ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeบทความดีๆ เอามาให้อ่านกันครับ
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: บทความดีๆ เอามาให้อ่านกันครับ  (อ่าน 1437 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ninebookshop
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 478
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,172



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 13 กันยายน 2010, 18:47:26 »

จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย

ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน


 

ภาษิตบทนี้ไม่เคยอยู่ในใจของข้าพเจ้าเลย จนกระทั่งเมื่อได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง...

ตอน แรกที่ไป พี่ชายซึ่งข้าพเจ้าอาศัยพักที่บ้านเขาในปัจจุบันเป็นคนไปส่ง และอยู่เป็นเพื่อนเป็นเวลา ๓ วัน ก่อนจะกลับประเทศไทย ในวันที่พี่กลับ ข้าพเจ้าไปส่งพี่ขึ้นแท็กซี่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย แล้วเดินน้ำตาไหลกลับไปหอพัก เพราะนับแต่นี้ ข้าพเจ้าต้องอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นต่างประเทศ เพียงลำพัง ไม่มีทั้งเพื่อนและญาติแม้แต่คนเดียว แม้แต่จะโทรศัพท์กลับบ้าน ค่าโทรก็แพงขนหัวลุก ๕๐๐ บาทโทรได้แค่ ๕ นาทีเท่านั้น ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรโทร

ที่นั่น ทุกอย่างเราต้องพึ่งตัวเองเป็นหลักทั้งสิ้น และมันก็คือหนทางที่ข้าพเจ้าเป็นผู้เลือกเองโดยไม่มีใครมาบังคับ

หนึ่ง เดือนแรก เป็นหนึ่งเดือนที่ไม่พบเจอคนไทยเลยแม้แต่คนเดียว เดิมทีข้าพเจ้าได้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของรุ่นพี่ที่ได้ทุนมาเรียนก่อน หน้าข้าพเจ้า ๒ ปี เป็นที่อยู่และเบอร์โทรในหอพักใน แต่ปรากฏว่าห้องนั้นเบอร์โทรนั้นเป็นห้องเก่าที่พี่แกเคยอยู่ ซึ่งปัจจุบันพี่แกได้ย้ายออกไปอยู่หอนอกแล้ว เป็นอันตัดขาดหนทางการติดต่อ...

เพื่อน ร่วมห้องของข้าพเจ้าเป็นคนญี่ปุ่น ชื่อว่า อายาโนะ คาเนโกะ อายุเท่ากัน แต่เธอยังเรียนอยู่ปี ๓ ที่ญี่ปุ่น และมาเรียนภาษาจีนเป็นเวลา ๑ ปีตามหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นบังคับ อายาโนะมาอยู่เป็นเทอมที่ ๒ แล้ว จึงช่วยแนะนำอะไรหลายอย่างให้ข้าพเจ้า รวมถึงพาไปยังอาคารสำคัญที่พวกเราต้องไปเรียน

เมื่อ ย่างเข้าเดือนที่ ๒ ข้าพเจ้าก็รู้จักหอพักนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด และเริ่มเรียนรู้ว่า เราควรจะเป็นฝ่ายออกไปหาเพื่อน ไม่ใช่นั่งรอให้เพื่อนมาหาเรา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตระเวนไปถามแม่บ้านของแต่ละหอ ซึ่งจะมีรายชื่อของนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในแต่ละห้องของหอพักนั้น และถามว่าหอนั้นๆ มีคนไทยพักอยู่บ้างไหม และพักอยู่ที่ห้องไหน ?

และ ได้ผล ข้าพเจ้าได้พบกับคนไทยที่มาเรียนภาษา ๒ คน ซึ่งมาบัดนี้เมื่อย้อนนึกดู ข้าพเจ้าไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่านั่นเป็นโชคดีหรือโชคร้าย...โชคดีที่การ ได้รู้จักคนไทย ๑ ใน ๒ คนนั้นทำให้ข้าพเจ้าแกร่งขึ้น และโชคร้ายที่ได้รู้จักบุคคลที่มีนิสัยไม่น่าคบเช่นนั้น

หลัง จากที่ได้พบกับคนไทย ๒ คนนี้ พวกเธอก็บอกว่าพอกเธอได้เจอกับคนไทยบางคนมาแล้ว และเสนอให้พวกเราคนไทยทุกคนในมหาวิทยาลัยปักกิ่งมานัดพบหน้ากัน ข้าพเจ้าก็ตกลง

และไม่กี่วัน ต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้พบกับคนไทยทุกคนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่งในเวลานั้น ซึ่งมีด้วยกันทั้งสิ้น ๘ คน รวมทั้งรุ่นพี่ของข้าพเจ้าที่ย้ายออกไปอยู่หอพักนอก โดยใน ๘ คนนี้ มาเรียนภาษากัน ๓ คน รวมทั้งข้าพเจ้าเอง เรียนระดับปริญญาโทปีที่ ๓ ซึ่งเป็นปีสุดท้าย ๒ คน เรียนระดับปริญญาตรี ๑ คน และเรียนแบบชั่วคราว ๑ ปี โดยเรียนร่วมกับนักศึกษาปริญญาตรีอีก ๒ คน

และ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าน้องซึ่งเรียนระดับปริญญาตรีนั้นอยู่หอพักเดียวกับ ข้าพเจ้า แต่อยู่คนละชั้น เขาเป็นรุ่นน้องที่จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังคบหาสนิทสนมด้วยอยู่ เช่นเดียวกับรุ่นพี่ที่เรียนในระดับปริญญาโททั้งสอง

ใน ผู้ที่เรียนภาษาด้วยกันเป็นหญิงล้วน ข้าพเจ้าอายุน้อยที่สุด คนหนึ่งไม่เป็นภาษาจีนมาก่อน เธออายุมากกว่าข้าพเจ้า ๓ ปี แต่เรียนจบปริญญาตรีในปีเดียวกัน ในการเรียนภาษาจีนในชั้นของเธอ ครูจะสอนด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง และข้าพเจ้าก็มาช่วยเธอติว ช่วยเธอเตรียมบทเรียน เป็นเพื่อนคนไทยที่สนิทที่สุดของข้าพเจ้าในเวลานั้น เนื่องจากว่าเราอายุใกล้กันที่สุด

แต่ หลังจาก ๑ เทอมผ่านไป ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้เช่นเห็นชาติเธอ และหลังจาก ๑ ปีผ่านไป ข้าพเจ้าก็เลิกคบเธอโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็พอดีกับที่ข้าพเจ้าย้ายไปเรียนปรับพื้นฐานสำหรับสอบเข้าปริญญาโทกับ น้องนักศึกษาระดับปริญญาตรี ทำให้ตึกเรียนอยู่คนละส่วนกับตึกเรียนของพวกที่เรียนภาษา จึงไม่ต้องพบหน้าเธออีก

เหตุ ที่ข้าพเจ้าเลิกคบเธอ เพราะเธอเป็นบุคคลจำพวก "ทนเห็นใครดีเกินหน้าตัวเองไม่ได้" และ "เก่งฉกาจฉกรรจ์เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวและแทงคนข้างหลัง" ข้าพเจ้าเองโดนเข้าหลายแผล เลยเลิกคบ แต่เธอก็ทำให้ข้าพเจ้าแกร่งขึ้นมาก และได้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นว่า การที่เราทำดีกับใคร ไม่แน่ว่าคนเขาจะขอบคุณ แม้ว่าการทำดีนั้น ผู้รับจะเป็นฝ่ายร้องขอเองก็ตาม...

มันเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าตระหนักในภาษิต

จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย

ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน

 

ปลาย ปีที่ ๒ เมื่อแน่ใจว่าสอบติดปริญญาโทแล้ว ข้าพเจ้าก็ดีใจมาก และตอนนั้นก็เริ่มเล่น internet เป็น โดยเพื่อร่วมห้องซึ่งเปลี่ยนเป็นคนมาเก๊าที่เกิดปีเดียวกันสอนให้ แรกๆ ข้าพเจ้าก็ทำเป็นแค่รับส่ง email กับเพื่อนใหม่ที่ได้รู้จัก ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาโท เอกภาษาจีน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่ ข้าพเจ้าได้รู้จักกับเธอ ก็เนื่องจากเพื่อนซึ่งจบมหาวิทยาลัยเดียวกับข้าพเจ้าสอบเข้าเรียนในระดับ ปริญญาโทของจุฬาฯ ได้ และในเทอมนั้น ทางจุฬาฯ ได้ส่งนักศึกษาปริญญาโทเหล่านี้มาหาข้อมูลในมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นเวลา 45 วัน - 2 เดือนซึ่งค่าหอพักในมหาวิทยาลัยปักกิ่งนั้นแพงมาก มีแต่หอพักของข้าพเจ้าที่ราคาถูกกว่ากันกว่าครึ่ง ข้าพเจ้าซึ่งย้ายไปอยู่หอนอกจึงบอกให้เธอมานอนที่เตียงของข้าพเจ้าได้ เราจึงได้เป็นเพื่อนกันนับแต่นั้นมา จนปัจจุบันก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ และยังติดต่อกันเสมอ ข้าพเจ้าเองก็เคยไปอาศัยนอนที่บ้านของเธอมาหลายครั้ง

ระหว่าง รอให้เปิดเทอม เพื่อนจะเรียนในระดับปริญญาโท ข้าพเจ้าก้คิดว่าเราน่าจะลองหัดแปลนิยายกำลังภายในดูท่าจะดี เริ่มต้นกันเสียที เพราะเวลานี้ก็มีเวลาว่างมากพอสมควร ข้าพเจ้าจึงหยิบนิยาย "สี่ยอดมือปราบ ตอน สี่มือปราบชุมนุมนครหลวง" มาลองหัดแปล

หลังจากนั้นไม่ นาน รุ่นพี่ ๑ ใน ๒ คนที่เรียนจบโทไปแล้วได้ส่ง email มาบอกข้าพเจ้าว่า เวลานี้ น.นพรัตน์ ได้แปลเรื่อง เจาะเวลาหาจิ๋นซี และดังมาก ซึ่งเรื่องนี้ คนเขียนคือ หวงอี้

ได้ทราบดัง นั้น ข้าพเจ้าก็วางมือจาก สี่ยอดมือปราบ หันไปดูชั้นวางหนังสือของตัวเองที่เต็มไปด้วยนิยายกำลังภายในที่ข้าพเจ้าขน ซื้อมา ๑ ในนั้นคือชุด "รวมผลงานของหวงอี้"

ข้าพเจ้ายังไม่อ่านสักเล่ม จึงไปเล็งๆ แลๆ แล้วหยิบ "คลุมพิรุณพลิกเมฆา เล่ม ๑" มาลองอ่านดู

อ่านจบไป ๑ ตอน (จาก ๗ เล่ม ๒๙ ตอน) ก็คิดว่าเรื่องนี้เข้าท่าดี เราลองมาหัดแปลดูดีกว่า

การแปล คลุมพิรุณพลิกเมฆา ตอนที่ ๑ จึงเริ่มต้นในตอนนั้นเอง

ใน ตอนนั้นเวลาแปลเจอคำไหนที่ไม่แน่ใจในความหมาย แม้จะได้ค้นในพจนานุกรมจีนแล้วก็ตาม  ข้าพเจ้าจะคั่นและวงไว้ แล้วนำไปถามเพื่อนร่วมห้อง (แต่ในนาม) ชาวมาเก๊า เพราะเธอเก่งภาษาจีนมาก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาเก๊าในระดับเกียรตินิยม และได้ทุนมาเรียนต่อโทที่ ม.ปักกิ่งในคณะภาษาและวรรณคดีจีน ซึ่งเธอก็อธิบายให้ข้าพเจ้ากระจ่างได้ทุกครั้ง แม้แต่คำกลอน เธอก็รู้กว้างขวางมาก ไปถามเธอ เธอบอกได้หมดว่ากลอนของใคร และหยิบหนังสือที่มีบทกลอนนั้นแบบเต็มๆ มาให้ดูได้ พร้อมทั้งอธิบายความหมายในแต่ละวรรค แต่ละบทให้ฟัง (แน่นอน อธิบายเป็นภาษาจีนหมดแหละ ก็เธอพูดภาษาไทยไม่ได้)

เมื่อ แปลจบตอนที่ ๑ ก็พอดีกับที่ข้าพเจ้าเริ่มเข้าเว็บไซท์เป็น และได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมต้นว่าให้ลองเข้าไปเล่นที่เว็บ Pantip ดู ที่นั่นมีคนอ่านกำลังภายในอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจึงเข้าไปใน "ห้องสมุด" ของเว็บ Pantip และเริ่มนำ คลุมพิรุณพลิกเมฆา ลงโพสต์ที่นั่นเป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นนิยายแปลเรื่องแรกที่โพสต์ลงในเว็บ Pantip เลยทีเดียว

หลังจาก นั้นพี่จูน (kjb) ก็มาชวนข้าพเจ้านำนิยายไปโพสต์ที่เว็บของเธอ คือเว็บ jj_book ข้าพเจ้าก็ไป ตอนนั้นที่โพสต์นิยายในเว็บนั้นแบบหลายตอนจบอย่างต่อเนื่อง มีแต่ข้าพเจ้า และน้อง amame หรือ นราเกตต์ เท่านั้น หลังจากนั้นคนอื่นๆ จึงค่อยๆ ทยอยมาร่วมด้วยช่วยโพสต์

การ โพสต์ในตอนนั้น คอมเมนต์ที่ได้มีน้อยมาก เพราะคนอ่านไม่คุ้นกับคำอ่านเป็นภาษาจีนกลาง และสำนวนข้าพเจ้าเองก็ยังไม่เข้าที่ คนอ่านบางคนถึงกับไล่ให้ไปเรียนภาษาแต้จิ่วแล้วค่อยมาแปลก็มี

จากนั้น เปิดเทอม เวลาของการเรียนปริญญาโทเริ่มต้นขึ้น

เนื่อง จากหลังจากเริ่มเรียนโท ข้าพเจ้าเกิดอาการเหมือนจะกระอักเลือด เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นการเรียนอะไรที่มันสาหัสขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะการอ่านภาษาจีนโบราณที่เขียนโดยพวกอัจฉริยะ แถมเป็นการเขียนที่มีไว้ให้พวกอัจฉริยะอ่าน บุคคลธรรมดาเช่นข้าพเจ้า กว่าจะตีความได้ ๑ หน้า ๑๓ บรรทัดนี่ใช้เวลาอ่านรวม ๔ ชั่วโมง กระอักมากๆ

แถมในการเรียนแต่ละครั้ง แน่นอนแหละว่าอาจารย์เขาไม่สอนแค่ครั้งละ ๑ หน้าหรอก

ข้าพเจ้า ที่ตอนเรียนภาษา ได้คะแนนไม่เต็มก็เกือบเต็มมาตลอด ยิ่งวิชาภาษาจีนโบราณนี่ คว้า 99 คะแนนในใบเกรดมาแล้ว ของ ม.ปักกิ่งด้วยนะ เรียกว่าเป็นนักศึกษาที่อาจารย์ในแผนกสอนภาษาพากันกล่าวขวัญถึงนั่นแหละ

แต่ เมื่อมาเจอของจริง คือการเรียนในระดับปริญญาโท มันเหมือนกันเราก้าวประโดดจากระดับประถมไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอย่างไร อย่างนั้น ใน ๑ หน้าที่ใช้เวลาอ่าน ๔ ชั่วโมงนั้น ในการอ่าน ต้องมีพจนานุกรมสารพัดชนิดวางอยู่รอบตัว และแน่นอนว่าทุกชนิดเป็นพจนานุกรม จีน-จีน ทั้งสิ้น ตั้งแต่

พจนานุกรมรากศัพท์

ปทานุกรมจีน

สารานุกรมประวัติศาสตร์จีน

พจนานุกรมประวัติศาสตร์จีน

พจนานุกรมราชวงศ์ซ่ง

พจนานุกรมสถานที่ในประวัติศาสตร์

พจนานุกรมตำแหน่งขุนนาง

พจนานุกรมรายนามบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์

พจนานุกรมภาษาจีนโบราณ

พจนานุกรมภาษาจีนปัจจุบัน

 

ด้วย ความสาหัสจนรากเลือด ทำให้ในปิดเทอมของปีแรก ข้าพเจ้ามีเวลาแปลนิยายกำลังภายในแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น และเมื่อเริ่มแปลไปถึงตอนที่ ๓ มั้ง ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับบอร์ด "นิยายกำลังภายใน" ของท่านเทพบัณฑิตอุดรขลุ่ยหยก

แต่...หลัง จากแปลจบตอนที่ ๓ มันก็เหมือนกับเริ่มอยู่ตัว คนอ่านเริ่มมาก ชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จัก และความซวยก็เริ่มมาเยือน ทั้งในด้านการเรียน และในด้านการแปล...

ด้านการเรียน ข้าพเจ้ามีปัญหาที่ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ข้าพเจ้าก็ทำการเปลี่ยนจนได้

ส่วน ด้านการแปล...เพราะชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จัก "เขา" จึงเริ่มรู้ถึงการคงอยู่ของข้าพเจ้า แล้ว "ผู้หยั่งรู้ฯ" จึงเริ่มปรากฏกายขึ้นในบอร์ดนิยายกำลังภายในของท่านเทพฯ และนับแต่นั้นมา ข้าพเจ้าที่เคยแปลแล้วโพสต์อย่างเปิดเผยในบอร์ดได้อย่างสบายใจ ก็มีอันต้องหยุดแปลไประยะหนึ่งด้วยความรู้สึกกดดัน...

เป็นอีกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องประสบกับเหตุการณ์

จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย

ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน

 

ขึ้น ปี ๒ แรงกดดันจากการเปลี่ยนอาจารย์มากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าคาดคิดมากนัก ส่วนนิยายที่ตัวเองเคยแปลฝึกฝีมือกลายเป็นสิ่งที่ก่อความยุ่งยากให้ไปเสีย แล้ว ตอนนั้นสิ่งที่ทำได้มีเพียงเรียบเรียงประวัติศาสตร์จีนช่วงที่ชอบลง โพสต์เป็นกระทู้ในหมวดย่อยประวัติศาสตร์ในห้องสมุดของเว็บ Pantip และตามอ่านนิยายในเน็ตเรื่องที่ชอบเท่านั้น

ใน ตอนนั้น ข้าพเจ้า Chat เป็นแล้ว และ Chat คุยกับน้องๆ ที่เป็นนักเขียนในเว็บ jj_book หลายคน รวมถึงคุยกับผู้ที่อ่านนิยายกำลังภายในหลายท่าน ซึ่ง ๑ ในน้องที่ข้าพเจ้าคุยด้วยคือน้องที่ชื่นชมในงานเขียนมาก น้องพัณณิดา  ภูมิวัฒน์ หรือ เคียว , ลวิตร์

ดัง ที่ได้บอกไว้ในกระทู้  ว่าข้าพเจ้าเคยฝันประหลาด และรู้สึกว่าฝันนี้น่าจะเอามาทำเป็นพล็อตได้ จึงนำไปบอกน้องลวิตร์ แต่น้องลวิตร์กลับบอกให้ข้าพเจ้าเขียนเสียเอง ข้าพเจ้าจึงมาคิดว่า ทำแก้เครียดก็ดี แค่เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่น ยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นเรา

ศึกจอมขมังเวท จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยเหตุนี้...

ที่ ผิดคาดอย่างมากคือ คนอ่านเขามองว่า ศึกจอมขมังเวท มันแปลก และ น่าสนใจ จำนวนคนอ่านจึงเพิ่มขึ้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้าก็ดีใจอยู่หรอก แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดไปถึงการรวมเล่ม เนื่องจากเวลานั้น สนพ.แจ่มใส ยังไม่เกิด กระแสการนำนิยายที่ได้รับความนิยมทาง internet มาตีพิมพ์รวมเล่มจึงยังไม่เกิดเช่นกัน

เมื่อ สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าที่ตั้งเป้าจะเป็นนักแปลอาชีพมาตั้งแต่ ม.6 และเรียนภาษาจีนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อการนี้ เคยเกิดความคิดอยากเขียนงานเขียนในตอนที่เรียนอยู่ ปี ๒ และได้เขียนเรื่องสั้นส่งขายหัวเราะ แล้วมันก็เงียบหายลงตะกร้าไป ข้าพเจ้าจึงคิดว่าตัวเองคงไร้ซึ่งพรสวรรค์ในการคิดสร้างสรรค์งานขึ้นเองเป็น แน่

ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าแต่งไปถึงตอนยิบรอน (ช่วงท้ายของเล่ม ๒) ข้าพเจ้าที่เคยแต่เขียนเรื่องสั้นที่ลงตะกร้าไป ๑ เรื่องจึงให้อัศจรรย์ใจมากว่าเราเขียนมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง และเกิดความคิดอยากจะพริ้นท์มันออกมาทำเป็นหนังสือทำมือเก็บไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเขียนนิยายได้ถึงขนาดนี้กับเขาด้วย

ด้วย ความที่ชอบอ่านการ์ตูน และชอบภาพประกอบ ข้าพเจ้าจึงวานให้น้องนักเขียนการ์ตูนโดจินที่รู้จักช่วยวาดภาพประกอบให้ โดยมีชุดโปสเตอร์จากเรื่องเฟิงอวิ่นที่เพื่อนข้าพเจ้าให้มาเป็นของตอบแทน

แต่ ปรากฏว่า น้องคนนั้นบอกว่า การที่ข้าพเจ้าจะทำเป็นหนังสือทำมือเก็บไว้อ่านคนเดียวนั้นถือเป็นความเห็น แก่ตัวอย่างยิ่ง ถ้าจะทำก็ควรทำขาย ประจวบกับผู้อ่านหลายท่านมาสนับสนุนให้ทำขาย ข้าพเจ้าจึงตกลงจะทำขาย โดยคิดจะขายในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

น่า เสียดาย...น้องที่เป็นนักวาดโดจินคนนี้เป็นแม่ค้า ไม่ใช่นักอุดมการณ์อย่างข้าพเจ้า เธอจึงทำหนังสือทำมือของข้าพเจ้าออกมาได้แย่ และขายในราคาแพงมาก โดยที่ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่ปักกิ่งไม่สามารถจะมาห้ามปรามอะไรได้เลย...

ข้าพเจ้า เสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก จึงตัดสินใจยอมขาดทุนทำหนังสือทำมือขึ้นมาเองเพื่อให้คนอ่านส่งเล่มที่ทั้ง แพงและแย่นั้นมาแลกเล่มที่ดีกว่านี้ไป

แต่หลังจากนั้นเรื่องยังไม่จบ...ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าแกมขู่ว่า ให้ระวังการลอกพล็อตเรื่องไปเขียนขาย

ตอน นั้นข้าพเจ้าเซ็งมาก ว่าทำไมสิ่งที่เราแค่ทำเล่นเพื่อความสบายใจ เพื่อความบันเทิง เพื่อให้ลืมๆ ความเครียดจากการเรียนและการแปลนิยายกำลังภายใน มันถึงได้กลายเป็นสิ่งที่ก่อความเครียดให้เราอีกอย่างไปเสียได้ ?

วิธีการป้องกันไม่ให้โดนลอกพล็อตไปเขียนขาย มีแต่ออกหนังสือด้วยตัวเอง...

ตอน แรกข้าพเจ้าก็นำเรื่องไปเสนอ สนพ. แต่บังเอิญว่า สนพ. นั้น (ตอนนี้รู้สึกจะเจ๊งไปแล้ว) เป็น สนพ.ที่เอาเปรียบนักเขียนอย่างมาก ครั้นข้าพเจ้าเปลี่ยนใจจะจ้างเขาพิมพ์แทน ราคาที่เขาเรียกก็โหดกว่าราคาจริงเกิน 100%

ข้าพเจ้า ที่เซ็งกับเล่ห์กลของ สนพ. เลยจำต้องตกกระไดพลอยโจน ออกทุนพิมพ์หนังสือ ศึกจอมขมังเวท เล่ม ๑ ออกมาทั้งที่ภาวะของตัวข้าพเจ้าเองในเวลานั้นไม่พร้อมเอาเสียเลย

แถม หลังพิมพ์ออกไป ก็ยังเจอเล่ห์กลของสายส่งอีกต่างหาก เรียกว่าปวดหัวกันระยะยาว แถมยังโดนคนบางคนที่เป็นนักเขียนใน Pamtip ที่บังเอิญได้ยินเพื่อนๆ รอบตัวสรรเสริญเรื่อง ศึกจอมขมังเวท ให้ฟังจนเกิดอาการหมั่นไส้เข้ามาหาเรื่องแกล้งลบกระทู้อีกต่างหาก

เป็นอีกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องเจอกับเหตุการณ์

จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย

ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน

 

ก็ แล้วใครมันจะไปอยากทำตัวเด่นกันเล่า...งานหนังสือที เราก็ไม่เคยไปโชว์ตัว สัมภาษณ์ลง นสพ. เราก็ไม่เคยมีสักหน่อย รูปตัวเองก็ไม่เคยคิดจะลงในหนังสืออีกต่างหาก แฟนคลับก็ไม่เคยคิดจะตั้ง แถมเวลาเอานิยายไปลงในเว็บใหม่ ยังไม่เคยคิดจะเกณฑ์เพื่อนหรือคนอ่านช่วยไปเป็นหน้าม้าลงชื่อเชียร์เลยสัก ครั้ง

จะว่าไป แม้เวลานี้ ข้าพเจ้าจะยังไม่มีงานแปลออกมาเลยสักเล่ม แต่ข้าพเจ้ามักคิดเสมอว่าอาชีพที่เราเลือกคือ อาชีพนักแปล ไม่ใช่ นักเขียน แม้ตอนนี้เราจะเขียนหนังสือพิมพ์แบบเป็นงานเป็นการ แต่มันเป็นไปเพราะอยากให้งานที่เราทุ่มเทออกมาดูดีที่สุดเสียมากกว่า หรือจะบอกว่าไม่ค่อยไว้ใจมาตรฐานของ สนพ. ในปัจจุบันมากเท่าตัวเองก็คงได้

ดัง นั้นตอนนี้ข้าพเจ้าก็เพียงแต่รอให้ภาระตรงนี้มันจบลง เพื่อจะได้ผันตัวเองไปทำงานแปลอย่างเต็มตัวเท่านั้น ส่วนงานเขียนก็จะกลายเป็นแค่งานรอง (หลัง ศึกจอมขมังเวท ออกครบ 5 เล่ม)

เมื่อ เทียบกับการเขียน + พิมพ์นิยายเองแล้ว งานแปลทั้งรายได้ดี ทำได้ง่ายกว่า เร็วกว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลกันทั้งนั้น และตลาดก็กว้างกว่างานเขียนเยอะ เพราะตลาดนิยายกำลังภายในขาดแคลนนิยายกำลังภายในเรื่องใหม่ๆ ที่มันสนุกอย่างมาก พี่ชายข้าพเจ้าเองก็รอข้าพเจ้ากลับไปทำงานแปลจนเซ็งแล้วเซ็งอีก

ข้อดีข้อเดียวของงานเขียนมีเพียง...มันทำความภูมิใจให้ข้าพเจ้ามากกว่างานแปล...เท่านั้นเอง

อาจ จะเพราะแบบนี้กระมัง ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยห่วงเรื่องรักษาภาพพจน์ของการเป็นนักเขียนสักเท่าไร เวลาเจอผู้อ่านถามคำถามไม่เข้าท่า โดยเฉพาะผู้อ่านที่ยังเด็กกว่า จึงดุไปโดยไม่ได้คิดจะรักษาภาพพจน์นางฟ้าผู้ใจดี

(จะว่าไปนางฟ้าผู้ใจดีก็คงไม่เขียนนิยายสงครามฆ่ากันเลือดท่วมกระดาษหรอกมั้ง - -" )

ที่มา : บล็อกๆ หนึ่ง ทำไงดีอะลืมก็อปลิ้งค์เขามา  Tongue
บันทึกการเข้า

ขายหนังสือมือสอง ร้านเล็กๆที่ขายด้วยความตั้งใจ
รับติดตั้งกล้องวงจรปิด เราทำงานแบบมืออาชีพ
ninebookshop
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 478
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,172



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 กันยายน 2010, 19:00:57 »

 wanwan019 wanwan019 wanwan019 wanwan019
บันทึกการเข้า

ขายหนังสือมือสอง ร้านเล็กๆที่ขายด้วยความตั้งใจ
รับติดตั้งกล้องวงจรปิด เราทำงานแบบมืออาชีพ
hume
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 334



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 13 กันยายน 2010, 19:03:17 »

ไม่เข้าใจ อะไร งง บทความก็ธรรมดา ไม่มีอะไรเด่นเลยนี่ครับ
บันทึกการเข้า

aseptic
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 79
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,811



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 13 กันยายน 2010, 19:15:08 »

ขอบคุณค่ะ

ที่มาอยู่นี้หรือเปล่า http://www.sorcererwar.com/top...hp?topic_id=36&forum_id=10

บันทึกการเข้า

-
-
ninebookshop
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 478
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,172



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 13 กันยายน 2010, 21:08:03 »

ขอบคุณค่ะ

ที่มาอยู่นี้หรือเปล่า http://www.sorcererwar.com/top...hp?topic_id=36&forum_id=10




บทความเดียวกันเลยครับ แต่ไม่ได้มาจากเว็บนี้ครับ Tongue
บันทึกการเข้า

ขายหนังสือมือสอง ร้านเล็กๆที่ขายด้วยความตั้งใจ
รับติดตั้งกล้องวงจรปิด เราทำงานแบบมืออาชีพ
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์