มันมีข้อธรรมแฝงอยู่ครับ ถ้ามองให้ดี ความหมั่นไส้นั้น คือความริษยาอย่างอ่อน ๆ นั่นเอง บางครั้งก็ไม่รู้ตัว
แต่ถ้าเจ้าของกระทู้ทำให้จับพิรุธได้แบบนี้ ผมกลับมองว่าน่าสงสารมากกว่า อย่างแรกคนที่อวดตัว คือคนที่ต้องการให้
คนอื่นชม ถือว่าเป็นคนที่มีปมด้อย ผมก็เคยเป็น โดยปกติถ้าจะเล่าเรื่องทำนองนี้ เล่าว่าทำอะไรไปก็เล่าเฉย ๆ จะไม่จบลง
ด้วยการถามว่าตนเองเก่งมั้ย แล้วตนเองต้องรู้ตัวด้วยว่าไม่ต้องการคำชม การเล่าจึงเหมือนการพรีเซนต์ผลงานเท่านั้น
อีกอย่างเมื่อมีคนชมมาก ๆ จะทำให้เกิดความภูมิใจ ความภูมิใจจะทำให้เกิดความหลงตนขึ้น หลังจากนั้นอันตรายก็มาเยือนผู้นั้น
วกกลับมาที่ความหมั่นไส้ ถ้าปล่อยไว้จะพัฒนากลายเป็นความริษยาขึ้นได้เช่นกัน ทุกคนจึงควรและต้องรู้ตนเอง (มีสติ) ตั้ง
แต่เนิ่น ๆ จะได้ทำให้ความคิดนี้สลายไปจากตนได้ง่าย ๆ
พระพุทธเจ้ายังสอนให้ใช้หลักกาลามสูตรครับ ทุกอย่างควรมีความพอดี
ไม่ใช่ปล่อยวางแบบสุดโต่ง เชื่อแบบสุดโต่ง ต่อต้านแบบสุดโต่ง
เรื่องที่คุณชอบใช้หลักธรรมมาสอนคนเหมือนกัน ทำอย่างพอดีเถิด เห็นเตือนคนอื่นจนตัวเองเกิดอารมณ์ทุกครั้งไป
ส่วนเรื่องยอดเงิน เค้าจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างเค้า ทุกคนก็มีคำตอบในใจตัวเองอยู่แล้ว
ก็หลักกาลามสูตร ็ไม่ได้ให้เชื่อในสิ่งที่ผมพฦูดด้วยไงครับ แล้วการสอนคนอื่นก็คือการสอนตนเองนั่นแหล่ะ
แล้วด้วยมีหลักกาลามสูตรนี่แหล่ะ ทำให้ผมกล้าโพสต์ข้อความนี้ออกมา ในขณะที่ผมโพสต์ผมก็คิดไปด้วย
แล้วก็ไม่ได้สอนใคร เพราะเตือนใครไปก็เท่ากับเตือนตนตเองด้วย ส่วนใครจะคิดอย่างไรก็ไปห้ามไม่ได้
ผมสอนใครไม่ได้หรอกครับนอกจากสอนตนเองเท่านั้นเอง
แล้วผมก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้อะไรเท่าไหร่ เพราะไม่มีประโยชน์เพราะไม่ใช่ของเรา แล้วจะว่าไปสำหรับผมแล้วไม่ได้ปล่อยวาง
อะไรเลย แต่มันวางไปเองโดยไม่ต้องปล่อย แล้วผมก็เขียนในเว็บด้วยว่าเราไม่สามารถปล่อยวางได่้ ทุกอย่างเป็นไปตามสัจธรรม
เราสามารถควบคุมความตั้งใจของตนเองได้ทั้งรับทั้งส้ง แต่เราไม่สามารถไปทำให้ใครตั้งใจรับหรือส่งอย่างไรก็ไม่ได้
ผมบอกแล้วว่าความริษยามันแรง ถ้าผมโพสต์มากกว่านี้มันจะแรงกว่านี้ แต่ไปพิจารณาดูเอาเองด้วยปัญญาเถอะ