ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeรวบรวมกระทู้ต่างๆเกี่ยวกับในหลวงครับ พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมกระทู้ต่างๆเกี่ยวกับในหลวงครับ พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั  (อ่าน 3438 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
zinx
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 76



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2007, 23:11:37 »

ข้าพเจ้าของให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอายุยืนนาน และ พลามัยที่สมบูรณ์
ของพระองค์ทรงพระเจริญ
+++

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน
เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
+++

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว
มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า
อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา
คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”
ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้
ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ
ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"
+++

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"
ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

+++
กี่ยวกับการเสด็จประพาสอเมริกาครั้งแรกนั้น ควรจะได้เล่าถึง บ็อบ โอ้พ ไว้ด้วย เพระทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ็อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ

เพื่อจะเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนามระหว่างแวะพักตั้งหลักที่กรุงเทพฯ บ็อบ โฮ้พ โชคดีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯที่วังสวนจิตรฯ

โดยโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย บ็อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า"ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย"

"ได้เลย..ไม่ขัดข้อง" รับสั่งตอบ "พาเพื่อนของคุณมาได้เลย"

"ต้องขอบพระทัยพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย"

คืนนั้น บ็อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายในวังสวนจิตรฯอยู่จนดึก จึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯที่บ้านพักของเขา รับสั่งว่า "ยินดี..ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ"

บ็อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลเสียงอ่อย ๆ ว่า "คิดด้วยเกล้าฯ ว่าตกลงพ่ะย่ะค่ะ"

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขัน อันล้ำลึกของพระองค์ท่านเอง ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชนอเมริการโดยทั่วไป
+ + + +
ครั้งนึงในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกล ๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากจะกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ

เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน

อุตส่าห์ไปซ้อมมาเสียหลายวัน ท่องมาจนขึ้นใจแต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริง ๆ ท่านกำนันก็สั่นเทิ้มด้วยฤทธิ์ประหม่า รายงานตัวออกไปว่า

"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า.."

"เราพวกเดียวกันนะ.." รับสั่งด้วยความเมตตาอย่างพ่อพูดกับลูก

ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เลยเปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา พระองค์ทรงสนทนาปราศรัยกับราษฎรอย่างใกล้ชิด ไม่เคยทรงถือเลยว่า

ราษฎรจะกราบบังคมทูลด้วยถ้อยคำธรรมดาอย่างไร บางครั้งราษฎรพยายามจะใช้คำราชาศัพท์ขลุก ๆ ขลัก ๆ ก็ทรงพระกรุณาแก้ไขให้หรือรับสั่งอนุญาตว่าพูดธรรมดากันก็ได้

ครั้งหนึ่งได้รับสั่งถามราษฎรว่า "ทำไมมากันมาก รู้ได้อย่างไร ใครจะมา มาไกลไหม" เคยมีราษฎรกราบบังคมทูลว่าอำเภอเข้าให้มา แต่ก็มีมากรายที่ตอบตรงตามหัวใจว่า

"โอย..ใครไม่บอกก็มา..อยากมาเห็น..ก่อนตายขอให้ได้เห็นในหลวงเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี" บางแห่งรับสั่งถามว่า "พากันเดินทางมาเหนื่อยไหม..ไกลมากไหม?"

คุณยายคนหนึ่งทูลตอบไปว่า "ไม่ไกลเท่าไหร่ดอกเจ้าค่ะ..เดินทางมาสองคืนเท่านั้นเอง"

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงพระเมตตากรุณาอันล้นพ้นของในหลวงที่มีต่อราษฎรของพระองค์อย่างชัดเจนและความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อพ่อหลวงของแผ่นดิน
++++++
รื่องพระอารมณ์ขันนี้ ม.ล. ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่วิทยาลัประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล. ปิ่นว่า

"วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล" ม.ล. ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้าฯ เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อนเพื่อกราบบังคมทูล

แต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน เผื่อเหนียว..อธิการบดีของวิทยลัย ได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า

ม.ล. ปิ่น มาลากุล จึงกราบบังคมทูลเสียงดังว่า "วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม" ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล. ปิ่น ว่า

"ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรี่ จึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป"

ป.ล. เป็นยังไงครับ ในหลวงของปวงชนชาวไทย พระปฏิภาณไหวพริบของพระองค์ ^^
+ + ++
แม้แต่ในยามทรงพระประชวร เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระอาการไข้สูง พระหทัยเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ก็ยังทรงมีพระราชอารมณ์ขันอยุ่ตลอดเวลา

ในฐานะที่เป็นนักดนตรี ได้รับสั่งกับหมอว่าจังหวะการเต้นของพระหทัยนี้ คล้าย ๆ กับจังหวะห้าสี่ในทางดนตรี และหลังจากหายพระประชวรแล้ว ก็ทรงแต่งเพลงแจ๊ส จังหวะห้าสี่ขึ้นเพลงหนึ่ง

ให้ชื่อว่า High Fever! .. ในระหว่างถวายการรักษานั้น คณะแพทย์ต้องเจาะพระโลหิตกันเกือบทุกวัน วันละ 50 ถึง 100 ซี.ซี. ขณะที่ทรงพระประชวร มีพระราชหฤทัยตั้งสมาธิแน่วแน่

พระราชอารมณ์แจ่มใส ได้ทรงล้อเลียนคณะแพทย์เมื่อพระอาการทุเลาลงแล้ว โดยทรงรับสั่งว่า

" คณะกรรมการแพทย์ชุดนี้ รักษาพระอาการแบบโบราณโดยที่ไม่ถวายพระโอสถเลยแต่ใช้วิธีสูบเลือดออก"
+ ++ +
มีครั้งหนึ่ง พระเจ้าโบดวงแห่งประเทศเบลเยี่ยม ได้เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยเป็นทางการพร้อมด้วยพระบรมราชินี

ระหว่างที่ประทับอยู่ในพระนครในฐานะเป็นราชอาคันตุกะนั้น ได้ทรงชักนำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นหลายครั้ง

ให้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างพระองค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามถึงเหตุผลที่ชักชวน กษัตริย์พระองค์นั้นกราบทูลว่า

พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก ไม่อยากจะพลัดพรากเหินห่างจากกันเลย แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเท่านั้น

เพราะศาสนาคริสต์สอนว่าคริสต์ศาสนิกชนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ปฎิเสธคำทูลโดยตรง แต่ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า

"พระพุทธศาสนาก็เชิดชูสัจจะ คือความจริง สอนให้ผู้นับถือเข้าถึงความจริง และสัจจะคือความจริงนั้นย่อมมีสภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติถูกทางแล้วย่อมจะเข้าถึงได้ ดังนั้น ถ้าคำสอนแห่งศาสนาคริสต์เป็นสัจธรรมและพระผู้เป็นเจ้ามีจริง แม้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาก็คงจะเข้าถึงเป็นแน่ แม้ว่าจะมีผู้อื่นคั่นอยู่ระหว่างพระองค์กับพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะมีคนเดียว คือ องค์กษัตริย์ ผู้ทรงชักชวนพระองค์เท่านั้น"

พระราชดำรัสนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชอาคันตุกะมาก จนถึงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงศึกษาคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้จัดหาหนังสือพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษ ส่งไปถวายในโอกาสต่อมา

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราได้ทรงโต้ตอบกษัตริย์โบดวงดังกล่าวข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นถึง พระปฎิภาณของพระองค์ได้อย่างแจ่มชัดที่สุดทั้งยังแสดงว่า

ทรงเข้าพระราชหฤทัยในศาสนาทั้งสอง คือ พุทธและคริสต์อย่างลึกซึ้งถ่องแท้
+ + + + + +
ในการออกแล่นเรือใบครั้งแรกของพระองค์ ม.จ. ภีศเดชฯ กราบบังคมทูลว่า ขอให้ค่อย ๆ แล่นไปตามขั้นตอน จากง่ายไปสู่ยาก

แต่ทรงใจร้อนไปหน่อย ม.จ. ภีศเดชฯ หันไปดูอีกที .. อ้าว .. ทรงตกน้ำไปแล้ว แต่ก็ทรงพระสรวลและตั้งพระทัยว่าจะต้องเอาชนะเจ้า "ราชปะแตน" ให้ได้

*ราชปะแตน คือชื่อเรือที่ ดยุค แห่ง เอดินเบอระแห่งเกาะอังกฤษ ทรงส่งมาถวาย เป็นเรือใบชนิดกินน้ำตื้น (catamaran)*

นายปีเตอร์ คัมมินส์ ซึ่งเป็นนักแล่นเรือที่ชำนาญมากคนหนึ่งเขียนเล่าว่า ในปี พ.ศ. 2530 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่างเหินการแล่นเรือบใบไปถึงยี่สิบปี

วันหนึ่งเสด็จออกมาประทับยืนตรงประตูพระราชวังไกลกังวล ทันใดนั้นก็ทอดพระเนตรเห็นเรือใบเรียงรายกันอยู่เป็นตับ เป็นภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง

วิญญาณของนักแล่นเรือใบได้กลับคืนมาสู่พระองค์อีกวาระหนึ่ง ได้ทรงถอดรองพระบาทแล้วทรงวิ่งเหยาะ ๆ ลงไปที่ชายหาด นายปีเตอร์ คัมมินส์ เล่าว่า

"พระองค์ยังทรงพระชำนาญคล่องแคล่วอย่างเก่า ทรงชนะการแข่งเรือใบวันนั้น หลังจากทรงว่างเว้นไปถึงยี่สิบปี " เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว หลังการแข่งขัน มีการเสิร์ฟเครื่องดื่มในถาดเงิน

"หลังจากนั้นก็มีการประกาศผล ปรบมือกันทุกครั้งที่ประกาศ แล้วมีการหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ทรงเป็นกันเองกับพวกเรามาก"

นายปีเตอร์ คัมมินส์ วันนั้นโชคไม่ดี มาเป็นที่โหล่ ทรงมีรับสั่งหยอกล้อเขาว่า

"ได้ที่ 19 จากจำนวนคนแข่ง 19 คน .. ท่านออกไปทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ?" นายปีเตอร์ คัมมินส์ กราบบังคมทูลว่า

"I Wish Knew .. Your Majesty" (ข้าพระพุทธเจ้า ก็อยากทราบเหมือนกันพะย่ะค่ะ) นายปีเตอร์ คัมมินส์ เขียนว่า ถึงแม้วันนั้นเขาจะมาเป็นที่โหล่รั้งท้าย แต่เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต
 + + + + + +
ทางด้านกองทัพเรือ ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทรงเรือใบแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ แสดงพระอัจฉริยะจนได้เหรียญทอง อดีตแม่ทัพเรือได้เข้าไปกราบพระบาทหลังจากเสด็จขึ้นจากการทรงเรือแล้ว

หลังจากนั้นได้กราบบังคมทูลถามว่า ขณะที่ทรงเรือใบนั้น ทรงทำอย่างไรบ้างจึงสามารถคว้าชัยชนะมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบท่านนายพลเรือผู้นั้นสั้น ๆ ว่า

"ฟังลิเกวิทยุ" ทั้งนี้ ก็เพระตามปกติแล้วระหว่างที่ทรงเรือใบนั้นจะต้องทรงฟังวิทยุประจำท้องถิ่น เพื่อจะได้ทรงทราบถึงการพยากรณ์อากาศและกำลังลม ตลอดจนข่าวสารเกี่ยวกับการเดินเรือ

แต่ในขณะที่ทรงแข่งขันนั้นไม่สามารถจะทรงจูนคลื่นไปยังสถานีวิทยุที่แจ้งข่าวสารการเดินเรือได้ เพระต้องใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างในการบังคับเรือให้ใบเรือกินลมให้ได้มากที่สุด

และวิ่งได้แรงที่สุด ทั้งยังต้องคอยบังคับหางเสือให้สัมพันธ์กับแรงลมอีกด้วย จึงต้องทรงทนฟังเสียงลิเกวิทยุ อย่างที่ทรงมีพระราชดำรัสนั้นจริง ๆ

+++++++++++++
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น

จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า

โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน

ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..

วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.. ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม

และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า ”วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."
+++++++++++
มีคนขุดก็มีกำลังใจลงละฟะ สู้ ๆ

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า

ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า

ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ

แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า

”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"

เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
+++++++++++++
วันหนึ่งเมื่อมีพระราชประสงค์ที่ทรงอยากทราบว่า ปัญหาดินเปรี้ยวนั้นมีมากน้อยเพียงใด และบรรดาเกษตรกรนั้นพบกับความเดือดร้อนลำบากยากเข็ญเป็นไฉน

บ่ายนั้น ทรงเอ่ยถามชาวบ้านผู้หนึ่งที่อยู่กลางนาในจังหวัดนราธิวาสว่า.. "ดินที่นี่เปรี้ยวไหม."

ชายผู้นั้นยกสองมือพนมไหว้พร้อมกราบบังคมทูล ด้วยภาษาสามัญสำเนียงปักษ์ใต้ในสีหน้าท่าทางเรียบแบบงงๆ ว่า "..ในหลวงครับ ผมไม่เคยชิมเลยครับ เลยไม่รู้จริงๆ ว่าดินที่นี่เปรี้ยวหรือเปล่า.."

ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์สำราญพร้อมผินพระพักตร์มายังดร.สุเมธ และรับสั่งว่า

"เออ จริงของเขา เราถามผิดเอง.."

จากเรื่องนี้คือที่มาของหนึ่งในโครงการพระราชดำริ 'แกล้งดิน' ที่ทรงแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวให้เปรี้ยวจัดสุดขีดแล้วผ่อนคลายด้วยหลายวิธีให้มีการปรับคุณภาพของดินให้ใช้การได้ในภายหลัง

ป.ล. ความสุขของพระองค์คือได้เห็นปวงชนชาวไทยอยู่ดีมีสุข ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
+++++++++++++++++
สมัยเมื่อหลายปีก่อนยามที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามงานใดในพระราชดำริก็มักมีการเตรียมพื้นที่ประดับต้นไม้ใบหญ้าสารพัดเพื่อให้สมพระเกียรติ

ดร.สุเมธเล่าว่า ทรงเรียกต้นไม้ดอกไม้ทั้งหลายว่า 'ต้นไม้รับเสด็จ' บ้าง หรือ ปลูกผักชีรับเสด็จบ้าง เพราะบางที่มีทั้งกระถางโผล่มาให้ทรงเห็นในแปลงเกษตรทั้งหลายก็มี หรือในครั้งหนึ่งเมื่อรถพระที่นั่งถึงบริเวณโครงการแห่งหนึ่ง ทรงสัพยอกถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่า

"...มีปลูกผักชีด้วยหรือเปล่า..."

ผู้นั้นกราบทูลหน้าตาซื่อว่า "มีพระพุทธเจ้าข้า พร้อมทำท่านำเสด็จฯไปทอดพระเนตรอย่างขึงขัง"

ทรงชี้ไปยังกลุ่มกอกล้วยน้ำว้ากอใหญ่ที่ต่างออกดอกปลีมีผลเป็นเครือสวยงาม และตรัสว่า

"นี่ก็เป็นต้นกล้วยรับเสด็จด้วย"

พร้อมนั้นมีพระราชาธิบายว่า "ธรรมชาติของกล้วยนั้นจะออกดอกผลไปในทางทิศเดียวกัน.."

แต่กล้วยที่นี่ออกลูกได้ในทุกทิศ จึงเป็นกล้วยรับเสด็จที่ทรงจับได้ในวันนั้น

นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีพระอารมณ์ขันในยามทรงงานด้วยเช่นกัน และแสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและรอบรู้ในสรรพวิชาของในหลวงนั้น มีนานัปการ และทรงเป็นนักวิเคราะห์และสังเกตได้อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง
+ + + + +
วันที่ 2 พฤศจิกายน (พ.ศ. 2528)
ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพิธีพระราชทานปริญญาของบัณฑิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

ในวันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟดับทั่วประเทศไทยในตอนบ่าย เป็นผลให้บัณฑิตจำนวน6 คนที่เข้ารับพระราชทานปริญญาในช่วงนั้นหมดโอกาสที่จะได้ถ่ายภาพตอนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ไว้เป็นที่ระลึก

เเต่สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเสร็จพระราชพิธีเเล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระเเสรับสั่งกับอาจารย์ที่หมอบถวายปริญญาอยู่ข้างๆที่ประทับว่า

"ไปตามบัณฑิต ๕-๖ คนนั้นขึ้นมารับปริญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง “

ป.ล. พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
++++++++++++++++
พระราชบัญญัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ทรงแนะทางรอดของคนไทย ดังนี้

"... ให้ยึดหลักเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน

อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง

ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า

ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว

จะต้องทอผ้าใส่ให้ตัวเอง สำหรับครอบครัว

อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้าน หรือในอำเภอ

จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร

บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ

ก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร

ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก ..."

ป.ล. ความสุขของพระองค์คือการเห็นราษฎรอยู่ดีมีสุข ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
++++++++++++++++++++++
พื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่า สักประมาณ 20 ปีที่แล้ว
ขณะที่เขากำลังเดินดูหนังสือในร้านหนังสือดวงกมล สยามแสควร์
ก็มีนิสิตหญิงจุฬา
สองสามคน เดินเข้ามาในร้าน นิสิตคนหนึ่งใบหน้า สวยคม
จัดว่าสวยน่ารัก แต่ใบหน้าดู
คุ้นเหลือเกิน ทันใด เขาก็เห็นคนเริ่ม ไหว้บ้าง ค้อมศรีษะบ้าง ให้แก่
นิสิตคนนั้น แต่ก็มี เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่าง
เกรงใจจากนิสิตคนนั้นว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ วันนี้เป็นนิสิต
มาหาซื้อหนังสือ เชิญทุกท่านตามสบายค่ะ" ทุกคำที่เอ่ย
จะมีคำว่า "ค่ะ" ตลอด แล้วก็หันไปยิ้มแบบเขิน ๆ กับ เพื่อนทีมาด้วย
กริยาช่างงามน่ารักเหลือเกิน เพื่อนผมย้ำ

ทันใดนิสิตกลุ่มนั้น
ก็หันไปเห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังเดินดูหนังสืออยู่ในร้านเหมือนกัน
จึงเดินเข้าไปหา พร้อมยก
มือไหว้ผู้อาวุโสท่านนั้น รวมทั้งนิสิต ใบหน้าสวยคม
คนนั้นซึ่งเป็นผู้เอ่ยทักท่านอาวุโสท่านนั้น "สวัสดี ค่ะ อาจารย์
มาหาซื้อหนังสือเหรอค่ะ"




ทันใด ท่านอาวุโสก็สะดุ้ง กำลังจะก้ม และย่อตัวลงในท่าทำความเคารพ
แต่ความที่อยู่ในวัยชรา จึงไม่ค่อยถนัด
พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า "อ้าว องค์หญิง กระหม่อมมาหาซื้อหนังสือ พะยะค่ะ"

ในตอนนั้นเพื่อนผม ก็ตื่นจากภวังค์ และเริ่มจำได้ นิสิตท่านนั้นก็คือ
สมเด็จพระเทพฯ นั่นเอง
ในตอนนั้น พระเทพ ก็ทรงเข้ามาประคอง อาจารย์ ท่านนั้น
พร้อมกับตรัสกับอาจาาย์ท่านนั้นว่า "ไม่เป็นไรค่ะ
อาจารย์ หนูกับเพื่อน มาหาซื้อหนังสือเหมือนกัน ค่ะ"

เพื่อนผม บอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขารัก และเทอดทูนเจ้าหญิง
องค์น้อย ในขณะนั้น เป็นต้นมา ความที่ท่านไม่ทรงถือพระองค์
เป็นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
และดำเนินมาตลอดปรากฏการณ์ ที่เพื่อผมเล่าให้ฟัง เป็น
เรื่องปกติของพระองค์ท่าน
+++++++++++++++++
ผมเคยไปนั่งทานข้าวต้ม ผักบุ้งลอยฟ้า ที่พิษณุโลก ก็ต้องตะลึง
เมื่อเห็นพระองค์ ทรงสนุกกับการถือจานรับผักบุ้ง บนหลังคารถ เด็กที่ร้านเล่าว่า
พระองค์ไม่ถือพระองค์เลย
ตรัสล้อเล่นกับเด็กเสิร์ฟด้วย และทรงเสวยกับชามข้าวต้มของร้าน
ไม่ได้พิเศษจากลูกค้าคนอื่น
ทรงประทับบนเก้าอื้ทั่ว ๆ ไปในร้าน

นึกถึงพระองค์ทีไร ก็รู้สึกตื้นตันทุกที เจ้าฟ้าหญิงของประชาชนที่แท้จริง
+++++++++++++
มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมภ์ว่าจริงหรือเปล่าที่พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพระองค์
ยังเมืองทองธานีเพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่ง

เค้าก็เขียนตอบว่าจริง

พระองค์เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์จริง ๆ คือเสด็จไปกับคุณข้าหลวงอีก 2 คน ไม่มีองครักษ์ติดตามเลย

เสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนนไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย
แต่มี 2 สามี ภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า ฝ่ายสามีบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จพระเทพหรอก
เพราะนี่คือร้านอาหารโต้รุ่ง แล้วก็ดึกมากแล้วด้วย แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่าเหมือนมาก

ก็โต้กันไป โต้กันมาจนพระองค์ทรงได้ยิน จึงหันพระพักตร์มาทาง 2
สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่าใช่
แต่ขอให้ทำตัวตามสบาย เท่านั้นแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบจนคนอื่น ๆ แปลกใจ ก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน
เจ้าของร้านกับเด็กเสริฟก็เพิ่งทราบจึงรีบเข้าไปถวายความเคารพ

พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นก็นำอาหารของร้านตนมาถวายจนกระทั่งเสด็จกลับไป

นี่แหละครับ เจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริง
++++++++++++++++++++++++
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก
เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด
และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า \"ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ\"
แม่ค้าตอบว่า \"ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมา กิโลละ 80 บาทจ๊ะ\" เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
+++++++++++++++++++++++++++++++
ปล.ที่มาจากเว็ปประมูล
ผู้นำเสนอ . Aladian~ก็แค่คนธรรมดา
               .GoDZaTaN
หมายเหตุ   ผมอยากเก็บกระทู้ดีเหล่านีไว้มาให้เพื่อนๆอ่านครับ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์