ไม่ต้องกลัวครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ด้วย ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ หลักๆก็แค่ คืนรถไปซะ เรื่องเงิน50000 ก็ถามรายละเอียดให้ชัดเจนว่า ค่าอะไร? ถ้าจ่ายไม่ได้ก็ บอกไปตกลงที่ศาล ยังไงศาลก็ให้ความช่วยเหลือครับไม่ต้องห่วง ศาลอาจจะพิจารณาตามรายได้/รายจ่าย ของผู้ค้ำ ว่ามีเท่าไร? หากมีน้อยก็อาจจะให้ผ่อนจ่ายตามกำลังที่จ่ายได้ ไม่ต้องกลัวครับ
ปล. คนแก่ๆ เค้ามักจะกลัว ศาล ครับเพราะมักจะคิดว่า การไปศาลเป็นเรื่องใหญ่ค่าใช่จ่ายเยอะ และสุดท้ายใครเงินน้อยก็ พลิก แพ้คดี แต่เดี้ยวนี้ ศาล มีความเป็นธรรมมากขึ้นครับ สู้ๆ เสียใจกับเรื่องพี่สาวด้วยนะครับ
เสียใจด้วยน่ะครับ เรื่องพี่สาว ลองคุยกับทางนั้นดีๆ ให้เขาส่ง หากไม่ส่งคงต้องมาดูว่า เงิน 50000 ที่ต้องจ่ายค่าอะไร ไม่ไหวผมแนะนำว่าปล่อยให้ฟ้องไม่เลวร้ายอย่างที่คิด มีหมายศาลมาก็ไปขึ้นไม่ต้องกลัว ไปไกล่เกลี่ยกันในศาล รับรองศาลให้ความเป็นธรรมแน่นอน ก็อาจบอกศาลตามความจริงศาลก็เห็นใจครับ บอกว่าเราไม่มีรายได้จ่ายได้เพียงเดือนล่ะ 500 - 1000 บาทเป็นต้น สำคัญอย่าไปกลัวศาล แล้วก็ถามที่มาเก็บเงิน 50000 ว่าค่าอะไรผ่อนได้ไหม เพราะเราไม่มีปัญญาจ่ายหรอกก้อนใหญ่ เราจ่ายได้เดือนเท่านี้... หากเขาไม่ยอมก็บอกไปตกลงกันในศาล แต่พูดดีๆ ไม่ต้องไปด่ากันหรอกครับ ยกเว้นมันมึนๆ ไม่ยอมก็ค่อยว่ากันอีกที เอาใจช่วยครับ ค่อยๆ คิด มันมีทางออกเสมอครับ

เห็นด้วยตามความเห็นนี้เลยครับ
เพิ่มเติมอีกนิด ใจเย็นครับก่อนอื่นตั้งสติก่อน ว่าหนี้ 50000 นี้เกิดจากอะไร
จากข้อมูล พ่อของคุณเป็นคนซื้อรถ และแม่ของคุณเป็นคนค้ำประกัน คงต้องรับผิดชอบทั้งขึ้น-ล่องอยู่แล้ว
แต่ ๆ พูดจริง ๆ นะครับ ค่าติดตาม 50000 นี้สูงจนน่าเกลียดและไม่เป็นธรรมเลยครับ
จากประสบการณ์ ซื้อรถแล้วโดนยึด...มาหลายคัน

....จะภูมิใจดีไหมนี่

ปกติ ธรรมดาของพวกทวงหนี้ก็จะขู่ให้จ่ายเงินด้วยไว้ก่อน แต่ถ้าเราไม่มีเงินจริง ๆ ก็หนักสุดแค่ยึดรถ รถคือคำตอบสุดท้าย
ที่พวกนี้อยากได้คืน เงินไม่เอาก็ได้ เพราะปกติค่าทวงยังไวบริษัทก็ต้องจ่ายให้พวกที่ทำหน้าที่ทวงอยุ่แล้ว
แต่ทำตามกฏไรงี้ ก็ต้องทำเป็นเข้ม ทวงกับผู้เช่าซื้อไว้ก่อน เผื่อแบบไม่เคย กลัวศาลจะได้ค่าเสียหายเพิ่มเติม
แนะนำว่า (ถ้าเป็นผม ผมจะทำแบบนี้ ประสบการณ์ของผู้เป็นหนี้ เอ็นพีแอล หลาย...

สำหรับคนไม่เคยเป็นหนี้เรื่องคุณใหญ่มาก)
ให้ทำใจเย็น ๆ แบบเข้ม ๆ เพื่อความมั่นใจในการพูดลองโทรปรึกษาทนายที่มีให้บริการฟรีก็ได้ครับ(พอดีจำไม่ได้ว่าเบอร์อะไร ลองหาดู)
เอาเบอร์มาโทรแทนพ่อเลยครับ เล่าให้เขาฟังพร้อมบอกเลย เราคืนรถแต่ไม่มีเงินจ่าย พี่สาวก็เสียไปแล้ว
หากคุณคิดจะหาคืนเขา (ซึ่งผมแนะนำให้คืนตอนไปขึ้นศาลแล้ว เพราะศาลท่านจะเมตตามาก ค่าผ่อนก็น้อยกว่า
ที่พวกนี้เรียกมากครับ ยกตัวอย่าง ถ้าให้พวกทวงหนี้เรียก เดือนละ 5000โน่นแหละ แต่ถ้าเป็นศาล 500-1000 ก็พอขอได้)
เก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์ ของพวกทวงหนี้ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นพวกอยุ่ในระบบ จะยอมให้คุณผ่อนอยู่แล้ว
ถ้าคุณไม่มีจ่ายอย่างที่พวกเขาเรียกเงิน เขาก็จะถามคุณว่าจ่ายได้เท่าไร (หลังจากต่อรองสุด ๆ แล้ว)
ก้เอาแต่กำลังของคุณจ่ายได้ ก็ว่าไป
แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ คุณบอกไปเลย งั้นคุณก็เจอกันที่ศาลแล้วกัน (พอเจอมุขนี้ พวกทวงหนี้ที่ไหนก็ถอยครับ)
ถ้าเขาไม่ถอย เจอกันที่ศาลก็ไม่ต้องกลัวครับ หมายศาลมาก็เซ็นรับไป แล้วไปให้ตรง คดีรถนี่
(กรณีที่เราคืนรถ เป็นคดีแพ่งครับ หากมารายงานตัวตรงกำหนด ไม่มีการจับครับ และไม่ต้องใช้เงินค้ำประกันด้วยครับ)
และพอไปถึงศาล ศาลท่านก็จะถามว่าเรามีทนายไหม ไม่มีตังก็ไม่ต้องไปหาทนายนะครับ
ขอศาลท่านเลยว่าต้องการทนายขอแรง ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายเงิน อาจจะมีน้ำใจให้ค่ารถเขาบ้าง
ศาลท่านก็จะจัดทนายขอแรงให้ครับ (พร้อมกับเลื่อนนัดพิจาณาคดีออกไป...
ซึ่งหาคดียังไม่สิ้นสุด อีกนานครับกว่าคุณจะได้จ่ายเงิน พอมีเวลาหาเก็บตังอีกเยอะ)
พอเลื่อนนัดแล้ว หากคุณพอเก็บเงินได้บ้าง อาจจะต่อรองผ่อน หรือไม่ก็สมมุติว่า เก็บเงินได้ 15000
อาจจะต่อรองว่ามีเงินแค่ 15000 จ่ายทีเดียวแล้วปิดบัญชีเลยได้ไหม หากไม่ตกลง ก็ยังไม่มีเงินให้
คุณขอผ่อนเดือน 500.. :

เก้าสิบเปอร์เซนต์ ของคู่กรณีมักจะเลือกเงินก้อนครับ เพราะรอคุณจ่าย 500 อีกนานกว่าจะครบ
(เพราะถ้าเราไม่มีจริง ๆ ศาลท่านเมตตาครับ ท่านไม่ถึงกับให้เราขายบ้านหรอกครับเชื่อผม)
(เพราะถ้าหากเรามีเจตนาที่จะ ใช้หนี้คืน แต่อาจจะน้อย หรือช้าไปหน่อย เพราะไม่มีเงิน ไม่เป็นไรครับ ศาลท่านมองที่เจตนาครับ)
(ตัวเลขที่ผมเป็นหนี้ มากกว่าคุณเยอะ ยังไม่ต้องขายบ้านเลยครับ...เพราะไม่มีให้ขาย

ใจเย็นครับ คิดเสียว่าหนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ มันจะช่วยคุณได้เยอะครับ)