การเสพติดโซเชียลมีเดียคืออะไร?
ในบทความ เมอร์ธีเล่าว่า เด็กนักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ ที่เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตนั้นได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเสพติดโซเชียลมีเดีย และรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมขีดจำกัดของตัวเองได้
ก่อนหน้านี้ การใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะที่เป็นปัญหา (Problematic Use) เคยถูกชี้ว่าเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน — โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นอายุระหว่าง 13 ถึง 17 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้กว่า 95% ใช้โซเชียลมีเดีย หลังจากมีการยื่นฟ้องร้องต่อบริษัทเมตา (Meta) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ในเดือนตุลาคม ปี 2023 ลักษณะการออกแบบของแพลตฟอร์มที่ก่อให้เกิดการเสพติดก็เริ่มถูกตั้งคำถามมากยิ่งขึ้น
การเสพติดโซเชียลมีเดียเป็นปรากฏการณ์ที่คนรุ่น Gen Z ตระหนักอย่างลึกซึ้ง ตามรายงาน 2023 Vitality in America study ของ Cigna Group ในขณะที่มีเพียง 44% ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เชื่อว่าตนเองติดเทคโนโลยี แต่ 67% รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ในวัยเดียวกันเป็น และ 40% หวังว่าจะใช้เวลากับมันน้อยลงโดยรวม
Mari Radzik นักจิตวิทยาคลินิกสำหรับวัยรุ่นที่ Children's Hospital Los Angeles ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะยังไม่มีการวินิจฉัยทางจิตเวชอย่างเป็นทางการสำหรับการติดโซเชียลมีเดีย แต่เธอบอกกับ Yahoo Life ว่าเป็นเรื่องจริงที่ผู้คนอาจพบว่ายากที่จะหยุดใช้โซเชียลมีเดียและพบว่าตัวเอง "หมกมุ่น"
การ "เสพติด" โซเชียลมีเดียคืออะไร?
ผลการศึกษาล่าสุดจากการสำรวจของ Gallup แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาใช้เวลาเฉลี่ย 4.8 ชั่วโมงต่อวันบนแอปโซเชียลมีเดีย รวมถึง YouTube, TikTok, Instagram, Facebook และ X (เดิมชื่อ Twitter) ขณะเดียวกัน การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Psychiatry ในปี 2019 ระบุว่าวัยรุ่นที่ใช้โซเชียลมีเดียเกินสามชั่วโมงต่อวันอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล
ธงแดงของการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปในวัยรุ่น ตามข้อมูลของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน ได้แก่:
ไม่สามารถหยุดได้แม้ต้องการ
การใช้โซเชียลมีเดียรบกวนกิจวัตรประจำวัน
พยายามทำทุกวิถีทางหรือโกหกเพื่อคงการใช้โซเชียลมีเดียไว้
ปัญหาเรื่องการเรียนหรือความสัมพันธ์เนื่องจากการใช้โซเชียลมีเดีย
ดร. สจ๊วร์ต ลัสติก จิตแพทย์เด็กและผู้บริหารทางการแพทย์ระดับประเทศด้านสุขภาพพฤติกรรมของ Cigna บอกกับ Yahoo Life ว่าคนรุ่น Gen Z เองก็จัดประเภทการใช้งานของตนว่าเป็นการ "เสพติด" เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาทำทุกวัน แม้จะตระหนักถึงผลกระทบเชิงลบก็ตาม
"พวกเขารู้ว่ามันทำให้เกิดปัญหาเรื่องความภาคภูมิใจในตนเอง ภาพลักษณ์ตนเอง การเปรียบเทียบกับเพื่อน การกลั่นแกล้ง และอื่นๆ แต่พวกเขาก็ยังคงพึ่งพาสื่อสังคมออนไลน์เพื่อข้อมูลและการเชื่อมต่อกับผู้อื่น" ลัสติกกล่าว
สำหรับเด็กบางคน นั่นอาจมาจากความจริงที่ว่าพวกเขาเริ่มใช้แอปตั้งแต่ยังเด็กมาก Vikram R. Bhargava ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์และนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัย George Washington และอดีตครูประถมกล่าว เขาเล่าว่าเขาสนใจที่จะวิจัยการเสพติดเทคโนโลยีเมื่อเขาสังเกตเห็นว่านักเรียน "ตั้งแต่ชั้นประถมสองก็มีโปรไฟล์ Facebook และจะรายงานว่าไม่สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้หากยังไม่ได้ตรวจสอบโซเชียลมีเดีย" แม้ว่านักเรียนบางคนจะประสบกับการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์บนแพลตฟอร์มเดียวกันที่พวกเขาพึ่งพาอยู่ทุกวัน เขากล่าวว่าการใช้งานของพวกเขาก็ยังคงสม่ำเสมอ
แม้ว่าการวินิจฉัยการติดสิ่งเสพติดโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับการแสดงให้เห็นถึงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตสังคม ชีวิตการเรียน ชีวิตครอบครัว และการใช้ชีวิตโดยรวม แต่สำหรับวัยรุ่นและสื่อสังคมออนไลน์นั้นอาจจะซับซ้อนกว่า ราดซิกกล่าว "คนหนุ่มสาวยังคงไปโรงเรียน มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว" เธอกล่าว "อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านั้นอยู่"
นี่คือเหตุผลที่ภาร์กาว่าแนะนำว่าการใช้งานที่มีปัญหาดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นสเปกตรัมมากกว่าที่จะเป็นแบบ "ใช่ คุณติด หรือไม่ติด"
ใครได้รับผลกระทบ?
"ทุกช่วงวัยสามารถแสดงการพึ่งพาสื่อสังคมออนไลน์ได้" ลัสติกกล่าว "แต่ปัญหาคือคนรุ่น Gen Z กำลังประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตในระดับที่มากกว่าคนรุ่นอื่นๆ รวมถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์สามารถทำให้อาการแย่ลงได้"
นี่คือเหตุผลที่ตอนนี้มีการมุ่งเน้นไปที่คนหนุ่มสาวอย่างมาก — และเนื่องจากสังคมมักจะมีความกังวลเกี่ยวกับเด็กมากกว่า ภาร์กาว่าตั้งข้อสังเกต อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า "มันเป็นการมองข้ามที่สำคัญที่เราคิดว่านี่เป็นเพียงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กและวัยรุ่นโดยเฉพาะ เหตุผลส่วนหนึ่งที่เทคโนโลยีเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากก็คือ พวกเขาสามารถปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้แต่ละคนได้"
เขาบอกว่าอัลกอริทึมที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใช้นั้น "ปรับเปลี่ยนได้" หมายความว่ามันอาศัยข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับแต่งแพลตฟอร์มให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล สิ่งนี้ส่งผลต่อการใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มคนรุ่นเก่าด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาอาจจะสามารถต้านทานผลกระทบด้านลบได้มากกว่าเนื่องจากอายุ ประสบการณ์ชีวิต และกลไกการรับมือที่พัฒนาแล้ว
ฉันควรกังวลเรื่องการเสพติดโซเชียลมีเดียหรือไม่?
ศัลยแพทย์ใหญ่กล่าวว่าผลการวิจัยยังไม่สรุปแน่ชัดเกี่ยวกับอันตรายที่โซเชียลมีเดียอาจก่อให้เกิดกับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการวิจัยเพิ่มเติม สิ่งสำคัญคือผู้ใช้ทุกคนและผู้ปกครองของผู้ใช้จะต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
คำแนะนำนี้ระบุถึงมาตรการหลายอย่างที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น ราดซิกกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดบางประการคือสิ่งที่ผู้ปกครองสามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งรวมถึงการสอนให้เยาวชนใช้การคิดเชิงวิพากษ์เมื่อมีส่วนร่วมกับเนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย, การกำหนดกฎเกณฑ์และขอบเขต, การออกจากระบบแอปพลิเคชันเพื่อให้เข้าถึงได้ไม่ง่ายนัก และการเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้โทรศัพท์และโซเชียลมีเดีย เธอกล่าวเน้นย้ำว่ายิ่งคุณเริ่มต้นเร็วเท่าไรยิ่งดี โดยกล่าวว่า "การแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ"
Cr.
https://www.yahoo.com/lifestyl...media-addiction-155808395.html 
อื่นๆ
