ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  อื่นๆ / Cafe / ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดีให้ปลอดภัย ผลลัพธ์ออกมาดี เช็คฟิลเลอร์อย่างไร เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2025, 15:41:40
    การฉีดฟิลเลอร์เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้าและลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด ฟิลเลอร์สามารถใช้ได้หลากหลายบริเวณ เช่น เติมเต็มร่องแก้ม เสริมจมูก หรือเติมริมฝีปาก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการฉีดฟิลเลอร์ต้องมีการดูแลที่ดี และเลือกสถานที่ที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    ในบทความนี้เราจะพูดถึงการเลือกคลินิกที่ดีและปลอดภัยสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงวิธีการตรวจสอบฟิลเลอร์ให้มั่นใจว่าเป็นของแท้และมีคุณภาพ

วิธีเลือกคลินิกก่อนฉีดฟิลเลอร์
การเลือกคลินิกที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการ ฉีดฟิลเลอร์ เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ หากเลือกคลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่มีมาตรฐานอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การใช้ฟิลเลอร์ปลอม การติดเชื้อ หรือการได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดี คลินิกที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์ต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าคลินิกดังกล่าวมีการดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นของแท้และปลอดภัย หากคลินิกไม่มีใบอนุญาตหรือไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการ
  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง เพื่อความปลอดภัยในการฉีด และเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีความเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับใบหน้าของผู้รับบริการ แพทย์ควรมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์และควรมีการอัพเดตความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับเทคนิคต่าง ๆ อยู่เสมอ
  • ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการ การค้นหาความคิดเห็นและรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการในคลินิกนั้น ๆ จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ดีและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น รีวิวที่ดีจากผู้ใช้บริการจริงสามารถเป็นเครื่องมือในการเลือกคลินิกที่มีคุณภาพและปลอดภัย



วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ให้ปลอดภัย
  • ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะมีเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของ อย. การตรวจสอบเลขทะเบียนนี้ช่วยยืนยันว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทยและมีความปลอดภัย
  • ฟิลเลอร์แท้จะมีบรรจุภัณฑ์ที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์, หมายเลขล็อตการผลิต, และวันหมดอายุ โดยบรรจุภัณฑ์จะต้องไม่ชำรุดหรือเปิดใช้งานก่อน มีการปิดผนึกที่แน่นหนา เช่น ฝาปิดต้องไม่มีรอยขาดหรือรอยเปิด หากพบว่ามีการเปิดหรือรั่ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้
  • การฉีดฟิลเลอร์ควรทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น การที่แพทย์สามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่ใช้และเทคนิคการฉีดได้ จะช่วยยืนยันได้ว่าใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพ
  • การหาข้อมูลหรือรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกที่คุณเลือก จะช่วยให้คุณทราบถึงคุณภาพและความปลอดภัยของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงประสบการณ์การรักษาจากผู้ใช้บริการจริง
  • หลีกเลี่ยงฟิลเลอร์ที่มีราคาถูกเกินไป ฟิลเลอร์ที่มีราคาถูกมากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ควรระมัดระวังการเลือกฟิลเลอร์ราคาถูก เพราะอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรง

การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีด การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณได้เลือกประเภทฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้า และแพทย์สามารถประเมินสภาพผิวของคุณได้อย่างถูกต้อง การมีการปรึกษาก่อนจะช่วยให้คุณมั่นใจในการตัดสินใจ
  • งดใช้ยาบางชนิด หากคุณใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพรินหรือวิตามินอี ควรงดใช้ยาดังกล่าวก่อนการฉีดฟิลเลอร์ 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกิดฟกช้ำหรือเลือดออกในระหว่างการฉีด
  • งดแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนการฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวหรือเกิดอาการบวมมากเกินไป ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนการฉีด 1-2 วัน



การดูแลหลังการฉีดฟิลเลอร์
การดูแลหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากการเกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ตั้งตัวได้ดีและคงผลลัพธ์ที่ยาวนาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดทับบริเวณที่ฉีด หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดทับบริเวณที่ฉีดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เนื่องจากการกดทับอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือเกิดการไม่สม่ำเสมอ การสัมผัสหรือถูบริเวณที่ฉีดสามารถทำให้ฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวอย่างธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือบวมได้
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว ในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว เช่น การออกกำลังกายหนัก ๆ การยกของหนัก หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายอุณหภูมิสูงเกินไป เช่น การอบซาวน่า เพราะอาจทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เกิดการบวมมากขึ้น การที่เลือดสูบฉีดเร็วหรือการเคลื่อนไหวมากเกินไปอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์เกิดการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ และทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนจากตำแหน่งเดิม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน หรือการทำสปาที่มีความร้อนสูงในช่วง 1-2 วันแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ ความร้อนสามารถเพิ่มการบวมและทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเคลื่อนตัวได้ โดยการใช้ความร้อนสูงอาจกระทบต่อกระบวนการฟื้นตัวของผิวหนัง และทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีตามที่คาดหวัง
  • ทาครีมบำรุงตามคำแนะนำของแพทย์ หลังการฉีดฟิลเลอร์ควรใช้ครีมบำรุงที่แพทย์แนะนำ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้นและลดการระคายเคืองจากการฉีดฟิลเลอร์ การเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยบำรุงผิวและลดอาการบวมจะช่วยให้ฟิลเลอร์ตั้งตัวและรักษาผิวให้มีความยืดหยุ่นดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีสารที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือผลข้างเคียง เช่น ครีมที่มีกรด AHA หรือวิตามินซีสูง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่บริเวณที่ฉีด หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการใช้เครื่องสำอางที่บริเวณที่ฉีดใน 1-2 วันแรก เพื่อให้บริเวณดังกล่าวมีเวลาฟื้นฟูและลดโอกาสในการติดเชื้อ การใช้เครื่องสำอางที่อาจทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนหรือระคายเคืองต่อผิวอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรืออาการบวม
  • งดการนอนตะแคงหรือหงายเกินไป ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือหงายเกินไป เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนตัวจากตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงตามที่ต้องการ ควรนอนหงายและพยายามให้ศีรษะอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงเพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ตั้งตัวได้ดีขึ้น
  • ตรวจสอบและรักษาสภาพผิว หากบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มีอาการบวม ร้อน หรือแดง ควรทำการประคบเย็นบริเวณนั้นเพื่อช่วยลดอาการบวม โดยให้ประคบเย็นเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นหากมีอาการบวมมากหรือเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลและคำแนะนำเพิ่มเติม
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์หลังการฉีดฟิลเลอร์สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การบวมมากขึ้น หรือการฟื้นฟูผิวที่ช้าลง แอลกอฮอล์สามารถทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการบวมมากขึ้น ส่วนการสูบบุหรี่อาจทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2-3 วันหลังการฉีด



สรุป
การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ช่วยปรับรูปหน้าและลดริ้วรอยได้อย่างรวดเร็วและมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่การเลือกคลินิกและฟิลเลอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรตรวจสอบใบอนุญาตของคลินิก, ประสบการณ์ของแพทย์, และคุณภาพของฟิลเลอร์ก่อนการตัดสินใจ ฉีดฟิลเลอร์ควรทำที่คลินิกที่มีมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย
2  อื่นๆ / Cafe / Pico Laser กี่ครั้งถึงเห็นผล? เคล็ดลับดูแลผิวให้กระจ่างใสไร้รอยดำ เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2025, 16:19:48
การทำ Pico Laser ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยสิวเป็นสิ่งที่หลายคนกังวลใจ เพราะส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล? และ มีวิธีดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด? บทความนี้มีคำตอบให้คุณค่ะ
 



Pico Laser คืออะไร?
Pico Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานแสงในระดับพิโควินาที (Picosecond) ซึ่งสั้นกว่านาโนวินาทีถึง 1,000 เท่า เลเซอร์นี้สามารถทำลายเม็ดสีส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วกว่าเลเซอร์แบบเดิม และมีความปลอดภัยสูง



Pico Laser กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
Pico Laser ทำกี่ครั้งนั้น สำหรับจำนวนครั้งที่ต้องทำขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลและระดับความรุนแรงของเม็ดสีหรือรอยดำ โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้
  • รอยดำจากสิวและจุดด่างดำทั่วไป: 2-3 ครั้ง
  • ฝ้า กระ และปัญหาเม็ดสีฝังลึก: 4-6 ครั้ง
  • การลบรอยสัก: 5-10 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับสีและความเข้มของรอยสัก)
  • การปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสโดยรวม: 1-3 ครั้ง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นหลังทำไปประมาณ 2-3 ครั้ง แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์



Pico Laser และเคล็ดลับดูแลผิวหลังทำ
เพื่อให้ผลลัพธ์ของการทำ Pico Laser มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรดูแลผิวตามคำแนะนำดังนี้
1. หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง หลังทำเลเซอร์ ผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และหากต้องออกแดดควรใช้ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และ PA+++ ขึ้นไป รวมถึงสวมหมวกหรือกางร่มเพื่อปกป้องผิว
2. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน ควรเลือกใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูผิว และไม่มีสารระคายเคือง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้
3. งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หลังทำเลเซอร์ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol หรือสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและอาการลอกของผิว
4. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักๆ หลังทำเลเซอร์ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือถ้าจำเป็นควรเลือก เครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic) และทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน
5. ดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน เช่น วิตามินซีและอี จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น


สรุป
Pico Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับเลเซอร์แบบเดิม จำนวนครั้งที่ต้องทำขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะเห็นผลตั้งแต่ 2-3 ครั้งขึ้นไป แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงแสงแดด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน และการดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น และช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดี กระจ่างใส ไร้รอยดำได้อย่างมั่นใจ หากคุณกำลังพิจารณาทำ Pico Laser อย่าลืมเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เช่นที่ Vincent Clinic เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผิวของคุณ
3  อื่นๆ / Cafe / Juvelook คืออะไร เหมาะกับใคร ต่างจากสกินบูสเตอร์ตัวอื่นอย่างไร? เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2025, 16:47:24
Juvelook อีกหนึ่งสกินบูสเตอร์ที่ช่วยดูแลและฟื้นฟูผิวพรรณจากภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันที่ต้องการความรวดเร็ว มีเวลาในการดูแลตัวเองน้อย ต้องเผชิญกับมลภาวะมากมายที่เข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลาซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยากทำให้ต้องหาตัวช่วยอย่าง จูวีลุค หลายคนยังคงมีความสงสัยว่าหัตถการนี้คืออะไร ช่วยอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร ราคาเท่าไหร่ ผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่เดือน ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล สามารถติตดามอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้



Juvelook คืออะไร?
Juvelook เป็นสกินบูสเตอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มของ Hybrid Biostimulator ซึ่งมีส่วนผสมหลัก ๆ อย่าง Poly D,L-Lactic Acid (PDLLA) และ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ผ่านการเชื่อมโยงโมเลกุล (Non-crosslinked HA) โดยส่วนผสมเหล่านี้มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟู และดูสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ HA ยังช่วยเติมเต็มบริเวณที่ขาดหายไปในชั้นผิวทำให้ผิวดูอิ่มเอิบและเรียบเนียนขึ้น จึงเหมาะสำหรับการใช้ในการปรับสภาพผิวที่หยาบกร้าน ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวให้กระจ่างใสได้เป็นอย่างดี

Juvelook ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
Juvelook เป็นตัวช่วยที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ เติมความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอย มาดูกันว่า Juvelook ช่วยได้ในเรื่องอะไรบ้าง
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว Juvelook ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและฉ่ำน้ำ ดูสดใสขึ้น
  • กระชับรูขุมขน การกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  • ลดเลือนริ้วรอย ผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยยับต่าง ๆ จางลง
  • ช่วยให้ผิวอิ่มฟูเต็มขึ้น Juvelook สามารถช่วยทำให้ผิวดูอิ่มฟู มีวอลลุ่มมากขึ้น
  • แก้ปัญหาหลุมสิว Juvelook กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • ลดจุดด่างดำและรอยแตกลาย: การฟื้นฟูผิวด้วย Juvelook ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและรอยแตกลายบนผิวหนังให้ดูจางลง




Juvelook ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?
Juvelook สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้าและผิวหนังเพื่อช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดมีดังนี้
  • ทั่วใบหน้า: ช่วยให้ผิวโดยรวมดูอิ่มฟู กระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • หน้าผาก: ช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้รอยยับบนหน้าผากดูจางลง
  • แก้ม: ช่วยกระชับรูขุมขน และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ใต้ตา: ช่วยลดปัญหาความหมองคล้ำใต้ตา ทำให้ผิวใต้ตาดูเต็มขึ้นและริ้วรอยจางลง
  • หลุมสิว: การฉีด Juvelook สามารถช่วยฟื้นฟูและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • ตีนกาและลำคอ: ช่วยให้ริ้วรอยบริเวณตีนกาและลำคอจางลง ผิวดูเรียบเนียน

Juvelook เหมาะกับใครบ้าง?
Juvelook เป็นหัตถการที่สามารถฉีดได้กับคนทุกรูปแบบผิวพรรณ โดยเฉพาะคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวพรรณจากภายใน และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น
  • ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างและผิวหยาบ
  • ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความอิ่มฟูให้ผิวและเพิ่มความฉ่ำวาว
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา
  • ผู้ที่มีริ้วรอยหรือรอยยับ เช่น รอยตีนกา และริ้วรอยบริเวณลำคอ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง และมักแต่งหน้าไม่ติด

Juvelook ราคาเท่าไหร่?
ราคาของ Juvelook ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณที่ใช้ โดยแพทย์จะประเมินจากปัญหา สภาพผิว และความต้องการของคนไข้ที่แตกต่างกันออกไป โดยราคาทั่วไปจะเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 – 25,000 บาท



Juvelook ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล? ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
การฉีด Juvelook จะเริ่มเห็นผลทันทีหลังจากการฉีดครั้งแรก โดยปัญหาผิวบางอย่างอาจจะเริ่มเห็นผลหลังจากผ่านไปประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนขึ้นในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากฉีด โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี หากต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานสามารถฉีดย้ำทุก 6-12 เดือนตามคำแนะนำของแพทย์

Juvelook กับสกินบูสเตอร์ตัวอื่น ๆ อย่างไร?
Juvelook กับสกินบูสเตอร์ตัวอื่น ๆ เช่น Sculptra หรือ Rejuran จะเห็นว่า Juvelook มีความแตกต่างในเรื่องของส่วนผสมและผลลัพธ์ที่ได้
  • Juvelook ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู ฉ่ำวาว ช่วยให้รูขุมขนกระชับและหลุมสิวตื้นขึ้น
  • Sculptra มีคุณสมบัติช่วยยกกระชับผิว และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว
  • Rejuran เน้นการซ่อมแซมผิว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
Juvelook จึงมีความโดดเด่นในเรื่องของการช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งและอิ่มฟู โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น

ดูแลหลังฉีด Juvelook อย่างไร?
เพื่อให้ผลลัพธ์ของ Juvelook คงอยู่นานและดูดีขึ้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ดังนี้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
  • ห้ามนวดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดอย่างแรงในช่วงแรก
  • งดแต่งหน้าหรือทาครีมใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากการฉีด
  • ทาครีมกันแดดและมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น

Juvelook เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างล้ำลึก ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเติมเต็มผิวที่อิ่มฟู ฉ่ำวาว ช่วยแก้ปัญหาผิวที่หยาบกร้านและริ้วรอยต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนหรือเจ็บปวด สามารถเห็นผลได้ในระยะเวลาอันสั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลผิวให้ดูดีและสดใสได้อย่างยั่งยืน สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์มากประสบการณ์ด้านหัตถการสกินช่วยประเมินปัญหาและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด
4  อื่นๆ / Cafe / Ultraformer MPT คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2025, 12:37:40
Ultraformer MPT เครื่องยกกระชับผิวที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากดูแลตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องการการผ่าตัด อีกทั้งยังสามารถช่วยสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและเวลามีจำกัด การดูแลตัวเองให้สวยงามและมีสุขภาพดีอาจกลายเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน แม้ว่าหลายคนจะพยายามดูแลตัวเองจากภายใน แต่การดูแลความงามภายนอกก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อช่วยคลายข้อสงสัยว่าหัตถการนี้คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เหมาะกับใครบ้าง ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้



Ultraformer MPT คืออะไร?
Ultraformer MPT เป็นเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี Focused Ultrasound โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นผิวหนังให้กระชับและมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยี Hyperthermia Lifting Therapy ซึ่งจะทำการส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนังในระดับที่ลึกพอสมควร โดยมีสองรูปแบบหลักๆ ของพลังงานที่เครื่องนี้ใช้ ได้แก่ Micro Focused Ultrasound และ Macro Focused Ultrasound ซึ่งแต่ละแบบจะมีระดับความลึกในการยิงพลังงานที่แตกต่างกัน
  • Micro Focused Ultrasound จะสามารถยิงพลังงานลึกได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ 1.5 มม., 3 มม., และ 4.5 มม. โดยพลังงานนี้จะปล่อยออกมาในรูปแบบของจุดเล็กๆ ขนาดเพียง 0.5 มม. ซึ่งจะเกิดความร้อนประมาณ 65 – 75 องศาเซลเซียส และสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ผิวหนังเกิดการหดตัวและกระชับขึ้น
  • Macro Focused Ultrasound จะสามารถส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกถึง 3 ระดับ ได้แก่ 6 มม., 9 มม., และ 13 มม. การปล่อยพลังงานในรูปแบบนี้จะมีขนาดจุดที่ใหญ่กว่า โดยมีขนาดประมาณ 1 มม. ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนที่ช่วยสลายไขมันสะสมใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับและรูปร่างดีขึ้น


Ultraformer MPT ช่วยอะไรได้บ้าง?
Ultraformer MPT เป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากสามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยและรูปร่างต่างๆ ได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะในเรื่องการยกกระชับผิวหน้าและสลายไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิว สามารถช่วยได้ในหลายๆ ปัญหา ดังนี้
  • ยกกระชับผิว: ช่วยให้ผิวหน้ากระชับขึ้น แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทั้งบริเวณใบหน้าและลำคอ
  • ปรับรูปหน้า: ช่วยให้หน้าดูเรียวขึ้น โดยเฉพาะการกำจัดไขมันส่วนเกินใต้ผิว
  • ลดริ้วรอย: เช่น รอยตีนกา รอยยับระหว่างคิ้ว ร่องแก้มและมุมปาก ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • ยกหางคิ้วและแก้ปัญหาหนังตาตก: ช่วยยกหางคิ้วให้สูงขึ้น และยกหนังตาที่ตกลงมา
  • ลดเหนียงและสลายไขมันใต้ผิว: ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณเหนียง คางสองชั้นหรือบริเวณต่างๆ ที่มีไขมันสะสม
  • กระตุ้นคอลลาเจน: ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น
  • ยกกระชับผิวคอและลำตัว: ไม่เพียงแค่ใบหน้า แต่ยังช่วยยกกระชับผิวในบริเวณคอและลำตัวด้วย



Ultraformer MPT เหมาะกับใครบ้าง?
Ultraformer MPT เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลปัญหาผิวพรรณและรูปร่างที่เกิดจากการหย่อนคล้อยหรือมีไขมันสะสม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการยกกระชับทั้งผิวหน้าและผิวคอ
  • ผู้ที่มีปัญหาหนังตาหย่อน คิ้วตก หางตาตก
  • ผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย ร่องแก้มหรือมุมปากตก
  • ผู้ที่มีปัญหาหน้ากลม กรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือคางสองชั้น
  • ผู้ที่ต้องการปรับหน้าให้เรียวขึ้นและได้รูป
  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมตามร่างกาย และอยากลดไขมันเฉพาะจุด เช่น ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง



Ultraformer MPT กับ Ultraformer III แบบไหนดีกว่ากัน?
ถึงแม้ว่า Ultraformer MPT และ Ultraformer III จะมีเทคโนโลยีและหลักการทำงานคล้ายกัน แต่ Ultraformer MPT มีความสามารถในการปรับรูปแบบพลังงานและระดับความลึกของพลังงานที่ยิงเข้าสู่ผิวได้หลากหลายมากกว่า โดยมีหัวยิงหลายแบบที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การทำหัตถการรวดเร็วขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

Ultraformer MPT กับ Ulthera เครื่องตัวไหนดีกว่ากัน?
Ultraformer MPT และ Ulthera ใช้เทคโนโลยี Focused Ultrasound ในการยกกระชับผิว แต่มีความแตกต่างกันในด้านการใช้งานและผลลัพธ์ โดย Ulthera จะเน้นยกกระชับเฉพาะจุด เช่น บริเวณผิวหน้าและลำคอ ส่วน Ultraformer MPT นั้นสามารถใช้ยกกระชับพร้อมกับสลายไขมันได้หลากหลายตำแหน่ง ทั้งใบหน้าและลำตัว

Ultraformer MPT อันตรายไหม?
Ultraformer MPT เป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก อย. และผ่านการทดสอบมาตรฐานการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องนี้ปลอดภัย แต่หากใช้เครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นเครื่องปลอม อาจเกิดปัญหาผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ผิวไหม้ หรือรอยดำบนผิว

Ultraformer MPT ราคาเท่าไหร่?
ราคา Ultraformer MPT โดยทั่วไปเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำ ระดับปัญหาที่ต้องการรักษา จำนวนช็อตที่ใช้ เป็นต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด

Ultraformer MPT เจ็บไหม?
การทำ Ultraformer MPT อาจมีความรู้สึกเจ็บหรืออุ่นที่บริเวณผิวบ้าง เนื่องจากพลังงานความร้อนที่สะสมอยู่ใต้ผิว แต่จะสามารถปรับระดับความเจ็บปวดได้ตามความเหมาะสมและจะมีการทายาชาร่วมด้วยเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด

Ultraformer MPT ทำบ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไป แนะนำให้ทำการรักษาด้วย Ultraformer MPT ทุก 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์และช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

Ultraformer MPT เป็นนวัตกรรมการยกกระชับและสลายไขมันที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวพรรณและรูปร่างได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย หรือกระชับรูปร่าง รวมทั้งช่วยสลายไขมันสะสมในบริเวณต่างๆ ของร่างกายได้โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลตัวเองแบบไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นฟูผิวพรรณให้กลับมาสุขภาพดีแข็งแรง ใบหน้าสวยได้รูปมากขึ้น แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลยค่ะ
5  อื่นๆ / Cafe / เสริมจมูก มีกี่เทคนิค แต่ละเทคนิคต่างกันอย่างไร เหมาะกับใคร? เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2025, 16:16:22
เสริมจมูกเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูดีขึ้นและช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความงามบนใบหน้า ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีหลายเทคนิคที่ใช้ในการเสริมจมูก เช่น การเสริมจมูกแบบโอเพ่น, ปิด, Semi-Open และ SSTP ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุดนั้นจึงขึ้นอยู่กับลักษณะใบหน้า โครงสร้างจมูก รวมถึงผลลัพธ์ที่ต้องการจากการเสริมจมูก



ทำไมต้องเสริมจมูก SSTP?
เสริมจมูก SSTP (Space, Volume, Force, Suture) เป็นเทคนิคเสริมจมูกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีจุดเด่นหลายประการที่ช่วยทำให้จมูกมีทรงสวยโด่งและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เทคนิคนี้เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมจมูก ให้มีปลายโด่งและมีความพุ่งชัดเจน รวมถึงคนที่มีเนื้อจมูกน้อยหรือมีปัญหาจมูกเบี้ยว จากการใช้เทคนิค SSTP นี้จะช่วยให้จมูกมีเส้นสายที่ดูดีและมีความสวยงามในแบบที่เป็นธรรมชาติ



ข้อดีของการเสริมจมูก SSTP
  • Space: การเสริมจมูกด้วยเทคนิค SSTP จะเพิ่มพื้นที่ภายในโพรงจมูก ทำให้สามารถใส่ซิลิโคนได้มากขึ้นและช่วยให้ทรงจมูกดูโด่งพุ่งได้ตามต้องการ
  • Volume: คนที่มีเนื้อจมูกน้อยสามารถเสริมจมูกให้มีลักษณะที่โด่งพุ่งได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็นธรรมชาติของทรงจมูก
  • Force: เทคนิคการเย็บปลายจมูกแบบอินเตอร์โดมช่วยให้ปลายจมูกยกขึ้นได้ ทำให้ทรงจมูกดูเรียวและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • Suture: การใช้เทคนิคเย็บที่ทันสมัยช่วยให้แผลหายไวและยุบบวมเร็ว ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่มองเห็นได้
นอกจากนี้ เทคนิค SSTP ยังเป็นเทคนิคที่ไม่มีแผลภายนอก ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการมีแผลที่มองเห็นได้ ช่วยให้ผู้ที่ทำการเสริมจมูกสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการฟื้นฟูระยะยาว

ข้อจำกัดของการเสริมจมูก SSTP
แม้ว่าการเสริมจมูก SSTP จะเป็นเทคนิคที่มีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อจำกัดในบางกรณี หากต้องการปรับแก้โครงสร้างที่ซับซ้อนมาก เช่น การแก้ไขจมูกที่มีปัญหามากจากการทำศัลยกรรมมาก่อนหรือการมีโครงสร้างจมูกที่ต้องปรับปรุงอย่างมาก เทคนิคนี้อาจไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างภายในได้ง่ายเหมือนเทคนิคอื่น ๆ



เสริมจมูกเทคนิค SSTP กับเทคนิค Semi-Open ต่างกันอย่างไร?
เสริมจมูกด้วยเทคนิค SSTP และ Semi-Open มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาจมูกและความต้องการของผู้ที่เข้ารับการเสริมจมูก

การเสริมจมูกแบบ Semi-Open
เสริมจมูก เทคนิค Semi-Open เป็นการเปิดแผลบริเวณจมูกทั้งสองข้าง ทำให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างภายในจมูกได้อย่างชัดเจน เทคนิคนี้เหมาะสำหรับคนที่มีฐานจมูกเอียงหรือมีฮัมพ์จมูกที่ใหญ่ ปลายจมูกที่กว้างหรือเบี้ยว ซึ่งสามารถใช้เทคนิค Semi-Open เพื่อปรับแก้โครงสร้างจมูกให้ดูสวยและสมดุลยิ่งขึ้น

ข้อดีของเทคนิคเสริมจมูก Semi-Open
สามารถปรับโครงสร้างภายในได้อย่างละเอียด ทำให้เหมาะกับคนที่มีปัญหาจมูกที่ซับซ้อน เช่น จมูกเอียงหรือปลายจมูกกว้าง
ช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นไม่เห็นภายนอกมากเท่าการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ซึ่งจะลดความกลัวของการมีแผลที่มองเห็นได้
ฟื้นฟูได้เร็วกว่าเทคนิคโอเพ่น แต่ยังคงความสามารถในการปรับทรงจมูกได้อย่างแม่นยำ

ข้อจำกัดของ Semi-Open
แม้ว่าเสริมจมูก Semi-Open จะสามารถแก้ไขปัญหาของจมูกได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการในการใช้งานในกรณีที่ต้องการการปรับโครงสร้างที่ซับซ้อนหรือการขูดสารแปลกปลอมออกจากจมูก ในกรณีเช่นนี้ เทคนิคนี้อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ดีเท่า SSTP

การใช้วัสดุในการเสริมจมูก
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกหลัก ๆ คือ ซิลิโคน ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับในวงการศัลยกรรมตกแต่ง มีทั้งแบบที่แข็งและนิ่ม โดยจะเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะจมูกของแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีกระดูกอ่อนที่ใช้ในการเสริมจมูก เช่น กระดูกอ่อนหลังหู กระดูกอ่อนซี่โครง หรือกระดูกอ่อนจากผนังกั้นจมูก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการทะลุของซิลิโคนและทำให้จมูกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

เสริมจมูกสำหรับผู้ชายและผู้หญิง
การเสริมจมูกไม่เพียงแต่ช่วยปรับโฉมใบหน้าให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมความมั่นใจให้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ละเพศก็มีลักษณะการเสริมจมูกที่แตกต่างกันไป สำหรับผู้ชายมักจะเน้นการเสริมจมูกให้มีสันโด่งและชัดเจนมากขึ้นเพื่อเพิ่มความคมเข้มให้กับใบหน้า ส่วนผู้หญิงจะเน้นการเสริมจมูกให้มีลักษณะที่หวานและมีความสโลปสวยงามตามธรรมชาติ

เสริมจมูก SSTP เป็นเทคนิคที่มีความทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเสริมจมูกให้โด่งสวยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการมีแผลภายนอก และยังช่วยให้จมูกดูสวยขึ้นในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ แต่การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลยังคงขึ้นอยู่กับลักษณะของจมูกและความต้องการในการปรับแต่ง โดยการเสริมจมูกที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้ใบหน้าดูสวยงามมากยิ่งขึ้น  โดย ราคา เสริมจมูก ขึ้นอยู่กับการเลือกเทคนิคการเสริมจมูกที่เหมาะสมกับลักษณะของจมูกเดิม ความต้องการของผู้รับบริการ และข้อดีข้อเสียของแต่ละเทคนิค หากใครที่ต้องการเสริมจมูกครั้งแรก อยากแก้จมูกที่เคยทำมาแล้วเกิดปัญหา ต้องการเปลี่ยนทรงจมูก แนะนำให้เข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด
6  อื่นๆ / Cafe / Volnewmer คืออะไร ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม? เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2025, 15:12:27
Volnewmer เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเทคโนโลยีความงามทาก้าวล้ำไปไกลมากจนสามารถแก้ไขปัญหาผิวพรรณและรูปร่างได้โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือการพักฟื้นเป็นเวลานาน สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง กระชับ และช่วยสลายไขมันไปพร้อมกัน ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับหัตถการนี้อย่างละเอียด รวมถึงไขข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัย จำนวนครั้งที่ต้องทำเพื่อให้เห็นผล และระยะเวลาที่ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน



Volnewmer คืออะไร?
Volnewmer เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวและสลายไขมันที่ใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF (Radiofrequency) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงไปยังชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มฟู ลดริ้วรอย และช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จุดเด่นของ Volnewmer คือระบบ Hydro-Cooling System และ Contact Cooling System ซึ่งช่วยลดอาการระคายเคืองและป้องกันความร้อนสูงเกินไปที่อาจทำให้ผิวเบิร์น นอกจากนี้ยังมีระบบสั่นที่ช่วยลดความเจ็บระหว่างทำหัตถการ ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้นกว่าการใช้เทคโนโลยี RF แบบเดิม

Volnewmer ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
Volnewmer เป็นตัวช่วยที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวพรรณและรูปร่างได้หลากหลาย โดยสามารถทำได้ทั้งบนใบหน้าและร่างกาย เช่น
  • ยกกระชับผิวหน้าและลำตัว – เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด หรือใบหน้าดูมีอายุ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน – ช่วยให้ผิวแน่นขึ้นและอิ่มฟูจากภายใน ผิวดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก – สามารถช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม และบริเวณลำคอได้
  • กระชับรูขุมขนและปรับผิวให้เรียบเนียน – ทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น ลดความมันและปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ
  • สลายไขมันส่วนเกิน – สามารถช่วยลดไขมันบริเวณเหนียง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพก ทำให้รูปร่างดูเฟิร์มขึ้น

Volnewmer อันตรายไหม?
Volnewmer เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง เพราะใช้คลื่นวิทยุที่สามารถควบคุมพลังงานได้อย่างแม่นยำ และมีระบบความเย็นที่ช่วยปกป้องผิวจากการเบิร์น นอกจากนี้ยังเป็นหัตถการที่ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดสารเติมเต็ม และไม่ต้องใช้เข็ม จึงลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรม อย่างไรก็ตาม การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการใช้พลังงาน RF ที่มากเกินไปหรือการทำโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อน ผิวไหม้ หรือไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเท่าที่ควร

Volnewmer ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง?
Volnewmer สามารถทำได้ทั้งใบหน้าและร่างกาย โดยมีหัวทิปที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะกับแต่ละบริเวณ:
  • ใบหน้า ยกกระชับ กรอบหน้าชัด ลดริ้วรอย หน้าดูเด็กลง
  • ลำคอ ลดความหย่อนคล้อย ให้ลำคอเรียบเนียน
  • เหนียง ลดไขมันใต้คาง ช่วยให้คอดูเรียวยาวขึ้น
  • ต้นแขน ต้นขา กระชับกล้ามเนื้อ ลดเซลลูไลท์
  • หน้าท้องและสะโพก ลดไขมันส่วนเกิน ทำให้หุ่นดูสมส่วนขึ้น

Volnewmer เจ็บไหม?
Volnewmer ออกแบบมาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ ระบบ Contact Cooling System และระบบสั่น ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เคยทำหัตถการนี้มักจะรู้สึกเพียงอุ่น ๆ บริเวณที่ทำ แต่ไม่ถึงกับเจ็บปวดมากเหมือนเทคโนโลยี RF แบบเดิม

Volnewmer ควรทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?
จำนวนครั้งการทำ Volnewmer ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและบริเวณที่ทำ โดยทั่วไป แนะนำให้ทำประมาณ 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง หากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น สามารถทำซ้ำได้ทุก 6-12 เดือน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและคงความกระชับของผิวอย่างต่อเนื่อง

Volnewmer vs Thermage vs Ultraformer ต่างกันอย่างไร?
Volnewmer vs Thermage
Volnewmer มีระบบทำความเย็นที่ช่วยลดความเจ็บขณะทำ ขณะที่ Thermage มักทำให้รู้สึกแสบร้อนมากกว่า
Volnewmer ปล่อยพลังงานได้สม่ำเสมอกว่า ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
Thermage มักใช้กับผู้ที่ต้องการยกกระชับอย่างเข้มข้น แต่ Volnewmer จะให้ผลลัพธ์ที่ดูฟูและอิ่มน้ำมากกว่า

Volnewmer vs Ultraformer
Volnewmer ใช้คลื่น Monopolar RF ที่ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และเน้นกระตุ้นคอลลาเจน
Ultraformer ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Micro and Macro Focused Ultrasound) ที่ลงลึกถึงชั้น SMAS เหมาะกับการปรับรูปหน้าและยกกระชับในระดับที่มากขึ้น

Volnewmer ราคาเท่าไหร่?
ราคา Volnewmer จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคลินิกที่เลือกและบริเวณที่ทำ โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะขึ้นอยู่กับ:
  • จำนวนช็อตที่ใช้
  • ตำแหน่งที่ทำ
  • ความซับซ้อนของปัญหา
  • ประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการรักษา
โดยราคาทั่วไปเริ่มต้นที่ประมาณ 9,000 – 30,000 บาท แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาโดยตรงกับแพทย์เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน



ดูแลตัวเองหลังทำ Volnewmer
หลังจากทำ Volnewmer ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดและควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมในช่วงแรก
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวระคายเคืองในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก

Volnewmer เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการ ยกกระชับผิว ฟื้นฟูคอลลาเจน และสลายไขมัน โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดขึ้นหลังทำ 4-6 ครั้ง และสามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน หากดูแลตัวเองอย่างดี หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวและกระชับรูปร่างแบบไม่ต้องผ่าตัด Volnewmer อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลยค่ะ
7  อื่นๆ / Cafe / สิว คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาให้เห็นผลแบบไหนบ้าง? เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2025, 14:29:18
สิว เป็นปัญหาผิวที่อาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจและมีผลกระทบต่อความมั่นใจในตนเอง แม้ในบางครั้ง สิวจะไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่ในการใช้ชีวิต แต่การมีผิวหน้าที่สวยสะอาดไร้สิวก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนปรารถนา การจัดการสิวไม่ได้ยากเกินไปหากเรารู้วิธีการดูแลผิวอย่างถูกต้องและเหมาะสม บทความนี้จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการสิว ตั้งแต่การป้องกันจนถึงการฟื้นฟูผิวให้กลับมาใสอีกครั้ง พร้อมทั้งเคล็ดลับในการดูแลผิวหน้าให้ห่างไกลจากสิว



สิว คืออะไร?
สิว คือโรคผิวหนังที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ, ตุ่มแดง, ตุ่มอักเสบ หรือสิวหัวหนอง และมักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่ สิวเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้รูขุมขนและต่อมไขมันทำงานผิดปกติ ซึ่งสิวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่

สาเหตุการเกิดสิว มีอะไรบ้าง?
สิวนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้รูขุมขนและต่อมไขมันทำงานผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลักดังนี้
  • การอุดตันของรูขุมขน: สิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเกิดจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วมารวมกับน้ำมันจากต่อมไขมัน ทำให้เกิดสิวอุดตันชนิดต่าง ๆ เช่น สิวหัวขาวและสิวหัวดำ
  • การทำงานของต่อมไขมันมากเกินไป: ต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันมากเกินไปเมื่อมารวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและแบคทีเรียจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่นหรือช่วงที่มีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิดสามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้เกิดสิวได้
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย: แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งอยู่บนผิวหนังสามารถเติบโตในรูขุมขนอุดตันและทำให้เกิดการอักเสบ
  • พฤติกรรมการดูแลผิว: การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือรุนแรงเกินไป หรือการไม่ทำความสะอาดเครื่องสำอางก่อนนอนล้วนมีผลต่อการเกิดสิว
  • โภชนาการและการทานอาหาร: อาหารบางประเภท เช่น อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง หรือผลิตภัณฑ์นมสามารถกระตุ้นการเกิดสิว
  • ความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งมีผลกระทบต่อการเกิดสิว
  • พันธุกรรม: หากมีประวัติการเป็นสิวในครอบครัว คุณอาจมีความเสี่ยงในการเกิดสิวมากขึ้น
  • ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม: มลภาวะ ฝุ่น และควันสามารถสะสมบนผิวและอุดตันรูขุมขน เมื่อรวมกับความชื้นและเหงื่อจะทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสิวได้
  • การใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ หรือยาฮอร์โมนอาจทำให้เกิดสิว



สิว มีกี่ประเภท?
สิว ที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของเรานั้น สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะและระดับความรุนแรงได้แก่
สิวที่ไม่อักเสบ สิวประเภทนี้ไม่ทำให้เกิดการอักเสบ หรือบวมแดง มีลักษณะเป็นสิวหัวขาวและสิวหัวดำ
  • สิวหัวขาว เกิดจากรูขุมขนอุดตันแบบปิด ไม่มีการเปลี่ยนสี
  • สิวหัวดำ เกิดจากรูขุมขนอุดตันแบบเปิด มีลักษณะเป็นจุดดำ
สิวอักเสบ สิวประเภทนี้มักเกิดจากการติดเชื้อในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ
  • สิวตุ่มแดง เป็นตุ่มแดงที่เกิดจากการอักเสบ
  • สิวหัวหนอง เป็นสิวที่มีหนองในหัว
  • สิวหัวช้าง เป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบที่รุนแรงมักเกิดเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
  • สิวซีสต์ เป็นสิวที่มีก้อนน้ำขนาดใหญ่และเจ็บมาก



วิธีรักษาสิว ทำได้อย่างไรบ้าง?
รักษาสิวต้องเริ่มจากการประเมินสภาพผิวและระดับความรุนแรงของสิว ซึ่งสามารถทำได้ทั้งที่บ้านและการรักษาผ่านการปรึกษาแพทย์
 1. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี: การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
 2. ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดซาลิไซลิก หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ สามารถช่วยในการรักษาสิวได้
 3. การใช้ยาเฉพาะทางจากแพทย์: หากสิวไม่ดีขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไป แพทย์อาจแนะนำการใช้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะหรือยาคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
 4. การรักษาด้วยเลเซอร์: การทำเลเซอร์เช่น Pico Laser หรือการใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน



หลังรักษาสิว ควรฟื้นฟูผิวอย่างไร?
หลังรักษาสิวและเมื่อสิวเริ่มหายไปแล้ว การฟื้นฟูผิวเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยการเพิ่มความชุ่มชื้นและการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวกลับมาสุขภาพดีและกระจ่างใส
 1. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิว: ครีมที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกและวิตามิน C สามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใส
 2. การรักษารอยแผลเป็นจากสิว: การใช้ Juvelook หรือการทำ Pico Laser ที่ Vincent Clinic จะช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
 3. การดูแลผิวหลังการรักษา: การหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน

สิวและการฟื้นฟูผิวให้กลับมาใสนั้นไม่ใช่เรื่องยากหากเราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและตั้งใจดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การรักษาสิวอาจต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ดีจะทำให้ผิวกลับมาสวยเนียนใสไร้สิวในที่สุด หากคุณกำลังมองหาการรักษาสิวที่ได้ผลและปลอดภัย Vincent Clinic พร้อมที่จะให้คำแนะนำและการดูแลที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้คุณกลับมามีผิวที่สวยสุขภาพดีและไร้สิวค่ะ
8  อื่นๆ / Cafe / Re: ฟิลเลอร์คืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานแค่ไหน เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2025, 18:11:41
 t
9  อื่นๆ / Cafe / ฟิลเลอร์คืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานแค่ไหน เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2025, 18:08:54
ฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในเทคนิคการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในการปรับรูปหน้าและลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มบริเวณที่เกิดการสูญเสียความยืดหยุ่นหรือความชุ่มชื้น เช่น ร่องแก้ม รอยตีนกา หรือปากบางๆ เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเต็มรูปมากขึ้น



ฟิลเลอร์คืออะไร
ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารที่ถูกฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อเติมเต็มร่องลึกหรือปรับรูปหน้าให้สวยงามขึ้น โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์จะใช้ในกระบวนการศัลยกรรมความงาม เช่น การลดเลือนริ้วรอย การเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหน้า หรือการปรับรูปทรงของจมูก ปาก หรือแก้มให้ดูเรียวสวยมากยิ่งขึ้น ฟิลเลอร์มีหลายประเภทตามส่วนผสมที่ใช้ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือฟิลเลอร์ที่ทำมาจากกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้น


ฟิลเลอร์ทำงานอย่างไร
ฟิลเลอร์ ทำงานโดยการฉีดสารเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึก เช่น ร่องใต้ตา หรือริ้วรอยบนหน้าผาก ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูอิ่มเอิบและเต่งตึงมากขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ในการปรับรูปทรงของใบหน้า เช่น การเพิ่มขนาดปากหรือการปรับรูปจมูกให้ดูคมชัดขึ้น


ประเภทของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่ใช้ในการเสริมสวยและการรักษาทางการแพทย์ มีหลายประเภทตามระยะเวลาการอยู่ในร่างกายและความสามารถในการสลายตัว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler), ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent filler), และฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler)
  • ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler) ฟิลเลอร์ชนิดนี้ประกอบด้วยสารเติมเต็มที่ไม่สามารถสลายตัวได้เองในร่างกาย เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน ซึ่งสามารถอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว จะไม่สามารถหายไปตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น การอักเสบ การติดเชื้อ หรือการเกิดพังผืดขึ้นรอบๆ ฟิลเลอร์ ด้วยเหตุนี้ ฟิลเลอร์แบบถาวรจึงไม่เป็นที่นิยมในการใช้ฉีดบริเวณใบหน้า เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
  • ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent filler) ฟิลเลอร์ชนิดนี้สามารถสลายได้บางส่วนตามเวลา แต่ไม่สามารถสลายหมดได้ เช่น Calcium Hydroxyapatite, สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ Polyalkylimide ซึ่งสารเหล่านี้จะค่อยๆ สลายไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ยังคงมีการตกค้างบางส่วนในร่างกายและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การเกิดการระคายเคืองหรือการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของเนื้อเยื่อบริเวณที่ฉีด ถึงแม้จะเป็นที่นิยมในการเสริมสวย แต่ฟิลเลอร์กึ่งถาวรยังคงมีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
  • ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler) ฟิลเลอร์ประเภทนี้มักประกอบด้วยสาร Hyaluronic acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติในระยะเวลา 6-12 เดือน สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย หากต้องการหยุดการใช้งานหรือไม่พอใจกับผลลัพธ์ สามารถฉีดยาสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฟิลเลอร์แบบชั่วคราวเป็นที่นิยมในการใช้เสริมความงาม โดยเฉพาะการฉีดหน้าผาก ร่องแก้ม และปาก



ฉีดฟิลเลอร์บริเวณไหนได้บ้าง
ในปัจจุบันมีหลายบริเวณที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาผิวและรูปหน้า โดยฟิลเลอร์จะช่วยปรับรูปลักษณ์ให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ต่อไปนี้คือบริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ในปัจจุบัน
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก การฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าผากอร์ช่วยเติมเต็มและทำให้ผิวบริเวณหน้าผากดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยลึกที่หน้าผาก และสามารถปรับรูปทรงหน้าผากให้ดูสวย ปรับโหงวเฮ้งได้
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ที่ใต้ตาช่วยเติมเต็มร่องลึกจากกระดูกทรุดตัว และเติมเต็มริ้วรอยใต้ตา โดยช่วยให้ดวงตาดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกที่ร่องแก้ม ปรับให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าแก้ม การฉีดฟิลเลอร์หน้าแก้มช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าไม่ดูแบนราบ ยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยได้ ปรับให้ใบหน้าดูมีมิติ
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก การฉีดฟิลเลอร์ริมฝีปากจะช่วยปรับรูปปากให้ดูอวบอิ่มและได้รูป จัดทรงได้ตามที่ต้องการ และยังช่วยลดริ้วรอย ร่องริมฝีปากให้ลดน้อยลง ทาลิปได้โดยไม่ตกร่อง
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์คางช่วยปรับรูปคางให้ดูเรียว และสมดุลกับใบหน้า ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น หรือคางที่ไม่สมส่วน
  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ขมับสามารถช่วยเติมเต็มบริเวณขมับที่ตอบหรือไม่สมดุล ทำให้ใบหน้าดูเต็มและสมดุลยิ่งขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเติมเต็มโครงหน้าให้ดูสมบูรณ์ขึ้น



ฟิลเลอร์อันตรายไหม
โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยามักมีความปลอดภัยเมื่อทำโดยผู้ที่มีความชำนาญในการฉีด อย่างไรก็ตาม การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการทำในสถานที่ที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น บวมแดง มีรอยฟกช้ำ หรืออาจเกิดการติดเชื้อได้ การฉีดฟิลเลอร์ในบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ฟิลเลอร์อาจเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่นๆ หรือเกิดการอุดตันในหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันอันตราย ควรเลือกทำฟิลเลอร์กับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา


ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน
ความยาวของการอยู่ของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ที่ใช้และตำแหน่งที่ฉีด โดยฟิลเลอร์ที่ทำจากกรดไฮยาลูโรนิกจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะค่อยๆ ดูดซับฟิลเลอร์ไป นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ที่ใช้ในบางส่วนของร่างกาย เช่น ร่องลึกใต้ตาหรือรอยยิ้มอาจอยู่ได้นานกว่าในส่วนอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก


ราคาเท่าไร
ราคาของฟิลเลอร์จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ทำการฉีด และพื้นที่ที่ทำการรักษา ในประเทศไทย ราคาของฟิลเลอร์ทั่วไปมักจะอยู่ในช่วง 10,000 - 30,000 บาทต่อซีซี ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ และความเชี่ยวชาญแพทย์ที่ให้บริการ
การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณต่างๆ เช่น ใต้ตา, ร่องแก้ม หรือริมฝีปาก ราคาจะมีความแตกต่างกันออกไป บางครั้งอาจต้องใช้ฟิลเลอร์หลายซีซีในการรักษา


ข้อดีและข้อเสียของการใช้ฟิลเลอร์
ข้อดี
ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลังการฉีดในเวลาไม่นาน
ฟิลเลอร์สามารถปรับรูปหน้าได้ตามต้องการ เช่น เติมเต็มปาก แก้ม หรือคาง
การทำฟิลเลอร์ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ข้อเสีย
ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่ถาวร จำเป็นต้องทำซ้ำหากต้องการให้ผิวดูเต่งตึงต่อเนื่อง
ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้คุณภาพอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือปัญหาผิวหนัง เช่น อาการแพ้หรือการติดเชื้อ
การฉีดฟิลเลอร์บางประเภทอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในระยะยาว


สรุป
ฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ช่วยในเติมเต็ม ปรับรูปหน้าให้ดูดีขึ้น และสามารถลดเลือนริ้วรอยได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่การเลือกใช้ฟิลเลอร์ควรคำนึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพของฟิลเลอร์ รวมถึงความชำนาญของแพทย์ที่ทำการฉีดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลข้างเคียงต่างๆ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://vincent.clinic/th/service/detail/16
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://vincent.clinic/
10  อื่นๆ / Cafe / ร้อยไหม ช่วยอะไรได้บ้าง มีผลข้างเคียงไหม ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม? เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2025, 14:14:05
การร้อยไหม เป็นหนึ่งในหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์ของการร้อยไหมสามารถมองเห็นได้ทันทีหลังทำ และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัย ผลข้างเคียง และระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน วันนี้เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับหัตถการร้อยไหม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ



ร้อยไหม คืออะไร?
การ ร้อยไหม เป็นเทคนิคยกกระชับผิวที่ใช้ไหมละลายชนิดพิเศษร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังผ่านเข็มขนาดเล็ก เส้นไหมจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ทำให้ผิวเต่งตึง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับประเภทของไหมที่ใช้ เทคนิคของแพทย์ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
โดยทั่วไป เส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหมจะถูกออกแบบมาให้สามารถละลายไปเองตามธรรมชาติภายในระยะเวลาที่กำหนด ไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งด้านความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และระยะเวลาการสลายตัว

ประเภทของเส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม
1. แบ่งตามวัสดุที่ใช้ผลิต
ปัจจุบันไหมละลายที่นิยมใช้มีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
PDO (Polydioxanone) – เป็นไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง นิยมใช้มากที่สุด เพราะปลอดภัยและสามารถละลายได้เองใน 4-8 เดือน
PLLA (Polylactic acid) – มีความแข็งแรงสูง อยู่ได้นานกว่า PDO แต่มีความเปราะบางและอาจแตกหักได้ง่าย
PCL (Polycaprolactone) – เป็นไหมที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูงที่สุด อยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน
2. แบ่งตามลักษณะของเส้นไหม
ไหมเรียบ (Mono Thread) – ใช้กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้นและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ
ไหมเกลียว (Screw Thread) – ช่วยเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความกระชับให้ผิว
ไหมเงี่ยง (Barbed Thread) – มีเงี่ยงช่วยเกี่ยวเนื้อเยื่อเพื่อยกกระชับผิวได้ดีขึ้น
ไหมโครงตาข่าย (Mesh Thread) – มีโครงสร้างพิเศษช่วยเพิ่มการยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น

ร้อยไหมช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
  • ช่วยให้ใบหน้าเรียวขึ้น – ไหมสามารถช่วยยกกระชับแก้มและกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น
  • ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย – เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับเหมือนเดิม
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน – ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และลดเลือนริ้วรอย
  • ลดเลือนริ้วรอย – เส้นไหมช่วยให้ผิวเรียบเนียนและลดรอยเหี่ยวย่น



ร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง?
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าแต่ไม่ต้องการผ่าตัด
  • ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่ต้องการกระชับกรอบหน้าและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า

ร้อยไหม อันตรายหรือไม่?
โดยทั่วไปการร้อยไหมถือว่ามีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ไหมละลายที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. อย่างไรก็ตาม หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญหรือใช้ไหมที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ไหมทะลุผิว ไหมขาด หรือการติดเชื้อได้

ร้อยไหม มีผลข้างเคียงอะไรไหม?
หลังจากการร้อยไหม อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือเจ็บเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
อาการบวมแดงที่รุนแรงขึ้นหลังจาก 3-4 วัน
มีหนองหรืออาการติดเชื้อที่จุดร้อยไหม
รู้สึกปวดมากผิดปกติ

ข้อดีและข้อเสียของการร้อยไหม
ข้อดีของการร้อยไหม
  • ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีหลังทำ
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่
  • ใช้เวลาไม่นานในการทำ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดีขึ้นในระยะยาว

ข้อเสียของการร้อยไหม
  • หากร้อยไหมผิดเทคนิค อาจทำให้ผิวไม่เรียบหรือเกิดพังผืดได้
  • ผลลัพธ์ไม่ได้ถาวร อาจต้องทำซ้ำทุก 1-2 ปี
  • มีโอกาสเกิดอาการบวมช้ำหลังทำ

ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์ของการร้อยไหมโดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของไหมและการดูแลตัวเองหลังทำ



ข้อปฏิบัติก่อนและหลังการร้อยไหม
ก่อนร้อยไหม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี แอสไพริน
  • ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่รับประทานเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หลังร้อยไหม
  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดใบหน้าแรง ๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
  • หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือแดดจัด
  • รับประทานอาหารอ่อน ๆ และหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารแข็งในช่วง 3-5 วันแรก


การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถช่วยยกกระชับใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ราคา ร้อยไหม ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของลูกค้าแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ควรเลือกทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ไหมละลายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับใบหน้า ต้องการดูแลให้ใบหน้าได้สัดส่วนเรียวสวย มีวีเชพ ใบหน้ายกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับแต่ละรายบุคคล
11  อื่นๆ / Cafe / Discovery Pico vs เลเซอร์อื่นๆ ต่างกันอย่างไร ทำไมถึงเป็นที่นิยม เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2025, 12:56:48
Discovery Pico หลายคนสงสัยว่าแตกต่างจากเลเซอร์ประเภทอื่นอย่างไร และทำไมถึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม ปัจจุบันเทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อการรักษาผิวพรรณได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว และการลบรอยสัก หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากคือ Vincent clinic บทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Discovery Pico กับเลเซอร์ประเภทอื่น พร้อมทั้งเหตุผลที่ทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นที่นิยมกันค่ะ



Discovery Pico คืออะไร?
Discovery Pico คือ เครื่องเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี PicoSecond (พิโคเซคคันด์) ซึ่งเป็นนวัตกรรมในการรักษาผิวด้วยเลเซอร์ โดย PicoSecond Laser มีจุดเด่นที่ความเร็วในการปล่อยพลังงานเป็นระดับพิโคเซคคันด์ (1 พิโคเซคคันด์ = 1 ในล้านล้านวินาที) ทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงและลดความเสี่ยงในการทำลายผิวรอบข้างเมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเก่า
Discovery Pico ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสิว
ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส
ลบรอยสักทุกสีอย่างมีประสิทธิภาพ
ลดเลือนริ้วรอยและกระชับรูขุมขน


Discovery Pico มีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง
Discovery Pico เป็น Picosecond Laser ที่ใช้พลังงานแสงในระดับ Picosecond (1 ในล้านล้านวินาที) เพื่อทำลายเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยหลักการทำงานสำคัญมีดังนี้
ใช้พลังงานเลเซอร์ความเร็วสูง ปล่อยพลังงาน Picosecond pulse ที่รวดเร็วกว่าเลเซอร์ทั่วไป ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กกว่าปกติ ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ง่ายขึ้น
ทำลายเม็ดสีโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง พลังงานจาก Discovery Pico ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ดียิ่งขึ้น ลดโอกาสเกิดรอยดำหลังเลเซอร์ (PIH) และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
3. กระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว นอกจากการลบเม็ดสีแล้ว Discovery Pico ยังช่วยสร้างคลื่นกระแทกในชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อิลาสติน และช่วยให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใส
Discovery Pico ทำงานโดยใช้ Picosecond Pulse ที่เร็วและแม่นยำในการทำลายเม็ดสี พร้อมกระตุ้นการฟื้นฟูผิว โดยมีความปลอดภัยสูงและลดผลข้างเคียงจากเลเซอร์ทั่วไป
Discovery Pico กับเลเซอร์อื่นๆ แตกต่างกันอย่างไร
Discovery Pico และเลเซอร์ประเภทอื่นๆ มีข้อแตกต่างกันหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ระยะเวลาการปล่อยพลังงาน (Pulse Duration)
Discovery Pico: ปล่อยพลังงานในระดับ Picosecond (1 ในล้านล้านวินาที)
เลเซอร์ทั่วไป (เช่น Q-Switched, IPL, CO2 Laser): ปล่อยพลังงานในระดับ Nanosecond (1 ในพันล้านวินาที) หรือมากกว่า
ข้อดีของ Discovery Pico สามารถแตกอนุภาคเม็ดสีได้ละเอียดกว่า ทำให้เม็ดสีแตกตัวและถูกขจัดออกจากร่างกายเร็วขึ้น ช่วยลดโอกาสการเกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็น

2. ผลลัพธ์และความแม่นยำ
Discovery Pico: พลังงานสูง แต่อ่อนโยนต่อผิว สามารถกำจัดเม็ดสีได้ลึกถึงระดับเซลล์
เลเซอร์ทั่วไป: บางประเภทอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือระคายเคือง
ข้อดีของ Discovery Pico ช่วยลดเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นหรือรอยดำหลังการรักษา
3. การฟื้นตัวหลังทำเลเซอร์
Discovery Pico: แทบไม่ต้องพักฟื้น ผิวแดงเพียงเล็กน้อย และสามารถแต่งหน้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง
เลเซอร์ทั่วไป (เช่น CO2 Laser, Fractional Laser): มักต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน 3-7 วัน และอาจเกิดสะเก็ดหรือรอยแผลหลังทำ
ข้อดีของ Discovery Pico จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่มีเวลาพักฟื้น
4. การรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย
Discovery Pico: สามารถรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสัก และฟื้นฟูสภาพผิวได้ในคราวเดียว
เลเซอร์ทั่วไป: มักมีข้อจำกัดในการรักษา เช่น IPL เน้นเรื่องผิวกระจ่างใส แต่ไม่สามารถลบรอยสักได้ดีเท่า Discovery Pico
ข้อดีของ Discovery Pico ตอบโจทย์ทั้งการรักษาผิวและลบรอยสัก จึงเป็นตัวเลือกที่ครอบคลุมกว่ามาก




Discovery Pico ทำไมถึงเป็นที่นิยม?
Discovery Pico มีข้อดีหลายประการ จึงเป็นที่นิยมในวงการความงามและผิวพรรณ ซึ่งเหตุผลหลักๆ ได้แก่
ผลลัพธ์รวดเร็ว เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก และมักใช้คอร์สการรักษาน้อยกว่าเลเซอร์อื่นๆ
ปลอดภัย อ่อนโยนต่อผิว ลดความเสี่ยงของแผลเป็นและรอยดำหลังทำเลเซอร์
ไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ไม่ต้องหยุดงาน
รักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย  ทั้งฝ้า กระ รอยสิว รอยสัก และกระตุ้นคอลลาเจน
Discovery Pico ราคราเท่าไหร่
Discovery Pico มีราคาในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 3,500 - 10,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
บริเวณที่ทำ (ทั่วหน้า vs. จุดเล็กๆ)
จำนวนช็อตที่ยิง
โปรโมชั่นของคลินิก
ความชำนาญของแพทย์และมาตรฐานของเครื่องที่ใช้
ถ้าซื้อเป็นคอร์ส 3-5 ครั้ง ราคาต่อครั้งอาจถูกลง เช่น 15,000 - 40,000 บาท สำหรับทั้งคอร์ส ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถานพยาบาล ถ้าต้องการผลลัพธ์ชัดเจน มักแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง ห่างกันทุก 2-4 สัปดาห์



Discovery Pico ช่วยรักษาอะไรได้บ้าง
Discovery Pico เป็นเลเซอร์เทคโนโลยี PicoSecond Laser ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิว โดยใช้พลังงานระดับ พิโควินาที (Picosecond) ทำให้สามารถจัดการปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึกและมีผลข้างเคียงน้อย
  • รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติให้จางลง
  • ลดรอยสิว รอยดำ รอยแดง กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียนขึ้น
  • ฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส กระตุ้นคอลลาเจน ลดความหมองคล้ำ
  • ลบรอยสักทุกสี แตกอนุภาคสีให้ร่างกายกำจัดออกได้เร็วขึ้น
  • กระชับรูขุมขน ลดริ้วรอยเล็กๆ ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึง
  • ลดปานดำ ปานน้ำตาล ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นน

หากสนใจการรักษาด้วย Discovery Pico ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม



Discovery Pico แต่ละครั้งห่างกันนานเท่าไหร่?
การทำ Discovery Pico แต่ละครั้ง ควรเว้นระยะห่างประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูเต็มที่ก่อนการรักษาครั้งถัดไป ทั้งนี้ ระยะห่างที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา เช่น
  • การลบรอยสัก: อาจเว้นระยะ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เม็ดสีมีเวลาถูกขจัดออกจากร่างกาย
  • รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ: ประมาณ 3-4 สัปดาห์
  • ฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน: ประมาณ 2-4 สัปดาห์

ถ้าอยากให้ได้ผลดีที่สุด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและกำหนดตารางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณโดยเฉพาะ


สรุป
หากคุณกำลังมองหาเลเซอร์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว Discovery Pico ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับเลเซอร์ประเภทอื่น ด้วยเทคโนโลยี PicoSecond Laser ที่สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างละเอียดโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดเลือนรอยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ราคา Discovery pico ขึ้นอยู่กับ ความต้องการและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่า Discovery Pico เหมาะกับสภาพผิวของคุณ และได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องสำหรับการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ เปลี่ยนผิวใหม่ด้วย Discovery Pico ที่ Vincent Clinic กำจัดปัญหาผิวอย่างตรงจุด ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสในแบบที่คุณต้องการ
12  อื่นๆ / Cafe / Morpheus8 คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทำตำแหน่งไหน เหมาะกับใคร? เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2025, 17:07:02
Morpheus8 เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันสำหรับการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น เนื่องจากการดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง Morpheus8 จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูและกระชับผิว เรามาดูกันว่า Morpheus8 ทำงานอย่างไร? เจ็บมากไหม? และแตกต่างจากเครื่องยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร?



Morpheus8 คืออะไร?
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ผสานสองเทคโนโลยีสำคัญเข้าด้วยกัน ได้แก่ คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF: Radiofrequency) และ Microneedling ซึ่งทำให้สามารถส่งพลังงานลงไปถึงชั้นผิวที่ลึก และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งปรับโครงสร้างของชั้นผิวให้แข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่เต่งตึง กระชับ และดูสุขภาพดีขึ้น



หลักการทำงานของ Morpheus8
Microneedling: เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างบาดแผลจิ๋ว ๆ บนผิว เพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่
คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF): เป็นเทคโนโลยีที่ปล่อยพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนังลึก โดยสามารถลงลึกได้ถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า พลังงาน RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมกับกระชับชั้นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียนมากขึ้น



Morpheus8 ใช้กับบริเวณใดได้บ้าง?
Morpheus8 สามารถใช้ได้ทั้ง ใบหน้าและลำตัว โดยสามารถเลือกปรับระดับความลึกของเข็มได้ตามความเหมาะสม เช่น
  ใบหน้า: ช่วยลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
  ลำคอ: ลดรอยพับและความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณลำคอ
  หน้าท้อง: กระชับผิวหน้าท้องและลดรอยแตกลาย
  ต้นแขนและต้นขา: ช่วยกระชับและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
  มือ: ช่วยให้ผิวหลังมือดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น

Morpheus8 เหมาะกับใคร?
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น:
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการให้ผิวกระชับขึ้น
  • ผู้ที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกบนใบหน้า
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า เช่น คางสองชั้น
  • ผู้ที่มีรอยแผลเป็น หลุมสิว หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว


ทำ Morpheus8 แล้วเจ็บไหม?
การทำ Morpheus8 อาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เข็มส่งพลังงานลงสู่ผิว อย่างไรก็ตาม ก่อนทำแพทย์จะทำการแปะยาชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ และระหว่างทำอาจมีการใช้ลมเย็นช่วยเป่าลดอาการไม่สบายผิว หลังทำอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปภายใน 1-3 วัน

Morpheus8 ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
ผลลัพธ์ของ Morpheus8 สามารถเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในช่วง 3 เดือนหลังทำ โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ ประมาณ 2-4 ครั้ง ห่างกัน 4-6 สัปดาห์ และสามารถทำซ้ำทุกปีเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

Morpheus8 แตกต่างจากเครื่องยกกระชับอื่นอย่างไร?
   Morpheus8 เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยดูแลผิวพรรณและใบหน้าซึ่งมีความแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น Ulthera, HIFU และ Thermage ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
   Ulthera: ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ในการยกกระชับผิว สามารถมองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอ ทำให้แพทย์สามารถควบคุมพลังงานได้อย่างแม่นยำ
   HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound): ใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อยกกระชับผิวชั้นลึก มีความแม่นยำสูงและไม่ต้องใช้เข็ม
   Thermage: ใช้คลื่นวิทยุ RF แบบ Monopolar ซึ่งช่วยกระชับผิวและลดไขมันใต้ผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม
   Morpheus8: ใช้ทั้งคลื่นวิทยุ RF และ Microneedling ซึ่งสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ทำให้สามารถยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สรุปง่าย ๆ คือ Morpheus8 เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ลึกและชัดเจนมากขึ้น แต่หากใครกลัวเข็ม อาจเลือก Ulthera หรือ HIFU แทน



ข้อดีและข้อเสียของ Morpheus8
ข้อดีของ Morpheus8
  • ยกกระชับผิวได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นระดับเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า
  • ช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว โดยไม่มีผลข้างเคียงเรื่องรอยดำ
  • ช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิว เช่น คางสองชั้น
  • ไม่มีแผลเปิด และไม่ต้องพักฟื้นนาน


ข้อเสียของ Morpheus8
  • อาจเกิดอาการบวม แดง หรือรอยช้ำเล็กน้อยหลังทำ
  • ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่
  • อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม
  • ราคาอาจสูงกว่าการทำ HIFU หรือ Thermage




ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Morpheus8
  • หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และควรทาครีมกันแดดทุกวัน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดวิตามินเอ หรือกรดไกลโคลิก
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้สกินแคร์ที่มีสารเคมีรุนแรงเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังทำ




Morpheus8 ราคาเท่าไหร่?
ราคา Morpheus8 ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำ จำนวนครั้งในการรักษา ระดับปัญหาที่ต้องแก้ไข โดยทั่วไปราคาต่อครั้งอาจอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 100,000 บาท โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด

Morpheus8 เป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างล้ำลึก ด้วยการผสานเทคโนโลยี RF และ Microneedling เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน หากใครที่ต้องการดูแลและฟื้นฟูผิวพรรณหรือต้องการปรับรูปหน้าได้สัดส่วน สลายไขมันใต้ชั้นผิว แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ด้านหัตถการผิวพรรณของ Vincent Clinic ได้เลย
13  อื่นๆ / Cafe / ดริปวิตามิน คืออะไร ต่างจากการกินวิตามินไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2025, 15:26:13
ดริปวิตามิน เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายในโดยการให้วิตามินและสารอาหารที่จำเป็นผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่เส้นเลือด (Intravenous Vitamin Therapy หรือ IV Drip) ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในวงการสุขภาพและความงาม เหมาะกับยุคปัจจุบันที่ผิวต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝุ่น หรือมลพิษจากอากาศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย หรือผิวแห้งกร้าน ดังนั้นหลายคนจึงหันมามองหาวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลรวดเร็วด้วยการใช้วิตามินเข้ามาช่วยฟื้นฟูผิวพรรณให้กลับมาแข็งแรง แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าการทำดริปวิตามินมีผลดีอย่างไร ช่วยในเรื่องอะไร และแตกต่างจากการทานวิตามินทั่วไปอย่างไร สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้



ดริปวิตามินผิว คืออะไร?

ดริปวิตามินผิว หรือ IV Drip คือ การเติมวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเส้นเลือดโดยตรง ซึ่งสามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อเทียบกับการทานวิตามินที่ต้องผ่านการย่อยและดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร การทำ IV Drip จะมีสูตรวิตามินและสารอาหารที่เหมาะสมกับปัญหาของผิวพรรณและสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้เลือกสูตรที่ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

IV Drip ดีไหม?

การทำ IV Drip มีข้อดีหลายประการ เนื่องจากวิตามินและสารอาหารที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมได้ทันที ซึ่งต่างจากการทานวิตามินในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากวิตามินและแร่ธาตุได้เต็มที่ การทำ IV Drip จึงช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในได้เร็วกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายนอก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและแข็งแรงขึ้น

ดริปวิตามินแล้วผิวขาวขึ้นจริงไหม?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า IV Drip จะทำให้ผิวขาวขึ้นทันที ซึ่งต้องขอชี้แจงว่าไม่ได้ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างถาวร แต่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและดูสดใสเหมือนผิวขาวขึ้น ผลลัพธ์นี้เกิดจากการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำหรือผิวที่แห้งกร้านให้กลับมามีความนุ่มนวลและสดใสกว่าเดิม ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวควบคู่ไปด้วยจะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

ฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม?

การทำ IV Drip เป็นการรักษาที่ไม่อันตราย หากทำในคลินิกที่มีมาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา โดยแพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพและประวัติการแพ้ยาก่อนการทำหัตถการ หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกสูตรที่เหมาะสมกับร่างกายและปัญหาของผู้รับบริการได้อย่างถูกต้อง การเลือกทำในคลินิกที่มีมาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ

วิธีฉีดวิตามินผิว มีกี่แบบ?

การทำ IV Drip เพื่อเติมวิตามินให้กับผิวนั้นมีอยู่ด้วยกันสองวิธีหลัก ๆ ที่ใช้กัน ได้แก่
IV Drip คือ การให้วิตามินและสารอาหารผ่านทางสายน้ำเกลือ ซึ่งมีการค่อย ๆ ป้อนสารเข้าสู่ร่างกายในระยะเวลา 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
IV Push คือ การฉีดวิตามินเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง ซึ่งสามารถทำได้เร็วกว่าและได้ผลเร็วกว่า แต่มีข้อจำกัดสำหรับคนที่มีเส้นเลือดเล็กหรือบางคนที่อาจจะเกิดอาการบวมได้
ทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความเหมาะสมของผู้รับบริการ

ดริปวิตามินแตกต่างจากการทานวิตามินอย่างไร?

ดริปวิตามินและการทานวิตามินแบบทั่วไปมีความแตกต่างกันในกระบวนการดูดซึม โดยการทานวิตามินต้องผ่านการย่อยในกระเพาะอาหารและดูดซึมในลำไส้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินได้ครบถ้วน เทียบกับการดริปวิตามินที่วิตามินจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันทีผ่านทางหลอดเลือด ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถนำวิตามินไปใช้ได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น



ดริปวิตามินผิว เหมาะกับใคร?

การทำ IV Drip เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวและปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน หรือมีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นหวัดบ่อย หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบเร่งด่วน

ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล?

ผลลัพธ์จาก IV Drip สามารถเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยผิวจะมีความชุ่มชื้นและกระจ่างใสมากขึ้น สำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำอย่างต่อเนื่อง โดยอาจทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งในช่วงแรก และค่อย ๆ เว้นระยะให้เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์

ข้อดีและข้อเสียของการทำดริปวิตามิน

ข้อดีของดริปวิตามิน
  • สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้รวดเร็ว
  • ฟื้นฟูผิวจากภายใน
  • ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย

ข้อเสียของดริปวิตามิน
  • อาจเกิดรอยช้ำหรือเข็มที่บริเวณที่ทำการดริป
  • ต้องทำในคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


วิธีดูแลตัวเองหลังทำดริปวิตามิน

หลังทำ IV Drip ไปแล้ว การดูแลตัวเองยังคงเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรหลีกเลี่ยงการถูกแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดเป็นประจำ นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำให้เพียงพอและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนาน

ดริปวิตามิน (IV Drip) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการนำวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านหลอดเลือดโดยตรง ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ทันทีและเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เห็นผลได้รวดเร็วและชัดเจน ทั้งยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูผิวพรรณจากภายใน ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น และกระจ่างใส ซึ่งแตกต่างจากการทานวิตามินทั่วไปที่อาจจะมีการดูดซึมที่น้อยและต้องใช้เวลานานในการเห็นผล นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่พักผ่อนน้อยหรือมีวิถีชีวิตที่ต้องการการฟื้นฟูสุขภาพอย่างเร่งด่วน โดยการ ดริปวิตามิน ราคา อาจแตกต่างกันไปหากยังไม่มั่นใจว่าตัวเองเหมาะกับดริปวิตามินสูตรไหน หรือมีคำถามเพิ่มเติม สามารถปรึกษาแพทย์ที่ Vincent Clinic เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการของแต่ละบุคคลค่ะ
14  อื่นๆ / Cafe / Ulthera คืออะไร ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง กี่ครั้งเห็นผล เหมาะกับใคร? เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2025, 16:42:30
Ulthera (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยีการดูแลผิวพรรณและปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ความถี่สูง (Ultrasound) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวจากภายใน ช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นมาก ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณและปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับหัตถการนี้ว่าคืออะไร ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร อันตรายไหม ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล หลังทำผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่ปี



Ulthera คืออะไร?
Ulthera หรือ Ultherapy คือ เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรือที่เรียกว่า Focused Ultrasound เพื่อยกกระชับผิวและปรับรูปหน้า โดยการส่งพลังงานคลื่นเสียงลงสู่ชั้นผิวลึกของ อัลเทอร่า ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้น รูขุมขนกระชับ และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้สามารถใช้ได้ทั้งกับใบหน้าและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ต้องการการปรับสภาพผิว



หลักการทำงานของ Ulthera
Ulthera ใช้หลักการส่งคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงลงสู่ผิวหนังชั้นลึก โดยคลื่นเสียงจะสร้างความร้อนขึ้นในชั้นผิวลึก ๆ (ประมาณ 60 – 70 องศาเซลเซียส) ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น โดยจะมีหัวยิงที่แตกต่างกันไปตามความลึกของชั้นผิว เช่น
หัวยิงขนาด 1.5 mm จะใช้ในชั้นผิวที่ไม่ลึกมาก เช่น ริ้วรอยที่ผิวชั้นบน
หัวยิงขนาด 3.0 mm เหมาะสำหรับการยกกระชับกรอบหน้าและลดความหย่อนคล้อย
หัวยิงขนาด 4.5 mm จะใช้ในชั้นผิวที่ลึกที่สุด โดยสามารถช่วยยกกระชับแก้มและเหนียง รวมถึงการยกคอ
โดยการยิงพลังงานจะไม่ทำร้ายเซลล์ผิวข้างเคียง ทำให้หลังการทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและไม่ต้องพักฟื้น



Ulthera SPT คืออะไร?
Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยีที่มีการแสดงผลจากเครื่องมือแพทย์แบบ Real Time ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นชั้นผิวได้อย่างละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น เมื่อทำการรักษา, แพทย์สามารถกำหนดตำแหน่งที่ยิงพลังงานได้อย่างตรงจุด ลดความเจ็บปวด และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีขึ้นและเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

Ulthera ช่วยเรื่องอะไร?
การทำ Ulthera สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวและรูปหน้าได้หลายด้าน เช่น:
ยกกระชับผิว: ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
ลดเลือนริ้วรอย: เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ริ้วรอยที่หน้าผาก
กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน: ทำให้ผิวเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น
ยกหางตาและหางคิ้ว: ช่วยยกหางตาและหางคิ้วให้ดูสดใส
ลดเหนียง: ช่วยลดไขมันใต้คางและปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน



Ulthera ทำบริเวณไหนได้บ้าง?
นอกจากใบหน้าแล้ว Ulthera ยังสามารถทำบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น:
บริเวณใบหน้า: ปรับรูปหน้า กระชับกรอบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
บริเวณรอบดวงตา: แก้ปัญหาหนังตาตก ยกหางตา
บริเวณคางและเหนียง: ลดไขมันใต้คาง ทำให้กรอบหน้าชัดเจน
บริเวณลำคอ: ช่วยกระชับผิวที่ย้วยและลดรอยยับ
บริเวณหน้าอกและท้องแขน: ปรับผิวให้กระชับและยกกระชับขึ้น

Ulthera อันตรายไหม?
เนื่องจาก Ulthera ใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก USFDA และ อย.ไทย จึงสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย โดยการรักษาจะไม่ทำร้ายเนื้อเยื่อข้างเคียง ไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และสามารถทำการรักษาได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำหัตถการ



Ulthera เหมาะกับใคร?
Ulthera เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการการปรับปรุงผิวพรรณและรูปหน้า โดยเฉพาะ:
ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด แต่ต้องการยกกระชับผิว
ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หรือริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา

ข้อดี-ข้อเสียของการทำ Ulthera
ข้อดีของอัลเทอร่า
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม
  • สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีประมาณ 30% และดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3 เดือน
  • สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีประมาณ 30% และดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3 เดือน
  • ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ


ข้อเสียของอัลเทอร่า
  • อาจรู้สึกเจ็บในระหว่างทำ
  • อาจมีอาการบวม หรือรอยแดง แต่จะหายไปในเวลาไม่นาน


ขั้นตอนการทำ Ulthera
เตรียมตัวก่อนทำ: ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด
ระหว่างทำ: แพทย์จะทำความสะอาดผิวและแปะยาชาก่อน จากนั้นจะทำการยิงพลังงาน Ulthera ใช้เวลา 45-60 นาที
หลังทำ: ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดและความร้อนในช่วงแรก และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

ผลลัพธ์หลังทำ Ulthera
หลังทำ Ulthera ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ประมาณ 30% ทันที หลังจากนั้นผิวจะค่อย ๆ กระชับขึ้นและเห็นผลเต็มที่ใน 3 เดือน โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

Ulthera กับ Thermage ต่างกันยังไง?
Ulthera ใช้คลื่นเสียงที่ส่งลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิว
Thermage ใช้คลื่นวิทยุ RF ซึ่งสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีไขมันสะสมมาก

Ulthera กับ Hifu ต่างกันยังไง?
Ulthera ใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ที่มีพลังงานสูงกว่าการทำ Hifu (HIFU ใช้พลังงานต่ำกว่า)
Ulthera เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ส่วน Hifu เหมาะสำหรับการกระชับผิวในคนที่มีไขมันสะสม

Ulthera ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?
การทำ Ulthera สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือร้อยไหมได้ แต่ควรให้แพทย์เป็นผู้กำหนดลำดับการทำหัตถการเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการทำพร้อมกัน

ราคา Ulthera เท่าไหร่?
ราคา Ulthera ขึ้นอยู่กับระดับของปัญหาผิว จำนวนไลน์ที่ยิง ตำแหน่งที่ทำ รวมไปถึงโปรโมชันในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด โดยทั่วไปราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 20,000 – 100,000 บาท แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้ประเมินจากปัญหาจริงถึงจะได้รับรายละเอียดที่ครบถ้วนถูกต้อง

Ulthera เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองจากทั้ง USFDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) และอย. ของประเทศไทย ทำให้เป็นเครื่องมือที่แพทย์ทั่วโลกเลือกใช้ในการทำหัตถการนี้ เพื่อลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับใบหน้า โดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นมาก หากใครที่ต้องการแก้ปัญหาผิวพังให้กลับมาสวยปัง โดยที่ใช้ระยะเวลาทำน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ใช้หน้าได้เลย รวมถึงต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic เพราะที่นี่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ด้านหัตถการสกินและมีนวัตกรรมที่ทันสมัย มั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัย
15  อื่นๆ / Cafe / Pico Laser หลังทำดูแลตัวเองอย่างไร ตกสะเก็ดไหม ทำกี่ครั้งเห็นผล? เมื่อ: 23 มกราคม 2025, 16:26:43
 Pico Laser นวัตกรรมทางการแพทย์ด้านผิวหนังที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณหลากหลายด้าน ตั้งแต่ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว ไปจนถึงการลบรอยสัก Pico Laser โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง เห็นผลเร็ว และฟื้นตัวไว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสภาพผิวโดยใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Pico Laser คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร เหมาะกับใครบ้าง และวิธีการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น



 Pico Laser คืออะไร?  
 Pico Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนัง เลเซอร์ประเภทนี้มีจุดเด่นในเรื่องของการส่งพลังงานแสงในช่วงเวลาสั้นที่สุด โดยมีความเร็วที่ระดับ 1 ในล้านล้านวินาที (Picosecond) ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์รุ่นเก่าที่ส่งพลังงานในระดับ Nanosecond  ด้วยความเร็วและพลังงานที่แม่นยำนี้ ทำให้ Pico Laser สามารถจับและแตกตัวเม็ดสีเมลานินส่วนเกินในผิวหนังออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง นอกจากจะช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยแผลเป็นแล้ว ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น  



Pico Laser ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?  
 Pico Laser เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวพรรณหลากหลายรูปแบบ โดยสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน โดยประโยชน์หลัก ๆ มีดังนี้  

1. ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวที่เคยลึกกลับมาตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  

2. ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนและเต่งตึง เลเซอร์ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่และปรับพื้นผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนดูกระชับขึ้น  

3. ช่วยลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำ Pico Laser สามารถจัดการเม็ดสีเมลานินที่สะสมในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำดูจางลง  

4. ลบรอยสัก ด้วยพลังงานที่แม่นยำและเข้มข้น ทำให้เลเซอร์สามารถลบรอยสักได้ทั้งสีเข้มและสีอ่อน  

5. ผิวกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ  การทำเลเซอร์ช่วยปรับสมดุลเม็ดสีในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใส มีความสม่ำเสมอ  



Pico Laser เหมาะกับใครบ้าง?

 Pico Laser เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหลากหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปรับปรุงผิวให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนที่เหมาะสม ได้แก่  

- ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว  

- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน  

- ผู้ที่ต้องการลบรอยสัก  

- ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยแผลเป็นจากสิว  

- ผู้ที่ต้องการให้ผิวดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ  



Pico Laser มีกี่แบบ?

 Pico Laser แบ่งออกเป็นหลายรุ่น โดยแต่ละรุ่นมีความเหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้  

1. PicoSure Laser  

   เหมาะสำหรับการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และลบรอยสัก  

2. Picogenesis  

   โดดเด่นในเรื่องการกระชับรูขุมขน ลดเลือนแผลเป็น และฟื้นฟูผิว  

3. PicoWay Laser  

   เหมาะกับการลบรอยสักที่มีสีหลากหลาย และรักษารอยแผลเป็น  

4. Discovery Pico  

   ช่วยลบเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำในชั้นผิวลึก  

5. PicoPlus  

   ใช้ในการรักษาฝ้าผสม ฝ้าในเส้นเลือด และลบรอยสัก  

6. PicoCare 450  

   เด่นในเรื่องการรักษารอยดำ รอยแดง และแผลเป็น  



ทำ Pico Laser กี่ครั้งจึงเห็นผล?  
 Pico Laser สามารถเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน) โดยทั่วไป หากปัญหาไม่ซับซ้อนมาก อาจใช้การรักษาเพียง 1–3 ครั้ง แต่ในกรณีที่มีปัญหาผิวซับซ้อน เช่น ฝ้าลึกหรือรอยสักสีเข้ม อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง  



 Pico Laser มีผลข้างเคียงหรือไม่?
 Pico Laser อาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นหลังทำ แต่จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน  ได้แก่  

- อาการแสบหรือร้อนบริเวณที่ทำ  

- อาการบวมแดงเล็กน้อย  

- การเกิดสะเก็ดในบางกรณี (เช่น การรักษาหลุมสิวหรือฝ้าลึก)  



 การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser  
 การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์มีความสำคัญมากเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด  

1. หลีกเลี่ยงการล้างหน้าภายใน 24 ชั่วโมงแรก  

2. ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์  

3. เน้นทาครีมบำรุงและครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ  

4. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น BHA, AHA  

5. งดออกแดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์  


 Pico Laser ต่างจาก Q-Switch Laser อย่างไร?  
Pico Laser  

- ส่งพลังงานเร็วกว่า (Picosecond)  

- เห็นผลไวกว่า ใช้จำนวนการรักษาน้อยกว่า  



Q-Switch Laser  

- ส่งพลังงานระดับ Nanosecond  

- ต้องทำหลายครั้งกว่าจะเห็นผล  



 Pico Laser ที่ไหนดี?  
 ควรเลือกทำ Pico Laser กับคลินิกที่น่าเชื่อถือ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้เครื่องเลเซอร์แท้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน  



Pico Laser เป็นตัวช่วยที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวอย่างรวดเร็ว เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ทั้งนี้ ราคา Pico Laser ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากใครมีปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอย จุดด่างดำ หลุมสิว หรือต้องการลบรอยสัก สามารถทักเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลยค่ะ

16  อื่นๆ / Cafe / Rejuran ตัวช่วยผิวฟื้นฟูผิว Glass Skin มีกี่สูตร แบบไหนเหมาะกับใคร? เมื่อ: 22 มกราคม 2025, 12:22:22
Rejuran คือผลิตภัณฑ์สกินบูสเตอร์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน สกัดจาก Polynucleotide (PN) ของ DNA แซลมอนธรรมชาติ ซึ่งมีความเข้มข้นและบริสุทธิ์สูงใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของมนุษย์ถึง 98% จึงช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสโดยไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียง โดยเมื่อฉีดเข้าไปในชั้นผิว Rejuran จะกระตุ้นการสร้างโปรตีนที่ชื่อว่า Growth Factor เพื่อซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงของผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รอยสิว กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน



ประโยชน์ของ Rejuran
- ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ เพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มฟู

- ลดความมัน กระชับรูขุมขนให้ผิวเนียนละเอียด

- ลดจุดด่างดำ รอยสิว รอยแดง

- กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างเซลล์ผิวใหม่



Rejuran มีกี่สูตรและแต่ละสูตรช่วยเรื่องอะไร?
Rejuran มี 4 สูตรหลักเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน

1. Rejuran Healer (กล่องดำ) ฟื้นฟูโครงสร้างผิว กระจ่างใส ช่วยให้ได้ผิวแบบ Glass Skin

2. Rejuran I (กล่องขาว) ลดริ้วรอยและรอยคล้ำใต้ตา

3. Rejuran S (กล่องน้ำเงิน) เติมหลุมสิวให้ตื้นและปรับผิวให้เรียบเนียน

4. Rejuran HB (กล่องแดง) เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย Hyaluronic Acid เหมาะกับผิวแห้งกร้าน

การฉีด Rejuran และผลลัพธ์
- ปกติแนะนำให้ฉีด 2–3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2–4 สัปดาห์ต่อครั้ง

- ผิวจะเริ่มดูแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้นหลังจากฉีดไปแล้ว 2–4 สัปดาห์

Rejuran ที่แนะนำโดย Vincent Clinic คือ Rejuran Healer (กล่องสีดำ) ซึ่งสามารถฉีดได้ทั่วทั้งใบหน้า ลำคอ และหลังมือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณอย่างครอบคลุม ช่วยในการฟื้นฟู ซ่อมแซม และปรับสภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น และเป็นที่นิยมในการช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว หรือ Glass Skin แบบสาวเกาหลี



ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Rejuran
- คนที่ต้องการให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี และกระจ่างใสขึ้น

- ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหย่อนคล้อย ดูหมองคล้ำ

- ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและกระชับผิวให้เรียบเนียน

- ผู้ที่มีปัญหาสิวและรูขุมขนกว้าง

ผู้ที่ไม่เหมาะกับ Rejuran
- ผู้ที่แพ้อาหารทะเลเนื่องจากสกัดจากปลาแซลมอน

- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือโรคผิวหนังอักเสบ

ตำแหน่งที่สามารถฉีด Rejuran ได้

1. ใบหน้า ช่วยลดเลือนริ้วรอย กระจ่างใส และกระชับผิวบริเวณหน้าผาก รอยตีนกา ใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม และรอบปาก

2. ลำคอ ลดริ้วรอยและช่วยให้ผิวลำคอเรียบเนียน

3. หลังมือ ฟื้นฟูผิวที่เหี่ยวย่นและแห้งกร้านให้กลับมาเต่งตึง

ฉีด Rejuran กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
Rejuran เริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นภายใน 3–5 วัน โดยผิวจะดูชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดจะเห็นได้ภายใน 1 เดือน ควรฉีด 4 ครั้งต่อเนื่อง โดยเว้นระยะทุก 2–3 สัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน

ผลลัพธ์ของ Rejuran อยู่ได้นานแค่ไหน?
หลังฉีด Rejuran ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 6–8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การเตรียมตัวก่อนฉีด Rejuran
- หลีกเลี่ยงการสครับหรือทำเลเซอร์ผิวที่ทำให้ผิวระคายเคือง

- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอหรือ BHA

การดูแลตัวเองหลังฉีด Rejuran

- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าและการสัมผัสบริเวณที่ฉีดภายใน 24 ชั่วโมง

- งดกิจกรรมกลางแจ้งหรือการสัมผัสแดดจัด

- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ฉีด Rejuran ที่ไหนดี?
ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้เท่านั้น พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการฉีดสกินบูสเตอร์

Rejuran คือนวัตกรรมเพื่อฟื้นฟูผิวที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์ ด้วยกระบวนการซ่อมแซมจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวสวยฉ่ำวาวแบบ Glass Skin หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวอย่างล้ำลึก Rejuran คือตัวเลือกที่น่าสนใจที่ควรลอง สำหรับ ราคา Rejuran นั้น แตกต่างกันไปตามปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล หากใครที่อยากดูแลและฟื้นฟูผิวพรรณให้กลับมาแข็งแรงสุขภาพดี สามารถเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ที่มีทั้งแพทย์มากฝีมือและผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัย
17  อื่นๆ / Cafe / Juvelook ฟื้นฟูและดูแลผิวพรรณจากภายใน ผิวฉ่ำวาว สไตล์สาวเกาหลี เมื่อ: 22 มกราคม 2025, 12:08:35
Juvelook หนึ่งในนวัตกรรมดูแลและฟื้นฟูผิวพรรณ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส อ่อนเยาว์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของคนในปัจจุบันที่ต้องเผชิญมลภาวะและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้ง่ายและเร็วขึ้น การหาวิธีดูแลผิวที่ได้ผลเร็วและเห็นผลได้ชัดเจนจึงเป็นสิ่งที่หลายคนกำลังตามหา ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับจูวีลุคให้มากขึ้นว่าคืออะไร มีกระบวนการทำงานอย่างไร ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล มีข้อควรระวังอะไรบ้าง สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้



Juvelook คืออะไร?
Juvelook เป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Hybrid Biostimulator ซึ่งมีส่วนผสมหลัก 2 ชนิด ได้แก่ Poly D-L-Lactic Acid (PDLLA) และ Non-crosslinked Hyaluronic Acid โดย PDLLA เป็นไบโอพอลิเมอร์ธรรมชาติที่ผลิตขึ้นจากกรดแลคติก ซึ่งมีการจัดเรียงโมเลกุลในลักษณะที่เฉพาะตัว มีคุณสมบัติเป็น Collagen Stimulator ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ในขณะที่ Hyaluronic Acid (HA) จะช่วยเติมน้ำให้ผิวมีความชุ่มชื้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหน้า

Juvelook ช่วยเรื่องอะไร?
Juvelook เป็นตัวช่วยที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายประการ โดยเฉพาะปัญหาผิวที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น มลภาวะ ความเครียด หรือการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ซึ่งอาจทำให้ผิวดูโทรมและมีริ้วรอยก่อนวัย ดังนี้:
ลดริ้วรอย: Juvelook ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ บนผิวหน้า รวมถึงปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้
กระชับรูขุมขน: ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
เติมความชุ่มชื้น: ช่วยเติมน้ำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว
ชะลอความเสื่อมของผิว: ช่วยฟื้นฟูและชะลอการเสื่อมสภาพของผิว ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่ก่อนวัย
ลดรอยแดง รอยดำ และรอยสิว: ช่วยให้รอยแดง รอยดำ และรอยสิวจางลง
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและกระชับมากขึ้น

Juvelook เหมาะกับใคร?
Juvelook เหมาะกับทุกคนที่มีปัญหาผิวพรรณ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีปัญหาผิวดังนี้:
คนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าขรุขระและไม่เรียบเนียน
คนที่มีปัญหาหลุมสิว หรือผิวที่มีรอยแผลเป็น
คนที่มีปัญหาผิวรอบดวงตาหมองคล้ำหรือไม่กระจ่างใส
คนที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น หรือมีผิวเหี่ยว
คนที่มีริ้วรอยตีนกา หรือรอยพับบริเวณคอ

Juvelook ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
ฉีด Juvelook สามารถทำได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า รวมถึงบริเวณที่มีปัญหาผิวที่ต้องการการฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยตำแหน่งที่เหมาะสมในการฉีด Juvelook ได้แก่:
ทั่วทั้งหน้า: ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวดูแน่น อิ่มฟู และมีความฉ่ำวาว
หน้าแก้ม: ช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวเรียบเนียน
หน้าผาก: ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น
ใต้ตา: ช่วยลดรอยคล้ำและริ้วรอยใต้ตาให้จางลง และทำให้ดวงตาดูสดใส
รอยหลุมสิว: ช่วยฟื้นฟูผิวที่มีปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
ร่องน้ำตาและรอยตีนกา: ช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ บริเวณรอบดวงตาดูจางลง
รอยแผลเป็นหรือรอยแตกลาย: ช่วยให้รอยแผลเป็นหรือรอยแตกลายดูจางลง

ข้อดีของ Juvelook มีอะไรบ้าง?
ยึดเกาะชั้นผิวได้ดี: เนื่องจากอนุภาคของ Juvelook สามารถยึดเกาะชั้นผิวได้ดี จึงลดโอกาสที่ตัวยาจะเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งอื่น
กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน: ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึง และกระชับขึ้น
ลดรอยแผลเป็นและริ้วรอย: ช่วยลดรอยแผลเป็น รอยแตกลาย และหลุมสิว
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันที: หลังการฉีดจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันที
ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลลัพธ์ของ Juvelook สามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน เมื่อทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

Juvelook มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
หากต้องการฉีด Juvelook ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและคงอยู่ได้นาน ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 3 ครั้ง โดยห่างกัน 1 เดือน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด



Juvelook กี่วันเห็นผล?
การทำงานของ Juvelook จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นใน 3 ช่วงเวลา:
หลังฉีดทันที: ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีคือการลดเลือนริ้วรอยและผิวที่เรียบเนียนขึ้น
หลัง 2-4 สัปดาห์: PDLLA จะเริ่มกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและไฟโบรบลาสต์ใต้ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นขึ้น
หลัง 6 เดือน: ผลลัพธ์เต็มที่ ผิวแน่นขึ้น คอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น และผิวดูอิ่มฟู กระชับ

Juvelook อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์จากการฉีด Juvelook จะเห็นได้เรื่อยๆ หลังการฉีดครั้งแรกและจะคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและวิถีชีวิตของแต่ละคน

Juvelook กับ Sculptra แตกต่างกันอย่างไร?
Juvelook และ Sculptra ต่างก็เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มีส่วนผสมและการทำงานที่แตกต่างกัน:
Juvelook: เน้นกระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็มผิวให้ดูอิ่มฟู ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้ง ริ้วรอย และหลุมสิว
Sculptra: เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
Juvelook กับ Rejuran แตกต่างกันอย่างไร?
Juvelook: เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเติมเต็มผิวให้ดูอิ่มฟู
Rejuran: เน้นการซ่อมแซมผิวให้กลับมาแข็งแรงและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

Juvelook กับ Filler แตกต่างกันไหม?
Juvelook และ Filler มีการทำงานที่แตกต่างกัน:
Juvelook: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและเรียบเนียน
Filler: เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป เช่น ร่องลึกหรือเนื้อเยื่อที่หายไปจากการเสื่อมสภาพ

การดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook
การดูแลตัวเองหลังการฉีด Juvelook เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด:
ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการนวดบริเวณที่ฉีด
งดแต่งหน้าประมาณ 24 ชั่วโมงหลังการฉีด
ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้น
ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

Juvelook ราคาเท่าไหร่?
ราคา Juvelook ขึ้นอยู่กับการออกแบบการรักษาโดยแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจากจำนวนครั้งที่ต้องการฉีดและตำแหน่งที่ต้องการรักษา

Juvelook เป็นตัวช่วยที่ดีในการฟื้นฟูผิวให้กลับมามีความอิ่มฟูและกระจ่างใส ช่วยแก้ปัญหาผิวหลายประการ เช่น ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ผิวแห้ง และหลุมสิว โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและวิถีชีวิตของแต่ละคน สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูหรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี สามารถทักเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์ประสบการณ์สูงของ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินปัญหาและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมมากที่สุด
หน้า: [1]