Philip Kotler กับกลยุทธ์ด้านการตลาด
Philip Kotler ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการตลาดในปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์สอนอยู่ ณ มหาวิทยาลัย Northwestern University ในสหรัฐอเมริกา ท่านได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับด้านการตลาดหลายเล่ม หนังสือเล่มล่าสุดของท่านคือ Kotler on Marketing ถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ด้านการตลาด เพราะได้รวมข้อคิดที่น่าสนใจในหลายประการซึ่งจะได้ อธิบายต่อไป การเปลี่ยนแปลงสำคัญในสหัสวรรษใหม่
ศาสตราจารย์ Kotler ได้กล่าวในตอนต้นของ หนังสือเล่มนี้ว่า ในสหัสวรรษใหม่นี้ การตลาดต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระดับโลก 3 ประการดังนี้
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) การวางแผนทางการตลาดต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น e-mail e-business โทรศัพท์มือถือ การสื่อสารผ่านดาวเทียม และต้องพิจารณาว่าเราจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาปรับเปลี่ยนกับ แผนการตลาดได้อย่างไรบ้าง
โลกาภิวัตน์ (Globalization) การตลาดไม่ใช่เรื่องภายในประเทศเท่านั้น แต่เกี่ยวโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อย่างเช่น Amazon.com เปิด website ขายหนังสือและสินค้าอื่นๆ ไปทั่วโลก ในสภาวะดังกล่าว เราต้องรู้จักตลาด ลูกค้าและคู่แข่งทั้งภายในภายนอกเป็นอย่างดี
มีการลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) ทาง ด้านธุรกิจ ทำให้ตลาดเสรีมากขึ้น มีการแข่งขันกันมากขึ้น การผูกขาดตลาดลดลงในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและ องค์กรของรัฐมากขึ้น(Privatization)ศาสตราจารย์ Kotler ได้พูดถึงหลักการตลาดแบบเก่าที่ยังปฏิบัติกันอยู่ซึ่งไม่ได้ถูกต้องนักได้แก่
1. การ คิดว่า การตลอดหมายถึงการขาย การตลาดหมายถึงการแสวงหาความต้องการของคนในสินค้า และบริการประเภทใดที่ยังไม่มีใครผลิตหรือให้บริการตอบสนอง หากการตลาดประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีทีมงานขายอีกต่อไป
2. การตลาดเป็นหน้าที่ของฝ่ายการตลาด แต่ที่จริงแล้วทุกหน่วยงาน ของบริษัทต้องทำหน้าที่ขายหมด บางบริษัทเช่น Marks & Spencer ไม่มีฝ่ายการตลาดเพราะทุกฝ่ายต้องขายหมด
3. การตลาดเน้นหา ลูกค้าแบบใหม่มากกว่าการรักษาฐานลูกค้าเก่า
4. การให้ความสำคัญกับการทำกำไรแต่ละครั้ง แทนที่จะมองกำไรทั้งหมดที่จะได้จากลูกค้าแต่ละราย
5. กำหนดราคาโดยคำนวณต้นทุนและกำไรมากกว่าที่จะตั้งราคาในระดับที่ลูกค้าเต็มใจจะจ่าย
6. พยายามขายสินค้ามากกว่าพยายามเข้าใจความต้องการ ของลูกค้า ยุทธวิธีการตลาดที่จะนำมาสู่ความสำเร็จ
1. ต้องมียุทธศาสตร์ที่แตกต่างคนอื่น เช่น การขายตรงทาง internet โดยไม่ต้องมีร้าน ทำให้ต้นทุนต่ำ
2. ต้องหาช่องทางการตลาดสำหรับสินค้าของตนเอง
- หาสินค้าที่มีปริมาณไม่พอกับความต้องการของตลาดนั้นๆ เช่น Mcdonald และ Nike บุกเข้าไปในตลาดยุโรปตะวันออก
- พัฒนาสินค้าที่มีอยู่แล้วในตลาดให้มีคุณภาพดีขึ้น เช่นถ่านของ Laptop ที่มีอายุยืนยาว
- หาสินค้าและบริการรูปแบบใหม่
3. ควรพัฒนา data base ให้รู้ว่า ลูกค้ามีความชอบ (Preference) และความต้องการ (Requirement) อย่างไร ต้องค้นให้พบ แม้ว่าบางครั้งตัวลูกค้าเองยังอาจไม่ทราบ
- นอกจากนี้ ควรหาให้ได้ว่า ใครที่ทำกำไรให้กับบริษัทและมีกี่ราย จากการศึกการที่ผ่านมาพบว่า กำไรของบริษัท 80% จะมาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ควรเป้นกลุ่มที่บริษัทเอาใจใส่เป็นพิเศษ
- ดูวงจรของลูกค้าว่าจะอยู่ กับเรานานเท่าไร หากเรามีข้อมูล และสามารถคำนวณได้เช่นนี้ จะทำให้เราทราบว่า เราจะสามารถเสนอขายสินค้าอื่นๆ ให้กับลุกค้าในราคาเท่าไหร่เพื่อให้เค้าพึงพอใจ และให้อยู่กับบริษัทไปได้ยืนยาว
- หากินกับ ลูกค้าเก่า เพราะลูกค้าใหม่หายากและใช้ต้นทุนมากกว่า นอกจากนั้นจากการศึกษา พบว่าต้องใช้เวลาหลายปีกว่าลูกค้าใหม่จะจับจ่ายซื้อสินค้าเท่าลูกค้าเก่า
4. สร้าง Brand
- ทำให้สินค้าเด่นในด้านในด้านหนึ่ง จนทุกคนพูดติดปาก เช่น BMW เด่นในด้านความแรงของเครื่องยนต์ ส่วน Mercedes Benz เด่นในด้านความหรูหรา Volvo เด่นในด้านความปลอดภัย
- การสร้าง Brand ไม่ ใช่เป็นภาพลักษณ์อย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของผู้ใช้ต่อสินค้านั้นๆ เช่นกล่องที่ใส่ดีไหม และพนักงานให้บริการดีหรือไม่
- สินค้า Brand name เท่านั้นที่สามารถกำหนดราคาของตัวเองได้ มิฉะนั้นแล้วต้องใช้ราคาต่อสู้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท
หลัก 4 Ps ในทัศนะของ Kotler
Product ต้องทำให้เกิดความแตกต่างที่เห็นได้จากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดีไซน์ ราคา ภาพลักษณ์
Price เดิมการตั้งราคาดูจากต้นทุนบวกกำไร แต่ Kotler เสนอว่าการตั้งราคาควรจะพิจารณาว่า ลูกค้ายินดีที่จะจ่ายในระดับราคาสูงสุดเท่าไร วิธีการตั้งราคาที่ฉลาดคือ การเสนอเป็น package เพราะจะได้สินค้าอื่นๆ พ่วงเข้าไปด้วยกับสินค้าที่ลูกค้าตั้งใจจะซื้อในตอนแรก
Place ในปัจจุบันลูกค้าจะชอบจับจ่ายซื้อของจากบ้าน โดยสั่งซื้อจาก catalog หรือ direct mail, internet, home shopping program ดังนั้น ร้านค้าต้องเน้นเรื่องที่จอดรถที่สะดวก บริการที่อบอุ่น และมีสินค้าที่น่าสนใจ
Promotion ควร จะเน้นการโฆษณาที่จะมุ่งเจาะลูกค้าเป้าหมาย อย่างชัดเจนในด้านอายุ รายได้ เพศ ที่อยู่ เป็นต้น อย่าให้พนักงานขาย เสียเวลาหาลูกค้าใหม่ แต่ควรใช้วิธีการโฆษณาประชาสัมพัน์ในการเสาะหารายได้ชื่อลูกค้าที่มีศักยภาพ ก่อน แล้วจึงให้พนักงานขายออกไปขาย
ที่มา :
http://www.quixest.com 
ปล. อ่านจบแล้วก็ไม่รู้ว่าขายไรดี
