The Terminal : ด้วยรักและมิตรภาพ
เรื่องนี้ ผมชอบมากๆ
ฟันธง The Terminal : มหัศจรรย์แห่งหนังและแล้วก็ถึงเวลานั้นของปี เวลาที่ผมเรียกว่า “ช่วงเอาคอ(นีอุง)ขึ้นเขียง” อ่ะๆ รอก่อนครับ เอาถ้วยน้ำจิ้มวางไว้ก่อน ขอผมเขียนให้จบก่อนแล้วกัน ขออธิบายสำหรับแฟนใหม่ๆ (หวังว่าคงมีอยู่บ้าง) ว่าจะมีช่วงเวลาที่ผมชอบหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆ จนต้องมาประกาศว่ามันจะเป็น 1 ใน 5 หนังที่ “ดีที่สุด” ของปีนั้นๆ และผมก็จะพูดประโยคยอดฮิตประจำปีนี้ของผมอีกครั้งหนึ่งว่า The Terminal หนังสุดน่ารักเรื่องนี้เป็น 1 ใน 5 หนังที่ดีที่สุดประจำปี 2547[/b] นี้ในใจผมแน่นอน
The Terminal เป็นเรื่องราวของ Viktor Navorski ผู้ชายธรรมดาๆ ท่าทีน่ารักๆ คนหนึ่งที่ดั้นด้นมาจากประเทศในยุโรปตะวันออกเพื่อมาเยือนนิวยอร์ค ด้วยจุดประสงค์บางประการที่เขาบอกเพียงแค่ว่า “มันเป็นสัญญา” ทีนี้การมาเยือนอเมริกาของ Viktor คงจะราบรื่นหากระหว่างที่บินมา ประเทศของเขาไม่เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจ สถานภาพของ Viktor จึงสั่นคลอนเพราะเขากลายเป็นคนไร้สัญชาติ จะเข้าประเทศอเมริกาก็ไม่ได้ ครั้นจะกลับบ้านเกิดของตนก็เกิดสงครามกลางเมือง เขาจึงต้องติดอยู่ในอาคารผู้โดยสารเครื่องบินไม่ใช่เพียงไม่กี่ชม.หรือไม่ กี่วัน แต่เป็นเวลาหลายต่อหลายเดือนด้วยกัน
The Terminal เป็นหนังน่ารักๆ เรื่องล่าสุดจากพ่อมดแห่งฮอลิวู๊ด Steven Spielberg และเป็นอีกครั้งที่เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามนต์ขลังแห่งการทำหนังของเขา ไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงจุดที่แข็งที่สุดใน The Terminal คงเป็นบทภาพยนตร์และพล๊อตเรื่องที่น่าสนใจเอามากๆ บทหนังเล่นกับการจับตัวละครไปใส่ไว้ในสถานที่ที่จำกัด และเล่นกับความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมที่ทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากขึ้นไป อีก แต่ถึงกระนั้น การถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีให้ออกมาได้น่ารักประทับใจ สมกับคุณค่าของตัวบทนั้นย่อมต้องพึ่งพาฝีมือในการกำกับที่ต้อง “เอาอยู่” และ Spielberg ทำ The Terminal ออกมาแบบ “สั่งได้” จนต้องปรบมือให้ บ่อยครั้งที่ตัวหนังเอา(คุณ)อยู่ ประมาณว่านาทีนี้คุณหัวเราะ แต่นาทีต่อมาคุณอาจนั่งซับน้ำตาอยู่ก็ได้ และด้วยความที่เป็นหนังของ Spielberg จึงต้องมีมุขกัดจิกมุขเล็กมุขน้อยมากมาย มีสัญลักษณ์ให้ขบคิดแก้เบื่อวางอยู่ตลอดเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบ The Terminal มากไม่ใช่เพราะเครื่องหมายการค้าของลุงเคราที่กล่าวมาข้างต้น แต่เป็นความรู้สึกที่ผมได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ต่างหาก มันอะไรที่ผมชอบและรู้สึกดีกับชีวิตมากๆ เมื่ออยู่ในภวังค์ของความรู้สึกนี้ เรียกว่า The Terminal ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตนี้และโลกใบนี้มันน่าอยู่ มันอบอุ่น และมันยังมีความรักและความหวังรอเราอยู่เสมอหากเรามีศรัทธาแก่กล้าพอ น่ารักมากๆ ครับ
สิ่งที่ผมชอบ จริงๆ ในหนังคือ “ความน่ารัก” ของทุกๆ อย่าง บทภาพยนตร์แม้จะติดดรามานิดๆ แต่ก็ยังแฝงระดับความน่ารักสูงมาก ตัวละครแทบทุกตัวเป็นคนมองโลกในแง่ดีและแสนจะน่ารัก แม้กระทั่งตัวละครร้ายอย่าง Frank ก็ยังร้ายแบบน่ารักเล็กๆ มุขต่างๆ ในหนังมีทั้งฮาปานกลางถึงฮาสุดๆ มีซึ้งเล็กๆ มีหวานหน่อยๆ มีเศร้าให้พอน้ำตาเอ่อพองาม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงล้วนออกมาจากความน่ารักของบทหนังที่แสนน่ารักและอบอุ่น
มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมขอฟันธงเกี่ยวกับ The Terminal ว่าหนังเรื่องนี้ต้องได้ออสการ์แน่นอนจาก 3 ส่วนนี้คือบทภาพยนตร์ที่มีเสน่ห์อบอุ่นระคนน่ารัก ฉากสนามบินที่สร้างออกมาอลังการสมจริงจนคุณต้องอ้าปากค้างพร้อมขยี้ตาอีก 7 รอบเพื่อกล่อมให้ตัวเองเชื่อว่าที่เห็นในหนังนั่นมันคือ ฉากไม่ใช่สนามบินของจริงและสุดท้ายคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากดารานำชายยอดเยี่ยม ที่ Tom Hanks เล่นได้เป็นธรรมชาติเสียเหลือเกินไม่ว่าจะลีลาท่าทางบ้านนอก สำเนียงคนยุโรปตะวันออก และหากคุณได้ชมตัวหนัง คุณคงคิดเหมือนผมที่อยากจะให้รางวัลออสการ์ลุง Tom ไปซะเดี๋ยวนั้นเพียงแค่เห็นเขาออกมาไม่เกินครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง ใช่แล้วครับ ลุง Tom เล่นได้เยี่ยมในระดับนั้นเลย
หากคุณไม่เชื่อว่า The Terminal จะเป็นหนังที่น่ารักได้ขนาดไหน คุณลองนับคำว่า “น่ารัก” ในฟันธงนี้ที่ผมยอมเสี่ยงโดนครูภาษาไทยเขกกบาลเพราะใช้คำว่าน่ารักฟุ่มเฟือยดูสิครับ แล้วเอาระดับความอบอุ่นจากหนังที่คุณคิดว่าเคยดูมาแล้วอบอุ่นที่สุดคูณเข้าไป นั่นคือสูตรวัดระดับความน่ารักของ The Terminal ของผมแหละครับ
เมื่อชม The Terminal จบ สิ่งหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวของผมคือ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าหากสิ่งที่ทำให้การทำหนังยืนยงเคียงคู่โลกมาได้เป็นร้อยๆ ปีคือความมหัศจรรย์ ในการสรรค์สร้างงานออกมาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักในศาสตร์และศิลป์แขนงนี้ The Terminal คงเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่จะตอกย้ำทุกๆ คนว่าความมหัศจรรย์ของการทำหนังนั้นเป็นอย่างไร ....นีอุงลองแล้ว...น่ารัก..เอ้ย..เยี่ยมยอด..ครับ
จาก
http://www.popcornfor2.com/movies/archives/ft_060.html 