เศรษฐีพันล้านสู่ยาจก อากี ขอโอกาสไท่กั๋วคืนชีพ ด้วยธุรกิจเป็ดพะโล้
หากย้อนเวลากลับไปสักประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว ประเทศไทยมีกำแพงภาษีที่สูงมาก ทำให้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมีราคาแพง โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีอย่างเครื่องเสียง กล้องถ่ายรูป โทรทัศน์ ด้วยเหตุนี้ คนไทยจึงแห่ไปซื้อที่ฮ่องกงและหิ้วเข้าประเทศไทยแทน เพราะว่าที่ฮ่องกงเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้มีราคาถูกมาก เรียกได้ว่าถูกกว่าครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว หากคุณได้ไปเที่ยวฮ่องกง คุณจะต้องรู้จักร้านขายเครื่องเสียงและวีดิทัศน์ที่มีป้ายเขียนเป็นภาษาไทยว่า ‘อากี อยู่ที่นี่’ ความมีใจรักบริการ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า จนเป็นขวัญใจคนไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะไม่มีใครไม่รู้จักเขา
วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสจับเข่าคุยกับ ลี เว่ย กี (Lee Wai Kei) อดีตเถ้าแก่ร้านขายเครื่องเสียงและวีดิทัศน์ชื่อดังของเกาะฮ่องกง ในวัย 63 ปี ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่น้อยเลยของชีวิตชายผู้นี้ ล้มลุกคลุกคลานจากจุดสูงสุดในชีวิตด้วยเงินในกระเป๋า 200 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยตอนนั้นประมาณ 640 ล้านบาท สู่จุดต่ำสุดจนไม่เหลืออะไรเลย ซ้ำร้ายยังคิดสั้นฆ่าตัวตายประชดความล้มเหลวในชีวิต ก่อนจะฮึดขึ้นสู้ขอโอกาสไท่กั๋ว (Tai Guo) หรือประเทศไทย ให้เขาได้สร้างธุรกิจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือร้านอาหารที่ใช้ชื่อว่า 'อากี เป็ดพะโล้' วันนี้เขาผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร ร่วมสัมผัสเรื่องราวชีวิตอากีไปด้วยกัน
เปิดปูมหลัง ‘ลี เว่ย กี’ จากเซลส์ต๊อกต๋อยสู่เถ้าแก่ร้านเครื่องเสียงและวีดิทัศน์
ย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อนหน้าที่อากีจะเข้ามาเป็นเจ้าพ่อวงการเครื่องเสียงและวีดิทัศน์นั้น อากีเล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า เขาเป็นเซลส์ขายเครื่องเสียงมาก่อนและด้วยความที่ต้องยืนขายของอยู่หน้าร้าน รวมทั้งลูกค้าของร้านส่วนใหญ่เป็นคนไทย เขาจึงอยากสื่อสารภาษาไทยกับลูกค้า อากีโชคดีที่เป็นคนแต้จิ๋ว ทำให้เรียนภาษาไทยได้เร็วกว่า เพราะคนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่จะพูดแต้จิ๋ว เพื่อนๆ จะใช้ภาษาแต้จิ๋วสอนภาษาไทยให้กับอากี
นอกจากพูดภาษาไทยได้แล้ว พ่อค้าที่ชื่อ ลี เว่ย กี ยังเป็นคนที่มีใจรักในการบริการอย่างมาก ไม่ว่าลูกค้าอยากได้ข้าวหน้าเป็ด น้ำอัดลม ของอื่นที่ในร้านไม่มีขาย อากีก็วิ่งไปซื้อมาให้จนได้ ทำให้ลูกค้าเห็นถึงความอบอุ่นและความมีน้ำใจของชายผู้นี้ จนทุกคนที่เข้ามาร้านไม่ถามหาเถ้าแก่ แต่จะถามหาอากีตลอด ขอพูดคุย ซื้อของกับอากีทั้งนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปิดธุรกิจเครื่องเสียงและวีดิทัศน์เป็นของตัวเอง
สั่งสมประสบการณ์ ด้วยใจรักบริการ ปูทางสู่เจ้าของธุรกิจเต็มตัว
ลี เว่ย กี เป็นเซลส์ขายของให้กับเถ้าแก่ร้านเครื่องเสียงได้ประมาณ 1-2 ปีเท่านั้น เขาได้มองเห็นศักยภาพของตัวเองที่ขายของได้จำนวนมาก ประกอบกับมีใจรักในการบริการ ซื่อสัตย์จริงใจ เป็นจุดเด่นที่ทำให้อากีเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าต่างชาติรวมถึงชาวไทยด้วย อากีจึงออกจากร้านและมาเปิดธุรกิจร้านเครื่องเสียงและวีดิทัศน์เป็นของตัวเอง
ความพิเศษในตัวอากีเป็นสิ่งที่หายากในสไตล์เซลส์ฮ่องกง เชื่อว่ามีหลายคนคงเคยไปเที่ยวฮ่องกงในสมัยเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ร้านเครื่องเสียงบางร้านสามารถลดราคาให้ลูกค้าได้ถูกมาก แต่ถอดของดีออกไป ถ้าอยากได้ต้องซื้อราคาเต็ม หรือ ไม่มีของตามขนาดที่ต้องการแต่ใช้วิธีนำสติกเกอร์มาติดให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าทั้งๆ ที่เป็นชิ้นเดิมก็มี แต่อากีไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เสน่ห์ของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของอากี คือ ความมีใจให้บริการ ซื่อสัตย์ จริงใจ นอกจากสินค้าในร้านจะราคาถูกแล้ว อากียังการันตีด้วยว่า “ถ้าเจอร้านไหนที่ถูกกว่าจะคืนเงินให้เลย หรือซื้อไปแล้วของไม่ดีเปลี่ยนได้ สินค้าเสียและยังอยู่ในการรับประกันจะรับซ่อมให้ด้วย” ด้วยการเป็นคนที่มีใจรักบริการ ทำให้ไกด์ที่พาลูกทัวร์มาเที่ยวกล้าที่จะพามาซื้อของที่ร้านอากีมากกว่าไปซื้อร้านอื่นเพราะกลัวถูกหลอก อากีจะมีความจริงใจกับลูกค้าทุกชาติไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทย รวมทั้งอากีได้ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกับลูกค้าชาวไทยด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้อากีเริ่มเติบโตมาในวงการธุรกิจเครื่องเสียงและวีดิทัศน์ในกลุ่มคนไทย ตอนอายุ 30 ต้นๆ เท่านั้นเอง
ขายส่งราคาถูก ให้โอกาสคนเปิดธุรกิจ
เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ฮ่องกงถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งของคนเอเชียในสมัยนั้น และยิ่งเป็นยุคของเครื่องเล่นเทปและซีดีพกพา สมัยนั้นคนไทยเรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ซาวนด์อะเบาท์ วอล์คแมน วัยรุ่นเห่อกันสุดๆ จนต้องพกไปฟังที่โรงเรียนโชว์เพื่อนกันเลยทีเดียว ทำให้สินค้าเหล่านี้ขายดีมาก
ร้านอากี เป็นที่ไว้วางใจของลูกค้าไทยหลายคน จนบางครั้งยังมีแอร์โฮสเตสชาวไทยหิ้วของจากร้านอากีมาขายที่เมืองไทย อากีไม่ได้ขายแค่หน้าร้าน แต่อากีได้มีโอกาสช่วยคนไทยไว้เยอะ คนไทยที่อยากจะสร้างตัวอยากมีร้านขายกล้องเป็นของตัวเอง อากีขายให้ในราคาที่ถูกมาก เอากำไรจากคนกลุ่มนี้น้อย เพื่อให้ได้มาขายเอากำไรที่เมืองไทย
“มีหลายคนที่ต้องการเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยซื้อของจากที่ร้านมาขายที่มาบุญครอง ซึ่งจะขายให้เขาในราคาที่ถูกมาก เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสได้กำไรด้วย” และนี่คือความมีน้ำใจของชายที่ชื่อว่า ลี เว่ย กี
จุดสูงสุดของชีวิต ‘อากี’ ยอดขายมากกว่า 200 ล้านเหรียญต่อปี
สำหรับลูกค้าของร้านอากีส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยมากถึง 90% อากีเล่าถึงความสำเร็จของธุรกิจตนเองว่า “รายได้ต่อวันโดยยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย 1 ล้านเหรียญฮ่องกงหรือประมาณ 3.2 ล้านบาท บางวันก็มากกว่านั้น ส่วนยอดขายต่อปีมากกว่า 200 ล้านเหรียญฮ่องกง คิดเป็นเงินไทยประมาณ 640 ล้านบาท ในบางวันหน้าร้านมีลูกทัวร์มาลง 5-6 คันในเวลาเดียวกันจนเข้ามายืนในร้านไม่ได้เลย นอกจากนั้นยังขายส่งไปยังประเทศไทย จีน ฟิลิปปินส์ ตุรกีด้วย”
ธุรกิจของอากีเป็นไปลักษณะซื้อมาขายไป ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ซื้อสินค้ามาตุนไว้ในสต๊อกเรื่อยๆ ไม่ให้ขาด เผื่อลูกค้าจะมาพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ต้องมีสินค้าพร้อมจำหน่ายลูกค้า อากีให้เหตุผลว่า ลูกค้าบางคนมีเวลาน้อย บินมาฮ่องกงไม่นานก็ต้องบินกลับประเทศไม่สามารถรอสินค้าได้ ถ้าร้านอากีไม่มีของให้ลูกค้า ลูกค้าก็จะหนีไปซื้อร้านอื่น เพราะในฮ่องกงยังมีร้านขายเครื่องเสียงและวีดิทัศน์อีกหลายร้าน ฉะนั้น หลักในการทำธุรกิจของอากี คือ ต้องมีของให้ลูกค้าตลอด จึงไม่ได้นำเงินไปลงทุนทำอย่างอื่น ไม่มีที่ดิน ไม่มีทอง ไม่มีเงินฝาก ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ที่เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
“ช่วงเวลานั้น ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิตเลยก็ว่าได้ ช่วงนั้นมีความสุขมาก ค้าขายดี มีเงินหมุนไปหมุนมาสบายมาก ไม่ได้มีความสุขเพราะว่ามีเงินเก็บมากมาย แต่ที่มีความสุขเพราะทำงานประสบความสำเร็จซื้อมาขายไปดีที่สุดแล้วในช่วงชีวิตนี้” อากีเล่าด้วยความปลื้มใจ
ถึงคราโลกเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่เข้ามาเยือน
แม้ธุรกิจของอากีจะขายดิบขายดี แต่ก็มีคนหวังดีเตือนว่าที่เมืองไทยภาษีนำเข้าเริ่มลดลง อาจจะส่งผลกระทบต่อร้านได้ เพราะหากภาษีลดลงเช่นนี้เรื่อยๆ ราคาสินค้าในเมืองไทยแทบจะไม่แตกต่างจากฮ่องกงเลย แต่อากีกลับไม่สนใจคำเตือน เพราะคิดว่าแม้ไม่มีลูกค้าคนไทยแต่ก็ยังมีลูกค้าอีกหลายๆ ประเทศให้การสนับสนุนอยู่
จนมาวันหนึ่งเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โทรศัพท์มือถือเข้ามีบทบาทในโลกมากขึ้น นำโดยยี่ห้อ Motorola โทรศัพท์มือถือมีเสาเครื่องใหญ่โต เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก ทำให้วิทยุสื่อสาร (walky talky) ซึ่งในอดีตขายดีมาก เริ่มตกยุคสมัยลงไปจนขายไม่ออก ต่อมาในยุคที่มีเครื่องเล่นเพลง MP3 ทำให้ซาวนด์อะเบาท์ CD MD ขายไม่ได้ เวลาผ่านไปไม่นานมีกล้องดิจิตอลเกิดขึ้นมา ทำให้กล้องฟิล์มขายไม่ได้อีกเช่นกัน
“ตัวเองสมองแคบ ทุกวันทำงานอยู่แต่ที่ร้าน เช้าก็มาที่ร้าน สังคมอยู่ภายในร้าน รู้นะว่าเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลง แต่มีความต่อต้าน ไม่รู้ว่าจะต้องต่อยอดทำธุรกิจอย่างไร คิดแต่เพียงว่าตัวเองเจ๋ง ลูกค้าเยอะ ไม่กลัว หลังจากที่เทคโนโลยีเข้ามา ธุรกิจส่วนตัวยังไม่ได้เจ๊งในทันที แต่จะค่อยๆ มีปัญหามาเรื่อยๆ เช่น เครื่องเสียงขายไม่ออก ซีดี ซาวนด์อะเบาท์ ขายไม่ออก กล้องฟิล์มเล็กขายไม่ได้”
'อากี อยู่ที่นี่' สโลแกนสำคัญของร้าน
"ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าวันนี้มันไม่ดี พรุ่งนี้เดี๋ยวมันก็ดี"
ยืนอยู่ในความสำเร็จ จนมั่นใจเกินไป ธุรกิจสูญสิ้นภายใน 1 วัน
เมื่อสถานการณ์ทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป แต่อากียังคงยึดหลักในการทำธุรกิจเช่นเดิม มีการตุนของในร้าน เพราะคิดว่าอนาคตจะมีสินค้ารุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ อากี เผยว่า “ตัวเองไม่กลัวเลย เพราะอย่างน้อยๆ ยังมีคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่เป็น เขายังต้องการใช้ของแบบเดิมๆ อยู่ MP3 เล่นไม่เป็น กล้องดิจิตอลก็เล่นไม่เป็น เล่นเป็นแต่กล้องฟิล์ม และยังพบว่ากลุ่มลูกค้าที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มคนมีเงินที่มีภาวะการตัดสินใจซื้อสินค้าง่าย แต่ไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ ตัวเองมั่นใจมากว่าจะต้องขายคนกลุ่มนี้ได้แน่นอน”
กลยุทธ์ในการทำธุรกิจของอากีคือ ต้องมีของให้ลูกค้าอยู่ตลอด ฉะนั้น ไม่ว่าจะขายของได้เงินมาเท่าไหร่ อากีก็จะซื้อสินค้ามาตุนไว้ในสต๊อกอยู่ตลอดเวลา เพราะหากอากีไม่มีสินค้าให้ลูกค้าก็จะไปซื้อร้านอื่นแทน และเมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ค่อยๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ MP3 ยิ่งออกรุ่นใหม่มาเสียงยิ่งดี เครื่องเสียงเก่ายิ่งตกรุ่นลง กล้องดิจิตอลออกรุ่นใหม่มาทำให้ดีกว่าเดิม กล้องฟิล์มก็ยิ่งขายไม่ได้ ในขณะเดียวกัน สินค้าในสต๊อกที่ล้าสมัยยังมีอยู่มากมาย ทำให้อากีตัดสินใจปล่อยสินค้าในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังขายไม่ออกอยู่ดี สถานการณ์ร้านอากีค่อยๆ แย่ลงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เคยมีเพื่อนๆ หลายคนเตือนเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่อากีไม่ฟัง
ร้านอากีในฮ่องกง เขียนป้ายเป็นภาษาไทย ภาพจาก :
www.hongkongfanclub.com 
อากีเล่าว่า "ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าวันนี้มันไม่ดี พรุ่งนี้เดี๋ยวมันก็ดี หรือถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีอีก มะรืนนี้มันก็ดี เดี๋ยววันต่อๆ ไปมันก็ดีเอง" อากี จ่ายเช็คเพื่อซื้อสินค้ามาตุนไว้ที่ร้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะเช็คเด้ง ซึ่งเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินมาก่อน ทำให้เจ้าของร้านนั้น กลัวว่าอากีจะไม่มีเงินจ่ายค่าสินค้า จึงพาคนมาขนของที่ร้านออกไปจนหมด ขณะนั้น อากีไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย เขาทำได้แค่ยืนมองคนมาขนของออกจากร้านไปทั้งน้ำตา อากีคนที่เคยทำธุรกิจเครื่องเสียงและวีดิทัศน์มา 30 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังข้ามประเทศ รวมทั้งยังเป็นที่รู้จักของคนมากหน้าหลายตา สุดท้ายแล้วร้านที่เขาสร้างมากับมือต้องพังลงภายในวันเดียว
สูงสุดสู่สามัญ..จากเถ้าแก่ กลายมาเป็นลูกน้อง
จุดตกต่ำสุดในชีวิต หลังจากอากีล้มละลายตอนปี 2011 ประมาณเดือนกว่า อากีไปหางานทำเป็นร้านขายเครื่องเสียงและวีดิทัศน์เหมือนกัน จากเถ้าแก่ต้องกลายมาเป็นลูกน้อง อากี เล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ช่วงนั้นผมเครียดมาก แต่จำเป็นต้องไปหางานทำเพราะไม่มีเงิน แถมยังติดหนี้ธนาคารอีก พอทำงานไปสักพักเถ้าแก่ขายธุรกิจให้คนอื่นผมก็ลาออกมาอยู่บ้านไม่มีจิตใจออกไปหางานทำเอาแต่ร้องไห้ทั้งวัน เฝ้าแต่โทษตัวเองว่าทำไมถึงโง่ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ไม่ฟังผู้ใหญ่ไม่ฟังคำเตือน คิดอยู่ตลอดคิดจนถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ เพราะผมคิดว่าผมเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนหลายคน ถ้าเกิดฆ่าตัวตายตัวเองก็มีความอับอาย กลัวมีคนด่าโง่ฉิบหาย สมน้ำหน้าฆ่าตัวตาย แต่ผมโชคดีที่ไม่ได้ทำแบบนั้น ซึ่งตอนนั้นเป็นโรคซึมเศร้าด้วยก็เลยคิดอะไรแปลกๆ”
ตกต่ำที่สุดในชีวิตไม่ใช่ธุรกิจเจ๊ง แต่คือการกลับไปเป็นลูกน้องที่ร้านเครื่องเสียงต่างหาก
ลี เว่ย กี สมัยหนุ่มๆ เป็นเถ้าแก่ร้านขายเครื่องเสียงและวีดิทัศน์
มั่นใจเกินไป…บทเรียนสำคัญจากความล้มเหลว
อากี ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า “ผมอายุ 60 กว่า ได้รู้ว่าเคยมีโอกาสดีๆ ในชีวิต แต่ไม่รักษาหรือต่อยอดธุรกิจ ไม่ยอมกระจายความเสี่ยง มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปตุนของหมด ไม่ยอมไปซื้อสินทรัพย์อื่นๆ เก็บไว้ ไม่เก็บเงิน และมีความมั่นใจในตัวเองเกินไป คิดว่าตัวเองเจ๋ง ไม่คิดถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต คนอื่นๆ เตือนก็ไม่ฟัง อย่าให้ใครต้องมาเป็นแบบผมเลย มีคนเตือนต้องหัดสังเกตว่าช่วงเวลานี้คนบนโลกสนใจอะไร ตลาดเทคโนโลยีเป็นอย่างไร วิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต เพราะวันนี้กับพรุ่งนี้ไม่เหมือนกัน ในทุกๆ วันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
พี่ชายดึงอากีขึ้นมาจากความล้มเหลว ก่อนออกทุนเปิดร้านเป็ดพะโล้
หลังจากเกิดเหตุการณ์วิกฤติในวันนั้น ชายวัย 63 ปี เล่าต่อว่า “พี่ชายและพี่สะใภ้ได้ชวนมาทำเนื้อจระเข้ปิ้งอยู่ที่ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา แต่ผมเกิดความรู้สึกอับอายรับไม่ได้จากคนที่มีชื่อเสียงต้องมาขายอาหารอยู่ข้างทาง จึงบอกปฏิเสธไป แต่พี่ชายยังย้ำว่าให้รีบมาเมืองไทย มัวแต่ร้องไห้อยู่ทุกวันก็ไม่มีประโยชน์ ดูเฮียมาเปิดร้านอาหารในเมืองไทยมีเงินก้อนใหญ่แล้ว ในที่สุดพี่ชายออกทุนเปิดร้านอาหารให้ด้วย ผมขอชื่นชมเขาและขอบคุณเขามากๆ”
พี่ชายและพี่สะใภ้ขายเนื้อจระเข้ปิ้งในตลาดน้ำสี่ภาค เป็นผู้คอยช่วยเหลืออากีมาโดยตลอด
คุณอ้อย สุกัญญา หุ้นส่วนคนสำคัญในการเปิดร้านเป็ดพะโล้
ในเวลาต่อมา ลี เว่ย กี ได้เจอกับ คุณอ้อย สุกัญญา หาญอนุชน ผู้มีฝีมือในการทำเป็ดพะโล้และเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญในการเปิดร้าน โดยคุณอ้อยเล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังถึงสาเหตุที่เปิดร้านเป็ดพะโล้ว่า อากีเคยอยากลงทุนร้านอาหาร มองเห็นว่าร้านอาหารมีอนาคต แต่ว่าไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องของการทำอาหาร ทั้งคู่รู้จักกันมานานเหมือนพี่เหมือนน้อง พอเห็นอากีธุรกิจล้มลงเลยชวนมาเปิดร้านอาหารกัน แต่ความจริงเคยชวนมานานแล้ว เพราะว่ามีเพื่อนของอากีที่พร้อมจะลงทุน สนับสนุนให้อากี รู้ว่าอากีมีชื่อเสียงดี คนไทยรู้จักเยอะ ชวนกันมาเป็นสิบกว่าปี ตอนนั้นอากีมองหาเชฟราคาเป็นแสนไม่คิดว่าคุณอ้อยจะทำอาหารได้
ถึงแม้ว่าอากีจะเคยทำธุรกิจผิดพลาดจนหมดตัว แต่คุณอ้อยก็ยังไว้ใจให้อากีมาร่วมเป็นหุ้นส่วนของร้านเป็ดพะโล้ด้วย โดยคุณอ้อยให้เหตุผลว่า รู้จักกับอากีมาเกือบ 30 ปี อากีเป็นเหมือนพี่ชายเหมือนคนในครอบครัว สมัยนั้นอากีคอยช่วยเหลือคุณอ้อยทุกอย่างคอยแนะนำงานให้คุณอ้อย เพราะรู้จักคนเยอะ รวมทั้งคุณอ้อยรู้จักกับพี่ชายอากี และพี่ชายอากีได้ชวนคุณอ้อยมาร่วมหุ้นทำธุรกิจร้านอาหารด้วยกันก่อนที่จะชวนอากีเข้ามาร่วมด้วย
หากร้านไม่มีสินค้าให้ลูกค้าก็จะหนีไปซื้อร้านอื่น จึงต้องตุนสต๊อกของอยู่ตลอด
บรรยากาศร้านอากี เป็ดพะโล้ ช่วงเช้าวันที่ 12 ก.ย.
"ตอนแรกๆ ก็คิดนะว่าอาเฮียจะบริหารด้วยความมั่นใจเกินไปหรือเปล่า และก็ได้บอกอาเฮียว่าอย่าทำร้านนี้พังเหมือนร้านที่ฮ่องกงนะ พูดไปตรงๆ เลย แต่ว่าอาเฮียมีเพื่อนมีฝูงเยอะ มันก็ไม่ใช่ว่าจะปรึกษากับอาเฮียแค่สองคน แต่ว่าปัจจุบันอาเฮียมีความมั่นใจลดลงกว่าแต่ก่อนมาก ไม่อีโก้สูงเหมือนเมื่อก่อน และก็ได้รับบทเรียนจากความล้มเหลวมาแล้ว จะมาบริหารแบบยืนอยู่กับที่เจ๋งอยู่คนเดียวก็ไม่ได้แล้ว ตอนนี้จะทำอะไรก็ปรึกษาเพื่อนอาเฮียตลอด เพราะว่าอาเฮียจะมีเพื่อนทำธุรกิจเก่งๆ เยอะมากเลยทำให้ไม่กลัวและมั่นใจในการทำธุรกิจกับอาเฮีย"
คุณอ้อย เล่าต่อว่า “ตอนแรกทำเป็ดให้อากีชิม อากีก็พาเพื่อนมาชิมจนทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย จนก่อนที่จะเปิดร้านประมาณ 4 เดือนที่แล้ว เพื่อนๆ ของอากีบอกให้ใช้ชื่ออากีเป็นชื่อร้าน พร้อมกับเขียนป้ายว่า “อากี อยู่ที่นี่” ซึ่งวลีนี้เป็นวลีเดียวกับที่เขียนอยู่ในร้านที่ฮ่องกง เขียนเพื่อให้คนไทยหาร้านอากีเจอ จากนั้น กลายเป็นว่าทุกคนที่รู้จักอากีก็เข้ามาช่วยเหลือให้กำลังใจ ทุกคนอยากมาหาอากีด้วยความดีที่อากีสะสมมา 30 กว่าปี”
เป็ดพะโล้ร้านอากี สูตรอร่อยล้ำ
"เงิน ในเวลานี้ไม่มีความหมายอะไร ความสุขต่างหากที่สำคัญ"
อากี ยอมรับว่า ปัจจุบันนี้ไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์เถ้าแก่ร้านเครื่องเสียงอีกต่อไปแล้ว “ตอนนี้ผมช่วยรับลูกค้า เก็บจาน ก่อนหน้านี้ที่คนไม่พอก็ช่วยล้างจานด้วย เสิร์ฟอาหาร สับเป็ด ลวกก๋วยเตี๋ยว ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยกเว้นเข้าครัว มือยังไม่ถึง (หัวเราะ)”
ทีมข่าวฯ ถามต่อว่า ไม่ได้รวยเป็นร้อยล้านยังมีความสุขอยู่ไหม อากี ตอบทันควันว่า “เวลานี้ผมมีความสุขมากขึ้น เพราะว่ามาถึงแผ่นดินไทย โชคดีมีพี่ชายกับพี่สะใภ้คอยช่วยเหลือดึงให้ขึ้นมาจากความล้มเหลวในชีวิตได้ เขาเหนื่อยขนาดนี้ยังมาช่วยผม ช่วยทั้งเรื่องเงิน เรื่องกำลังใจอยู่ตลอด อยากขอบคุณในน้ำใจของทั้งคู่มากๆ ที่ไม่เคยทิ้งกันในยามลำบาก”
ลูกค้ามาอุดหนุนแต่เช้า
ลูกค้ามาเต็มร้านเลย
นำเรื่องผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนปัจจุบัน
บทเรียนจากการทำธุรกิจเครื่องเสียงและวีดิทัศน์ การกักตุนสินค้าเพื่อวันต่อๆ ไปนั้น เมื่อมาทำธุรกิจร้านอาหารอากีจะไม่มีการซื้อของตุนใดๆ วัตถุดิบต่างๆ หากขายไม่หมดก็จะแจกจ่ายให้ลูกน้อง หรือให้เพื่อนๆ บางทีที่ขายไม่หมดเพราะฝนตกลูกค้ามาน้อย กะไม่ถูก ขายไม่หมดไม่เคยเก็บของไว้ ไม่เติมสต๊อกต้มไปขายไป ไม่เอาของเก่ามาขายให้ลูกค้ากลัวเสียชื่อ
“เงิน ในเวลานี้ไม่มีความหมายอะไร ความสุขต่างหากที่สำคัญ ร่างกายสุขภาพก็สำคัญ ความสุขจากเวลานี้มีงานทำ ได้เห็นคนไทยมีน้ำใจทุกคนทั้งที่รู้จักหรือไม่รู้จัก ยังโทรมาหา มาอุดหนุนที่ร้านคอยช่วยเหลือให้กำลังใจเต็มที่”
เปิดวันแรกหลังปิดปรับปรุง ของหมดเกลี้ยงเลย
อากีกับลูกค้าใหม่
เปิดร้านวันแรกหลังปิดปรับปรุง คนให้กำลังใจเพียบ ของหมดตั้งแต่บ่ายสอง!
สำหรับบรรยากาศเปิดร้านวันแรกหลังปิดปรับปรุงไปหลายวันนั้น อากีเปิดบริการตั้งแต่ 7 โมงเช้า ลูกค้าค่อยๆ ทยอยมาตอน 8 โมง และช่วง 11 โมงลูกค้าแห่มากินฝีมือเป็ดสูตรฮ่องกงกันอย่างแน่นร้าน จนต้องยืนรอคิวเต็มหน้าร้านไปหมด พนักงานสับเป็ด 4 คนสับถึงกับสับเป็ดไม่ทัน ซึ่งลูกค้าที่มาอุดหนุน จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกค้าเก่าจากที่ฮ่องกง กลุ่มคนที่อยู่แถวคู้บอน และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ทราบข่าวจากโทรทัศน์ ท้ายที่สุดเป็ด 50 ตัวก็หมดลงภายในเวลาบ่ายสองเท่านั้น แต่ก็ยังมีลูกค้าทยอยมาที่ร้านเรื่อยๆ และต้องพบกับความผิดหวังว่าของหมดแล้ว!
คุณสาธร ธนังชูศิลป์ อายุ 68 ปี ลูกค้าร้านอากี เป็ดพะโล้ เผยว่า "ผมเป็นลูกค้าเก่าของอากีที่ฮ่องกง เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นผมไปเที่ยวฮ่องกง และไกด์ทัวร์ได้พาไปซื้อของร้านอากี โดยบอกว่าร้านนี้ไว้ใจได้ เจ้าของพูดภาษาไทยได้ด้วย คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี พอไปถึงร้านลูกชายที่อยู่ในวัยรุ่นไปซื้อเครื่องเล่นเพลงติดไม้ติดมือกลับมาเมืองไทยและใช้ได้ดีไม่ผิดหวัง ส่วนที่มาอุดหนุนร้านอากี เนื่องจากเพื่อนส่งไลน์มาว่าอากีมาเปิดร้านเป็ดพะโล้ที่เมืองไทยและผมจำได้ว่านี่คืออากี เถ้าแก่ร้านเครื่องเสียงที่ฮ่องกง ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เจออากี จึงชวนเพื่อนๆ ตามมาอุดหนุนให้กำลังใจและมาเยี่ยมอากีด้วยกัน"
คุณสาธร ธนังชูศิลป์ อายุ 68 ปี ลูกค้าเก่าของอากีจากฮ่องกง
ลูกค้าจากบางกะปิ มาอุดหนุนถึงคู้บอน
ส่วน คุณจุติรัตน์ จตุรภัทรพนิต ลูกค้าหน้าใหม่ของร้านอากีเป็ดพะโล้ เล่าถึงเหตุผลที่มากินร้านนี้ว่า "แฟนดูทีวีและเห็นว่าร้านเป็ดพะโล้ร้านนี้น่าอร่อยฟังจากประวัติอากีแล้วต้องการให้กำลังใจ แม้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม แต่เชื่อว่าเป็ดสูตรฮ่องกงต้องอร่อยแน่ๆ เลยตั้งใจขับรถมาชิม และเคยมาครั้งแรกแล้วไม่ได้กินเพราะว่าคนต่อคิวเยอะมากจนของหมดเกลี้ยง อากีก็บริการดี พอวันนี้มาจากประเวศเพื่อมาซื้อเป็ดแต่ก็ยังหมดอีกเลยสั่งไว้พรุ่งนี้เช้าจะมาเอาไปฝากญาติ"
อากี เปิดเผยความรู้สึกหลังจากขายเป็ดจนเกลี้ยงร้านว่า "รู้สึกขอบคุณมากๆ ทั้งลูกค้าเก่าตอนอยู่ฮ่องกง และลูกค้าใหม่ ที่มาอุดหนุนและให้กำลังใจผม ทุกวันจะมีคนโทรศัพท์มาให้กำลังใจผมตลอดเลย ขอบคุณในน้ำใจของคนไทยมากๆ"
อากี อยู่ที่นี่
ขายดีจนต้องปิดร้านก่อนเวลา
ฝากแง่คิดการทำธุรกิจ..มั่นใจ ช่างสังเกต รู้จักพัฒนา!
“การทำธุรกิจต้องมั่นใจในตัวเอง แต่ต้องรับฟังคำแนะนำติเตียนจากคนอื่นด้วย หัดเป็นคนช่างสังเกตว่าสังคมปัจจุบันคนให้ความสนใจอะไร หาลู่ทางการต่อยอดในทางธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไปไม่ให้อยู่จุดเดียว และแบ่งเงินเก็บไว้บ้างอย่าเอาไปลงทุนทั้งหมด และที่สำคัญที่สุดโลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่าย่ำอยู่กับที่ ต้องพัฒนาตัวเองเสมอ” นักธุรกิจผู้มากประสบการณ์ ทิ้งท้าย
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ ลี เว่ย กี อดีตเศรษฐีพันล้าน เจ้าของธุรกิจเครื่องเสียงและวีดิทัศน์ในเกาะฮ่องกง หรือ อากี เถ้าแกร้านเป็ดพะโล้ ผู้พลิกชะตาชีวิตจากพันล้านสู่ศูนย์ แม้วันนี้จะไม่มีเหมือนเก่า แต่เขากลับมีความสุขได้มากกว่าเดิม.
http://www.thairath.co.th/content/524111
http://www.rimnam.com/%E0%B8%A...%8821%E0%B8%AA%E0%B8%8458.html
https://www.youtube.com/watch?v=UseERkXpk-4 