ขอบคุณค่ะ เบื้องต้น อยากคุยกับเค้าส่วนตัวก่อน เพราะไม่อยากขึ้นศาลเหมือนกัน แต่ปัญหาคือ หาคู่กรณีไม่เจอค่ะ จริงๆ
มีอีก เล่มที่ละเมิดรูปไปเหมือนกัน แต่ติดต่อกันจบไปแล้ว ไม่ได้ขึ้นศาลด้วย เมย์ไม่ได้เป็นคนพูดยาก แต่เรื่องแบบนี้บางทีเรายอมเค้ามากเกินไป มันก็ทำให้คนเคยตัวค่ะ
คดีลิขสิทธิ์เรื่องไม่ยาวครับ เร็วจี๊ด เพราะเรามีศาลทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรงครับ
ถ้าฟ้องแล้วอีกฝ่ายยอมรับผิดก็จบตรงนั้นจ่ายค่าเสียหายไป
-ขึ้นอยู่ทุนทรัพย์ที่เราจะฟ้องครับ ที่คุณหมายถึงนั่นคือขั้นตอนการไกล่เกลี่ยก่อนขึ้นศาลครับ
แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม สู้คดี มันก็ยาววววววววว
-อันนี้ผิดครับ ถ้าอีกฝ่ายไม่มาสู้คดี เราสามารถยื่นคำร้องให้โจทก์ชนะคดีโดยการขาดนัดครับ นั่นคือเราชนะในทันที
หลักฐานที่จะนำมาต่อสู้เรื่องลิขสิทธิ์รูปภาพก็คือ
-Raw File ,ตัวกล้อง ,คนถ่าย ,ค่ากล้อง เช่น Canon 7D Len 50 88mm ISO 9000 ประมาณนี้ครับ (ผมมั่วนะแต่ประมาณนี้) ,สถานที่ที่ถ่าย ,ค่าแสง
กฎหมายไม่มีช่องโหว่ครับ แต่ทนายไม่เก่งมี เลยทำให้เกิดช่องโหว่
-เค้าเรียกกันสู้ด้วยเทคนิค เช่น คุณชนะชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์ไป คุณลืมแก้อุทธรณ์ หรือไปฟ้องแต่ทนายไม่ได้ส่งสำเนาคำฟ้อง ปิดหมาย อะไรต่างๆอีกเยอะ อันนี้เรียกว่าทนายไม่เก่ง
ทนายรวบรวมพยานหลักฐานน้อยไป หลักฐานไม่ได้มีแค่ภาพถ่ายนะครับ มีอีกเยอะมากๆ อันนี้อยู่ที่ประสบการณ์ของทนาย
ทนายจ้างแพงแน่ๆเลย
-ก็ขึ้นอยู่ทุนทรัพย์ที่คุณจะฟ้องนะครับ แล้วอยู่ที่คุณว่าจะจ้างทนายคนเดียวทั้ง 3 ศาลเลยไหม หรือเอาแค่ไกล่เกลี่ย กับชั้นต้นก่อน งานทนายที่แพงเพราะมีรายละเอียดอีกเยอะครับ
ฟ้องคดีนึง ไปศาลทีเป็น 10 รอบ ยื่นคำฟ้อง ยื่นบัญชี ระบุพยาน เพิ่มบัญชีระบุพยาน ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ คัดคำสั่งศาล มีอีกเยอะครับ
แล้วถ้าคุณเจ้าของกระทู้จะฟ้อง เรียกค่าเสียหาย ผมก็แนะนำว่าคุยกันก่อน เสนอเค้าไปว่าจะเอาค่าลิขสิทธิ์ภาพเท่าไหร่ หรือว่าเปลี่ยนเป็นโฆษณาร้านเราฟรีๆ ในหนังสือเล่มนั้น หลังหน้าบรรณาธิการ เต็ม 1 หน้าฟรีๆ ระยะเวลาสัก 1 ปีดีไหม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไรก่อนครับ เอาภาพออก ลงขอโทษ เงิน โฆษณา ประเมินเอาว่าอันไหนมีประโยชน์กับเรามากที่สุด
เพราะหนทางต่อสู้มันแตกต่างกัน