่าวว่า "ก็จะเป็นไรไปเจ้าหนุ่ม เมื่อเธอปรารถนาอย่างนั้นก็คงจะเป็นได้ เมื่อเธอต้องการจะร่วมอภิรมณ์กับเรา เราก็ยินดี"
"จะทำได้อย่างไรคุณ แม่ คุณแม่เป็นแม่ของอาจารย์ กระผมต้องเคารพยำเกรงคุณแม่ยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก ตราบใดที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ กระผมจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย" ว่าแล้วมานพหนุ่มก็แกล้งเคล้าเคลียและเอาใจหญิงชรายิ่งขึ้น

"พ่อหนุ่ม" หญิงชราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "เธอจะปฏิบัติเราไม่ทอดทิ้งเราจริงๆ หรือ?"
"ข้อนี้กระผมรับรองได้ คุณแม่" มานพตอบ
"ถ้าอย่างนั้นจะขัดข้องอะไรกับเรื่องชีวิตลูกชาย เธอฆ่าเขาเสียก็หมดเรื่อง"
" กระผมจะฆ่าเขาได้อย่างไรครับคุณแม่ ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนศิลปศาสตร์ให้กระผม และดีต่อกระผมเหลือเกิน กระผมฆ่าท่านไม่ได้ดอก" มานพยืนยัน
"เธอรับรองแน่นะว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งฉัน" หญิงชราพูด
"ข้อนี้กระผมรับรองครับ คุณแม่" ชายหนุ่มตอบ
"ถ้าอย่างนั้น เมื่อเธอฆ่าไม่ได้ฉันจะฆ่าเขาเอง" หญิงชราพูดอย่างมั่นคง
" เอาไว้รอคิดการดีๆ ให้รอบคอบก่อนเถิดครับคุณแม่" พูดแล้วชายหนุ่มก็ออกจากห้องของหญิงชราไปหาอาจารย์ เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ทราบ ความจริงเขาเล่าเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้นมาให้อาจารย์ทราบโดยตลอด เพราะถือว่าเป็นการเรียน และเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของอาจารย์ที่จะสอนศิษย์เรื่องอสาตมนต์ ชายหนุ่มพูดอย่างไร หญิงชราแสดงอาการอย่างไร และโต้ตอบอย่างไร อาจารย์ได้รับทราบจากชายหนุ่มเป็นระยะๆ ตลอดมา

เมื่ออาจารย์ได้ ทราบจากชายหนุ่มว่ามารดาของตนคิดจะฆ่าตน ทีแรกรู้สึกสลดใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากอาจารย์เป็นผู้รู้เรื่องอย่างนี้ดีอยู่แล้ว จึงวางเฉยได้ในไม่ช้า และตรวจดูอายุขัยแห่งมารดาตน ทราบว่าถึงอย่างไรๆ มารดาก็หมดอายุในวันพรุ่งนี้แล้ว ถึงเหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มารดาก็จะต้องตายในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว จึงต้องการจะสอนศิษย์ให้รู้แน่ใจในวิชาอสาตมนต์จึงบอกชายหนุ่มให้ไปตัด ต้นไม้ต้นหนึ่ง ทำให้มีลักษณะคล้ายรูปคน แล้วนำมาวางไว้บนเตียงนอนของอาจารย์เอาผ้าคลุมไว้ แล้วเอาเชือกขึงจากห้องมารดาทำเป็นราวมาสู่ห้องของตน

ทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มเข้าไปสู่ห้องของมารดาอาจารย์ นวดเฟ้นปฏิบัติอย่างที่เคย กล่าวชมเชยความงามของหญิงชราด้วยประการต่างๆ
"ว่าอย่างไร พ่อหนุ่ม" หญิงชราพูดขึ้น "เมื่อเธอไม่ฆ่า เราจะฆ่าเอง"

" คุณแม่จะฆ่าจริงๆ หรือ?" ชายหนุ่มถามแล้วแสร้งคลอเคลียแสดงความรักในหญิงชราให้มากขึ้น ด้วยความเคลิบเคลิ้มและหลงใหล หญิงชรายืนยันอย่างแข็งขันว่าจะฆ่า ชายหนุ่มจึงกล่าวว่าเขาได้เตรียมแผนการไว้พร้อมแล้ว "นี่ขวาน" เขากล่าว "คุณแม่เดินไปตามเส้นเชือกที่ขึงไว้นี้ ปลายเชือกไปสุดลงที่ใด ที่นั่นเป็นเตียงนอนของอาจารย์ เวลานี้อาจารย์นอนหลับแล้ว พอสุดปลายเชือกเอี้ยวตัวมาทางขวานิดหนึ่งจะตรงคออาจารย์พอดี คุณแม่ฟันทีเดียวให้คอขาด แล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกต่อไป"

หญิง ชรานัยน์ตาฝ้าฝาง มองอะไรไม่ค่อยจะเห็นแล้ว เดินไม่ค่อยถนัดเพราะความแก่เฒ่า รับขวานจากชายหนุ่มแล้วงกงันเดินคลำเส้นเชือกไป ใจของเธอเวลานี้ถูกห่อหุ้มด้วยโมหะ ถูกความเสน่หาเร่งเร้าปลงใจฆ่า แม้แต่ลูกของตนเองซึ่งมีความดีงามพร้อมทุกประการ

เมื่อเดินคลำเส้น เชือกมาถึงปลายสุด หญิงชราก็เอี้ยวตัวมาคลำดูบนเตียง มองเห็นรางๆ เหมือนภาพคนนอนคุมผ้าอยู่ นางแน่ใจว่าเป็นลูกชายตนจึงจ้วงคมขวานลงสุดแรง คมขวานกระทบไม้ดังโผะ นางรู้ตัวว่าถูกหลอกเสียแล้ว ตกใจอย่างยิ่งประจวบกับชรามากถึงแล้วซึ่งอายุขัย นางจึงสิ้นใจตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง

อาจารย์และศิษย์หนุ่มเฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยตลอดสังเวช สลดใจเป็นที่ยิ่ง ทั้งสองยืนเศร้าซึมอยู่ใกล้ๆ ร่างของหญิงชราอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่า

" มานพ! เธอได้เรียนอาสตมนต์จบเรียบร้อยแล้ว" ชายหนุ่มทรุดตัวลงกราบอาจารย์และกอดเท้าทั้งสองไว้ พร่ำรำพันถึงเมตตากรุณาของอาจารย์ที่มีต่อตน น้ำตาของเขาหยดลงสู่หลังเท้าของอาจารย์ ในขณะนั้นความรู้สึกของเขาสับสนวุ่นวาย จนไม่อาจพรรณนาได้ว่าเป็นฉันใด
นี่เอง อสาตมนต์ที่มารดาของเขาเร่งเร้าให้มาเรียน ช่างเป็นวิชาที่แปลกและมีคุณค่าแก่ชีวิตอย่างเหลือล้น

ที่มา หนังสือพระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

Kamilia
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 115
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,286



ดูรายละเอียด
« ตอบ #264 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2009, 20:11:30 »

โอ้++ไว้จะสวดให้สาวๆ SNSD ฟัง ทิฟฟานี่จะได้หลง 555+
บันทึกการเข้า
O be one
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 70
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,488



ดูรายละเอียด
« ตอบ #265 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2009, 20:14:21 »



   ไม่คิดมาก..มันก็ดีไปอย่างครับ Cheesy Cheesy Cheesy
บันทึกการเข้า
Himalayan
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 254
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,977



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #266 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2009, 20:27:47 »

มันเป็นอย่างนี้นี่เอง.. "อสาตมนต์"  Embarrassed 
อำนาจของโมหะ ช่างรุนแรงนักขนาด แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พี่น้องฆ่ากันเอง ได้เลย ก็เพราะตัวนี้แท้ๆ  Tongue
และจะทำไงถึงขจัดกิเลส ตัวนี้ออกจากใจได้ แนะนำเพิ่มหน่ิอยซิครับ  Kiss
บันทึกการเข้า

เล่นเกมส์เห่อะ เกม มันๆ อัพเดทเรื่อยๆ เกมปลูกผัก เกมทําอาหาร และ  เกมแต่งตัว มากมาย
khanom
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 143
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,897



ดูรายละเอียด
« ตอบ #267 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2009, 21:29:48 »

เป็นอย่างนี้นี่เอง ใครหลงกับมนต์นี้ถึงกับทำเรื่องไม่คาดคิดไ้ด้เลย  Tongue Tongue
บันทึกการเข้า

ไทยเสียวเป็นสถานที่แบ่งปันความรู้ แบ่งปันเทคนิค การหาเงินบนเน็ท มิใช่เป็นเวทีมวยลุมพินี ไม่ใช่ตลาดคลองเตย ไม่ใช่ร้านเกม รณรงค์ใช้คำสุภาพในบอร์ด งดดราม่า อย่าแสดงกริยาไม่เหมาะสม แสดงออกว่ากำลังควบคุมสติไม่อยู่ จงไปสงบสติอารมณ์ก่อนตั้งกระทู้ หรือโพส ถึงบอร์ดจะเงียบเพราะดราม่าลด หรือคาเฟ่หาย มีกระทู้สาระขึ้นมา1กระทู้/อาทิตย์ หรือเดือน หรือปี ก็ดีกว่้า กระทู้ดราม่า/คาเฟ่ 10กระทู้/วัน
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #268 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2009, 19:04:25 »

หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัด ท่าขนุน
ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เล่มล่าสุด ฉบับที่ ๖๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ มีบันทึกบทสนทนาเรื่องปัญหาครอบครัวไว้ ขออนุญาตนำมาพิมพ์แบ่งปัน ดังนี้

ถาม : ... ว่ากันด้วยเรื่องสาเหตุของการที่ผู้ปกครองพ่อแม่ คุยกับลูกไม่รู้เรื่อง .... ที่ว่ากันมานี้ เป็นเพียงส่วนเหนึ่งเท่านั้น เรื่องความรัก และความเข้าใจในครอบครัว เรื่องนี้พูดกันมามาก เพราะไม่เข้าใจกัน ท่านพระคุณเจ้าพอจะมีหลักที่จะเสริมสร้าง ความเข้าใจอันดีในครอบครัวหรือไม่ อย่างไรบ้าง?

ตอบ : จริง ๆ แล้ว มันพูดภาษาเดียวกันนั่นแหละ แต่มันคนละอารมณ์กัน ส่วน ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่มักจะลืมไปว่า ตอนเป็นเด็ก ตัวเองทำอะไรไว้ ต้องการอะไรบ้่าง แล้วพอถึงเวลา ลูกก็ไปทำซ้ำ ๆ กับที่ตัวเองทำนั่นแหละ แต่ไม่ชอบใจ คราวนี้ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่พยายามเข้าใจเด็กตรงจุดนี้ ถึงพูดเรื่องเดียวกัน มันก็กลายเป็นคนละภาษา เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้ว ก็คือว่าในช่วง โดยเฉพาะวัยรุ่น กำลังพลังงานเหลือเฟืออยู่ ผู้ใหญ่เรามีหน้าที่ประคับประคองเท่านั้น ชี้แจงเหตุชี้แจงผลอะไรให้เขาเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ต้องชี้แนะชักนำหรอก โดยธรรมชาติแล้ว ทุกคนมีความใฝ่ดีอยู่ในตัว ถ้ามีคนที่เป็นที่ปรึกษาที่เขาไว้ใจอะไรได้ เขาก็ยินดีที่จะมาปรึกษา แต่ว่า ไอ้ความที่ว่า วัยรุ่นกำลังไฟแรง เขาไม่ชอบให้ใครครอบงำทางความคิด ดังนั้นเราก็ควรจะแยกแยะทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กระจ่าง แล้วให้เขาเลือกเอาเองว่า เขาจะเลือกเดินแบบไหน มันจะเป็นความยินยอมพร้อมใจโดยเฉพาะของเขา ถ้าเขาเลือกผิดนะ อย่าโกรธ รอไว้เดี๋ยวมันเดือดร้อนเมื่อไหร่ มันกลับมาเอง ตอนกลับมานี่แหละ อย่าซ้ำเติมเป็นอันขาด ประเภทที่ว่า ได้แผลมา ก็ใส่ยาให้อย่างนั้นแหละ แล้วก็ยุมันไปใหม่ ถ้าเขาเห็นว่า บ้าน พ่อแม่ ผู้ใหญ่ในบ้าน เป็นที่พึ่งเขาได้ เด็กไม่ไปไหนหรอก ถึงเวลามันกลับบ้านก่อน ที่อื่นไม่สบายเหมือนบ้านแน่ ๆ แต่ทุกวันนี้ เขาพยายามทำบ้านเหมือนกับนรก อย่างที่เด็กมันว่า ถึงเวลาก็บีบคอเค้นเอา มีเด็กอยู่คนหนึ่ง กำลังเรียนอยู่ปี ๑ ที่เทคโนพระจอมเกล้า พ่อเขาโกรธนักโกรธหนา ตีกระจายเลย บอกว่า เด็กมันชอบโกหก ฟ้องหลวงพ่อบอกงั้น เอามาฟ้องอาตมา อาตมาแค่พูดประโยคเดียวเลย บอกว่า ถ้าไม่จำเป็น เด็กมันไม่โกหกหรอก เท่านั้นแหละ เด็กเขาบอก แล้วทำไมพ่อเขาไม่คิดอย่างนี้บ้าง ถ้าไม่จำเป็น เราอยากโกหกมั้ย? ไม่มีใครอยากโกหกหรอก คราวนี้ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก ในเมื่อไม่เข้าใจเด็ก ๆ เขาเองเขาเห็นว่า เขาไม่สามารถจะพึ่งได้ เขาก็ไปกับเพื่อน คราวนี้ ระหว่างเพื่อนด้วยกัน อายุมันไล่เลี่ยกัน ประสบการณ์ใกล้เคียงกัน มันช่วยกันไม่ได้มากหรอก ลองผิดลองถูกไปเรื่อยแหละ คนไหนโชคดีลองถูกก็เฮงไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกิน ๙๐ เปอร์เซนต์ มันลองผิด ดังนั้นก็ต้องทำอย่างที่ว่า พยายามคิดดูว่า สมัยก่อนเราเองเป็นอย่างไร?๋ ตอนนี้เด็กก็เป็นอย่างนั้น อย่า ไปตีกรอบให้เขา แยกแยะสิ่งที่เขาทำแล้ว ให้เขาเลือกทางของเขาเอง ถ้าเขาเลือกพลาด อย่าไปโกรธเคือง ให้อภัยเขา กลับมายังคงให้ความรักความเอาใจใส่ดูแลเขาเหมือนเดิม เขาจะรู้สึกว่า ไม่มีที่ใดดีกว่าที่บ้าน ถ้าเป็นอย่างนั้นเอง เด็กไม่ไปไหนหรอก ทุกวันนี้พ่อแม่หลายคนน้อยใจ บอกว่า ลูก ๆ รักหลวงพ่อมันมากกว่าตัวเขาอีก ไอ้เราก็ไม่มีอะไรเลย ก็แค่บอกเขาไปว่า ต้องทำอะไร ก็แค่นั้นเอง เขาจะทำ ไม่ทำ เราไม่ได้บังคับซะที บางทีทำผิดมา น้ำตาไหล น้ำตาร่วง หลวงพ่อจะเกลียดหนูแล้ว ไม่มีหรอก อยู่ต่อหน้าเรา ถ้าหากว่า ไม่ทำผิด ไม่เกลียดหรอก ไม่ตีหรอก แต่ถ้าทำผิดต่อหน้าต่อตาที่ฟาด (หัวเราะ) เอาเถอะไปเลือกใช้เอา วิธีของอาตมามันอาจจะเฮงซวยก็ได้ อาตมาเคยแยกแยะให้เขา บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะมีผลอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้น จะได้มีผลอย่างนั้น แล้วให้เขาเลือกเอาว่า จะทำอย่างไหน เห็นว่า เขาเลือกถูกทุกที
บันทึกการเข้า

หางหนอน
Verified Seller
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 48
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 483



ดูรายละเอียด
« ตอบ #269 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2009, 22:50:23 »

ขอบคุณกับสาระน่ารู้ค่ะได้แง่คิดดีๆเยอะเลยค่ะ Smiley
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #270 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 19:48:20 »

ธรรมะประจำวัน โดยท่านว.วชิรเมธี

ปุจฉา
ตกงาน แต่อย่า ตกใจ

ปุจฉา

                  ผม เพิ่งลาออกจากงาน และมาทำธุรกิจของตัวเอง แต่มาเจอสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ เครียดมากเลยครับ การค้าขายไม่รุดหน้าเลย แถมนับวันมีแต่จะนั่งรอเจ๊งเท่านั้น พระอาจารย์ช่วยแนะวิธีแก้ไขด้วยครับ และขอคำแนะนำวิธีการสร้างความสามัคคีในที่ทำงานและในหมู่คนไทยด้วยครับ

คนมองหาทางออก


วิสัชนา

                  ขอเล่าประสบการณ์ตรงของมหาเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งเคยล้มละลายจนเกือบจะฆ่าตัวตายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ให้ฟัง

                  ตอนที่เกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นที่ประเทศไทยนั้น รัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินลุกลามไปทั่วโลก มหาเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งมีเงินกว่าพันล้าน ก็ถูกพายุต้มยำกุ้งรุมกระหน่ำจนล้มทั้งยืน แกทำใจยอมรับความล้มเหลวไม่ได้ ทุกข์หนักหนาสาหัสถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอม ไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน มองเห็นแต่ม่านสีดำครอบคลุมชีวิตไปทุกแง่ทุกมุม จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง แกเริ่มบ่นว่าจะฆ่าตัวตาย ญาติ ๆ กลัวแกจะทำจริงๆ จึงพากันเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ต่อมาเมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงเพื่อนคนหนึ่งของแกซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่ถูกมรสุมลูกเดียวกันกระหน่ำไม่น้อยไปกว่ากัน แต่เพื่อนคนนี้ตั้งตัวได้ ไม่เสียใจจนเสียจริต เสียผู้เสียคน  เพื่อนคนนี้ แวะมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ระหว่างสนทนาปราศรัยกันนั้น แกก็ถามขึ้นว่า

                  “เห็นลือกันว่า แกจะฆ่าตัวตาย”

                  “ใช่, ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

                  “เพื่อน เอ๋ย - - ฉันว่า ถ้าแกกลัวทุกข์ จนคิดว่าจะฆ่าตัวตายนั้น นับว่าแกเป็นยอดคนจริงๆ เพราะในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความตาย  แต่ตอนนี้  แกบอกว่า  แกไม่กลัวตาย  ซ้ำยังพร้อมจะตายอีกต่างหาก   ก็ในเมื่อความตาย  แกยังไม่กลัว  แล้วแกจะกลัวทำไมกับความล้มเหลว”

                  เพราะคำปลอบใจที่ว่า

                  “ก็ในเมื่อความตาย แกยังไม่กลัว  แล้วแกจะกลัวทำไมกับความล้มเหลว”

                  แท้ ๆ ทำให้อดีตมหาเศรษฐีคนนั้นเกิดอาการ “สว่างโพลง” ขึ้นมา แกตบไหล่เพื่อนด้วยความดีใจ ประกาศว่า

                  “เออ - - จริงของแกว่ะ ขนาดความตายฉันยังไม่กลัว ถ้างั้นโลกนี้จะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก”

                  พอคิดได้อย่างนี้เท่านั้นแหละ แกจึงเกิดกำลังใจอันใหญ่หลวง ลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า ผลของการ “ตกงาน” แต่ไม่ “ตกใจ” ทำให้คนที่คิดฆ่าตัวตายได้กลับกลายมาเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านอีกครั้ง หนึ่ง ทุกวันนี้ มหาเศรษฐีคนนี้ก็ยังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในโลกธุรกิจอย่างมีความสุข

                  ปัญหาทางการเมืองไทย ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณในวันนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า คงไม่ถึงหลักพันล้าน เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกตัวเองว่า “หากเราไม่ปล่อยให้ใจเสีย  ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องมานั่งเสียใจ” ในยามวิกฤติ สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่เงิน (เพียงอย่างเดียว) หากแต่หมายถึง “ใจ” ต่างหาก เราต้องรักษาใจเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้ใจเสีย เพราะถ้าใจเสียอาจเสียทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต

                  ยามที่เราทุกข์หนักหนาสาหัส อย่าหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์นั้น จนไม่ยอมลุกขึ้นมาทำอะไร ขอแนะนำว่า

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีรองเท้าใส่        ลองนึกถึงคนที่เขาไม่มีเท้า

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีเสื้อใส่ ลองนึกถึงคนที่ไม่เคยได้ใส่เสื้อ

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีข้าวกิน            ลองนึกถึงคนที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีเพื่อน              ลองนึกถึงคนที่ถูกเพื่อนรุมทำร้าย

                  หากคุณทุกข์เพราะไม่มีแว่นตา            ลองนึกถึงคนตาบอด

                  ด้วยวิธีคิดที่ว่า ในโลกนี้ ยังมี “เพื่อนทุกข์” อีกมากมายนัก ไม่ใช่เราเท่านั้น ที่ทุกข์อยู่คนเดียว จะทำให้เราก้าวข้ามความทุกข์ออกมาดำนเนิชีวิตอย่างมีความสุขได้ ก็หวังว่า คุณจะลองนำวิธีมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ไปปรับใช้กับการทำงานจนฟันฝ่าวิกฤติไป ได้ในที่สุด

 
บันทึกการเข้า

aofarashizaa
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 45
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,335



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #271 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 20:32:35 »

สิ้นเดือนนี้ผมก็กลายเป็นคนตกงานแหละครับ เศร้า มีบริษัทไหน รับเว็บดีไซน์ตัวน้อยๆบ้างไหม อิอิ Kiss
บันทึกการเข้า

Threst
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 411



ดูรายละเอียด
« ตอบ #272 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 21:39:59 »

สิ้นเดือนนี้ผมก็กลายเป็นคนตกงานแหละครับ เศร้า มีบริษัทไหน รับเว็บดีไซน์ตัวน้อยๆบ้างไหม อิอิ Kiss

ไม่ลองพลิกวิกฤตเป็นโอกาสละครับ

ไหนๆก็ตกงาน ไม่มีใครรับ ก็ลุยทำธุรกิจไปเลยสิครับ เหตุการณ์แบบนี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาเยอะแล้วครับ


ดูไม่ต้องไกลครับในบอร์ดสามบอร์ดมีคนที่เริ่มจากเงินทุนเล็กน้อยจนถึงไม่มีเลย ทุกวันนี้นับเงินกันห้า หก เจ็ดหลักต่อเดือนขึ้นทั้งนั้น

เราไม่ทำแล้วใครจะทำครับ ชีวิตเราถึงจะดีขึ้น
บันทึกการเข้า

Wish Everyone Goodluck in your life
PositiveThinking
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 107
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,605



ดูรายละเอียด
« ตอบ #273 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 21:51:35 »

ขอบคุณครับผม
บันทึกการเข้า

การทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรคทุกคนจึงกลัวอุปสรรค แต่อุปสรรคกลัว...คนทำจริง
tonnumlove
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 13
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 535



ดูรายละเอียด
« ตอบ #274 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 22:12:25 »

แจกฟรี! วัคซีนป้องกันโรคอกหัก  Smiley

"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
             โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
           


วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก
คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

             "อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "
             ยกตัวอย่างเช่น

      คุณตุ่ยเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณตุ่ยจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี


             เพียงแค่นี้แหละ คุณตุ่ยก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
             คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ
           
"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน

      "โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"


             แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน

      คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ

ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้

             ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อผมลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
             "เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง

             แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
             ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ

             นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทัวแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม
             แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย

"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด

ขอบคุณบทความดีๆมากเลยครับ
บันทึกการเข้า

สมัครโฮสต์ต่างประเทศ ราคาถูกที่สุด

นับหนึ่งไปด้วยกัน  รักจัง........
คนของใจ..เมื่อไรจะมา
yingnohng
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 7
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 110



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #275 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2009, 22:13:50 »

ช่วงนี้รู้สึกในบอร์ดจะมีแนว

1. ท้อแท้
2. ฮาแก้เครียด
3. สาระเพื่อให้ปลงและสู้ต่อไป

สงสัยจะมาจากพิษเศรษฐกิจ................. Cheesy
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #276 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2009, 16:14:22 »


ปุจฉา
งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์

ดิฉันมีปัญหาใคร่ขอกราบเรียนถามท่าน ว. วชิรเมธีดังนี้

ทุก วันนี้ ดิฉันไม่มีความสุขที่จะไปทำงานและไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผู้ร่วมงานเลย โดยพื้นฐานแล้วดิฉันเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ไม่ค่อยพูดเล่นกับใครถ้าไม่สนิทด้วย ดิฉันย้ายที่ทำงานมาที่ใหม่ อยู่มาได้ปีกว่าแล้ว แต่ ยังไม่สนิทกับใครเลย ดิฉันทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ทำร้ายใคร  บ่อยครั้งคนในที่ทำงานคุยกัน เล่นกัน แต่ดิฉันจะนั่งเงียบๆ รู้สึกอึดอัดว่าเราเป็นตัวประหลาด ดิฉันไม่ทราบว่าจะพูดอะไรจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยในการทำงานที่นี่ ทั้งๆที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี  ดิฉันอยากลาออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่กลัวเหลือเกินว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จ ดิฉันขอกราบเรียนถามท่านว่า

 

1. ผิดไหมที่ดิฉันเป็นแบบนี้ และดิฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับหรือไม่ แค่คิดดี ทำดี ไม่เบียดเบียนใครพอหรือเปล่าคะ

2. กรุณาให้คำแนะนำถึงวิธีการที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่


วิสัชนา

การ ที่คุณเป็นคนมีบุคลิกภาพเงียบขรึม คงไม่ใช่ความผิดบาปอะไร เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะมีปัญหาขึ้นมาก็คงเป็นเพราะว่า คุณคงไปทำงานอยู่ในแวดวงของคนที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของคุณต่างหาก

                  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ งานกับคน ไม่สอดคล้องกัน จึงเกิดอาการผิดฝาผิดตัวขึ้นมา จนชีวิต การงาน สัมพันธภาพ ไม่ราบรื่น

                  นาน มาแล้ว ผู้เขียนเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาคล้ายๆ คุณ กล่าวคือ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นก็สู้อุตส่าห์เรียนมาทางการตลาดจนจบ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็พบกับปัญหาใหญ่อันเนื่องมาแต่บุคลิกภาพกับงานที่ทำไม่สอดคล้องกัน เพราะงานในฐานะนักการตลาดนั้น ไม่ต้องการคนที่มีบุคลิกภาพเงียบๆ ขรึม ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่มีความทะเยอทะยาน เมื่อทนทำงานไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นก็ได้งานใหม่ตามสายงานการตลาดที่เรียนมาเหมือนเดิมอีก แต่ทำไปไม่กี่เดือนก็ลาออกอีก วันหนึ่งนักการตลาดที่มีโลกส่วนตัวสูงคนนี้ ก็ได้ค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งานอีกต่อไปแล้ว หากแต่อยู่ที่ตัวเองที่ไม่ชอบงานของนักการตลาด ที่ต้องเป็นคนหูไวตาไว มีความกระตือรือร้น คิดแคมเปญเก่ง ช่างพูดช่างจา มนุษยสัมพันธ์เยี่ยม เมื่อเกิดการ “ค้นพบ” อย่างถ่องแท้แล้ว จึงผันตัวเองไปทำงานส่วนตัวที่ได้ “เงียบสมใจ” ทุกวันนี้ ก็เลยมีความสุขดี เพราะได้มีโลกส่วนตัวสมใจ

                  กรณีของคุณถ้าเป็นไปในทำนองนี้ก็คงต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดสภาวะ “คนไม่สำราญ งานไม่สำเร็จ” ยิ่งทำงาน ยิ่งเสียคุณภาพชีวิต

                  การ ทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ควรคำนึงถึงคุณภาพชีวิตด้วยเสมอไป เพราะหากคุณทำงานไป แต่ไม่ได้คุณภาพชีวิต ปัญหาทางจิต ปัญหาสุขภาพ รวมทั้งปัญหาสังคมคือการ “ต่อ” กับใครไม่ติดก็จะตามมา และหากเราทิ้งอาการอย่างนี้ไว้นานๆ วันหนึ่งเราก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ทว่ากลับเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว

                  การคิดดี ทำดี นั้นมองเผินๆ ก็เหมือนจะพอแล้ว แต่หากมองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ควรจะเติมอะไรดีๆ เข้าไปได้อีกมากมายเช่น

                  -คิดดี

                  -พูดดี

                  -ทำดี

                  -มนุษยสัมพันธ์ดี

                  -รับผิดชอบดี

                  -อารมณ์ดี

                  -ใจดี

                  หาก คุณยังไม่อยากลาออกจากที่ทำงานเก่า ก็ขอแนะนำให้คุณลองปรับตัวให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าเดิม โดยปรับตัวตามแนวทางสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามสูตรของพระพุทธเจ้า ๔ ประการ คือ

(๑)  เอื้ออารี

(๒)  วจีไพเราะ

(๓)  สงเคราะห์มวลชน

(๔)  วางตนเสมอสมาน

เอื้ออารี หมายถึง ฝึกการเป็นผู้ให้ เพราะผู้ให้ ย่อมได้รับการให้ตอบ การให้คือการเชื่อมไมตรีที่มีผลต่อสัมพันธภาพดีเยี่ยม ผู้รู้กล่าวว่า

“ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก

เหมือนเหล็กฟากผูกไว้ก็ไม่มั่น

ถึงผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์

ก็ไม่มั่นเหมือนผูกไว้ด้วยไมตรี”

คุณ อาจหยิบยื่นอะไรให้ใครสักคนหนึ่งโดยไม่เคยหวังผลด้วยซ้ำ แต่บางทีหนึ่งครั้งที่คุณให้ออกไป อาจจารึกอยู่ในใจของผู้รับตราบนานเท่านาน  ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า “หากเรามีขนมอยู่ในมือชิ้นหนึ่ง เรากินคนเดียว ก็อิ่มแค่มื้อเดียว แต่หากแบ่งให้เพื่อน ขนมชิ้นนั้น จะอิ่มอยู่ในใจเพื่อนไปตลอดกาล”

วจีไพเราะ หมายถึง การเป็นคนพูดจาน่ารับฟัง ช่างพูดช่างจา มีวาทศิลป์ในการพูด รู้จักว่าเมื่อไหร่จะพูด เมื่อไหร่จะนิ่ง เมื่อไหร่ควรพูดเล่น เมื่อไหร่ควรพูดจริง การพูดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งในการสร้างความ สำเร็จ คุณลองสังเกตดูสิ คนสำคัญๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จ โดยมากล้วนแล้วแต่เป็นนักพูดเก่งๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลินคอร์น, จอห์น เอฟ เคเนดี,มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์,หรือแม้แต่บารัค  โอ บาม่า พลังของการพูดนั้นมีมหาศาลสามารถเปลี่ยนทางน้ำ ย้ายขุนเขา สะกดทัพนับแสนก็ยังได้ หากคุณไม่ค่อยพูด ก็ลองบอกตัวเองใหม่สิว่า ธรรมชาติสร้างปากมาไม่เฉพาะแต่ใช้รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังสร้างมาให้เรารู้จักการพูดจาอย่างมีวาทศิลป์อีกด้วย

สงเคราะห์มวลชน
หมายถึง การเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีอันดี เข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ เห็นใครทำอะไรแล้วไม่นิ่งเฉย มีจิตสำนึกสาธารณะ ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมงาน เพื่อนมนุษย์ กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือ การไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง

วางตนเสมอสมาน หมายถึง การปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างปกติในลักษณะ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” หากเราลงเรือพาย แต่เราไม่พายเรือเหมือนคนอื่น ก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนแปลกแยก ถ้าคุณรู้ว่า คุณไม่ชอบพายเรือ ก็ไม่ควรจะไปนั่งอยู่ในเรือพาย ซึ่งเขาต้องการความร่วมมือร่วมใจ คุณควรออกไปหาที่นั่งที่เหมาะกับคุณจะดีกว่า

อย่าง ไรก็ตาม เท่าที่อ่านจากคำถาม คุณคงมีปัญหาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ แต่คุณไม่ได้มีปัญหาในแง่จิตวิทยาแน่ เพราะคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของตนเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว ดังนั้น ก็หวังว่า คำวิสัชนาที่เขียนมาข้างต้นนั้น คงจะทำให้คุณมองเห็นทางออกได้อย่างแน่นอน

 
บันทึกการเข้า

Disco
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 204



ดูรายละเอียด
« ตอบ #277 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2009, 01:01:48 »

แบบนี้ต้องนำไปปฏิบัติครับ  :Smiley
บันทึกการเข้า
journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #278 เมื่อ: 01 กันยายน 2009, 16:16:12 »

รักจริง ต้องใช้เงินเป็น
 ศาสตราจารย์ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
วันที่ : 11 มีนาคม 2551 นิตยสาร/หนังสือพิมพ์ : Hi-Class
 
            คนสองคนรักกัน “ความรัก” นั้นไม่ต้องใช้เงิน แต่หากก่อนแต่งงาน ไม่ได้วางแผนการใช้เงิน นิสัยการใช้เงินของคนรัก อาจเป็นเหตุให้ความรัก ‘ร้าว’ ได้
 
            คำกล่าวนี้ ไม่เกินจริงเลย หากเราสังเกตชีวิตคู่บางคู่ที่ต้องจบลง ไม่น่าเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเกิดจาก ปัญหาการเงิน...ซึ่งมิใช่ปัญหาการไม่มีเงิน แต่เป็นปัญหาการใช้เงินไม่เป็น ใช้อย่างไม่เหมาะสมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
 
            ผมตระหนักในเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน และได้เขียนแนะนำไว้ในหนังสือ หาเงิน ใช้เงิน: วิธีเล่นกับเงินอย่างผู้ชนะ บทหนึ่งว่า คนที่กำลังจะแต่งงานกันควร เรียนรู้นิสัยการใช้เงิน ของแต่ละฝ่าย และควรตกลงร่วมกันเรื่อง แผนการใช้เงิน ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ด้วย
 
            เป็นความจริงที่ว่า วันที่คนสองคนตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์ สามีภรรยา ณ วันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดูสดใสเพราะมี "ความรัก" นำหน้า ทว่า..ความรักอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าชีวิตคู่นั้นจะยั่งยืน เพราะยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการ หนึ่งในเรื่องสำคัญเหล่านั้นก็คือ การวางแผนด้านการเงิน
 
            "เงิน" โดยตัวมันเองนั้นไม่อาจเป็นได้แม้สักส่วนหนึ่งของความรัก แต่หลายครั้งที่ "เงิน" กลับเป็นเครื่องมือบั่นทอนความรักให้ล่มสลายไปได้ หากทั้งคู่ไม่มีข้อตกลงต่อกันว่า จะใช้เงินอย่างไร
 
            ค่าใช้จ่ายในบ้านค่าเช่าบ้านค่าผ่อนรถจะแบ่งกันรับผิดชอบอย่างไร..จะเก็บเงินร่วมกันเพื่อยามฉุกเฉินเพื่อการลงทุนในอนาคตอย่างไร..จะทำประกันความมั่นคงให้กับอนาคตด้านใดบ้าง..ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายรู้จักนิสัยและทัศนะต่อการใช้เงินของกันและกันเพียงใด??
 
            ก่อนตกลงปลงใจร่วมชีวิตกับใคร ผมขอแนะนำว่าจะต้องรู้จักอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่อง "เงิน" อย่างน้อยใน 2 เรื่องคือ ลักษณะนิสัยการใช้เงินของแต่ละฝ่าย และ การวางแผนการเงินร่วมกันหลังแต่งงานแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของครอบครัวให้ยั่งยืนได้หากมีการเตรียมการที่ดี 
 
 
            เรียนรู้ลักษณะนิสัยการใช้เงิน การเรียนรู้ลักษณะนิสัยการจับจ่ายใช้สอย การเก็บออม เป้าหมายการใช้เงินของแต่ละฝ่ายเป็น จะทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่านิสัยการใช้เงินเช่นนี้จะส่งผลเช่นไรในอนาคต อาทิ หากสังเกตพบว่าฝ่ายหนึ่งไม่มีการวางแผนการใช้เงิน ชอบช็อปปิ้งซื้อของตามที่ตนเองต้องการโดยไม่ได้พิจารณาว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ทำให้ไม่มีเงินเก็บสะสมหรืออาจทำให้มีหนี้บริโภค เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากเราแต่งงานโดยไม่ตกลงเรื่องการใช้จ่ายให้ดี ครอบครัวย่อมเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน  ดังนั้น จึงควรมีการเจรจาตกลงร่วมกันว่า เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องใช้จ่ายเงินเช่นไร
 
            วางแผนการเงินในครอบครัวก่อนแต่งงานการ ตกลงเรื่องการเงินจะช่วยให้เกิดความเข้าใจกันในระยะยาว ทั้งคู่จึงควรปรึกษาหารือเรื่องการเงินการกำหนดงบประมาณการใช้จ่ายและการ เก็บออมในแต่ละเดือน โดยควรพิจารณาครอบคลุมด้านต่าง ๆ อาทิการเปิดเผยสถานะทางการเงินของกันและกัน อันจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนการใช้เงินต่อไป การตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว-ส่วนรวม เพื่อเป็นการสร้างความรับผิดชอบและลดความตึงเครียดในการใช้จ่าย การตกลงเรื่องการออมทรัพย์ร่วมกัน เพื่อเก็บออกไว้ใช้ในยามจำเป็นทุกด้านและความมั่นคงของชีวิตในอนาคต 
 
            การตกลงเรื่องการใช้เงินเหล่านี้ต้องพูดคุยกันก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานกัน เพราะหากไม่มีการสื่อสารทำความตกลงกันก่อน แม้มี “ความรัก” เชื่อมทั้งคู่ไว้ด้วยกัน แต่หากเมื่อแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันแล้วมีปัญหาการใช้เงิน ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของกันและกัน ย่อมตามมาด้วยปัญหาในชีวิตคู่ที่ทั้งสองฝ่ายคาดไม่ถึง และลืมเลือนความรักที่เคยมีต่อกันได้ในที่สุด
 
 
บันทึกการเข้า

journey
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 253



ดูรายละเอียด
« ตอบ #279 เมื่อ: 22 มกราคม 2010, 11:48:53 »

ขออภัยห่างหายจากบอร์ดนี้ไปนาน เพราะว่าไปติดทวีตเตอร์  Embarrassed

การถนอมรักษาสายตา ด้วยตนเองโดยวิธีนวด

การถนอมรักษาสายตามีมากมายหลายวิธีดังที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น

1. ไม่มองของสีขาวกลางแดดหรือมองแสงสว่างจ้านานๆ เช่น ดวงอาทิตย์ แสงจากการเชื่อมโลหะ เป็นต้น

2. ไม่อ่านหนังสือตัวเล็กเกินไปเป็นเวลานานๆ รวมทั้งไม่อ่านหนังสือในรถ เรือ ที่มีความสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาด้วย

3 ไม่อ่านหนังสือในที่สลัวๆ หรือมีแสงมากเกินควร ต้องให้มีความเข้มของแสงพอเหมาะ ส่องมาจากข้างหลังหรือด้านซ้ายมือ

4. ไม่อ่านหนังสือ (หรือมองวัตถุ) ชิดใบหน้า ควรวางหนังสือให้ห่างจากตาประมาณ 1 ฟุต

5. ไม่เอามือหรือผ้าสกปรกเช็ดหรือขยี้ตา

6. ระวังไม่ให้มีการกระทบกระเทือนกะโหลกศีรษะบริเวณเบ้าตา เช่น ชกต่อย อุบัติเหตุ ยิงหนังสติ๊กถูกตา ถูกไอสารเคมี หรือน้ำยาที่ระคายต่อตา

7. ไม่ไว้ผมยาวปรกหน้าและมาบังตา ทำให้มองไม่ถนัด และเป็นช่องทางให้ควาบสกปรกจากผมเข้าเบ้าตาได้

8. ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าขาวม้าร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเป็นโรคตา เป็นต้น

9. เมื่อเป็นโรคตาต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรใช้ยาตา (หยอด, ป้าย) เอง

10. เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา แว่นตา ควรไปปรึกษาแพทย์เรื่องการใส่แว่นและเรื่องการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม

การฝึกนวดตนเอง 7 ท่า

ตามไปอ่านต่อที่นี่เลย

http://www.doctor.or.th/node/6000
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15   ขึ้นบน
พิมพ์