เป็นบทความของผมเองครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างกับเพื่อนสมาชิก
จากที่ได้ศึกษา วิเคราะห์ และลองปฏิบัติดู ได้ข้อสรุปคำสอนในพระพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัติ* (ทางใจ or mind attitude) ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้…
(*เป็นบทสรุปจากมรรค 8 คือส่วนของ สมาธิและปัญญา โดยยกเรื่องศีลเอาไว้ก่อน)
สูตร 3
1) รู้ตัว …เพียงแค่รู้พอ (มีสติ) be mindful
เพียงแค่รู้ตัว คือให้เรามีสติอยู่กันตัวได้ให้มากที่สุด… สังเกตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เคลื่อนไหวอย่างไร อารมณ์เป็นอย่างไร รับรู้แต่ไม่รู้สึก ในทางปฏิบัติคือหลักปฏิปัฐาน 4 นั่นเอง และวิธีที่นิยมกันคือ ให้ใจอยู่กับลมหายใจ ให้สังเกตเข้าอย่างไร ออกอย่างไร ถี่อย่างไร ห่างอย่างไร ยาวอย่างไร สั้นอย่างไร อยู่กับปัจจุบันของจิตให้มากที่สุด …ไม่ต้องทำอะไรให้มากไปกว่าการเฝ้าดู เพียงแค่รู้… มีหนังสือจากพระและโยมนักปฏิบัติมากมายที่แนะนำเรื่องนี้ เมื่อใจหยุดอยู่กับกายมากเท่าไร่ ใจก็จะค่อยๆ สงบ ระดับสมาธิก็ค่อยๆ พัฒนาไปเองโดยธรรมชาติ ตามลำดับ จนกว่าจะถึงจุดที่พ้นทุกข์ได้อย่างถาวร…
2) ยอมรับความจริง accept the truth
การอยู่แบบยอมรับความจริง และอยู่กับความจริงด้วยใจที่เป็นปกติ เป็นคติในการดำเนินชีวิตที่สำคัญ แม้เป็นเรื่องยาก แต่ผลที่ได้นั้นมีมากมาย ทำให้คลายทุกข์ได้มาก
“สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตมนุษย์คือ… การยอมรับความจริงและอยู่กับความจริงนั้น…ด้วยใจที่เป็นปกติ”
“สิ่งที่ง่ายที่สุดในชีวิตมนุษย์…ไม่มี”
3) ลดความยึดมั่นในตัวตน try to be selfless
ระดับการยึดมั่นในตัวตนเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ที่จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ ยึดมั่นมากก็ทุกข์มาก ยึดมั่นน้อยก็ทุกข์น้อย อธิบายคือเมื่อมี Object มากระทบ (ผัสสะ) กับ subject ตัวตนคือ subject นี้และ เมื่อไม่มีตัวรับกับสิ่งที่มากระทบ ประโยคหรือกระบวนการ ก็ไม่สมบูรณ์ ผลก็คือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดังที่พุทธพจน์ที่ว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เป็นต้น รับรู้แต่ไม่รู้สึก การลดการยึดมั่นในตัวตนนั่นเกี่ยวข้องกับหลักไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา โดยตรง ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างประโยค I want furby ถ้า I เหลือศูนย์ I(0%) want furby »» I want furby ประโยคก็ไม่สมบูรณ์ ไม่มีตัว Subject ผลก็ไม่มี คือเป็นศูนย์ ความดิ้นรนทางจิต(ตัญหา)ก็เป็นศูนย์ ทุกข์ก็เป็นศูนย์
ในลักษณะเดียวกัน ถ้า I เหลือเพียงครึ่งเดียว I(50%) want furby »» I/2 want furby ประโยคก็ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน ผลก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียว ความดิ้นรนทางจิต(ตัญหา)ก็เหลือครึ่งเดียว ทุกข์ก็เหลือเพียงครึ่งเดียว
สามข้อด้านบนนี้หากนำมาปฏิบัติประกอบกันก็เพียงพอแล้วที่จะให้มนุษย์คนหนึ่งพ้นทุกข์ได้ หากอยู่ในภาวะที่พร้อมที่จะทำและยินดีที่จะทำ และเป็นการทำเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าเป็น passive mode…act for oneself. ทำได้ทันที ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร
ซึ่งในบริบทของปัจเฉกชน ถือว่าเพียงพอแล้ว …ไม่จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนมากกว่านี้ หรือเรียกได้ว่า เพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ และนี้แหละคือความหมายของชีวิตที่พอเพียงจริงๆ ใครจะทำอาชีพอะไรก็ใช้หลักนี้ได้ และหากเราสังเกตดีๆ หนังสือที่ขายดีทั่วโลกเกี่ยวกับการพัฒนาจิต ทุกๆเล่มก็จะพูดเกี่ยวข้องวนๆอยู่กับสามเรื่องนี้แหละ…
แล้วความสุขล่ะ? ต้องทำความเข้าใจว่า ในความจริงแล้ว เราไม่สามารถสร้างความสุขขึ้นมาเองได้เลย… สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงการทำให้ความทุกข์ลดลงเท่านั้นเอง… เพราะว่าความสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อระดับความทุกข์เหลือศูนย์ แล้วจังหวะนั้นแหละความสุขจริงๆ ก็จะค่อยๆแตกหน่อออกมาทีละนิด ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ การฝึกสติให้ตั้งมั่นดังข้อ (1) แล้วความความสงบทางใจจะเกิดขึ้น แล้วความสุขก็จะตามมาเอง
กล่าวอีกนัยคือ ความสงบของใจเราก็สร้างขึ้นมาไม่ได้เช่นเดียวกัน …ก็ต่อเมื่อสติตั้งมั่นแล้ว ความสงบของใจก็จะเกิดขึ้นมาเอง
เพราะว่าการพยายามสร้างความสงบและความสุขทางใจ จะเป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) คือเป็นการดิ้นรนทางจิตนั่นเองอีก (ตัณหา)
ฉบับเต็ม
http://satinow.wordpress.com/2...AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9/
