กรรมที่แท้ของ พุทธะ คือการละ กรรมดำ และ กรรมขาว เพื่อเข้าสุญญตา
กรรม เกิดจากเจตนา มีทั้ง กรรมดำ(ชั่ว-อกุศลกรรม) , กรรมขาว(ดี-กุศลกรรม) , กรรมทั้งดำทั้วขาว (ชั่ว+ดี ทำทั้งกุศลและอกุศล)
ส่วนกรรมไม่ดำไม่ขาว เกิดจากอำนาจของมรรค ก็คือมีเจตนาจะดำเนินตามมรรคเพื่อความพ้นทุกข์นั่นเอง
โดยปกติปุถุชนที่ใจยังข้องอยู่ในวัฏฏะสงสารยังไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารก็จะกระทำกรรม ทั้ง ๓ ประเภท ก็คือ กรรมดำ กรรมขาว กรรมทั้งดำทั้งขาว
แต่บุคคลผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสารก็จะมุ่งสู่การกระทำ กรรมไม่ดำไม่ขาว ก็คือดำเนินไปตามทางมรรคผลนั่นเอง แต่เมื่อจะมาถึงจุดนี้เราต้องสะสมบุญบารมีจากกรรมขาวเป็นพื้นฐานก่อน ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เสียก่อน
การ ที่เราทำกรรมดีหรือตั้งใจบำเพ็ญคุณงามความดี เพราะเราทราบว่า ความปรารถนาจะพ้นทุกข์ของเรานั้นต้องเริ่มสะสมวิปากดี ซึ่งมาจากกรรมดี หรือบุญ ถ้าบุญยิ่งๆ ขึ้นไปก็คือบารมี ในพุทธศาสนากล่าวถึงบารมี ๑๐ ประการ ๓ ระดับ เพื่อการปารภความเพียรอันเป็นทางเข้าถึงกรรมไม่ดำไม่ขาว การจะได้มรรคผลนิพพานจึงต้องบำเพ็ญบารมีไปตามขีดขั้นนั้นๆ
บุญบารมีเป็นตัวกำกับให้เราเดินไปตามทิศทางที่เราปรารถนาเอาไว้ เช่น ปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ พระอรหันต์อสีติสาวก พระอรหันต์ประเภทต่างๆ ล้วนแต่ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สมความปรารถนาทั้งนั้น
บุญ-บาป จึงมิได้สูญหายไปไหน ก็สะสมอยู่ในจิตใจของเรา ถ้าเราสร้างบุญบารมี บุญบารมีก็สะสมอยู่ ณ ศูนย์กลางกายของเรา เพื่อคอยกำกับให้เราได้สมปรารถนา ภาคขาวก็คอยช่วยเหลือตามกำลังบารมีของเรา ถ้าเราสะสมบาป ดวงบาปก็สะสมอยู่ ณ ศูนยก์กลางกายของเรา ภาคมารก็คอยกำกับใช้อำนาจบังคับดวงบาปของเราเป็นเครื่องมือของเขาในการ ปกครองใจของเรา
ดังนั้นเมื่อเราทำทั้งบุญและบาป ธาตุธรรมประเภทปนเป็นก็ทำงานอยู่ในศูนย์กลางกายของเรา เราก็จะมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปด้วยอำนาจของความไม่ชัดเจนหรือไม่ มั่นคงที่จะกระทำความดีให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ คนประเภทนี้ยังหวังมรรคผลไม่ได้เพราะกำลังทางสัมมาทิฏฐิยังอ่อนอยู่ ใคร ที่พยายามชักชวนหรือมอมเมาให้คนหลงทำทั้งบุญและบาปคละเคล้ากันไปก็แปลว่าเขา มีประสงค์ให้สัตว์โลกเข้าใจผิดในการบำเพ็ญเพียรเพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในกุศลธรรม การทำบุญผสมบาปจึงเป็นเรื่องของอกุศลกรรม คือกรรมทั้งดำทั้งขาวนั่นเอง ไม่ใช่กรรมขาว ที่มีเจตนาให้เกิดกรรมไม่ดำไม่ขาว อันได้แก่หนทางแห่งมรรคผลนิพพาน
อ้างอิงจาก http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=102.0 