ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeJohn D. Rockefeller มหาเศรษฐีที่น่าอนาจแต่ปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นที่เคารพ
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: John D. Rockefeller มหาเศรษฐีที่น่าอนาจแต่ปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นที่เคารพ  (อ่าน 3981 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
washiravit
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 525
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,501



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 23:06:05 »

ผมชักเริ่มสงสัยขึ้นทุกทีแล้วครับ ว่าตกลงแล้ว การที่คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญ นั่นเพราะเรามีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างเหนียวแน่น หรือแท้ที่จริงเราถูกปลูกฝังความเชื่ออะไรบางอย่างภายใต้จิตสำนึกของเรา ภาพลักษณ์ของการทำบุญเท่าที่เรานึกออกคือ การทำบุญเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หลายครั้งมันอยู่ในรูปแบบการเสียสละ แต่ในหลายๆครั้ง การทำบุญถูกนำไปใช้ในรูปแบบของการลงทุน ทำด้วยทรัพย์จำนวนเท่านี้ และขอพรด้วยจำนวนเท่านั้น การทำบุญที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา คือความสบายใจที่เกิดขึ้นทั้งก่อน ขณะ และหลังทำบุญ ถ้าหวังมากกว่านี้น่าจะเรียกว่าเป็นความโลภได้

และถ้าคุณได้เคยอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องอิทธิฤทธิ์ของบุญ แล้วก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นจะเชื่อก็ดูเหมือนงมงาย ครั้นจะไม่เชื่อก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกศาสนา เพราะมีแต่คนการันตีๆเอาว่าทำบุญแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่ไม่มีใครสามารถเอาหลักฐานมาตั้งให้เห็นและจับต้องได้ ทั้งที่ชีวิตนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี แล้วเราจะเลือกที่จะเชื่อเรื่องของการทำบุญได้อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด โดยที่เราสามารถจับต้องได้ มีหลักการและเหตุผล ไม่งมงาย รวมไปถึงสามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยา

ฉะนั้น เรื่องราวในวันนี้ ผมจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ ที่ได้อานิสงค์จากการทำบุญในปัจจุบันชาติจริง โดยที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่น่าจะมีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม เรียกได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนทำบุญที่ไม่ได้ตั้งความเชื่อพื้นฐานเรื่องการทำบุญเหมือนชาวพุทธเลยด้วยซ้ำ ชีวิตการทำบุญของเขา เริ่มต้นจากศูนย์ 

เขาชื่อว่า John d Rockefeller ผู้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil



ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมขอเล่าง่ายๆ ว่าเขาเป็นอภิมหาเศรษฐีโครตรวย รวยโครตๆ รวยจนน่าตกใจ เนื่องจากเขาเป็นคนรวยมาก นิสัยของเขาจึงร้ายมากเช่นกัน เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ วิตกจริต ชอบเป็นทุกข์ และไม่ยอมปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิตเลยแม้แต่เรื่องเดียว ด้วยความเครียดต่างๆนาๆแต่ความที่เขาใช้ชีวิตอย่างไม่ปล่อยวาง ในตอนที่เขามีอายุครึ่งค่อนคน ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ

ความเครียดทำให้สุขภาพเขาทรุดโทรม    หัวล้าน เขารับประทานอาหารแทบไม่ได้ ต้องทานอาหารที่ไม่มีใครอยากทานคือ "นมคน" เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เขาคือมหาเศรษฐีที่น่าอนาจที่สุดคนหนึ่ง เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของเขา ทำให้เขาหาคนที่เข้าใจเขาได้ยากมาก

ความเครียดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เขานอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย เมื่อถึงขีดสุดของสุขภาพทั้งกายและใจ แพทย์ลงความเห็นให้เขาเลิกใช้ชีวิตของเขากับธุรกิจ ถ้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย ความตายจะมาเยือนเขาอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถมอบให้ได้คือคำแนะนำให้เขา "วางมือ" และลองเดาสิครับ ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร

เขาตัดสินใจ แขวนนวม ภาระและหน้าที่ทุกอย่างถูกวางไว้ตรงนั้นเพื่อรักษาชีวิต แต่ถึงเขาวางมือจากการทำงานของเขาก็จริง อุปนิสัยของเขาที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต มันจะหายไปง่ายๆเชียวหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนขี้ระแวง ชอบวิตกกังวล และอมทุกข์ซะขนาดนั้น

ต่อให้แพทย์ให้คำแนะนำที่ดีก็จริง แต่ในทัศนะความเห็นของแพทย์ที่รักษาตัวเขาก็ลงความเห็นว่าเขาจะสามารถมีชีวิตได้อีกประมาณ 2 ปี หมายถึงเขาอาจจะต้องตายลงด้วยโรคสารพัดที่รุมเร้าอันมาจากนิสัยของเขาเองภายในวัย 54 ปีเท่านั้น

ระหว่างที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคของเขาที่เขาไม่ต้องการ เขามีเวลามากพอที่จะทำให้เขาเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองทีละเล็กละน้อย การปล่อยวางจากธุรกิจของเขาทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น  และความผ่อนคลายนั้นมั้ง ที่ทำให้เขาเริ่มคำนึงถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต และเขาอยากแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่แล้ว เขาเริ่มนึกถึงคนอื่น เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ จึงจะสามารถสร้างความสุขให้กับคนทั้งโลกได้

และด้วยความรู้สึกตรงนี้เอง ที่ทำให้เขาเริ่มบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสาธารณกุศล

ในหนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวของเขาได้กล่าวถึงขนาดที่ว่า แหล่งที่รับบริจาคปฏิเสธที่จะรับเงินของเขา เพราะชื่อเสียงของเขาที่มีแต่เรื่องเสียๆทั้งนั้น ซึ่งเขาไม่สนใจ เขายังคงบริจาคต่อไป

เขาช่วยเหลือมหาลัยในประเทศยากจนให้รอดพ้นจากการถูกยึด บริจาคเงินหลายล้านเหลือเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ปฏิรูปกิจกรรมการเรียนการสอน ผลก็คือมหาลัยนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เหมือนเดิม เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาบริจาคต่อไป

เขาตั้งมูลนิธิของเขาขึ้นมา ชื่อมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บให้กับคนทั้งโลก

มาเข้าคำถามสำคัญ เขาได้รับอะไรจากการบริจาค สิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ชัดเลย คือเขาไม่มีนิสัยขี้กังวล หวาดระแวง อมทุกข์ เครียด และนอนไม่หลับอีกต่อไป ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งวันที่ธุรกิจของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือถึงวันล่มสลาย เขาก็ยังคงสามารถมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน ไม่ยี่ะต่อเรื่องราวที่สามารถทำให้เขาทุกข์อีกต่อไป

เข้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเอาชนะความทุกข์ของเขา...Huh?

แพทย์ที่รักษาเขาเคยพยากรณ์ไว้ว่าเขาไม่น่าจะมีอายุเกิน 54 ปี แล้วรู้ไหมครับ เขาเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่

98 ปีครับ !!! จากคนใกล้ตายด้วยโรคร้ายในวัยกลางคน กลับเป็นคนที่มีอายุยาวนานถึง 98 ปี !!!

แล้วถามว่าภาพลักษณ์ของเขาที่ยังคนตราตรึงอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ก็ลองไปค้นหาใน Google ดูสิครับ ว่าเขามีคนให้ร้ายกับยกย่องอย่างไหนมากกว่า

นี่คือเรื่องน่าเหลือเชื่อ และพิสูจน์ได้ว่าอานิสงค์ของการทำบุญนั้นสามารถปรากฏได้ในปัจจุบัน ณ ชาติ จริงๆ เขาตายไปแล้ว เรายังไม่ตาย เราจะลองเริ่มช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนกันซักทีดีไหมครับ

บทความจาก www.healingoftarot.com
บันทึกการเข้า

visavavit
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 69
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,717



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 23:09:35 »

เป็นผู้มีบุญคุญต่อวงการคณะแพทย์ ทันตแพทย์ .. อย่างมากครับ
บันทึกการเข้า

afterdead
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 156
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,833



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 23:21:30 »

ให้ = ได้รับ !! จริง !! ^ ^
บันทึกการเข้า

kantz
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 230



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 23:33:50 »


บทความนี้ มีประโยชน์มากครับ ณ สถานการณ์ตอนนี้ 
ความสุขในการให้ ผมว่ามันเหนือกว่า การได้รับนะครับ 

โดย เฉพาะ การให้ธรรมมะ(ความรู้)เป็นทาน  ย่อมเหนือการให้ ทั้งปวง
บันทึกการเข้า

http://bit.ly/396Jsiu ---> American America 


ช่อง Youtube - American-America  --> อยากจีบสาวอเมริกา - อยากมีแฟนฝรั่ง -ชีวิตในอเมริกา -ตะลุยอเมริกา - ตามติดที่นี้
Kenshin
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 117



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 23:52:21 »

 Cry
บทความดีมากครับ
การให้มีค่ามากมายมหาศาล ทั้งกับตัวเอง และคนอื่นๆ
บันทึกการเข้า
haihui
Verified Seller
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 25
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 425



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 00:07:17 »

+1 สำหรับบทความดีดีครับ
บันทึกการเข้า

►►► ที่วางจอคอม ชั้นวางจอคอม แท่นวางจอคอม เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอม สนใจ คลิ๊ก
►►► รับโพสเว็บบอร์ด ราคาถูก มากกว่า 300 เว็บ ++ สนใจ คลิ๊ก
medzmay
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 35
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 414



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 00:10:58 »

น่านับถือครับ wanwan003
บันทึกการเข้า

ManKung
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 00:22:49 »

สุดยอด ...  wanwan003
บันทึกการเข้า

diskul
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 33
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 390



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 00:36:16 »

ขอบคุณครับ ที่นำเรื่องดีๆ มาฝากครับ
+1
บันทึกการเข้า

โรงเรียน สอนตัดขนสุนัข ที่ใจกว้าง ให้ นร. ทดลองเรียนฟรีๆ ก่อน  ^  ^

โรงเรียน สอนตัดขนสุนัข ที่ใจกว้าง ให้ นร. ทดลองเรียนฟรีๆ ก่อน  ^  ^
washiravit
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 525
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,501



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 11:48:04 »

เป็นผู้มีบุญคุญต่อวงการคณะแพทย์ ทันตแพทย์ .. อย่างมากครับ
ขอบคุณครับ ผมไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้มีบุญคุณต่อวงการทันตกรรมด้วยครับ
บันทึกการเข้า

GooooGle
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 40
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 786



ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 12:17:39 »

ตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ รอทไชน์ โอนาสซิส ... เกี่ยวข้องกันหมด  wanwan004
บันทึกการเข้า
Go2
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 35
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 483



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 12:21:21 »

น่านับถือครับ

สำหรับบุคคลตัวอย่างท่านนี้

 wanwan017
บันทึกการเข้า

T ,L ,N ,Ta
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์