จากยุคเศรษฐกิจ-การทำธุรกิจโดยยึดมั่น “ธรรมาภิบาล” ปัจจุบันในประเทศไทยการทำธุรกิจ-เศรษฐกิจ “เชิงสร้างสรรค์” เป็นสิ่งที่ถูกต่อยอดขึ้น ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล...ว่าเป็นสิ่งดี-มีประโยชน์
กล่าวสำหรับ “ธรรมาภิบาล” หรือ “กู๊ด กอฟเวอร์แนนซ์ (good governance)” นั้น ก็หมายรวมถึง ศีลธรรม, คุณธรรม, จริยธรรม, ความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ โดยปัจจุบันมีการใช้หลักธรรมาภิบาลกันอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วน “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์” หรือ “ครีเอทีฟ อีโคโนมี (creative economy)” ที่เป็นทิศทางการทำธุรกิจยุคใหม่ ก็หมายรวมถึงการมีความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตและคุณธรรมด้วย
เทรนด์ธุรกิจไทยยุคนี้คือการก้าวสู่ “บรรษัทภิบาลที่ดี” แต่ก็ยังมีส่วนที่ยัง “ล้าสมัย” ทำธุรกิจ “คิดเอาแต่ได้” ทั้งนี้ ธุรกิจในประเทศไทยในปัจจุบันยังคงมีบางส่วนที่มีการดำเนินการหรือมีการใช้ กลยุทธ์ที่ “ไร้ซึ่งหลักธรรมาภิบาล-ไม่สร้างสรรค์” โดยตัวอย่างกลยุทธ์ก็เช่น ใช้อิทธิพลบางด้านบีบบังคับเอเย่นต์สินค้า-ร้านค้า ห้ามรับ-ห้ามจำหน่ายสินค้าของธุรกิจรายอื่น ซึ่งด้วยบางปัจจัยบีบคั้น ก็ทำให้ทางเอเย่นต์สินค้า-ร้านค้านั้น ๆ ต้องจำยอม
กับการใช้กลยุทธ์ที่ไร้ซึ่งหลักธรรมาภิบาลนี้ ทางนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ สะท้อนความเห็นในภาพรวมทั่วไปว่า... กรณีที่ธุรกิจรายใดมีการนำเอาอิทธิพลใด ๆ มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่มีเจตนาเพื่อต่อรอง บีบบังคับ หรือกีดกันไม่ให้เกิดการทำการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรมนั้น ถือเป็นเรื่องที่ “ผิดจริยธรรม และขาดจิตสำนึกในการทำการค้าอย่างมาก !!” ในประเทศที่พัฒนาแล้วเรื่องนี้ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิร้ายแรงตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการผูกขาดและการกีดกัน ทางการค้า หรือแอนตี้ทรัสต์ ลอว์ (antitrust law) และรวมถึงเป็นการ “กระทบสิทธิในการบริโภคของผู้บริโภค”
นักวิชาการรายนี้ชี้ในภาพรวมต่อไปว่า... ในประเทศไทยเราที่ผ่าน ๆ มาก็เคยมีกรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นโดยอุตสาหกรรมหรือธุรกิจหลายประเภท อาทิ... เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ ซึ่งแม้กฎหมายด้านนี้ของไทยจะยังไม่เข้มแข็ง แต่ผู้ที่เสียหายก็ร้อง ต่อคณะกรรมการป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่ดูแลเรื่องการค้าเสรี ได้ ขณะเดียวกัน กับธุรกิจเองก็ควรต้องคำนึงเรื่องของ “จริยธรรมองค์กร” เป็นสำคัญด้วย
“
สิ่งนี้ในระบบการค้าเสรีเป็นสิ่งที่เรียกว่า สภาวะของทุนนิยมสามานย์ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างสินค้าในตลาดแข่งขันเกิดปัญหา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมและยอมรับไม่ได้” ...รศ.ดร. สมชายระบุ
ด้าน รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ชี้ถึงเรื่องเดียวกันนี้ในภาพรวมว่า... การกีดกันทางการค้าในลักษณะดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับสินค้าบางประเภทที่มีคู่แข่งขันไม่มากในตลาด ซึ่งในต่างประเทศจะมีกฎหมายที่เข้มงวดในเรื่องนี้มาก เพราะเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้
“
การกระทำเช่นนี้เป็นการปิดตลาด เป็นการบิดเบือนทางการค้า หรือกีดกันทางการค้า ทำให้กลไกทางการตลาดทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้บริโภคเสียผลประโยชน์” ...รศ.ดร.สมภพระบุ
ขณะที่ อ.สมนึก แตงเจริญ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐ ศาสตร์ ก็ระบุในภาพรวมว่า... เรื่องการกีดกันทางการค้า เช่นบริษัทธุรกิจไปกดดันเอเย่นต์หรือผู้ค้าไม่ให้รับสินค้าที่เป็นคู่แข่งมา ขาย การทำการตลาดลักษณะนี้มีเกิดขึ้นมานานแล้วในไทย ซึ่ง “เป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่ไม่สมควรทำ” ต่อให้เป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมายก็ตาม
“
การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เป็นการทำการค้าที่แข่งขันเสรี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านไหนก็ไม่สมควรใช้อำนาจทางการตลาดที่ผิดเช่นนี้ เพราะเป็นการกระทำที่ผิดหลักจริยธรรม” ...อ.สมนึกทิ้งท้าย
ทั้งนี้ จากภาพรวมในเชิงหลักการ สู่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับสื่อสิ่งพิมพ์นั้น ในสถานการณ์ขณะนี้ต้องยอมรับว่าการแข่งขันกันก็เป็นไปอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งทุกสำนักพิมพ์และทุกองค์กรส่วนใหญ่แล้วต่างยึดวิถีทาง กลยุทธ์ในการแข่งขันบนพื้นฐานของคุณธรรม มีจรรยาบรรณในการเป็นสื่อที่ดี มีจริยธรรม มีมิตรไมตรีต่อกันในความเป็นสื่อด้วยกัน เพื่อแข่งกันสร้างสรรค์งานข่าวที่มีคุณภาพ ป้อนสาระสำคัญสู่ผู้อ่าน แต่ใครจะคาดคิดว่าภายใต้หลักจริยธรรมการมีจรรยา บรรณในการทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ จากอดีตที่เคยมีการกลั่นแกล้งคู่แข่งด้วยการถีบหนังสือพิมพ์ทิ้งจากรถไฟ ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีสกปรกด้วยการบีบบังคับเอเย่นต์ร้านค้าไม่ให้จำหน่าย สินค้าของคู่แข่ง
การมีอิทธิพลของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เต็มไปด้วยวิชามารที่ต้องการทำลายคู่แข่ง ด้วยวิธีการที่ไร้จรรยาบรรณ ขาดหลักคุณธรรม ไร้ศักดิ์ศรี เพื่อย่ำยีผู้อื่น ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า ความดีมีศีลธรรมในการทำธุรกิจย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเสมอไป และพิษภัยที่ใครทำกับผู้อื่น ก็อย่าให้คืนสนองไปสู่ตัวผู้ทำบ้างก็แล้วกัน
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุค “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์” แต่ยังมี “
ธุรกิจแนวคิดไดโนเสาร์” ที่ “
หลงยุค” อยู่
ไม่สร้างสรรค์-ไร้ธรรมาภิบาล-ถ่วงความเจริญชาติ !!.
แหล่งข่าวโดย :
http://www.dailynews.co.th/