คอลัมน์ หอคอยงาช้าง
โดย รศ.ดร.วิมุต วานิชเจริญธรรม
เมื่อธนาคารโลกประกาศจำนวนประชากรโลกที่ถูกจัดชั้นว่าเป็นกลุ่ม "ยากจนสุดแร้นแค้น" (extremely poor) ในปี 2004 โดยนับหัวของประชากรที่ดำรงชีวิตในแต่ละวันด้วยจำนวนเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐหรือน้อยกว่านั้น (ซึ่งคิดเป็นเงินบาทได้ราวสี่สิบบาทต่อวัน หากคำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้น) ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 986 ล้านคน (หรือเทียบได้ราวกว่าสิบเท่าของจำนวนประชากรในประเทศไทย) ยอดตัวเลขนี้ย่อมทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ประชากรโลกจำนวนมากจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไรด้วยจำนวนเงินอันน้อยนิดเช่นนี้
นอกจากนี้อาจมีคำถามตามมาเช่นกันว่า ด้วยเหตุใดธนาคารโลกจึงเลือกใช้ 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน เป็นเกณฑ์ในการวัดความยากจนสุดแร้นแค้น
ที่มาของตัวเลขนี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 1990 เมื่อครั้งที่ธนาคารโลกตัดสินใจจะนับจำนวน คนยากจนในโลก เพื่อประกอบรายงาน "World Development Report" บรรดาเศรษฐกรของธนาคารโลก ที่นำโดย Martin Ravallion เริ่มต้นการค้นคว้าวิจัยด้วยการนำตัวเลขของเส้นความยากจนที่มีการคำนวณไว้ในหลายประเทศมาศึกษาเปรียบเทียบกัน
เส้นความยากจนนี้ถือเป็นเกณฑ์สากลที่ใช้ประมาณจำนวนประชากรกลุ่มที่จัดว่า "ยากจน" โดยการสร้างเส้นความยากจนจะเริ่มต้นจากการประเมินว่า ต้นทุนของการซื้อหาอาหารในแต่ละวันเพื่อให้ได้บริโภคแคลอรีขั้นต่ำที่กระทรวงสาธารณสุขในแต่ละประเทศได้กำหนดไว้ คิดเป็นเงินเท่าใด
ต้นทุนของการซื้อหาแคลอรีขั้นต่ำนี้เองที่นักเศรษฐศาสตร์ถือเป็นเส้นแบ่งความยากจนของครัวเรือน ครัวเรือนใดที่มีรายได้ต่อวันต่ำกว่าต้นทุนตัวนี้ ถือว่ามีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของ "คนจน"
เมื่อ Ravallion และคณะ พยายามนำเส้นความยากจนของหลายประเทศมาศึกษาเปรียบเทียบกัน จำต้องมีการปรับค่าของเส้นความยากจนในแต่ละประเทศให้อยู่ในหน่วยของเงินสกุลเดียวกัน เพื่อจะได้ทำการเทียบเคียงกันได้ ซึ่งคณะผู้วิจัยเลือกใช้การปรับเส้นความยากจน ให้อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการปรับอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆ ให้สะท้อนถึงกำลังซื้อที่แท้จริงของประชาชนในแต่ละประเทศด้วย งานศึกษานี้พบว่า เส้นความยากจนในหลายประเทศมีค่าใกล้เคียงกับ ตัวเลข 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน นั่นจึงเป็นที่มาของเกณฑ์ดังกล่าว
สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น เราสามารถนำข้อมูลการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (socio-economic survey หรือ SES) ที่จัดเก็บโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาว่า มีครัวเรือนจำนวนเท่าใด ในประเทศไทยที่อยู่ในเกณฑ์ "ยากจนสุดแร้นแค้น" ตามนิยามของธนาคารโลกบ้าง
งานศึกษาของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโก-มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าจากข้อมูลสำรวจในปี 2547 ที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศทั้งหมด 31,630 ครัวเรือน มีครัวเรือนจำนวนทั้งสิ้น 3,213 ครัวเรือน ที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสมาชิกต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน โดยครัวเรือนเหล่านี้มีการกระจายตัวอยู่ในแต่ละภูมิภาค ดังแสดงไว้ในตารางที่ 1
ที่มา : คำนวณจากข้อมูลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2547 ที่ Archive โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโก- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจนี้ถูกสุ่มขึ้นมาจากสำมะโนประชากรของประเทศด้วยหลักการทางสถิติ โดยตัวอย่างดังกล่าวมีคุณสมบัติของความเป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศอย่างครบถ้วน ซึ่งหากต้องการจะใช้ผลสำรวจนี้อ้างอิงไปหาประชากรทั้งหมด นักวิจัยก็สามารถทำได้โดยการนำตัวแปร "weight" (ซึ่งเป็นค่าตัวเลขที่ ระบุว่าครัวเรือนที่ถูกสำรวจแต่ละรายมีน้ำหนักเป็นตัวแทนกลุ่มประชากรที่คล้ายคลึงกันเท่าไหร่) มาคูณกับแต่ละครัวเรือนตัวอย่าง และจาก ผล การคำนวณชี้ว่า มีครัวเรือนที่จัดเป็นกลุ่ม "ยากจนสุดแร้นแค้น" ทั้งสิ้น 2,268,371 ครัวเรือน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 16,765,051 ครัวเรือนทั่วประเทศ ตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนกลุ่มนี้กระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีจำนวนทั้งหมดเท่ากับ 1,382,911 ครัวเรือน
ที่มา : คำนวณจากข้อมูลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2547 ที่ Archive โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโก- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
เมื่อพิจารณาต่อไปถึงวิถีชีวิตของกลุ่มคนยากจนกลุ่มนี้ นักเศรษฐศาสตร์ตั้งคำถามต่อไปว่า คนกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายในแต่ละกลุ่มสินค้าอย่างไรบ้าง เพื่อตอบคำถามนี้ เราได้นำรายการค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ได้สำรวจไว้ใน SES ปี 2547 มาคำนวณหาส่วนแบ่ง หรือ share ของรายจ่ายครัวเรือนในแต่ละรายการสินค้าเทียบกับมูลค่าทั้งหมดของรายจ่ายครัวเรือน และเราขอนำบางส่วนของการคำนวณมาแสดงไว้ในตารางที่ 3
จะเห็นได้ว่าอาหารและเครื่องดื่มเป็นรายจ่าย ที่มีส่วนแบ่งสูงที่สุด โดยมีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณทั้งหมดของครัวเรือน
อย่างไรก็ดีหากเรานำผลการศึกษานี้ไปเปรียบเทียบกับผลการศึกษาของ Abhijit V. Banerjee และ Esther Duflo (งานวิจัยเรื่อง "The Economic Lives of the Poor" ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Economic Perspectives ปี 2006) สองนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งใช้ข้อมูลสำรวจที่คล้ายคลึงกับ SES เพื่อศึกษาถึงวิถีชีวิตของครัวเรือนที่ยากจนสุดแร้นแค้น ใน 13 ประเทศ เราจะพบถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน และข้อสรุปสำหรับการวางนโยบายเศรษฐกิจ และสังคมที่น่าสนใจ
ตารางที่ 4 นี้ นำข้อมูลที่ศูนย์วิจัยฯเราคำนวณไว้มาเปรียบเทียบกับข้อมูลในงานศึกษาของ Banerjee และ Duflo (2006) โดยแสดงเพียงรายจ่ายที่น่าสนใจบางรายการเท่านั้น โดยในกรณีของประเทศไทยนั้นแสดงเพียงข้อมูลของครัวเรือนที่มีถิ่นฐานอยู่นอกเขตเทศบาล และในกลุ่มประเทศในงานศึกษาของ Banerjee และ Duflo (2006) นั้น แสดงเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในชนบท
Banerjee และ Duflo ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ในงานศึกษาของพวกเขาว่า ครัวเรือนที่ยากจน สุดแร้นแค้นเหล่านี้ล้วนมีชีวิตในวังวนของวัฏจักรความยากจน และถูกรุมเร้าด้วยปัญหาด้านสุขภาพและความหิวโหย แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านี้ ยังสามารถเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงปากท้องได้ หากเพียงลดการจัดสรรงบประมาณของเขา ให้กับรายจ่าย อย่างแอลกอฮอล์และยาสูบ หรือรายจ่ายที่เกี่ยวกับงานรื่นเริง
ข้อสังเกตนี้ใช้ได้กับในกรณีของประเทศไทยเช่นกัน หากเราจะเปรียบเทียบงบประมาณ ที่ครัวเรือนไทยจัดสรรให้กับการซื้ออาหารและเครื่องดื่ม เราจะพบว่าสัดส่วนที่จัดสรรนี้ต่ำกว่าที่พบในหลายประเทศ นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้ ยังสามารถ ใช้งบประมาณที่พวกเขามีอยู่ซื้อหาอาหารและเครื่องดื่มมาบรรเทาความหิวโหย หากแต่การจัดสรรเช่นนี้จำต้องตัดงบฯที่ให้กับการซื้อของมึนเมาและยาสูบ หรือรายจ่ายอื่นๆ ออกไป
หน้า 45