ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สุนทรพจน์ 'สตีฟ จ็อบส์' ที่ทุกคนยกย่อง  (อ่าน 2582 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jirud
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 01:33:18 »

วันนี้ผมรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกที่รู้ข่าวการเสียชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ติดตามอะไรเค้ามากมายนัก ไอโฟน ไอแพด ก็ไม่เคยใช้ แต่ผมเคยอ่านสุนทรพจน์ที่เค้าได้เคยพูดในพิธีมอบปริญญาบัตร มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด 12 มิถุนายน 2005 ในหนังสือเล่มหนึ่ง อ่านตอนนั้นแล้วประทับใจมากๆ ขีดเส้นใต้ไว้อ่านซ้ำหลายๆ ครั้ง แต่แล้ววันเวลาก็ทำให้หนังสือเล่นนั้นหายไปชีวิตของผม แล้ววันนี้ผมได้มีโอกาสสุนทรพจน์นี้อีกครั้งผ่านทาง Manager Online ซึ่งอ่านแล้วทำให้ผมยิ้มขึ้นมาทันที ผมยิ้มเพราะทำให้ผมนึกได้เลยว่าตอนที่ผมอ่านสุนทรพจน์นี้จบลง มันได้สร้างกำลังใจอย่างประหลาดให้กับผมคนที่เพิ่งเปิดบริษัทเป็นของตัวเองใหม่ๆ ซึ่งผมมองว่าสุนทรพจน์นี้น่าจะเหมาะกับน้องๆ ในบอร์ดนี้หลายๆ คนที่อยากได้แนวทาง หรือคำแนะนำดีๆ ให้แก่ชีวิตหลังจากที่ตัวเองเรียนจบและเข้าสู่การหาเลี้ยงชีพของตัวเองและครอบครัว หลายๆ คำพูดของจ๊อบส์เป็นสิ่งที่ผมอยากแนะนำให้น้องๆ นักศึกษา หรือแม้กระทั้งคนใช้ชีวิตทั่วไป พนักงานทั่วๆ ไปที่กำลังเบื่องานของตัวเองได้อ่านกัน

ก่อนจะไปอ่านสุนทรพจน์ของจ๊อบส์ ผมก็ขอแชร์ไอเดียที่ผมได้จากการอ่านสุนทรพจน์นี้ ผมคงเขียนเท่าที่ผมรู้สึกดีๆ ไม่ได้เขียนทุกประเด็น ดังนั้นหากเพื่อนๆ น้องๆ คนไหนอยากเสริมหลังจากอ่านก็น่าจะเป็นประโยชน์กับบอร์ดนี้มากๆ ครับ

  • บริษัทฯ apple สามารถเติบโตอย่างแข็งแรง และแตกต่างจากคู่แข่งได้ ก็ได้จากการที่เค้าเข้าเรียนวิชาที่เกี่ยวกับ Font ตรงนี้โดนใจผมมากเพราะประสบการณ์สอนผมเสมอว่าที่สิ่งเรารัก ส่ิ่งที่เราทำ หรืองานอดิเรกในสมัยเด็กๆ ของเราเอง วันหนึ่งมันผันมาสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เราอย่างไม่น่าเชื่อ ผมมักจะบอกกับ่น้องในบริษัทฯ ของผมเองทุกคนว่า ให้รักงานที่ทำในทุกๆ วัน อย่ามองว่าไม่ใช่งานของฉัน อยากให้ทุกคนใฝ่รู้ เพราะบางครั้งเมื่อโอกาสมา เราอาจจะเปิดบริษัทเป็นของเราเอง สร้างความฝ้นของเราได้เอง แต่การเปิดบริษัทฯ มันก็มีข้อแม้ว่าคุณต้องทำได้หลายๆ อย่าง แล้วหากคุณพูดว่าไม่ใช่งานของฉัน มันจะทำให้คุณทำงานหลายๆ อย่างเป็นได้อย่างไร
  • หากเค้ามองตัวเองในกระจกในทุกๆ วัน แล้วถามตัวเองว่าหากพรุ่งนี้เค้าจะตาย เค้าจะยังทำสิ่งที่เค้าทำในวันนี้หรือไม่ หากตอบว่า "ไม่" หลายๆ วันติดๆ กัน คงต้องมีการเปลี่ยนแปลง คำพูดนี้โดนใจผมมาก ผมเห็นพนักงานบริษัทฯ และเพื่อนๆ น้องๆ หลายๆ คนที่มาปรับทุกข์กับผมบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องงาน ส่วนมากก็มักจะบ่น ด่า เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน บ่นเรื่องเงินเดือนน้อย บ่น บ่น บ่น ร้อยแปดเรื่อง ผมก็บอกพวกเค้าไปเสมอว่าบ่นไปแล้วจะได้อะไร เจ้านายจะกลายเป็นเจ้านายที่ดี เพื่อนร่วมงานจะกลับมาดี เงินเดือนขึ้นจนเป็นที่พอใจ ก็คงไม่ใช่ ดังนั้นมีสองอย่างให้เลือกคือเลิกบ่นแล้วตั้งใจทำงานต่อไป กับลาออก เพราะหากคุณตอบว่าที่ที่นี้ไม่ใช่สำหรับคุณ  โลกรอคุณให้เดินทางเสมอครับ อย่าลืมครับว่าก่อนออกเดินทางคุณต้องเตรียมอาวุธให้ครบมือ

-------
สุนทรพจน์ในพิธีมอบปริญญาบัตร มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด 12 มิถุนายน 2005
       
       ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่วันนี้ได้มาร่วมในพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในโลก ความจริงที่ทุกคนรู้กัน ผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมได้เข้าใกล้พิธีรับปริญญาบัตรมากที่สุดในชีวิต
       
       วันนี้ผมอยากจะขอเล่าเรื่องสามเรื่องในชีวิตผม สามเรื่องแค่นั้น เรื่องแรกคือ การลากเส้นต่อจุด ผมลาออกจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากที่เรียนไปได้แค่ 6 เดือน แต่ก็ยังแอบเนียนเรียนต่ออยู่อีกราว 18 เดือนก่อนจะออกจริงๆ
       
       แล้วเพราะอะไรผมถึงลาออก สาเหตุนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมเป็น นักศึกษาสาวท้องก่อนแต่ง เธอตัดสินใจยกผมให้คนอื่นรับไปเลี้ยงดูแทน โดยตั้งใจไว้ว่าคนที่รับผมไปเลี้ยง จะสามารถเลี้ยงดูผมได้จนจบปริญญา
       
       ทุกอย่างจึงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยว่าผมจะได้พ่อบุญธรรมที่เป็นทนายความกับภรรยารับไปเลี้ยง ทุกอย่างดูลงตัวจนกระทั่งผมเกิดออกมา พ่อแม่บุญธรรมที่เลือกผมไว้กลับเปลี่นใจอยากได้ลูกผู้หญิง
       
       ดังนั้นพ่อแม่ปัจจุบันของผม ซึ่งมีชื่อยู่ในรายชื่อที่รอคอยอุปการะ จึงได้รับโทรศัพท์กลางดึกคืนนั้น ปลายสายถามว่า "เราบังเอิญได้เด็กทารกผู้ชายพวกคุณอยากรับไปเลี้ยงไหม?" พ่อแม่ผมก็ตอบไปว่า "รับ"
       
       แต่แม่ที่ให้กำเนิดผมมารู้ที่หลังว่า แม่บุญธรรมของผมไม่ได้จบปริญญา ส่วนพ่อบุญธรรมก็ไม่ได้เรียนจบมัธยมปลาย เลยเปลี่ยนใจไม่ยอมเซ็นเอกสารยกผมให้พ่อแม่บุญธรรมไปอุปการะ เธอลังเลใจอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ยอมยกผมให้ เพราะพ่อแม่บุญธรรมผมสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงดูผมจนจบปริญญาให้ได้
       
       นี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตผม
       
       17 ปีต่อมา ผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด แล้วผมก็ใช้เงินเก็บของพ่อแม่ตัวเอง ที่เป็นคนทำงานกินเงินเดือนมาเป็นค่าเทอม
       
       หลังจากเรียนไปได้ 6 เดือน ผมก็รู้สึกไม่เห็นจะได้อะไรจากสิ่งที่เรียนไป แล้วก็ไม่เห็นว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วผมจะผลาญเงินเก็บที่พ่อแม่ผมหามาชั่วชีวิตไปทำไม
       
       ผมเลยตัดสินใจลาออก ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องทุกอย่างลงเอยด้วยดี ที่จริงผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ทันทีที่ผมลาออก ทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน และเลือกเรียนแต่วิชาที่อยากมากกว่า
       
       แต่ชีวิตไม่ง่ายเหมือนในนิยาย ผมไม่มีหออยู่เลยต้องอาศัยพื้นห้องเพื่อนเป็นที่นอน ต้องเก็บขวดโค้กไปแลกเงินขวดละ 5 เซนต์ เพื่อนำเงินไปซื้อข้าว แล้วก็ต้องเดินทางไปโบสถ์ทุกคืนวันอาทิตย์ระยะทาง 5 ไมล์ เพื่อหาอาหารดีๆทานสักมื้อ แต่ผมก็ชอบนะ
       
       แล้วการที่ผมทำตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ภายหลังกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นมีวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษร ที่อาจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในประเทศ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ หรือป้ายที่ติดตามบอร์ดต่างๆ ล้วนมือแต่ตัวหนังสือที่เขียนด้วยมือ
       
       เพราะผมลาออกเลยไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ผมจึงได้เรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร และเรียนรู้วิธีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา เรียนรู้ว่าแบบตัวพิมพ์ Serif หรือ Sen Serif คืออะไร เรียนวิธีการวางช่องไฟระหว่างตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรให้สวย ทำอย่างไร
       
       มันกลายเป็นศิลปแขนงหนึ่งที่สวยงาม และใช้การออกแบบที่ละเอียดอ่อนขนาดที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำได้เหมือน และที่สำคัญผมหลงใหลกับวิชานี้มากทีเดียว แต่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์อะไรในชีวิต
       
       จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา เมื่อผมกับเพื่อนออกแบบเครื่อง แมคอินทอช เครื่องแรก จึงได้รื้อฟื้นวิชาพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และดีไซน์ตัวอักษรทั้งหมดลงไปในเครื่องแมค จึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวหนังสืออย่างสวยงาม
       
       ถ้าไม่ใช่เพราะผมเลือกเรียนวิชานั้น เครื่องแมคคงไม่มีแบบตัวอักษรที่หลากหลาย และการจัดช่องไฟที่สวยงามแบบนี้ และถ้า วินโดวส์ ไม่ได้มาลอกเลียนแบบจาก แมค ไป คงไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนในปัจจุบันที่มีฟอนต์สวยงามแบบนี้
       
       ถ้าผมไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนนั้น ผมคงไม่ได้เรียนวิชาออกแบบตัวอักษร และคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คงไม่มีฟอนต์สวยๆแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมจะพยายามลากเส้นต่อจุดอนาคตของตัวเองตอนที่ผมเรียนอยู่ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป 10 ปีให้หลังจุดแต่ละจุดนั้นมันชัดเจนมากๆ
       
       ดังนั้น ผมขอบอกว่าเราไม่สามารถลากเส้นต่อจุดเมื่อมองไปในอนาคต เราจะเห็นมันก็ต่อเมื่อ เรามองย้อนกลับไปในอดีตเท่านั้น จึงต้องเชื่อว่าจุดทั้งหลายที่ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต
       
       ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่ เพราะความเชื่อที่เรามีต่อจุดแต่ละจุดนั้น ในที่สุดมันจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเอง และมันจะให้ความมั่นใจทำตามสิ่งที่หัวใจคุณต้องการ ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะพาคุณออกนอกเส้นทางบ้าง และสิ่งนั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
       
       เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรัก และการสูญเสีย ผมโชคดีที่ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซเริ่มทำบริษัท แอปเปิล ด้วยกันในโรงรถของพ่อตอนอายุ 20 ปี เราทำงานกันอย่างหนัก 10 ปีต่อมา แอปเปิลเติบโตจากเรา 2 คนที่ทำงานกันในโรงรถกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญ พนักงงานมากกว่า 4,000 คน
       
       เราเปิดตัวยวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเราอย่าง แมคอินทอช ปีเดียวก่อนที่ผมจะอายุครบ 30 หลังจากนั้นผมก็ถูกไล่ออก คนเราจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ก็คือว่าในขณะที่ แอปเปิล เติบโตขึ้น เราก็จ้างคนที่ผมคิดว่ามีความสามารถมาก มาบริหารบริษัทกับผม
       
       ช่วงปีแรกผ่านไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ก็เริ่มไปคนละทิศละทาง จนในที่สุดก็ถึงขั้นแตกหัก และกรรมการบริษัทคนอื่นก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้นด้วย ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 แล้วก็เป็นการออกที่ครึกโครมด้วย
       
       ผมสูญเสียสิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดในช่วงวัยทำงานของผม หลังจากเหตุการณ์นั้นผมเสียศูนย์ไปหลายเดือน เพราะผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำให้นักธุรกิจในยุคก่อนหน้าผมต้องเสื่อมเสีย เหมือนกับเป็นวาทยากรที่ทำให้ไม้บาตองที่รับสืบทอดมาตกลงไป
       
       ผมได้พบกับ เดวิด แพกการ์ด และ บ็อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษที่ผมทำให้วงการเสื่อมเสีย ความล้มเหลวของผมเป็นข่าวดังครึกโครมจนผมอยากจะหนีไปจากวงการคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีบางอย่างเริ่มชี้ทางสว่างแก่ผมว่า ยังไงผมก็รักสิ่งที่ผมทำ
       
       เหตุการณ์พลิกผันใน แอปเปิล ไม่ได้เปลี่ยนความรักนั้นแม้แต่น้อย ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน จึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ผมได้เรียนรู้ทีหลังว่าการที่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งในชีวิต จากเมื่อก่อนที่ต้องแบกความสำเร็จไว้บนบ่ามาตลอด ถูกแทนที่ด้วยความโล่งสบาย ที่ได้กลับมาเป็นมือใหม่อีกครั้ง มั่นใจน้อยลง
       
       แล้วสิ่งนี้ก็ช่วยปลดปล่อยให้ผมกลับสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของผม 5 ปีต่อมา ผมตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT แล้วก็ Pixar และต่อมาก็ได้พบรักกับลอว์เรนซ์ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา
       
       Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และต่อมาเหตุการณ์กลับตาลปัตรแอปเปิลกลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ ผมได้กลับคืนสู่แอปเปิลอีกครั้ง และเทคโนโลยีที่ได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของแอปเปิลในท้ายที่สุด
       
       ส่วนผมกับลอว์เรนซ์ก็มีครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน ผมคิดว่าทุกเรื่องคงไม่ลงเอยแบบวันนี้ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ถูกไล่ออกจาก แอปเปิลมันเป็นยาขมแต่ยังไงคนป่วยก็ต้องการยา
       
       ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับคุณบ้าง แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเชื่อ ผมเองก็เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมลุกขึ้นเดินต่อไปได้ คือผมรักในสิ่งที่ผมทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ ทั้งเรื่องงาน และเครื่องความรัก
       
       เพราะคุณจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน และวิธีเดียวที่คุณจะทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม คือคุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และหัวใจจะบอกคุณเอง เมื่อคุณพบมันแล้ว มันก็เหมือนกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ดีๆ ก็คือยิ่งนานวันเข้า เราก็จะรู้สึกว่ามันยิ่งใช่ ดังนั้นจงค้นหาต่อไป อย่าหยุด จนกว่าจะเจอ
       
       เรื่องที่สามของพบเกี่ยวกับความตาย ตอนผมอายุ 17 ผมเคยอ่านคำคมคนนึงบอกว่า "ให้คุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน" ผมประทับใจมาก และตลอด 33 ปีที่ผ่านมาผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า "ถ้าผมอยู่วันนี้เป็นวันสุดท้ายผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำในวันนี้หรือไม่" แล้วถ้าคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน ผมก็รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
       
       วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ช่วยให้ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปโดยปริยายเมื่อความตายมาถึง เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงเท่านั้น
       
       การเตือนตัวเองว่า เราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ เพราะเมื่อตายไปแล้ว เราก็เหลือแต่ร่างกายที่เปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ
       
       เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมทำการตรวจร่างกายตอนเช้า 7.30 ผลที่ได้ปรากฏชัดว่า ผมมีก้อนเนื้อในตับอ่อน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนมันอยู่ตรงไหน ต่อมาหมดก็บอกว่ามะเร็งชนิดนี้ไม่สามารถรักษาได้ ผมคงอยู่ได่อีกไม่เกิน 3-6 เดือน
       
       หมอแนะนำว่าผมควรกลับไปจัดการธุระที่บ้านให้เรียบร้อยซะ ความหมายอีกนัยหนึ่งของหมอก็คือให้เตรียมพร้อมจะตายได้เลย หมายถึงให้กลับไปสั่งเสียลูกๆ ทั้งๆที่ ตอนแรกคุณนึกว่าจะได้มีเวลาบอกเขาอีกสักสิบปี แทนที่จะเหลือแค่ 2-3 เดือน
       
       หมายถึงสะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยซะเพื่อคนในครอบครัวจะได้ไม่ต้องมายุ่งยากทีหลัง และหมายถึงเตรียมตัวบอกลาได้ วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาไปกับการตรวจร่างกาย พอตกเย็น ผมถูกตัดเนื้อเยื้อไปตรวจ
       
       วิธีก็คือหมอจะแหย่ท่อยาวๆ ลงไปผ่านลำคอ ท้อง ลำไส้ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไปในตับอ่อนของผมเพื่อให้ได้เซลล์ส่วนนึงจากก้อนเนื้อที่อยู่ในนั้น ตอนนั้นผมสลบอยู่แต่ภรรยาผมเล่าให้ฟังทีหลังว่า พอหมอเห็นเซลล์ที่อยู่ใต้กล้องจุลทรรศน์แล้วหมอก็เริ่มร้องไห้
       
       เพราะปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่ค่อยพบมากนัก และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมเข้ารับการผ่าตัด และขอบคุณพระเข้าตอนนี้ผมหายดีแล้ว
       
       นั่นเป็นครั้งที่ผมเฉียดความตายมากที่สุดชีวิต และหวังว่าขอให้เป็นอย่างนั้นอีกสักพลายๆปี พอผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ มันทำให้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำกับพวกคุณว่า ความตายเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสติปัญญาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       
       ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะขึ้นสวรรค์ ยังไงก็แล้วแต่ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างจะต้องไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย
       
       เพราะความตายเป็นเหมือนประดิษฐกรรมสุดยอดสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง เป็นการชำระล้างสิ่งเก่าๆเพื่อรอรับสิ่งใหม่ๆ
       
       ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นคือคุณ แต่อีกไม่นานจากนี้ไป คุณก็จะเริ่มกลายเป็นสิ่งเก่าๆ และถูกเลือนหายไป ขอโทษด้วยครับที่พูดตรงไปหน่อย แต่มันเป็นความจริง เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตใต้เงาของคนอื่น
       
       อย่าตีกรอบด้วยกฏเกณฑ์ ซึ่งก็คือผลของการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่นนั่นเอง อย่าให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่น กลบเสียงที่อยู่ภายในของคุณจนหมดสิ้น และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญอยู่เสมอที่จะทำตามหัวใจ และสัญชาตญาณของตัวเอง เพราะบางทีสองสิ่งนี้อาจรู้อยู่แล้วว่าที่จริงแล้วคุณต้องการจะเป็นอะไร นอกจากนี้แล้วทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญรองลงไปหมด
       
       ตอนที่ผมยังเด็ก มีวารสารที่ชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเปรียบได้กับคัมภีร์ของคนยุคผมเลยทีเดียว เจ้าของวารสารเล่มนี้ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอาศัยอยู่ใน Menlo Park ไม่ไกลจากที่นี้
       
       เขาทำให้วารสารเล่มนี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสำนวนการเขียนที่น่าประทับใจ ยุคนั้นเป็นปลายยุค 1960 ก่อนมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ คอมพิวเตอร์สำหรับงานสิ่งพิมพ์เสียอีก ทุกหน้าพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ใช้กรรไกรตัดแปะ ใช้รูปจากกล้องโพลารอยด์ วารสารนี้เปรียบเทียบได้กับ Google ในรูปแบบกระดาษ เพียงแค่มันเกิดก่อนกูเกิล 35 ปี เป็นวารสารที่เปี่ยมไปด้วยอุดมคติ ท่วมท้นไปด้วยไอเดียบรรเจิด และเครื่องมือเจ๋งๆ
       
       Stewart Brand และทีมงานผลิต The Whole Earth Catalog ขึ้นมาหลายฉบับ จนกระทั่งเมื่อถึงวาระของมัน นิตยสารนี้ก็มาถึงฉบับสุดท้าย นั่นเป็นช่วงกลางยุค 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่ากับพวกคุณในที่นี้
       
       ด้านหลังปกของวารสารฉบับสุดท้าย เป็นรูปถ่ายถนนในชนบทเส้นหนึ่งในยามเช้า เป็นภาพที่พอจะกระตุ้นต่อมอยากของนักผจญภัยได้ ใต้รูปมีคำพูดประโยคนึงเขียนไว้ว่า “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ”
       
       ถือเป็นข้อความอำลงก่อนที่วารสารเล่มนี้จะปิดตัวลง “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” เป็นคำที่ผมขอให้ตัวผมเองเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด
-------------------------
บันทึกการเข้า
QuickHostBiz
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 121
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 639



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 01:34:56 »

มีท่าน ถึงมีหลายๆอย่างในวันนี้
RIP...อาลัย
บันทึกการเข้า
exclusiveza
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 144



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 02:03:01 »

เผลออ่านจนจบ Steve job บุคคลในดวงใจ  Cry
บันทึกการเข้า

บริการดูแล Website , Fanpage , โพสงาน , โพสมือ

บริการเขียนบทความภาษาไทย / อังกฤษ , รับ Re-Write งาน รายชิ้นหรือระยะยาว
PM มาคุยกันก่อนครับ , รับเขียนทุกแนวครับ
เกมส์เกมส์.com
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 322
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,122



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 02:13:45 »

เพิ่งรู้จักแต่ก้เก่งมากๆ
บันทึกการเข้า

wat26
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 119
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,484



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 03:24:08 »

อ้างถึง
"ให้คุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน" ผมประทับใจมาก และตลอด 33 ปีที่ผ่านมาผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า "ถ้าผมอยู่วันนี้เป็นวันสุดท้ายผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำในวันนี้หรือไม่" แล้วถ้าคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน ผมก็รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง

อ้างถึง
ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะขึ้นสวรรค์ ยังไงก็แล้วแต่ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างจะต้องไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย
       
       เพราะความตายเป็นเหมือนประดิษฐกรรมสุดยอดสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง เป็นการชำระล้างสิ่งเก่าๆเพื่อรอรับสิ่งใหม่ๆ
บันทึกการเข้า

โค้ดสี คือรหัสสี ใช้ประกอบการแต่งรูปด้วยโปรแกรมแต่งรูป Photoshop ซึ่งเป็นโปรแกรมแต่งรูปส่งภาพสวัสดีตอนเช้า ทุกวัน ในวันพระ ให้ทำบุญตักบาตร
webunder
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 89
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 554



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 03:42:59 »

ฟังเค้าพูดแล้วจะร้องไห้ Cry
บันทึกการเข้า

izui
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 244



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 04:08:15 »

RIP ให้กับท่านเจ้าพ่อ IT
บันทึกการเข้า

casanovatoy
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 83



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 04:27:29 »

RIP ครับ

“จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ”

ชอบมากเลยครับอันนี้ wanwan003
บันทึกการเข้า
zamiolakung
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 72
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,297



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 05:00:51 »

RIP ครับ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย คงเหลือไว้ซึ่งประวัติให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน
แล้วถ้าผมเกิดตายไป ผมจะมีคุณงามความดีไว้ให้คนรุ่นหลังเอ่ยถึงบ้างหนอ
บันทึกการเข้า

7dayfreedom
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 7
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 20



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 06:11:41 »

เป็นข้อความที่กระตุ้น และให้กำลังใจดีมากครับ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งที่รักและความตาย ทำให้เตือนสติ ว่า เรามีเวลากันจำกัดนะ และเรามัวทำอะไรอยู่...

ขอบคุณที่แชร์ครับ (ผ่านตาหลายที่ ไม่ได้อ่านจริงจังเลย)
บันทึกการเข้า
lnwAdword
Verified Seller
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 79
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 07:19:42 »

ขอบคุณ สตีฟ จ็อบส์  ที่ทำให้โลกมีสิ่งใหม่ๆ
บันทึกการเข้า

prince_ice
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 54
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 406



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 09:01:12 »

ยุคของ Smart Phone เริ่มต้นขึ้น เพราะ Apple
บันทึกการเข้า

สักวันจะประกาศให้โลกรู้ "Goo" ที่แหละจะทำ Blogger เงินล้าน
ถ้าไม่มีเงินทุน ก็ลงทุนด้วยแรงตน
ฟรี!! พื้นที่ฝากไฟล์ Online ส่วนตัว สมัครเลย
bananaoxy
Verified Seller
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 26
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 352



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 09:15:15 »

อ่านจนจบเลย
บันทึกการเข้า

damkam
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 52
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,220



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 09:31:44 »

ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

รับซื้อขายเฟอร์นิเจอร์  สังฆภัณฑ์ วิเคราห์บอล line @ รับทำวิจัย ติดต่อร่วมงาน สอบถาม พูดคุย ได้ที่ Line id: @guruonlineclub อยากได้เพื่อนร่วมงานด้าน AI, SEO, CONTENT
WriteForMe
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 23
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 254



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 09:32:14 »

R.I.P
บันทึกการเข้า

  
wanwan003รับเขียนบทความและแปลงานภาษาอังกฤษ

Articles Unique content / Translation / Editiรng and Proofreading / Research / Thesis / assignment..โดยทีมงานชาวต่างชาติและชาวไทยที่มีประสบการณ์
champzeng
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 10:15:25 »

สุดซึ้ง
บันทึกการเข้า

programpostweb
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 10
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 10:16:43 »

"ปราชญ์ แห่งยุคIT"
 wanwan017 wanwan017 wanwan017

บันทึกการเข้า

sunfly
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 40



ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 10:29:59 »

 wanwan017 อ่านแล้วมีกำลังใจมากเลย    ขอบคุณค่ะ  wanwan017
บันทึกการเข้า

<< ฝันให้ไกล ไปให้ถึง >>
^_^ ทุกคนทำได้ อยู่ที่ลงมือทำกันหรือยังเท่านั้นเอง ^_^
Gemini
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 11
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 785



ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 10:34:00 »

เป็นคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ นับถือๆ
บันทึกการเข้า
zidit
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 314
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,543



ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 11:37:32 »

สุดยอดครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
พิมพ์