ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  ไทย เสียว บอร์ด / Tutorial (ห้ามตั้งคำถามห้องนี้) / 13 วิธีการเพิ่ม productivity เพื่อทำงานให้ได้ผลมากกว่าเดิม โดย Tech CEOs เมื่อ: 29 สิงหาคม 2013, 08:46:35
พอดีช่วงนี้ทำงานแล้วรู้สึกไม่ค่อยได้งาน  Tongue
ไปหาอ่านเจอบทความนี้แล้วชอบ (โดนใจหลายๆข้อ)​ เลยแปลไว้ที่ blog ตัวเอง แล้วก็เลยเอามาฝากพี่ๆเพื่อนครับ  wanwan017

...

หลายๆคนคงเคยประสบปัญหาทำงานไม่เสร็จ ทำงานไม่ทัน งานล้นมือ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดึ จนอาจจะได้รับผลกระทบไปถึงคุณภาพชีวิต สุขภาพกาย สภาพจิตใจของตัวเองและคนรอบข้าง ถึงเวลาแล้วที่จะมองหาคำแนะนำดีๆในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อจะเอามาประยุกต์ใช้กับตัวเองในการทำงานให้เสร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น !

13 วิธีการเพิ่ม productivity เพื่อทำงานให้ได้ผลมากกว่าเดิม โดย Tech CEOs

1) "วันพุธงดประชุม" (No Meeting Wednesday's)

โดย Dustin Moskovitz, the co-founder and CEO of Asana and former co-founder of Facebook

No Meeting Wednesday's. เป็นธรรมเนียมที่ยืมมาจาก facebook ตารางนัดของทุกคนจะ "ว่างโดยปราศจากนัด" 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีเวลาสำหรับทำงานได้อย่างต่อเนื่องจริงๆ Dustin บอกว่าเค้าใช้ 1 วันนี้ในการ code แบบจริงๆจังๆ

2) ทำงานตอนดึกๆวันอาทิตย์

โดย Bharath Kumar a co-founder at Pugmarks.me

ช่วงวันอาทิตย์ตอนดึกๆ ช่วงเวลาที่วันหยุดหมดลง เป็นช่วงเวลาที่ความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงวัดหยุดถูกสะสมไว้ คนอื่นๆในบ้านก็หลับกันหมดแล้ว วันจันทร์ยังไม่มาถึง

ถ้าเริ่มทำงานคืนวันอาทิตย์แล้วนอนดึกๆเช่นตี 3 คุณจะมีเวลาที่ไม่มีใครมารบกวนและมี productivity สูงมากๆถึง 4 ชั่วโมง จากนั้นวันจันทร์คุณจะตื่นมาพบกับเพื่อนร่วมงานด้วยความมั่นใจ พร้อมที่จะประชุมสำหรับอาทิตย์นั้นๆ ด้วยผลของการทำงานแบบ productivity สูงสุดเมื่อคืน

3) จัดลำดับความสำคัญของงาน (prioritization) เพิ่ม productivity

โดย Matt DeCelles, a serial entrepreneur and tech advisor

จัดลำดับความสำคัญของงานที่คุณต้องทำให้เสร็จ

  • ใช้ trello.com ในการวางภาพกว้างๆว่าต้องทำอะไร แล้วจะได้กระจายงานที่ถ้าเอาให้คนอื่นทำแล้วน่าจะดีกว่าเราทำเอง
  • กระจายงาน! คุณอาจจะสนุกกับงานที่ทำอยู่ และคิดว่าได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว? หรือคุณคิดว่าคุณทำมันได้แย่มาก ยังไงก็ลองหาคนอื่นมาช่วยในราคาไม่แพงสิ ลองดู fiverr.com
  • ใช้ whiteboard เพื่อ list งานที่ต้องทำทั้งหมด หลังจากใช้ trello แล้ว ก็เขียนลง whiteboard ปกติแล้วจะมี 10-15 tasks ที่สำคัญๆ

4) "ทำสมองให้ว่าง" สู่งสุดสู่สามัญกับการบริหารจัดการเวลาแบบดั้งเดิม

โดย Paul A. Klipp, a lean software development specialist

ทำสมองให้ว่าง แล้วลองเริ่มนึกใหม่ว่าต้องทำอะไรบ้าง จากนั้นก็จดลงกระดาษในรูปแบบของ mind map เพื่อจะเอาไปทำงานต่อ ถ้าระหว่างนั้นมีอะไรนอก list ที่จดไว้เกิดขึ้นมาใหม่ ให้แยกก่อนว่าเป็นประเภทไหนใน 3 ประเภทนี้ แล้วก็จัดการมันตามสูตรซะ

  • "ต้องทำทันที" (Things to do now) เช่น รับโทรศัพท์ อันนี้ก็ทำไป เพราะเลี่ยงไม่ได้
  • "ต้องทำในไม่ช้า" (Things to do soon) เช่น ส่งใบเสร็จให้เจ้าหน้าที่บัญชี จดลงกระดาน "วันนี้" หรือ "สัปดาห์นี้"
  • "ต้องทำสักวัน" (Things to do someday but not urgently) เอาใส่ลงในกล่องสำหรับที่ต้องรีวิวทุกสัปดาห์ตอนทำการวางแผนประจำสัปดาห์เพื่อพิจารณาเอาลงในตารางงานอาทิตย์หน้า หรือไม่ก็เอาใส่ mind map ไป

5) กำหนด "วันบนเครื่องบิน" (Airplane days)

โดย Bryan Guido Hassin, a University professor and startup junkie

หลังจากพบว่าระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินนานๆเป็นช่วงที่ทำงานได้ productivity สูงมาก ก็เลยหาทางประยุกต์มาใช้กับชีวิตประจำวัน โดยนำแนวคิดของการจำกัดการใช้งาน Internet, ลดสิ่งกวนใจ (distractions), และลดความวุ่นวายด้วยการทำรายการงานที่มีความสำคัญสูงและเร่งด่วน มาใช้

เทคนิคคือ พอเริ่มต้นอาทิตย์ก็ดูที่ตารางนัดและลงวันว่าง 1 วัน หรือ หาวันว่างครึ่งวัน 2 ครั้ง เป็น "Airplane days" คือทำวันนั้นให้เหมือนดังเดินทางอยู่บนเครื่องบิน โดยอาจจะทำงานนอกออฟฟิศ, ปิด internet, ปิดโทรศัพท์ จากนั้นก็ทำงานด้วย productivity สูงสุด!

6) เริ่มวันด้วยการทำ "งานที่ไม่อยากทำที่สุดก่อน"

โดย Alok Bhardwaj, the founder of Hidden Reflex, a software and web application product startup

6 คำแนะนำสำหรับการเพิ่ม productivity จาก Alok คือ

  • ทำงานที่ "ไม่อยากทำมากที่สุด" เป็นอันดับแรกในตอนเช้า ให้เวลากับมัน 2-3 ชั่วโมงต่อเนื่อง จนกระทั่งทำเสร็จ โดยทำมันก่อนอ่าน email หรือ อะไรอย่างอื่นทั้งนั้น
  • อย่าอื่นข่าว หรืออะไรอย่างอื่นที่คล้ายๆกันระหว่างทำงาน
  • ที่ทำงาน ไว้ทำงานเท่านั้น
  • ทำ daily to-do list ที่มี 3-5 งานที่คุณ "ต้องทำให้เสร็จให้ได้"
  • อย่างพยายามจะทำเยอะเกินไป และอย่า optimize มากเกินไป จงกระจายงาน และ focus ที่ภาพใหญ่
  • ออกกำลังกายและทำสมาธิทุกวัน

7) อย่าเสียเวลาที่คุณอยู่ที่โต๊ะ (never waste desk time)

โดย Gokil Nath Sridhar, an entrepreneur

3 tips ที่จะลดสิ่งรบกวนให้ต่ำที่สุด

  • เช็คอีเมลระหว่างเดินทาง
  • ปิดเสียงโทรศัพท์ และ offline facebook & skype โปรแกรม chat ขณะทำงาน
  • ใช้บริการ do-it-later เช่น Pocket เพื่อลดเวลาที่เสียไประหว่างการท่องเว็บที่น่าสนใจแต่ทำให้เสียสมาธิ

8 ) งดใช้ Facebook "เป็นบางส่วน"

โดย Roman Grigorjev the Chief Yeti at GuessMate

ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า social media เป็นตัวทำให้สมาธิเสียแล้วจะทำอย่างไรดี?

-> https://www.facebook.com/friends/organize link นี้จะทำให้คุณสามารถย้าย "friends" ทุกคนไปเป็น "acquaintances" ผลคือ คุณจะได้รับ update สำหรับ post ที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ซึ่งอย่างมากก็ 3-5 post ต่อวัน จะไม่มี post เรื่อยเปื่อยหลุดมาให้เสียเวลาอ่าน

9) ลดการรบกวนในทุกมุมเพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น

โดย Daniel Tan Kh, a web entrepreneur

  • Deligate! กระจายงาน, เชื่อว่าลูกน้องคุณทำได้ การกระจายงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีคนมาช่วยทำงานจะทำให้คุณสามารถมีเวลาทำงานตัวเองมากขึ้น 2,3,4 เท่า และเป็นสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของบริษัท
  • Autonomy! การปล่อยให้รับผิดชอบงานเอง ทำให้คนทำงานออกมาได้ดี (เมื่อคุณจ้างคนดีๆทำงานด้วย)
  • Systematic, Automate! ทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ, ทุกอย่างที่ทำขอให้มั่นใจว่าทำเป็นระบบอัตโนมัติที่สุดแล้ว ทำให้มันใช้งานง่ายที่สุดเพียงแค่คลิกหรือกดปุ่ม
  • Dual control! ถ้าจำเป็นที่ต้องระวังเรื่องอะไรสำคัญ ให้ใช้อีกคนมาดูด้วย
  • Customer is boss, not you! ลูกค้าคือหัวหน้าใหญ่สุด ไม่ใช่เรา ลูกค้าจ่ายเงินให้เราทุกคน เราต้องดูว่าลูกค้าพอใจแค่ไหน ถามว่าเค้าต้องการอะไร และให้ลูกค้าคุยกับพนักงานของคุณเองเลย!

10) "กฎ 2 นาที" อันเลื่องชื่อของ David Allen

โดย Christian Sutardi, a co-founder at Lolabox

ง่ายมากๆสำหรับเทคนิคนี้ เมื่อมีงานเข้ามาใหม่ให้ลองดูว่าคุณทำมันให้เสร็จได้ใน 2 นาทีไหม ถ้าใช่ก็ทำให้เสร็จทันทีใน 2 นาที! นี่เป็นสิ่งง่ายมาก และทำได้ทันที คุณไม่ต้องการการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องการ app หรือ software อะไรทั้งนั้น! ลองใช้เลย!

11) มองหา "ชั่วโมงทองคำ" (golden hours)

โดย Jason Kanigan, a sales trainer

หา "ชั่วโมงทองคำ" ของคุณให้เจอและป้องกันมันจากสิ่งรบกวนทุกอย่างที่จะทำได้ แล้วใช้ช่วงเวลานั้นทำงานชิ้นที่คุณไม่อยากทำมากที่สุด ยากที่สุด น่าเบื่อที่สุด ("Eat That Frog") เพื่อที่จะแลกกับการก้าวใหญ่ๆสักก้าว! ทำเลย!

12) ประยุกต์ใช้เทคนิคทางจิตวิทยาขั้นสูงที่คุณทำได้เอง

โดย Ivan Staroversky, a counselor, psychotherapist, NLP trainer, and Lifehacker

ฟัง "Ultradian rhythms" ของตัวเอง

ทุกๆ 90-120 นาทีจะมีสัญญาณจากร่างกายที่จะบอกว่าต้องการพักหรือเปลี่ยนอิริยาบททั้งทางร่างกายและจิตใจ การเพิกเฉยต่อสัญญาณนี้ไม่ใช่เรื่องดี เพราะจะทำให้เกิดอาการเครียด ล้า หรือถึงขั้นป่วยได้

13) ปรับแต่งการใช้งาน Gmail แบบเหนือชั้น ด้วย "Auto Advance"

โดย Rob Rawson, the founder of Staff.com

เปิดใช้งาน "Auto Advance" แล้วมันจะดึง email ฉบับต่อไปขึ้นมาโชว์ทันที่ที่คุณกด archive email ที่คุณเพิ่งอ่านเสร็จ นี่จะเป็นการช่วยทำให้รักษาเป้า zero inbox และทำให้คุณไม่ต้องอ่านเมลที่อ่านไปแล้วอีกซ้ำๆอีกต่อไป ! คลิกที่นี่เพื่อเปิดใช้งาน auto advance -> http://mail.google.com/mail/?u...p;fs=1&view=pu&st=labs

ที่มา :
http://ninelouis.com/content/1...ity-tips-to-get-more-work-done
http://www.businessinsider.com...rite-productivity-hacks-2013-8
2  อื่นๆ / Cafe / Re: สมัยนี้ไม่ต้องเรียนกันแล้วว !! เมื่อ: 14 ตุลาคม 2011, 21:26:59
คนซื้อไปถ้าไม่มีฝีมือจริง สุดท้ายก็ไม่รอดหรอก

 wanwan015
3  พัฒนาเว็บไซต์ / วิจารณ์เว็บไซต์ / Re: โปรแกรมทัวร์เชียงใหม่.com เมื่อ: 14 ตุลาคม 2011, 20:52:43
- ไม่มีข้อมูลโปรแกรมเที่ยวเลย
- น่าจะใส่ tag สถานที่เที่ยว/จังหวัดลงในแต่ละ post ด้วย
- เมนูข้างขวาทำเป็นลิสของ post ทั้งหมดก็ดี ลูกค้าจะดูง่ายขึ้น เว็บก็ไม่โล่งไปด้วย
4  พัฒนาเว็บไซต์ / วิจารณ์เว็บไซต์ / Re: ACC Domain วิจารณ์ทีครับ โอเครึยัง เมื่อ: 14 ตุลาคม 2011, 20:48:28
ร้านค้าที่น่าเชื่อถือน่าจะมีเมนู about us กับ contact us นะครับ (คนอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่ผมดูส่วนนี้นะ)

about us = เราเป็นใคร ทำธุรกิจอะไร สินค้าคืออะไร เชี่ยวชาญเรื่องอะไร
contact us = ชื่อ / เบอร์โทร / email อะไรก็ว่าไป
5  พัฒนาเว็บไซต์ / วิจารณ์เว็บไซต์ / Re: thailandbadminton.com +1 ทุกท่าน เมื่อ: 14 ตุลาคม 2011, 11:51:52
แวบแรกเข้ามาถึงแล้วงงๆ ว่าเว็บนี้ไว้ทำอะไร ต้องใช้เวลาอ่านไล่ทั้งหน้า
 -> น่าจะมีคำอธิบายสั้นๆที่หัวเว็บ เป็นตัวหนังสือก็ได้ เช่น นัดเล่นแบต หาสนามแบต อุปกรณ์แบต

ประตรงเมนูข้างบนให้ไม่ซ้ำซ้อนกัน (เมนูที่ตัวหนังสือ เมนูที่เป็นรูปภาพ)
-> เลือกอันใดอันหนึ่งครับ แบบนี้งง จะยุบรวมกันก็ได้
6  ความรู้ทั่วไป / Search Engine Optimization / Re: ช่วยด้วยครับ ผมแปลไม่ออก -By adsene5438 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 02:57:36
แปลช้าไปหน่อย แต่ไหนๆก็แปลแล้วขอแปะละกัน
ถือซะว่าอ่านอีก version นะครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ  wanwan017



วิเคราะห์ link อย่างละเอียด

พวกเราชาว SEO มักจะจัดประเภท link ไปในข้างใดข้างหนึ่งไปเลยไม่ว่าจะสายขาวหรือดำก็ตาม
คือ link นี้ work ไม่ work, link นี้มีค่าสุดยอดหรือเป็นแค่ link ขยะ

มันเป็นความคิดที่น่ากลัว
เพราะหากว่าบางอย่างไม่ใช่ของที่สมบุรณ์แบบ เราก็มักจะมองว่ามันไร้ประโยชน์ไปเลย
แท้จริงแล้วในความไม่มีอะไร มันมีอะไรมากกว่านั้นโดยเฉพาะการสร้าง link

การสร้าง link มี 2 สำนัก
a) สักแต่ไปหาลิ้งมา
b) วิจัยและวิเคราะห์ทุกๆโอกาสในการได้ link ที่มีศักยภาพ

ถ้าคุณอยู่กลุ่มแรก post นี้ไม่ใช่หรับคุณนะ
แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มที่สอง post นี้จะช่วยคุณประเมิณค่าของ link ได้

ส่วนประกอบของ link อาจจะแบ่งได้เป็น 5 ส่วน
anchor text, ความน่าเชื่อถือ, ความสัมพันธ์, และ link ออก
5 ส่วนนี้ประกอบกันเป็นวงกลมดังรูป

ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่นะ
แล้ว authority หละ ?

5 สิ่งนั้นประกอบขึ้นเป็นวงกลม
ส่วน authority จะเป็นตัวกำหนดขนาดของวงกลมนี้

นั่นแปลว่าถ้า link คุณอยู่ใน web ที่มีคุณภาพสูง อยู่ในเว็บที่มี authority แล้วละก็
search engine จะให้ความสนใจในตัววัดของ link มากกว่าการที่ link คุณอยู่ในเว็บที่เป็น spam

ลองมาดูแต่ละตัววัดว่ามันหมายถึงอะไร


1. Authority : คุณภาพของเว็บที่ link มาหาเรา ? (น่าจะหมายถึง PR)

อย่างที่เกริ่นไว้ Authority หมายถึงขนาดของวงกลม
เว็บไหนที่ Authority เยอะ search engine ก็จะสนใจ link ขาออกจากเว็บนั้นมากขึ้น

tip: ในผลการ search ใน google ถ้า web คุณไม่ได้รับ 30 link จาก Authority เว็บแล้ว web นั้นก็ไม่ค่อยจะมีราคาสักเท่าไร


2. Anchor Text : ตัวหนังสือที่ใช้ทำ link ให้คนเห็น

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Anchor Text เป็นตัววัด link ที่สำคัญที่สุด
นักการตลาดเข้าใจสิ่งนี้ดี และมันก็ถูกต้อง เพราะเราก็เห็นแล้วจากการเกิดขึ้นของ google

การ spam comment blog เป็นปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ Anchor Text
เป็นเพราะว่าการวัด link จาก anchor text นี่หละ
ผมถึงต้องลบ comment ที่มาโพสใน blog ผมว่า "cheap online cash advance overnight."

แต่เพียง Anchor Text ที่ตรงเป๊ะอย่างเดียวไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จ
ต้องทำให้มันดูหลากหลายด้วย
search engine เก่งพอที่จะตรวจเจอ Anchor Text  ซ้ำๆกันที่ไม่เป็นธรรมชาติ


3. Trust : ความน่าเชื่อถือ

หลายคนพยายามจะเข้าใจความแตกต่างระหว่าง authority กับ trust
SEOmoz มีตัววัดของตัวเองที่เรียกว่า authority, mozRank และ mozTrust
ผมแนะนำให้อ่านเพื่อจะช่วยให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

การสร้าง trust กับ search engine คือกุณแจไปสู่อันดับที่ดี
และมีเพียงวิธีเดียวในการสร้าง trust
นั่นก็คือการได้ link มาจากเว็บที่มี trust ดีอยู่แล้ว

tip: การเขียน press release เป็นวิธีที่เยี่ยมยอดในการได้ link ที่น่าเขื่อถือ
เพราะเว็บข่าวและสื่อต่างๆได้รับการยอมรับจาก search engine อยู่แล้ว


4. Relevance : ความสัมพันธ์ของเนื้อหา

Relevance คือการวัดว่าเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณ กับเนื้อหาบนเว็บที่ link มาหาคุณ
มีความสัมพันธ์กันแค่ไหน เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ลองนึกถึง blog ที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย
ก็ควรจะ link ไป web ที่ขายลู่วิ่ง ไม่ใช่ link ไป web ที่ขายกล้องส่องทางไกล

อย่างไรก็ตามมันเป็นการยากที่จะตัดสินว่าเนื้อหาสัมพันธ์กันแค่ไหน
วิธีดีๆวิธีหนึ่งคือ ใช้ LDA tool ของ SEOmoz
โดยใส่ keyword ของคุณ และก็ URL ของหน้า web ที่คุณกำลังดูอยู่
คุณก็จะรู้ว่ามันสัมพันธ์กันแค่ไหน

tip: พยายามหา link จากเว็บที่มีเนื้อหาคล้ายๆกันกับของคุณ


5. Placement : ตำแหน่งของ link บนหน้าเว็บ

เดิมทีสูตรการคิด PR ของ Google สำหรับ link ในหน้า web หนึ่งๆ
จะเหมือนกันหมดทั้งหน้า คือทุก link มีผลค่า PR เท่าๆกัน
วิธีการนี้เรียกว่า Random Surfer Model

แต่ตอนนี้ Google และ search engine อื่นๆพัฒนาขึ้นมากพอสมควรแล้ว
Bill Slawski อธิบายว่า google น่าจะใช้ "Reasonable Surfer Model"
ในการคำนวณ PR ในปัจจุบัน

นั่นหมายความว่าถ้า link คุณอยู่ที่ส่วนท้ายๆของหน้า (footer) มันจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้เท่าไร
link ที่อยู่ในเนื้อหา ซึ่งมีโอกาสจะโดนคลิกจริงๆได้มากกว่า จะมีผลต่อ PR มากกว่า

เช่นเดียวกันกับ link ที่มาเป็น list หลายๆ link
คนส่วนใหญ่มักจะคลิก link ที่อยู่บนสุดของ list
ดังนั้น link ที่อยู่บนสุดก็จะมีผลต่อ PR มากกว่า

tip: พยายามให้ได้ link จากตำแหน่งในหน้าเว็บที่มีโอกาสสูงในการโดนคลิกจริงๆ


6. Outbound Links : link ออก

สมมติให้ทุก link ในหน้าเว็บมีผลต่อ PR เท่ากัน
จำนวน Outbound Links ที่ยิ่งมาก ก็จะยิ่งทำให้ Outbound Links แต่ละ link มีผลต่อ PR น้อยลง
แปลว่าทุกๆ Outbound Links ในหน้าเว็บจะทำให้ link คุณมีค่าลดลงไปนั่นเอง

นี่คือสาเหตุที่ทำไมพวก directory ถึงจะไม่ค่อยมีประโยชน์ในทุกวันนี้
เพราะว่ามันมี link เป็นร้อยๆ link ในหน้าเว็บ แล้วมันจะมีค่าอะไรถ้าเพิ่มไปอีก 1 link

tip: อย่าไปแปะ link คุณใน link farms หรือหน้าอื่นๆที่มี link อยู่เยอะแล้ว


สรุป

กลับมาที่ประเด็นเดิม ในวงการ SEO นั้น พวกเราพยายามจะเอาทั้งหมดหรือไม่ก็ไม่เอาเลย
มันค่อนข้างจะแปลกถ้าเราเห็นคนปฏิเสธโอกาสการวาง link ที่มี anchor text  ดีๆ ในตำแหน่งดีๆ บนหน้าเว็บที่เนื้อหาสัมพันธ์กับ link เรา เพียงเพราะว่ามันไม่ค่อยมี trust หรือ authority.

มันน่าตำหนิสำหรับผมนะ
แค่เพียงแค่คุณไม่สามารถเอาทุกๆชิ้นในวงกลมที่คุณต้องการมาได้
คุณก็ไม่ต้องการมันแล้วหรอ ?
ทำไมถึงปฏิเสธการเอาสิ่งเล็กๆน้อยๆเพียงเพราะคุณเอามันเยอะๆไม่ได้

เช่นเดียวกันกับบางส่วนของวงกลม
anchor text ที่ตรงแค่บางส่วนก็ไม่ดีเท่า anchor text ที่ตรงเป๊ะ
แต่มันก็ดีกว่าไม่มี link เลย

ผมไม่ได้กำลังบอกว่าคุณต้องเอา link มาจากทุกที่
แต่ถ้าคุณสามารถเอามาได้ 2 ส่วนของวงกลมผมก็จะเอา
แม้ว่าจะไม่ได้อีก 3 ชิ้นก็ตาม ...


(สรุปเอง)

ระลึกปัจจัยทั้ง 5-6 อย่างนี้ไว้ในหัวเสมอ
แล้วก็ทำ link ให้ดีที่สุดเท่าที่จำทำได้ อย่าเกี่ยงครับ !

 Cry
7  พัฒนาเว็บไซต์ / Link-Like Exchange / Re: แลก LIKE กันค่ะ เมื่อ: 29 กันยายน 2011, 12:34:52
กำลังทยอยกด Like ให้ทุกท่านข้างบนอยู่นะครับ
ฝากด้วยครับ  wanwan017


https://www.facebook.com/pages/ThaiIKEAClub/169699783112436
หน้า: [1]