thammaonline
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
 |
« ตอบ #80 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2010, 16:26:45 » |
|
คติธรรมคำกลอน
จะซ่อนกาย ภายในถ้ำ หรือดำดิน จะบินหนี ไปกลางสมุทร หรือสุดหล้า จะใช้ฤทธิ์ ใช้เสน่ห์ เล่ห์นานา ท่านกล่าวว่า ไม่อาจพ้น ผลของกรรม
เร่งละชั่ว ทำตัวดี เถิดพี่น้อง เรื่องหมองเศร้า เราเคยผิด คิดแก้ไข กาลเวลา หาได้ง้อ รอผู้ใด ก่อนสิ้นใจ จึงนึกได้ นั้นสายเกิน
มียศศักดิ์ อัครฐาน ปานบดินทร์ มีที่ดิน แลสินทรัพย์ นับไม่ไหว มีอำนาจ วาสนา ยิ่งกว่าใคร รวยแค่ไหน ใหญ่เหลือล้น ไม่พ้นตาย
บุญบาป นรกสวรรค์ นั้นมีจริง หาใช่สิ่ง ลวงหลง อย่าสงสัย ความเห็นชอบ ระบอบนี้ มีที่ใด ที่นั้นไซร้ สุขสันต์ สวรรค์บนดิน
(ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #81 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2010, 17:18:18 » |
|
ความมั่นคงทางจิตใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมากที่สุด
คนที่ชอบตัดสินคนอื่นนั้น โดยพื้นฐานของจิตใจเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตนเองอย่างเด็ดขาด
คนที่ควรสมเพชก็คือ ตัวเราเอง ซึ่งในบางครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรดี แต่กลับไม่ทำ และทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรไม่ดี แต่กลับตั้งใจทำลงไปแล้ว
คนที่มองหาความสมบูรณ์แบบจากคนอื่นนั้น เป็นการสะท้อนอยู่ในทีว่า เขาไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ของตัวเองดีพอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #82 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2010, 19:08:34 » |
|
บนเส้นทางสู่มหาบัญฑิต ฉากชีวิตเริ่มสร้างหนทางใหม่ ทางแห่งเกียรติการศึกษาปรากฏไกล จงก้าวไป...อย่างมั่นคงไม่หลงทาง ปราการหนึ่งเตรียมใจไว้ต่อสู้ เรียนให้รู้ ขั้นวิจัยในวงกว้าง เจาะให้ลึกตรึกให้ชัด...จัดแนวทาง แล้วสรรค์สร้างแนวคิด...พิจารณา และจะต้องเตรียมกายด้วยหมายมั่น สู่บากบั่น ฝึกเขียนอ่าน การศึกษา ทุกนาที...ที่ผันผ่าน...แห่งกาลเวลา เป็นคุณค่า...อย่าเฉยเมย...ปล่อยเลยไป มนุษยสัมพันธ์อันดี..จะมีมิตร คอยช่วยคิด..แนะแนวทางบางอย่างให้ เคารพครู..อาจารย์..ประสานใจ ศึกษาในแนวปรัชญา...สถาบัน
จะเอื้อมดาว จรัสดวงบนห้วงฟ้า เป็นมหาบัณฑิต..ดั่งคิดฝัน อุปสรรค์..จะผ่านมา สารพัน ขอจิตมั่น...รักดี..เท่านี้พอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kerokid
สมุนแก๊งเสียว
พลังน้ำใจ: 48
ออฟไลน์
กระทู้: 571
|
 |
« ตอบ #83 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2010, 19:51:23 » |
|
อนุโมทนา สาธุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #84 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2010, 09:09:58 » |
|
อย่ากลัวว่าคนจะไม่เห็นคุณค่า จงกลัวแต่ว่าเมื่อเขาเห็นคุณค่าแล้ว คุณจะยังดีไม่พอ
อำนาจต้องสนองการพัฒนา ไม่ใช่สนองตนเอง
การมองเห็นความบกพร่องของตนเอง มีค่าดังหนึ่งได้ดวงตาเห็นธรรม
ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่คนหอมได้ทุกคน ถ้าเป็นคนดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
thammaonline
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
 |
« ตอบ #85 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2010, 10:09:52 » |
|
ปลุกเร้าคุณธรรมและชักนำปัญญา
ปุจฉา: วิธีการคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม จะนำมาปฏิบัติในครอบครัวอย่างไร
วิสัชนา: การคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม ก็คือการมองสิ่งต่างๆ ในทางที่จะให้เกิดผลดีงาม หรือเป็นประโยชน์ เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มต้นในครอบครัว อย่างในการศึกษาของเด็ก เช่น พ่อ แม่ ไปกับลูก ขับรถไป เห็นเด็กแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาด สกปรก ตอนนี้ลูกมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว เขาจะมีท่าทีจิตใจมองในแง่ใด มีความรู้สึกต่อภาพที่ปรากฏนั้นอย่างไร พ่อ แม่ จะชักนำได้ ไม่ว่าจะในทางที่เป็นการเร้ากุศลหรือเร้าอกุศล เช่น พ่อแม่บอกว่าเด็กคนนั้นน่าเกลียด สกปรก อย่าดูมัน ก็เป็นการเร้าอกุศล แต่ถ้าพ่อแม่พูดไปในทำนองที่ว่า น่าเห็นใจเขานะ บ้านเมืองยังมีความยากจนอย่างนี้ เขาเกิดมาไม่มีเสื้อผ้าใช้ เมื่อเรามีโอกาส เราต้องช่วยกันนะ เอาเสื้อผ้าไปช่วยให้เขาได้ใส่บ้าง จะได้อยู่ดีมีสุข อย่างนี้เป็นการปลุกเร้ากุศล พ่อแม่มีอิทธิพลในเรื่องนี้มาก เวลาไปห้างสรรพสินค้า ซื้อของต้องคิดว่าจะพูดอย่างไร ให้ลูกมีท่าทีมองสิ่งเหล่านั้นอย่างไร ถ้าพ่อแม่พาลูกไปห้างสรรพสินค้า ไม่ได้ใช้ความคิด ก็ไม่สามารถชักนำโยนิโสมนสิการให้แก่เด็กได้ ไม่เป็นกัลยาณมิตร อาจจะกลายเป็นปาปมิตรไป คือมิตรที่ไม่ดี ถ้าเป็นกัลยาณมิตรก็จะชี้แนะ พอลูกเห็นอะไรสะดุดตา สึแดง สีเขียว ฉูดฉาด ก็จะวิ่งรี่เข้าไป ตรงนี้ถ้าพ่อแม่กระตุ้นผิดทาง ก็จะบอกได้แค่ว่าอันนี้ไม่สวย อันนั้นสวยกว่า เอาอันนั้นดีกว่า อันนี้อย่าไปเอาเลย ฯลฯ แต่ถ้ามีโยนิโสมนสิการ ก็จะกระตุ้นในแง่ที่ว่าของนี้คืออะไร ทำด้วยอะไร มาจากไหน ใช้ทำอะไร มีแง่ดี แง่เสียอย่างไร ควรจะใช้ประโยชน์อย่างไร ถ้าลูกเป็นคนทำ จะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เป็นการให้ความรู้และปลุกเร้าฉันทะไปด้วย เด็กก็จะเกิดความใฝ่รู้ และสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ถ้าได้มากกว่านั้นเด็กอาจจะเกิดความคิดที่จะทำหรือประดิษฐ์ขึ้นบ้าง ไม่ใช่ติดอยู่กับความชอบใจ ไม่ชอบใจ สีสวย ไม่สวย แล้วจบ ซึ่งจะไม่เกิดปัญญา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #86 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2010, 16:37:03 » |
|
ธรรมนั้นยาก ที่จะมี ผู้รู้แจ้ง มีแต่ขัด แย้งกัน แข่งศักดิ์ศรี รู้แต่ธรรม ไม่มีธรรม โอ้อวดดี ถึงล้านปี ล้านชาติ ไม่เห็นธรรม จะบรรลุ ธรรมใด ใจต้องแน่ แม้เกือบแย่ ต่อมาร ด่านทดสอบ อย่าไปหลง อย่าไปตก จงรอบคอบ แม้ถูกลอบ ต่อมารใด จงมั่นคง
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น เพราะอะไรถึงบอกว่าสมมุติ ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่เราเรียกว่าตัวเรา คือร่างกายนี้ หรือวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รายล้อมตัวเราท่านทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป ทุกอย่างมีอายุขัยของมันทั้งสิ้น ฉะนั้นแล้วทุกตัวตนเราท่านทั้งหลายที่ได้เกิดมาอยู่บนโลกมนุษย์นี้จึงประสบแต่สิ่งที่เป็นทุกข์ เพราะความปรารถนาไม่สมหวังไม่เป็นดั่งใจ เกิดความบีบคั้นทั้งกายและใจ ต้นเหตุที่มนุษย์ต่างเป็นทุกข์ ก็เพราะว่าใจของเราท่านทั้งหลายต่างไปยึดกับสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น และหมายมั่นเอาเองว่า เป็นตัวตนแท้จริงของเราและคิดเอาเองว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่กับเราตลอดไป
อารมณ์ทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย โลกทั้งโลกนี้ ล้วนเกิดที่จิต อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็เกิดที่จิต เมื่อเธอทั้งหลายจะละความเห็นนี้ออก ก็ต้องย่อมละที่จิตนี้เองมิใช่ที่อื่น
สตินี้แล เป็นธรรมอันยอดแล้ว เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นไปต่อการถ่ายถอนความเห็นผิด และเพื่อเจริญในธรรมเพื่อความพบอมตสุข คือนิพพาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
thammaonline
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
 |
« ตอบ #87 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2010, 18:50:10 » |
|
ละความยึดมั่นถือมั่นและปล่อยวาง
เมื่อเราเข้าใจไตรลักษณ์คือ อนิจจังความไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตาความไม่ใช่ตัวตน แล้วก็เข้าใจความไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเราไปด้วย ความเข้าใจอันนี้ เมื่อเรานำมาพิจารณาบ่อย ๆ พิจารณากับทุกสิ่งที่ได้พบ พิจารณากับทุกปัญหาทุกข์ใจของเรา พิจารณาด้วยความเป็นธรรม ยอมรับความจริงของสัจธรรม ยอมรับความจริงของสัจธรรมของโลก เพราะเถียงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อความจริงมันเป็นเช่นนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีวันเปลี่ยนไปตามที่ใจเราต้องการ ถ้าเรายอมรับสัจธรรมนี้ได้จิตใจของเราจะอ่อนลง ความยึดมั่นถือมั่นจะผ่อนคลายลง อย่างที่ท่านเรียกว่า ปล่อยวาง มันลง เราก็จะหลุดออกจากความทุกข์ได้ เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ สะสมความเย็น ความปล่อยวางนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆเพิ่มขึ้นเอง จนวันหนึ่งจะชัดเจนจนสังเกตได้ว่าเรื่องที่เราเคยทุกข์หนัก พอพบเรื่องที่ควรจะทุกข์ เราจะทุกข์น้อยลง ในการสอนระดับสูง ท่านไม่ให้ยึดมั่นแม้แต่ในเรื่องการทำดี พูดอย่างนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องทำดี แต่แปลว่า ทำดีเสร็จแล้ว ไม่ยึดติดกับความดีที่ทำไปแล้วนั้นจนเป็นทุกข์อีก พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นแม้ในนิพพาน คือ ให้ปล่อยวางในทุก ๆเรื่อง เพื่อให้สงบ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ร่างกายนี้เปราะเหมือนไข่ พร้อมที่จะแตก แม้ร่างกายจะกระวนกระวาย ขออย่าให้ใจกระวนกระวายแม้จะแก่ชรา หรือเจ็บไข้
ธรรมรอบกองไฟ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #88 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2010, 21:36:48 » |
|
ในทางพุทธศาสนา ความทุกข์เป็นครูผู้มาปลุกให้ตื่น แต่คนขาดสติเมื่อความทุกข์มาปลุก เขาจะลุกไม่ขึ้นเพราะมัวแต่ “เป็น” ทุกข์จนมองไม่ “เห็น” ทุกข์
ความเกรี้ยวกราดสะท้อนความ อ่อนแออย่างรุนแรงที่แฝงอยู่ในตัวคน ความเมตตา พร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจ สงบ และให้อภัยต่างหากคือความเข้มแข็งของจิตใจ
คนที่จะได้รับประโยชน์จาก การให้อภัยเป็นคนแรกก็คือตัวผู้ให้อภัยนั่นเอง คนที่ไม่ยอมให้อภัยก็คือคนที่กักขังตัวเองไว้ในคุกของความเจ็บปวดอันยาวนาน
สายน้ำไม่อาจหวนคืน สายธารเวลาไม่อาจหวนกลับ
ในขณะที่นักหนังสือพิมพ์กำลังตรวจสอบนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้น สังคมก็กำลังตรวจสอบนักหนังสือพิมพ์ด้วยเช่นเดียวกัน
ทุกสิ่งที่เราลงมือทำ ไม่ว่าจะด้วยความมีสติ หรือขาดสติก็ตาม ในที่สุดแล้ว การกระทำของเราจะส่งผลสะเทือนต่อมนุษยชาติในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #89 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2010, 17:47:21 » |
|
ทางพระพุทธศาสนา ถือ มละ ว่า เป็นมลทิน เพราะอะไร ? เพราะว่า เป็นธรรมอันทำใจของบุคคล ให้เศร้าหมอง เมื่อเกิดมีก็ทำใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว ไม่สามารถมองเห็นอรรถ มองเห็นธรรมได้ มลทิน เครื่องเศร้าหมอง ถ้าบังเกิดขึ้นในจิตสันดาน จะชำระได้ อย่างไร ? พึงชำระได้โดยวิธี เจริญธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องแก้กัน ดังต่อไปนี้ เจริญเมตตา แก้ความโกรธ บำเพ็ญกตัญญูกตเวที แก้ลบหลู่คุณท่าน เจริญมุทิตา แก้ความริษยา ให้ทานหรือบริจาค แก้ความตระหนี่ ทำความซื่อตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แก้มารยา บำเพ็ญอปจายนะหรืออัตตัญญุตา แก้มักอวด พูดวาจาจริง แก้พูดปด มักน้อยและสันโดษ แก้ความปรารถนาลามก สัมมาทิฏฐิ แก้ความเห็นผิด คำว่าโกรธ คืออะไร ? คือ ความขุ่นแค้นขัดเคือง ในบุคคล หรือในสัตว์ที่ตนไม่ชอบใจ เมื่อเกิดแล้ว เป็นสมุฏฐาน คือ เหตุให้เกิดโทสะ ความคิดร้าย ถ้า สติรั้งไม่อยู่ ย่อมพูดคำหยาบ ก่อการวิวาท ทำร้ายร่างกาย
คำว่า ลบหลู่คุณท่าน คืออะไร ? คือ ไม่รู้จักบุญคุณของท่านที่มีแล้วแก่ตน แก่ผู้อื่น หรือประเทศ ชาติแม้มีโอกาส ก็ไม่คิดตอบแทนบุญคุณของท่าน บางทีกลับแสดงอาการดูหมิ่นท่านเสียอีก
คำว่า ริษยา หมายถึงอะไร ? หมายถึง ความที่จิตดิ้นรน กระวนกระวาย กระสับกระส่ายในเมื่อเห็นผู้อื่นดีกว่าตนหรือเสมอตนจะอดทนอยู่ไม่ได้
คำว่า ตระหนี่ หมายถึงอะไร ? หมายถึง ความเหนียวแน่น แม้มีความจำเป็น ก็ไม่ยอมสละทรัพย์สินเงินทอง ไม่ปรารถนาจะบริจาคแก่ใคร
คำว่า มายา หมายถึงอะไร ? หมายถึง เจ้าเล่ห์ เจ้าอุบาย แสดงอาการกาย วาจาผิดปกติ จากความเป็นจริงด้วยประสงค์จะให้เขาเกิดความเอ็นดูสงสาร เป็นต้น
คำว่า มักอวด หมายถึงอะไร ? หมาย ถึงการคุยอวดคุณความดีของตน เพื่อยกตนเองว่าวิเศษ โดยแสดงออกทางกาย หรือ ทางวาจา เพื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าตนมีโคตรตระกูล ยศ ศักดิ์ ความรู้และคุณธรรมดีอย่างนั้นดีอย่างนี้เพื่อให้เขานิยมชมชอบในตน รักใคร่ นับถือตน
คำว่า พูดปด หมายถึงอะไร ? หมายถึง การพูดให้ผิดไปจากความจริง การเขียนหนังสือปด หรือสั่นศรีษะ พยักหน้าให้เขาเข้าใจผิด จัดว่าพูดปด
คำว่า มีความปรารถนาลามก หมายถึงอะไร ? หมาย ถึง ความปรารถนาชั่วเช่นปรารถนาได้ทรัพย์ในทางทุจริต มิจฉาชีพต่าง ๆ เช่น มีการต้มตุ๋น ล่อลวงอวดคุณวิเศษหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต เป็นต้น
เห็นผิด หมายถึง อะไร ? หมายถึง ความเห็นผิด ที่ผิดจากคติทางพระพุทธศาสนา คือเห็นว่าบาปบุญไม่มี มารดาบิดาไม่มีคุณ เป็นต้น
ธรรมอันหมดจดมีเท่าไร ? ก็มี ๙ เหมือนกัน (ซึ่งตรงกันข้ามกับ มละ คือ มลทิน) คือ - มีจิตใจไม่โกรธง่าย - กตัญญูกตเวที - มุทิตา - มีใจเผื่อแผ่ - เป็นคนตรง - ไม่โอ้อวด - พูดความจริง - มีความปรารถนาในทางที่ดี - มีความเห็นชอบ
มละ กับ อุปกิเลส ต่างกันอย่างไร ? ต่างกัน คือ มละ หมายถึง เป็นธรรมอันทำใจให้เศร้าหมอง อุปกิเลส หมายถึง กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ
ลบความดี กับยกย่องความดี ต่างกันอย่างไร ? ต่างกัน คือ ลบความดี คือ กลบ ปิดบังซึ่งคุณงามความดีที่ผู้อื่นได้กระทำไว้แล้วแก่ตน หรือ แก่ผู้อื่น หรือแก่ส่วนรวม ยกย่องความดี คือ ยกย่อง ชมเชย ยกย่องเอาความดีขึ้นมาแสดงให้ปรากฏ
มายา กับ พูดปด ต่างกันอย่างไร ? ต่างกันดังนี้ มายา หมายถึง เจ้าเล่ห์ เจ้าอุบาย แสดงอาการกาย วาจาผิดปกติจากความเป็นจริงด้วยประสงค์จะให้เขาเกิดความเอ็นดูสงสาร เป็นต้น พูดปด หมายถึง การพูดให้ผิดคลาดเคลื่อนไปจากความจริง การเขียนหนังสือปด หรือสั่นศรีษะ พยักหน้าให้เขาเข้าใจผิด จัดว่าพูดปด
บรรดามลทิน ๙ อย่าง อย่างไหนมีโทษร้ายแรงที่สุด เพราะเหตุไร ? เห็น ผิด คือ เห็นผิดจากคลองธรรมมีโทษร้ายแรงที่สุดเพราะ ความเห็นผิด เมื่อเกิดมีแก่ผู้ใด ผู้นั้นย่อมทำชั่วได้ทุกอย่าง และถ้ามีความเห็นผิดดิ่งเป็นนิยตะ ก็นับว่าอาภัพที่สุด
สนิมภายใน คืออะไร เปรียบด้วยอะไร และจะชำระออกด้วยอะไร ? กิเลส กรรม ทั้ง ๙ มี โกรธ เป็นต้น ชื่อว่ามลทิน เป็นสนิมภายใน เปรียบเหมือนสนิมภายในที่ทำให้จิตสกปรก จิตที่สกปรกด้วยมลทิน ต้องชำระด้วยด้วยปัญญา
ธรรมที่เป็นเครื่องชำระจิต คือ มลทิน ๙ อย่าง คือ อะไร ? ธรรมที่เป็นเครื่องชำระจิต คือ มลทิน ๙ อย่าง คือ ๑. โกรธ แก้ด้วยขันติ เมตตา กรุณา ๒. ลบหลู่คุณท่าน แก้ด้วยกตัญญูกตเวที ๓. ริษยา แก้ด้วยมุทิตา ๔. ตระหนี่ แก้ด้วยทาน ๕. มายา แก้ด้วย อุชุ อาชวะ ความซื่อตรง ๖. มักอวด แก้ด้วย อัตตัญญุตา อปจายนะ ๗. พูดปด แก้ด้วยสัจจวาจา ๘. ปรารถนาลามก แก้ด้วยเห็นชอบตามคลองธรรม ๙. เห็นผิด แก้ด้วยเห็นชอบตามคลองธรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #90 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2010, 11:49:33 » |
|
มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ดินน้ำไฟลม ประกอบเข้าเป็นรูปกายมนุษย์ เป็นกายนอก ที่ จับต้องมองเห็นนี้ มิใช่รูปขันธ์ในขันธ์ ๕
มนุษย์มีขันธ์ ๕ ขันธ์ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ เป็นทีมงานที่สามัคคีทำงานอยู่ด้วยกัน เข้าสวมอยู่ในกายธาตุที่จับต้องได้นี้ มันมีรูปขันธ์ ที่ซ้อนอยู่ในรูปกาย
ขันธ์ ๕ นี้ โดยทั่วไป ภาษาพูดเรียกว่า วิญญาณ เข้ามาอาศัยใน รูปกายนี้ เมื่อตายภาษาพูดก็บอกว่าไม่มีวิญญาณ ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า วิญญาณในที่นี้ กับวิญญาณขันธ์ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน
ก็แม้เฉพาะวิญญาณขันธ์ประการเดียว เข้าอาศัยแล้วออกไป เราคงจะไม่เจ็บ ไม่จำ ไม่นึกคิด มิใช่หรือ แต่ทำไม เรามีเจ็บ มีจำ มีการนึกคิด นั่นแสดงว่า ภาษาพูดดังกล่าวคลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วคำว่า วิญญาณ (ในภาษาพูดดังกล่าว) ก็คือขันธ์ ๕ มีอยู่ครบด้วยกันทั้ง ๕ ประกอบกันเข้าทั้ง รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ อยู่ในคำว่าวิญญาณนั้นด้วย
ศพ ภาษาพูดเรียกปราศจากวิญญาณบ้าง วิญญาณออกจากร่างบ้าง คล้ายกับว่าเฉพาะวิญญาณขันธ์ ตัวเดียวที่ไม่มีเสียแล้ว ซึ่งก็คลาดเคลื่อนอีกนั่นแหละ ก็แม้ศพนั้นไปแต่วิญญาณ แสดงว่าในศพยังมีเวทนาขันธ์ ยังมีสัญญาขันธ์ ยังมีสังขารขันธ์ เหลืออยู่ด้วยหรืออย่างไร หรืออีกนัยหนึ่งว่า ศพนั้นยัง รู้จักเจ็บ รู้จักจำ ยังรู้จักการนึกคิด
ศพ เป็นสภาพที่ปราศจากความรู้สึก แสดงว่าความรู้สึก กับขันธ์ ๕ นี้ คือตัวเดียวกัน
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นตัวทุกข์ นั่นก็ตรงกับความเป็นจริงที่คนทั่วไปเข้าใจแล้วว่า ความทุกข์ ของคนเรา มันทุกข์ อยู่ในความรู้สึก รูปกายส่วนแขนขา ที่มันชา มันไม่รู้สึก เอาเล็บไปหยิก มันจะไม่เจ็บ มันก็ไม่ทุกข์
เมื่อศพ เป็นสภาพที่หมดความรู้สึก และความรู้สึกคือขันธ์ ๕ นั่นแสดงว่า ขณะที่ตาย ย่อมมีอาการที่เกิดปรากฏการณ์ที่ มีรูป(ขันธ์)ทิ้งรูปเสียด้วย และมันก็แสดงอยู่โดยปริยายว่า ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มันยังมีรูป ที่ซ้อนอยู่ในรูปอีกชั้นหนึ่งด้วย มิฉะนั้นแล้ว มันคงจะมีรูป(ขันธ์) ที่ทิ้งรูป(กาย) ในขณะตาย หาได้ไม่
รูป(ขันธ์) ที่ซ้อนอยู่ในรูป (กายนอก) นี่แหละ ท่านอาจารย์แป้นเรียกว่า กายในกาย เป็นรูปปรมัตถ์ จะต้องดูด้วยตาปัญญาอีกทีหนึ่ง จึงจะเห็นได้ ทั้ง กายในกาย เป็นที่แห่งหนึ่ง สำหรับยกจิตมาวางในขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐาน ๔
บางท่านเข้าใจ(ผิด)ว่า รูปกายที่จับต้องมองเห็นได้ กับรูปขันธ์ เป็นตัวเดียวกัน ก็เข้าใจสืบต่อไปว่า สิ่งที่พรากไปจากศพ ไปเพียง ๔ ขันธ์ คือไปแต่เพียง เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณ เท่านั้น ทิ้งรูปขันธ์(คือรูปศพ) ไว้ แม้ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้องแล้วละก็ มนุษย์ที่ตายทุกคน จะต้องไปเกิด เป็นอรูปพรหม เท่านั้น ซึ่งเป็นภพภูมิที่ไม่มีรูป จะไปเกิดในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ ขันธ์ไม่ได้อีก ก็ท่านบอกว่า รูปขันธ์มันไม่ได้ไปด้วย นี้ก็เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า รูปกายที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ กับรูปขันธ์เป็นตัวเดียวกัน มันก็จะขัดกันเองอย่างนี้
สมัยนี้ มีการผลิตหุ่นยนต์ที่มีคนเข้าไปควบคุมในตัวหุ่น ควบคุมอยู่ให้หุ่นยนต์ขยับแขนขาลำตัว คู้เหยียดเคลื่อนไหว เหมือนขันธ์ ๕ เข้าอาศัยในรูปกายอันประกอบกันเข้าด้วยดินน้ำไฟลม นี้
ต่างแต่เพียงว่า บุคคลผู้นั่งในหุ่นยนต์นั้น นั่งตรงจุดควบคุมแห่งเดียว เมื่อจะยกมือขยับนิ้วหุ่น ก็เพียงกดปุ่มโน้นปุ่มนี้ ไม่ต้องออกจากลุกจากที่หรือออกจากตัวหุ่นเดินมายกมือขยับนิ้วหุ่นแต่อย่างใด แต่ขันธ์ ๕ ที่เข้าสวมอาศัยควบคุมรูปกายนี้ ถ้ามันต้องการให้มือคู้เหยียด ขยับนิ้ว มันก็ต้องย้ายทีมงานทั้ง ๕ เคลื่อนไปทำการงานอยู่ตรงมือตรงนิ้วที่กำลังขยับนั้น เพียงจุดเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #91 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2010, 17:49:28 » |
|
สระน้ำที่กว้างขนาด ๑ ไร่ สระทั้งสระมีปลาเพียงตัวเดียว เป็นปลาที่มีความรวดเร็วประดุจสายฟ้า ลัดนิ้วเดียวไปอยู่ขอบสระอีกด้านหนึ่งได้ ชาวประมงผู้มีแหอยู่ในมือ ต้องการจะจับปลาตัวนั้น ชาวประมงบางคนก็เหวี่ยงแหสุ่มไปทั่วทั้งสระ เขาก็เหนื่อยเปล่า บางคนก็ไปเอาแหขนาดเท่ากับสระ แต่เขาก็เหวี่ยงแห่ผืนใหญ่ขนาดนั้นไม่ไหว ก็เหนื่อยเปล่า แต่มีชาวประมงผู้ฉลาดผู้หนึ่ง เขาคอยจ้องอยู่ตรงที่ปลามันผุดมีน้ำกระเพื่อมทำปากให้ผัสสะกับผิวน้ำ เขามีปัญญารู้ชัดว่า เมื่อปลาผุดที่ใดแล้ว ทั้งในน้ำและผิวน้ำ ทั่วทั้งสระบริเวณอื่นๆ จะว่างเปล่า ก็สมัยใดที่ปลามันผุดตรงหน้า เขาก็เหวี่ยงแหตรงที่มันผุด ก็เป็นอันว่าสมัยนั้น เขาจับปลาตัวนั้นได้แล้ว
ในที่นี้ ปลาตัวนั้นคือความรู้สึก คือขันธ์ ๕
สระน้ำคือ ธาตุ ๔ อันประกอบกันเป็นแขนขาลำตัว เป็นรูปกายที่มองจับต้องได้นี้
สมัยที่ปลาผุดมีน้ำกระเพื่อมกระทำปากให้ผัสสะกับผิวน้ำ คือสมัยที่รู้สึกอยู่ตรงนิ้ว ตรงมือ ตรงแขน ฯ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งกำลังไหว กำลังเคลื่อน หรือกำลังผัสสะ
คำว่า เขามีปัญญารู้ชัดว่า เมื่อปลาผุดที่ใดแล้ว ทั้งในน้ำและผิวน้ำ ทั่วทั้งสระบริเวณอื่นๆ จะว่างเปล่า คือ ขันธ์ ๕ นี้ ทำงานเป็นทีมงาน เกิดดับอยู่ด้วยกันทีละขณะ หรือจิตนี้ เกิดดับได้ทีละดวง จะเป็น ๒ ดวงในขณะเดียวกันหาได้ไม่ เมื่อมีความรู้สึกตรงที่นิ้วกำลังขยับจุดเดียว ตรงอื่นทั่วรูปกายจะว่างจากความรู้สึก แม้การตรึกนึกคิด ดำริ จงใจ ครุ่นคิด ทั้งหลายทั้งปวงก็ดับสนิท
คำว่า เขาก็เหวี่ยงแหตรงที่ปลาผุด คือ มีสติประคับประคอง ให้ตรงต่อมือที่กำลังขยับเคลื่อนเป็นต้น ซึ่งจะตรงต่อความรู้สึกที่กำลังปรากฏ หรือมีสติประคับประคองตรงสัมปชาโน ที่กำลังปรากฏซึ่งหน้า
คำว่า เป็นอันว่าสมัยนั้นเขาจับปลาตัวนั้นได้แล้ว คือ หยั่งความรู้สึกถูกต้องตรง ฐานใดฐานหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้ว ยกจิตสู่พระไตรลักษณ์ได้แล้ว แม้ที่มือขยับ ก็เป็นการยกจิตสู่พระไตรลักษณ์ เห็นพระไตรลักษณ์ตรงมือนั้นเทียว
ขันธ์ ๕ นั้น แม้มีรูปขันธ์ รวมอยู่ด้วย แต่รูปขันธ์ดังกล่าว เป็นรูปปรมัตถ์ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ถึงแม้จะมองไม่เห็นขันธ์ ๕ แต่สมัย ที่เขาผัสสะกระทบกันอยู่ภายใน ก็เป็นสมัยที่เราหยั่งให้ถูกต้องเขาได้ อุปมาเหมือนลมที่พัด ที่จริงเราก็ไม่เห็นลมๆ เหมือนขันธ์ ๕ ที่เรามองไม่เห็น แต่เราเห็นใบไม้ไหว เห็นฝุ่นปลิว ก็รู้ว่าใบไม้แลฝุ่นเหล่านั้นไหวได้เพราะกำลังผัสสะอยู่กับลม มีการกระทบอยู่กับลม เราก็อาศัยหยั่งลงที่รูปที่กำลังไหว ก็ย่อมถูกต้องเข้าที่ลมด้วย
ในความรู้สึก จะรู้สึกตรงนิ้วขยับ ตรงแขน ตรงลิ้น จะตรงส่วนไหนของร่างกาย ที่กำลังไหว กำลังผัสสะ ณ ที่ๆ รู้สึกนั้น มีขันธ์ ๕ เกิดดับปรากฏอยู่ด้วยกันทั้ง ๕ ขันธ์
เห็นในความรู้สึก อย่างเดียว เป็นการเห็นรูป(ขันธ์) ด้วยแล้ว มิใช่เป็นการเห็น นาม อย่างเดียว
ดังนั้น ในพระปริยัติธรรม ท่านจึงเรียกรวมกันในทุกที่ว่า "เห็นรูปนามเกิดดับ" จะไม่มีที่ใดที่แยกใช้ว่า "เห็นรูป เกิดดับ" หรือ "ห็นนามเกิดดับ" โดยส่วนแห่งคำอย่างใดอย่างหนึ่งฝ่ายเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #92 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 09:25:47 » |
|
การรับธรรมะ คือการได้รับถ่ายทอด "วิถีแห่งจิต" เมื่อสอง พันห้าร้อยกว่าปีก่อน ท่านจอมปราชญ์ขงจื่อ ก็ได้รับการถ่ายทอด "จุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณ" จากพระอริยเจ้าเหลาจื่อ เรียกว่า ได้รับการถ่ายทอด "จุดตรัสรู้"
พระมหากัสสปะ ก็ได้รับการถ่ายทอดจุดตรัสรู้จากพระพุทธ องค์ จากการชูดอกบัวให้เห็นตรงหน้า เป็นปริศนาธรรม
ประมาณหนึ่งพันกว่าปีก่อน พระพุทธจีกงต้องอาศัยการถูก ตบหน้าจากพระอาจารย์ เป็นอุบายเบือนความสนใจจากสงฆ์น้อย ใหญ่ในที่นั้น พร้อมกับได้รับการถ่ายทอดจุดตรัสรู้โดยฉับพลัน
เมื่อหนึ่งพันสามร้อยกว่าปีก่อน พระสังฆปรินายกหงเหยน จะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตสว่าง ให้แก่ท่านเว่ยหล่าง ผู้ซึ่งเข้าถึงภาวะ สงบ ว่าง วางจิตลงได้แล้ว ยังจะต้องแอบนัดหมายในเวลาคํ่ามืด ปลอดคน อีกทั้งยังต้องใช้จีวรคลุม แล้วจึงถ่ายทอดจุดสถิตจิตญาณ
จึงมีคำกล่าวถึงความวิเศษของการได้รับการถ่ายทอดวิถีแห่ง จิตนี้มากมาย เช่น
"เช้าได้รับวิถีธรรม แม้เย็นตายก็ไม,เสืยดาย" หรือ "เจนจบ หมื่นคัมภีร์ศาสน์ มิอาจเทียบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานจุด" หรือ
"ความรู้ท่วมหัว พาตัวไม่พ้นทาง บทกลอนเต็มทุงกาง ไม่รู้ ทางที่เกิดตาย" หรือ "ทางไปพระนิพพาน ที่ว่าไกลถึงสิบหมื่นแปด พันลี้ เพียงชุดเโเดชี้ อยูไกล้แค่นัยน์ตา" เป็นต้น
ธรรมญาณ คือจิตเดิมแท้ในกายเรา เป็นหลักในการปกครอง กายสังขาร เมื่อหลงลืมจิฅเดิมแท้ ไม,รู้ว่าเกิดมาจากทึ่ใด เมื่อตายจะ ไปสู่ที่ใด จึงลงสู่นรกภูมิเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตายไม่สิ้นล�
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #93 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 18:01:25 » |
|
ชีวิตของคนเราล้วนมีปัญหาเกิดขึ้น และต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเรื่องที่คาใจนั้น ให้ได้อยู่ตลอดเวลาอาจเป็นปัญหาที่เล็กน้อย กระทั่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นแต่เราผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาก็ควรรู้จักเกี่ยว ข้องอย่างผู้รู้จักปล่อยวาง และเข้าใจ แม้จะไม่สามารถละวางได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ควรรู้จักวางใจให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าทัน แล้วปัญหาที่มีอยู่ย่อมมีทางคลี่คลายลงได้ในสักวัน
การ สอนให้ผู้อื่นให้ทำตาม ไม่ควรสอนในขณะที่ตัวเองมีความโกรธ และเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแต่ควรสอนในขณะที่สติปัญญามีอยู่อย่างบริบูรณ์ และควรสอนด้วยความปรารถนาดีที่มาจากใจ เพราะหากสอนโดยการใช้อารมณ์ ผู้ถูกสอนจะไม่จำคำสอนที่ถูกว่ากล่าวตักเตือน แต่เขาจะจดจำใบหน้าที่ดุร้าย และกิริยาที่แสดงความเกรี้ยวกราดของผู้สอน นั่นถือว่าเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของผู้ถูกสอนตราบนานเท่านานคำพูดที่คนเรา เปล่งออกมาแต่ละครั้ง ถือว่าเป็นพลังงานของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะใหม่เสมออาจเป็นไปในทางที่ดี หรือเลวร้าย ก็อยู่ที่เราผู้ออกคำสั่งเป็นหลัก ด้วยเหตุที่คำพูดล้วนมาจากใจเป็นผู้กรองข้อมูลของถ้อยคำปราชญ์ จึงเตือนให้รู้จักคิดเสียก่อนแล้วจึงค่อยพูดเพราะเมื่อเปล่งวาจาออกไปแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรก็ตามมา
สุนทรภู่กวีเอกแห่งแผ่นดินสยาม จึงกล่าวให้ข้อคิดเกี่ยวกับการพูดไว้ว่า
“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” การค้นพบว่าตัวเองชอบอะไรนั้น ชื่อว่าเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของการได้เกิดมา แต่การ ค้นพบความเป็นอิสระที่มีอยู่ในตัวเอง แล้วนำไปสู่การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบมีค่ายิ่งกว่า เพราะทำให้เรารู้จักจัดระเบียบชีวิตของตัวเองได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะไม่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของคนอื่นแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเราค้น พบความสุขที่อยู่ใกล้ ๆซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่เรียบง่าย แต่งดงามในความทรงจำของการได้ชีวิตมา คนที่ไม่ รู้จักการดำเนินชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ชื่อว่าเป็นชีวิตที่มืดบอดจากความดีงามทั้งหลาย เพราะเมื่อสติปัญญาถูกปิดบัง การเห็นสิ่งต่าง ๆย่อมกลับกลายเป็นความพร่ามัวไปในที่สุด แม้ว่าเราจะชื่อว่ามีตาที่มองเห็น แต่หากไร้ปัญญาในการทำความเข้าใจ เราก็เป็นได้แค่คนตาดีที่ไม่สามารถแสวงหาความดีงามมาประดับชีวิตได้เช่นเคย
โปรดทำความเข้าใจไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้เสียเลย และก็ไม่มีอะไรที่เรารู้ไปเสียทุกอย่าง ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างนี้อยู่เสมอ เราจะรู้ว่า ควรจะปัดปัญหาที่เปรียบเสมือนเส้นผมที่บังตาไม่ให้เราเห็นภูเขาคือ ความจริงที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร
บางครั้งปัญหาของชีวิตก็เกิดจากเรื่องเล็ก ๆ ที่เราไม่เคยมอง กระทั่งก่อตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา เศษผงเล็ก ๆ ที่เข้าตาคนอื่น เรามักจะช่วยเอาออกจากตาของเขาได้ แต่เมื่อปัญหาอันเปรียบเหมือนเป็นผงเล็ก ๆ ที่เข้าตาตัวเอง เรากลับมีความรู้สึกว่ามันช่างยากลำบาก ที่จะทำให้ออกไปจากตาได้
ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ชิด แต่ควรรู้จักมองปัญหาที่ใกล้ตัวด้วยใจที่มีวิจารณญาณ เพื่อไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ยิ่งในโอกาสต่อไป
การปรับทัศนคติของชีวิตถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเพราะหากรู้จักปรับความเห็นในมุมที่ เป็นบวก เราย่อมรู้จักที่จะคัดเลือกสิ่งดีให้กับตัวเอง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม แต่หากมีทัศนคติที่ติดลบมองโลกแต่แง่ร้ายในฝ่ายเดียว เราย่อมเหมือนคนที่อยู่ในมุมที่คับแคบ ย่อมก่อให้เกิดความอึดอัดขัดเคือง แม้จะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะเรามองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด อนาคตที่ควรจะถูกต่อยอดเป็นความดีงามจึงยุติบทบาทลงในทันที
บางครั้งการพ่ายแพ้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตรู้สึกแย่เสมอไป เพราะหากเคยได้รับแต่ชัยชนะเพียงอย่างเดียวเราย่อมไม่สามารถรับรู้ความ รู้สึกอีกด้านหนึ่งที่เป็นความผิดหวัง ด้วยเหตุที่ไม่เคยแพ้ เมื่อวันหนึ่งความผิดหวังเข้ามาเยือน ย่อมทำให้เราระทมตรมตรอมจากภาวะที่พ่ายแพ้นั้น แต่หากเรียน รู้ที่จะแพ้บ้างในบางโอกาสที่เหมาะสมเพื่อยอมรับที่จะแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ให้ดีขึ้น เมื่อชัยชนะใหม่มาครอบครอง เราย่อมรู้จักรสชาติของความสมหวังอย่างรู้คุณ
การที่เราผิดพลาดแล้วได้รับการให้อภัยจากผู้อื่นถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมากของชีวิต เพราะ เป็นการได้รับโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งบกพร่องให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ควรรู้จักที่จะพัฒนาตนเองให้ดีกว่าเดิม มิใช่ยินดีกับการได้รับการให้อภัยแล้วหยุดเรียนรู้ที่จะแก้ไข เพราะเมื่อวันหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นใจ เราจะเดียวดายจากคนรอบข้างที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเรา เพราะเราเป็นผู้ผลักไสให้เขามองเราว่าเป็นคนไร้ค่าด้วยตัวของเราเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
wiroon
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
พลังน้ำใจ: 168
ออฟไลน์
กระทู้: 1,153
|
 |
« ตอบ #94 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 18:23:28 » |
|
เข้ามาอ่านให้ใจร่มๆ ขอไข่ในป่าแตก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
topbaba2
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์
กระทู้: 244
|
 |
« ตอบ #95 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 18:56:14 » |
|
สาธุครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
thammaonline
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
 |
« ตอบ #96 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 22:45:53 » |
|
จิตเป็นตัวสั่งสมบุญและบาป
ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของจิต ก็คือ เป็นตัวสั่งสมบุญบาป กรรม และกิเลสเอาไว้ ก็เมื่อจิตมีหน้าที่รับอารมณ์ จึงเก็บอารมณ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นบุญ ทั้งที่เป็นบาป ทั้งที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปเอาไว้ แล้วเก็บไว้ในภวังค์ที่เรียกว่า ภวังคจิต เก็บไว้ได้หมดสิ้นอย่างละเอียด และสามารถนำติดตัวข้ามภพช้ามชาติไปได้ด้วย
ลักษณะที่จิตเก็บบุญและบาปเอาไว้นั้น เหมือนกระดาษซับ ที่สามารถซับน้ำเอาไว้คือ ตามปกติเมื่อมีน้ำหกราดลงบนโต๊ะหรือบนพื้นห้อง ถ้ามีกระดาษซับ เรามักจะใช้กระดาษนี้ซับน้ำที่หกราดนั้นให้แห้งไปได้ กระดาษซับสามารถเก็บน้ำได้หมด ฉันใด จิตก็เหมือนกัน เมื่อคนเราทำบุญหรือบาปลงไป จิตก็ซับเก็บไว้ได้หมด ฉันนั้น จิตจึงเป็นสภาพพิเศษที่น่าศึกษาจริง ๆ และเราทุกคนก็ได้ใช้จิตสั่งงานอยู่เกือบตลอดเวลา คนฉลาดจึงเห็นคุณค่าในการพัฒนาจิต อบรมจิตของตน
ในเรื่องที่จิตสามารถเก็บบุญและบาปเอาไว้จนถึงนำข้ามภพข้ามชาติไปได้นี้ บางคนอาจจะสงสัยและคัดค้านว่า "ถ้าหากว่าจิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแล้ว เมื่อจิตดวงที่ทำบุญและบาปเอาไว้ดับไปแล้ว บุญและบาปจะติดตามจิตต่อไปได้อย่างไร เพราะบุญและบาปได้ดับไปพร้อมจิตดวงนั้นเสียแล้ว"
ข้อนี้ขอเฉลยว่า ธรรมชาติของจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็จริง แต่ก็ได้เกิดดับสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย เหมือนกระแสไฟฟ้าที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ทำให้แสงสว่างติดต่อกันตลอด เพราะเกิดดับไวมาก อันธรรมชาติของจิตนั้น ก่อนที่มันจะดับไป ได้ถ่ายทอดทิ้งเชื้อ คือ บุญ บาป กรรม กิเลส ไว้ให้จิตดวงต่อไป เก็บไว้นำต่อไป แล้วแสดงผลออกมาเป็นระยะ ตามพลังแห่งกรรมคือบุญและบาปที่ได้สั่งสมไว้ บุญบาป มิได้สูญหายไปพร้อมกับความตายของร่างกาย หรือพร้อมกับความดับของจิต แต่ได้ถ่ายทอดสืบเนื่องไปตลอดเวลา
เหมือนกับพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ถ่ายทอดสืบต่อมาจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด แม้ท่านจะตายล่วงลับไปแล้ว แต่ตัวท่านก็ยังมีอยู่ เพราะยีน (Gene) ซึ่งถ่ายมาจากสเปอร์ม และไข่ อันเป็นเชื้อในพันธุกรรมของท่าน ซึ่งเปรียบเสมือนบุญและบาป ยังสืบต่ออยู่ในบุตรหลานของท่าน เพราะฉะนั้น บุญ บาป จึงมิได้หายไปตราบเท่าที่คนนั้นยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แม้จิตจะเป็นธรรมชาติเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม คนที่เคยพัฒนาตนไว้ดีเมื่อชาติก่อน ๆ เมื่อมาสู่ชาตินี้ จิตก็ยังมีคุณภาพสูงอยู่ ดังที่เราได้พบเห็นท่านผู้ที่บุญมากที่มาเกิด ซึ่งเป็นคนมีรูปร่างดี ปัญญาเฉียบแหลม จิตใจเข้มแข็ง ประกอบด้วยเมตตากรุณา เป็นต้น แต่ถ้าผู้นั้นจะกินแต่บุญเก่าอย่างเดียว ไม่ยอมพัฒนาตนเองในปัจจุบัน พลังของบุญหรือพลังแห่งการพัฒนาตนไว้เมื่อชาติก่อนนั้น ย่อมหมดไปได้ ฉะนั้น คนที่ฉลาดจึงไม่หวังแต่กินบุญเก่าอย่างเดียว แต่ได้พยายามเพิ่มบุญใหม่ด้วยการพัฒนาตน อบรมตนในปัจจุบันด้วย
ตายแล้วไปไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
thammaonline
ก๊วนเสียว
พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์
กระทู้: 237
|
 |
« ตอบ #97 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2010, 22:49:20 » |
|
ลักษณะของบุญและบาป
เนื่องจากจิตเป็นตัวรับหรือเก็บเอาบุญบาปเอาไว้ ฉะนั้น การศึกษาให้เข้าใจเรื่องบุญบาปตามหลักพระพุทธศาสนา จึงมีความจำเป็นประการหนึ่งในการอบรมจิต เพราะจิตของคนที่สั่งสมบุญไว้มาก เป็นจิตที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากเป็นจิตที่ได้รับการพัฒนา ส่วนจิตของคนที่สั่งสมบาป หรือทำบาปไว้มาก เป็นจิตที่มีคุณภาพต่ำ เพราะขาดการพัฒนา ฉะนั้น จิตของคนที่มีบุญมากกับมีบาปมาก จึงต่างกันมาก เหมือนกับสภาพของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่ด้อยพัฒนา เราจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันประชาชนในหมู่ประเทศทั้ง ๒ มีความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก เพื่อประโยชน์ในการฝึกอบรมจิต เราจึงควรทราบลักษณะของบุญและลักษณะของบาปตามหลักพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
ลักษณะของบุญ บุญมีลักษณะที่จะเข้าใจได้ง่าย ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ ก. เมื่อกล่าวถึงเหตุของบุญ ได้แก่ การทำความดีทุกอย่าง ข. เมื่อกล่าวถึงผลของบุญ ได้แก่ ความสุขกายสุขใจทั้งในชาตินี้และในชาติต่อไป ค. เมื่อกล่าวถึงสภาพของจิต ได้แก่ จิตใจที่สะอาดผ่องใส เพราะฉะนั้น บุญก็คือการทำความดี อันเป็นเหตุทำจิตของตนให้ผ่องใสสะอาด แล้วก่อผลส่งผลให้เกิดความสุขความเจริญทั้งร่างกายและจิตใจให้แก่คนที่ทำบุญไว้ หรือคนที่อบรมจิตของตน หรือจะพูดอย่างย่อก็คือ บุญคือความสุขนั่นเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข"
ลักษณะของบาป ส่วนบาปนั้น มีลักษณะตรงกันข้ามกับบุญ ซึ่งมีลักษณะ ๓ อย่าง เช่นเดียวกัน คือ ก. เมื่อกล่าวถึงเหตุของบาป ได้แก่ การทำชั่วทุกอย่าง ข. เมื่อกล่าวถึงผลของบาป ได้แก่ ความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ค. เมื่อกล่าวถึงสภาพของจิตใจ ได้แก่ ความสกปรกเศร้าหมองของจิตใจ ฉะนั้น บาปคือการทำชั่ว อันเป็นเหตุทำจิตใจของตนให้สกปรกเศร้าหมอง แล้วส่งผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนไว้ว่า "ความชั่วไม่ทำเสีบเลยดีกว่า เพราะว่าความชั่วย่อมตามตามเผาผลาญในภายหลังได้" (ขุ. ธ. ๒๕/๓๒/๕๖)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #98 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2010, 00:30:06 » |
|
เรา มักได้ยินใครๆพูดกันว่า ไปทำบุญ ซึ่งส่วนใหญ่ จะหมายถึงการทำบุญตักบาตร การไปวัด การให้ทานสิ่งของเครื่องใช้ หรือเงินทอง การปล่อยนกปล่อยปลา การบริจาคเงินสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างโรงเรียนหรือการบริจาคเงินให้มูลนิธิและอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินในการทำบุญทั้งนั้น
เรา ต้องใช้เงินซื้อหาอาหารมาทำบุญ หรือซื้อหาสิ่งของเครื่องใช้ หรือใช้เงินบริจาคให้ไป ถ้าการทำบุญต้องใช้เงินเสมอ คนจนที่แทบไม่มีเงินพอซื้ออาหารและเสื้อผ้า ก็จะไม่มีโอกาสทำบุญเลยใช่ไหม
อันที่จริงแล้ว หลักแห่งการทำบุญนั้นมีถึง 10 วิธี ดังนี้:
บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ คือ หนทางแห่งการทำบุญหรือทำความดี 10 วิธี (bases of meritorious action)
1. ทานมัย (merit acquired by giving) เป็น การทำบุญด้วยการให้สิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค หนังสือ หรือแม้แต่เงินบริจาค จัดเข้าเป็นการให้ทานทั้งสิ้น (การให้บุหรี่ เหล้า ยาพิษ สินบน ค่าจ้าง อาวุธ ไม่ถือเป็นการทำบุญ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่นำซึ่งความสุขความเจริญ ไม่เป็นการทำความดี) ซึ่งมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว ที่การทำบุญต้องใช้เงิน
2. สีลมัย (by observing the precepts or moral behavior) เป็นการทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี วิธีการทำบุญนี้ ไม่ต้องใช้เงินเลย เพียงเราประพฤติปฏิบัติตนด้วยการรักษาศึล 5 ให้ได้ ก็เป็นการทำบุญแล้ว 3. ภาวนามัย (by mental development) เป็น ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ เช่น ฝึกให้เป็นคนโกรธให้ช้า และอภัยให้เร็ว หรือ เป็นคนที่ไม่ถือโทษโกรธใครเลย มีจิตเมตตา มองผู้อื่นด้วยความปรารถนาดีเสมอ ฝึกตนเองให้พึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่โลภ ไม่อยากได้ของของคนอื่น ไม่คิดชิงดีชิงเด่นกับใครๆ เป็นต้น วิธีการทำบุญนี้ ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย เพียงเราเฝ้าดูจิตใจของเรา อย่าให้เกิดโทสะ อย่าให้เกิดความละโมบโลภมาก ก็เป็นการได้ทำบุญแล้ว
4. อปจายนมัย (by humility or reverence) ทำ บุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม เช่น การเคารพผู้อื่น ไม่คิดว่าตนเองมีดี วิเศษกว่าคนอื่น เราต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีความสุภาพอ่อนโยนต่อผู้อื่นเสมอ รู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ไม่ดูถูกดูแคลนภูมิปัญญาของคนอื่น รู้จักยกย่องให้เกียรติผู้อ่ืน ด้วยการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วิธีการทำบุญนี้ ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย
5. เวยยาวัจจมัย (by rendering services) ทำ บุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ เช่น การเป็นอาสาสมัครทำงานในองค์กรการกุศลต่างๆ เช่นมูลนิธิ วัด หรือการอาสาสมัครทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคม โดยไม่หวังค่าตอบแทนใดๆ หรือแม้แต่การดูแลรับใช้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณ อย่างเต็มอกเต็มใจ รวมไปถึงการแสดงน้ำใจต่อบุคคลอื่นด้วยการกระตือรือร้น แม้แต่เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น การบอกทางอย่างเต็มอกเต็มใจแก่ผู้หลงทางมา การช่วยเก็บเศษขยะตามพื้นในโรงเรียนไปทิ้งถังขยะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เป็นน้ำใจที่เราสามารถแสดงออกได้ทุกวัน และ ทุกสถานที่ วิธีการทำบุญแบบนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย
6. ปัตติทานมัย (by sharing or giving out merit) ทำ บุญด้วยการยกความดีให้แก่ผู้อื่น หรือ ทำบุญด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการทำใจให้สงบ น้อมรำลึกถึงคุณงามความดีที่เราได้กระทำไป และตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้บุญกุศลที่เราทำไปแล้วนั้น หรือที่กำลังจะทำต่อไป ขออุทิศกุศลผลบุญนั้น ให้กับทุกคนที่เราต้องการอุทิศส่วนกุศลให้ ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่ในการทำการงานใดๆ ในความสำเร็จของงานที่เราทำนั้น ย่อมมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และให้ความร่วมมือ เพื่อให้งานสำเร็จขึ้นมา เราควรยกความดีนั้น ให้แก่เพื่อนร่วมงานของเราหรือทุกคนที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนช่วยให้งานสำเร็จ ไม่ควรคิดว่า เราเก่งอยู่คนเดียวงานจึงสำเร็จออกมาได้ เป็นต้น ในการทำบุญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย
7. ปัตตานุโมทนามัย (by rejoicing in others’ merit) ทำ บุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น หรือเรียกว่า การอนุโมทนา นั่นเอง เมื่อเราเห็นใครทำความดี เราควรมีจิตยินดีด้วยในสิ่งดีๆที่เขาได้กระทำไป กล่าวคำอนุโมทนาบุญกับเขาด้วย เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาทำดีต่อไป ในการทำบุญวิธีนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย
8. ธัมมัสสวนมัย (by listening to the Doctrine or right teaching) ทำ บุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือธรรมะ การท่องเว็บธรรมะ การฟังเทศน์ฟังธรรม หรือรับฟังคำสั่งสอนจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ รวมไปถึงข้อคิดดีๆต่างๆ เพื่อการประเทืองปัญญา ทำให้เราฉลาดขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น และรู้วิธีแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง มีผลดีตามมาจากการแก้ปัญหานั้น ไม่ใช่แก้ปัญหาอย่างหนึ่ง แต่ไปเพิ่มปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ฯลฯ การทำบุญอย่างนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย
9. ธัมมเทสนามัย (by teaching the Doctrine or showing truth) ทำ บุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ การรับฟังปัญหาชีวิตของผู้อื่น และให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เขา ชี้แนะทางออกที่มีผลดีแก่ชีวิตเขา การพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายให้แก่บุคคลทั่วไป การบรรยายธรรม การเขียนบทความธรรม และ การเขียนข้อคิดที่ดี เพื่อความรู้ความเข้าใจในเรื่องของชีวิต เพื่อรับมือและจัดการกับปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดี การทำบุญอย่างนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลย(ยกเว้นการออกเงินเพื่อพิมพ์หนังสือธรรมะ)
10. ทิฏฐุชุกัมม์ (by straightening one’s views or forming correct views) ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง ทำความเห็นให้ถูกต้อง หรือ สัมมาทิฏฐิ เช่น มีความเห็นว่า ผล วิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว มีอยู่จริง โลกนี้มีจริง โลกหน้ามีจริง บิดามารดามีบุญคุณต่อเรา ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เป็นต้น การทำบุญด้วยวิธีนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลยเพียงแต่เราทำความเห็นของเราให้ถูกต้อง
ที่ กล่าวมาทั้งหมด เพียงจะชี้ให้เห็นว่า ในการทำบุญ 9 ประการหลังนั้น เราไม่ต้องใช้เงินเป็นปัจจัยเลย แม้เราไม่มีเงิน เราก็ยังทำบุญได้ทุกวัน แต่ถ้าเราสามารถสละทรัพย์ของเราแม้เพียงเล็กน้อยเราก็สามารถทำบุญให้ครบทั้ง 10 ประการ ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์
กระทู้: 4,245
|
 |
« ตอบ #99 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2010, 16:46:06 » |
|
“พระพุทธเจ้าทรงงดงาม ทรงประกาศชัดเจนว่าผู้หญิงมีความสามารถในการบรรลุธรรมได้เช่นกัน สามารถบรรลุโสดาบันขั้นพระอรหันต์ได้เช่นเดียวกับผู้ชาย " สังคมอินเดียมีการแบ่งวรรณะ พระพุทธเจ้าทรงล้มระบบวรรณะ โดยกล่าวว่า-จัณฑาลไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นจัณฑาล แต่เกิดจากการกระทำ การพูดเช่นนี้เป็นการท้าทายต่อคุณค่าทางสังคมของอินเดียสมัยนั้นนอกเหนือจาก การท้าทายระบบวรรณะแล้ว พระพุทธเจ้ายังท้าทายเรื่องศักยภาพของความเป็นมนุษย์ เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างเป็นระบบ “ศาสนาพุทธงดงามมาก เปิดประตูให้ผู้หญิงได้รับอิสรภาพโดยสิ้นเชิง การหลุดพ้นของผู้หญิงไม่ได้ขึ้นกับสามี ไม่ได้ขึ้นกับลูกอีกต่อไป ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานก็สามารถบรรลุธรรมได้” หลวงแม่เล่าว่า ผู้หญิงอินเดียสมัยดั้งเดิมจะมีคุณค่าต่อเมื่อแต่งงานแล้ว และต้องมีลูกชายด้วย เพราะความเชื่อว่าหลังจากพ่อแม่ตาย ลูกชายจะป็นคนไหว้พระส่งวิญญาณพ่อแม่ไปสู่สรวงสวรรค์ ผู้หญิงที่แต่งงานจึงมีหน้าที่มีลูกผู้ชาย หากไม่มีไม่ว่าสาเหตุใด ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายถูกตำหนิติเตียน ผู้หญิงอินเดียสมัยก่อนต้องแบกภาระทั้งลูกและสามีเฉกเช่นเดียวกัน สังคมไทยรับประเพณีค่านิยมเหล่านี้มาด้วย กระทั่งปัจจุบัน “ผู้หญิงชอบสวยชอบงาม เนื่องจากติดค่านิยมดั้งเดิม-ลูกผู้หญิงโตขึ้นมาต้องแต่งงาน การปลูกฝังอบรมเลี้ยงดูทั้งหลายล้วนเป็นไปเพื่อให้ลูกผู้หญิงเป็น ‘กุลสตรี’ ทำการบ้านการเรือน เย็บปักถักร้อย และต้องมีความงามเพียบพร้อม เพื่อพร้อมออกเรือน” ‘ความงาม’ ที่หลวงแม่หมายถึง คือ งามทางกาย ทีนี้ผู้หญิงไม่ได้เกิดมามีความงามเพียบพร้อม แทนที่ผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับงามทางจิตใจ กลับไปให้ความสำคัญแต่ความสวยทางกาย ค่านิยมปัจจุบันต้องจมูกโด่ง ต้องตาสองชั้น ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราเอาค่านิยมตะวันตกเข้ามา นำพลาสติกมาทำให้สวยขึ้น คำว่า ‘สวยขึ้น’ กลายเป็นคุณค่าที่ตั้งกันขึ้นมา จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่ากลุ่มผู้หญิงที่นิยมทำศัลยกรรมกันมาก ที่สุด คือ พยาบาล ถ้าเป็นอาชีพดาราที่ต้องขายรูปร่างหน้า ยังเข้าใจได้ แต่นี่กลับเป็นอาชีพพยาบาล ส่วนหนึ่งเพราะพยาบาลใกล้ชิดหมอ รู้ว่าอาจารย์หมอคนไหนเก่ง และสามารถจ่ายค่าทำศัลยกรรมตกแต่งได้ในราคาถูก แต่ที่สำคัญ คือ เรื่องค่านิยม หลวงแม่มองว่าเนื่องจากผู้หญิงถูกปลูกฝังมาทางด้านเดียวให้เป็นแม่ศรีเรือน ไม่ต้องมีความคิดเห็น มีแต่ความจงรักภักดี ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายมีสามี ค่านิยมเบี่ยงเบนเช่นนี้เองทำให้ผู้หญิงหันไปสนใจความงามภายนอกกันมาก ซึ่งนี่แหละเป็นรากความทุกข์ของผู้หญิง หลวงแม่อธิบายชี้ให้เห็นว่า “ร่างกายประกอบขึ้นด้วยธาตุ-ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุเหล่านี้อาศัยกันและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อเราไปให้ความสำคัญกับร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ เราพยายามรักษามันให้สวยงาม ขณะที่ธรรมชาติของธาตุทั้งสี่นั้น คือ การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา" เมื่อให้ความสำคัญผิดจุดด้วยความไม่เข้าใจสภาพแห่งความเป็นจริง ย่อมเป็นทุกข์ เพราะทุกข์แปลว่าตั้งอยู่ไม่ได้ แต่ไปยึดมั่นให้มันตั้งอยู่ให้ได้ ทุกข์จึงเกิด ผู้หญิงหลายคนกังวลเรื่องหน้าตา ทรงผม เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ความกังวลของผุ้หญิงผูกพันกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น เมื่อผู้หญิงเราเอาความกังวลความใส่ใจไปอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็ย่อมทุกข์ตลอดเวลา เมื่อสังคมไปจัดสรรว่าผู้หญิงจะมีคุณค่าต่อเมื่อผู้หญิงได้ออกเรือน มีสามี มีครอบครัว ผู้หญิงก็ต้องให้ความสำคัญกับการแต่งงาน ผู้หญิงบางคนมีศักยภาพสูงมาก แต่เพียงเพราะแต่งงานไปแล้วสามีนอกใจ พลังงานทั้งหลายของผู้หญิงคนนี้ไปเวียนวนกับการจัดการกับผู้หญิงที่เข้ามา เป็นบุคคลที่3 แทนที่จะได้พัฒนาศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหน้าที่ การงาน ต้องไปเสียพลังในเรื่องผู้หญิงของสามี “ตราบใดผู้หญิงตั้งหลักตัวเองไม่ได้ เอาความสำคัญของชีวิตไปทุ่มให้กับสามีและลูกหมด โดยไม่เข้าใจว่าตัวเราก็เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง นั่นก็เป็นการตั้งฐานความเป็นจริงผิดพลาด”
หลวงแม่ยกตัวอย่างชัด ๆ อีกกรณี “สามีเติบโตในหน้าที่การงาน เขาย่อมใช้เวลากับการสรรค์สร้างหน้าที่การงาน และหวังว่าภรรยาจะเข้ามาแบ่งปันความรับผิดชอบของครอบครัวลูกที่แม่อยู่ดูแล ตั้งแต่เล็กพอโตขึ้น ลูกก็มีความสนใจที่จะไปกับเพื่อนช่วงนี้เองผู้หญิงจะอยู่ในวัย 40 กว่าขึ้น 50 อาจเกิดภาวะ Middle Life Crisis ช่วงวัยกลางชีวิตที่เลยมาแล้วทันทีทันใดดูเหมือนว่าไม่มีความหมายอีกต่อไป ตรงนี้เองที่ผู้หญิงเราต้องมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เข้าใจว่าชีวิตของเรามีความหมายโดยตัวเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาสามีและลูก” หลวงแม่ย้ำว่าความหมายของความเป็น ‘ผู้หญิง’ ไม่ได้อยู่ที่การเป็น ‘แม่’ เท่านั้น “ถ้าพูดว่าผู้หญิงจะมีความหมายในชีวิตได้ต่อเมื่อเธอเป็นแม่แล้วไซร้ ผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่ได้แต่งงานก็กลายเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ไม่มีความหมายกับ ชีวิตใช่มั้ย... ผู้หญิงเราเองต้องตระหนักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ หลวงแม่คิดว่าคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของหญิงชายเท่ากัน” การที่ผู้หญิงเราไม่ยอมออกจากกรอบความคิดของตัวเอง เพราะไม่มีความคิดเป็นระบบ ทำความเข้าใจว่าประเพณีคืออะไร หน้าที่บทบาทของเราเปลี่ยนไปแล้วมันต้องกระทบกับการเปลี่ยนแปลงของประเพณี อย่างไร ส่วนหนึ่งไม่ใช่เฉพาะนิสัยของผู้หญิง แต่เป็นของคนไทย คนไทยเป็นชาติที่ไม่คิดมาก ไม่มีจิตวิพากษ์ ไม่ค่อยรู้จักการใช้เหตุผล บางทีเอาเหตุของอันนั้นมาประกบกับผลของอันนี้ บ่อยครั้งสังคมไทยทำอะไรผิดฝาผิดตัว และปัญหาของผู้หญิงที่ติดอยู่กับรูปกับเงาก็จะเป็นปัญหาต่อไป เป็นทุกข์ต่อไป ตราบเท่าที่ผู้หญิงยังไม่ตระหนักว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่ามีความหมายความสำคัญ อย่างไร พูดง่ายๆ ผู้หญิงยึดมั่นในรูปโฉมมากเพียงใด ความทุกข์จะทวีคูณเป็นเงาตามตัว "ประเทศไทยมีประชากรเป็นชาวพุทธ 95% แต่ใน 95% นี้มีสักกี่คนที่เข้าใจธรรมะ หลายคนบอกเป็นธรรมมะลึกซึ้ง แต่หลายคนบอกเป็นธรรมะที่เรียบง่ายมาก เป็นจริงที่เห็นได้ สัมผัสได้ เข้าใจได้” การทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ ‘ทุกข์’ ก็คือ สภาพที่อยู่เฉยๆไม่ได้ มันต้องเปลี่ยนแปลงไป ทุกคนไม่ว่ายาจกวณิพก หรือพระมหากษัตริย์ ล้วนอยู่ในภาวะทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถล่วงทุกข์นี้ได้ตราบเท่าที่เรายังมีร่างกาย แต่ศาสนาพุทธสามารถล่วงทุกข์ได้ ก็คือ ทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ซึ่งตัวตนแต่เดิมก็ไม่มีความเป็นจริงตรงนี้ คือ แก่นแกนหัวใจของพุทธศาสนา หลวงแม่คิดว่าการเข้าใจเรื่องทุกข์ เป็น key word เวลามีสุขมีทุกข์เข้ามาจะไม่หวั่นไหว เห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ พอกระทบเศรษฐกิจหน่อย พ่อก็ฆ่าลูกฆ่าเมียตาย เป็นความทุกข์จากไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจโลก อย่างมหาศาล เป็นการสร้างอกุศลกรรมสืบต่อไปอย่างมากๆ มีทุกข์แล้วมีสุข … มีสุขก็ย่อมหนีไม่พ้นมีทุกข์เป็นของคู่กัน ท่านเทศน์ต่อเรื่องความสุข เพื่อให้เข้าใจความทุกข์ยิ่งขึ้น “จริงๆแล้ว ไม่มีแบ่งแยกความสุขของผู้หญิงหรือผู้ชายความสุขเป็นสภาวะจิตใจที่รู้สึกพอ ใจกับสภาพเป็นอยู่ อาจเป็นบ้านช่อง ความสัมพันธ์กับลูกสามี กับคนรอบข้าง เรารู้สึกพอ เรารู้สึกสบาย นั้นเรียกว่าเป็นความสุขที่เป็นสภาวะจิตใจ หรือสภาวะภายใน นั่นเองความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุภายนอก เพราะวัตถุภายนอกทำให้สบายกาย สภาวะภายในไม่ขึ้นอยู่กับ กาย " ทีนี้ความสุขของผู้หญิงเรามักเป็นความสุขที่ติดกับรูปแบบ ซื้อกระเป๋าใบนี้มาใหม่ มีเพื่อนถือวิสาสะหยิบไปใช้และโดนฝนกลับมา สภาพหนังเสียหายหมด นี่เป็นของรักของหวงนะ ลูกโกรธจนตัวสั่น เพราะลูกถือว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของรักของเรา …. ตอนที่กระเป๋าใบนี้อยู่ในร้าน อะไรเกิดขึ้นกับมัน เราไม่เดือดร้อนใช่มั้ย ที่ลูกรู้สึกเดือดร้อนเพราะลูกรู้สึกเป็นเจ้าของ ความรู้สึกเป็นเจ้าของทำให้เดือดร้อนมาก อารมณ์ความรู้สึกเดือดร้อนผลักให้เราตกลงไปในกับดักของความทุกข์ นั่นเอง “แต่งงานแล้วสามีนึกว่าภรรยาเป็นของเขา ทันทีที่ผู้หญิงคลอดลูก ก็นึกว่าลูกเป็นของเรา เข้าไปครอบครองกำหนดชีวิตลูก ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่ " เป็นแม่ลูกกัน เพราะมีบุญกรรมด้วยกัน วิบากกรรมของคนสองคนได้สัดส่วนกัน ณ เวลาที่มาอาศัยท้องเกิด แต่หลังจากนั้น แม่มีวิบากกรรมของตัวเอง ลูกที่มาเกิดในท้องแม่ก็มีวิบากกรรมของเขาเอง ไม่มีใครเป็นของใคร แม้แต่ตัวของเรา ก็ไม่ใช่ของๆเราอย่างแท้จริง ถ้าตัวเราเป็นของๆ เราอย่างแท้จริง เราต้องบงการได้ เรามองดูกระจก -วันนี้สวยนะ ขอให้สวยอย่างนี้ตลอดไป มันก็ไม่ได้ เวลาผ่านไป ความแก่เริ่มเข้ามา มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภาษาพุทธพูดว่า-ไม่มีอะไรฝืนการเปลี่ยนแปลงได้ ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวขึ้นกับเหตุปัจจัย เวลาผู้ชายบอก- ผมรักคุณที่สุดในโลก หลวงแม่เชื่อนะว่าพูดจริง แต่เป็นความจริง ณ วันนั้น 5 ปีผ่านไป เอ้า แล้วทำไมเขาไปมีคนอื่นด้วยล่ะ ? 5 ปีผ่านไป ผู้หญิงต้องทราบว่าเราเปลี่ยน เขาก็เปลี่ยน ช่วง 5 ปีนี้ยาวนานมาก มันมีเหตุปัจจัยอื่นเข้ามาแทรก เหตุปัจจัยที่ทำให้เขาบอกว่าเขารักเราที่สุด เวลานี้ไม่มีเหตุปัจจัยนั้นแล้ว เราจะไปว่าเขาไม่รักษาสัจจะวาจาไม่ได้ เพรามันเป็นสัจจะวาจาที่รักษาไม่ได้ เพราะมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง-อ๋อ มันเป็นเช่นนั้นเอง แทนที่เราจะทุกข์ 100% เราอาจจะกระสับกระส่ายสักหนึ่งชั่วโมง ชั่วโมงที่สองค่อยๆคลี่คลาย ไม่กระสับกระส่ายตลอดไป”
ทว่ากว่าจะ ‘นิ่ง’ มี ‘สติ’ ‘เข้าใจ’ ธรรมชาติสรรพสิ่งได้ เราคนทำงานหลายคนคงสงสัย ต้องเข้าวัด อ่านหนังสือธรรมะเหรอ มีวิธีอื่นที่ง่ายและใกล้ตัวกว่านี้มั้ย ? หลวงแม่ท่านแนะนำว่า “ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคนว่าสะดวกยังไง การหาหนังสืออ่านก็ยากนะลูก เวลาเข้าไปตลาดหนังสือ มันมีเป็นพันเป็นหมื่น ไม่รู้จะหยิบเล่มไหน ต้องดูด้วยพระอาจารย์รูปนี้ท่านเข้าใจปัญหาสังคมมากน้อยแค่ไหน พอจะดึงธรรมะมาประยุกต์กับปัญหาของเราได้มั้ย หรือท่านพูดตามตำรา” หลวงแม่จึงแนะนำวิธีง่ายๆใกล้ ๆ ตัว โดยฝึกจากการทำงานนี่แหละ “ให้มองคนที่ทำงานเป็นพี่เป็นน้องเวลาไปทำงาน ถ้าเรารู้สึกดีกับคนที่ทำงาน กลไก mechanism ในร่างกายในจิตใจของเราจะเปลี่ยนไปเลย อะไรที่เรารู้สึกรำคาญจะกลายเป็น-ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูจัดการให้เอง เปลี่ยนจากความอิจฉาริษยา การแย่งชิง เป็นความเอื้ออาทรหากเราสามารถเปลี่ยนฐานใจตรงนั้นได้ มันจะทำให้การทำงานของเราสนุก” หลวงแม่ทำงานอยู่ธรรมศาสตร์ 27 ปี อย่างหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ให้หลวงแม่ คือ หลวงแม่รู้สึกดี อยากไปทำงาน บางครั้งในการทำงานก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เพราะคนทำงานรู้สึกดี หลวงแม่จึงมีความสุข กระทั่งวาระสุดท้ายของปีที่ 27 หลวงแม่ไม่เคยไม่อยากไปทำงาน รู้สึกรักที่ทำงาน รู้สึกเราได้สร้างพลังที่ดีกับจุดที่เราไปนั่งทำงาน จุดที่เราไปนั่งทำงานไม่ได้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานเท่านั้น แต่หมายถึงสภาพบรรยากาศรอบ ๆ ด้วย "ถ้าลูกสามารถรู้สึกอย่างนั้นในที่ทำงานของลูกได้ ลูกจะทำงานด้วยความสุขคิดว่าไปทำงาน คือ ไปเจอะเพื่อนฝูงญาติมิตรที่จะเอื้ออาทรกัน งานนี้เป็นงานของเราและของคนอื่นด้วย ไม่ใช่งานนี้เป็นของเขา หรือของเรา ถ้าปรับฐานจิตตรงนี้ได้ ลูกจะรู้สึกว่าชีวิตการทำงานมันดีมากๆ ผลผลิตของงานที่ออกมา ใครชมนะคะ บอก-เป็นของบริษัทค่ะ แม้จริงๆแล้วเป็นของเรา” หลวงแม่เน้นว่าคุณค่าของคนอยู่ผลงาน แนวคิดแนวทางของท่านไม่จำกัดเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น “ไม่ต้องแบ่งหญิงชาย เพราะหลวงแม่คิดว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่รูปลักษณ์ แต่อยู่ที่ความดี ถ้าเรา shift base ปรับฐานความคิดมาที่ผลงาน และคิดในเชิงพุทธ ไม่ว่าจะเป็นมาฆบูชา วันวิสาขบูชา หรือวันไหนๆของชีวิต ถ้าคนเรามีทิศทางคิดได้ชัดเจนอย่างนี้ ทั้งผู้หญิงผู้ชายก็จะมีความมั่นคง”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 141 ขึ้นบน |
|