สวัสดีครับ
วันนี้มีเรื่องราวอยากจะเล่าเกี่ยวกับการทำธุรกิจในประเทศจีนนะครับ เนื่องจากตัวผมได้มีโอกาสมาศึกษาต่อที่กรุงปักกิ่งประเทศจีนได้สองปีกว่าๆ
แล้วครับ และได้เริ่มนำสินค้าจากจีนไปขายเมืองไทยมาได้ปีกว่าๆแล้วครับ จึงเห็นช่องทางทำเงินต่างๆ มากมายครับ ซึ่งสินค้าที่เข้าไปขายในไทย
มากกว่า ร้อยละ 90 จะเป็นสินค้าจากทางประเทศจีนนะครับ และยังมีสินค้าที่ประเทศจีนผลิตอีกมากมายที่เมืองไทยเรายังไม่เคยรู้จักมาก่อน
ดังนั้นสินค้าในประเทศจีนยังสามารถนำไปขายในประเทศไทยเราได้อีกมากมายเลยครับผม แต่ทั้งนี้ ท่านๆ เราๆ ก็คงต้องสืบหาข้อมูลกันดีๆ นะครับ
การจะเข้าถึงแหล่งผลิตแต่ละสินค้านั้นไม่ได้ง่ายเลย หรือบางท่านที่ทำเว็บออนไลน์แต่ละคนที่สั่งมาจากเว็บ Taobao Alibaba 360buy และอื่นๆ
อีกมากมายในจีน
อย่าพึ่งนิ่งนอนใจไปนะครับว่าท่านได้สั่งมาโดยตรงจากเว็บเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งเว็บในจีนก็เหมือนบ้านเราแหละครับ เขาก็สั่งต่อๆกันมาจากในเว็บ
อีกเว็บนึงอยู่ดี กว่าจะมาถึงเรามูลค่าก็คงเพิ่มขึ้นสูงไปในตัว คิดง่ายๆนะครับ เมืองจีนไม่ได้มีที่อยู่อาศัยหรือสภาพแวดล้อมแบบบ้านเรา ที่ใครๆคิด
อยากจะเปิดร้าน ทำโกดังได้ตามสบายใจ เพราะจำกัดด้วยคำว่าพื้นที่อาศัยครับ ประมาณว่าหากคนจีนคิดจะเปิดร้าน ทำโกดังสต๊อกของเองแล้ว
ต้องลงทุนมากกว่าบ้านเราเกือบสองเท่าตัว เพราะค่าที่อยู่แพงกว่าบ้านเรามากๆ คนจีนที่นี่มีเงิน 1,000,000 บาท ยังซื้อคอนโดไม่ได้เลยครับ
ขนาดค่าเช่าห้องประมาณ 30 ตร.ม. กว่าๆ ก็ปาเข้าไปเกือบ 20,000 บาทแล้วครับ แถมยังไม่มีห้องน้ำห้องครัวอีก เรื่องคิดจะทำโกดังเก็บของคง
ต้องมีเงินมากมาย อีกทั้งคนจีนส่วนใหญ่ที่เปิดร้านออนไลน์กันก็มีอายุช่วง 20 กว่าๆ ถึง 30 กว่าๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กจบใหม่
ไม่มีงานทำทั้งนั้น แล้วเค้าจะเอาเงินมากมายจากไหนมาลงทุนล่ะครับ ว่าไหม? เขาก็ทำตัวเป็นคนกลางอีกที ง่ายดีไม่ต้องสต๊อกของ เปิดแต่
ร้านออนไลน์รอเราสั่งแล้วเค้าก็ไปเอาของจากร้านที่เป็นโรงงานอีกที
แล้วทีนี้จะทำยังไง?
ใช่ครับ แล้วทีนี้จะทำยังไง สังคมไทยเป็นสังคมที่ตามกระแสเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่วงนี้ ทำไมการเปิดร้านค้าออนไลน์รับสั่งสินค้าจาก
ประเทศจีน จึงได้ ผุดเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ก็เพราะคนไทยชอบทำตามกระแส คิดอะไรไม่ออกก็เกาะกระแส ตามกระแสเข้าว่า แล้วก็หลับหู
หลับตา ก๊อป ก๊อป ตามชาวบ้านเขา เห็นเขาทำได้รายได้ดี ก็เอาบ้าง เลยยึดติดอยู่แต่ในกรอบไงครับ (ที่พูดนี่ไม่ได้ว่ากระทบใครนะครับ
เพราะผมก็เป็นหนึ่งในนั้น 5555) ยอมรับครับว่า ทำด้านนี้มาเป็นปีๆแล้วครับ ซึ่งตอนนี้ก็เพลาๆลงครับ เพราะด้านการเรียนเริ่มหนักและ
เข้มข้นขึ้นครับ มาเข้าเรื่องแล้วทีนี้จะทำยังไงให้เข้าถึงแหล่งสินค้าจริงๆ ก็คงต้องอาศัยชั้นเชิงกันไปน่ะครับ ต้องเข้าถึงคนจีนให้ได้ พยายาม
พูดคุยกับร้านเหล่านั้น แล้วคุณจะรู้ด้วยตัวคุณเองว่า เขาเป็นเจ้าของจริงๆหรือเปล่า แล้วเราก็จะสามารถสืบต้นตอได้ว่าจริงๆแล้วร้านที่เป็นเจ้าใหญ่ๆ
ของสินค้าประเภทนี้มีร้านอะไรบ้าง อยู่ที่ไหนครับ ของแบบนี้ต้องอาศัยเวลา และเทคนิคในการพูดครับ เพราะคนจีนนั้นเทคนิคในการค้าขาย
เหลือเกินจริงๆครับ
ยกตัวอย่างเลยครับ เมื่อวานผมสั่งกรงกระต่ายและอาหาร อื่นๆอีกในเว็บ เถาเป่า ปรากฏว่า มีหญ้ากระต่ายหมด เป็นเงิน 25 หยวน เขาถาม
ผมว่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีไหม ผมบอกว่า ไม่ ช่วยโอนเงินคืนด้วย เจ้าของร้านบอกว่าโอเค สักพัก บอกผมกลับมาอีกว่า สินค้าอีกสองชิ้นที่สั่ง
ไปหมดครับ รับเป็นอันนี้ อันนี้ แทนได้ไหม ผมก็โอเคๆๆ ไม่อยากเรื่องมากแล้วครับ หายไปครึ่งชั่วโมงทักมาอีกว่า ฉันขอโทษที่ต้องบอกคุณอีก
หนึ่งเรื่อง ว่าคุณต้องจ่ายค่าขนส่งเพิ่มอีก สามสิบหยวน เพราะว่าการขนส่งมันไกล และจะหักเงินของคุณไป 25 หยวนที่ต้องคืน เอาเป็นว่าทางร้าน
ลดให้ 5 หยวน กลายเป็นว่าทางร้านได้เครดิตในการลดราคาให้ผมไปซะงั้น เท่านั้นแหละครับ ผมล่ะ ฉุนเลย ไม่ยอมเจ้าของร้านครับ ก็ ตอนแรก
คุณไม่ได้เขียนไว้บนเว็บว่าต้องเพิ่ม และ ทางเว็บ ก็สรุปมาว่าต้องจ่ายเท่านี้แล้ว ผมก็โวยวายๆๆๆ ไปพักใหญ่ เจ้าของร้านเลยต่อลองกับผมครับ บอกว่า
งั้น เดี๋ยวทางร้านจะคืนให้ แต่ให้ช่วยออกค่าขนส่งให้ด้วยครึ่งหนึ่งครับ ผมเลยไม่อยากต่อเถียงมากมาย ไม่อยากเสียเวลาไปหาของใหม่ด้วยครับ
(เพราะร้านในเถาเป่าถ้าเราไม่พอใจของเราสามารถดึงเงินเราคืนได้ครับ) เนี่ยแหละครับ เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆ ของคนจีน

ดังนั้น คนที่คิดจะทำการค้ากับคนจีนก็ควรระวังตัวกันไว้ด้วยนะครับ