วันที่ 8 พฤศจิกายน 2009 ณ ประเทศเยอรมนี ตะวันออก
ถ้าพูดถึงเยอรมัน สิ่งแรกๆ ที่เราจะนึกถึงคงจะเป็น เบียร์ หรือไม่ก็ กำแพงเบอร์ลิน ยิ่งช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับกำแพงเบอร์ลินบ่อยๆ นั้นเพราะพรุ่งนี้ 9 พฤศจิกายน 2009 เป็นวันครบรอบ 20 ปี การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะผ่านมาเพียง 20 ปี
กำแพงเบอร์ลินถูก สร้างขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเริ่มสร้างขึ้นในช่วงปี 2504 เพื่อป้องกันประชาชนจากฝั่งตะวันตกซึ่งไม่ใช่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ข้ามมา แต่ภายหลังกำแพงกลับกลายเป็นปราการเรือนจำที่กักขังชาวเบอร์ลินตะวัน ออกไม่ให้หนีออกจากประเทศ ก่อนจะเพิ่มความสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกำแพงสูงกว่า 3 เมตร ยาวถึง 140 กิโลเมตร โดยกำแพงจะมีหอสูงคอยสอดส่องพื้นที่กว้างที่รู้จักกันในชื่อ ลานมรณะ มีประชาชนราว 5,000 คนพยายามจะหนีออกจากหลังกำแพงแห่งนี้ หลายคนหนีสำเร็จ แต่อีกหลายคนถูกการ์ดกำแพงที่คอยเฝ้าระวังอยู่ยิงเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าคนจำนวนนี้มีอยู่ราว 100-200 คน

วันที่ 9 พฤศจิกายน คือเป็นวันที่กำแพงเบอร์ลินถูกทำลายลงด้วยพลังของประชาชน เมื่อปี พ.ศ. 2532 ดังนั้นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 จึงมีความสำคัญใหญ่หลวง เมื่อรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ตัดสินใจเปิดพรมแดนเป็นครั้งแรก หลังจากที่สร้างกำแพงกักขังชาวเบอร์ลินตะวันออกอยู่ในบ้านของตัวเองมานานถึง 28 ปี ระหว่างที่การปฏิวัติเกิดขึ้นทั่วยุโรปตะวันออก รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกประกาศเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 หลายสัปดาห์หลังเกิดเหตุจลาจลในประเทศ ว่าประชาชนในเยอรมนีตะวันออกสามารถเข้าไปเยือนฝั่งตะวันตก และเบอร์ลินตะวัน ตกได้ ทำให้ฝูงชนจากฝั่งตะวันออกพากันปีนป่ายข้ามกำแพงไปหาชาวเยอรมันตะวันตกท่าม กลางบรรยากาศฉลองกันด้วยความดีใจของประชาชนทั้งสองฝ่ายที่ช่วยกันพังกำแพงลง มาด้วยมือของตัวเอง

ชาวเยอรมันตะวันออกที่ทราบข่าวต่างไปออกันที่จุดผ่านเพื่อข้ามกำแพงไปยัง เบอร์ลินตะวัน ตกท่ามกลางความงุนงงของการ์ดชายแดน ก่อนจะโผเข้าไปกอดประชาชนในฝั่งตะวันตกที่บางคนไม่เคยรู้จักมาก่อน พร้อมร่ำไห้ด้วยความปีติอย่างเหลือล้น การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ส่งช็อกเวฟกระเทือนไปทั่วโลกในค่ำคืนนั้น ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น และปูทางไปสู่การรวมประเทศเยอรมนี ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายนับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา หลายส่วนของกำแพงก็ถูกพังลงโดยฝีมือของประชาชน หรือพวกนักล่าของสะสม ก่อนที่เครื่องมือหนักจะมารื้อกำแพงทั้งหมดทิ้ง และนำไปสู่การรวมประเทศเยอรมนีอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ตุลาคม 2533 อีกหนึ่งปีต่อมา

ในขณะนั้นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญต่อเหตุการณ์นี้ ได้แก่ มิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตประธานาธิบดีคนสุดท้ายแห่งสหภาพโซเวียต อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้ล่วงลับ และอดีตนายกรัฐมนตรีเฮลมุด โคห์ลแห่งเยอรมนีตะวันตก นายกอร์บาชอฟได้ให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีการทำลายกำแพงเบอร์ลินว่า “ผมภูมิใจที่เรา และประเทศในยุโรปทั้งตะวันตกและตะวันออกพบจุดหมายเดียวกันด้วยการเห็นแก่ ประโยชน์ของทุกฝ่าย” ถึงแม้ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นของเขาจะมีนักวิจารณ์ชาวรัสเซียวิจารณ์ว่า เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายก็ตาม
นับจากวันนั้นจนวันนี้ 20 ปีผ่านไป เยอรมนีเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลบนเวทีโลก ส่วนเบอร์ลินก็กลายเป็นเมืองหลวงที่มีความล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่เยอรมนีวันนี้ ก็ยังเหลือร่องรอยแผลเป็นจากการแบ่งแยก เพราะอัตราคนว่างงานในฝั่งตะวันออก ยังคงมากกว่าฝังตะวันตกเป็น 2 เท่า นอกเหนือจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างคนฝั่งตะวันตกและคนฝั่งตะวัน ออก
ในความคิดของเราที่เรียนและทำงานอยู่ที่นี่ เยอรมันตะวันออก ในเขตเมืองที่ปกครองด้วยสหภาพโซเวียตเมือ 20 ปี ที่แล้ว เพื่อนหลายคนของเราที่อยู่ด้วยกัน ก็เป็นเด็กน้อยที่อยู่ในยุคสมัยนั้น เพื่อนหลายคนของเราที่เรียนและทำงานอยู่ด้วยกัน ยุคสงครามเย็นและยุคที่มีการพังกำแพงเบอร์ลิน แต่ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เขารู้สึกดี ถ้าเราถามเขาว่าช่วงนั้นเป็นอย่างไร ลำบากมากไหม คงไม่มีชาวเยอรมันตะวันออกคนไหนที่จะบอกว่า ตัวเองลำบากยากแค้นซ่ะเหลือ อาจจะยอกรับเล็กๆ ว่ามันลำบาก แต่พวกเขาก็ยังคงทรนง เขาไม่คิดว่านั้นเป็นสิ่งยากลำบาก เขาก็อยู่อย่างนั้น อยู่อย่างที่เขาเคยอยู่และไม่คิดว่านั้นคือความลำบาก ส่วนชาวเยรมันตะวันตกก็จะมองฝั่งตะวันออกนั้นล่าหลัง สิ่งเล่านี้แหละที่ทำให้คนทั้งสองฝั่งยังคงมีความแตกต่างกันอยู่อย่างมาก เวลาเพียง 20 ปี คงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดที่ฝั่งลึกในจิตใจได้ ทุกอย่างจึงต้องใช้เวลา
มองย้อนกลับมาบ้านที่บ้านเรา จากประเทศที่ประชาชนเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนี้แบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ยิ่งมองยิ่งรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่งบ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องมาเกิดในยุคสมัยที่เราอยู่
ถ้าวันนั้นที่เบอร์ลิน ไม่มีจำนวนประชาชนมหาศาลไปร่วมพังกำแพง ก็คงยังมีกำแพงเบอร์ลินอยู่ ดังนั้นพลังประชาชนนั้นสำคัญ ถ้าเราทุกคนจงรักภักดี มองไปที่จุดร่วมใจหนึ่งเดียวของคนไทยและร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ประเทศเราจะพ้นจากวิกฤติทั้งปวงค่ะ
เรียบเรียง Wiarawan N.
ข้อมูลจาก
http://i-wirawan.com