ต้องแยกประเด็นครับ แบบนี้พูดไม่หมดนะครันเสียหาย 
มีกำลังผลิตได้วันละ 1,000,000 บาร์เรล(ปตท. =159,000,000 ลิตร/วัน)
ใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาร์เรล (113,000,000 ลิตร/วัน)
ส่งออกน้ำมันวันละ 100,000 บาร์เรล (15,900,000 ลิตร/วัน)
คืดเรื่องการผลิตก็อีกเรีื่อง เรื่องการนำเข้าน้ำมันดิบก็อีกเรื่องนึงนะครับ
การผลิดแบ่งได้ดังนี้นะครับ
ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) 275,000 บาร์เรลต่อวัน
ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) ขนาด 145,000 บาร์เรลต่อวัน
สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) 150,000 บาร์เรลต่อวัน
บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) 120,000 บาร์เรลต่อวัน
ส่วนนี้คือ แปรรูปน้ำมันดิบ มาเพื่อให้เราใช้นะครับ กำไรของปตท จะมาจากส่วนนี้มากครับ
คือ กำลังการผลิตของเราเยอะ แต่ปัญหาคือ ตัววัตถุดิบในการผลิต ก็คือน้ำมันดิบไม่พอครับ
และน้ำมันดิบเมื่อกลั่นก็จะเพิ่มมูลค่าอีกหลายเท่าตัว นี้คืำอกำไรของ ปตท เค้า
นำ้มันดิบส่วนมากนำเข้าจากต่างประเทศครับ
อย่างที่บอก น้ำมันดิบในประเทศไทยไม่พอ ไม่พอนี้หมายถึง ไม่พอให้โรงกลั่นผลิตนะครับ
คือเราลงทุนกับ โรงกลั่นแต่ละโรงเป็นเงินจำนวนมาก ดังนั้น ปตท จึงต้องหาปริมาณน้ำมันดิบ
เข้ามาป้อนโรงกลั่นให้พอ เพื่อสามารถทำกำไรในการแปรรูปและส่งออกไปนอกประเทศครับ
อันนี้ข้อมูลปิโตรเลี่ยม ส่วนมากบ้านเราจะเป็นก็าซนะครับ
http://guru.sanook.com/enc_pre...2&title=%B8%B9%D2%A4%D2%C3 
ที่เราต้องปรับขึ้นลงตามตลาดโลกเพราะ 80% น้ำมันดิบต้องนำเข้าครับ
และราคาที่เราใช้อ้างอิงก็ราคาที่สิงคโปร์ ไม่ใช่ราคาเบรนท์ทะเลเหนือ หรือ ไลท์ครูซ ที่อเมริกา เพราะค่าขนส่งต่างกัน
ตราบใดที่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากข้างนอกมากลั่นในประเทศ คนไทยก็ต้องใช้น้ำมันแพงไปตลอดครับ
และ ปตท.สผ จะพยามยามสัมปทานหาแหล่งน้ำมันนอกประเทศเพื่อลดปัญหานี้ครับ
และที่เราส่งออกมหาศาลน่ะ มันน้ำมันสำเร็จรูปที่ผ่านการกลั่นมาแล้วครับ จะมีมูลค่าสูงกว่าตอนนำเข้ามาเป็นน้ำมันดิบหลายเท่าตัว และถ้าผลิตเป็นเเมล็ดพลาสติกก็จะมีมูลค่าสูงราวๆ 9 เท่าจากราคาน้ำมันดิบเดิมที่เอามาเป็นวัตถุดิบ ดังกลุ่มปตท. จึงมีกำไรมหาศาลจากการกลั่นแปรรูปน้ำมันครับ ไม่ได้มาจากการขุดเอามาจากบ่อในประเทศ