บทความที่ 1
มีการค้นพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับวิตามินซีต่ำ จะทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น รวมทั้งมีอาการอื่นแทรกซ้อน เช่น อาการหัวใจล้มเหลว, ไตวาย ตาบอด และแผลเปื่อย
ในการศึกษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน 60 ราย ที่โรงพยาบาลรอยัล ปรินซ์ อัลเฟรต นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีระดับวิตามินซีต่ำกว่าคนปกติร้อยละ 50-80 แพทย์จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ สรุปว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการรุนแรงมากเท่าใด จะมีอาการขาดวิตามินซีมากเท่านั้น ผลการสังเกตเช่นนี้ ได้มีนักวิจัยชาวอินเดียเคยค้นพบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีไตรสนใจการค้นพบนั้น เนื่องจากแพทย์ทั้งหลายเข้าใจว่า เป็นสาเหตุจากภาวะทุโภชนาการมากกว่าโรคเบาหวาน
คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ได้ทำการวัดระดับวิตามินซีในเลือดและปัสสาวะเพื่อจะหาทางพิสูจน์ว่า การขาดวิตามิน ซี ก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนยิ่งขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
วิตามิน ซี เป็นตัวช่วยให้ร่างกายสามารถจัดหาวิตามินอีซึ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อจากฟรี แรติคัลส์ ออกซิเจน (free radicals – โมเลกุลของออกซิเจนที่มีความสามารถในการเติมออกซิเจน ให้สารอื่นได้รวดเร็ว) นอกจากนั้น วิตามิน ซี ยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นของร่างกาย ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงมีคอลลาเจนไม่เพียงพอ จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและแผล ซึ่งจะหายยาก เพราะขาดคอลลาเจน
นายแพทย์เดนนิส ยู ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างภาวะขาดวิตามิน ซี และความผิดปกติของคอลลาเจนในหนูที่เป็นเบาหวาน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะทราบบทบาทที่สำคัญของวิตามินซี ดังกล่าวมาแล้ว แต่มันก็คงจะเร็วเกินไปที่จะแนะนำให้มีการใช้ในการรักษา
คณะนักวิจัยกำลังใช้ความพยายาม เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุของการขาดวิตามิน ซี ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ว่าเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้ หรือว่ามีการสูญเสียไปทางปัสสาวะ
เรียบเรียงจาก Vitamins linked to diabetes จาก New Scientist vol. 119 No.1621, 1988 หน้า 38)
ที่มา :
http://www.doctor.or.th/node/6308
บทความที่ 2
วิตามินดีในแสงแดด ป้องกันเบาหวาน
เรื่องดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพมักเกิดขึ้นได้บ่อยกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แม้กระทั่งแสงแดดที่ใครๆ ก็บอกว่ามันร้อนเหลือเกิน แต่รู้กันบ้างหรือเปล่าว่าแสงแดดที่ว่าร้อนกันเนี่ย ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน
ผลการศึกษาของนักวิจัยฟินแลนด์พบว่าวิตามินดีอาจช่วยป้องกันการก่อตัวภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน เผยจากการทดสอบกับอาสาสมัครพบผู้ชายที่มีระดับวิตามินดีในเลือดสูง มีแนวโน้มที่จะเป็นเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนทั่วไปถึงร้อยละ 72 นักวิจัยกล่าวว่าวิตามินดีมีประโยชน์ในการป้องกันเบาหวานประเภท 2 ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยผลการศึกษาในครั้งนี้มาจากการติดตามอาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 40-74 ปี ตลอดระยะเวลา 22 ปี ก่อนจะได้ผลสรุปว่า ยิ่งร่างกายมีระดับวิตามินดีมากเท่าไรก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานน้อยลงเท่านั้น ซึ่งผลที่ออกมานักวิจัยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่วิตามินดีเกี่ยวพันโดยตรงต่อขีดความสามารถในการผลิตอินซูลินของร่างกาย
ทั้งนี้ร่างกายของคนเราจะได้รับวิตามินดี อยู่ 2 ทางด้วยกันคือ รับประทานเข้าไปแล้วซึมในร่างกายผ่านทางลำไส้ และโดยการที่ผิวหนังได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าคะ
ที่มา:นิตยสารเบบี้ แอนด์ คิดส์ ไดเจสท์
ที่มา:
http://www.momchannel.com/Community/view/251
บทความที่ 3
วิตามินอี ลดความเสี่ยงต่อโรค เบาหวาน
มีการศึกษาที่ยืนยันว่าการรับประทาน วิตามินอี ทุกวันจะช่วยชลอการเกิดโรค เบาหวาน ชนิดที่ 2 ในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยการศึกษานี้ได้ทำโดยคุณหมอ Patrick J. Manning และคณะ จากมหาวิทยาลัย University of Otago ใน Dunedin ประเทศนิวซีแลนด์ และได้รายงานผลการศึกษาในวารสาร Diabetes Care เกี่ยวกับการให้ วิตามินอี ในปริมาณสูงสามารถช่วยแก้อาการดื้อต่ออินซูลินในกลุ่มเสี่ยงของโรค เบาหวาน ซึ่งเป็นคนอ้วนได้
ได้เคยมีการศึกษาที่ผ่านมาที่คล้ายๆ กับการศึกษาชิ้นนี้ พบว่าคนที่รับประทานอาหารเสริมสุขภาพพวก สารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้ง วิตามินอี ด้วย จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรค เบาหวาน มากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน อีกทั้งยังพบอีกว่า วิตามินอี ช่วยให้ผู้ป่วย เบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้นโดยไปทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามชิ้นใหม่นี้ ได้ทดลองในอาสาสมัครจำนวน 80 คนที่มีอายุระหว่าง 31-65 ปี ทั้งนี้คนที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่ออาการดื้อต่ออินซูลินส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น
ผลการทดลองนี้คณะผู้วิจัยได้พบว่า ไขมันส่วนเกินจะไปเร่งให้เกิดการสร้าง อนุมูลอิสระ ในร่างกาย ส่งผลให้ไปเพิ่มโอกาสในการทำลายเซลปกติมากขึ้น ทำให้คนอ้วนมีแน้วโน้มที่จะเกิดขบวนการอ๊อกซิเดชั่นเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดการดื้อต่ออินซูลิน
เพื่อจะดูผลของ วิตามินอี ว่าจะทำงานอย่างไรที่เกี่ยวข้องกับอินซูลิน คณะผู้วิจัยได้สุ่มตัวอย่างอาสาสมัครผู้เข้าร่วมการศึกษาให้รับประทาน วิตามินอี กลุ่มหนึ่ง และอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอกทุกวันเป็นเวลาติดต่อกันนาน 6 เดือน โดยในช่วง 3 เดือนแรกกลุ่มที่รับประทาน วิตามินอี จะรับประทาน วิตามินอี วันละ 800 หน่วยสากล (IU) และอีก 3 เดือนถัดมาจะเพิ่มปริมาณ วิตามินอี เป็น 1,200 IU ต่อวัน
นักวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่รับประทาน วิตามินอี ในช่วง 3 เดือนและ 6 เดือน จะมีระดับของ peroxides ในกระแสเลือดลดลงอย่างชัดเจน ซึ่ง peroxides จะเป็นตัวชี้วัดถึงปริมาณการเกิดขบวนการอ๊อกซิเดชั่น อีกทั้งคนที่รับประทาน วิตามินอี ก็จะมีระดับน้ำตาลและอินซูลินในกระแสเลือดดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผลดีที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่คงที่ต่อเนื่องตลอดช่วง 6 เดือนที่ทำการทดลอง
จากผลงานวิจัยนี้เองทำให้พอสรุปได้ว่า วิตามินอี ไปช่วยกระตุ้นการตอบสนองของร่างกายต่ออินซูลิน และลดความเสี่ยงของโรค เบาหวาน ในหลายๆ วิธีรวมทั้งการลดการเกิดขบวนการอ๊อกซิเคชั่นของอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยทำให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามนักวิจัยยังไม่ไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไม วิตามินอี สามารถช่วยทำให้การตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกายดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เบาหวาน ได้แต่กลับไม่คงที่ตลอดช่วงที่รับประทาน วิตามินอี ดังนั้นจึงน่าที่จะมีการทำการศึกษาแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อหาคำตอบนี้ต่อไป
SOURCE: Diabetes Care, September 2004.
ที่มา:
http://www.oknation.net/blog/health2you/2009/05/17/entry-3
สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู่ป่วยโรคเบาหวาน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
1.เลือกรับประทานอาหารอย่างไรเมื่อเป็นเบาหวาน
http://www.diabassocthai.org/p...tient/khownledge-patient3.html
2.รายการวิทยุจุฬา คลีนิค 101.5 FM
เรื่อง การเลือกอาหารสำหรับโรคเบาหวาน
http://www.pharm.chula.ac.th/clinic101_5/article/insulin.htm
3.วิตามินอี ลดความเสี่ยงต่อโรค เบาหวาน
http://www.healthdd.com/news/news_preview.php?id=103
เชิญชมสินค้าได้ที่
http://www.aviance2you.com/category.php?id_category=39# 
หรือสอบถามมาที่
[email protected] หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับ คุณ yogolas101 นะครับ