ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafe[รวมบทความ]ต้อนรับวันแม่ครับ(โปรดอย่าให้วันแม่เป็นวันที่12สิงหาคมเพียงวันเดียว)
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: [รวมบทความ]ต้อนรับวันแม่ครับ(โปรดอย่าให้วันแม่เป็นวันที่12สิงหาคมเพียงวันเดียว)  (อ่าน 651 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Nataro
Verified Seller
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 52
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 สิงหาคม 2009, 07:24:31 »

ให้เครดิทผู้ที่ผมนำบทความมานะครับ neyriney ครับ
อ่านกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว แต่ผมอ่านหมดแล้ว ต้องบอกว่า "ซึ้ง" จริงๆครับจึงอยากนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆชาว
ไทยเสียวลอร์ด ได้อ่านกัน Smiley

--------------------
เรื่องดีดี ไม่จำเป็นต้องยาว ...
แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง เป็นที่รำคาญใจของลูกชายเหลือเกิน
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแบกเอาไปปล่อยป่าให้อยู่ตามยถากรรม
... ระหว่างทาง แม่ไม่วอนขอ ไม่ถามไม่ว่าอะไร ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป เข้าป่าลึก
ไกลมากแล้ว ลูกชายวางแม่ลงบนโขดหิน แล้วหันหลังเดินกลับทางเดิมไป ...

ตอนนี้เอง ที่แม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า ...
"ลูกเอ๋ย เดินตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะจะได้ไม่หลงทาง..."
----------------------------------

> > > ... เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...

> > > “ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้มั๊ยคะ”คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น > > > เมื่อห่อผ้าน้อย ๆอยู่ในอ้อมกอดเธอ > > > เธอค่อยๆคลี่ผ้าที่ห่อออกเพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ กรี๊ด ด ด ด ด....> > > เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็กออกไปอย่างรวดเร็ว > > > เด็กทารกที่เกิดมา....ไม่มีใบหู

> > > และแล้ว> > > ....กาลเวลาพิสูจน์ว่า....การได้ยินของเจ้าหนูไม่มีปัญหา > > > ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอกคือ....ใบหูที่หายไป

> > > หลายครั้งที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียนแล้ววิ่งมาบอกแม่

> > > ....เธอรู้ว่าหัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...> > >> > > เจ้าหนูพูดโพล่งออกมาอย่างน่าเศร้า > > > “พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่า “นายตัวประหลาด”

> > > จนกระทั่ง... เจ้าหนูเติบโตขึ้นหล่อเหลา

> > > เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เค้ามีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดี> > > และดนตรี เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น ...> > >> > > แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น...ทำให้เค้าไม่อยากเจอใคร > > > “ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก” > > > แม่กล่าวด้วยความสงสารลูก

> > > .....พ่อของเด็กชายปรึกษากับหมอประจำครอบครัว

> > > และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...”ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้รับถ้ามีผู้บริจาค > > > แต่ใครล่ะจะเสียสละใบหูเพื่อเด็กน้อยคนนี้” คุณหมอกล่าว

> > >

> > > จนกระทั่ง ...2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย > > >> > > “ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ

> > > พ่อกับแม่หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้ว...แต่นี่เป็นความลับ”

> > > การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี > > > และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น

> > > ....เค้ากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์...> > > เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย> > > จนเป็นที่กล่าวขานกันรุ่นต่อรุ่น

> > > ต่อมาได้แต่งงาน...และทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต

> > > วันหนึ่งชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า > > > “พ่อครับใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา

> > > ใครช่างให้ผมได้มากมาย แต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเค้าได้เลยสักนิด”

> > > “พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอกเรื่องนี้..เป็นความลับ > > > เราตกลงกันแล้ว” พ่อตอบ

> > >

> > > หลายปีผ่านไป....มันยังคงเป็นความลับ และแล้ว..วันนึง

> > > วันที่มืดมิดที่สุดผ่านเข้ามา...ในชีวิตลูกชาย

> > > แม่เค้าได้เสียชีวิตลง.. > > > เค้ายืนข้างๆพ่อ...ใกล้!บศพของแม่

> > > พ่อเรียกเค้า > > > “ มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ๆนี่..พ่อลูบผมแม่อย่างช้าๆ > > > และนุ่มนวล..ผมสีน้ำตาลแดงถูกเสยขึ้นจนมองเห็น > > > ใบหน้าที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ

> > > ...และแล้วสิ่งที่ทำให้ลูกชาย> > > ถึงกับต้องตะลึง.. ............ใบหูของแม่...หายไป

> > >

แม่ไม่มีใบหู...”นี่เป็นคำตอบที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต”...พ่อกระซิบผ่านลูกชา> > ย

“แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้+ตั้งแต่วันผ่าตัด...เธอไม่เคยตัดผมอีกเ> > ลย

> > > ไม่มีใครมองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงมั๊ย?> > >

> > > “ จงจำไว้” สิ่งมีค่าที่แท้จริง > > > ...ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น...หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น

... ความรักที่แท้จริง....ไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้...หากแต่ อยู่> > ู่> > ที่สิ่งที่> > > เรากระทำแล้ว...ไม่มีใครรับรู้> > >

> > > .....ความรัก

> > > บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ...

> > >

> > > ............อ่านบทความนี้แล้วลองกลับมาคิด............

> > >

> > >

> > >

> > > ถ้าพรุ่งนี้เราตายไปบริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน

> > >

> > > แต่ครอบครัวเราต้องสูญเสีย และคิดถึงเราไปตลอด

> > >

> > > เราใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัวหรือเปล่า?

> > >

> > > ถ้ามากกว่า...มันช่าง..เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ

> > >

> > >

> > >

> > > ..............FAMILY

-----------------------------------------

.+*+. ราคาเต็มของความรัก .+*+.

แม่...ไม่คิดเงิน

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่และส่งกระดาษให้

หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเธอก็ก้มลงอ่าน

ค่าตัดหญ้า 5 บาท

ค่าทำความสะอาดห้องผมอาทิตย์นี้ 1 บาท

ค่าซื้อของให้แม่ 2.5 บาท

ค่าดูแลน้องชาย 2.5 บาท

ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1 บาท

ค่าได้คะแนนดี 5 บาท

ค่ากวาดสนาม 2 บาท

รวมค้างชำระ 19 บาท

เธอหยิบปากกาขึ้นมาพลิกไปด้านหลังแล้วเขียน

เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน

เวลาแม่พยาบาลลูก ไม่คิดเงิน

ของเล่น อาหาร เสท้อผ้า ไม่คิดเงิน

แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก

เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก ไม่คิดเงินเหมือนกัน

เมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา

เขาสบตาแม่และพูดว่า แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆนะครับ

แล้วเขาก็เอาปากกา

เขียนหลังสือตัวโตว่า จ่ายหมดแล้ว

แม่จ่ายหมดแล้ว แต่ลูกทอนให้ยังไม่หมด.........

--------------------------------------------

 + * + . เรื่องดีๆ ของเด็กขี้ขโมย . + * + .

"อย่าหนีนะ นาย เด็กขี้ขโมย"
เสียง ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อ เนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้า คนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียง เอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรหรอคะ"

"ก็ X เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉัน สะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"

ใน ที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

" ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

" แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

" ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำ ไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"
แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
" ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ใน ครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจาก สถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉัน ทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอ สั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลัง จากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

หลัง จากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉัน ได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลัง การผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉัน แปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษา เพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับ ถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
---------------------------------------------------

“เมื่อฉันแก่ตัวลง”

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน


เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น
โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง

ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ
ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย
โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง
ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง
ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ
เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ
เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก



จนกระทั่งปีนี้
แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่
โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ
แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว

พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ
แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม
แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...
สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย



พอกลับถึงบ้าน
ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง
หน้าตาเ!่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ
โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว
และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ
บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้
ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว
แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ
จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก
สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น
10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า
ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม



“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย
บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด
ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน
แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย
ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย
ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”



“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย
แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า
แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง...
ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ
และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ
พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา
ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”



“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ
แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก
แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ
แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา
แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง
ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน
มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร
ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”


แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก
วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง
มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก
แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ
2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา
แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม
แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ
เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น
แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที
ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู
มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม
2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที
บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก
ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที
....




เมื่อฉันแก่ตัวลง
ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง



ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ
ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย



ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม



ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ
อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม
“ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม


ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ


หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว
กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว


ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง
ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ



ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน



ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ


ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ
เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง
นายหมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว
จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป
ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป
1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้
รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม
และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น
ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง
แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว


หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น
ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ
“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ
เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 สิงหาคม 2009, 07:26:17 โดย Nataro » บันทึกการเข้า
Nataro
Verified Seller
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 52
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2009, 07:27:20 »

+*+. วีรกรรมของแม่ .+*+.

ผมทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงอยู่ในนครนิวยอร์ค

...บางครั้งอาชีพนี้ก็ทำให้หดหู่ใจ
เพราะคราใดที่ย่านธุรกิจหรือบ้านถูกไฟเผาผลาญ คุณจะพลอยหัวใจสลายไปด้วย

พนักงานดับเพลิงเจอเรื่องน่าสะพรึงกลัวมานักต่อนัก และบางครั้งก็ต้องเจอความตาย

...แต่วันที่ผมเจอเจ้าแมว สการ์เล็ต เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมันเป็น เรื่องของชีวิตและความรัก

...

วันนั้นเป็นวันศุกร์...
เรารุดออกไปดับไฟตามที่ได้รับแจ้งเมื่อตอนเช้าตรู่ว่ามีไฟไหม้ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์อยู่นั้น... ก็ได้ยินเสียงแมวร้อง
แต่ผมหยุดมือไม่ได้ ต้องดับไฟก่อนแล้วจึงจะหาแมวได้

ไฟไหม้ครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตมาก
เราจึงมีหน่วยงานอื่นๆมาช่วยสนับสนุนด้วย ทั้งฝ่ายตะขอเกี่ยวและบันได
เราได้รับแจ้งว่า ทุกคนในอาคารหลังนี้ออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว
ผมเองก็หวังเช่นนั้น
เพราะที่ปั๊ม มีแต่เปลวไฟเต็มไปหมด ใครขืนเข้าไปผม้ภัยคงจะไม่รอดแน่
กว่าจะดับไฟได้ก็คงกินเวลานานมาก และต้องใช้กำลังคนมากมาย

...

ถึงตอนนี้มีเวลามองหาแล้วว่าเสียงแมวมาจากไหน
ควันไฟยังพวยพุ่งออกมาจากตัวปั๊มเต็มไปหมด
ผมมองอะไรไม่ค่อยเห็น ได้แต่เดินตามเสียงแมวร้องไปเรื่อยๆ

...

จนถึงบริเวณบาทวิถีห่างจากหน้าปั๊มราวๆ 5 ฟุต เห็นจะได้
ก็เห็นลูกแมวตัวเล็กๆท่าทางอกสั่นขวัญแขวนสามตัวกอดกันกลมและส่งเสียงร้องกันระงม
พอมองไปผมก็เจออีกสองตัว อยู่บนถนนตัวหนึ่ง
ส่วนอีกตัวอยู่อีกฝั่งถนนหนึ่ง

แมวพวกนี้คงจะติดอยู่ในอาคารเป็นแน่ เพราะขนมันถูกไฟลนเสียจนโกร๋น
ผมตะโกนขอลังสักใบและมีนักมุงหามาให้ใบหนึ่ง
ผมจับลูกแมวทั้งห้าตัวใส่ในลัง และอุ้มลังไปพักไว้หน้าระเบียงบ้านหลังหนึ่งแถวนั้น
ผมมองหาแม่แมวสังหรณ์ว่า
แม่แมวคงจะเข้าไปในปั๊มที่ไฟกำลังไหม้และทยอยคาบลูกออกมาวางไว้บนบาทวิถีทีละตัว

ลองคิดดูก็แล้วกันว่าต้องวิ่งเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วงถึงห้าครั้งห้าครา
จากนั้นก็ต้องพยายามให้ลูกแมวไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไกลอาคารออกไปทีละตัวๆเช่นกัน
แต่แม่แมวดูเหมือนจะยังขนลูกออกมาไม่หมด

...แล้วแม่แมวไปอยู่เสียที่ไหน??

ตำรวจคนหนึ่งชี้บอกว่า เห็นแมวเข้าไปในที่ร้างตรงที่ผมเจอลูกแมวสองตัวสุดท้าย

...

แม่แมวอยู่ที่นั่นจริงๆ มันนอน ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
แผลไฟไหม้ดูสาหัส ตาเป็นแผลพองจนลืมไม่ขึ้น
อุ้งเท้าดำเพราะถูกไฟลน ขนถูกไฟลามเสียจนเห็นหนัง บางแห่งจะเห็นเนื้อแดงเหวอะหวะ
ตัวอ่อนปวกเปียกจนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้

ผมเดินไปหามันช้าๆค่อยๆพูดกับมันเบาๆ มันคงจะเป็นแมวป่า
ผมไม่อยากให้มันตกใจ

...เมื่อผมอุ้มมันขึ้นมา แม่แมวร้องอย่างเจ็บปวด
กลิ่นขนและเนื้อหนังของมันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ มันไม่กระดุกกระดิก
มันพยายามลืมตาจะมองผม แต่ลืมไม่ขึ้น
ดูมันเหนื่อยอ่อนเต็มประดา ได้แต่ซุกเข้าอ้อมแขนของผม
ผมตื้นตันน้ำตาคลอหน่วยเมื่อรู้สึกว่าแม่แมวไม่กลัวผม ไว้ใจผม
ผมตั้งใจว่าจะช่วยชีวิตแม่แมวผู้กล้าหาญและลูกทั้งห้าตัวของมัน
ชีวิตของพวกมันขึ้นอยู่กับผม ผมค่อยๆวางแม่แมวลงในลังรวมกับลูกๆ
แม่แมวตาบอดยังอุตส่าห์ใช้จมูกแตะลูกแมวแต่ละตัวจนทั่ว
เพื่อให้แน่ใจว่าทุกตัวปลอดภัย มันเบาใจที่ลูกของมันอยู่ครบทุกตัว
แม้ตัวมันเองจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
แมวทั้งหมดต้องได้รับการเยียวยารักษาโดยด่วน

...

ผมนึกถึงบ้านสงเคราะห์!แห่งหนึ่งชื่อ สันนิบาต!นอร์ทชอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ลองไอส์แลนด์
ผมเคยนำสุนัขถูกไหม้ไฟอาการสาหัสไปให้ที่นั่นรักษาแผลเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน องค์กรนี้ช่วยได้แน่
ผมโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่ากำลังพาแม่แมวและลูกแมวถูกไฟลวกอาการสาหัสไปให้รักษา
ผมไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังสวมชุดดับเพลิงที่มีคราบควันไฟอยู่เต็ม
แล้วบึ่งรถบรรทุกของผมไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อไปถึงก็เห็นสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่สองชุดเตรียมตัวรับแมวอยู่แล้วที่ลานจอดรถ
พวกเขารีบนำแมวทั้งหมดเข้าไปในห้องพยาบาล
ทีมหนึ่งรักษาแม่แมวอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งและอีกทีมหนึ่งดูแลลูกแมวอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง

ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นกำลังจากการดับไฟ และพยายามไม่เข้าไปเกะกะในห้องพยาบาล
ผมไม่ค่อยหวังเท่าไหร่ว่าแมวเหล่านี้จะรอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ทิ้งมันไม่ลง

...

หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ สัตวแพทย์ก็บอกผมว่า
เขาจะต้องเฝ้าอาการแม่แมวและลูกของมันทั้งคืน แต่ไม่มั่นใจนักว่าตัวแม่จะรอดหรือเปล่า

...

วันรุ่งขึ้นผมกลับไปอีก รอแล้วรอเล่า
กำลังจะเลิกล้มความหวังแล้วสัตวแพทย์ก็เดินเข้ามาบอกข่าวดีกับผมว่า
ลูกแมวรอดแล้ว แล้วแม่แมว ผมกลัวคำตอบเหลือเกิน
ยังบอกไม่ได้ครับ ขอดูก่อน

ผมไปที่นั่นทุกวันเพื่อรอฟังอาการ แต่ละวันก็ได้ยินคำตอบซ้ำๆคือ
ต้องรอดูก่อน

...

ประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
ผมไปที่สถานสงเคราะห์!อีกครั้งด้วยความรู้สึกหดหู่ นึกในใจว่า
ถ้าแม่แมวไม่ตาย ป่านนี้ก็รู้แล้วล่ะ
จะมีอาการ่อแร่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร

แต่ทันที่ผมเดินเข้าไป สัตวแพทย์ก็ยิ้มรับและยกนิ้วให้สัญญาณผมว่า
แม่แมวไม่เพียงแต่รอดพ้นจากขีดอันตรายเท่านั้น
อีกหน่อยมันจะมองเห็นได้อีกด้วย

...

เอาละ ในเมื่อแม่แมวอุตส่าห์รอดมาได้อย่างนี้ ...ก็ต้องตั้งชื่อให้มันเสียหน่อย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตั้งชื่อว่าแม่สการ์เลตแปลว่า

..."แดงก่ำ"...

เพราะผิวที่แดงเถือกของมัน

ผมสะท้อนใจที่ได้เห็นแม่แมวเจอหน้าลูกๆอีกครั้ง
เพราะรู้ดีว่ามันต้องกัดฟันต่อสู้ขนาดไหนกว่าจะรอดมาได้

...แล้วทายซิว่าสิ่งแรกที่แม่แมวทำคืออะไร??

...มันนับลูกอีกครั้ง โดยใช้จมูกแตะลูกแมวทีละตัวๆให้มั่นใจว่าลูกๆ
อยู่กันปลอดภัยโดยครบถ้วน มันยอมเสี่ยงภัยเพื่อลูก ไม่ใช่ครั้งเดียว
แต่ถึงห้าครั้ง และได้ผลด้วย ลูกๆของมันรอดชีวิตทั้งหมด!

อาชีพอย่างผมนี่มีโอกาสได้เห็นวีรกรรมกล้าหาญอยู่ทุกวัน
แต่ที่แม่แมวพิสูจน์ให้เห็นในวันนั้น เป็นสุดยอดวีรกรรม
เป็นวีรกรรมที่มาจากความรักของแม่โดยแท้

--------------------------------------------------------------------------------
กล่องข้าวที่หายไป...

ผมนำ “กล่องข้าว” ไปกินที่โรงเรียนครั้งแรกตอน ม.1 เหตุผลสำคัญจริงๆ ก็คือทำตามเพื่อน

ใน ชั้นเรียนนั้นมีเพื่อนนำอาหารมากินตอนพักเที่ยงกันกว่าครึ่งห้อง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีทั้งที่ใส่ปิ่นโต ใส่กล่อง และบางคนใส่ห่อมาก็มี
เมื่อถึงเวลาพักก็เอามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันกิน ถามเพื่อนว่าทำไมเอาข้าวมากิน ส่วนใหญ่บอกว่าซื้อกินเองแพง ไม่มีเงินพอ
บางคนบอกว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย กินของแม่อร่อยกว่า เลยนำอาหารที่บ้านมาเอง และบางคนเห็นเพื่อนกินข้าวกล่องกันเยอะๆ
ดูแล้วสนุกดี แถมบางคนก็เป็นเพื่อนสนิท ไม่อยากจะแยกกัน ก็เลยเอามากินเป็นเพื่อนด้วย

ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลังนี้
ที่บ้านมีปิ่นโตอยู่แล้ว แต่ผมไม่สะดวกกับการหิ้วปิ่นโต เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอ
ขณะที่โรงเรียนอยู่ในตัวจังหวัด ถ้าต้องหิ้วปิ่นโต และโหนรถสองแถวด้วยคงลำบาก
แม่จึงซื้อกล่องข้าวอันใหม่ให้จำได้ว่าเป็นกล่องสีฟ้า ข้างในนอกจากมีพื้นที่ใส่ข้าวแล้วยังแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ใส่อาหารได้ถึง 3 ช่อง
สำหรับบางคน การห่อข้าวเป็นความสะดวกและเรียบง่าย

แต่กับผมไม่ใช่เพราะที่บ้านปกติ จะซื้ออาหารสำเร็จมาทาน

เนื่องจากแม่ผมไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายด้วยโรคมากมายรุมเร้า ทั้งโรคหัวใจ โรคความดัน โรคอ้วน
และไขมันในเส้นเลือดสูง
แต่ผมไม่อยากจะซื้อแกงถุงสำเร็จรูปเพราะธรรมเนียมของการกินข้าวกล่องที่โรงเรียน
คือต้องเป็นอาหารที่ทำมาจากบ้าน มีการชื่นชมและอวดฝีมือของแม่ๆกัน ถ้าซื้อแกงไปก็เสียฟอร์ม

เมื่อผมบอกแม่ว่าอยากได้อาหารที่แม่ทำเองไปอวดให้เพื่อนเห็นฝีมือบ้าง ท่านก็ยิ้มรับคำ
จากนั้นทุกเช้าแม่จะต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาหุงข้าวเตรียมอาหารให้

ปัญหาต่อมาคือ ตอนเด็กๆ ผมไม่กินผัก และไม่กินพวกไข่ต้ม ไข่เจียว แม่จึงต้องทอดไก่ ทอดเนื้อ
หรือทำแกงต่างๆ ให้ ซื่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนต่างๆ นานพอสมควร แต่กระนั้น

ทุกเช้า “กล่องข้าวสีฟ้า” ของผม ก็ถูกเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยเสมอ

แต่แล้วกินข้าวกล่องอยู่ได้ไม่นานนักผลก็ล้มเลิกโครงการนี้
เพราะรู้สึกอึดอัดกับคำถามและสายตาของคนรอบข้างเพราะเริ่มเป็นวัยรุ่น จึงอายที่จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ห่อข้าวมากินเพราะความยากจน

เมื่อกลับมาบอกยอกเลิกที่บ้าน โดยบอกเหตุผลว่าอายเพื่อนนั้น แทนที่แม่จะโล่งใจเพราะไม่ต้องเหนี่อยอีก ท่านกลับอึ้งไปครู่หนึ่ง
แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา และจากวันนั้นมา ผมก็ไม่สนใจอีกว่าแม่จะเก็บกล่องข้าวสีฟ้าไว้ที่ไหน

...แม่ตายตอนผมเรียน ม.6 ไม่ทันอยู่จนเห็นผมเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทำงาน
และมีครอบครัว ตามที่ท่านอยากจะเห็น เราย้ายบ้านอีกหลายครั้ง ทั้งข้าวของและคนในครอบครัวเริ่มกระจัดกระจายพลัดพรากกันไป

ไม่ใช่แต่เพียงกล่องข้าวใบนั้นหรอกที่หายไป ความทรงจำหลายอย่างก็สลายสูญ ขณะที่ชีวิตของผมก็ต้องดำเนินต่อไป

...สองสามเดือนมานี้ ผมเริ่มทดลองที่นำอาหารจากบ้านใส่กล่องไปทานทำงานตอนพักเที่ยง
แล้วก็ได้พบว่า นอกจากจะได้ทานอาหารแนวสุขภาพที่เราควบคุมได้เต็มที่เพราะทำเองแล้ว
ยังสามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ค่อนข้างมีความจำเป็น

น่า แปลกที่การนำข้าวกล่องมากินครั้งนี้ผมไม่อายสายตาคนรอบข้างอีก หลังผ่านวันเวลาของชีวิต ผมเรียนรู้ว่า ถ้ากระทำในสิ่งที่มีเหตุผมพอ
ก็ไม่ต้องเกรงว่าใครจะหมิ่นหยาม

ความหวั่นไหวมักจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเริ่มดูถูกตัวเองต่างหาก
เช้าวันนี้ ผมมองดูภรรยาจัดเตรียมอาหารใส่กล่อง แค่ผัดผักบุ้งไฟแดงและปลาทูนึ่งสองตัวก็คงพออิ่มสำหรับมื้อเที่ยง
ร่างเล็กๆนั้นเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งบริเวณครัวอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งๆที่เธอเองก็เพิ่งฟื้นไข้มาไม่นานนัก

ผมพลันหวนนึกถึงแม่ วูบขึ้นมา
เห็นภาพหญิงอ้วนวัยกลางคน ซ้อนทับอยู่กับภาพหญิงสาวร่างเล็กเบื้องหน้า แล้วน้ำใสในดวงตาผมก็ท้นเอ่อออกมา...
มองกล่องข้าวสีขาวเบื้องหน้า ผมพลันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า “กล่องข้าวสีฟ้า” ที่เคยคิดว่ามันหายไปแล้วนั้น แท้จริงมันไม่ได้หายไหนเลย
เพียงแต่ผมค้นหามันพบช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง....

----------------------------------------------------------

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์