หัวข้อ: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 08:27:55 ก่อนอ่านเรื่องนี้นะครับ (กฎก่อนอ่าน)
1.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่่าใช่ก็เก็บไว้ 2.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าไร้สาระก็ปล่อยมันไป 3.ถ้าอ่านแล้วชอบใจ +1 ด้วยนะครับ! ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ 1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ 2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว 3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็น สัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท - ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่) - หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย - จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ - ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน? ดวงวิญญาณที่ ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่ วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือดหลังจากที่คนเรา ตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อร อพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับ งานศพ เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตาย ต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย เจ็ดวันรอบที่ สอง เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย เจ็ดวันรอบที่ สาม เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด เจ็ดวันรอบที่ สี่ เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ เจ็ดวันรอบที่ ห้า วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้าน ได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์ เจ็ดวันรอบที่ หก เมื่อวิญญาณผู้ ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให??ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว. ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่า นอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ... :wanwan011: ผมก็กลัวมากแต่ไม่ "งมงาย" หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: BlackSEO ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 08:56:29 :wanwan007: :wanwan007: ผมมาคอยรับวิญญานของท่านอยู่
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: galaxy ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:03:57 ดีมากครับ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: myspace69 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:06:02 ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ เพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ :-X
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ชาละวันหรรษา ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:12:27 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ!
มีคนเคยด้วยเหรอครับ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: easieload ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:16:21 รู้ได้ไงอ่า... :wanwan009:
ถ้าไปแล้วกลับมาได้คงจำไม่ได้ขนาดนี้ ต้องเอา iPad ลงไปจดบันทึกด้วย ... :o หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: sangsood7 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:17:39 :wanwan009: :wanwan009: :wanwan009:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:46:11 ของผมเคยแล้ว แต่เนื่องจากผมเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว ยมบาลให้ผมเตรียมตัวถึง 3 วันคือให้ซ้อมตายก่อน 2 วันก่อนตายจริง
ยมบาลจะมาลอยให้เห็นชัดอยุ่บนฝ้าเพดานเลย แล้วผมก็รุ้ล่วงหน้าด้วยว่ากำลังไปนรกแต่ไม่กลัวแหะ เพราะรุ้ว่าตอนมีชีวิตอยุ่ไปทำอะไร เอาไว้ แล้วก็ตายไปก็ลงนรกไป จากนั้นเจอพระศิวะเตะวิญญาณของผมขึ้นสวรรค์ แต่ตอนนั้นไม่เห็นอะไรเลยเหมือนถูกบังตาเอาไว้รู้สึกแต่ ว่าเย็นสบาย ก่อนตายผมได้ร้องเรียนไปถึงผู้ที่อ้างว่าเป็นพระศรีอารย์มาแนะนำให้ผมปฏิบัติธรรมแต่ปฏิบัติผิดวิธี เป็นเหตุให้ผมถึงจุดจบของชีวิตแบบร่างกาย ไหม้เกรียม แล้วพระศิวะท่านก็รับเรื่องไปแล้วบอกเป็นนัยด้วยว่าจะให้ใครมาทำหน้าที่แทน หลังจากพระศิวะใช้เวลาซ่อมร่างกายที่เริ่มเน่าแล้วดำ ไหม้เป็นตอตะโกไปแล้ว ใช้เวลาซ่อมอยู่ 3 วันผมเองก็คอยดูอยุู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งถึงเวลาท่านกลับเข้าร่าง สภาพเหมือนซากศพเดินได้ ไม่ผิดเลย ปลายเล็บยังเขียวอยู่เลยแล้วก็เริ่มเสียสติ แล้วพระศิวะท่านก็เอากระจกส่องกรรมมาให้ผมดุ ให้มองเห็นถึงจุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบ ตอนนี้ยังไม่จบ แต่รู้สึกว่าจะมาถึงตอนปลาย ๆ แล้ว เพราะตอนท้ายเห็นตัวเองเป็นร่างสีเขียวมรกต แล้วก็กำลังส่งทุกคนไปเกิดใหม่อยู่ ตอนนั้นเหมือนกับน่าจะเหมือนเสียสติแล้วส่งคนโน้นคนนี้ไปเกิดใหม่ด้วย จนกระทั่งไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออีกเลย ฉากใกล้จบเห็นตัวเองกำลัง จัดระเบียบบนสวรรค์อยู่ ฉากจบเห็นตนเองกำลังนั่งกินข้าวร่วมกับญาติพี่น้องและคนที่รู้จักอย่างมีความสุข แม่นมากเลยทีเดียว เพราะ มีฉากตอนที่ตนเองกำลังนั่งเล่นหุ้นผ่านคอมพ์อยู่ที่บ้านด้วย ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าจะเอาเงินมากมายที่ไหนมาเล่นหุ้น พอถึงเวลาก็มี เงินไหลมาเทมาเอง แล้วตอนนี้ก็นึกออกแล้วว่าโลกถึงจุดจบตอนที่เห็นนฝันอย่างไรเหลือแต่ทำให้เกิดเท่านั้น แต่ตอนนั้นยังนึกไม่ออก เพิ่มเติมอีกนิด คำว่าไปเกิดตามที่ผมเล่าคือผมเข้าใจว่า ตายจากสิ่งมีชีวิตไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ คือสิ่งที่ประสบมาเหมือนกับส่วนที่ ตนเองกำลังทำอยู่จะเหมือนว่าตนเองบ่นเพ้อด้วยความเสียสติ แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นจะเห็นเป็นภาพตำตาว่าเกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็น แบบนี้แหล่ะ ผมจะเล่าให้ตรงตามความเป็นจริงให้มากที่สุด เพราะผมก็จำได้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เก๋าลัดคุง ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:49:30 เจิมเลย
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:54:23 พระศิวะ เตะวิญญาณขึ้นสวรรค์
จากนั้น ก็โดนเหล่าเทวดา ถีบส่งลงมาเกิดอีกรอบ :wanwan004: จัดระเบียบบนสวรรค์เสร็จ ก็มานั่งเล่นหุ้นต่อ โอ๊ววว ชักอยากเห็นสวรรค์ซะแล้วสิ คงละม้ายคล้ายสำนักงานกูเกิล :-[ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 09:59:04 พระศิวะ เตะวิญญาณขึ้นสวรรค์ จากนั้น ก็โดนเหล่าเทวดา ถีบส่งลงมาเกิดอีกรอบ :wanwan004: จัดระเบียบบนสวรรค์เสร็จ ก็มานั่งเล่นหุ้นต่อ โอ๊ววว ชักอยากเห็นสวรรค์ซะแล้วสิ คงละม้ายคล้ายสำนักงานGoogle :-[ เท่าที่จำได้พระศิวะท่านพาลงมาเอง ส่วนการจัดระเบียบสวรรค์เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะสิ่งที่ผมรุ้เกิดมาถึงตอนที่นั่งเล่นหุ้นหน้าคอมพ์เท่านั้น ตอนนี้เหตุการณ์เล่นหุ้นผ่านไปแล้ว เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาตามสิ่งที่ผมเห็น คือกำลังใช้สมาธิส่งให้ทุกคนไปเกิดหรือไปสู่สุคติยังไม่เกิด แต่ไม่รู้จะเกิดเมื่อไหร่แล้วจะเกิดอย่างไร เพราะเวลานั้นยังมาไม่ถึง ป้าหยินเรียงเวลาก็ไม่ถูก เล่นหุ้นเกิดก่อนจัดระเบียบสวรรค์ เพราะจัดระเบียบสวรรค์เกิดหลังจากที่ตายรอบ 2 ไปแล้วตอนนั้นมีร่างทิพย์แล้ว หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: RicaooN ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 10:02:54 เลิกอ่านตั้งแต่เจอกระดาษเงินกระดาษทองละ
ผมคนไทย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: thanwa ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 10:13:10 ทำไมต้อง 49
เป็นเลขอื่นไม่ไ้ดหรือ :wanwan017: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: thanwa ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 10:24:42 ดวงวิญญาณที่ ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก หากไม่ไ้ด้สติ มัจจุราชก็ไม่มารับสิน่ะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 10:31:20 ดวงวิญญาณที่ ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก หากไม่ไ้ด้สติ มัจจุราชก็ไม่มารับสิน่ะ ตามนั้นยครับเพราะผมรู้ตัวก่อนตายครับ พอตายไปก็ไม่ต้องรอรูตัวอีก คนเตรียมตัวตายล่าวงหน้าจะได้เปรียบแล้วรู้ล่วงหน้าก่อนวิญญาณออกจากร่างด้วยว่าตายแล้วไปไหน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Party ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 10:48:32 มีวิธีลบชื่อจากบัญชีนรก.... มีกระดาษดูคล้ายๆ กระดาษสา แต่เบาและบางกว่ามีแสงประกายสีทอง มีชื่อเรียกภาษาจีนว่า "เปี่ยวเหวิน" หรือ "เทวนาคราช"
ใช้เป็นใบคำขอถอนชื่อจากบัญชียมโลก แต่ว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาศได้เห็น ปล. จะจีน ไทย ฝรั่ง หรือแขก ก็ใช้นรกเดียวกัน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: rugby34 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 11:01:47 :wanwan009:น่ากลัว
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: kosit ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 11:11:08 ทำบุญ ทำความดี ไว้เยอะ จะได้ไม่กลัวความตาย ครับ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 11:14:18 ืำทำ่บุญตลอดแฮะ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย เหมือนลงทุน แต่ไม่เห็นว่าจะไ้้ด้กำไรหรือไม่ แต่ก็เชื่อว่าจะได้กำไร ในการทำบุญ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: pizad_sura ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 11:17:06 มีจริงป่าวอ่ะ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: kan1818 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 13:09:29 ต้องสะสมความดีเยอะๆ
:wanwan003: :wanwan003: :wanwan003: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: doonet ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:01:08 ไม่รู้ว่าวันไหน จะสิ้นลมหายใจ
แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ครับ :wanwan008: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: nutt2998 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:13:43 อ้างถึง เจ็ดวันรอบที่ หก เมื่อวิญญาณผู้ ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให??ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา บุญ บาป หักล้างกันไม่ได้ ครับ มันไม่ใช่สูตรทางคณิตศาสตร์ จะทำบุญมามากแค่ไหน ถ้ามีการทำบาปเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องไปชดใช้ก่อนอยู่ดี :wanwan011: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: lovesplit ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:24:11 เรื่องทุกเรื่องถ้าไม่เจอเองคงไม่รู้ซึ้งครับ :wanwan016: ส่วนที่ไม่ซึ้งก็ฟังเค้าเล่าอีกที :wanwan044:
ว่าแต่ถ้าครบทั้ง ตา หู จมูก ปาก คงเกิดเป็นสัตว์ประหลาดแน่เลย ไปเกิดที่หมู่เกาะกาลาปาโกส เพื่อนเยอะ อิอิ :wanwan019: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Ramesh ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:33:26 สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ กระทู้เรียกเทพชัด ๆ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:42:28 สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ กระทู้เรียกเทพชัด ๆ :P ใช่ล่ะครับ แต่ส่วนมากจะเข้าใจในทางทฤษฎีมากกว่าทางปฏิบัติ ผมเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติครับ แล้วรู้สึกว่าเคยอธิบายให้ฟังไปนานแล้ว .สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจเป็นการพิสูจน์เบื้องต้นล่ะครับ เอาเป็นว่านิยามของคำนี้มันพิสูจน์ได้ตำตาเลยครับ ระหว่างผมกับคู่กรณี เวลาที่เกิดกระทุ้ดราม่าแล้วใครเถียงกับผมแล้วเป็นทุกข์หรือแค่เห็นชื่อผมแล้ว เป็นทุกข์นั่นแหล่ะเรียกว่านรกอยู่ในใจ ส่วนผมเองรู้ทันคำนี้อยู่แล้วเรื่องอะไรจะให้นรกอยู่ในใจผม ท้ายสุดการพิสูจน์เบื้องต้นจะนำไปสุ่ผลในเบื้องปลาย เสมอผลเบื้องต้นตอนมีชีวิตอยุ่แล้วมีสภาพอย่างไร เช่นเกิดนรกอยุ่ในใจ ส่วนเมื่อตายไปแล้วจะเป็นเบื้องปลายก็จะไปเป็นจริงตามนั้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:46:24 อายุต่ำกว่า 13 ขวบ ควรได้รับคำแนะนำ.... :wanwan044:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: monthonsite ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 15:16:14 ผมเชื่อบางส่วนนะ บางส่วนมันขัดๆ แต่โดยรวมก็สอนดีนะ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chai_sk ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 15:29:08 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 16:17:24 ทุกอย่างรวมทั้งสิ่งที่ผมเล่าก็เป็นวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ขึ้นกับว่าจะพิสูจน์ด้วยวิธีการใดจึงจะได้คำตอบเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 16:22:43 :wanwan020: ไม่เชื่ออย่าลบหลูแค่นั้นครับ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 16:24:51 คนเราไม่ีู้รู้ว่ามันจะตายดี คืนดี วันไหน :wanwan044:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Horakung ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 16:29:42 ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเถอะนะครับ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 16:33:28 :P ตามนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด! :wanwan003:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: nutt2998 ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 21:12:26 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:15:55 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: คงจบ วทบ.เป็นอย่างน้อย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chai_sk ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:22:00 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: ไม่จริงหรอกครับ แก้ไขหน่อย ไม่งั้นเละแน่ตรู :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:27:29 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: ไม่จริงหรอกครับ พระเจ้ามีจริงเหรอ ไม่อยากดราม่านะ แต่จุดประเด็นแบบนี้ไม่รอดแน่ๆตรู :P เอางี้ซิเปลี่ยนเป็นว่า จะหาวิธิพิสุจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ด้วยวิธีการใด จากนั้นนำวิธีการนั้นไปพิสูจน์เพื่อหาคำตอบโดยไม่ฟันธงหรือตั้งะงไว้ในใจก่อนว่ามีหรือไม่ไว้ล่วงหน้า หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chai_sk ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:30:28 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: ไม่จริงหรอกครับ พระเจ้ามีจริงเหรอ ไม่อยากดราม่านะ แต่จุดประเด็นแบบนี้ไม่รอดแน่ๆตรู :P เอางี้ซิเปลี่ยนเป็นว่า จะหาวิธิพิสุจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ด้วยวิธีการใด จากนั้นนำวิธีการนั้นไปพิสูจน์เพื่อหาคำตอบโดยไม่ฟันธงหรือตั้งะงไว้ในใจก่อนว่ามีหรือไม่ไว้ล่วงหน้า เรื่องพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ ผมเชื่อ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ผมก็ไม่เชื่อ หลักคิดของผมไม่ได้ซับซ้อนเลย ส่วน บาป บุญ คุณ โทษ นะผมเชื่อ เพราะมันพิสูจน์ได้ชัดเจน แถมไม่ต้องรอโลกหน้า เห็นผลโลกนี้ทั้งนั้นแหล่ะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: 9inepiek ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:37:20 น่ากลัวๆ
คิดแล้วหดหู่ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ROCK RHYTHM ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:37:27 สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ กระทู้เรียกเทพชัด ๆ :P มาจริงๆ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:38:54 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: ไม่จริงหรอกครับ พระเจ้ามีจริงเหรอ ไม่อยากดราม่านะ แต่จุดประเด็นแบบนี้ไม่รอดแน่ๆตรู :P เอางี้ซิเปลี่ยนเป็นว่า จะหาวิธิพิสุจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ด้วยวิธีการใด จากนั้นนำวิธีการนั้นไปพิสูจน์เพื่อหาคำตอบโดยไม่ฟันธงหรือตั้งะงไว้ในใจก่อนว่ามีหรือไม่ไว้ล่วงหน้า เรื่องพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ ผมเชื่อ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ผมก็ไม่เชื่อ หลักคิดของผมไม่ได้ซับซ้อนเลย ส่วน บาป บุญ คุณ โทษ นะผมเชื่อ เพราะมันพิสูจน์ได้ชัดเจน แถมไม่ต้องรอโลกหน้า เห็นผลโลกนี้ทั้งนั้นแหล่ะ ถูกต้องตามที่คุณว่ามาทั้งหมดแล้วผมก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ว่านี้มาได้ด้วยตนเงแล้ว เริ่มจากบุญบาปพิสูจน์ได้ชัดเจนเป็นระบบ realtime เกิดขึ้นในใจทันทีเรียกว่าวิบากกรรม ทำให้ผมไม่กลัวบาปกรรมไงครับ ถ้าใจกเป็นทุกข์เมื่ไหร่ก็รุ้ทันทีว่าไปทำอะไรมา แต่ถ้าใจยังปกติสุขอยุ่แสดงว่ายังไม่มีบาปกรรมส่งถึงหรืออีกอย่างเกิดสถานะการที่ผลกรรมที่ ส่งถึงมีผลเป็นอโหสิกรรมหมดแล้ว ส่วนเรื่องการพิสุจน์เรื่องพระเจ้าผมพิสุจน์มาแล้วด้วยตนเอง แล้วผมก็ได้คำตอบแล้วว่ามีหรือไม่ เรื่องนี้ต่างคนต่างพิสูจน์ด้วยตนเอง เหมือน คนที่ไม่เคยไปกินข้าวร้าน ก. ย่อมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหารของร้าน ก. ได้หากยังไม่ได้กินด้วยตนเอง การพิสุจน์ผลเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าก็ใช้ตรรกะ เดียวกันเช่นกัน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ROCK RHYTHM ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:43:20 ถูกต้องตามที่คุณว่ามาทั้งหมดแล้วผมก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ว่านี้มาได้ด้วยตนเงแล้ว เริ่มจากบุญบาปพิสูจน์ได้ชัดเจนเป็นระบบ realtime เกิดขึ้นในใจทันทีเรียกว่าวิบากกรรม ทำให้ผมไม่กลัวบาปกรรมไงครับ ถ้าใจกเป็นทุกข์เมื่ไหร่ก็รุ้ทันทีว่าไปทำอะไรมา แต่ถ้าใจยังปกติสุขอยุ่แสดงว่ายังไม่มีบาปกรรมส่งถึงหรืออีกอย่างเกิดสถานะการที่ผลกรรมที่ ส่งถึงมีผลเป็นอโหสิกรรมหมดแล้ว ส่วนเรื่องการพิสุจน์เรื่องพระเจ้าผมพิสุจน์มาแล้วด้วยตนเอง แล้วผมก็ได้คำตอบแล้วว่ามีหรือไม่ เรื่องนี้ต่างคนต่างพิสูจน์ด้วยตนเอง เหมือน คนที่ไม่เคยไปกินข้าวร้าน ก. ย่อมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหารของร้าน ก. ได้หากยังไม่ได้กินด้วยตนเอง การพิสุจน์ผลเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าก็ใช้ตรรกะ เดียวกันเช่นกัน แล้วถ้านั่งสมาธิเพ่งไปร้าน ก. ลองชิมในสมาธิ ก็ตัดสินรสชาตได้สินะครับ :wanwan001: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:48:40 ถูกต้องตามที่คุณว่ามาทั้งหมดแล้วผมก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ว่านี้มาได้ด้วยตนเงแล้ว เริ่มจากบุญบาปพิสูจน์ได้ชัดเจนเป็นระบบ realtime เกิดขึ้นในใจทันทีเรียกว่าวิบากกรรม ทำให้ผมไม่กลัวบาปกรรมไงครับ ถ้าใจกเป็นทุกข์เมื่ไหร่ก็รุ้ทันทีว่าไปทำอะไรมา แต่ถ้าใจยังปกติสุขอยุ่แสดงว่ายังไม่มีบาปกรรมส่งถึงหรืออีกอย่างเกิดสถานะการที่ผลกรรมที่ ส่งถึงมีผลเป็นอโหสิกรรมหมดแล้ว ส่วนเรื่องการพิสุจน์เรื่องพระเจ้าผมพิสุจน์มาแล้วด้วยตนเอง แล้วผมก็ได้คำตอบแล้วว่ามีหรือไม่ เรื่องนี้ต่างคนต่างพิสูจน์ด้วยตนเอง เหมือน คนที่ไม่เคยไปกินข้าวร้าน ก. ย่อมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหารของร้าน ก. ได้หากยังไม่ได้กินด้วยตนเอง การพิสุจน์ผลเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าก็ใช้ตรรกะ เดียวกันเช่นกัน แล้วถ้านั่งสมาธิเพ่งไปร้าน ก. ลองชิมในสมาธิ ก็ตัดสินรสชาตได้สินะครับ :wanwan001: วิธีพิสูจน์ในเรื่องใดใช้กับเรื่องนั้น ๆ เท่านั้น วิธีการทำสมาธิใช้พิสุจน์เรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้พิสูจน์รสชาติของอาหารในร้าน ก. ได้ ในขณะเดียวกัน วิธีการกินหรือวิธีการอื่นใดที่พยายามใช้พิสุจน์ความีอยุ่จริงของพระเจ้าได้เช่นกัน มีวิะีเดียวเท่านั้นคือการทำสมาธิเท่านั้น ฉะนั้นการใช้กระบวนการผิดวิธีไป พิสูจน์ในเรื่องใด ๆ ย่อมไม่ได้ผลในเชิงประจักษ์ในเรื่องนั้นอย่างแน่นอน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: จอห๋น ชาวไร่ ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:51:20 :P ยาวไปๆ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: zizou ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:51:38 ผิดมั๊ยอ่ะ ผมไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อทั้งโลกหน้าและโลกหลังความตาย ผมเชื่อแต่โลกนี้และวิทยาศาสตร์ :P วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสตร์ในโลกนะครับ ศาสดาของทุกศาสนาบรรลุแก่นแท้ของศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย:wanwan016: ไม่จริงหรอกครับ พระเจ้ามีจริงเหรอ ไม่อยากดราม่านะ แต่จุดประเด็นแบบนี้ไม่รอดแน่ๆตรู :P เอางี้ซิเปลี่ยนเป็นว่า จะหาวิธิพิสุจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ด้วยวิธีการใด จากนั้นนำวิธีการนั้นไปพิสูจน์เพื่อหาคำตอบโดยไม่ฟันธงหรือตั้งะงไว้ในใจก่อนว่ามีหรือไม่ไว้ล่วงหน้า เรื่องพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ ผมเชื่อ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ผมก็ไม่เชื่อ หลักคิดของผมไม่ได้ซับซ้อนเลย ส่วน บาป บุญ คุณ โทษ นะผมเชื่อ เพราะมันพิสูจน์ได้ชัดเจน แถมไม่ต้องรอโลกหน้า เห็นผลโลกนี้ทั้งนั้นแหล่ะ ถูกต้องตามที่คุณว่ามาทั้งหมดแล้วผมก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ว่านี้มาได้ด้วยตนเงแล้ว เริ่มจากบุญบาปพิสูจน์ได้ชัดเจนเป็นระบบ realtime เกิดขึ้นในใจทันทีเรียกว่าวิบากกรรม ทำให้ผมไม่กลัวบาปกรรมไงครับ ถ้าใจกเป็นทุกข์เมื่ไหร่ก็รุ้ทันทีว่าไปทำอะไรมา แต่ถ้าใจยังปกติสุขอยุ่แสดงว่ายังไม่มีบาปกรรมส่งถึงหรืออีกอย่างเกิดสถานะการที่ผลกรรมที่ ส่งถึงมีผลเป็นอโหสิกรรมหมดแล้ว ส่วนเรื่องการพิสุจน์เรื่องพระเจ้าผมพิสุจน์มาแล้วด้วยตนเอง แล้วผมก็ได้คำตอบแล้วว่ามีหรือไม่ เรื่องนี้ต่างคนต่างพิสูจน์ด้วยตนเอง เหมือน คนที่ไม่เคยไปกินข้าวร้าน ก. ย่อมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหารของร้าน ก. ได้หากยังไม่ได้กินด้วยตนเอง การพิสุจน์ผลเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าก็ใช้ตรรกะ เดียวกันเช่นกัน เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ที่ว่าโลกหน้ามีจริงเพราะ...มีเมื่อวาน ก็ต้องมีวันนี้ และต้องมีวันพรุ่งนี้ มีปีที่แล้วก็ต้องมี ปีนี้ และต้องมีปีหน้า เหตุใด มีโลกนี้ แล้วจึงจะไม่มีโลกหน้า... หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:54:19 ท่าน tanawat30
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านเห็น รู้ หรือสัมผัส เป็นเรื่องจริง คือ ผมมีญาติคนนึงเป็นจิตเภท ตอนนี้ได้รับการรักษาจนดีขึ้นแล้ว ตอนที่เป็นเขาบอกผมว่า เขาได้ยินคนอื่นด่าเขา บางทีนั่งๆอยู่ด้วยกันเขาก้บอกว่า ผมกำลังด่าเขาอยู่ ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดเรื่องเขาเลย ตรงนี้ทำให้ผมทราบว่า ที่เขาได้ยินไม่จริงแน่นอน เขาเชื่อไปถึงขั้นว่า เขามีหูทิพย์ ผมลองให้พิสูจน์อ่านใจว่าผมคิดอะไร แล้วผมก็ลองคิดในใจท่องคำว่าดอกไม้ นึกถึงดอกไม้ เขาพยายามแล้วก็บอกมาว่า อ่านใจไม่ออก ท่าน tanawat30 จะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านรับรู้ สัมผัส ได้ยิน เป็นเรื่องจริง เคยมีการทดสอบ ผู้ถอดจิต ปรากฏว่าเป็นแค่สภาวะหนึ่ง คล้ายๆกับการรู้สึกตัวในฝันเท่านั้น (ประมาณในหนัง inception ) แม้กระทั่งคนที่เห็นผี อย่างเช่นผมเองก็เคยเห็น ผมยังคิดเลยว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่านั่นเป็นแค่การทำงานผิดปกติของสมอง คล้ายๆกับคนบ้าที่เห็นคนอื่นแล้วพูดคุยกับคนที่เขาเห็น สิ่งที่มีอาจไม่เห็น แต่สิ่งที่เห็นก้อาจไม่มี หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dummy ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:59:45 คิดถึงหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ว่าเทพเจ้า และ สัตว์ประหลาด เกิดจากการแปรผันทางพันธุกรรมที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่เกาะมากะอุกกาบาต แล้วตกใส่โลก
สิ่งมีชีวิตที่อยู่บริวณนั้นได้รับเลยเิกิดการ มิวแต้นท์ ไปในลักษณะต่างๆ จนคนทั่วไปเรียกว่า เทพเจ้า กะ สัตว์ประหลาด ปล. คอหนังไซไฟ อย่าลืมไปดู skyline นะคะ แล้วมาเม้าท์กัน :wanwan007: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 15:25:19 ท่าน tanawat30 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านเห็น รู้ หรือสัมผัส เป็นเรื่องจริง คือ ผมมีญาติคนนึงเป็นจิตเภท ตอนนี้ได้รับการรักษาจนดีขึ้นแล้ว ตอนที่เป็นเขาบอกผมว่า เขาได้ยินคนอื่นด่าเขา บางทีนั่งๆอยู่ด้วยกันเขาก้บอกว่า ผมกำลังด่าเขาอยู่ ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดเรื่องเขาเลย ตรงนี้ทำให้ผมทราบว่า ที่เขาได้ยินไม่จริงแน่นอน เขาเชื่อไปถึงขั้นว่า เขามีหูทิพย์ ผมลองให้พิสูจน์อ่านใจว่าผมคิดอะไร แล้วผมก็ลองคิดในใจท่องคำว่าดอกไม้ นึกถึงดอกไม้ เขาพยายามแล้วก็บอกมาว่า อ่านใจไม่ออก ท่าน tanawat30 จะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านรับรู้ สัมผัส ได้ยิน เป็นเรื่องจริง เคยมีการทดสอบ ผู้ถอดจิต ปรากฏว่าเป็นแค่สภาวะหนึ่ง คล้ายๆกับการรู้สึกตัวในฝันเท่านั้น (ประมาณในหนัง inception ) แม้กระทั่งคนที่เห็นผี อย่างเช่นผมเองก็เคยเห็น ผมยังคิดเลยว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่านั่นเป็นแค่การทำงานผิดปกติของสมอง คล้ายๆกับคนบ้าที่เห็นคนอื่นแล้วพูดคุยกับคนที่เขาเห็น สิ่งที่มีอาจไม่เห็น แต่สิ่งที่เห็นก้อาจไม่มี ประการแรกต้องพิจารณาถึงคำสอนในหลักพุทธศาสนาเสียก่อน คำสอนมีอยู่ว่าสิ่งที่รู้เห็นมาทั้งหมดถ้ายังไม่เกิดขึ้นจริงก็อย่าเพิ่งเชื่อ จาก rep แรกที่ผมตอบผมรู้ล่วงหน้าว่า อนาคตผมจะมีเงินไปเล่นหุ้น ผมรู้ตอนปี 2542 เพราะฝันเห็น ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปี 2549 ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะได้เล่นหุ้น จนกระทั่งปี 2550 ตอนตปลายปี เกิดมีเงินขึ้นมา ผมก็มีเงินไปเล่นหุ้น จากนั้นผมก็เชื่อด้วยตนเองว่าสิ่งที่ผมรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือการทำสมาธิทำให้รู้ข้อธรรมด้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้อะรรมนั้นถูกต้องหรือไม่ ปกติการปฏิบัติะรรมจะต้องทำให้ตนพ้ททุกข์ใช่หรือไม่ ตอนที่ผมยังไม่ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติธรรมผิดวิธี ผมก็ยังมีอาการเป็นโรคหัวใจอยุ่สัมผัสได้ เลย ต่อมาเมื่อผมลงมือปฏิบัติธรรมอย่างถูกวิธีร่างกายผมดีขึ้น โรคหัวใจที่เคยเป็นก็ค่อย ๆ หายไป การรู้ซึ้งในข้อธรรมรวมถึงการมีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างแท้จริงคือหัวใจที่สำคัญ หากเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมกับการกิน การปฏิบัติธรรมไม่ง่ายเหมือนการตัก ผัดซีอิ๊วเข้าปาก แต่หลายคนอยากให้เป็นแบบงั้นเพราะมันง่ายเห็นแล้วเอาช้อนตักกินได้เลย แต่การปฏิบัติธรรมจริง ๆ จะเริ่มต้นจากการซื้อหมุอย่างไรไม่ให้เน่า ซื้อเส้นอย่างไรไม่ให้ ได้เส้นเก่า ซื้อผักคะน้าอย่างไรไม่ให้มีสารพิษ บรรดาหมู คะน้า เส้น ล้วนต้องนำมาผ่านกระบวนการปรุงเสียก่อนจึงจะกินได้ นั่นหมายความว่าการรู้หลักธรมเดี่ยว-ๆ เช่นมีเส้น อย่างเดียวก็เรียกว่าผัดซีอิ๊วไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อผมจะตอบคุณได้ผมต้องรู้ว่าจะนำหลักธรรมใด ๆ มารวมกันบ้างเพื่อนำมาตอบหรือนำไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นี่เป็นอีกเหตุที่ทำให้ คำตอบของผมบางทีรถึงดูแล้วยาว เพราะต้องเอาหลักธรรมหลาย ๆ อย่างมาสังเคราะห์เข้าด้วยกันก่อนจะนำออกไปเป็นวิธีการปฏิบัติหรือแก้ไขปัญหานั้น ท้ายสุดเรื่องของอุปทาน อุปทานนั้นทำให้เกิดความงมงายขึ้นมา เพราะความงมงายนั้นคือการเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่พิสูจน์ ทางออกที่ถูกต้องคือไม่ว่ารู้อะไรมาก็ให้เฉย ๆ ไว้ก่อน อย่าเดิ่งปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่รู้มาในทันทีหากยังไม่ได้คำตอบประจักษ์ชัดในใจตนก่อน เพราะคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อไว้ก่อนจะก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นในใจตน ถ้าไม่เชื่อหรือเชื่อไว้ แต่ต้นแล้ว หากผลพิสุจน์ออกมาตรงกันข้ามก็จะเกิดความขัดแย้งแล้วนำทุกข์มาสุ่ตน หรือไม่ต้องถึงกับพิสุจน์หรอก แค่รู้อะไรมาตรงกันข้ามหรือต่างไปจากความรู้เดิมที่ตนรู้มาทั้ง ชีวิตก็เป็นทุกข์ได้เลย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเบื้องต้นคือการตั้งเงื่อนไขเพื่อปฏิเสธสิ่งที่รุ้เข้ามาใหม่เพื่อหาทางปฏิเสธในสิ่งที่รู้มาใหม่ ๆ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ท้ายสุดจนแล้วจน รอดก็ไม่ได้พิสูจน์ผลประจักษ์ในตนเสียที ผมใช้คำว่าผลประจักษ์ในตน ฉะนั้นต่างคนต่างพิสุจน์ด้วยตนเอง ผมก็พิสูจน์ของผมคุณพิสุจน์ของคุณ ผมกินข้าวร้าน ก. ผมบอกว่าข้าวร้าน ก. อร่อย คุณยังไม่ได้กินข้าวร้าน ก. จะรู้ได้อย่างไรว่าอร่อยหรือไม่ แต่ถ้าคุณได้กินแล้วก็ต้องมาดุด้วยว่ากินถูกวิธีหรือไม่ เช่นยผมบอกว่าสังขยาอร่อยมาก ปรากฎว่าคุณเอาพริกไปใส่แล้วก็บอกว่าสังขยาทำไมเผ็ด ก็ ต้องมาปรับให้วิะีการกินเหมือนกันเสียก่อนแล้วค่อยวัดผล การปฏิบัติธรมก็เช่นกัน ถ้าหากยังไม่ปฏิัติมาถึงขั้นนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เสียทีไงครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: kongpair ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 15:31:07 เพ้อเจ้อ...!!!
:wanwan004: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: มายองเนสจัง ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 15:53:19 มายองมาเยือน :wanwan019:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:00:51 ล๊อคแล้วครับ
อำเล่น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Moyzier ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:13:34 ข้อทีควรจำ
1 ตายไปแล้ว ใครเล่าจะได้มีโอกาศกลับมาเล่า 2 คนไม่ตายเขียนเองทั้งนั้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:16:44 อ้างถึง ประการแรกต้องพิจารณาถึงคำสอนในหลักพุทธศาสนาเสียก่อน คำสอนมีอยู่ว่าสิ่งที่รู้เห็นมาทั้งหมดถ้ายังไม่เกิดขึ้นจริงก็อย่าเพิ่ง เชื่อ จาก rep แรกที่ผมตอบผมรู้ล่วงหน้าว่า อนาคตผมจะมีเงินไปเล่น หุ้น ผมรู้ตอนปี 2542 เพราะฝันเห็น ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปี 2549 ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะได้เล่นหุ้น จนกระทั่งปี 2550 ตอนตปลายปี เกิด มีเงินขึ้นมา ผมก็มีเงินไปเล่นหุ้น จากนั้นผมก็เชื่อด้วยตนเองว่าสิ่งที่ผมรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือการทำสมาธิทำให้รู้ข้อธรรมด้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้อะรรมนั้นถูกต้องหรือไม่ ปกติการปฏิบัติะรรมจะต้องทำให้ตนพ้ททุกข์ใช่หรือไม่ ตอนที่ผมยังไม่ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติธรรมผิดวิธี ผมก็ยังมีอาการเป็นโรคหัวใจอยุ่สัมผัสได้ เลย ต่อมาเมื่อผมลงมือปฏิบัติธรรมอย่างถูกวิธีร่างกายผมดีขึ้น โรคหัวใจที่เคยเป็นก็ค่อย ๆ หายไป การ รู้ซึ้งในข้อธรรมรวมถึงการมีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างแท้จริง คือหัวใจที่สำคัญ หากเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมกับการกิน การปฏิบัติธรรมไม่ง่ายเหมือนการตัก ผัดซีอิ๊วเข้าปาก แต่หลายคนอยากให้เป็นแบบงั้นเพราะมันง่ายเห็นแล้วเอาช้อนตักกินได้เลย แต่การปฏิบัติธรรมจริง ๆ จะเริ่มต้นจากการซื้อหมุอย่างไรไม่ให้เน่า ซื้อเส้นอย่างไรไม่ให้ ได้เส้นเก่า ซื้อผักคะน้าอย่างไรไม่ให้มีสารพิษ บรรดาหมู คะน้า เส้น ล้วนต้องนำมาผ่านกระบวนการปรุงเสียก่อนจึงจะกินได้ นั่นหมายความว่าการรู้หลักธรมเดี่ยว-ๆ เช่นมีเส้น อย่างเดียวก็ เรียกว่าผัดซีอิ๊วไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อผมจะตอบคุณได้ผมต้องรู้ว่าจะนำหลักธรรมใด ๆ มารวมกันบ้างเพื่อนำมาตอบหรือนำไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นี่เป็นอีกเหตุที่ทำให้ คำตอบของผมบางทีรถึงดูแล้วยาว เพราะต้องเอาหลักธรรมหลาย ๆ อย่างมาสังเคราะห์เข้าด้วยกันก่อนจะนำออกไปเป็นวิธีการปฏิบัติหรือแก้ไข ปัญหานั้น ท้ายสุดเรื่องของอุปทาน อุปทานนั้นทำให้เกิดความงมงายขึ้นมา เพราะความงมงายนั้นคือการเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่พิสูจน์ ทางออกที่ถูกต้องคือไม่ว่ารู้อะไรมาก็ให้เฉย ๆ ไว้ก่อน อย่าเดิ่ง ปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่รู้มาในทันทีหากยังไม่ได้คำตอบประจักษ์ชัด ในใจตนก่อน เพราะคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อไว้ก่อนจะก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นในใจตน ถ้าไม่เชื่อหรือเชื่อไว้ แต่ต้นแล้ว หากผลพิสุจน์ออกมาตรงกันข้ามก็จะเกิดความขัดแย้งแล้วนำทุกข์มาสุ่ตน หรือไม่ต้องถึงกับพิสุจน์หรอก แค่รู้อะไรมาตรงกันข้ามหรือต่างไปจากความรู้เดิมที่ตนรู้มาทั้ง ชีวิต ก็เป็นทุกข์ได้เลย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเบื้องต้นคือการตั้งเงื่อนไขเพื่อปฏิเสธสิ่งที่รุ้เข้า มาใหม่เพื่อหาทางปฏิเสธในสิ่งที่รู้มาใหม่ ๆ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ท้ายสุดจนแล้วจน รอดก็ไม่ได้พิสูจน์ผลประจักษ์ในตนเสียที ผม ใช้คำว่าผลประจักษ์ในตน ฉะนั้นต่างคนต่างพิสุจน์ด้วยตนเอง ผมก็พิสูจน์ของผมคุณพิสุจน์ของคุณ ผมกินข้าวร้าน ก. ผมบอกว่าข้าวร้าน ก. อร่อย คุณยังไม่ได้กินข้าวร้าน ก. จะรู้ได้อย่างไรว่าอร่อยหรือ ไม่ แต่ถ้าคุณได้กินแล้วก็ต้องมาดุด้วยว่ากินถูกวิธีหรือไม่ เช่นยผมบอกว่าสังขยาอร่อยมาก ปรากฎว่าคุณเอาพริกไปใส่แล้วก็บอกว่าสังขยาทำไมเผ็ด ก็ ต้องมาปรับ ให้วิะีการกินเหมือนกันเสียก่อนแล้วค่อยวัดผล การปฏิบัติธรมก็เช่นกัน ถ้าหากยังไม่ปฏิัติมาถึงขั้นนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เสียทีไงครับ เรื่องเล่นหุ้น แค่ท่านฝันเห็นแล้วท่านปฏิบัติตามนั้น ท่านก็เชื่อแล้วเหรอครับว่า ทุกๆสิ่งทุกเรื่องที่ท่านสัมผัสมามันจริงหมด ผมหมายถึงเรื่องพระศิวะซ่อมร่างท่านที่ไหม้ เรื่องที่ท่านตายไปแล้ว เป็นต้น ส่วนเรื่องการปฏิบัติธรรมแล้วท่านมีอาการดีขึ้นจากโรคต่างๆ ผมเชื่อครับว่าเป็นอย่างนั้น แต่จากเหตุผลข้อนี้ ทำให้ท่านเชื่อเรื่องพระศิวะเตะวิญญาณท่านขึ้นสวรรค์ด้วยเหรอครับ ผมว่ามันคนละเรื่องกัน เหมือนกับบางคนที่ไปไหว้พระขอหวย พอฝันไป แล้วนำไปตีเป็นตัวเลข เอาไปซื้อหวยถูก ก็ตัดสินได้แล้วว่าเป็นเพราะอำนาจของพระอย่างนั้นเหรอครับ แต่อีก 20 งวดที่ไปไหว้แล้วซื้อไม่ถูกหละ ส่วนเรื่องการพิสูจน์ ที่มาเปรียบเทียบกับการกินข้าว ร้าน ก ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะต่อให้กินเหมือนกันทุกอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องอร่อยเหมือนกัน ขนาดพี่น้องที่เกิดตามกันมา ยังไม่ได้ชอบกินอาหารแบบเดียวกัน อย่างคุณบอกสังขยาอร่อยมาก ผมกินสังขยาแบบคุณ ไม่ได้ใส่พริก ผมอาจไม่ได้รู้สึกอร่อยไปด้วยก็เ็ป็นได้ การพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านสัมผัสมาในทุกเรื่องจริงหรือไม่ ทำได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องรอให้คนที่อยากพิสูจน์ปรับตรงกันก่อน เพราะถ้ามันไม่จริงก้จะไม่มีวันที่จะเกิดการพิสูจน์ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Babybinge ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:37:34 ว่าแล้วกระทู้นี้ต้องยาวเพราะท่านมัค
ไม่ได้มีประเด็นของเจ้าของกระทู้เลย อุๆๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ความรู้ใดๆในโลกนี้ มีมากมายเหมือนใบไม้ บนต้นไม้ทั่วทั้งป่า แต่ความรู้ที่จะทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ได้นั้น มีเพียงใบไม้กำมือเดียว วิทยาศาสตร์เป็นเพียงศาสตร์หนึ่งที่พยายามอธิบายทุกสรรพสิ่งตามหลักเหตุและผล ซึ่งย่ิอมจะมีเหตุและผลใหม่ๆมาหักล้างเหตุและผลเดิมไม่จบสิ้น ความรู้ ณ ปัจจุบันที่เชื่อว่าจริง เพราะพิสูจน์แล้ว วันข้างหน้าอาจจะมีเหตุผลหรือความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาหักล้างได้เสมอๆ อย่าเถียงกันเลยครับ เสียเวลาเปล่า หมั่นทำความดี อย่าลืมทำบุญ ละเว้นความชั่ว แผ่เมตตาวันละนิด ชีวิตดีขึ้นทุกคนครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: vidsava ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:38:25 ผมเชื่อว่าเรามีวิญญาณ แต่ผมไม่เชื่อเรื่อง49วันครับ ใส่น้ำมากไป ไม่ทราบใครเขียนหรือเอามาจากไหนครับ จะบอกว่ามั่วมากๆก็เกรงใจ
ศาสนาพุทธไม่มีควา่มเชื่อเรื่อง49วันนะครับ ไปเอามาจากไหนใครโม้ให้ฟังครับ พุทธจีนก็พูดจำนวนวันที่ต่างกัน พุทธญี่ปุ่นก็อีกหลายอย่างเลยเพราะมีหลายลัทธิ ก่อนจะเชื่ออะไร ลองหาข้อมูลหรือศึกษาให้มากๆรอบๆด้านก่อนนะครับ ส่วนเรื่อง ผู้ตัดสินว่าถูกรึผิดหลังความตายจะไปนรกสวรรค์ ผมว่าอาจจะมีจริง เพราะมีในคำสอนทุกศาสนา และก่อนมีศาสนายุคปัจจุบันก็มีปรากฏในประวัติศาสตร์โบราณทั้งฝังโรมัน อียิปต์ และจีน ถึงแม้จะเรียกต่างกัน แต่มีการกล่าวถึงผู้พิพากษาหรือผู้ตัดสินในโลกหลังความตายเหมือนๆกันอย่างน่าแปลกใจ ส่วนรายละเอียดนั้นแตกต่างกันมากครับ เช่นคริสต์-อิสลาม-ยิวบอกรอวันสินโลกค่อยพิพากษาพร้อมๆกันส่วนฝั่งโรมันเมื่อประมาณ2500ปีที่แล้วพบบันทึกหนึ่งบอกว่ามีการพิพากษาหลังตายเหมือนที่ไทยเชื่อกันมา สงสัยไหมครับว่าทำไม คนละศาสนากันคนละมุมโลก แต่ดันมีบ้างสิ่งที่เหมือนกัน เช่นบัลลังก์พิพากษา คำอธิบายเกี่ยวกับผี ผมลองศึกษาวิจัยเยอะๆแล้วทำให้ผมพบเรื่องที่น่ากลัวว่า บางอย่างน่าเชื่อมากๆกรณีคนที่ตายแล้วฟื้นและระลึกชาติ กลับพูดเหมือนๆกันทั้งๆที่เป็นคนละศาสนาและคนละมุมโลกกันด้วย อันนี้ทั้งแปลก น่ากลัวและน่าสนใจมากๆครับ อยากให้ลองศึกษาดูบันทึกโบราณ หรือแม้แต่คัมภีร์พระไตรปิฎกโดยเฉพาะพระวินัย จะพบคำอธิบายบางอย่างของวินัยที่สงฆ์ต้องปฎิบัติที่เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ โลกหลังความตายอยู่หลายที่เลยครับ ลองไปศึกษาดูก่อนครับ ใครสนใจลองpmมาคุยกันได้ครับ ส่วนเรื่องพระอินทร์นั้นเป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ครับ ศาสนาพุทธได้รับอิทธิพลมาบ้างเพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นพราหมณ์มาก่อน แต่พระอินทร์คงไม่ได้ไปจัดระเบียบสวรรค์ฝั่งคริสต์หรืออื่นๆหรอกนะ ผมใช้เวลากับการศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่นานพอสมควร แต่อาจจะไม่นานมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วผมพบว่า ยังไงคนเราก็ต้องกิน ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ต่อใครคุณเป็นสงฆ์แล้วคุณก็ต้องฉันท์ หากคนไม่ตักบาตรพระเณรก็ต้องทำฉันท์เอง นึกง่ายๆหมู่บ้านที่โดนน้ำท่วมตอนนี้อย่าว่าแต่คนตักบาตรเลย จะหากินเองยังไม่ได้เลย ดังนั้นผมจึงต้องกลับมาก้มหน้าก้มตาทำเว็บและอยู่ในบอร์ดนี้อยู่ครับ เงินนั้นตายไปเอาไปไม่ได้สักแดง แต่เงินสำคัญต่อการใช้ชีวิตบนโลกนี้ครับ ขอแนะนำให้หาเงินก่อนครับ หากสนใจเรื่องโลกหลังความตายหรือศาสนา ผมว่าเราควรมีเงินสำรองเพียงพอต่อการกินอยู่และเพียงพอต่อเหตุฉุกเฉินต่างๆของครอบครัวเราได้ก่อนครับ หากคิดว่าเงินพอแล้ว คุณจะใช้เวลาศึกษาพวกนี้ให้เอาจริงเอาจังแค่ไหนก็ได้ครับ แต่ปากท้องของเราและครอบครัวต้องมาก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:53:58 :wanwan017: ที่ผมมาโพสนิไม่ใช่อยากให้คนคลิกรายเซ็นต์ผมเลย
แค่อยากให้รู้ว่าบาปบุญมีจริงเ่ท่านั้นเอง อยู่ที่จิตใจของคุณทั้งนั้น! ใครที่กำลังคิดทำเรวอยู่รีบแก้ความคิดเรวๆ ออกซะ :'( หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:54:51 อ้างถึง ประการแรกต้องพิจารณาถึงคำสอนในหลักพุทธศาสนาเสียก่อน คำสอนมีอยู่ว่าสิ่งที่รู้เห็นมาทั้งหมดถ้ายังไม่เกิดขึ้นจริงก็อย่าเพิ่ง เชื่อ จาก rep แรกที่ผมตอบผมรู้ล่วงหน้าว่า อนาคตผมจะมีเงินไปเล่น หุ้น ผมรู้ตอนปี 2542 เพราะฝันเห็น ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปี 2549 ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะได้เล่นหุ้น จนกระทั่งปี 2550 ตอนตปลายปี เกิด มีเงินขึ้นมา ผมก็มีเงินไปเล่นหุ้น จากนั้นผมก็เชื่อด้วยตนเองว่าสิ่งที่ผมรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือการทำสมาธิทำให้รู้ข้อธรรมด้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้อะรรมนั้นถูกต้องหรือไม่ ปกติการปฏิบัติะรรมจะต้องทำให้ตนพ้ททุกข์ใช่หรือไม่ ตอนที่ผมยังไม่ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติธรรมผิดวิธี ผมก็ยังมีอาการเป็นโรคหัวใจอยุ่สัมผัสได้ เลย ต่อมาเมื่อผมลงมือปฏิบัติธรรมอย่างถูกวิธีร่างกายผมดีขึ้น โรคหัวใจที่เคยเป็นก็ค่อย ๆ หายไป การ รู้ซึ้งในข้อธรรมรวมถึงการมีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างแท้จริง คือหัวใจที่สำคัญ หากเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมกับการกิน การปฏิบัติธรรมไม่ง่ายเหมือนการตัก ผัดซีอิ๊วเข้าปาก แต่หลายคนอยากให้เป็นแบบงั้นเพราะมันง่ายเห็นแล้วเอาช้อนตักกินได้เลย แต่การปฏิบัติธรรมจริง ๆ จะเริ่มต้นจากการซื้อหมุอย่างไรไม่ให้เน่า ซื้อเส้นอย่างไรไม่ให้ ได้เส้นเก่า ซื้อผักคะน้าอย่างไรไม่ให้มีสารพิษ บรรดาหมู คะน้า เส้น ล้วนต้องนำมาผ่านกระบวนการปรุงเสียก่อนจึงจะกินได้ นั่นหมายความว่าการรู้หลักธรมเดี่ยว-ๆ เช่นมีเส้น อย่างเดียวก็ เรียกว่าผัดซีอิ๊วไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อผมจะตอบคุณได้ผมต้องรู้ว่าจะนำหลักธรรมใด ๆ มารวมกันบ้างเพื่อนำมาตอบหรือนำไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นี่เป็นอีกเหตุที่ทำให้ คำตอบของผมบางทีรถึงดูแล้วยาว เพราะต้องเอาหลักธรรมหลาย ๆ อย่างมาสังเคราะห์เข้าด้วยกันก่อนจะนำออกไปเป็นวิธีการปฏิบัติหรือแก้ไข ปัญหานั้น ท้ายสุดเรื่องของอุปทาน อุปทานนั้นทำให้เกิดความงมงายขึ้นมา เพราะความงมงายนั้นคือการเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่พิสูจน์ ทางออกที่ถูกต้องคือไม่ว่ารู้อะไรมาก็ให้เฉย ๆ ไว้ก่อน อย่าเดิ่ง ปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่รู้มาในทันทีหากยังไม่ได้คำตอบประจักษ์ชัด ในใจตนก่อน เพราะคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อไว้ก่อนจะก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นในใจตน ถ้าไม่เชื่อหรือเชื่อไว้ แต่ต้นแล้ว หากผลพิสุจน์ออกมาตรงกันข้ามก็จะเกิดความขัดแย้งแล้วนำทุกข์มาสุ่ตน หรือไม่ต้องถึงกับพิสุจน์หรอก แค่รู้อะไรมาตรงกันข้ามหรือต่างไปจากความรู้เดิมที่ตนรู้มาทั้ง ชีวิต ก็เป็นทุกข์ได้เลย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเบื้องต้นคือการตั้งเงื่อนไขเพื่อปฏิเสธสิ่งที่รุ้เข้า มาใหม่เพื่อหาทางปฏิเสธในสิ่งที่รู้มาใหม่ ๆ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ท้ายสุดจนแล้วจน รอดก็ไม่ได้พิสูจน์ผลประจักษ์ในตนเสียที ผม ใช้คำว่าผลประจักษ์ในตน ฉะนั้นต่างคนต่างพิสุจน์ด้วยตนเอง ผมก็พิสูจน์ของผมคุณพิสุจน์ของคุณ ผมกินข้าวร้าน ก. ผมบอกว่าข้าวร้าน ก. อร่อย คุณยังไม่ได้กินข้าวร้าน ก. จะรู้ได้อย่างไรว่าอร่อยหรือ ไม่ แต่ถ้าคุณได้กินแล้วก็ต้องมาดุด้วยว่ากินถูกวิธีหรือไม่ เช่นยผมบอกว่าสังขยาอร่อยมาก ปรากฎว่าคุณเอาพริกไปใส่แล้วก็บอกว่าสังขยาทำไมเผ็ด ก็ ต้องมาปรับ ให้วิะีการกินเหมือนกันเสียก่อนแล้วค่อยวัดผล การปฏิบัติธรมก็เช่นกัน ถ้าหากยังไม่ปฏิัติมาถึงขั้นนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เสียทีไงครับ เรื่องเล่นหุ้น แค่ท่านฝันเห็นแล้วท่านปฏิบัติตามนั้น ท่านก็เชื่อแล้วเหรอครับว่า ทุกๆสิ่งทุกเรื่องที่ท่านสัมผัสมามันจริงหมด ผมหมายถึงเรื่องพระศิวะซ่อมร่างท่านที่ไหม้ เรื่องที่ท่านตายไปแล้ว เป็นต้น ส่วนเรื่องการปฏิบัติธรรมแล้วท่านมีอาการดีขึ้นจากโรคต่างๆ ผมเชื่อครับว่าเป็นอย่างนั้น แต่จากเหตุผลข้อนี้ ทำให้ท่านเชื่อเรื่องพระศิวะเตะวิญญาณท่านขึ้นสวรรค์ด้วยเหรอครับ ผมว่ามันคนละเรื่องกัน เหมือนกับบางคนที่ไปไหว้พระขอหวย พอฝันไป แล้วนำไปตีเป็นตัวเลข เอาไปซื้อหวยถูก ก็ตัดสินได้แล้วว่าเป็นเพราะอำนาจของพระอย่างนั้นเหรอครับ แต่อีก 20 งวดที่ไปไหว้แล้วซื้อไม่ถูกหละ ส่วนเรื่องการพิสูจน์ ที่มาเปรียบเทียบกับการกินข้าว ร้าน ก ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะต่อให้กินเหมือนกันทุกอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องอร่อยเหมือนกัน ขนาดพี่น้องที่เกิดตามกันมา ยังไม่ได้ชอบกินอาหารแบบเดียวกัน อย่างคุณบอกสังขยาอร่อยมาก ผมกินสังขยาแบบคุณ ไม่ได้ใส่พริก ผมอาจไม่ได้รู้สึกอร่อยไปด้วยก็เ็ป็นได้ การพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านสัมผัสมาในทุกเรื่องจริงหรือไม่ ทำได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องรอให้คนที่อยากพิสูจน์ปรับตรงกันก่อน เพราะถ้ามันไม่จริงก้จะไม่มีวันที่จะเกิดการพิสูจน์ เรื่องพระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่างแล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อ เฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกันเพราะเรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเฉพาะเรื่อง ไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุกเรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้องเป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้นกรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:57:50 เรื่องพระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่างแล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อเฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกัน เพราะเรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วต้องใช้กับทุกเรื่องไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุกเรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้อง เป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้น กรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน [/quote] :wanwan016: ผมก็เคยนะฝันบอกเหตุเดี่ยวค่อยเล่าแล้วกันถ้าอยากฟัง ผมจะลองจำแล้วเขียนเล่าให้ฟังครับ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: nu_eng ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:59:53 สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ กระทู้เรียกเทพชัด ๆ :P มาจริงๆ :P กะแล้วต้องมา :-X หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 17:04:43 อ้างถึง เรื่อง พระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่าง แล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อเฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกัน เพราะ เรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วต้องใช้กับทุกเรื่องไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุก เรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้อง เป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้น กรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน แล้วเหตุการณ์นอกร่างท่านเชื่อได้อย่างไรว่าจริง เคยมีการพิสูจน์เรื่องเหตุการณ์นอกร่าง ถอดจิต ไปดูของในกล่องเดียวกันที่วางในสถานที่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีใครทายถูกสักคน เชื่อว่าถ้าสมาธิแรงถึงระดับหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าถอดจิต คล้ายๆกับการควบคุมตนเองได้ในฝัน แต่สิ่งที่เห็นในโลกของการถอดจิตไม่ได้เป็นของจริงแม้จะเหมือนจริง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 17:15:49 เรื่องพระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่างแล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อเฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกัน เพราะเรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วต้องใช้กับทุกเรื่องไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุกเรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้อง เป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้น กรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน :wanwan016: ผมก็เคยนะฝันบอกเหตุเดี่ยวค่อยเล่าแล้วกันถ้าอยากฟัง ผมจะลองจำแล้วเขียนเล่าให้ฟังครับ :P [/quote] ผมเล่าให้ฟังให้ละเอียดอีกนิดก็แล้วกัน คือตอนนั้นผมนอนอยู่บนเตียงแล้วหัวใจเต้นเป็นจังหวะแบบนี้ ตูดตุ๊บตุบตะดุบตะดุบ แล้วก็มีอาการไข้ขึ้นแล้วผมก็ใช้กำลังสมาธิ ทำลายตนเองจนหมดพร้อมกับให้สังขารขันธ์ไหลออกจากร่าง พอเริ่มกระบวนการเหมือนหัวใจจะเต้นเคลื่อนออกจากหน้าอกด้านซ้ายขึ้นไปบนบ่าแล้วค่อย ๆ ไหลลงไป ตามแขนจนถึงปลายนิ้วแล้วหลุดออกจากร่างไป จากนั้นระบบสั่งการรวมทั้งประสาททั้งหมดเริ่มหยุดทำงาน จากนั้นเข้าใจว่าจิตกำลังแยกออกจากร่างโดยที่ส่วนหัวเริ่มเลื่อน ขึ้นไปข้างบน เหมือนมีร่าง 2 ร่างซ้อนกันแล้วหัวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ จนปลายขาอยุ่บนหัวของร่างเดิม จากนั้นระบบหุทิพย์ตาทิพย์จะทำงานแทน ในขณะนั้นจะมีส่วน ของเบญจขันธ์ที่เหลือ ได้แก่สัญญาขันธ์จะถูกทำให้ลืมหมดว่าอันนี้เรียกว่าดต๊ะ อันนี้เรียกว่าเก้าอี้ ฯลฯ พอล้างหมดก็มาหลอมรวมกับจิต เวทนาขันธ์ รูปขันธ์ก็ทำให้เห็น ทุกอย่างเป็นทิพย์หมดจากนั้นผมก็ยืนดูร่างของตนเองอยู่แป๊บนึงแล้วก็เหาะขึ้นไปบนหลังคตาแล้วก็จากโลกนี้ไป จากนั้นก็ค่อย ๆ รู้อย่างชัดแจ้งว่าตนเองได้ทำอะไรมาแล้วจิต ของตนเองกำลังไปไหน แล้วก็ไปตามนั้นแหล่ะพอไปถึงนรกลงกระทะทองแดงแล้ว พระศิวะก็เตะผมขึ้นสวรรค์แล้วเรื่องก็ไปต่อกับ rep บน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 17:21:07 อ้างถึง เรื่อง พระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่าง แล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อเฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกัน เพราะ เรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วต้องใช้กับทุกเรื่องไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุก เรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้อง เป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้น กรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน แล้วเหตุการณ์นอกร่างท่านเชื่อได้อย่างไรว่าจริง เคยมีการพิสูจน์เรื่องเหตุการณ์นอกร่าง ถอดจิต ไปดูของในกล่องเดียวกันที่วางในสถานที่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีใครทายถูกสักคน เชื่อว่าถ้าสมาธิแรงถึงระดับหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าถอดจิต คล้ายๆกับการควบคุมตนเองได้ในฝัน แต่สิ่งที่เห็นในโลกของการถอดจิตไม่ได้เป็นของจริงแม้จะเหมือนจริง อ่าน rep บนนะครับแล้วจะรู้กระบวนการตายทั้งหมด เดี๋ยวผมจะอ่านทวนอีกครั้งว่าถูกต้องมั้ย นับกระบวนการจากจิตอยุ่ในรางจนกระทั่งจิตแยกออกจากร่างเลย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 17:24:02 เรื่องพระศิวะพาขึ้นสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตอนที่จิตผมอยู่นอกร่าง มันก็ต้องเชื่อครับเพราะผมมีอีกร่างหนึ่งนอนเละอยู่บนที่นอนอีกร่างหนึ่ง ส่วนเรื่องการมีเงินเล่นหุ้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตอยุ่ในร่างแล้ว เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นคนละเวลาและคนละลักษณะ คือตอนหนึ่งเกิดตอนที่อยุ่นอกร่างแต่อีกตอนหนึ่งเกิดขึ้นในร่าง แล้วผมก็เชื่อเฉพาะที่เกิดขึ้นเท่านั้น แล้วตรรกะการเล่นหุ้นกับการซื้อหวยถูกนี่มันคนละตรรกะกัน เพราะเรื่องการซื้อหวยถูกนี่เป็นเรื่องที่ตนเองต้องมีบุญเก่าอยุ่แล้ว ส่วนเรื่องการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต แล้วต้องใช้กับทุกเรื่องไม่สามารถเหมาได้ว่้าถูกหนึ่งเรื่องใช้ได้กับทุกเรื่องทั้งหมดที่เหลือ มันต้อง เป็นกรณีต่อกรณีเท่านั้น กรณีไหนมาถึงก็พิสุจน์ได้ตามนั้น กรณีไหนยังมาไม่ถึงก็รอไปก่อน :wanwan016: ผมก็เคยนะฝันบอกเหตุเดี่ยวค่อยเล่าแล้วกันถ้าอยากฟัง ผมจะลองจำแล้วเขียนเล่าให้ฟังครับ :P ผมเล่าให้ฟังให้ละเอียดอีกนิดก็แล้วกัน คือตอนนั้นผมนอนอยู่บนเตียงแล้วหัวใจเต้นเป็นจังหวะแบบนี้ ตูดตุ๊บตุบตะดุบตะดุบ แล้วก็มีอาการไข้ขึ้นแล้วผมก็ใช้กำลังสมาธิ ทำลายตนเองจนหมดพร้อมกับให้สังขารขันธ์ไหลออกจากร่าง พอเริ่มกระบวนการเหมือนหัวใจจะเต้นเคลื่อนออกจากหน้าอกด้านซ้ายขึ้นไปบนบ่าแล้วค่อย ๆ ไหลลงไป ตามแขนจนถึงปลายนิ้วแล้วหลุดออกจากร่างไป จากนั้นระบบสั่งการรวมทั้งประสาททั้งหมดเริ่มหยุดทำงาน จากนั้นเข้าใจว่าจิตกำลังแยกออกจากร่างโดยที่ส่วนหัวเริ่มเลื่อน ขึ้นไปข้างบน เหมือนมีร่าง 2 ร่างซ้อนกันแล้วหัวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ จนปลายขาอยุ่บนหัวของร่างเดิม จากนั้นระบบหุทิพย์ตาทิพย์จะทำงานแทน ในขณะนั้นจะมีส่วน ของเบญจขันธ์ที่เหลือ ได้แก่สัญญาขันธ์จะถูกทำให้ลืมหมดว่าอันนี้เรียกว่าดต๊ะ อันนี้เรียกว่าเก้าอี้ ฯลฯ พอล้างหมดก็มาหลอมรวมกับจิต เวทนาขันธ์ รูปขันธ์ก็ทำให้เห็น ทุกอย่างเป็นทิพย์หมดจากนั้นผมก็ยืนดูร่างของตนเองอยู่แป๊บนึงแล้วก็เหาะขึ้นไปบนหลังคตาแล้วก็จากโลกนี้ไป จากนั้นก็ค่อย ๆ รู้อย่างชัดแจ้งว่าตนเองได้ทำอะไรมาแล้วจิต ของตนเองกำลังไปไหน แล้วก็ไปตามนั้นแหล่ะพอไปถึงนรกลงกระทะทองแดงแล้ว พระศิวะก็เตะผมขึ้นสวรรค์แล้วเรื่องก็ไปต่อกับ rep บน [/quote] :wanwan017: โชคดีมากผมลองอ่านแล้ว! :'( หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: djopor ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 20:12:43 รู้แต่ผีมีจริง (สัมผัสด้วยตัวเอง เห็นเอง คุยเอง ไม่ใช่การฝันครับ) :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 21:28:17 เพิ่งตายทำไมร่างเละเร็วจังครับ อิๆ สงสัย
ส่วนตัวเคยแต่คุมจิตนำกาย โดนเพื่อนด่าบ้าเลย ;D แต่เผอิญว่าไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่ค้นพบความลับนี้ เพราะผมให้พี่ผมลองแล้วก็ทำได้เช่นกัน ตัวเบาเดินตัวปลิวเลย ส่วนคนที่แผ่จิตออกจากฝ่ามือได้ เคยเจออาจารย์ท่านนึงที่ชมรมพุทธศาสนา เขาทำให้ดู แผ่มาเป็นคลื่นสัมผัสแผ่นหลัง ก็เลยถามอาจารย์ท่านว่าพลังพวกนี้คือพลังอะไร อาจารย์บอกเป็นพลังใจ เหมือนคำโบราณที่ว่า เบาใจ เบากาย จึงได้เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เดี๋ยวนี้เดินไปไหนก็รู้สึกหนักไปหมด (อ้วน อิๆ) คิดว่าหลักการของ ตุ้มถ่วงทำนาย เพนดูลัมนั้น ก็มีหลักการไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก นี่มัน hunter x hunter ชัดๆ ว่าแล้วก็เปล่งจักระ (นั่นมัน naruto) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 21:32:38 เพิ่งตายทำไมร่างเละเร็วจังครับ อิๆ สงสัย ส่วนตัวเคยแต่คุมจิตนำกาย โดนเพื่อนด่าบ้าเลย ;D แต่เผอิญว่าไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่ค้นพบความลับนี้ เพราะผมให้พี่ผมลองแล้วก็ทำได้เช่นกัน ตัวเบาเดินตัวปลิวเลย ส่วนคนที่แผ่จิตออกจากฝ่ามือได้ เคยเจออาจารย์ท่านนึงที่ชมรมพุทธศาสนา เขาทำให้ดู แผ่มาเป็นคลื่นสัมผัสแผ่นหลัง ก็เลยถามอาจารย์ท่านว่าพลังพวกนี้คือพลังอะไร อาจารย์บอกเป็นพลังใจ เหมือนคำโบราณที่ว่า เบาใจ เบากาย จึงได้เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เดี๋ยวนี้เดินไปไหนก็รู้สึกหนักไปหมด (อ้วน อิๆ) ถ้าถามผม ที่เละบางทีก็เว่อไปหน่อย แต่ร่างกายไหม้เกรียมนี่เป็นครับ เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง มันไม่เละเป็นโจ๊กแบบนั้นซิครับ ตอนที่เป็นเทพวันแรก ๆ ก็มีความรู้สึกเลยครับว่าร่างกายเบาลงกว่าเดิมเดินตัวปลิวเลยครับ แล้วตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่โรคหัวใจก็ไม่หายขาดแต่อาการดีขึ้นเท่านั้น พอเปลี่ยน สังขารขันธ์ชุดใหม่ก็เหมือนการตายเลย แต่สังขารขันธ์เก่าออกจิตไม่ออก สังขารขันธ์ใหม่เข้ามาแทนซึงเป็นสังขารขันธ์เทพ ผลต่อจากนั้นอีก 2 เดือนโรคหัวใจก็หายไปเลย แล้วผมต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์หลายครั้งให้สัมพันธ์กับกำลังสมาธิที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากร่างมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกำลังสมาธิที่สูงกว่าฌาณ 8 อภิมหาแก่ ครั้ง ที่ 2 ที่ต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์เลย คือเกิดอาการหัวใจเต้นแรงมากกระเทือนไปถึงบนหัวเลย ถึงหัวใจจะเต้นเรียบปกติแต่แรงแบบนั้นก็รับไม่ไหว ครั้งที่ 3 คือครั้งที่ผมเคย เล่าไปในกระทู้ที่ถูกลบไปแล้วว่าเหนื่อยไม่มีแรง นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครับ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วถ้าไม่เช็คสภาพให้ดีผมก็ลาโลกไปได้ง่าย ๆ ล่ะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 21:46:07 แต่ตอนเด็กๆผมก็ฝันบ่อยๆนะ ว่าโดนหินทับในที่มืดๆอยู่พันปี แล้วก็ทำพลาดอะไรสักอย่างทำให้ต้องโดนนับไปอีกพันปี
แล้วสักพักก็มีเดินคลำไปตามทางเดินแคบๆ จนเจอดอกบัวใหญ่ๆ แล้วก็พบเจ้าแม่กวนอิมข้างใน ซึ่งผมจะฝันอย่างงี้อยู่หลายรอบมาก แล้วก็ไม่ใช่ผมที่ฝันคนเดียวด้วยสิ พี่ผมก็ฝันเหมือนๆกัน หรือว่าช่วงนั้นดูไซอิ๋วมากไปไม่รู้ เลยฝันตัวเองเป็นไซอิ๋วซะงั้น แถมเกิดปีวอกเสียด้วยสิ นี่ผมกับพี่ผม (http://blufiles.storage.live.com/y1phgCODAIpf7sB6A9_pAFSGDt7LDCpl8cDB1JmwIcuiKgG7CN2wWIorYUWlMt7Jl20rpH3pOka6Ck) อ๊ะความลับแตก :-[ เกิดมาไม่ปกติ เพราะจิตโดนแยกออกเป็น 2 ดวง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:02:43 แต่ตอนเด็กๆผมก็ฝันบ่อยๆนะ ว่าโดนหินทับในที่มืดๆอยู่พันปี แล้วก็ทำพลาดอะไรสักอย่างทำให้ต้องโดนนับไปอีกพันปี แล้วสักพักก็มีเดินคลำไปตามทางเดินแคบๆ จนเจอดอกบัวใหญ่ๆ แล้วก็พบเจ้าแม่กวนอิมข้างใน ซึ่งผมจะฝันอย่างงี้อยู่หลายรอบมาก แล้วก็ไม่ใช่ผมที่ฝันคนเดียวด้วยสิ พี่ผมก็ฝันเหมือนๆกัน หรือว่าช่วงนั้นดูไซอิ๋วมากไปไม่รู้ เลยฝันตัวเองเป็นไซอิ๋วซะงั้น แถมเกิดปีวอกเสียด้วยสิ นี่ผมกับพี่ผม ([url]http://blufiles.storage.live.com/y1phgCODAIpf7sB6A9_pAFSGDt7LDCpl8cDB1JmwIcuiKgG7CN2wWIorYUWlMt7Jl20rpH3pOka6Ck[/url]) อ๊ะความลับแตก :-[ เกิดมาไม่ปกติ เพราะจิตโดนแยกออกเป็น 2 ดวง คนมี sense เกิดมาไม่ธรรมดาหรอกคือเป็นคนพิเศษผิดมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก มีน้อยครับถ้าเป็นเรื่องปกติสามัญจะไม่มีดราม่าเกิดขึ้น ตอนแรกผมเป็นของผมคิดว่าคนอื่นจะเป็นด้วยหลายปีก่อนจึงพลาดไปดันเอามาเล่า อย่างผมก็เคยฝันว่าตนเองกำลังเดินลงนรก ทางลง สวยงามมากโรยด้วยกลีบกุหลาบ พอสุดทางเป็นเหวมีกระทะทองแดงอยู่ก้นเหว จากนั้นก็สะดุ้งตื่น เหมือนมีลางบอกเหตุไว้ล่วงหน้าแล้วว่าโ ตขึ้นจะเจอกับอะไร เพราะตอนนอนฝันนั้นก็ 30 ปีที่แล้วพอดีเลย ตอนนั้นอยุ่ ป.1 อายุสัก 7 ขวบได้ พอโตขึ้นมาแล้วผ่านช่วงชีวิตนั้น ทั้งหมดมาแล้วจึงเข้าใจว่าตนเองไม่ใช่คนปกติเหมือนคนอื่น จะมานั่งคิดฝันหาเงินทำงานเหมือนคนอื่นก็ไม่ได้ต้องมีชีวิตด้วยการเลี้ยงดูจากคน อื่นเพื่อให้ตนเองว่างจากกิจวัตรมนุษย์มาทำงานอย่างที่ผมบรรยายไปอย่างเดียว ตอนแรกก็เจ็บใจเหมือนกันเพราะเกิดมาเป็นคนก็อยากทำงานหา เงินมีรายได้มีลูกเมียเหมือนคนอื่น แต่พระเจ้าส่งความพิการมาให้อีกทำให้หมดหวังอยู่อย่างมนุษย์แน่นอนแล้ว พอตอนหลังปฏิบัติธรรมเรียนรู้ข้อ ธรรมมากขึ้นก็ทำใจไำด้มากขึ้น ตอนหลังเปลี่ยนจากการทำใจกลายเป็นเรื่องปกติแล้วมีความสุขในชีวิตแบบที่เป็นอยู่ คือถ้ามองจากคนอื่นคืออยู่ไปวัน ๆ งานไม่ทำไม่ออกจากบ้านไปไหนหรือออกก็น้อยมาก แล้วถ้าถึงออกจากบ้านไปทำงานก็ไปเพื่อทำงาน พอถึงเวลชาต้องไปต่างจังหวัดเงินทองก็ไหลมา เทมา จนมีทั้งค่าเครื่องบินค่าห้องพักจ่ายได้อย่างสบาย ๆ พองานหมดเงินก็หมดด้วยพองานมาใหม่เงินก็มาใหม่อีก ส่วนช่วงนี้ผมก็ทำงานอย่างที่ PM คุยกับป๋านั่นแหล่ะจึงไปไหนไม่ได้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:06:23 ผมสงสัยว่ารอบแรกทำลายตัวเองทำไมครับ
แล้วรอบหน้าจะเป็นอะไรตายครับ :wanwan001: เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยได้ศึกษาธรรมะสักเท่าไรนะ เพียงแต่ว่าอะไรที่ผมสงสัยหรือสนใจผมก็จะศึกษาเพิ่มเติม แล้วหาจุดเชื่อมโยงระหว่าง วิทยาศาสตร์กับศาสนาเสียมากกว่า ส่วนประสปการณ์ส่วนตัวแต่ละคน เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ อันนี้ผมไม่ค่อยมีความคิดเห็นครับ อิๆ ถ้าอะไรที่ผมเจอเองผมก็เชื่อ ถ้าอะไรที่คนอื่นเจอ ผมก็รับฟังเอาไว้ ผมเป็นพุทธก็จริง แต่ผมเรียนโรงเรียนคริสต์ชายล้วน ตั้ง 13 ปี ฉะนั้นผมจึงรับได้ทั้งคริสต์และพุทธ อย่างมีช่วงนึงผมไปชมรมพุทธเพราะค้นหาคำตอบเรื่องจิต เพื่อนผมเห็นว่าสนใจ ก็เลยชวนไปโบสต์คริสต์แถวๆลาดกระบังดูเพราะเห็นมีคนที่เชื่อว่า ศรัทธาทำให้เกิดปาฏิหารย์ต่างๆตามที่ขอ พอผมกลับมา ผมก็ลองนั่งจับมือประสานยกขึ้นยกลงดู แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร พอออกไป big c เดินอยู่ดีๆ สัมผัสจิต รู้สึกตัวเบาได้ซะงั้น เอ้อได้ผลแฮะ แต่บางทีผมก็นั่งสมาธิบ้าง สรุปก็คือผมไม่ได้ยึดติดอะไรเป็นพิเศษในแง่ศาสนา บางทีเจอศาสตร์จากหนังสือ the secret เรื่อง law of attraction ก็นั่งคิดกับการศรัทธา ก็มองว่า สิ่งที่ศาสนาสอนเราให้กระทำ บางทีก็อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งให้เราสามารถทำได้ โดยไม่เพ่งสมาธิจนเกินเหตุ หรืออย่างการสวดมนต์ นั้น เขาก็คิดมาแล้วว่า การท่องบทสวดนี้จะส่งผลดีกับอวัยวะภายในส่วนใด ทำให้กายดี ปราณดีตามมา บางทีเห็นคนไปนั่งสมาธิเหวี่ยง หรือไป ยกเรือ ลอยบ้าง ไม่ลอยบ้าง ก็พอจะเข้าใจว่ารู้สึกแบบไหนเพราะเคยรู้สึกมาแล้ว แต่อะไรที่ไม่เคย และดูแปลกไปจากทั่วๆไป ผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะต้องสงสัยเอาไว้ก่อนเช่นกัน ฉะนั้นผมจึงเปิดโอกาสให้พูด และให้คนโต้แย้ง ได้ทั้ง 2 ฝ่าย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:25:08 อ้างถึง ถ้าถามผม ที่เละบางทีก็เว่อไปหน่อย แต่ร่างกายไหม้เกรียมนี่เป็นครับ เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง มันไม่เละเป็นโจ๊กแบบนั้นซิครับ ตอนที่เป็นเทพวันแรก ๆ ก็มีความรู้สึกเลยครับว่าร่างกายเบาลงกว่าเดิมเดินตัวปลิวเลยครับ แล้วตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่โรคหัวใจก็ไม่หายขาดแต่อาการดีขึ้นเท่านั้น พอเปลี่ยน สังขารขันธ์ชุดใหม่ก็เหมือนการตายเลย แต่สังขารขันธ์เก่าออกจิตไม่ออก สังขารขันธ์ใหม่เข้ามาแทนซึงเป็นสังขารขันธ์เทพ ผลต่อจากนั้นอีก 2 เดือนโรคหัวใจก็หายไปเลย แล้วผมต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์หลายครั้งให้ สัมพันธ์กับกำลังสมาธิที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากร่างมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกำลังสมาธิที่สูงกว่าฌาณ 8 อภิมหาแก่ ครั้ง ที่ 2 ที่ต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์เลย คือเกิดอาการหัวใจเต้นแรงมากกระเทือนไปถึงบนหัวเลย ถึงหัวใจจะเต้นเรียบปกติแต่แรงแบบนั้นก็รับไม่ไหว ครั้งที่ 3 คือครั้งที่ผมเคย เล่าไปในกระทู้ที่ถูกลบไปแล้วว่าเหนื่อยไม่มีแรง นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครับ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วถ้าไม่เช็คสภาพให้ดีผมก็ลาโลกไปได้ง่าย ๆ ล่ะครับ ท่านเชื่อได้อย่างไรว่าท่านตายจริงๆ แล้วร่างท่านไหม้เกรียมเพราะท่านใช้สมาธิทำลาย ท่านอาจแค่หลับฝันไปก็ได้นะครับ มีใครเห็นร่างท่านไหม้เกรียมบ้างครับ ณ ตอนนี้ท่านสำเร็จธรรมขั้นไหนแล้วครับ มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเป็น เช่นนั้นจริงๆ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:28:28 ผมสงสัยว่ารอบแรกทำลายตัวเองทำไมครับ แล้วรอบหน้าจะเป็นอะไรตายครับ :wanwan001: ป่วยหมดสภาพอาการร่อแร่ เดินไม่ได้เลยคลานเป็นสุนัขอย่างเดียวเลย รอบหน้าถ้าตายจะเป็นรอบที่ 4 ของชีวิตแล้ว ในชาตินี้ตายมาแล้ว 3 ครั้ง ที่เล่าไปเป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วแต่ไม่ใช่ การตายครั้งที่ 3 เป็นการวัดใจตนเองมากกว่า ให้เลือกว่าจะไปสู่นิพพานหรือจะมีชีวิตอยุ่ต่อเพื่อทำสิ่งที่สัญญาไว้ให้จบ การเลือกครั้ง นั้นเป็นการเลือกด้วยตนเองแล้วผมก็สละสิทะิ์ไปแล้ว อีกอย่างการตายครั้งนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองได้เป็นเทพอยุ่ใ นร่างมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์ เพราะแต่เดิมมีกฎว่าห้ามผุ้ที่บรรลุธรมสูงกว่าอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในร่างมนุษย์ ครั้งนั้นสังขารขันธ์ออกทางขวา ผมเล่าเพิ่มเติมอีกหน่อยเพราะ 2 ครั้งแรกสังขารขันธ์ออกทางแขนซ้าย ครั้งที่ 3 ออกทางขวาแล้วกำลังสุดปลายนิ้วแล้ว แต่อย่างที่เคยเล่าล่ะว่าสิ่งศักำดิ์สิทะิ์ขอให้อยุ่ต่อ การอยู่ในร่างมนุษย์มีข้อ ดีอย่างเดียวคือรีดกำลังได้สูงปรี๊ด แต่มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองเลยเพราะคนเราแค่ตายก็จบแล้ว อยู่ในร่างมนุษย์ ต้องระวังตัวมิให้เสื่อมมากกว่าอยุ่นอกร่าง อยู่กับมนุษย์โอกาสเสื่อมตามมนุษย์ก็มีสูง ผมเองก็เสื่อมแล้วสั่งสมประสบ การณ์จากการเสื่อมแล้วแก้ไขความเสื่อมนั้นมาเยอะพอควร สรุปแล้วไม่มีอะไรดีสำหรับผมเลย นอกจากจะได้เป็น เบอร็ 1 ซึ่งผมก็ไม่ต้องการอยู่แล้วไม่รู้จะเอาไปทำไม เอาไปต้องอยู่กับสภาพที่ทำแต่งาน งานและงานเท่านั้นทั้งวันทั้ง คืน เพราะความต้องการของผมพอถึงเวลาแค่ตายไปแล้วไปเป็นเทพชั้นผู้น้อยก็พอแล้ว แม้แต่สิ่งที่ผมอยากได้่ก็ยังไม่ได้ เลย ได้มาแต่สิ่งที่ไม่อยากนี่เป็นสัจธรรมครับ ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงดิ้นไปเถอะดิ้นไปเพื่อตอบสนองความอยากตนเอง ดิ้นกันไปแล้วก็มีทุกข์เพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งดิ้นยิ่งห่างไกลความต้องการ ส่วนการตายครั้งหน้าซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ก็คงเมื่อ งานเสร็จล่ะครับ เสร็จวันไหนก็ไปวันนั้นแหล่ะ เสร็จช้าก็ไปช้าเสร็จเร็วก็ไปเร็ว งานโดยสรุปจะอยุ่ rep แรก ๆของ กระทู้ล่ะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: LA_DY_BA_BY ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:33:38 ดีคะ อ่านแล้วรู้สึกว่ามะอยากทำผิด!!
แต่ที่อ่านมา บุญกับบาปมันลบร้างกันได้ด้วยหร่าคะ เท่าที่เคยอ่านเจอ มันลบร้างกันไม่ได้ไม่ใช่หร่าคะ นอกจากว่า เราจะต้องชดใช้กรรมที่เราได้กระทำผิดเสียก่อนจากการทำกรรมชั่ว แล้วค่อยขึ้นไปเสวยสุขจากการทำความดี!! เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นสัตย์ประเสริฐ เราทำได้ทั้งความดีและความชั่ว..อยู่ที่ตัวเราทำ! ตายแล้วไปไหน คงยังไม่ต้องไปคิด ...คิดถึงปัจจุบัน ว่าวันนี้ คุณทำดีแล้วหรือยัง คุณทำทุกวันนี้เพื่ออะไร เพื่อใคร ..ถ้าไม่ใช่เพื่อตัวเอง! คุณจะเลือกทำดีเพื่อตัวเอง หรือทำชั่วเพื่อ..อะไร >>> (ใช่ชีวิตดีกว่าถูกชีวิตใช่ ชีวิตเราลิขิตเอง) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:35:18 อ้างถึง ถ้าถามผม ที่เละบางทีก็เว่อไปหน่อย แต่ร่างกายไหม้เกรียมนี่เป็นครับ เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง มันไม่เละเป็นโจ๊กแบบนั้นซิครับ ตอนที่เป็นเทพวันแรก ๆ ก็มีความรู้สึกเลยครับว่าร่างกายเบาลงกว่าเดิมเดินตัวปลิวเลยครับ แล้วตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่โรคหัวใจก็ไม่หายขาดแต่อาการดีขึ้นเท่านั้น พอเปลี่ยน สังขารขันธ์ชุดใหม่ก็เหมือนการตายเลย แต่สังขารขันธ์เก่าออกจิตไม่ออก สังขารขันธ์ใหม่เข้ามาแทนซึงเป็นสังขารขันธ์เทพ ผลต่อจากนั้นอีก 2 เดือนโรคหัวใจก็หายไปเลย แล้วผมต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์หลายครั้งให้ สัมพันธ์กับกำลังสมาธิที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากร่างมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกำลังสมาธิที่สูงกว่าฌาณ 8 อภิมหาแก่ ครั้ง ที่ 2 ที่ต้องเปลี่ยนสังขารขันธ์เลย คือเกิดอาการหัวใจเต้นแรงมากกระเทือนไปถึงบนหัวเลย ถึงหัวใจจะเต้นเรียบปกติแต่แรงแบบนั้นก็รับไม่ไหว ครั้งที่ 3 คือครั้งที่ผมเคย เล่าไปในกระทู้ที่ถูกลบไปแล้วว่าเหนื่อยไม่มีแรง นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครับ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วถ้าไม่เช็คสภาพให้ดีผมก็ลาโลกไปได้ง่าย ๆ ล่ะครับ ท่านเชื่อได้อย่างไรว่าท่านตายจริงๆ แล้วร่างท่านไหม้เกรียมเพราะท่านใช้สมาธิทำลาย ท่านอาจแค่หลับฝันไปก็ได้นะครับ มีใครเห็นร่างท่านไหม้เกรียมบ้างครับ ณ ตอนนี้ท่านสำเร็จธรรมขั้นไหนแล้วครับ มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเป็น เช่นนั้นจริงๆ มีครับหลายคนด้วยยืนยันได้แน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือตัวเองด้วย ผมโชคดีที่มีประสบการณ์ได้ครบเกือบทุกเรื่องที่สำคัญทำให้ผมไม่เขวไปง่าย ๆ คนปฏิบัติธรรมทุกคนต้องรู้ตนเองครับว่าปฏิบัติธรรมถึงไหน สิ่งที่พิสูจน์คือตนเองทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตังรู้ได้ด้วยตน ที่สำคัญต้องไม่เข้าข้างตนเอง เมื่อคำตอบนี้รู้ได้ด้วยตน คนอื่่นอยกรู้ก็ต้องไปหาวิธีพิสูจน์เอา ซึงผมก็มีหลายคนพิสูจน์ให้ผมได้รับรู้แล้ว หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:41:49 ดีคะ อ่านแล้วรู้สึกว่ามะอยากทำผิด!! แต่ที่อ่านมา บุญกับบาปมันลบร้างกันได้ด้วยหร่าคะ เท่าที่เคยอ่านเจอ มันลบร้างกันไม่ได้ไม่ใช่หร่าคะ นอกจากว่า เราจะต้องชดใช้กรรมที่เราได้กระทำผิดเสียก่อนจากการทำกรรมชั่ว แล้วค่อยขึ้นไปเสวยสุขจากการทำความดี!! เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นสัตย์ประเสริฐ เราทำได้ทั้งความดีและความชั่ว..อยู่ที่ตัวเราทำ! ตายแล้วไปไหน คงยังไม่ต้องไปคิด ...คิดถึงปัจจุบัน ว่าวันนี้ คุณทำดีแล้วหรือยัง คุณทำทุกวันนี้เพื่ออะไร เพื่อใคร ..ถ้าไม่ใช่เพื่อตัวเอง! คุณจะเลือกทำดีเพื่อตัวเอง หรือทำชั่วเพื่อ..อะไร >>> (ใช่ชีวิตดีกว่าถูกชีวิตใช่ ชีวิตเราลิขิตเอง) บุญกับบาปลบล้างกันไม่ได้ครับ ทุกอย่างต้องดูที่เหตุ เหตุนั้นไม่มีใครไปลบล้างเหตุได้ แต่ผลหากเป็นบาปทำให้ผลนั้นเป็นอโหสิกรรมได้ ถ้าผลนั้นเป็นบุญก็เกื้อหนุนส่งเสริมให้ตนดีขึ้นได้ ส่วนผลบาปที่เป็นอโหสิไปแล้วอยู่รวมกับบุญแหล่ะครับแต่ผลไม่ส่งเท่านั้น เหลือแต่บุญ เท่านั้นที่ต้องชดใช้ ในทางกรรมนั้นหากอธิบายให้ง่าย คือชดใช้บุญหรือชดใช้บาปมันก็ตือชดใช้เหมือนกัน แต่การชดใช้บุญเรียกว่าการ เสงยบุญนั่นแหล่ะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:42:00 อ้างถึง มีครับหลายคนด้วยยืนยันได้แน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือตัวเองด้วย ผมโชคดีที่มีประสบการณ์ได้ครบเกือบทุกเรื่องที่สำคัญทำให้ผมไม่เขวไปง่าย ๆ คน ปฏิบัติธรรมทุกคนต้องรู้ตนเองครับว่าปฏิบัติธรรมถึงไหน สิ่งที่พิสูจน์คือตนเองทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตังรู้ได้ด้วยตน ที่สำคัญต้องไม่เข้าข้างตน เอง เมื่อคำตอบนี้รู้ได้ด้วยตน คนอื่่นอยกรู้ก็ต้องไปหาวิธีพิสูจน์เอา ซึงผมก็มีหลายคนพิสูจน์ให้ผมได้รับรู้แล้ว แล้วสิ่งที่ท่านรับรู้ด้วยตนเอง รู้ได้อย่างไรครับว่าถูก อย่างเช่นคนบ้าที่เดินพูดคนเดียว ถามว่าเขาเห็นคนที่เขาคุยด้วยไม๊ เขาเห็น แต่เราไม่เห็น ถ้าผมไปถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุณพูดด้วยมีจริง แล้วคนบ้าตอบผมว่า เขาพิสูจน์แล้วด้วยตนเองว่าจริง ถ้าผมอยากพิสูจน์ผมต้องเป็นแบบเค๊า ปรับให้เหมือนเขา แล้วผมจะทำอย่างไรละครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:53:52 อ้างถึง มีครับหลายคนด้วยยืนยันได้แน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือตัวเองด้วย ผมโชคดีที่มีประสบการณ์ได้ครบเกือบทุกเรื่องที่สำคัญทำให้ผมไม่เขวไปง่าย ๆ คน ปฏิบัติธรรมทุกคนต้องรู้ตนเองครับว่าปฏิบัติธรรมถึงไหน สิ่งที่พิสูจน์คือตนเองทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตังรู้ได้ด้วยตน ที่สำคัญต้องไม่เข้าข้างตน เอง เมื่อคำตอบนี้รู้ได้ด้วยตน คนอื่่นอยกรู้ก็ต้องไปหาวิธีพิสูจน์เอา ซึงผมก็มีหลายคนพิสูจน์ให้ผมได้รับรู้แล้ว แล้วสิ่งที่ท่านรับรู้ด้วยตนเอง รู้ได้อย่างไรครับว่าถูก อย่างเช่นคนบ้าที่เดินพูดคนเดียว ถามว่าเขาเห็นคนที่เขาคุยด้วยไม๊ เขาเห็น แต่เราไม่เห็น ถ้าผมไปถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุณพูดด้วยมีจริง แล้วคนบ้าตอบผมว่า เขาพิสูจน์แล้วด้วยตนเองว่าจริง ถ้าผมอยากพิสูจน์ผมต้องเป็นแบบเค๊า ปรับให้เหมือนเขา แล้วผมจะทำอย่างไรละครับ คำถามนี้หรือคำถามลักษณะนี้ไม่มีใครตอบให้คนอื่นรู้ได้แต่ตอบให้แต่เฉพาะตนเท่านั้น คำถามลักษณะนี้เป็นที่มาของคำสอนในเรื่องอจินไตย 4 1. สิ่งที่จิตนาการไม่ได้คือพุทธวิสัย คนที่เป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเท่านั้นที่ล่วงรุ้ คนอื่นไม่อาจจินตนาการไปถึงบหรือเข้าถึงได้จนกว่าตนจะได้สภาวะนั้นมา ผมรู้นะอิอิ ในเว็บผมอธิบายอยู่ 2. ไม่สามารถจินตนาการในเรื่องการใช้ฤทธิ์หรือเรื่องของฌาณวิสัยของผู้อื่นที่ตนยังไม่มีแบบนั้นเกิดขึ้นกับตน 3. ไม่จินตนาการหรืออยากรู้ว่า โลกเกิดมาแล้วกี่ปี มีสิ่งมีชีวิตเกิดมากี่ชนิด จักรวาลมีกี่แห่ง ฯลฯ คือไม่ต้องไปสนใจหรืออยากรู้เรื่องพวกนี้ 4. เรื่องของการให้ผลข่องกรรม เช่นทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต เช่นฆ่าแมวตายอาจจะไปเกิดชาติหน้าเป็นแมลงวันถูกตีตาย หรืออาจจะตกน้ำตายก็ได้ ผลคือตายแต่ตายอย่างไร ไม่ต้องไปอยากรู้ สรุปว่ามี 4 อย่างจำได้ไม่ได้แหะต้องไปพึ่งพี่กรู หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:58:42 ผมว่าจะอ่านอย่างเดียว...แต่อดไม่ได้.ไม่ทราบท่าน knight15 ทราบหรือเปล่าว่า ท่านกำลังสนทนากับ..พระศรีอารย์..!!!!!!!!!!!!!!!!!
และก็เท่าที่พยายามอ่านนะครับ ..ท่าน knight15 ...เค้าพูดเรื่องจิตเภท พุดเรื่องคนเพ้อเจ้อ..เพียงหวังว่าจะได้รับหลักฐาน พยาน จากท่าน...พระศรีอารย์ (ท่านบอกเองนะ..ท่านมัคทายก....ในกระทู้ก่อน...คนไทยเสียวนี่วาสนาโคตรดีเลย ตายไปขึ้นสวรรค์แน่ๆ..ได้สนทนากับ พระศรีอารย์ด้วย ชาตินี้ไม่ทำบงทำบุญแล้วเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย) ท่านมัค กำลังลากกระทู้เข้าไปเรื่องเดิมอะครับ...ผมแปลไทยเป็นไทยให้ง่ายๆนะ คนที่เค้ามาถกกับท่านเค้าไม่เชื่อขี้หน้าอะครับ...เค้าเชื่อว่าท่านเป้นจิตเภท....คือเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง เพี้ยน คิดไปเอง...!!!! แต่..ท่านกลับไม่เอาหลักฐาน พยานอะไรมายัน!!! ท่านยันแต่ว่า ท่านรู้เอง ท่านเชื่อเอง!!! มีคนเคยเห็น(แต่พวกคนถามที่นี่ไม่เคยเห็น) ท่านยันมาแบบนี้เรื่องมันก็ยาวทุกที ผมหละเหนื่อยกับการตามอ่าน แต่ถ้าท่านไม่เหนื่อย ก็สนทนากันต่อไป..ผมก็ยินดีศึกษาหาความรู้ต่อไป ด้วยความเคารพ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: MaMa.Killer ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 22:59:09 อะไรไม่รู้ไม่กล้าอ่าน หลอน :wanwan035:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:05:02 สาเหตุที่มาม่าบ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะว่าประสปการณ์บางส่วนที่นำมาแชร์นั้นเป็นประสปการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เช่นกันในแง่ประสปการณ์ทางความตาย และไม่เกิดประโยชน์ที่จะทำกระมัง เพราะตายแล้วคงตายเลย ไม่ฟื้นเป็นแน่นอน
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dekcom ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:05:44 ตั้งแต่ เจ็ดวัน รอบที่ 2 ยืนยันว่าจริืง ไปเห็นมาแล้ว (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) แต่ไม่สามารถที่จะพูดหรือบอกกล่าวให้ฟังได้
แต่บอกได้สั้น ๆ ว่า บาปใดที่ทำไว้ แม้แต่เคยฆ่ามด จะสร้างโบสถ์สร้างวัดก็ไม่สามารถหักล้างกันได้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:06:42 ผมว่าจะอ่านอย่างเดียว...แต่อดไม่ได้.ไม่ทราบท่าน knight15 ทราบหรือเปล่าว่า ท่านกำลังสนทนากับ..พระศรีอารย์..!!!!!!!!!!!!!!!!! และก็เท่าที่พยายามอ่านนะครับ ..ท่าน knight15 ...เค้าพูดเรื่องจิตเภท พุดเรื่องคนเพ้อเจ้อ..เพียงหวังว่าจะได้รับหลักฐาน พยาน จากท่าน...พระศรีอารย์ (ท่านบอกเองนะ..ท่านมัคทายก....ในกระทู้ก่อน...คนไทยเสียวนี่วาสนาโคตรดีเลย ตายไปขึ้นสวรรค์แน่ๆ..ได้สนทนากับ พระศรีอารย์ด้วย ชาตินี้ไม่ทำบงทำบุญแล้วเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย) ท่านมัค กำลังลากกระทู้เข้าไปเรื่องเดิมอะครับ...ผมแปลไทยเป็นไทยให้ง่ายๆนะ คนที่เค้ามาถกกับท่านเค้าไม่เชื่อขี้หน้าอะครับ...เค้าเชื่อว่าท่านเป้นจิตเภท....คือเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง เพี้ยน คิดไปเอง...!!!! แต่..ท่านกลับไม่เอาหลักฐาน พยานอะไรมายัน!!! ท่านยันแต่ว่า ท่านรู้เอง ท่านเชื่อเอง!!! มีคนเคยเห็น(แต่พวกคนถามที่นี่ไม่เคยเห็น) ท่านยันมาแบบนี้เรื่องมันก็ยาวทุกที ผมหละเหนื่อยกับการตามอ่าน แต่ถ้าท่านไม่เหนื่อย ก็สนทนากันต่อไป..ผมก็ยินดีศึกษาหาความรู้ต่อไป ด้วยความเคารพ ไปอ่านหลักธรรมแล้วไปทำความเข้าใจเรื่องปัจจัตตังให้แจ้ง ผมไม่สนใจหรอกครับว่าใครจะว่าผมอย่างไร ผมไม่สนใจว่าใครจะเชื่อผมหรือไม่ ผมตอบได้แต่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อนี่ มันไม่ใช่มิติของสัมผัสที่ 5 ที่จะต้องทำออกมาให้คนเห็น ไม่งั้นพระพุทธองค์ไม่ตรัสสอนหรอก " ปัจจัตตัง เวททัพโพ โลกวิทู วิญญูฮีติ" ก็สวดอิติ ปิโสกันอยู่นั่น คำแปลก็มีแต่ก็ไม่ยอมเข้าใจ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:09:56 เป็นเกียรติที่ได้สนทนาสิ่งที่ท่านเรียกว่า..ธรรม...กับท่าน...ขอบคุณครับ ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงท่านหรอก...เอาเวลาไปศึกษา...ธรรม...ดีกว่า..ว่าทำไมคนพุทธตายไปดันไปเจอเทพฮินดูอย่างพระศิวะ...พระผู้สร้างด้วย...
ว่าแต่..ตายแล้วเจอพระศิวะ...อยู่ในธรรมบทไหนอะท่าน ...โปรดชี้แนะ.. :wanwan017: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:13:16 ตั้งแต่ เจ็ดวัน รอบที่ 2 ยืนยันว่าจริืง ไปเห็นมาแล้ว (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) แต่ไม่สามารถที่จะพูดหรือบอกกล่าวให้ฟังได้ แต่บอกได้สั้น ๆ ว่า บาปใดที่ทำไว้ แม้แต่เคยฆ่ามด จะสร้างโบสถ์สร้างวัดก็ไม่สามารถหักล้างกันได้ ที่จริงมันก็บอกได้ล่ะครับแต่ทำให้ใครเชื่อตามที่เราบอกเขาไม่ได้เท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำให้คนอื่นมาเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) ส่ววนี้ผมขอแก้เป็น (เป็นความจริงส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) ฉะนั้นผมมีหน้าที่เล่าผมก็เล่าเท่านั้น จบแล้วจบกันไป ไม่มีหน้าที่ไปทำให้ใครมาเชื่อผมอยู่แล้ว คำสอนในทางพุทธศาสนาก็มีถ้าทุกคนเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่มีปัญหา หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:14:00 อ้างถึง คำถามนี้หรือคำถามลักษณะนี้ไม่มีใครตอบให้คนอื่นรู้ได้แต่ตอบให้แต่เฉพาะตน เท่านั้น คำถามลักษณะนี้เป็นที่มาของคำสอนในเรื่องอจินไตย 4 1. สิ่งที่จิตนาการไม่ได้คือพุทธวิสัย คนที่เป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเท่านั้นที่ล่วงรุ้ คนอื่นไม่อาจจินตนาการไปถึงบหรือเข้าถึงได้จนกว่าตนจะได้สภาวะนั้นมา ผมรู้นะอิอิ ในเว็บผมอธิบายอยู่ 2. ไม่สามารถจินตนาการในเรื่องการใช้ฤทธิ์ของเทหากตนยังไปไม่ถึงขั้นนั้นหรือตนไม่มีฤทธิ์ 3. ไม่จินตนาการหรืออยากรู้ว่า โลกเกิดมาแล้วกี่ปี มีสิ่งมีชีวิตเกิดมากี่ชนิด จักรวาลมีกี่แห่ง ฯลฯ คือไม่ต้องไปสนใจหรืออยากรู้เรื่องพวกนี้ 4. เรื่องของการให้ผลข่องกรรม เช่นทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต เช่นฆ่าแมวตายอาจจะไปเกิดชาติหน้าเป็นแมลงวันถูกตีตาย หรืออาจจะตกน้ำตายก็ได้ ผลคือตายแต่ตายอย่างไร ไม่ต้องไปอยากรู้ สรุปว่ามี 4 อย่างจำได้ไม่ได้แหะต้องไปพึ่งพี่กรู ผมว่าหลายท่านแปลคำแปลเรื่องอจินไตย 4 ผิด เช่น - อย่าคิดเรื่องของการให้ผลของกรรม เช่นทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเลิกสอนเรื่องเวรกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว - ไม่สามารถจินตนาการในเรื่องการใช้ฤทธิ์ ผมว่าจินตนาการได้นะ เราจินตนาการใส่ในหนังอภินิหาริย์เรื่องพลังเหนือมนุษย์กันมากมาย ไม่มีใครเดือดร้อนนะ - ไม่จินตนาการหรืออยากรู้ว่า โลกเกิดมาแล้วกี่ปี มีสิ่งมีชีวิตเกิดมากี่ชนิด จักรวาลมีกี่แห่ง ถ้าไม่คิดเรื่องโลกเลยแต่อดีต เราคงคิดว่าโลกแบน ผมว่าบางท่านพยายามแปลพระพุทธพจน์มาผิด ทำให้บางคนนำมาอ้างว่าไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้คนเดียวเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครเข้าใจได้ แต่ความจริงแล้ว อาจเพราะทั้งหมดเป็นความจริงของคนคนเดียว จึงไม่สามารถพิสูจน์ใดๆได้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:16:47 เป็นเกียรติที่ได้สนทนาสิ่งที่ท่านเรียกว่า..ธรรม...กับท่าน...ขอบคุณครับ ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงท่านหรอก...เอาเวลาไปศึกษา...ธรรม...ดีกว่า..ว่าทำไมคนพุทธตายไปดันไปเจอเทพฮินดูอย่างพระศิวะ...พระผู้สร้างด้วย... ว่าแต่..ตายแล้วเจอพระศิวะ...อยู่ในธรรมบทไหนอะท่าน ...โปรดชี้แนะ.. :wanwan017: ทำไงได้ในเมื่อความจิงเป็นแบบนี้ในส่วนของผมก็ต้องเป็นแบบนี้แหล่ะมันเป็นอื่นไม่ได้ ใครจะไปเจออะไรแล้วเอามาล่าก็เป็นเรื่องของคนนั้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:22:31 อ้างถึง ส่ววนี้ ผมขอแก้เป็น (เป็นความจริงส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) ฉะนั้นผมมีหน้าที่เล่าผมก็เล่าเท่านั้น จบแล้วจบกันไป ไม่มีหน้าที่ไปทำให้ใครมาเชื่อผมอยู่แล้ว คำสอนในทางพุทธศาสนาก็มีถ้าทุกคนเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่มีปัญหา ผมเชื่อครับว่าสิ่งที่ท่านประสบมา ท่านพบเจอจริงๆ เพียงแต่มันคงเป็นความจริงส่วนบุคคลของคนคนเดียว ของใครของมัน จริงๆครับ แต่สิ่งที่ดี คือ ความจริงของท่านนำมาใช้ในการเผยแพร่ธรรมะบางส่วน แต่สิ่งที่ไม่ดี คือ เกรงว่าธรรมมะของท่าน อาจทำให้หลายคนมองข้ามแก่นของธรรมะที่แท้จริงออกไป หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:24:53 อ้างถึง คำถามนี้หรือคำถามลักษณะนี้ไม่มีใครตอบให้คนอื่นรู้ได้แต่ตอบให้แต่เฉพาะตน เท่านั้น คำถามลักษณะนี้เป็นที่มาของคำสอนในเรื่องอจินไตย 4 1. สิ่งที่จิตนาการไม่ได้คือพุทธวิสัย คนที่เป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเท่านั้นที่ล่วงรุ้ คนอื่นไม่อาจจินตนาการไปถึงบหรือเข้าถึงได้จนกว่าตนจะได้สภาวะนั้นมา ผมรู้นะอิอิ ในเว็บผมอธิบายอยู่ 2. ไม่สามารถจินตนาการในเรื่องการใช้ฤทธิ์ของเทหากตนยังไปไม่ถึงขั้นนั้นหรือตนไม่มีฤทธิ์ 3. ไม่จินตนาการหรืออยากรู้ว่า โลกเกิดมาแล้วกี่ปี มีสิ่งมีชีวิตเกิดมากี่ชนิด จักรวาลมีกี่แห่ง ฯลฯ คือไม่ต้องไปสนใจหรืออยากรู้เรื่องพวกนี้ 4. เรื่องของการให้ผลข่องกรรม เช่นทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต เช่นฆ่าแมวตายอาจจะไปเกิดชาติหน้าเป็นแมลงวันถูกตีตาย หรืออาจจะตกน้ำตายก็ได้ ผลคือตายแต่ตายอย่างไร ไม่ต้องไปอยากรู้ สรุปว่ามี 4 อย่างจำได้ไม่ได้แหะต้องไปพึ่งพี่กรู ผมว่าหลายท่านแปลคำแปลเรื่องอจินไตย 4 ผิด เช่น - อย่าคิดเรื่องของการให้ผลของกรรม เช่นทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเลิกสอนเรื่องเวรกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว - ไม่สามารถจินตนาการในเรื่องการใช้ฤทธิ์ ผมว่าจินตนาการได้นะ เราจินตนาการใส่ในหนังอภินิหาริย์เรื่องพลังเหนือมนุษย์กันมากมาย ไม่มีใครเดือดร้อนนะ - ไม่จินตนาการหรืออยากรู้ว่า โลกเกิดมาแล้วกี่ปี มีสิ่งมีชีวิตเกิดมากี่ชนิด จักรวาลมีกี่แห่ง ถ้าไม่คิดเรื่องโลกเลยแต่อดีต เราคงคิดว่าโลกแบน ผมว่าบางท่านพยายามแปลพระพุทธพจน์มาผิด ทำให้บางคนนำมาอ้างว่าไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้คนเดียวเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครเข้าใจได้ แต่ความจริงแล้ว อาจเพราะทั้งหมดเป็นความจริงของคนคนเดียว จึงไม่สามารถพิสูจน์ใดๆได้ แปลไม่ผิดครับ เพราะ rep บนผมก็อธิบายมาแล้วว่า จินตนาการเรื่องการให้ผลของกรรมไม่ได้ คือไม่สามารถสรุปได้ว่าเราฆ่าคนตายแล้วต้องเกิดมาเป็นคนเพื่อถูกฆ่าในชาติหน้าได้ ต่อมาการที่ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนมิได้หมายความว่าไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็จริง แต่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์หรือไม่โดยเฉฏพาะเรื่องของอจินไตยนั้นอาจกล่าวโดยสรุปว่า ไม่ให้ ตนเองไปจินตนาการความเป็นไปของผู้อื่นและสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตนเกี่ยวกับตนแล้วพยายามจะหาคำตอบห้ได้ หากใครทำเช่นนั้นจะนำทุกข์มาสู่ตนแล้วคำสอนแห่งพระพุทธองค์ ไม่มีคำสอนไหนที่จะเป็นเหตุนำทุกช์มาสู่ตนไงครับ อะไรก็ตามจะแปลผิดหรือไม่ คำตอบสั้น ๆ ถ้าผิดก็ย่อมเป็นเหตุนำทุกข์มาสุ่ตน ถ้าถูกก็นำทางพ้นทุกข์หรือมรรคผลมาสู่ตน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:28:14 ผมถามหน่อยครับ การที่วิญญาณมาเกิดเป็นเด็กทารก แล้วถูกทำแท้งนั้น เป็นบาปของใคร เป็นบาปของเด็กทารก หรือว่า ของคนเป็นแม่ หรือบาปของทั้งคู่
คำถามที่สอง ยุคของพระศรีอารย์เป็นอย่างไรครับ ผมดูจาก คัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา หรือไตรภูมิฉบับหลวง แล้วคิดว่าน่าจะยังอีกนานนะ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:30:51 อ้างถึง ส่ววนี้ ผมขอแก้เป็น (เป็นความจริงส่วนบุคคล ไม่สามารถบังคับได้) ฉะนั้นผมมีหน้าที่เล่าผมก็เล่าเท่านั้น จบแล้วจบกันไป ไม่มีหน้าที่ไปทำให้ใครมาเชื่อผมอยู่แล้ว คำสอนในทางพุทธศาสนาก็มีถ้าทุกคนเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่มีปัญหา ผมเชื่อครับว่าสิ่งที่ท่านประสบมา ท่านพบเจอจริงๆ เพียงแต่มันคงเป็นความจริงส่วนบุคคลของคนคนเดียว ของใครของมัน จริงๆครับ แต่สิ่งที่ดี คือ ความจริงของท่านนำมาใช้ในการเผยแพร่ธรรมะบางส่วน แต่สิ่งที่ไม่ดี คือ เกรงว่าธรรมมะของท่าน อาจทำให้หลายคนมองข้ามแก่นของธรรมะที่แท้จริงออกไป ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ศึกษาให้ดีแล้วสิ่งที่ผมพิมพ์มาไม่สามารถทำให้คนอื่นหลงผิดได้เลย เนื่องจากมีหลักกาลามสูตร 10 ค้ำคออยู่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งที่ผมบรรยายมาจึงอยู่ที่ว่านำสิ่งทีว่าสิ่งที่รู้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วคำถามนี้ควรถามมาก่อนที่ผมจะเกิดมาในโลกใบนี้เสียอีก ถูกหรือไม่ ดูที่ผล แล้วผลของการปฏิบัติผิดเป็นมุลมันมีมาตั้งแต่ผมจะเกิดขึ้นเสียอีก แต่ปัจจุบันผลนั้นเด่นชัดกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:31:41 ท่านอาจจะเป็นซูเปอร์ไซย่า เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง
ที่เห็นสภาพตัวเองเขียวๆ นั่นก็น่าจะเป็นร่างปิคโกโร่ กลับมาเกิดใหม่ได้ เหมือนกับที่โงกุนกลับมาเกิดสามสี่รอบ สวรรค์ที่เห็น ก็อาจจะเป็นดาวนาเม็ก :wanwan022: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: T4iKunZ ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:37:13 สาระเน้นๆ เลย :wanwan011:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:42:38 ผมถามหน่อยครับ การที่วิญญาณมาเกิดเป็นเด็กทารก แล้วถูกทำแท้งนั้น เป็นบาปของใคร เป็นบาปของเด็กทารก หรือว่า ของคนเป็นแม่ หรือบาปของทั้งคู่ คำถามที่สอง ยุคของพระศรีอารย์เป็นอย่างไรครับ ผมดูจาก คัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา หรือไตรภูมิฉบับหลวง แล้วคิดว่าน่าจะยังอีกนานนะ :P คำถามนี้เป็นคำถามที่ดี ถ้าตีตามหลักเหตุปัจจุบันเรื่องของแม่ทำแท้งนั้น จะไม่สามารถเป็นบาปของเด็กได้เลยเพราะเด็กยังไม่สามารถผลิตความตั้งใจของตนได้ ส่วนสิ่งที่เด็กได้รับอาจจะเป็นวิบากกรรมของตัวเด็กเอง ซึ่งสิ่งที่ผมได้อธิบลายมาในเรื่องการให้ผลของกรรมเป็นอจืนไตยตาม rep ก่อนหน้าจะเป็นคำตอบใน rep นี้ได้ ส่วนเรื่องยุคพระศรีอารย์จำเป็นต้องใช้หลักกาลามสูตร 10 มีข้อหนึ่งคืออย่าเพิ่งเชื่อแม้สิ่งนั้นจะปรากฏไว้ในตำรา ผมเองก็ใช้หลักทั้ง 10 นี้มาตอบตนเอง เหมือนกัน แรก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจหลักกาลามสูตรเท่าไหร่ เพราะส่วนมากสิ่งที่ผมรู้มาจะรู้่มาเองด้วยประสบการณ์และจากสมาธิเป็นส่วนใหญ่ แล้วผม ไปถกจนเคยเกิดกระทุ้ดราม่าในบอร์ดธรรมจักรมาแล้ว เค้าหยิบหลักกาลามสูตรขึ้นมาให้ผมอ่าน ผมก็มาศึกษาจนแตกฉานแล้วได้คำตอบว่า แทบไม่ให้ เชื่ออะไรเลยในสิ่งที่รู้มาจนกว่าจะได้คำตอบประจัษ์แจ้งกับตนในเรื่องนั้น ๆ กระทู้นี้ถ้าทุกคนใช้หลักกาลามสูตรก็ได้เพียงอ่านสิ่งที่ผมพิมพ์เท่านั้น ฉะนั้นทุกอย่างเป็นอนิจจังยกเว้นความว่างเปล่าที่เป็นนิจจัง อะไรที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นได้เสมอมีความแปรปรวนตามกาลเวลา เมื่อผมน้อมนำหลักธรรม มาปฏิบัติอย่างถูกต้อง นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่เป็นหัวใจที่สำคัญทำให้ผมสามารถตอบได้แทบทุกคำถาม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:45:08 ท่านอาจจะเป็นซูเปอร์ไซย่า เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง ที่เห็นสภาพตัวเองเขียวๆ นั่นก็น่าจะเป็นร่างปิคโกโร่ กลับมาเกิดใหม่ได้ เหมือนกับที่โงกุนกลับมาเกิดสามสี่รอบ สวรรค์ที่เห็น ก็อาจจะเป็นดาวนาเม็ก :wanwan022: คำตอบเรืองปัจจัตตังมีอธิบายอยู่แล้วช้างบนมีทั้งผมและคนอื่นยกตัวอย่างประกอบไปอ่านเสีย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:46:36 อ้างถึง ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ศึกษาให้ดีแล้วสิ่งที่ผมพิมพ์มาไม่สามารถทำให้คนอื่นหลงผิดได้เลย เนื่องจากมีหลักกาลามสูตร 10 ค้ำคออยู่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่ง ที่ผมบรรยายมาจึงอยู่ที่ว่านำสิ่งทีว่าสิ่งที่รู้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วคำถามนี้ควรถามมาก่อนที่ผมจะเกิดมาในโลกใบนี้เสียอีก ถูกหรือไม่ ดูที่ผล แล้วผลของการปฏิบัติผิดเป็นมุลมันมีมาตั้งแต่ผมจะเกิดขึ้นเสียอีก แต่ปัจจุบันผลนั้นเด่นชัดกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง ถูกครับที่ว่า ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ตามหลักกาลามสูตร 10 ซึ่งเป็นธรรมะข้อสำคัญที่ควรนำมาใช้ แต่คนทุกคนก็ไม่ได้มีปัญญาไปหมดทุกเรื่อง ยกตัวอย่างท่านในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีปัญญาทราบความเป็นไปในโลกทุกอย่าง หรือท่านจะบอกว่าท่านทราบ (เพราะถ้าท่านปฏิบัติธรรมจนถึงระดับสูงอย่างที่ท่านว่า บางทีท่านอาจจะทราบ ทุกเรื่องในจักรวาลแล้ว) และเนื่องจากทุกคนไม่ได้มีปัญญาไปหมด คนที่ตั้งใจศึกษาธรรมะ ถ้ามาเจอเรื่องของพระศิวะเตะขึ้นสวรรค์ หรือ สลายร่าง และสร้างมาใหม่ ก็อาจจะหลงผิดกับความจริงของท่านเพียงคนเดียวไปได้ จนลืมธรรมมะที่แท้จริง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:50:36 ท่านอาจจะเป็นซูเปอร์ไซย่า เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง ที่เห็นสภาพตัวเองเขียวๆ นั่นก็น่าจะเป็นร่างปิคโกโร่ กลับมาเกิดใหม่ได้ เหมือนกับที่โงกุนกลับมาเกิดสามสี่รอบ สวรรค์ที่เห็น ก็อาจจะเป็นดาวนาเม็ก :wanwan022: คำตอบเรืองปัจจัตตังมีอธิบายอยู่แล้วช้างบนมีทั้งผมและคนอื่นยกตัวอย่างประกอบไปอ่านเสีย ที่เขียนมานี่ ประชดค่ะ ไม่มีจิตหยั่งรู้เลยเหรอว่าโดนเหน็บสีข้างอยู่ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 23:54:08 สิ่งที่ผมสงสัยก็คือว่า ถ้าเป็นวิบากกรรมของเด็ก แปลว่าเด็กที่มาเกิดจะต้องเกิดมาเพื่อรับกรรมนั้นอยู่แล้ว
ฉะนั้น สมมุติว่า แม่เป็นคนที่เกิดมาไม่มีกรรม แต่อยู่ดีๆ เด็กที่ต้องรับกรรมมาเกิดกับตัวเองและถูกให้รับกรรมโดยการทำแท้ง กลายเป็นว่านอกจากเด็กจะได้รับวิบากกรรมด้วยแล้ว แม่ยังต้องเจอผลกระทบให้กรรมนั้นมาตกกับตัวเองด้วยหน่ะสิครับ ไม่เท่ากับว่าทั้งสองคนล้วนมีกรรมติดตัวมาทั้งคู่เหรอ กลายเป็นกรรมเก่าส่งผลให้เกิดกรรมใหม่ หรือถ้าไม่มีกรรมเก่าแต่ดันเกิดกรรมใหม่ แต่อันที่จริงในใจผมก็มีคำตอบอยู่บ้างแล้วหล่ะ ถ้าว่ากันด้วยทฤษฏี free will หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:01:03 อ้างถึง ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ศึกษาให้ดีแล้วสิ่งที่ผมพิมพ์มาไม่สามารถทำให้คนอื่นหลงผิดได้เลย เนื่องจากมีหลักกาลามสูตร 10 ค้ำคออยู่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่ง ที่ผมบรรยายมาจึงอยู่ที่ว่านำสิ่งทีว่าสิ่งที่รู้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วคำถามนี้ควรถามมาก่อนที่ผมจะเกิดมาในโลกใบนี้เสียอีก ถูกหรือไม่ ดูที่ผล แล้วผลของการปฏิบัติผิดเป็นมุลมันมีมาตั้งแต่ผมจะเกิดขึ้นเสียอีก แต่ปัจจุบันผลนั้นเด่นชัดกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง ถูกครับที่ว่า ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ตามหลักกาลามสูตร 10 ซึ่งเป็นธรรมะข้อสำคัญที่ควรนำมาใช้ แต่คนทุกคนก็ไม่ได้มีปัญญาไปหมดทุกเรื่อง ยกตัวอย่างท่านในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีปัญญาทราบความเป็นไปในโลกทุกอย่าง หรือท่านจะบอกว่าท่านทราบ (เพราะถ้าท่านปฏิบัติธรรมจนถึงระดับสูงอย่างที่ท่านว่า บางทีท่านอาจจะทราบ ทุกเรื่องในจักรวาลแล้ว) และเนื่องจากทุกคนไม่ได้มีปัญญาไปหมด คนที่ตั้งใจศึกษาธรรมะ ถ้ามาเจอเรื่องของพระศิวะเตะขึ้นสวรรค์ หรือ สลายร่าง และสร้างมาใหม่ ก็อาจจะหลงผิดกับความจริงของท่านเพียงคนเดียวไปได้ จนลืมธรรมมะที่แท้จริง คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้ คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณา ให้ดีสิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย แต่นั่นเป็น ประสบการณ์แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง สิ่งที่ต่างคือ ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์ ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์ มาถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น เราทั้งหลายต้องรู้ อยู่แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่ อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:05:41 ท่านอาจจะเป็นซูเปอร์ไซย่า เพราะตอนตายดันใช้กำลังสมาธิทำลายร่างตัวเองก่อนออกจากร่าง ที่เห็นสภาพตัวเองเขียวๆ นั่นก็น่าจะเป็นร่างปิคโกโร่ กลับมาเกิดใหม่ได้ เหมือนกับที่โงกุนกลับมาเกิดสามสี่รอบ สวรรค์ที่เห็น ก็อาจจะเป็นดาวนาเม็ก :wanwan022: คำตอบเรืองปัจจัตตังมีอธิบายอยู่แล้วช้างบนมีทั้งผมและคนอื่นยกตัวอย่างประกอบไปอ่านเสีย ที่เขียนมานี่ ประชดค่ะ ไม่มีจิตหยั่งรู้เลยเหรอว่าโดนเหน็บสีข้างอยู่ ถึงรู้แล้วผมจะสนทำไม เพราะถ้าสนเท่ากับผมทำผิดหลักธรรม "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" เสียเองซิ แล้วที่ผมตอบ เพื่อชี้ให้ชัด ๆ ว่าหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" ที่ถุกต้องเป็นอย่างไร ในเมื่อผมรู้ว่าจะตอบอะไรอย่างไร ทำให้ไม่ต้องมานั่งคิดเลยว่าต่อไปจะตอบป้าหยินอย่างไร หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dummy ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:07:40 และแล้ว ก็กลายพันธ์อีกกระทู้จนได้ :P
วันนี้ไปทานหมุกะทะมา อาร้อย อร่อย :wanwan002: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:10:09 และแล้ว ก็กลายพันธ์อีกกระทู้จนได้ :P วันนี้ไปทานหมุกะทะมา อาร้อย อร่อย :wanwan002: ป้าโอ๋นี่น่ารักจังมาได้ทุกกระทู้เลย :wanwan003: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:21:21 อ้างถึง คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้ คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณา ให้ดี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย แต่นั่นเป็น ประสบการณ์ แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง สิ่งที่ต่างคือ ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์ ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์ มา ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น เราทั้งหลายต้องรู้ อยู่ แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่ อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด ท่านบอกว่าคนเราไปจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม เช่นเดียวกัน คนเราไม่จำเป็นต้องบอกในทุกเรื่อง ถ้าสิ่งที่บอกไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง และไม่มีประโยชน์ จะบอกมาทำไม จะทำให้บางท่านเข้าใจธรรมะผิดไปได้ ท่านยกพระพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยุ่แล้ว แต่ก็มีหลายคนที่หลงผิดธรรมนองครองธรรม ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หลายคนก็ยังเชื่อในสิ่งที่ผิดๆอยู่ ขนาดมีตถาคตขึ้นมา ยังมีหลายคนที่ทำผิดทำนองครองธรรม ดังนั้น จะโยนให้เ็ป็นหน้าที่ของผู้ปกครองคอยสอนอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงความจริงนั้นด้วย ก็เป็นการสอนที่ผิดต่อๆกันไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีธรรมะสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง และสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำไม่เพียงแต่ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตน แต่ยังทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยธรรมะของพระองค์ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: JicKaro ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:23:33 ต้องหมั่นทำบุญเยอะๆ ครับ
:) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:47:38 อ้างถึง คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้ คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณา ให้ดี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย แต่นั่นเป็น ประสบการณ์ แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง สิ่งที่ต่างคือ ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์ ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์ มา ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น เราทั้งหลายต้องรู้ อยู่ แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่ อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด ท่านบอกว่าคนเราไปจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม เช่นเดียวกัน คนเราไม่จำเป็นต้องบอกในทุกเรื่อง ถ้าสิ่งที่บอกไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง และไม่มีประโยชน์ จะบอกมาทำไม จะทำให้บางท่านเข้าใจธรรมะผิดไปได้ ท่านยกพระพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยุ่แล้ว แต่ก็มีหลายคนที่หลงผิดธรรมนองครองธรรม ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หลายคนก็ยังเชื่อในสิ่งที่ผิดๆอยู่ ขนาดมีตถาคตขึ้นมา ยังมีหลายคนที่ทำผิดทำนองครองธรรม ดังนั้น จะโยนให้เ็ป็นหน้าที่ของผู้ปกครองคอยสอนอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงความจริงนั้นด้วย ก็เป็นการสอนที่ผิดต่อๆกันไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีธรรมะสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง และสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำไม่เพียงแต่ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตน แต่ยังทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยธรรมะของพระองค์ คนเรามีภูมิปัญญาและที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ต่างกันย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่ย่อมต่างกันไปด้วย คนมีปัญญาหรือมีประสบการณ์น้อยจะเห็นเรื่องบางเรื่อง ที่มีประโยชน์เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ได้ อีกอย่างหนึ่งด้วยพุทธวิสัยจำเป็นต้องรู้อยู่แล้วว่าคนในสมัยปัจจุบันต่างจากคนในสมัยพุทธกาลอย่างไร เรื่องตามประสบการณ์ที่เล่า ก็เปลี่ยนไปตามสภาวะสังคมของคนในยุคปัจจุบันด้วย ส่วนสาเหตุที่มีตถาคตขึ้นมาแล้วยังเสื่อมได้ ก็เพราะการเรียนรู้คำสอนแล้วถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นอนิจจัง เช่นการไม่เข้าใจหลักปัจจัตตังนั้นเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรม การเรียนรู้ธรรมที่ถูกต้องคือประสบการณ์หรือปฏิบัตินำแล้วตำรามาทีหลัง การเสื่อมของคำสอนก็เพราะเอาตำรานำแต่ประสบการณ์ไม่ตามมา หมายถึงประสบการณ์ของตัวผุ้สอน ผุ้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเองย่อมไม่เข้าใจและประจักษ์แจ้งในหลักธรรม ตอนหลังพอเหลือแต่ตำราโดยไม่มีผลจากการปฏิบัตินั้นประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ก็เป็นเหตุเบื้องต้น ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วพอนานวันเข้าผ่านกาลเวลามานานนับปีความถูกต้องของคำสอนจึงคอยเลือนหายไป เหลือแต่คาดเดากันว่าอันนี้น่าจะถูก อันนี้น่าจะผิด ท้ายสุดคำสอนจึงเหลือเพียงคำสันนิษฐานของคนรุ่นหลังว่าน่าจะถูกหรือผิด พอหยิบคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติตามผลที่ได้มันก็ฟ้องออกมาด้วยตัวผลจากการ ปฏิบัตินั้นเอง ยกตัวอย่างคำสอนหนึ่ง อิทะิบาท 4 นี่แหล่ะ ไปเปิดดูได้เลยใน Google ก็ได้ มีปรากฏในอิทธิบาทข้อ 1 ว่า ฉันทะ แล้วไปเปิดดูในเรื่องอคติ 4 ข้อ 1 มีฉันทะ เหมือนกัน อ้าวแล้วอิทธิบาทกับอคติมันขัดแย้งกันนิ เมื่อขัดแย้งกันนั้นนำไปฏิบัติในอิทธิบาทซิ ผลออกมาคคือพระต้องมานั่งสอนว่าฉันทะต้องเลือกด้วยว่าใช้กับอะไร ทั้ง ๆ ที่คำสอนแห่งพระพุทธองค์ซึ่งเขียนไว้ดีแล้วต้องเป็นคำสอนที่ตายตัวมันพลิ้วไปตามการตีความไม่ได้ หันมาดูอคติ 4 ข้อแรกความพอใจซิ ถามว่าความพอใจนั้นก่อให้ เกิดอคติหรือไม่ เพราะอคติเป็นมูลเหตุให้เกิดความเสื่อม ฉะนั้นความพอใจหรือฉันทะนั้นต่างคนต่างมีไม่เหมือนกัน ตามเหตุตามผลแต่ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง ย้อนกลับไปที่ กาลามสูตร 10 อีก มีข้อหนึ่งบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อแม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่ใคร่ครวญดีแล้ว เพราะเหตุผลของแต่ละคนเกิดจากความพอใจใช่หรือไม่ สรุปแล้วสิ่งที่ขัดแย้งกันตามหลักความจริงต้องมีผิด 1 ที่ถูก 1 ที่เสมอ อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าคำสอนที่ถูกต้องของอิทธิบาทคือ 1. ฉันทะวิริยะ คือความพอใจในการ ประกอบความเพียร ทีนี้แหล่ะดิ้นไม่หลุดแล้วเพราะต้องไปดุว่าคำว่าเพียรคืออะไรแล้วจำกัดความพอใจไว้กับความเพียรนั้น ทีนี้มาดูกวันว่าผิดถูกเป็นอย่างไรกันแน่ นี่ผมยกตัวอย่างให้เห็นเรื่องเดียวนะครับ สิ่งที่ผมย้ำนักย้ำหนาก็ยังย้ำอยู่เหมือนเดิม หลายอย่างก็อธิบายไว้ในกระทุ้อื่นแล้วอธิบาท ผลที่ได้ออกมาแบบนี้แหล่ะ คือผิดแล้วได้อะไร ขอสั้น ๆ ก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:53:46 เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นเรื่องของความเชื่อครับ เป็นเรื่องที่มนุษย์ชอบคิดไปเรื่อย สัตว์และพืชมันไม่คิดอย่างนี้หรอกครับ
เรอเน่ เดคาร์ต นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเคยพูดว่า "เพราะฉันคิด จึงมีฉัน" ถ้าปลดเปลื้องเรื่องพวกนี้ออกได้ (เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า กฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ นิพพาน ศาสนา)ท่านจะสบายใจ (เหมือนผม)แต่บอกเลยว่า ยาก จิตของคนส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในคุก ที่เรียกว่า อุปาทาน (คิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 00:57:46 ท่านอธิบายในหลักธรรม อย่างนี้ดีครับ มีประโยชน์ พิสูจน์ได้ เข้าใจได้
แต่ พระศิวะเตะท่านขึ้นสวรรค์ หรือ ท่านเผาร่างกายตัวเอง แล้วเสกมาใหม่ ไม่เกี่ยวกันนะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:02:41 เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นเรื่องของความเชื่อครับ เป็นเรื่องที่มนุษย์ชอบคิดไปเรื่อย สัตว์และพืชมันไม่คิดอย่างนี้หรอกครับ เรอเน่ เดคาร์ต นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเคยพูดว่า "เพราะฉันคิด จึงมีฉัน" ถ้าปลดเปลื้องเรื่องพวกนี้ออกได้ (เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า กฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ นิพพาน ศาสนา)ท่านจะสบายใจ (เหมือนผม)แต่บอกเลยว่า ยาก จิตของคนส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในคุก ที่เรียกว่า อุปาทาน (คิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้) อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่ เลียนแบบมาจาก "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" แต่เอามาครึ่งเดียว แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:06:30 อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:10:05 อ้างถึง อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่ เลียนแบบมาจาก "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" แต่เอามาครึ่งเดียว แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Nongkhai_tong ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:13:30 อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555 ไปด้วย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:16:51 คนล้มละลาย ศาลยังคุ้มครองให้แค่ยึดทรัพย์หมดตัว ไม่ต้องใช้หนี้เจ้าหนี้อีกต่อไป ไม่งั้นคนเป็นหนี้ 100 ล้าน ไม่จ่ายหนี้กันตายหรือครั้บ
คนอย่างฮิตเลอร์ ถึงจะเลวแค่ไหน ตายแล้วก็หมดกัน ถ้าต้องใช้กรรมกันเป็นล้านชาติ มั้นไม่โหดไปหน่อยหรือครับ เรื่องบาปบุญมันพิสูจน์ทางกายภาพไม่ได้ก็จริง แต่มันพิสูจน์ได้โดยหลักความน่าจะเป็น ที่สามารถทำความเข้าใจโดยเหตุผลแบบมนุษย์ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:18:01 ท่านอธิบายในหลักธรรม อย่างนี้ดีครับ มีประโยชน์ พิสูจน์ได้ เข้าใจได้ แต่ พระศิวะเตะท่านขึ้นสวรรค์ หรือ ท่านเผาร่างกายตัวเอง แล้วเสกมาใหม่ ไม่เกี่ยวกันนะครับ ผมรู้สาเหตุที่แน่ชัดแล้วที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม ที่สำคัญเลยคนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขารู้ จะเน้นเอาแต่สาระข้อ ธรรมอย่างเดียว ด้วยความคิดว่าประสบการณ์ของผู้อื่นตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ทำให้เรื่องตามประสบการณ์กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อเจอ ฯลฯ ทำให้ตอน หลังไม่มีใครกล้าเล่าผลที่เกิดขึ้นกับตนให้คนอื่นได้รู้หรือเล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตนในวันวานกว่าจะมีตนในวันนี้ เมื่อเหลือแต่เนื้อคำสอนอย่างเดียว ผลจึงเกิดตามที่ผมอธิบายมา ที่ผมปฏิบัติได้มาถึงทุกวันนี้ก็เพราะผมให้ความสำคัญในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ อะไรหยิบมาเป็นบทเรียนได้ก็หยิบมา ในกระทู้นี้ได้พูดถึงเรื่องการตาย ผมก็นำประสบการณ์ความตายมาเล่า เหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติธรรม เพราะตนเองไม่เคยมีบทเรียน แล้วบทเรียนจะได้มาจากประสบการณ์อีกที เมื่อ ไม่มีบทเรียนจึงไม่มีผลของการปฏิบัติด้วย ผู้จะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมได้ ต้องศึกษาด้วยประสบการณ์ถ้าหาที่ตนไม่ได้ต้องไปเอาจาก คนอื่นที่เขามีประสบการณ์นั้นมาเรียนรู้ จากนั้นจึงไปดูซิว่าถ้ามีประสบการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นจะไปหยิบอะไรมาปฏิบัติจึงจะพ้นจากสิ่งนั้น ถ้าเกิดกับตน ได้ดีครับ ถ้าเกิดกับตนไม่ได้ไปๆฟังจากคนอื่น แล้วดูว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างไร ผมก็มีอธิบายของผมอยู่แล้วทุกอย่างที่ว่ามา โอ้พิมพ์ rep นี้ได้เรื่องสำคัญไปเชียนอีกเรื่องเลยนะนี่ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: kongpair ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:20:17 พระพุทธศาสนาเสื่อมก็เพราะพี่นั่นล่ะครับ
อวดอุตริปาฏิหารย์ เพ้อเจ้อไปสามซอย ยังไม่พอ ยังจะมาอธิบายอะไรโง่ ๆ งง ๆ กะว่า จะตีขลุมไป เอามั่วเข้าว่า... ตามนั้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:21:51 ผมว่านะอย่าพึ่งเอาธรรมชั้นสูงๆมาพูดกันดีกว่าไหม น่าจะไปพูดกันบอร์ดธรรมะ อะไรพวกนี้นะ เดี๋ยวเด็กๆหรือคนแก่ๆแบบผม ที่ไม่รู้เรื่องในแก่นแท้ของหลักธรรมจะงง กันมากมายไปกันใหญ่ ยิ่งมึนๆมากแล้ว มาเจอกระทู้นี้มึนไปใหญ่ เดี๋ยวแต่ละท่านที่เขาเรียกว่าอะไรนะ ประสาทการรับรู้ หรือจิตแห่งการรับรู้ไม่เท่ากันด้วย จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เหมือนกันตอนเรียน ป.4 ปิติตื่นขึ้นมาตอนที่พระท่านเทศน์ ว่า "การนอนตืนสายก็ดี"เลยทำให้ปิตินอนตืนสายอะ แบบนี้เขาเรียกอะไรไม่รู้นะ ผมเรียนมาน้อย
แต่ผมถามหน่อย ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ระหว่าง การปฏิบัติกรรมฐาน กับการ ศึกษาพระไตรปิฎก นะ อะไรดีกว่ากันครับ หรือเขาเรียกอะไรนะ สายวัดป่า กับสายวัดเมือง อะไรนี้แหละ อะไรดีกว่ากัน ครับ อยากรู้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:24:30 อ้างถึง อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่ เลียนแบบมาจาก "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" แต่เอามาครึ่งเดียว แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:28:07 พระพุทธศาสนาเสื่อมก็เพราะพี่นั่นล่ะครับ อวดอุตริปาฏิหารย์ เพ้อเจ้อไปสามซอย ยังไม่พอ ยังจะมาอธิบายอะไรโง่ ๆ งง ๆ กะว่า จะตีขลุมไป เอามั่วเข้าว่า... ตามนั้น ผมไม่ได้อวดปาฏิหารย์นะครับ สิ่งที่ผมเล่ามี 2 ส่วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม กับสิ่งที่ผมนำหลักธรรมไปทำให้เกิดผลเท่านั้น ส่วนเรื่องศาสนาเสื่อมมันก็เสื่อมมาตั้งนานแล้ว สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม แล้วสมครามโลก ก็เกิดมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:28:24 ผมเองก็ไม่ทราบนะครับว่า สายไหน เป็นอย่างไร แต่ที่ผมทราบ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เขียนคัมภีร์เอง มีพระอาวุโสหลายท่านทำการสังคายนาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผมอยากบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ หนึ่งในนั้นคือ
อย่าเชื่อเพราะเป็นเนื้อความในหนังสือ คัมภีร์ไตรปิฎกก็เป็นหนังสือเหมือนกันครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:30:47 แล้วแบบนี้มันคืออะไรครับ ผมนั่ง่สมาธิ นั่งกรรมฐาน ผมเห็นดวงไฟดวงใหญ่ วูปหนึ่งแล้วก็เห็นประตูบานใหญ่มากๆๆ แต่ไม่ได้เข้าไป กลัว เลยไม่กล้าเข้าไป แบบนี้อะไรอะ ไม่รู้เหมือนกันอะ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:34:11 อ้างถึง อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่ เลียนแบบมาจาก "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" แต่เอามาครึ่งเดียว แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เรื่องอดีตชาติและความทรงจำชาติเก่า มีหนังสือข้ามชาติ กับ ข้ามภพ หนังสือแปร แต่งโดย dr. Brian L. Weiss เป็น ดอกเตอร์คนนึงที่สะกดจิตคนไข้ แล้วพบว่าคนไข้เล่าถึงอดีตในชาติก่อน และนำไปพิสูจน์ประวัติต่างๆจนค้นพบว่าบางเรื่องอ้างอิงได้ เล่มแรกเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่ย้อนไปได้หลายชาติ เล่มสองเกี่ยวกับคนป่วยหลายๆคนที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และได้ทำการสะกดจิตระลึกชาติเพื่อหาปมที่มาของอาการเจ็บป่วยเหล่านั้น (กรรมเก่า) จนอาการดีขึ้น จริงๆมันยี่สิบกว่าปีแล้ว และเอาจริงๆ ฝรั่งในสมัยนั้นยังไม่เชื่อในเรื่องเวียน ว่าย ตาย เกิด มันจึงขัดความเชื่อหลายๆอย่างในศาสนาของเขาครับ ส่วนเล่มสามแต่งออกมาและนิยมในช่วงเวลาหนึ่ง ในนิยายชื่อ เราจะข้ามเวลามาพบกัน (จะว่านิยายก็ไม่เชิง เหมือน เอาเรื่องคนไข้สองคนมาเล่า ประมาณว่า soul mate) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:37:42 อ้างถึง ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน การได้สนทนาธรรมแชร์ความรู้แจ้งกับท่านพี่เนี่ย เป็นอะไรที่สุดยอดจริง ๆ คนเราหยุดคิดได้ครับ ผมได้พิสูจน์มาแล้ว (พูดเหมือนท่านพี่เลย) แค่เราทำความเข้าใจประโยคที่ว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา" แค่นี้เองที่ทำให้คนเป็นพระอรหันต์กันมาหลายท่าน ไม่ต้องไปซื้อหนังสือธรรมมะมาอ่านให้เสียตังค์ ไม่ต้องไปหาหลวงปู่หลวงพี่ที่ไหน คัมภรีไตรปิฎกโยนทิ้งไปได้เลยครับ อย่าไปอ่านให้เสียเวลา ว่าแต่ท่านพี่เข้าใจประโยคนี้หรือยังครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:39:10 ผมเองก็ไม่ทราบนะครับว่า สายไหน เป็นอย่างไร แต่ที่ผมทราบ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เขียนคัมภีร์เอง มีพระอาวุโสหลายท่านทำการสังคายนาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผมอยากบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ หนึ่งในนั้นคือ อย่าเชื่อเพราะเป็นเนื้อความในหนังสือ คัมภีร์ไตรปิฎกก็เป็นหนังสือเหมือนกันครับ ถูกต้องครับงั้นจบเลยตามที่คุณรู้นั่นแหล่ะ ผมไม่ต้องอธิบายลุงรันอีก คำตอบของคุณมาช่วยย่นเวลาที่ทำให้ผมต้องอธิบายลุงรันลงไปเยอะ แต่ผมจะต่ออีกว่าสิ่งที่ให้เชื่อคือผลที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ้าเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมทางใจคือสุขหรือทุกข์ ประจักษ์ผลนั้นกับตนแล้วหรือยัง สิ่งนั้นพึงรู้ด้วยตนเท่านั้น ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เพื่อไม่ให้เปลือง rep ผมขออธิบายลุงรันในส่วนที่เหลือ คือว่าผมไม่ได้มาบรรยายธรรมในนี้นะครับ สิ่งที่เห็นจึงเป็นเพียงคำชี้แจงตามสิทธิพาดพิงเท่านั้น ยิ่งคนพาดพิงยกคำโต้มา แล้วต้องใช้หลักธรรมที่อ้างสูงแค่ไหน หลักธรรมที่ตอบต้องสูงตามนั้นด้วย เนื่องจากสิ่งที่ผมตอบคือสิ่งที่ผมใช้ ใช้กับตนเองอย่างไรก็มาตอบอย่างนั้นแหล่ะ ส่วนเรื่องที่จะให้ไปบอร์ด ธรรมะผมเลิกไปนานแล้ว ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ไม่ได้เขียนพระไตรคปิฎกด้วยพระองค์เองอีกทั้งยังสั่งห้ามสังคยนาด้วยเท่าที่ผมรู้นะ การที่ผมนำประสบการณ์และผลที่ได้ไปคัดง้าง กับผู้เชี่ยวชาญตำราแต่ไร้ประสบการณ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแล้วผมก็ไๆม่อยากทำด้วย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:39:33 จริงๆผมว่ากระทู้นี้เริ่มีสาระแล้วนะ ในช่วงท้ายๆนี่แหละ...ถ้าตัดหลักธรรมอันสูงลิ่วของท่านมัคออกไปนะ เริ่มมีสาระแล้วหละ และที่รู้ๆ ท่าน bubbleball นี่ศึกษาเรื่องแนวนี้เยอะมากเลยนะครับ (แนวนี้หมายถึง แนวจิตวิญญาณ ไม่ใช่แนว พระศิวะเตะฟรีคิกขึ้นสวรรค์นะ)
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:43:32 อ้างถึง เรื่องอดีตชาติและความทรงจำชาติเก่า มีหนังสือข้ามชาติ กับ ข้ามภพ หนังสือแปร แต่งโดย dr. Brian L. Weiss เป็น ดอกเตอร์คนนึงที่สะกดจิตคนไข้ แล้วพบว่าคนไข้เล่าถึงอดีตในชาติก่อน และนำไปพิสูจน์ประวัติต่างๆจนค้นพบว่าบางเรื่องอ้างอิงได้ เล่มแรกเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่ย้อนไปได้หลายชาติ เล่มสองเกี่ยวกับคนป่วยหลายๆคนที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และได้ทำการสะกดจิตระลึกชาติเพื่อหาปมที่มาของอาการเจ็บป่วยเหล่านั้น (กรรมเก่า) จนอาการดีขึ้น ผมไม่ได้ปฏิเสธนะครับว่าชาติก่อน ชาติหน้าไม่มีจริง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า มีแล้วเป็นงัย ก็เราจำไม่ได้นี้ว่าเมื่อก่อนเราทำอะไรไว้ สถานะของเราไม่ได้เป็นอย่างเดิมแล้ว อย่างเช่นเมื่อก่อนผมเป็นฮิตเลอร์ แล้วชาตินี้มีคนมาบอกว่าให้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้ ให้ไปตายวิธีไหนก็ได้ หรือมาทวงหนี้ ผมขอปฏิเสธเลย ชาติก่อนก็ชาติก่อน จบแล้วจบกัน ไม่ขอรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ถ้าผมได้เจอยมทูต ยมบาลผมก็ขอยืนยันคำเดิมนี้แหละ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:45:39 อ้างถึง ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน การได้สนทนาธรรมแชร์ความรู้แจ้งกับท่านพี่เนี่ย เป็นอะไรที่สุดยอดจริง ๆ คนเราหยุดคิดได้ครับ ผมได้พิสูจน์มาแล้ว (พูดเหมือนท่านพี่เลย) แค่เราทำความเข้าใจประโยคที่ว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา" แค่นี้เองที่ทำให้คนเป็นพระอรหันต์กันมาหลายท่าน ไม่ต้องไปซื้อหนังสือธรรมมะมาอ่านให้เสียตังค์ ไม่ต้องไปหาหลวงปู่หลวงพี่ที่ไหน คัมภรีไตรปิฎกโยนทิ้งไปได้เลยครับ อย่าไปอ่านให้เสียเวลา ว่าแต่ท่านพี่เข้าใจประโยคนี้หรือยังครับ งั้นต้องเข้าใจนะครับว่าตนเองอย่าได้นำตนเองไปเป็นบรรทัดฐานในการคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกัน คุณอาจจะเป็นคนที่มีกรรมน้อยหรืออนุสัยในจิตแข็งตัวมากแล้วถ่ายทอดออกมาน้อย จะนำตนเอง ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีกรรมมากแล้วมีอนุสัยท่วมไม่ได้ แล้วที่สำคัญชาตินี่คุณทำได้ชาติหน้าอาจจะทำไม่ได้ ถ้าไม่สิ้นอนุสัยก็ไม่สิ้นกรรมตามหลักคำสอนในพุทธศาสนา อันนี้ชัดเจนครับ ม่สิ้นอนุสัยก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:48:11 จริงๆผมว่ากระทู้นี้เริ่มีสาระแล้วนะ ในช่วงท้ายๆนี่แหละ...ถ้าตัดหลักธรรมอันสูงลิ่วของท่านมัคออกไปนะ เริ่มมีสาระแล้วหละ และที่รู้ๆ ท่าน bubbleball นี่ศึกษาเรื่องแนวนี้เยอะมากเลยนะครับ (แนวนี้หมายถึง แนวจิตวิญญาณ ไม่ใช่แนว พระศิวะเตะฟรีคิกขึ้นสวรรค์นะ) สิ่งที่ผมเล่าก็เป็นเรื่องจิตวิญญาณชัดเจนครับ พระศิวะท่านก็มีจิตแล้วผมก็แค่เล่าว่าโดนกระทำอย่างไร มันก็ไม่ต่างจากที่คนอื่นเล่าหรอกครับเพียงแต่ประสบการณ์ของใครก็ของคนนั้นเท่านั้นเอง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:52:24 เรื่องบุญก็เหมือนกัน บุญ มันไม่ใช่หลักการของคณิตศาสตร์นะครับ มีการแบ่งบุญ มีการสะสมบุญ มีการซื้อบุญกันด้วย จริง ๆ แล้ว บุญเป็นเรื่องนามธรรม คือมีชื่อแต่ไม่มีตัว หรือจะบอกว่าบุญคือความสบายใจก็ได้
หลายคนสะสมบุญเพื่อขึ้นสวรรค์ การทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกั้บการทำงานเก็บเงินไปเที่ยวเกาะเสม็ด เพราะเมื่อหมดเงินแล้วก็ต้องกลับ ข้นสวรรค์หมดบุญแล้วก็ต้องจุติลงมา (ไม่ใช่ลงมาจุติ) แล้วก็เก็บเงินใหม่ (เก็บบุญ) ทำไปเพื่ออะไร เรื่องนิพพานก็เหมือนกัน นิพพานไม่ใชอะไร เป็นแค่คำ ๆ หนึ่ง แต่มีความหมาย ความหมายมันไม่ใช่ อยาก หรือไม่อยาก แต่อยู่ที่การปล่อยวางต่างหาก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:54:10 ที่จริงผมศึกษาทุกแนวที่เป็นเรื่องปริศนา เร้นลับ ลี้ลับหล่ะครับ จิตวิญาณ จิตใต้สำนึก การทำงานของสมอง ขนาดในหนังสือจิตวิทยาธุรกิจ อย่างนักแต่งเก่า นโปเลียน ฮิลล์ (คิด แล้ว รวย) หรือรุ่นใหม่ brian tracy (goal) เขาก็เข้าใจหลักการพวกนี้หมดแหละครับผมว่า ก่อน the secret จะบูมซะอีก
bible เคยอยากอ่านแต่ก็ยังไม่เคยจับจริงๆจัง เพราะน่าจะแล้วแต่นิกายด้วย พระไตรปิฏกเคยคิดจะอ่านตอน ม. 6 แต่ด้วยภาษาเฉพาะในทางศาสนาก็เลยคิดว่าไว้ก่อนดีกว่า แถมหลายเล่มด้วย ถ้ามีฉบับแปลภาษาทั่วไปก็น่าจะดีนะครับแต่ไม่รู้จะผิดเพี้ยนหรือเปล่า ส่วนเรื่องอื่นๆที่ผมอยากรู้ก็คงเป็นเรื่องจักรวาล หล่ะมั้งครับ อ่อเรื่องฝันผมก็ว่าน่าศึกษานะ อย่างเรื่องฝันเต็มตื่น (lucid dream) ก็น่าสนใจ เพราะประสปการณ์วัยเด็กบ่อยครั้งที่ผมจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในฝัน พอเรียกสติได้ ภาพในฝันจะชัดเจนขึ้นมา และบ่อยครั้งที่ผมมักจะกระโดดลงมาจากสูงๆ แบบเอาไวเข้าว่า แต่พอโตมากลับทำอะไรยึดติดภายในกรอบของสังคมแทนซะนั้น สงสัยจิตจะถูกฝังข้อมูลด้วยสำนึกปกติซะเยอะ ผมคิดว่ากฏต่างๆของจิต น่าจะคล้ายๆ กับหลักการของ ควอนตัมฟิสิกส์กระมัง แต่ในแง่ความเป็นจริงนั้นคงพิสูจน์ได้ยาก มีอะไรต้องศึกษาอีกเยอะครับก่อนตาย แต่ตอนนี้ต้องหาเงินให้เพียงพอเสียก่อน ;D แค่ flash ก็อ่านไม่จบละ :wanwan031: ผมว่าการแลกเปลี่ยนประสปการณ์มันก็ทำให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น เพียงแต่บางอย่างอะไรที่มันดูเว่อร์เกินไปมันก็ต้องน่าสงสัยเป็นธรรมดา แต่โดยส่วนตัวผมก็ไม่ได้ตัดสิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อไปเสียทีเดียว ประสปการณ์ทางจิตผมมีอยู่แค่เรื่องเดียว คือเล่นผีปากกาคนเดียวครับ เลยรู้สึกได้ นอกนั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนข้อพิสูจน์นี้ก็อย่างที่ได้บอกไปแล้ว คือผมให้พี่ผมที่ปกติจะเล่นด้วยกันทดสอบคนเดียวดูก็รู้สึกได้เหมือนกัน (ทีแรกผมนึกว่าผีตาม กลัวเหมือนกัน 55) แต่นอกจากผมกับพี่ผม ไม่มีคนอื่นที่สัมผัสได้นะถ้าทำคนเดียว ตอนนั้นก็เลยโดนแซวๆว่า Angel ใหญ่ (เขาเรียกวิธีเล่นนั้นว่า Angel Angy) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:54:47 คืนนี้ ดริ๊ฟแรง นอนไม่ค่อยหลับ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:56:01 ว่างเปล่า ครับ การปฎิบัติ ก็เพื่อคำนี้ครับ นั้นอยู่เหนือทั้งมวล (นิพพานนั้นแหละ)
เหมือนระบบอินเตอร์เน็ท ครับ มีแบบนี้ แต่ยังมีระบบอื่นที่ผมใ้ช้อีกซึ่งอยู่เหนืออินเตอร์เน็ทขึ้นไปอีกขั้น เช่น polis ของตำรวจครับ นั้นก็เหนือข้ามอินเตอร์เน็ทไป อะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 01:59:00 ด้วยความเคารพนะครับ แต่ผมว่าท่านมาผิดทาง ถ้าท่านอยากศึกษาอะไรก่อนตาย ผมแนะนำให้ลอง วิปัสสนากรรมฐาน ครับ แล้วท่านก็จะไม่อยากอ่านอะไรอีก
:wanwan017: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:04:59 จริงๆถ้าจิตเข้าสู่สมาธิ แล้วเกิดปัญญา ก็จะเข้าใจทุกอย่างในโลกได้เองโดยอัตโนมัติ เพราะจิตรับรู้เหนือสำนึกโดยทั่วไปได้เอง
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:07:26 อะไรคือปัญญา ที่เกิดจากสมาธิครับ ผมความรู้น้อยอธิบายได้ไหมครับ ไม่ต้องบอกผมว่าปัจจัตตังนะครับ เมียชอบพูดคำนี้มาก :wanwan004: :wanwan004: :wanwan004:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:10:20 หรือให้เข้าใจง่าย ๆ เข้าไปอีก จิตเหนือสำนึก คือจิตเหนือกิเสล นั่นเอง คือกิเลสทำอะไรไม่ได้
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:13:15 ง่าย ๆ ปัญญาเกิดจากความคิดที่เป็นเหตุผล อยากเป็นคนมีเหตุผลมีสติปัญญา ต้องโยนิโมนสิการ บ่อย ๆ (หมั่นคิดไตร่ตรองโดยใช้เหตุและผล)
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:14:41 ผมคิดว่าความรู้ที่แวบเข้าสู่หัวสมอง แล้วร้อง อ๋อ นั่นแหละครับ
หรืออาการคล้ายๆ เดจาวู เหมือนจะเคยรู้เคยเห็น แต่ก็ไม่เคยมาก่อน หรืออย่างเวลาเราฝัน เรารู้จักคนนี้ เรารู้จักคนนั้น แต่พอตื่นมาเรากลับจำไม่ได้ว่าตกลงคนนั้นเป็นใครกันแน่ ซึ่งในขณะฝันจิตเราเปิดกว่าปกติ ข้อมูลต่างๆไหลเข้าสู่สมองทำให้เรารับรู้และเข้าใจไปโดยอัตโนมัติ คาดเดาว่าเป็นประมาณนี้ ถ้าลองอ่านในหนังสือ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น (เล่มนี้ผมชอบ) เขาจะอธิบายไว้ว่า เราอยู่ในโลก 3 มิติ (ไม่นับมิติที่ 4 ที่เป็นเวลา) เราสามารถเข้าใจโลก 2D ได้ ในขณะที่มดที่เดินไปเจอหนังยางมันก็จะเห็นแบนๆราบๆ แค่ 2D แต่ไม่เข้าใจ 3D แต่ขณะที่เรามองจากด้านบนลงมาเราเห็นครบทุกมิติ ซึ่งการที่เราอยู่ใน 3 มิตินี้ เราจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามิติที่สูงกว่านี้เป็นอย่างไร แต่ถ้าจิตเราเป็นสมาธิ และเกิดปัญญา ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นจะไหลเข้ามาและเราจะรับรู้ได้เองจากปัญญาที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ สิ่งต่างๆมันมีคำอธิบายเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ระดับการรับรู้ของเรานั้นไปไม่ถึง แต่เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงที่สุด จึงตรัสรู้และรับรู้ได้ถึงภูมิปัญญาทั้งหมดและเข้าใจในทุกสรรพสิ่งที่เราไม่เคยรู้นั่นเอง แก้ไขคำผิดกับประโยคกำกวมนิดหน่อย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:15:11 ยาวไปปปปปปป ...ชอบๆๆ สาระแล้ว.. :'(
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:16:17 ส่วนเรื่องสมาธิ เวลาทำอะไรก็ตั้งสติให้ดี อย่าลนลาน อย่าคิดไปเอง อย่าตัดสินอะไรอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องไปเข้าฌานอะไรให้มากมาย ธรรมมะเป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่คิดมาก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:19:24 อ้างถึง ผมคิดว่าความรู้ที่แวบเข้าสู่หัวสมอง แล้วลอง อ๋อ นั่นแหละครับ หรืออาการคล้ายๆ เดจาวู เหมือนจะเคยรู้เคยเห็น แต่ก็ไม่เคยมาก่อน หรืออย่างเวลาเราฝัน เรารู้จักคนนี้ เรารู้จักคนนั้น แต่พอตื่นมาเรากลับจำไม่ได้ว่าตกลงคนนั้นเป็นใครกันแน่ ซึ่งในขณะฝันจิตเราเปิดกว่าปกติ ข้อมูลต่างๆไหลเข้าสู่สมองทำให้เรารับรู้และเข้าใจไปโดยอัตโนมัติ คาดเดาว่าเป็นประมาณนี้ ถ้าลองอ่านในหนังสือ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น (เล่มนี้ผมชอบ) เขาจะอธิบายไว้ว่า เราอยู่ในโลก 3 มิติ (ไม่นับมิติที่ 4 ที่เป็นเวลา) เราสามารถเข้าใจโลก 2D ได้ ในขณะที่มดที่เดินไปเจอหนังยางมันก็จะเห็นแบนๆราบๆ แค่ 2D แต่ไม่เข้าใจ 3D แต่ขณะที่เรามองจากด้านบนลงมาเราเห็นครบทุกมิติ ซึ่งการที่เราอยู่ใน 3 มิตินี้ เราจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามิติที่สูงกว่านี้เป็นอย่างไร แต่ถ้าจิตเราเป็นสมาธิ และเกิดปัญหา ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นจะไหลเข้ามาและเราจะรับรู้ได้เองจากปัญญาที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ สิ่งต่างๆมันมีคำอธิบายเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ระดับการรับรู้ของเรานั้นไปไม่ถึง แต่เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงที่สุด จึงตรัสรู้และรับรู้ได้ถึงภูมิปัญญาทั้งหมดและเข้าใจในทุกสรรพสิ่งที่เราไม่เคยรู้นั่นเอง ท่านไม่ต้องอ่านอะไรแล้วล่ะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dummy ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:20:26 เอ่อ สงครามโลกครั้งที่สอง เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อมยังงัยคะ??
งง... คุณอดอล์ฟ แกนับถือพุทธเหรอคะ แกเป็นคนประกาสสงคราม อารยัน น่าจะคริสต์ไม่ใช่เหรอคะ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:21:41 ผมคิดว่าความรู้ที่แวบเข้าสู่หัวสมอง แล้วลอง อ๋อ นั่นแหละครับ หรืออาการคล้ายๆ เดจาวู เหมือนจะเคยรู้เคยเห็น แต่ก็ไม่เคยมาก่อน หรืออย่างเวลาเราฝัน เรารู้จักคนนี้ เรารู้จักคนนั้น แต่พอตื่นมาเรากลับจำไม่ได้ว่าตกลงคนนั้นเป็นใครกันแน่ ซึ่งในขณะฝันจิตเราเปิดกว่าปกติ ข้อมูลต่างๆไหลเข้าสู่สมองทำให้เรารับรู้และเข้าใจไปโดยอัตโนมัติ คาดเดาว่าเป็นประมาณนี้ ถ้าลองอ่านในหนังสือ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น (เล่มนี้ผมชอบ) เขาจะอธิบายไว้ว่า เราอยู่ในโลก 3 มิติ (ไม่นับมิติที่ 4 ที่เป็นเวลา) เราสามารถเข้าใจโลก 2D ได้ ในขณะที่มดที่เดินไปเจอหนังยางมันก็จะเห็นแบนๆราบๆ แค่ 2D แต่ไม่เข้าใจ 3D แต่ขณะที่เรามองจากด้านบนลงมาเราเห็นครบทุกมิติ ซึ่งการที่เราอยู่ใน 3 มิตินี้ เราจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามิติที่สูงกว่านี้เป็นอย่างไร แต่ถ้าจิตเราเป็นสมาธิ และเกิดปัญหา ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นจะไหลเข้ามาและเราจะรับรู้ได้เองจากปัญญาที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ สิ่งต่างๆมันมีคำอธิบายเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ระดับการรับรู้ของเรานั้นไปไม่ถึง แต่เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงที่สุด จึงตรัสรู้และรับรู้ได้ถึงภูมิปัญญาทั้งหมดและเข้าใจในทุกสรรพสิ่งที่เราไม่เคยรู้นั่นเอง อย่างนี้ก็หมายความว่า มันขึ้นอยู่กับระดับจิตของเราใช่ไหมครับ อย่างเช่น ระดับจิตของแมลงวัน นั้น จะไม่สามารถรับรู้ได้ว่า สิ่งที่มันเกาะนั้นคืออะไร เกาะที่แขนคน ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกาะนั้นคือแขนของคน เปรียบเสมือนกับเรา เขาใจโลกใบนี้ว่าไม่มีชีวิต แต่ระดับจิตของเราไปไม่ถึงโลก (อาจเป็นเช่นนั้นหรือไม่เป็น) โลกก็มีชีวิตอีกแบบ ระัดับจิตหากไปถึงจะเข้าถึงโลกใบนี้ได้ หากเราตรัสรู้ หรือชาญสมาบัติ 9 (ตรงนี้ไม่แน่ใจนะว่าเรียกแบบนี้)นั้นก็หมายความว่าเราจะมีจิตรับรู้ทุกอย่าง ใช่ไหมครับ น่าจะใช่นะ เพราะเคยอ่านประวัติพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้อะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:24:14 โค๊ด: ผมรู้สาเหตุที่แน่ชัดแล้วที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม ที่สำคัญเลยคนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขา รู้ จะเน้นเอาแต่สาระข้อ พุทธศาสนาเสื่อม เพราะเหตุนี้หรือครับ ท่านบอกว่า เสื่อมเพราะ คนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขา รู้ จะเน้นเอาแต่สาระข้อธรรมอย่างเดียว ด้วยความคิดว่าประสบการณ์ของผู้อื่นตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ทำให้เรื่องตามประสบการณ์กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อเจอ ทำไมจะพิสูจน์ไม่ได้ละครับ เพราะพอจะหาทางพิสูจน์ แทนที่ท่านจะให้ความร่วมมือพิสูจน์ท่านก็จะหาทางไม่พิสูจน์ แต่พอจะตัดเรื่องนี้ออกไปเพื่อพูดถึงแก่นธรรมะ ท่านกลับจะย้อนมาว่าทำไมเรามองข้ามเรื่องนี้ไป เป็นสาเหตุให้พระพุทธศาสนาเสื่อม สรุปแล้วควรพิสูจน์ใช่ไม๊ครับ และถ้าจะพิสูจน์ท่านจะยอมให้พิสูจน์ไม๊ (เดี๋ยวท่านก็หาทางไม่ให้พิสูจน์อีก แน่ๆ) ความจริงแล้ว การอวดอิทธิฤทธิ์ของผู้ที่ไม่ได้มีจริงๆ ต่างหากที่ทำให้ศาสนาเสื่อม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:26:15 ที่เขาพูดกันบ่อยๆว่า สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า เพราะจิตเราเป็นตัวกำหนดหรือสร้างขึ้นมาครับ เอาง่ายๆสิ่งที่เราคิดว่ามี หรือเห็น จริงๆมันไม่มีอยู่ แต่เรารู้สึกมันได้ด้วยจิต
ดูอย่างเวลาเราฝัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในสมอง แต่เราสัมผัสจับต้องได้ รู้สึกได้แม้แต่สิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน (คาดว่าเป็นข้อมูลที่ฝังอยู่ในจิต) ทุกอย่างที่เราเห็นเกิดขึ้นในระดับมิตินี้ มองว่ามันใช่แบบนี้ แต่นายแพทย์ประสานต่างใจ เคยมาอบรบที่มหาลัยผมแล้วเขาบอกว่า มิตินั้นมีทั้งหมด 16 มิติ การที่เราเห็นสิ่งต่างๆวัตถุต่างๆในมิตินี้ ไม่ได้หมายความว่าวัตถุจะคงรูปอยู่อย่างนั้นในมิติอื่นๆเสมอไป ป.ล. บางทีอ่านๆให้รีเฟรชอีกรอบเพราะผมลืมตรวจทานบางทีมีคำเกินทำให้ผิดความหมาย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: adsene5438 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:27:59 ที่เขาพูดกันบ่อยๆว่า สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า เพราะจิตเราเป็นตัวกำหนดหรือสร้างขึ้นมาครับ เอาง่ายๆสิ่งที่เราคิดว่ามี หรือเห็น จริงๆมันไม่มีอยู่ แต่เรารู้สึกมันได้ด้วยจิต ดูอย่างเวลาเราฝัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในสมอง แต่เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ รู้สึกได้แม้แต่สิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน (คาดว่าเป็นข้อมูลที่ฝังอยู่ในจิต) ทุกอย่างที่เราเห็นเกิดขึ้นในระดับมิตินี้ มองว่ามันใช่แบบนี้ แต่นายแพทย์ประสานต่างใจ เคยมาอบรบที่มหาลัยผมแล้วเขาบอกว่า มิตินั้นมีทั้งหมด 16 มิติ การที่เราเห็นสิ่งต่างๆวัตถุต่างๆในมิตินี้ ไม่ได้หมายความว่าวัตถุจะคงรูปอยู่อย่างนั้นในมิติอื่นๆเสมอไป รู้สึกจะมี 32 แล้วมั้งครับ อันนี้ไม่แน่ใจเรื่องมิตินะครับ รู้สึกว่าที่ไอสไตย์บอกว่ามี 4 ต่อมาเขาคิดและคนพบเป็น 32 แล้วมั้งครับ ไม่แน่ใจนะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:29:03 จิตของคนมักคิดเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ (อจินไตย คิดไปก็เท่านั้น)
เช่น ใครอยากเจอเนื้อคู่ ให้หวีผมหน้ากระจก ตรงหน้าต่างตอนเที่ยงคืน หน้าของเนื้อคู่จะปรากฏ ซึ้งจริง ๆ ถ้าท่านอยากเจอเนื้อคู่ ง่ายนิดเดียว แค่เป็นคนร่าเริง จริงใจ ออกสังคมบ้าง มีน้ำใจ แค่นี้ก็จะเจอเนื้อคู่ อยากผอมต้องเข้าคอร์สสูตรมหัศจรรย์ ราคา 400000 บาท ความจริงถ้าอยากผอม ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ควบคุมอารมณ์ แล้วจะผอมเอง อยากรวยต้องไปหาหมอผีใบ้หวย อยากรวยก็ทำงานสิครับ ขยันกว่าคนอื่นก็รวยกว่าคนอื่น อยากเจอผีต้องเล่นผีถ้วยแก้ว อยากเจอผีก็ท่านก็คงเจออยู่ คนวิปริตจิตอกุศลนั่นแหละผี อะไรที่มันธรรมดา ๆ นั่นแหละ ดีที่สุด หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: skylove ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:30:26 :wanwan023:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:31:32 มิติมีกี่มิตินี่ผมก็ไม่ได้ศึกษาเพิ่มหน่ะนะ เพราะตั้งแต่ผมอยู่ ปี 3 ก็หลายปีแล้วหล่ะครับ เขาพิสูจน์กันยังไงก็ไม่รู้ 55
ผมยังเป็นคนที่ติดอยู่ในโลกแห่งกิเลส และบาป ครับอิๆ คงต้องถึงจุดอิ่มตัว เบื่อและปลง เสียก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:34:00 ถ้าจะแชร์เรื่องประสบการณ์ทางจิต เช่น การรู้สึกตัวในฝัน หรือควบคุมความฝันได้ ผมเป็นหลายครั้งครับ
ผมเคยหยิบก้อนหินในความฝัน ซึ่งตอนนั้นรู้ว่าตัวเองฝันอยู่ มาพิจารณาดูว่ามันเหมือนในโลกความจริงไม๊ ปรากฏว่าเหมือนกันทุกอย่างครับ มีรูปลักษณ์ มีสี มีน้ำหนัก แต่ความแตกต่างคือ ในฝันพอหันไปทางอื่นแล้วหันกลับมา ก้อนหินที่เราถือมันหายไปแล้ว นอกจากนี้ในฝันก็มีกลิ่นด้วยครับ เราได้กลิ่นในฝันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดคือฝัน ไม่เกี่ยวกับพระศิวะเตะใครขึ้นสวรรค์ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:39:40 บางทีผมยังพิเรนทร์ คิดฟุ้งซ่าน นั่งจินตนาการถึงรสชาติและกลิ่นของมาม่า เองเลยครับ ก็แอบๆคิดอ่ะนะว่า ในฝันเรารับรู้ได้ ทำไมในโลกแห่งความจริงเราจึงไม่สามารถจินตนาการให้ได้อย่างในฝัน สงสัยคงต้องเป็นสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น บางทีก็นั่งทำมือ แล้วก็คิดและรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังสัมผัสสิ่งของสิ่งหนึ่งอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จหรอกครับ แค่อยากลองดูว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
เคยฟังข่าวคนที่นั่งสมาธิเหวี่ยงไหมครับ ว่าทำไมเขาถึงไม่นั่งนิ่งๆ สาเหตุก็คือ ตอนเรานั่งสมาธิตัวเราจะเบา และจิตเราจะคุมกายได้ง่าย สาเหตุที่เขาเหวี่ยงตัว เพราะเขาต้องการจะจับสัมผัสระหว่างจิตกับกายที่เชื่อมโยงกันอยู่ เหมือนที่ผมทำเวลาคิด แล้วกายก็เคลื่อนไหวไปตามที่คิดนั่นหล่ะ ซึ่งโดยปกติเราจะขยับร่างกายไปเองโดยปกติอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยได้สังเกตุการควบคุมของจิตสักเท่าไร หรืออย่างคนที่ชอบไปเล่นไทเก๊ก เราก็ไม่เข้าใจทำไมต้องไปรำเคลื่อนไหวช้าๆแบบนั้น แต่ผมคิดว่าสาเหตุเดียวกัน คือจับให้ได้ถึงสัมผัสของจิตที่สั่งกาย (อาการมันจะคล้ายๆแรงผลักของแม่เหล็กมีแรงดูดและผลักเอง) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:44:39 บางทีผมยังพิเรนทร์ คิดฟุ้งซ่าน นั่งจินตนาการถึงรสชาติและกลิ่นของมาม่า เองเลยครับ ก็แอบๆคิดอ่ะนะว่า ในฝันเรารับรู้ได้ ทำไมในโลกแห่งความจริงเราจึงไม่สามารถจินตนาการให้ได้อย่างในฝัน สงสัยคงต้องเป็นสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น บางทีก็นั่งทำมือ แล้วก็คิดและรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังสัมผัสสิ่งของสิ่งหนึ่งอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จหรอกครับ แค่อยากลองดูว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ในโลกความจริงผมว่าบางคนสร้างภาพติดตาขึ้นมาได้ เช่น กสิน ผมเชื่อว่ามีจริง แต่ก็คิดว่าเป็นการเห้นเองคนเดียว ในบันทึกของพระพุทธทาส มีการกล่าวถึงการเห็นภาพปลาในมือ ซึ่งสุดท้ายท่านเห็นว่าไม่มีประโยชน์ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:50:04 ถ้าในแง่ของคนที่ต้องการบรรลุถึงขั้นนิพพาน สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์นั่นแหละครับ เพราะมันทำให้เราติดในความเร้นลับหรืออภินิหารนั่นเอง
บ้างก็ให้เพ่งกสิณ บ้างก็ให้เพ่งจุดจักระแต่ละจุด ส่วนผมลองแค่เอารู้เฉยๆมากกว่าว่าจะทำได้ไหม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:50:47 อ้างถึง ที่เขาพูดกันบ่อยๆว่า สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า เพราะจิตเราเป็นตัวกำหนดหรือสร้างขึ้นมาครับ เอาง่ายๆสิ่งที่เราคิดว่ามี หรือเห็น จริงๆมันไม่มีอยู่ แต่เรารู้สึกมันได้ด้วยจิต ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งว่างเปล่าครับ ทุกอย่างในจักรวาลมีอยู่จริง ดูอย่างเวลาเราฝัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในสมอง แต่เราสัมผัสจับต้องได้ รู้สึกได้แม้แต่สิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน (คาดว่าเป็นข้อมูลที่ฝังอยู่ในจิต) ทุกอย่างที่เราเห็นเกิดขึ้นในระดับมิตินี้ มองว่ามันใช่แบบนี้ แต่นายแพทย์ประสานต่างใจ เคยมาอบรบที่มหาลัยผมแล้วเขาบอกว่า มิตินั้นมีทั้งหมด 16 มิติ การที่เราเห็นสิ่งต่างๆวัตถุต่างๆในมิตินี้ ไม่ได้หมายความว่าวัตถุจะคงรูปอยู่อย่างนั้นในมิติอื่นๆเสมอไป สมมติให้เห็นชัดว่า สมมติว่า มีมดอยู่ตัวหนึ่ง เดินมากัดขาผม ผมเจ็บเดินหนีไปบนถนน ถูกรถชน กระเด็น รถเสียหลักพุ่งเข้าไปในสนามบิน เครื่องบินกำลังขึ้นพอดี รถชนหางเครื่องบินพัง ระเบิดคนตายทั้งลำ ในเครื่องบินมีประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจอยู่ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศนั้นคิดว่ามีการก่อการร้าย ส่งเครื่อง f18 มาถล่มสนามบิน ship หายวายป่วงกันไปหมด ถ้ามันเกิดขึ้นจริงมันก็จริง เราจะรับรู้ได้ว่ามันจริงก็ต่อเมื่อมันมีผลกระทบกับเรา เช่นถ้าท่านนั่งอยู่ในเครื่องบิน ท่านจะคิดมั้ยว่า ทุกสิ่งว่างเปล่า โอ เราหนอ บรรลุกันเถิด ทุกอย่างมีจริง ต้นไม้ แม่น้ำ คน เรา ภรรยา ลูก ความรัก ไม่ใช่ความว่างเปล่า ไม่ใช่สิ่งลวงตา เรารับรู้ได้ทั้งหมด ส่วนความฝันก็เป็นความฝัน เป็นจิตใต้สำนึกที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนเรื่อง มิติที่ 16 บิต 32 บิต นั่นปล่อยมันไปเถอะครับ จะไปกันใหญ่ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:54:23 ถ้าอยากเข้าถึงนิพพาน อย่าไปนึกถึงความว่างเปล่าครับ คนละเรื่องกัน นิพพานคือ ปล่อยวางตัวกู ของกู
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:55:08 ผมคิดว่ามันคงเป็นคำเปรียบเปรยหน่ะ
แนวๆที่พูดกันว่า สิ่งที่เราเห็นว่าจริง ไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริงแท้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:58:36 อ้างถึง ผมคิดว่ามันคงเป็นคำเปรียบเปรยหน่ะ แนวๆที่พูดกันว่า สิ่งที่เราเห็นว่าจริง ไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริงแท้ นั่นคือ อนัตตาครับ แปลว่า เปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา แต่คนส่วนมากไปแปลว่า ไม่มีตัวตน ผิดครับ อนัตตา คือไม่คงรูป ไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา เช่นเราหยิบแก้วน้ำขึ้นมาใบหนึ่ง เราอาจคิดว่า มันคงรูปอยู่ แต่แท้จริงแล้วไม่ อนุภาคของมันถูกกัดกร่อน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หมั่นพิจารณาจะเห็น(รู้)ครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 02:59:50 ยาวได้อีก ชอบๆๆ จัดมาเยอะๆครับ ....ผมชอบบอร์ดเวลาเป็นแบบนี้นะ ไม่ได้สักแต่ seo ...ว่าแต่ท่านมัคไปไหนแล้วอะ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:01:14 เรื่องของอนัตตา วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าจริง คือสสารมีการเปลี่ยนรูป สถานะตลอดเวลาอย่างช้าหรืออย่างเร็ว
แต่พระพุทธเจ้ารู้ก่อนนานแล้ว หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:13:46 เลยเวลานอนของผมไปชั่วโมงนึงแล้ว ต้องจากลาไปเสียก่อน
ไว้ผมศึกษาธรรมะจริงจังมากกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่ครับ จำศัพท์บางคำไม่ค่อยได้ (ยังไม่เคยได้บวชเลย) ส่วนเรื่องสสารเปลี่ยนรูปนั้น ผมว่ามันคงคล้ายๆกฏที่ว่า สสาร เปลี่ยนเป็นพลังงานได้กระมัง และพลังงานก็เปลี่ยนเป็นสสารได้ เคยเขียนไว้อีกกระทู้ที่ถูกลบไปแล้ว สุดท้ายวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไร ก็ไปจบที่ผลลัพธ์ที่ศาสนาได้เปิดเผยไว้แล้ว เพียงแต่วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นแล้วจึงรู้ แต่ศาสนานั้นรู้แล้วจึงได้เห็น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:15:05 ดริฟต์จนหนื่อยแล้ว ท่านอื่นเชิญดริฟต์บ้าง ว่าแต่ท่านพี่บรรทมเสียแล้วหรือ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:22:51 ศาสนาคือความเชื่อครับ ท่านต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนแล้วจึงจะปล่อยวางได้ ความเชื่อคืออาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
วิทยาศาสตร์คือการทดลอง คาดเดา วิเคราะห์สรุปผล โดยใช้เหตุผลและความน่าจะเป็น วิทยาศาสตร์พิสูจน์ศาสนาไม่ได้ สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้นั้นมีน้อยมาก และที่พิสูจน์ได้ก็ไม่ยั่งยืน เช่น กินไข่ได้วันละกี่ฟอง บางงานวิจัยบอกว่า 1 ฟอง บางงานฯ บอกว่า 2 ฟอง บางงานฯบอกว่ากี่ฟองก็ได้ ในอนาคตก็มีงานวิจัยออกมาอีก ถ้าจะบอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ก็มีส่วนถูกอยู่ แล้วเราจะเอาอะไรมาสรุป ก็กลับไปที่ “ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา” ไม่มีอะไรจริงไปกว่านี้อีกแล้ว ใครจะเถียง ยกมือ อภิปราย ไม่มีหรอกครับ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Pookieman ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:34:53 แวะมาอ่านครับ :'(
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: cotton ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 03:45:02 ถ้าโลกนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โลกก็สงบสุขแล้ว
นรก สวรรค์ ผมไม่เชื่อ 100% มันคงเป็น กุลศโลบาย อย่างนึงที่ทำให้คนกลัวที่จะทำชั่ว แต่ขอบอกว่าได้ผลดีมากๆ เหตุผลที่ผมไม่เชื่อเพราะมันไม่มีเหตุผลเลยไงหล่ะ เจอแต่คำพูดที่ว่า "ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก" "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ที่ผ่านมามีแต่ความเชื่อ ความศรัธา ไม่มีใครพิสูจน์ได้ มันจึงเกิดเรื่องเล่าขึ้นต่างๆนานา บางคนที่มั่นใจว่าเจอเข้าจริงๆ ส่วนใหญ่นั่นเกิดจากจิตใจใต้สำนึกที่มีความเชื่ออยู่แล้ว ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น เกิดมโนภาพขึ้นมาเอง แล้วก็มาเล่าต่อๆกัน สมมติว่ามีจริงทำไมผู้ที่มีบทบาททั้งหลายในภพภูมิอื่น ไม่ออกมาชี้แจงแถลงไขกันเลยว่า เฮ้ย มันมีจริงๆนะแล้วก้ออกมาเล่ากันเลยว่ามันเป้นยังไง flowchart ยังไงเมื่อตายไปแล้ว แล้วมีบรรทัดฐานในการตัดสินยังไง ถ้าคุณออกมาชี้แจงมันจะเกิดประโยชน์มากมาย มันจะทำให้คนที่คิดจะทำชั่วได้เกรงกลัวต่อผลที่มันจะเกิด บางทีเค้าอาจกลับตัวสร้างประโยชน์มากมายให้กลับโลกก้ได้ และที่สำคัญมันจะทำให้คนที่ทำดีไม่หมดไปจากโลก ถ้าจะให้เชื่่อเรื่องนรก สวรรค์ ผมว่า เรื่องมนุษย์ต่างดาวยังน่าเชื่อกว่าอีกเพราะมันมีเหตุมีผล ปล. มนุษย์ต่างดาว ตายแล้วไปไหน จะเป็น 49 วันแบบเรามั๊ย แล้วพวกอะมีบา แบคที่เรียหละ ได้กี่วัน แล้วมีคนมารับมั๊ย :wanwan024: ปล2. ไม่ได้พูดถึงศาสนาอย่าหลงประเด็น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Positron ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 04:43:55 เพ้อเจ้อ...!!! ว่าจะไม่พิมแล้วเชียว งั้นก็ขอไม่พิมต่อไปนะครับ:wanwan004: ขอยืมมาใช้ด้วยแล้วกัน แต่ขอใช้กับท่านผู้นั้น.. ในกระทู้นี้ ผู้เดียวนะครับ เพราะจากที่เจอมาหลายกระทู้ จะแนวๆว่า 1. Guรู้ เพราะGuเอง 2. Guเก่ง เพราะGuเอง 3. Guเคยแล้วนะเฟ้ย 4. ถ้ายังสงสัย ให้วนกลับไปอ่านข้อ 1ใหม่ี บอกตรงๆเลย ว่าผม เอียน มากๆ ที่ทำได้ก็แค่ ถ้าเจอ replyหรือpost ไหน เป็นของท่านผู้นี้ ผมจะข้ามไปโดนไว จะไม่มองเนื้อหาให้เสียสายตา แต่ในวันนี้ ก็เผลออ่านไปจนได้ :( ปล. ผมคือมนุษย์โลก ไม่ใช่ชาวซุปแปอร์ไซย่า หรือ ชาวดาวนาเม็กนะครับ :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Vladipooh ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 04:58:04 มีคนสรุปกระทู้นี้ให้ผมไหมอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Positron ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 05:10:50 โำพสต์สุดท้ายสำหรับกระทู้นี้ของผม
ถ้าท่านสำเร็จทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างจริง ท่านก็น่าจะรู้ว่า สิ่งที่ท่านทำอยู่ มันทำให้คนอื่นคิดกับท่านยังไงกันบ้าง หรือว่า ท่านไม่สนใจ อันนี้ก็แล้วแต่ท่าน แต่สิ่งที่ผมและใครหลายคนที่ผมรู้สึกได้ว่าเค้าก็คิดเหมือนผม นั่นคือท่านชอบ โอ้อวด :wanwan032: ไปแระ บ๊าย บาย. ::) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: anivox ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 06:09:37 ผมไม่ค่อยเชื่อกับบทความนี้นะครับ มันดูเคร่งศาสนาเกินไป ไม่เดินทางสายกลางแบบที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้จริงๆ ถ้ามีชิวิตอยู่โดยทำตามสิ่งที่เตือนเหล่านี้ ผมว่าต้องออกบวชแล้วละครับ ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์
ตา หู จมูก ปาก - ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ ....... อะนะ ผมดูหนังโป๊ ผมชอบเรื่องอย่างว่า ธรรมชาติของผู้ชาย ห้ามได้ไง ธรรมชาติสร้างมา แต่ผมเป็นคนดี แสดงว่าผมต้องเกิดเป็นสัตว์ปีก ? - หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา ....... การรับฟังคนอื่น เข้าสังคม แต่ผมเป็นคนดี ผมต้องเกิดเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ? (ใอเรื่องแบบนี้มีอยู่แบบจะทุกกลุ่ม เพื่อนทุกคนอยู่แล้ว) - จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ....... ชื่นชอบเงินที่ได้มาจากการทำงานของตัวเอง ผิดด้วยเหรอ? , สุราก็ดื่มเวลาไปปาร์ตี้ (อันนี้รู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ) , ชอบเพศตรงข้าม(สาวๆ) อะผิดอีก -*- .... ผมจะไปเกิดเป็นแมลง - ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ........ เรื่องนี้ผมทำแค่ พูดเรื่องเฮฮา ตลก หัวเราะกับเพื่อนๆขำๆมากกว่า ฉนั้นขอไม่พูดถึง ผมขอบอกตัวเองเลยว่าเป็นคนดี ช่วยพ่อแม่ทำงานทุกวัน, ไปทำงานของตัวเอง, ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ พวกท่านภูมิใจด้วยซ้ำ, นับถือศาสนาพุทธ, เดินทางสายกลาง, คิดว่าเกิดมาทำให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุขที่สุด โดยที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น สิ่งที่คิดว่าผมไม่ดี สำหรับตัวเอง ........... ไม่ชอบทำบุญ เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ควรจะเท่ากัน แต่เป็นคนมีเมตตาเวลาเห็นคนอื่นที่เดือดร้อนจริงๆถึงจะช่วย ไม่ใช่แบบว่าเขาสบายๆอยู่แล้วไปช่วยเขา โดยที่ตัวเองลำบาก, ไม่ค่อยสวดมนต์, ดื่มสุรา, หลงนารี ถ้าใครเชื่อแล้วอยากจะทำตาม ผมก็ขอแนะนำให้บวช และขออนุโมธนาบุญไว้ที่นี้ด้วยครับ สิ่งที่บทความบอกก็เป็นสิ่งที่ดีๆทั้งนั้น แต่คนเราเดินทางสายกลางดีกว่าครับ แต่สื่งหลายสิ่งที่บทความเตือนนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างมาให้มนุษย์เป็นแบบนี้อยู่แล้ว บทความนี้พยายามตีคนให้อยู่ในกรอบ เหมือนกึ่งๆคอมมิวนิส นิดๆอย่างไงไม่รู้ ทำให้คนกลัว "การให้คนทำตาม โดยทำให้คนหวาดกลัว" ผมเกลียดมากเลยครับ แค่พยายามถือศีลห้าก็พอแล้วครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: k_sakda ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 06:55:20 สติ พิจารณาเองครับ แต่ยาวมากเลย
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 07:05:50 โค๊ด: ผมรู้สาเหตุที่แน่ชัดแล้วที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม ที่สำคัญเลยคนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขา รู้ จะเน้นเอาแต่สาระข้อ พุทธศาสนาเสื่อม เพราะเหตุนี้หรือครับ ท่านบอกว่า เสื่อมเพราะ คนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขา รู้ จะเน้นเอาแต่สาระข้อธรรมอย่างเดียว ด้วยความคิดว่าประสบการณ์ของผู้อื่นตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ทำให้เรื่องตามประสบการณ์กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อเจอ ทำไมจะพิสูจน์ไม่ได้ละครับ เพราะพอจะหาทางพิสูจน์ แทนที่ท่านจะให้ความร่วมมือพิสูจน์ท่านก็จะหาทางไม่พิสูจน์ แต่พอจะตัดเรื่องนี้ออกไปเพื่อพูดถึงแก่นธรรมะ ท่านกลับจะย้อนมาว่าทำไมเรามองข้ามเรื่องนี้ไป เป็นสาเหตุให้พระพุทธศาสนาเสื่อม สรุปแล้วควรพิสูจน์ใช่ไม๊ครับ และถ้าจะพิสูจน์ท่านจะยอมให้พิสูจน์ไม๊ (เดี๋ยวท่านก็หาทางไม่ให้พิสูจน์อีก แน่ๆ) ความจริงแล้ว การอวดอิทธิฤทธิ์ของผู้ที่ไม่ได้มีจริงๆ ต่างหากที่ทำให้ศาสนาเสื่อม ที่จริงปัจจัยที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมมีมาหลายปัจจัย แต่ที่ผมบอกไว้นั้นเป็นปัจจัยหนึ่งแล้วก่อนจะมาถึงกระทู้นี้ผมอ่านเจอ http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,149260.msg2036677.html#msg2036677 เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมได้มาเหมือนกัน แล้วผมก็ตอบมาก่อนคุณบอลซะด้วย เพียงแต่ไม่ได้เขียนออกมานั่นเอง ในเว็บผมมี อธิบายไว้แล้วเรื่องอธิวจนะ ฉะนั้นคนที่จะสามารถพิสูจน์ได้่ว่าสิ่งที่ผมเล่าเป็นอย่างไรก็น่าจะเป็นคุณบอลนั่นแหล่ะ เพราะจากที่คุณบอลเล่าจะเป็นวิธีที่พิสูจน์ สิ่งที่ผมเล่าได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง นี่ถ้าผมตอบเองบรรยากาศจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมจึงขอยืมคำตอบของคุณบอลมาตอบ เพราะสิ่งที่คุณบอลนี่คือปัญญาทั้งหมดที่ได้จากพุทธศาสนา เมื่อมีปัญญาก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ผมเล่าได้ อาผมก็พิสูจน์ด้วย วิธีแบบคุณบอลเล่าได้เหมือนกัน ผมลองเล่าอะไรไปผมก็เห็นเขาหลับตาดูที่ผมเล่าแล้วมันก็ขึ้นภาพให้เห็น ถ้าไม่จริงไม่มีภาพ ปรากฏขึ้น ในเมื่อมันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีอื่นได้ แต่หลายคนจะให้พิสูจน์ในแบบ physic ธรรมดา สิ่งที่เกิด มันจึงวนอยู่ในอ่าง คำตอบของคุณบอลมาช่วยผมอีกแล้ว แล้วนี่ทำให้ผมอยกรู้อะไรผมก็รุ้แหล่ะโดยเฉพาะข้อธรรม รวมทั้งสิ่งที่ผมตอบก็เอามาจากกระบวนเดียวกันกับคุณบอลได้ เมื่ออยู่บนฐานเดียวกันก็พิสูจน์ซึ่งกันและกันได้ แต่ผม สังเกตว่าสิ่งนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับสิ่งที่เอามาลองทำเล่น ๆ แบบลองของเพราะคำตอบจะได้มาเพี้ยน ส่วนการอวดอิทธิฤทธิ์คุณวิเศษก็ใช่ แต่พิจารณาให้ดี ๆ ความเสื่อมในพุทธศาสนาไม่ได้มีเหตุมาจากสาเตุนี้ พราะคนที่ จะอวดอิทธิฤทธิ์ได้อย่างน้อยต้องมีกระบวนการตามที่คุณบอลว่าเกิดขึ้นในตนก่อน แล้วการอวดอิทะิฤทธิ์ไม่ได้ทำให้ ศาสนาเสื่อมแต่จะทำให้่ตนเสื่อม คือแทนที่จะสนใจการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังกลับมาสนใจเรื่องอิทะิฤทธิ์จนไม่ได้สน ใจการปฏิบัติ แต่อาการที่เกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดความเสื่อมที่จริงนั้น เป็นเพราะไม่ได้นำหลักปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง อย่างชัดเจน แล้วผมก็ยกหลักธรรมบางอย่างพร้อมทั้งเอาหลักฐานให้ไปค้นใน Google ให้เห็นด้วย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Dream2000 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 07:07:42 หลายมุมมอง แบบนี้ชอบครับ อ่านยังไม่หมด Book ไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านต่อ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 07:23:23 เอ่อ สงครามโลกครั้งที่สอง เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อมยังงัยคะ?? งง... คุณอดอล์ฟ แกนับถือพุทธเหรอคะ แกเป็นคนประกาสสงคราม อารยัน น่าจะคริสต์ไม่ใช่เหรอคะ :P เพราะถ้าทุกคนปฏิบัติได้ตามหลักคำสอนในพุทธศาสนาแท้ ๆ สงครามจะไม่เกิด ทีนี้มาดูวาสงครามเกิดได้อย่างไร ผลประโยชน์ขัดกันผู้มีอำนาจมากกว่าใช้กำลังกดขี่คนที่มีกำลังน้อยกว่าอันนี้เกิดจากความโลภ ถ้าปฏิบัติตามหลัก พุทธศาสนาจริงสังคมจะอยุ่อย่างพอเพียงไม่มีคำว่าโลภแล้วทุกคนบนโลกจะอยู่ได้ การเกิดสงครามโลกจึงพิสูจน์ ได้ว่าพุทะศาสนาเสื่อมไปจากสังคมโลกนานแล้ว โดยที่สงครามโลกเกิดก่อนที่ผมจะเกิด ความแตกแยกทางความคิดเห็นอันเกิดจากความพอใจหรือไม่พอใจ แล้วนำมาซึ่งความเชื่อหรือไม่เชื่อ ทำให้ความเห็น ต่างกัน ความเห็นต่างกันทำให้เกิดสงครามได้ ถ้ัาปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาจะมีหลักธรรมป้องกันการเสื่อมอยุ่ คือ หลักปฏิจจสมุปบาทคือก่อนเกิดสงครามดลกขึ้นจะคิดได้ว่าถ้าทำสงครามแล้วจะได้อะไรเสียอะไร พอคิดถึงผลได้ผล เสียสงครามอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ต่อมาการปฏิบัติตามหลักกาลามสูสร 10 จะทำให้ทุกคนเข้าถึงความจริงในตน ได้ จะช่วยขจัดความพอใจหรือไม่พอใจซึ่งเป็นหนึ่งในอคติ 4 ก็จะไม่ตัดสินใจอะไรไปโดยอาศัยความเชื่อ เพราะ ความพอใจจะรวมถึงการตัดสินความถูกผิดในความคิดของผู้อื่นด้วย เช่นการที่เราเห็นคำตอบของบางคนเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งหมดโดยไม่อ่าน หรืออ่านแล้วไม่แยกแยะในสิ่งที่เขาเขียน จะกลายเป็นอคติเพราะความไม่พอใจได้ ขอสรุปไว้ 2 ประเด็นเท่าที่นึกออกก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 07:49:54 โำพสต์สุดท้ายสำหรับกระทู้นี้ของผม ถ้าท่านสำเร็จทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างจริง ท่านก็น่าจะรู้ว่า สิ่งที่ท่านทำอยู่ มันทำให้คนอื่นคิดกับท่านยังไงกันบ้าง หรือว่า ท่านไม่สนใจ อันนี้ก็แล้วแต่ท่าน แต่สิ่งที่ผมและใครหลายคนที่ผมรู้สึกได้ว่าเค้าก็คิดเหมือนผม นั่นคือท่านชอบ โอ้อวด :wanwan032: ไปแระ บ๊าย บาย. ::) ถ้าอันนี้หมายถึงผมนะ ผมก็ตอบได้คำเดียวว่าคนที่เข้าใจผิดในเรื่อง "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" จะมีความรู้สึกไม่ต่างจากนี้หรอก เพราะเมื่อก่อนผมก็เป็น เพราะคนที่เข้าใจผิดในหลักคำสอนนี้มักจะชอบกล่าวโทษผุ้อื่น แล้วมักจะกล่าววาเพราะคนนั้นคนนี้ทำให้ตนรู้ สึกหรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่พิจารณาว่าตนเหตุมีความตั้งใจหรือไม่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหายอย่างมากอย่างหนึ่งในหลักพุทธศาสนา แล้วนี่คือคำตอบว่าพุทธศาสนาเสื่อมไปจากสังคมแล้วนั่นเอง ฉะนั้นถ้าผมจะเล่าเพื่อการอวดหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องไปสำรวจตรวจสอบตนเอง แล้วตามหลักผู้ที่ไม่สำรวจตนเองให้ถ่องแท้ จะไปกล่าวโทษผู้อื่นว่าผุ้อื่นเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วในทางปฏิบัติคนที่ไปกล่าวโทษผุ้อื่นแสดงว่าผุ้นั้นเป็นเสียเอง ลักษณะอาการที่เป็นแบบ นี้เรียกว่าเป็นความเห็นที่เป็นมานะทิฐิ กล่าวคือตนเองจะต้องอยุ่เหนือคนอื่นจะให้คนอื่นอยู่เหนือตนไม่ได้ โดยอาการของผู้มีมานะทิฐิ จะตอบสนองผุ้มีมานะทิฐิทันที โดยอาการจะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะที่หากรู้สึกว่าใครมีลักษณะพิเศษเหนือตนแล้วเขาออกมาเล่า ก็ไปสรุปทึกทักเอาเองแล้วว่าเขาอวดตัว ในขณะที่คนที่ไม่มีมานะทิฐิจะฟังแล้วเฉย ๆ เช่นผมสังเกตคำตอบของคุณบอลหลายหนที่ บอกว่าประสบการณ์ของใครก็ของคนนั้นผมไม่ก้าวล่วง นั่นเป็นเพราะผู้ที่ไม่มีมานะทิฐิจะทำให้เกิดการเข้าใจในปัจจัตตัง เมื่อไม่มี มานะทิฐิก็คุยกันได้ สิ่งที่คุยคือเอาประสบการณ์มาแลกกันแล้วผมเองก็ได้โอกาสเรียนรุ้ประสบการณ์ของคุณบอล เพราะผมไม่รู้สึกว่า เขามีอะไรเหนือผมหรือมีความรู้มากกว่าผม เพราะผมไม่มีมานะทิฐิแต่ถ้าผมมีมานะทิฐิผมจะอ่าน rep ของคุณบอลไม่รู้เรื่อง แล้ว ความรู้สึกของผมจะไม่ต่างจากท่านหรอก ฉะนั้นมานะทิฐิหรือความถือตัวและการหลงตนจึงเป็นเครื่องบดบังปัญญาของตนโดยแท้ ส่วนที่ผมไม่สนใจเรื่องเจตนาของผุ้อื่นนั้น เป็นเพราะเจตนาของใครผุ้นั้นต้องมีความรับผิดชอบด้วยความจริงใจว่าความตั้งใจของตน เป็นแบบนั้น การกระทำที่จะต้องทำอะไรไปแล้วต้องให้คนอื่นมาเข้าใจเห็นใจสนใจในความคิดของตนเป็นความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว อีกอย่างหนึ่งใครทำอะไรย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจตนเองด้วย ท้ายสุดคนจะปฏิบัติธรรมถูกวิธีเพราะเป็นการนำหลักธรรมนั้นไปใช้กับผู้อื่นแล้วตนเองได้ประโยชน์ แต่พอนำมาใช้กับตนเองแล้วตนเองเสีย ประโยชน์ จะนำส่งที่ตรงกันข้ามกับหลักธรรมนั้นมาใช้เพื่อเป็นข้ออ้าง สิ่งที่เห็นบ่อยคือหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" หากปฏิบัติให้ถูกหลักคือดทุกคนแบไต๋ของตนออกมาเลยว่าตนรู้สึกกับคนอื่นอย่างไร แล้วมาถกกันว่าทำไมคุณรู้สึกแบบนี้ทำไมผมรู้สึกแบบนี้ ต่างคนต่างนำความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาเล่าอย่างตรงไปตรงมา แล้วถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดอย่าไปซ้ำเติมเขา เหตุที่ทำให้คนเราปฏิบัติไม่ถูก หลักธรรมข้อนี้ ก็เพราะตนเองกลัวถูกซ้ำเติมจากคนอื่น ต่างคนต่างกลัวจึงเลี่ยงการแสดงเจตนาที่แท้จริงของตนออกมา ในทางปฏิบัตืิไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเข้าใจเราหรอก แต่ให้เราพยายามเข้าใจคนอื่นแต่จะเข้าใจหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนที่พยายามเข้าใคนอื่น จะไม่สนใจว่าใครจะรู้สึกกับตนอย่างไร แต่จะคิดว่าตนเองรู้สึกกับคนอื่นอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 08:45:25 อ้างถึง ที่จริงปัจจัยที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมมีมาหลายปัจจัย แต่ที่ผมบอกไว้นั้นเป็นปัจจัยหนึ่งแล้วก่อนจะมาถึงกระทู้นี้ผมอ่านเจอ [url]http://www.thaiseoboard.com/in...260.msg2036677.html#msg2036677[/url] เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมได้มาเหมือนกัน แล้วผมก็ตอบมาก่อนคุณบอลซะด้วย เพียงแต่ไม่ได้เขียนออกมานั่นเอง ในเว็บผมมี อธิบายไว้แล้วเรื่องอธิวจนะ ฉะนั้นคนที่จะสามารถพิสูจน์ได้่ว่าสิ่งที่ผมเล่าเป็นอย่างไรก็น่าจะเป็นคุณบอลนั่นแหล่ะ เพราะจากที่คุณบอลเล่าจะเป็นวิธีที่พิสูจน์ สิ่งที่ผมเล่าได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง นี่ถ้าผมตอบเองบรรยากาศจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมจึงขอยืมคำตอบของคุณบอลมาตอบ เพราะสิ่งที่คุณบอลนี่คือปัญญาทั้งหมดที่ได้จากพุทธศาสนา เมื่อมีปัญญาก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ผมเล่าได้ อาผมก็พิสูจน์ด้วย วิธีแบบคุณบอลเล่าได้เหมือนกัน ผมลองเล่าอะไรไปผมก็เห็นเขาหลับตาดูที่ผมเล่าแล้วมันก็ขึ้นภาพให้เห็น ถ้าไม่จริงไม่มีภาพ ปรากฏขึ้น ในเมื่อมันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีอื่นได้ แต่หลายคนจะให้พิสูจน์ในแบบ physic ธรรมดา สิ่งที่เกิด มันจึงวนอยู่ในอ่าง คำตอบของคุณบอลมาช่วยผมอีกแล้ว แล้วนี่ทำให้ผมอยกรู้อะไรผมก็รุ้แหล่ะโดยเฉพาะข้อธรรม รวมทั้งสิ่งที่ผมตอบก็เอามาจากกระบวนเดียวกันกับคุณบอลได้ เมื่ออยู่บนฐานเดียวกันก็พิสูจน์ซึ่งกันและกันได้ แต่ผม สังเกตว่าสิ่งนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับสิ่งที่เอามาลองทำเล่น ๆ แบบลองของเพราะคำตอบจะได้มาเพี้ยน ส่วนการอวดอิทธิฤทธิ์คุณวิเศษก็ใช่ แต่พิจารณาให้ดี ๆ ความเสื่อมในพุทธศาสนาไม่ได้มีเหตุมาจากสาเตุนี้ พราะคนที่ จะอวดอิทธิฤทธิ์ได้อย่างน้อยต้องมีกระบวนการตามที่คุณบอลว่าเกิดขึ้นในตนก่อน แล้วการอวดอิทะิฤทธิ์ไม่ได้ทำให้ ศาสนาเสื่อมแต่จะทำให้่ตนเสื่อม คือแทนที่จะสนใจการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังกลับมาสนใจเรื่องอิทะิฤทธิ์จนไม่ได้สน ใจการปฏิบัติ แต่อาการที่เกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดความเสื่อมที่จริงนั้น เป็นเพราะไม่ได้นำหลักปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง อย่างชัดเจน แล้วผมก็ยกหลักธรรมบางอย่างพร้อมทั้งเอาหลักฐานให้ไปค้นใน Google ให้เห็นด้วย เห็นไม๊พอจะทำการพิสูจน์ ท่านก็หาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้พิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น แต่พอรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าสิ่งที่ท่านสัมผัสมันเป็นประสบการณ์ของท่านเพียงคนเดียว ผมไม่ได้ว่าท่านโกหก ผมเชื่อว่าท่านพบเจอจริงๆ เหมือนกับคนที่พูดคนเดียว เหมือนกับจอห์น แนช ท่านก็จะมาบอกว่าเรามองข้ามสิ่งที่ท่านสัมผัสทำให้ศาสนาเสื่อม ท่านลามปามไปถึงการกล่าวว่าศาสนาพุทธเสื่อมทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่ไม่กล่าวว่าเกิดเพราะศาสนาอื่นเสื่อม ท่านเล็งโทษมาที่ศาสนาพุทธ ทั้งๆที่คนที่เป็นชนวนสงครามไม่ใช่ชาวพุทธ น่าแปลกใจสำหรับสิ่งที่ท่านคิดมาได้ การพิสูจน์ทำได้มากกว่านั่งหลับตาแล้วฟังที่ท่านแล้ว แล้วก็มองเห็นภาพแบบอาของท่าน เขาอาจจะเออออไป เพราะกลัวว่าท่านจะอาละวาดก็ได้นะ ท่านมีอิทธิฤทธิ์ระดับบรมเทพจริงๆผมว่ามีวิธีพิสูจน์เยอะัแยะนะท่านนะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ซาเล้ง ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:02:31 กระทู้นี้เข้าทาง ท่าน xxxxwat30 :wanwan004:
สงสัยงานนี้มียาวววววววววววววววววววววว หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:03:07 อ้างถึง ที่จริงปัจจัยที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมมีมาหลายปัจจัย แต่ที่ผมบอกไว้นั้นเป็นปัจจัยหนึ่งแล้วก่อนจะมาถึงกระทู้นี้ผมอ่านเจอ [url]http://www.thaiseoboard.com/in...260.msg2036677.html#msg2036677[/url] เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมได้มาเหมือนกัน แล้วผมก็ตอบมาก่อนคุณบอลซะด้วย เพียงแต่ไม่ได้เขียนออกมานั่นเอง ในเว็บผมมี อธิบายไว้แล้วเรื่องอธิวจนะ ฉะนั้นคนที่จะสามารถพิสูจน์ได้่ว่าสิ่งที่ผมเล่าเป็นอย่างไรก็น่าจะเป็นคุณบอลนั่นแหล่ะ เพราะจากที่คุณบอลเล่าจะเป็นวิธีที่พิสูจน์ สิ่งที่ผมเล่าได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง นี่ถ้าผมตอบเองบรรยากาศจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมจึงขอยืมคำตอบของคุณบอลมาตอบ เพราะสิ่งที่คุณบอลนี่คือปัญญาทั้งหมดที่ได้จากพุทธศาสนา เมื่อมีปัญญาก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ผมเล่าได้ อาผมก็พิสูจน์ด้วย วิธีแบบคุณบอลเล่าได้เหมือนกัน ผมลองเล่าอะไรไปผมก็เห็นเขาหลับตาดูที่ผมเล่าแล้วมันก็ขึ้นภาพให้เห็น ถ้าไม่จริงไม่มีภาพ ปรากฏขึ้น ในเมื่อมันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีอื่นได้ แต่หลายคนจะให้พิสูจน์ในแบบ physic ธรรมดา สิ่งที่เกิด มันจึงวนอยู่ในอ่าง คำตอบของคุณบอลมาช่วยผมอีกแล้ว แล้วนี่ทำให้ผมอยกรู้อะไรผมก็รุ้แหล่ะโดยเฉพาะข้อธรรม รวมทั้งสิ่งที่ผมตอบก็เอามาจากกระบวนเดียวกันกับคุณบอลได้ เมื่ออยู่บนฐานเดียวกันก็พิสูจน์ซึ่งกันและกันได้ แต่ผม สังเกตว่าสิ่งนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับสิ่งที่เอามาลองทำเล่น ๆ แบบลองของเพราะคำตอบจะได้มาเพี้ยน ส่วนการอวดอิทธิฤทธิ์คุณวิเศษก็ใช่ แต่พิจารณาให้ดี ๆ ความเสื่อมในพุทธศาสนาไม่ได้มีเหตุมาจากสาเตุนี้ พราะคนที่ จะอวดอิทธิฤทธิ์ได้อย่างน้อยต้องมีกระบวนการตามที่คุณบอลว่าเกิดขึ้นในตนก่อน แล้วการอวดอิทะิฤทธิ์ไม่ได้ทำให้ ศาสนาเสื่อมแต่จะทำให้่ตนเสื่อม คือแทนที่จะสนใจการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังกลับมาสนใจเรื่องอิทะิฤทธิ์จนไม่ได้สน ใจการปฏิบัติ แต่อาการที่เกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดความเสื่อมที่จริงนั้น เป็นเพราะไม่ได้นำหลักปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง อย่างชัดเจน แล้วผมก็ยกหลักธรรมบางอย่างพร้อมทั้งเอาหลักฐานให้ไปค้นใน Google ให้เห็นด้วย เห็นไม๊พอจะทำการพิสูจน์ ท่านก็หาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้พิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น แต่พอรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าสิ่งที่ท่านสัมผัสมันเป็นประสบการณ์ของท่านเพียงคนเดียว ผมไม่ได้ว่าท่านโกหก ผมเชื่อว่าท่านพบเจอจริงๆ เหมือนกับคนที่พูดคนเดียว เหมือนกับจอห์น แนช ท่านก็จะมาบอกว่าเรามองข้ามสิ่งที่ท่านสัมผัสทำให้ศาสนาเสื่อม ท่านลามปามไปถึงการกล่าวว่าศาสนาพุทธเสื่อมทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่ไม่กล่าวว่าเกิดเพราะศาสนาอื่นเสื่อม ท่านเล็งโทษมาที่ศาสนาพุทธ ทั้งๆที่คนที่เป็นชนวนสงครามไม่ใช่ชาวพุทธ น่าแปลกใจสำหรับสิ่งที่ท่านคิดมาได้ การพิสูจน์ทำได้มากกว่านั่งหลับตาแล้วฟังที่ท่านแล้ว แล้วก็มองเห็นภาพแบบอาของท่าน เขาอาจจะเออออไป เพราะกลัวว่าท่านจะอาละวาดก็ได้นะ ท่านมีอิทธิฤทธิ์ระดับบรมเทพจริงๆผมว่ามีวิธีพิสูจน์เยอะัแยะนะท่านนะ การเสื่อมของสังคมไม่จำเป็นต้องเกิดจากคนในศาสนาพุทธก็ได้ แล้วที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาเสื่อมเพราะคำสอนยังไม่เสื่อมแต่สิ่งที่ผมบอกคือเป็นเพราะคนรุ่นหลังปฏิบัติไม่ถูกหลักคำสอน ทำให้เกิดความเสื่อมต่างหาก พุทธศาสนาเกิดก่อนศาสนาคริสต์และอิสลาม แล้วเหตุที่เกิดศาสนาคริสต์กับอิสลามเกิดขึ้นในภายหลังนั้นปฏิบัติได้ตามหลักคำสอนแท้ ๆ ในพุทธศาสนาแล้วนั่นเอง ถ้าพุทธ ศาสนาไม่เสื่อมไปจากสังคมมนุษย์แล้วมนุษย์ยังปฏิบัติตามหลักคำสอนในพุทะศาสนาอย่างถูกต้องสืบต่อกันยาวนานมาสงครามโลกก็จะไม่เกิด อีกอย่างหนึ่งสิ่งที่ผมเล่าถึงแม้ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อผมที่สำคัญใครจะเป็นอย่างไรต่างคนต่างเป็น ใครมีปัญญาก็ทำตนให้รอดพ้นความทุกข์ได้ ใครไม่ มีปัญญาก็เป็นทุกข์ต่อไป คนเราตัวไม่ได้ติดกันใจไม่ได้ติดกันถึงต้องไปบอกให้คนอื่นมาเชื่อนี่ครับ แล้วเรื่องการพิสุจน์ผมก็พิสูจน์มาเยอะแยะแล้ว ถ้าน้อมใจนำหลักคำสอนมาปฏิบัติจะไม่ทำให้เกิดทุกข์ นะครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:05:06 กระทู้นี้เข้าทาง ท่าน xxxxwat30 :wanwan004: สงสัยงานนี้มียาวววววววววววววววววววววว ถ้าหากทุกคนเข้าใจหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" กับหลักปัจจัตังอย่างถูกต้องก็ไม่ยาวครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:24:30 อ้างถึง การเสื่อมของสังคมไม่จำเป็นต้องเกิดจากคนในศาสนาพุทธก็ได้ แล้วที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาเสื่อมเพราะคำสอนยังไม่เสื่อมแต่ สิ่งที่ผมบอกคือเป็นเพราะคนรุ่นหลังปฏิบัติไม่ถูกหลักคำสอน ทำให้ เกิดความเสื่อมต่างหาก พุทธศาสนาเกิดก่อนศาสนาคริสต์และอิสลาม แล้วเหตุที่เกิดศาสนาคริสต์กับอิสลามเกิดขึ้นในภายหลังนั้นปฏิบัติได้ตาม หลักคำสอนแท้ ๆ ในพุทธศาสนาแล้วนั่นเอง ถ้าพุทธ ศาสนาไม่เสื่อมไปจากสังคมมนุษย์แล้วมนุษย์ยังปฏิบัติตามหลักคำสอนในพุทะศาสนาอย่างถูกต้องสืบต่อกันยาวนานมาสงครามโลกก็จะไม่เกิด อีก อย่างหนึ่งสิ่งที่ผมเล่าถึงแม้ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อผมที่สำคัญใครจะเป็นอย่างไรต่างคนต่าง เป็น ใครมีปัญญาก็ทำตนให้รอดพ้นความทุกข์ได้ ใครไม่ มีปัญญาก็เป็น ทุกข์ต่อไป คนเราตัวไม่ได้ติดกันใจไม่ได้ติดกันถึงต้องไปบอกให้คนอื่นมาเชื่อนี่ครับ แล้วเรื่องการพิสุจน์ผมก็พิสูจน์มาเยอะแยะแล้ว ถ้าน้อมใจนำหลักคำสอนมาปฏิบัติจะไม่ทำให้เกิดทุกข์ นะครับ อ้างถึง ผมไม่ได้อวดปาฏิหารย์นะครับ สิ่งที่ผมเล่ามี 2 ส่วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม กับสิ่งที่ผมนำหลักธรรมไปทำให้เกิดผลเท่านั้น ส่วนเรื่องศาสนาเสื่อมมันก็เสื่อมมาตั้งนานแล้ว สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม แล้วสมครามโลก ก็เกิดมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก ทีแรกท่านบอกไว้ว่า สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม แต่แล้วท่านก็มาบอกว่า "ที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาเสื่อมเพราะคำสอนยังไม่เสื่อมแต่เพราะคนรุ่นหลังปฏิบัติไม่ถูกหลักเลยเกิดความเสื่อม" ทำไมท่านไม่ตอบแบบหลังตั้งแต่ทีแรกละครับ เพราะทีแรกท่านกล่าวโทษว่าสงครามโลกเกิดเพราะพุทธศาสนาเสื่อมอย่างชัดเจน และถึงท่านจะหยิบยกเรื่องศาสนาพุทธว่าเกิดก่อนศาสนาอื่น แต่ประเทศที่ก่อสงครามเขาไม่ได้นับถือพุทธมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะเรียกว่าเสื่อมได้อย่างไร ท่านมากล่าวโทษศาสนาพุทธได้อย่างไร เพราะคนในประเทศเหล่านั้นไม่ได้นับถือพุทธ เขาจะปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมของพุทธที่ถูกได้อย่างไร ดังนั้นไม่ควรยกเรื่องศาสนาพุทธเสื่อมมาเป็นเหตุแห่งสงคราม ที่ท่านบอกว่า "สิ่งที่ผมเล่าถึงแม้ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อผมที่สำคัญใครจะเป็นอย่างไรต่างคนต่างเป็น" แล้วทำไมพอจะตัดประเด็นอวดอิทธิฤทธิ์ที่ท่านไม่ยอมพิสูจน์ ท่านก็บอกว่าเพราะเหตุนี้ทำให้ศาสนาเสื่อม ไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นรับรู้ แต่พอจะพิสูจน์ท่านกลับมากล่าวแบบนี้ ส่วนการพิสูจน์มาเยอะของท่านด้วยการเล่าเรื่อง แล้วให้อานั่งหลับตานึกภาพ ผมว่ามันตลกๆนะ ในเมื่อท่านเป็นบรมเทพชั้นสูงมีพลังมากมาย แต่ทำได้แค่นี้เหรอครับท่าน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:41:22 อ้างถึง การเสื่อมของสังคมไม่จำเป็นต้องเกิดจากคนในศาสนาพุทธก็ได้ แล้วที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาเสื่อมเพราะคำสอนยังไม่เสื่อมแต่ สิ่งที่ผมบอกคือเป็นเพราะคนรุ่นหลังปฏิบัติไม่ถูกหลักคำสอน ทำให้ เกิดความเสื่อมต่างหาก พุทธศาสนาเกิดก่อนศาสนาคริสต์และอิสลาม แล้วเหตุที่เกิดศาสนาคริสต์กับอิสลามเกิดขึ้นในภายหลังนั้นปฏิบัติได้ตาม หลักคำสอนแท้ ๆ ในพุทธศาสนาแล้วนั่นเอง ถ้าพุทธ ศาสนาไม่เสื่อมไปจากสังคมมนุษย์แล้วมนุษย์ยังปฏิบัติตามหลักคำสอนในพุทะศาสนาอย่างถูกต้องสืบต่อกันยาวนานมาสงครามโลกก็จะไม่เกิด อีก อย่างหนึ่งสิ่งที่ผมเล่าถึงแม้ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อผมที่สำคัญใครจะเป็นอย่างไรต่างคนต่าง เป็น ใครมีปัญญาก็ทำตนให้รอดพ้นความทุกข์ได้ ใครไม่ มีปัญญาก็เป็น ทุกข์ต่อไป คนเราตัวไม่ได้ติดกันใจไม่ได้ติดกันถึงต้องไปบอกให้คนอื่นมาเชื่อนี่ครับ แล้วเรื่องการพิสุจน์ผมก็พิสูจน์มาเยอะแยะแล้ว ถ้าน้อมใจนำหลักคำสอนมาปฏิบัติจะไม่ทำให้เกิดทุกข์ นะครับ อ้างถึง ผมไม่ได้อวดปาฏิหารย์นะครับ สิ่งที่ผมเล่ามี 2 ส่วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม กับสิ่งที่ผมนำหลักธรรมไปทำให้เกิดผลเท่านั้น ส่วนเรื่องศาสนาเสื่อมมันก็เสื่อมมาตั้งนานแล้ว สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม แล้วสมครามโลก ก็เกิดมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก ทีแรกท่านบอกไว้ว่า สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม แต่แล้วท่านก็มาบอกว่า "ที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาเสื่อมเพราะคำสอนยังไม่เสื่อมแต่เพราะคนรุ่นหลังปฏิบัติไม่ถูกหลักเลยเกิดความเสื่อม" ทำไมท่านไม่ตอบแบบหลังตั้งแต่ทีแรกละครับ เพราะทีแรกท่านกล่าวโทษว่าสงครามโลกเกิดเพราะพุทธศาสนาเสื่อมอย่างชัดเจน และถึงท่านจะหยิบยกเรื่องศาสนาพุทธว่าเกิดก่อนศาสนาอื่น แต่ประเทศที่ก่อสงครามเขาไม่ได้นับถือพุทธมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะเรียกว่าเสื่อมได้อย่างไร ท่านมากล่าวโทษศาสนาพุทธได้อย่างไร เพราะคนในประเทศเหล่านั้นไม่ได้นับถือพุทธ เขาจะปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมของพุทธที่ถูกได้อย่างไร ดังนั้นไม่ควรยกเรื่องศาสนาพุทธเสื่อมมาเป็นเหตุแห่งสงคราม ที่ท่านบอกว่า "สิ่งที่ผมเล่าถึงแม้ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อผมที่สำคัญใครจะเป็นอย่างไรต่างคนต่างเป็น" แล้วทำไมพอจะตัดประเด็นอวดอิทธิฤทธิ์ที่ท่านไม่ยอมพิสูจน์ ท่านก็บอกว่าเพราะเหตุนี้ทำให้ศาสนาเสื่อม ไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นรับรู้ แต่พอจะพิสูจน์ท่านกลับมากล่าวแบบนี้ ส่วนการพิสูจน์มาเยอะของท่านด้วยการเล่าเรื่อง แล้วให้อานั่งหลับตานึกภาพ ผมว่ามันตลกๆนะ ในเมื่อท่านเป็นบรมเทพชั้นสูงมีพลังมากมาย แต่ทำได้แค่นี้เหรอครับท่าน เรื่องที่ผมว่าศาสนาเสื่อมถ้าคนที่เข้าใจหลักคำสอนเรื่องความเป็นอนิจจังจะเข้าใจทันทีว่าผมหมายถึงอะไร แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ไม่ใช้เรื่องกฎของอนิจจังก็จะอธิบายอย่างที่ทานอธิบายมา ที่ผมไม่ยอมพิสูจน์เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้นก็เพราะผมไม่มีเจตนาทำให้คนมาเชื่อผมอยุ่แล้ว เพราะถ้าคนเชื่อผมมาก ๆ ผมซิจะเดือดร้อนงานการไม่ต้องทำ แต่ถึงผมไม่มีเจตนาจะทำให้ใครเชื่อก็มีคน เชื่อผมอยู่แล้วถึงแม้จะมีไม่มาก งานที่ผมทำไม่ต้องการให้ใครมาเชื่อหรือศรัทธาผมในเวลานี้ไง ผมได้ชี้แจงไปแล้ว คนเชื่อผมก็จะทำให้คนมาศรัทะาผมแทนที่ผมจะมีเวลาทำงานหลัก ๆ ตามหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายมาไม่ต้องทำกันพอดี เช่นแทนที่จะสนใจว่าน้ำท่วมจะแก้อย่างไร ถ้ามีคนมาศรัทธาผมก็ต้องมานั่งสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนาย ก. มาศรัทธาผมก็ต้องใช้เวลาสรรพกำลังปัญญา ไปแก้ไขปัญหาเรื่องนาย ก. ดังนั้นการทำให้คนจำนวนมากมาศรัทธาจึงเป็นการขัดงานในหน้าที่หลักของตนเอง แล้วความเป็นเทพจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับหน้าที่ตนเอง การชี้แจงคำตอบเป็นหนึ่งในหน้า ที่ด้วย ไม่งั้นจะคงร่างมนุษย์เอาไว้ทำไมในเมื่อผมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่การที่ผมไม่คงร่างมนุษย์ไว้ผลเสียเกิดกับมวลมนุษย์และสรรพสัตว์มากกว่าเพราะแทนที่จะแก้ปัญหาได้เร็วก็แก้ปัญหาได้ช้า อีกอย่างจะเกิดความไม่เป็นธรรมระหว่างคนที่ศรัทธาผมกับคนที่ไม่ศรัทธาผม เพราะคนที่ศรัทธาผมจะได้ทำงานกับผมทำให้ล่วงรู้การทำงานต่าง ๆ แล้วคนเหล่านั้นจะได้เปรียบคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ คำตอบนี้น่าจะชัดแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคริสต์หรืออิสลามหรือพุทธก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือพระพุทธเจ้าหรือศาสดาในทุกศาสนาก็เกิดจากเทพผู้ดูแลมนุษย์และสรรพสัตว์สรรพจิต มีหน้าที่ประเมินความเป็นไปของมนุษย์และสรรพ สัตว์ทั้งหลายว่าถึงเสื่อมจากสัจธรรมหรือยัง ถ้าเสื่อมหรือไปต่อในศาสนาเดิมไม่ได้แล้วก็ส่งศาสนาใหม่ ๆ ลงมาเรื่อย ๆ ท้ายสุดผุ้นำของทุกศาสนาก็ไม่สามารถยับยั้งความเสื่อมได้ ส่คริสต์มาต่อมาส่ง อิสลามมาคริสต์กับอิสลามมารบกันอีกตามหลักกรรมปัจจัย ท้ายสุดส่งเทพมาจัดการเองเลยไม่งั้นโลกมนุษย์จบเห่แน่นอน ถ้ามาถึงขนาดนี้แล้วยังจัดการไม่ได้ก็จบเห่เหมือนกันแล้วจบเห่แน่นอน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: joesung ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:52:38 อื้มบอตถ้าจะแรง ไม่ว่ากันน่ะ mod อิอิ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:54:10 อ้างถึง เรื่องที่ผมว่าศาสนาเสื่อมถ้าคนที่เข้าใจหลักคำสอนเรื่องความเป็นอนิจจังจะ เข้าใจทันทีว่าผมหมายถึงอะไร แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ไม่ใช้เรื่องกฎของอนิจจังก็จะอธิบายอย่างที่ ทานอธิบายมา ที่ผมไม่ยอมพิสูจน์เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้นก็เพราะผมไม่มี เจตนาทำให้คนมาเชื่อผมอยุ่แล้ว เพราะถ้าคนเชื่อผมมาก ๆ ผมซิจะเดือดร้อนงานการไม่ต้องทำ แต่ถึงผมไม่มีเจตนาจะทำให้ใครเชื่อก็มีคน เชื่อ ผมอยู่แล้วถึงแม้จะมีไม่มาก งานที่ผมทำไม่ต้องการให้ใครมาเชื่อหรือศรัทธาผมในเวลานี้ไง ผมได้ชี้แจงไปแล้ว คนเชื่อผมก็จะทำให้คนมาศรัทะาผมแทนที่ผมจะมีเวลาทำงานหลัก ๆ ตามหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายมาไม่ต้องทำกันพอดี เช่นแทนที่จะสนใจว่าน้ำท่วมจะแก้อย่างไร ถ้ามีคนมาศรัทธาผมก็ต้องมานั่งสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนาย ก. มาศรัทธาผมก็ต้องใช้เวลาสรรพกำลังปัญญา ไปแก้ไขปัญหาเรื่องนาย ก. ดังนั้นการทำให้คนจำนวนมากมาศรัทธาจึงเป็นการขัดงานในหน้าที่หลักของตนเอง แล้วความเป็นเทพจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับหน้าที่ตนเอง การชี้แจงคำตอบเป็นหนึ่งในหน้า ที่ด้วย ไม่งั้นจะคงร่างมนุษย์เอาไว้ทำไมในเมื่อผมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่การที่ผมไม่คงร่างมนุษย์ไว้ผลเสียเกิดกับมวลมนุษย์และสรรพสัตว์มากกว่า เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาได้เร็วก็แก้ปัญหาได้ช้า อีกอย่างจะเกิดความ ไม่เป็นธรรมระหว่างคนที่ศรัทธาผมกับคนที่ไม่ศรัทธาผม เพราะคนที่ศรัทธาผมจะได้ทำงานกับผมทำให้ล่วงรู้การทำงานต่าง ๆ แล้วคนเหล่านั้นจะได้เปรียบคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ คำตอบนี้น่าจะชัดแล้วนะครับ ครับ ท่านมีเหตุผลในการหลีกเลี่ยงการพิสูจน์เสมอ การพิสูจน์ที่ท่านเชื่อว่าจริง ก็ให้อาของท่านนั่งหลับตานึกภาพ ท่านแก้ตัวเรื่องที่บอกว่าศาสนาพุทธเสื่อมทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการอ้างเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทำไมท่านกล่าวลอยๆว่า ศาสนาพุทธทำให้เกิดสงครามโลก ทำไมภูมิจิตจากการเป็นบรมเทพ ไม่ได้บอกเหรอครับ ว่าท่านไม่ควรพิมพ์กล่าวร้ายศาสนาพุทธ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Twenty-One ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 09:54:28 เข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:03:08 คนอื่นตื่นแล้ว เหตุใดผมจึงยังไม่ตื่น
ไม่มีอะไรครับ ตื่นสาย เลยมาทำงานสาย กรรมเห็นทันตาปานจรวด ผลของการนอนดึก ;D หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:07:28 ในที่สุดท่านพี่ก็ตื่นจนได้
(http://homepage.mac.com/cheethorne/DBZ/images/three.jpg) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:11:32 อ้างถึง เรื่องที่ผมว่าศาสนาเสื่อมถ้าคนที่เข้าใจหลักคำสอนเรื่องความเป็นอนิจจังจะ เข้าใจทันทีว่าผมหมายถึงอะไร แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ไม่ใช้เรื่องกฎของอนิจจังก็จะอธิบายอย่างที่ ทานอธิบายมา ที่ผมไม่ยอมพิสูจน์เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้นก็เพราะผมไม่มี เจตนาทำให้คนมาเชื่อผมอยุ่แล้ว เพราะถ้าคนเชื่อผมมาก ๆ ผมซิจะเดือดร้อนงานการไม่ต้องทำ แต่ถึงผมไม่มีเจตนาจะทำให้ใครเชื่อก็มีคน เชื่อ ผมอยู่แล้วถึงแม้จะมีไม่มาก งานที่ผมทำไม่ต้องการให้ใครมาเชื่อหรือศรัทธาผมในเวลานี้ไง ผมได้ชี้แจงไปแล้ว คนเชื่อผมก็จะทำให้คนมาศรัทะาผมแทนที่ผมจะมีเวลาทำงานหลัก ๆ ตามหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายมาไม่ต้องทำกันพอดี เช่นแทนที่จะสนใจว่าน้ำท่วมจะแก้อย่างไร ถ้ามีคนมาศรัทธาผมก็ต้องมานั่งสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนาย ก. มาศรัทธาผมก็ต้องใช้เวลาสรรพกำลังปัญญา ไปแก้ไขปัญหาเรื่องนาย ก. ดังนั้นการทำให้คนจำนวนมากมาศรัทธาจึงเป็นการขัดงานในหน้าที่หลักของตนเอง แล้วความเป็นเทพจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับหน้าที่ตนเอง การชี้แจงคำตอบเป็นหนึ่งในหน้า ที่ด้วย ไม่งั้นจะคงร่างมนุษย์เอาไว้ทำไมในเมื่อผมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่การที่ผมไม่คงร่างมนุษย์ไว้ผลเสียเกิดกับมวลมนุษย์และสรรพสัตว์มากกว่า เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาได้เร็วก็แก้ปัญหาได้ช้า อีกอย่างจะเกิดความ ไม่เป็นธรรมระหว่างคนที่ศรัทธาผมกับคนที่ไม่ศรัทธาผม เพราะคนที่ศรัทธาผมจะได้ทำงานกับผมทำให้ล่วงรู้การทำงานต่าง ๆ แล้วคนเหล่านั้นจะได้เปรียบคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ คำตอบนี้น่าจะชัดแล้วนะครับ ครับ ท่านมีเหตุผลในการหลีกเลี่ยงการพิสูจน์เสมอ การพิสูจน์ที่ท่านเชื่อว่าจริง ก็ให้อาของท่านนั่งหลับตานึกภาพ ท่านแก้ตัวเรื่องที่บอกว่าศาสนาพุทธเสื่อมทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการอ้างเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทำไมท่านกล่าวลอยๆว่า ศาสนาพุทธทำให้เกิดสงครามโลก ทำไมภูมิจิตจากการเป็นบรมเทพ ไม่ได้บอกเหรอครับ ว่าท่านไม่ควรพิมพ์กล่าวร้ายศาสนาพุทธ ผมไม่ได้ให้ร้ายพุทธศาสนานะครับ แต่ที่ผมบอกว่าศาสนาเสื่อมนี่ก็เพราะคนโดยทั่วไปเข้าใจอยู่แล้วว่าตัวแก่นแท้ในการปฏิบัติไม่ได้เสื่อม แต่ผู้ปฏิบัติตามนั่นแหล่ะเสื่อมไปตามกฎอนิจจัง บางทีผมอาจจะพิมพ์อะไรไม่ค่อยละเอียด บางอย่างก็อาศัียตามบรรทัดฐานของสังคมว่าเข้าใจอย่งไรเป็นหลัก หากใช้ตามความหมายจะได้ตามที่ท่านเข้ามเข้าใจ แต่คนที่ปฏิบัติธรรม ก็เข้าใจว่าศาสนาเสื่อมเพราะคนปฏิบัติตามคำสอนไม่ได้ เพราะคำสอนในพุทธศาสนาจะเสื่อมได้อย่างไรในเมื่อเป็นสัจธรรม ฉะนั้นบางครั้งการจะทำความเข้าใจอะไรก็ต้องใช้ปัญญา ในการแยกแยะด้วย บางอย่างมันก็เอาแบบเถรตรงไม่ได้เพราะต้องดูตามหลักความเป็นจริงด้วย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:25:05 ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร
แล้ว ไม่ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร ผมอยากรู้ต่างกันยังไง แล้วปัญหาที่แก้คือปัญหาอะไรเหรอครับ ว่าแต่ตอนที่ว่าตายรอบแรก สลายร่างตัวเองทำไมเหรอครับ (สลายๆๆๆๆร่าง นึกถึงตัวร้ายในเซเลอร์มูนเวลาโดนปราบ) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:26:58 อ้างถึง ผมไม่ได้ให้ร้ายพุทธศาสนานะครับ แต่ที่ผมบอกว่าศาสนาเสื่อมนี่ก็เพราะคนโดยทั่วไปเข้าใจอยู่แล้วว่าตัวแก่น แท้ในการปฏิบัติไม่ได้เสื่อม แต่ผู้ปฏิบัติตามนั่นแหล่ะเสื่อมไปตามกฎอนิจจัง บางทีผมอาจจะพิมพ์ อะไรไม่ค่อยละเอียด บางอย่างก็อาศัียตามบรรทัดฐานของสังคมว่าเข้าใจอย่งไรเป็นหลัก หากใช้ตามความหมายจะได้ตามที่ท่านเข้ามเข้าใจ แต่คนที่ปฏิบัติธรรม ก็ เข้าใจว่าศาสนาเสื่อมเพราะคนปฏิบัติตามคำสอนไม่ได้ เพราะคำสอนในพุทธศาสนาจะเสื่อมได้อย่างไรในเมื่อเป็นสัจธรรม ฉะนั้นบางครั้งการจะทำความเข้าใจอะไรก็ต้องใช้ปัญญา ในการแยกแยะด้วย บางอย่างมันก็เอาแบบเถรตรงไม่ได้เพราะต้องดูตามหลักความเป็นจริงด้วย ทีหลังจะกล่าวอะไร ก็ควรกล่าวให้เข้าใจนะครับ จะว่าผู้ปฏิบัติเสื่อมก็ว่ามา แต่อย่ามาบอกว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม ขอยืมคำท่านที่ว่า บางอย่างมันก็กล่าวแบบเถรตรงไม่ได้เพราะต้องดูตามหลักความเป็นจริงด้วย ต้องใช้ปัญญาในการคิดออกมา พิมพ์ออกมาด้วย ไม่ใช่มากล่าวว่าสงครามโลกเกิดเพราะพระพุทธศาสนาเสื่อม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 10:28:59 อ้างถึง ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร แล้ว ไม่ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร ผมอยากรู้ต่างกันยังไง แล้วปัญหาที่แก้คือปัญหาอะไรเหรอครับ คำถามนี้จะก่อให้เกิดการอธิบายที่ยืดยาวตามมา หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 11:03:56 ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร แล้ว ไม่ร่างมนุษย์แก้ปัญหาอย่างไร ผมอยากรู้ต่างกันยังไง แล้วปัญหาที่แก้คือปัญหาอะไรเหรอครับ ร่างมนุษย์ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น เพราะผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุอรหัตผลขึ้นไปจึงต้องปลีกวิเวก การอยู่ร่วมกับมนุษย์อาจนำความเสื่อมมาสู่ตนได้ อันนี้เป็นวิกฤติ แต่ถ้าจะพฤติวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการศึกษาแล้วทำให้มีประสบการณ์ว่าจะทำอย่างไรให้ไม่เสื่อมหรือเสื่อมน้อยที่สุด แล้วเมื่อเสื่อมแล้วต้องซ่อมแซมให้กลับ สู่สภาวะปกติอย่างไร นี่เป็นความลำบากอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ความลำบากใจและกายทั้งปวงที่เกิดขึ้นพลิกเป็นโอกาสในการสร้างบารมีได้ การแก้ปัญหาโดยใช้ ร่างมนุษย์ไม่ต่างจากไม่มีร่างหรอกครับ วิธีการเดียวกันเลยเหมือนกับเทพที่ไม่มีร่าง จุดนี้ทำให้ไม่ต้องมีมนุษย์มาห้อมล้อมด้วยความศรัทธาก็ทำงานได้ แต่ สิ่งที่ต่างคืออัตราเร่งในการสร้างบารมีนั้นเร็วกว่าเทพที่ไม่มีร่างมนุษย์ นี่เป็นเหตุหนึ่งทีเดียวที่เดียวที่ก่อนพระศิวะท่านจะส่งผมลงมาทำงาน ท่านต้องพิจารณา3 หนักมากว่าผมจะอดทนต้อนทานกระแสความคิดของมนุษย์ได้มั้ย เช่นถ้าอดทนไม่เพียงพออาจจะบันดาลอะไรให้เสียหายขึ้นได้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้มีกฎ ห้ามไว้ว่าหากบำเพ็ญเพียรสูงกว่าอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณต้องปรินิพพานเท่านั้นจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้ เพราะถ้าตนเองเสื่อมเช่นถูกความโกรธเข้าครอบงำ จะทำร้ายผู้ที่ทำให้ตนโกรธได้ดีกว่าเทพที่ไม่มีร่างมนุษย์ด้วย การอยู่ร่วมกับมนุษย์แล้วจิตของผมถูกตรึงอยุ่กับร่างมนุษย์ไปไหนไม่ได้ จึงมีสภาพไม่ต่างจาก การอาศัยหลับนอนอยู่ข้างกองขยะ เพราะบรรดาอาสวะทั้งหลายของมนุษย์และสรรพสัตว์จะถูกดูดให้มาติดแล้วแปดเปื้อนจิตได้ง่ายขึ้นเมื่อกำลังสมาธิเพิ่มขึ้น ประสบการณ์และความอดทนเท่านั้นที่ทำให้ผมอยุ่ได้่ ที่ผ่านมาก่อนที่จะมาถึงผม พระศิวะท่านได้ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามที่ผมบรรยายมาอยุ่แล้ว แต่หาคนที่มีน้ำอดน้ำทนต่อความสกปรกของมนุษย์ไม่ไหว หาไม่ได้สักทีหรือถึงจะหาได้พอถึงเวลาคนเหล่านั้นเมื่อรู้ความร้ายกาจของมวลมนุษย์แล้วจะไม่ยอมมีชีวิตอยุ่ต่อต่างประกาศปรินิพพานทั้งสิ้น กล่าวคือปล่อย ให้มนุษย์ชดใช้กรรมอย่างยถากรรมไปแล้ว ส่วนผมเองก็รุ้ความเสี่ยงนี้แล้วก็ไม่อยากมีีวิตอยุ่ แต่ด้วยคตวามเห็นใจในความทุกข์รอนของมนุษย์และสรรพสัตว์ กำลังได้รับในอนาคตด้วยความรู้สึกเช่นนี้ก็เลยคิดอย่างฝืนใจในตอนแรกว่า "เอาวะอยู่ต่อก็อยุ่ต่อ" ด้วยความเจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัสที่ต้องสละการปรินิพพาน นั้นไปทำให้บารมีนั้นส่งผลให้ถูกเลื่อนตำแหน่งจากอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณปเป็นอภิเทพ โดยที่ต้องย้อนกลับมาเก็บคุณสมบัติภายหลัง ปัญหาของมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเข้าใจผิดในหลักธรรมอย่างรุนแรงทำให้เกิดสภาวะมิขสัญญี เช่นการเข้าใจผิดในหลักธรรมที่ว่ากรรมเป็นเครื่องแสดง เจตนาก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นในมวลมนุษย์อย่างมหาศาล การไม่เข้าใจหลักอิธิบาทให้ถูกต้อง ทำให้มนุษย์ละเลยเรื่อง "จิตวิมังสา" หรือจิตสำคัญ กว่าร่างกาย ทำให้เกิดการฉุดรั้งชีวิตตนเองเอาไว้เพื่อเสวยสุขแล้วละเลยการตระหนักถึงผลกรรม แล้วตีความคำสอนที่มีโดยเข้าข้างตนเองเป็นที่ตั้ง หลาย ครั้งในหลายกระทู้ผมได้นำผลจากการปฏิบัตินั้นมาตีแผ่แล้ววิเคราะห์ให้เห็น ไม่เว้นแม้แต่กระทู้นี้ผมเปรียบเทียบชัดเจนว่า ฉันทะที่มีในอิทะิบาทกับฉันทะ ที่มีอยุ่ในเรื่องอคติ 4 ว่าเป็นอย่างไร อีกปัญหาที่สำคัญคือมนุษย์มักจะลืมดูหรือสำรวจความเป็นไปในตนเอง แต่กลับมุ่งพิจารณาเพื่อหาข้อบกพร่องของผู้อื่น ทั้งหมดนี้เกิดจากการไม่เข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้องทั้งสิ้น ไม่ร.ู้ว่าพระพุทธองค์สอนอะไรให้ทำอะไร อีกอย่างถึงรู้ก็ไม่พยายามทำหรือไม่พอใจที่จะประกอบความ เพียรขัดกับหลักอิทธิบาทข้อแรก มนุษย์มีความเปราะบางเกินกว่าจะยอมรับวามจริงทั้งหมดที่มีในตนได้ ขาดขันติในการเอาชนะความทุกข์ที่ตนมีอย่างรุนแรง แต่ดัน มีขันติเพื่อที่จะเอาชนะผุ้อื่นให้ได้ด้วยความมีมานะทิฐิในตนหรือมีความถือตัวเป็นที่ตั้ง ด้วยมานะทิฐิที่มีสูงในมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหล่ะทำให้ไม่มีใครสามารถนำหลัก ธรรมที่ถูกต้องมาอธิบายให้ฟังได้ ด้วยมานะทิฐิในมวลมนุษย์จึงก่อให้เกิดการต่อต้านโต่้แยงอย่างรุนแรงเป็นที่น่าระอายิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีหรือแทบหาได้น้อย มากที่จะมีคนกล้าหยิบเอาคำสอนที่ถุกต้องออกมาตีแผ่ เพราะทำไปก็เจ็บตัวเปล่า ๆ มีผมนี่แหล่ะที่บ้าทำอยุ่ได้เจ็บแล้วเจ็ฌบอีก โดนเยอะเย้ยถากถาก ฯลฯ แต่ไม่เคยจำเสียที ที่จริงมีอีกแต่เดี๋ยวยาวเอาเท่าที่นึกออกก่อนนะครับ ปัญหาเยอะเหลือเกินเดี๋ยวนึกได้อีกจะมาต่อ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 11:13:52 ตกลงคือพระศิวะส่งมาให้ทำเว็บธรรมะ เผยแพร่หลักธรรมคำสอนเหรอครับ หรือยังไง เพราะถ้ามาเผยแพร่แล้วคนไม่เชื่อ โดยยึดตามหลักกาลามสูตร แล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร
หรือว่าถ้าให้มาบำเพ็ญเพียร ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมคุณ tanawat30 ถึงไม่บวชหล่ะครับ หรือไม่นั่งสมาธิแผ่ผลบุญให้โลก เพราะดีกว่าตอนไม่มีร่างอย่างที่ว่า หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 12:19:13 ตกลงคือพระศิวะส่งมาให้ทำเว็บธรรมะ เผยแพร่หลักธรรมคำสอนเหรอครับ หรือยังไง เพราะถ้ามาเผยแพร่แล้วคนไม่เชื่อ โดยยึดตามหลักกาลามสูตร แล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร หรือว่าถ้าให้มาบำเพ็ญเพียร ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมคุณ tanawat30 ถึงไม่บวชหล่ะครับ หรือไม่นั่งสมาธิแผ่ผลบุญให้โลก เพราะดีกว่าตอนไม่มีร่างอย่างที่ว่า สมาธิผมไม่นั่งแต่ทำตลอดเวลาครับ คนอื่นดูด้วยตาไม่รู้หรอกครับ ถึงรู้ก็ไม่เชื่ออยู่แล้วเพราะส่วนมากมักจะเชื่อว่าต้องนังหลับตาทำ แท้จริงแล้วความคิดแวบามที่ผมหยิบ ของป๋ามาอ้างมันไม่ต้องหลับตาก็ได้มันเกิดได้ตลอด แต่จะเกิดตามนั้นได้คือต้องมีกำลังสมาะิเสียก่อน ส่วนแผ่เมตตาเอาบุญให้โลกเป็นแกนหลักแล้เป็นหัวใจสำคัญของทุกงาน ที่ทำอยู่แล้ว แต่ก็ทำงานไม่ได้อยู่ดีถ้าไม่เคลียร์อนุสัยในจิตให้บริสุทะิ์เสียก่อน การจะขจัดอนุสัยในจิตให้ตนเองได้อย่างเบ็ดเสร็จอย่างน้อยต้องบรรลุอรหัตผล การจะล้างอนุสัย ให้ผู้อื่นต้องบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณขึ้นไปจึงจะทำได้ ส่วนเรื่องการทำเว็บผมไม่ได้เน้นสอนคนหรอกเพราะรู้ว่าอย่างไร ณ. ปัจจุบันนี้ก็สอนไม่ได้ แต่ผมเน้นให้ผุ้อ่าน เกิดความขัดแย้งกับตนเองมากกว่า เมื่อนั้นอนุสัยเขาขึ้นมาจากความขัดแย้งผมก็ใช้กำลังสมาธิไปขจัดได้ในภายหลัง ตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมานั่งสอนมนุษย์แล้วทำให้เกิดค วามศรัทะาจากมนุษย์เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เพ้อฝันเพ้อเจ้อแล้วเป็นตไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะเลือกแต่สิ่งที่มนุษย์ยอมรับอยุ่แล้ว ถ้าเป็นงั้นพระศิวะจะส่งผมลงมาเพื่ออะไร ถ้า มนุษย์รู้อยุ่แล้วว่าหลักะรรมใดถุกหรือผิด พระศิวะท่านก็เขลาที่ดันส่งผมมาเกิด ส่วนเรื่องที่ผมไม่บวชนั้น เนื่องจากคนเรามักจะยึดติดรูปแลลพิะีกาสรประเพณีระเบียบปฏิบัติเป็นหลัก แต่ละเลยการปฏิบัติอย่างจริงจัง พระที่เข้าไปบวชถ้าบวชแล้วนำความจริง มาเปิดเผยจะถูกกล่าวหาจากฆราวาสว่าอวดอุตริ ทั้งทั้ง ๆ ที่ประสบการณ์กับทฤษฎีต้องไปด้วยกันแยกจากกันไม่ได้ อีกทั้งผมจะพิสุจน์ให้เห็นว่าไม่จำเป็นหรอกที่จะบวชก็ปฏิบัติ ได้ การบวชของพระในปัจจุบันมิได้ทำตามพุทะประสงค์ คือทำให้ตนพ้นทุกข์แต่กลับไปทำผิดวัตถุประสงค์คือปบวชเพื่อแผยแพร่พระธรรมคำสอน ซึ่งการเผผยแผ่พระธรรม คำสอนก็ใช่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ต้องถามตนเองก่อนว่าตนเองรู้จักความเป็นไปในตนเองทุกซอกทุกมุมหรือยัง เช่นรุ้หรือยังว่าผลที่ตนได้รับมีเหตุมาจากอะไร เมื่อการ บวเป็นไปเพิ่อมิใช่วัตถุประสงค์หลักของการบวช บวชไปก็มีแต่ผลเสีย ผลเสียตามมาคือคนเราแค่เห็นพระก็ยกมือกราบไหว้แล้วและอ้างว่าไหว้ผ้าเหลือง ที่จริงแล้วผ้าเหลือง จะมีคุณงามความดีอะไรอยุ่ในตน ความดีหรือไม่ดีอยุ่ที่ตัวคนปฏิบัติมิใช่หรือ ถ้าผมไม่บวชแล้วปฏิบัติได้กำับบวชแล้วปฏิบัติไม่ได้นี่ ผมเลือกไม่บวชดีกว่า บวชไปถ้าปฏิบัติไม่ได้ แล้วเกิดมีคนศรัทธาก็เท่านั้น หรือปฏิบัติได้แต่เป็นเชื้อห้คนมาเลื่อมใสศรัทะาก็ขัดขวางการทำงานเปล่า ๆ สู้ไม่บวชไม่มีใครสนใจกลับปฏิบัติได้ง่ายกว่า ถึงแม้การควบคุมตนให้ห่าง ไกลจากกิเลสจะทำได้ยากกว่าเพราะไม่มีใครมาเพ่งเล็ง แต่นั่นหมายความว่าหากำได้จะมีคุณภาพที่สุงกว่าการบวชเป็นพระแล้ว อีกอย่างพระเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นที่พึ่งให้ฆราวาสอีกแล้ว เพราะพระนั้นต้องกลับไปพึ่งฆราวาสแทน ผมพิจารณาจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วจึงตัดสินใจที่จะไม่บวช หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: khonthai ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 14:00:35 อ่านแล้วได้ความรู้ดีครับ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่อย่างไร กระทู้นี้ก็มีประโยชน์สำหรับผม เอาเฉพาะสิ่งดีๆมาคิดตาม ส่วนอันไหนที่คิดว่าไม่ดีก้ปล่อยไป
ขอบคุณทุกท่านที่คุยเรื่องธรรมะให้ฟัง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 16:07:56 1.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่่าใช่ก็เก็บไว้
2.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าไร้สาระก็ปล่อยมันไป :wanwan003: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ซาเล้ง ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 19:09:03 กระทู้นี้เข้าทาง ท่าน xxxxwat30 :wanwan004: สงสัยงานนี้มียาวววววววววววววววววววววว ถ้าหากทุกคนเข้าใจหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" กับหลักปัจจัตังอย่างถูกต้องก็ไม่ยาวครับ โอยยย ข่อยยอมเจ้าแล้วล่ะ (พ่อใหญ่อั่นนี่แมะ) :-X เจ้ามะโพดแทะ!!! :( หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 19:50:00 กระทู้นี้เข้าทาง ท่าน xxxxwat30 :wanwan004: สงสัยงานนี้มียาวววววววววววววววววววววว ถ้าหากทุกคนเข้าใจหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" กับหลักปัจจัตังอย่างถูกต้องก็ไม่ยาวครับ โอยยย ข่อยยอมเจ้าแล้วล่ะ (พ่อใหญ่อั่นนี่แมะ) :-X เจ้ามะโพดแทะ!!! :( แหม๋ม ผมเพิ่งอัดเสียงเรื่องนี้ลงเว็บเอง เอาเค้าเรื่องมาจากกระทู้นี้แหล่ะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bigblog ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 20:57:23 ยอมรับว่า อ่านแล้วขนลุกชันเลย น่ากลัวต่อการทำบาปมากขึ้นเลย
ต่อไปจะทำแต่บุญเท่านั้น ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: supoj ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 11:05:35 49 วันหลัง.....มาม่า
ไม่มีเรื่องนี้มั่งเหรอครับ หุหุ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Kuroroman ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 11:15:36 มีกระทู้แนวนี้มา มาม่าเกิดทุกที ให้ตายสิ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ครึ่งควบลูก! ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 11:47:26 มีกระทู้แนวนี้มา มาม่าเกิดทุกที ให้ตายสิ :wanwan004: :wanwan004: :wanwan004:หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 17:21:29 :wanwan010: ไม่ใช่ก็ปล่อยไปนะครับ เชื่อก็เก็บไว้
ศาสนามีไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไ่ม่ใช่มีไว้งมงาย! หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 17:32:35 ผมไม่เห็นด้วยกับนรกอยู่ข้อนึงเหมือนกับความคิดเห็นนึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า สวรรค์ นรกไม่แสดงตัว
ผมติดใจตรงที่ คนชั่ว แล้วก็ไปรับกรรมต่อในนรก โอเคมันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับตามผลกรรม แต่มันเป็นการรับผลกรรมที่ดูเหมือนจะเสียเปล่า เพราะคนเราพอกลับมาเกิดใหม่ ก็ลืมทั้งหมดทั้งสิ้นจำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะเข้าวงจรการเรียนรู้เดิมใหม่อีก (ยกเว้นว่าจะได้ไปเกิดด้วยปัญญาดี สภาพแวดล้อมที่ดี แต่ปกติคนมีกรรมติดมา มักไม่ได้เกิดมาดีในชาตินี้ ก็ยังแอบสงสัยอีก ชดใช้กรรมในนรกแล้วยังต้องมาชดใช้ในชาตินี้อีกด้วยเหรอ) ฉะนั้นผมอยากให้นรก เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาครับ (ว่าไปนั่น) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: unine ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 17:51:06 เพิ่่งรู้ว่าพระศิวะนี้พุทธ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: จอห๋น ชาวไร่ ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:05:18 ผมไม่เห็นด้วยกับนรกอยู่ข้อนึงเหมือนกับความคิดเห็นนึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า สวรรค์ นรกไม่แสดงตัว มันต้องยื่นเรื่องเองนะครับ ผมโทรไปถามมาแล้ว รูปถ่าย 2 นิ้ว 3รูป สำเนาใบ มรณะ 3ใบ เซ็นต์สำเนาถูกต้องด้วยครับ :wanwan004:ผมติดใจตรงที่ คนชั่ว แล้วก็ไปรับกรรมต่อในนรก โอเคมันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับตามผลกรรม แต่มันเป็นการรับผลกรรมที่ดูเหมือนจะเสียเปล่า เพราะคนเราพอกลับมาเกิดใหม่ ก็ลืมทั้งหมดทั้งสิ้นจำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะเข้าวงจรการเรียนรู้เดิมใหม่อีก (ยกเว้นว่าจะได้ไปเกิดด้วยปัญญาดี สภาพแวดล้อมที่ดี แต่ปกติคนมีกรรมติดมา มักไม่ได้เกิดมาดีในชาตินี้ ก็ยังแอบสงสัยอีก ชดใช้กรรมในนรกแล้วยังต้องมาชดใช้ในชาตินี้อีกด้วยเหรอ) ฉะนั้นผมอยากให้นรก เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาครับ (ว่าไปนั่น) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:07:20 ผมไม่เห็นด้วยกับนรกอยู่ข้อนึงเหมือนกับความคิดเห็นนึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า สวรรค์ นรกไม่แสดงตัว มันต้องยื่นเรื่องเองนะครับ ผมโทรไปถามมาแล้ว รูปถ่าย 2 นิ้ว 3รูป สำเนาใบ มรณะ 3ใบ เซ็นต์สำเนาถูกต้องด้วยครับ :wanwan004:ผมติดใจตรงที่ คนชั่ว แล้วก็ไปรับกรรมต่อในนรก โอเคมันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับตามผลกรรม แต่มันเป็นการรับผลกรรมที่ดูเหมือนจะเสียเปล่า เพราะคนเราพอกลับมาเกิดใหม่ ก็ลืมทั้งหมดทั้งสิ้นจำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะเข้าวงจรการเรียนรู้เดิมใหม่อีก (ยกเว้นว่าจะได้ไปเกิดด้วยปัญญาดี สภาพแวดล้อมที่ดี แต่ปกติคนมีกรรมติดมา มักไม่ได้เกิดมาดีในชาตินี้ ก็ยังแอบสงสัยอีก ชดใช้กรรมในนรกแล้วยังต้องมาชดใช้ในชาตินี้อีกด้วยเหรอ) ฉะนั้นผมอยากให้นรก เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาครับ (ว่าไปนั่น) ต้องใช้สิทธิ์ แสดงความคิดเห็นเอาไว้ก่อนครับ เผื่อถึงเวลา ยมบาลท่านบอกว่าห้ามโต้แย้ง เดี๋ยวจะหมดโอกาสไปเสียก่อน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:27:52 ผมไม่เห็นด้วยกับนรกอยู่ข้อนึงเหมือนกับความคิดเห็นนึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า สวรรค์ นรกไม่แสดงตัว ผมติดใจตรงที่ คนชั่ว แล้วก็ไปรับกรรมต่อในนรก โอเคมันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับตามผลกรรม แต่มันเป็นการรับผลกรรมที่ดูเหมือนจะเสียเปล่า เพราะคนเราพอกลับมาเกิดใหม่ ก็ลืมทั้งหมดทั้งสิ้นจำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะเข้าวงจรการเรียนรู้เดิมใหม่อีก (ยกเว้นว่าจะได้ไปเกิดด้วยปัญญาดี สภาพแวดล้อมที่ดี แต่ปกติคนมีกรรมติดมา มักไม่ได้เกิดมาดีในชาตินี้ ก็ยังแอบสงสัยอีก ชดใช้กรรมในนรกแล้วยังต้องมาชดใช้ในชาตินี้อีกด้วยเหรอ) ฉะนั้นผมอยากให้นรก เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาครับ (ว่าไปนั่น) ผมขอตอบบแบบนี้ก่อน ส่วนนี้อยู่ในส่วนงานที่ทำอยบู่เหมือนกันแล้วทำไปตั้งแต่ปี 2548 ก่ีอนเข้ามารับงานอย่างเป็นทางการในปี 2549 กลางปี ประเด็นแรกเรืองของจิตก่อน จิตมีความฉลาดกว่าสมองแล้วทำงานเร็วกว่าสมองมาก สมองจึงรับความรู้จากจิตน้อยกว่าทำให้เช่นเมื่อผมรับข้อมูลมา จากพระศิวะ สามารถรับคำตอบมาได้แค่สั้น ๆ เช่นบางทีรับมาสั้น ๆ ว่า "ไป" แต่ว่าไปไหนต้องใช้สมองคิดเองด้วยปัญญาของตนเอง + ประสบการณ์ ที่มี ส่วนเรื่องการเกิดชาติหน้าแล้วลืมนั้นเป็นวัตถุประสงค์ของจิตที่ทำบาปไว้มากอยู่แล้ว จิตเมื่ออยากลืมเรื่องที่ทำเอาไว้จากการเพิ่งตายจาชาติเดิมใหม่ ๆ ก็จะใช้วิธีการหนีมาเกิด หรือแม้แต่สัตว์นรกซึ่งทนต่อสภาวะความทรมานไม่ไหวก็จะหนีมาเกิด สมัยผมเป็นเทพใหม่ ๆ ตอนปลายปี 2544 ยังช่วยพระศิวะ จับจิตสัตว์นรกลงนรกอยู่เลยครับ แต่ส่วนมากพวกนี้จะหนีมาเกิดปะปนรวมกับมนุษย์แล้วส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนต่อมวลมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นเหตุหนึ่ง ในหลาย ๆ เหตุที่ทำให้มนุษย์รบราฆ่าฟันกันเอง นรกเต็มเน่นยิ่งกว่ารถเมล์ปลากระป๋องขสมก. เสียอีก จิตทำบาปมากกว่าจิตทำดี ตอนที่ผมทำงานใหม่ ๆ สวรรค์มีพื้นที่กระจึ๋งเดียว แต่นรกปริแล้วปริอีกแล้วดันมีปล่องรอยแตกทะลุมาที่ห้องนอนผมด้วย ตอนแรก ๆ หมาหอนทุกคืนช่วงดึก ๆ ปีหลัง ๆ พอผมแผ่ เมตตาอุทิศกุศลให้ก็ีไปสุ่สุคติหมดจนกระทั่งเดี๋ยวนี้และผ่านมานานหลายปีไม่มีหมาหอนอีกเลย จากที่ผมเล่าเรื่องสถานการณ์นรกที่ว่า ทำให้ตอนกลางปี 2548 ผมได้กำหนดนโยบายใหม่ โดยใช้กำลังสมาะิทั้งหมดย้ายนรกขึ้นไปเหนือสวรรค์เสียเลย แล้วกั้นคอกเอาไว้ พวกสัตว์นรกพอเห็นความสวยงามบนเมื่องสวรรค์อยากไปอยุ่ก็จะเหาะลงไปอยู่ด้วยแต่ไปไม่ได้ ผมก็แนะนำให้พวกนี้ปฏิบัติธรรมจนกระ ทั่งใช้เวลานานหลายเดือนนรกก็สลายไปเหลือแต่ดินแดนแห่งเดียวกัน นั่นหมายความว่าจิตที่ไปอยุ่บนดินแดนนั้นจะใช้กฎ "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" อย่างถูกต้อง เมื่อใดคิดไม่ดีโทษก็ปรากฏกับตนทันที ถ้าคิดดีบุญก็เกิดกับตนทันที แล้วก็มาเก็บตกอีกนิดหน่อยเมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วกับพวกที่ผมส่งลงนรก ไปเองในช่วงต้น ฉะนั้นนรกไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปใช้หลัก "สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ" แทน ส่วนนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงมนุษย์และสิ่งมีชีวิต เพราะ กรรมยังมากเกินกว่าจะขึ้นไปอยู่ดินแดนได้ ส่วนคำถามที่ว่าสัตว์นรกที่ชดใช้กรรมแล้วต้องมาเกิดอีกหรือ คำตอบคือต้องมาเกิดใหม่อีกเพราะการตกนรกนั้นเป็นการชดใช้กรรมให้ลดน้อยลงเท่านั้น อีกทั้ง การไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตทำให้การชดใช้กรรมช้าลงด้วย นั่นเป็นเหตุให้สัตว์นรกต้องอยุ่ในนรกนานกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมหันมาเร่งกรรมในโลกมนุษย์แทน โดยที่คนที่ตายไปแล้วแสดงว่ากรรมน้อยโอกาสที่จะไม่กลับมาเกิดอีกก็มีสุง ส่วนคนที่อยุ่ในโลกมนุษย์ก็คือคนที่ยังมีบาปกรรมที่ต้องชดใช้มากอยุ่ ด้วย เหตุนี้โลกมนุษย์จึงเป็นนรกแทนนรกเดิม คือถ้าใครกลับลงมาเกิดใหม่นั่นแหล่ะคือตกนรก ส่วนผมเองกลายเป็นต้องทำงานอยุ่ในนรกโดยปริยายด้วยการแก้ กฎระเบียบใหม่ที่นำมาใช้แทนกฎระเบียบเดิมที่ออกโดยพระศิวะ อีกอย่างเนื่องจากที่ผมเคยเล่าว่าผมเคยตายไปแล้ว เมื่อกลับมาก็คือการเกิดใหม่ก็ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้นเป็นเหตุให้เสียสติแล้วพระศิวะท่านก็สร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ เมื่อความทรงจำกลับคืนมาสติก็กลับมาใหม่ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ploymai ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:44:08 เพ้อเจ้อ หรือขี้โม้ ทั้งน้าน :-[
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ซาเล้ง ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:45:28 Edit : เดี๋ยวจะกลายคนจุดไฟ ไม่เอาๆ.... ไม่ดีๆ :P
ปล.ลืมดูลายเซ็นต์ตัวเอง ต่อไปจะไม่ยุ่งกับกระทู้ทำนองนี้อีกแล้ว... หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:47:26 โอ๊วววว ดังไกลไปถึงยูตุ๊บบเลย :wanwan004: ลบออกตาม มีมานานแล้วแต่ผมไม่สนใจเท่านั้นเอง จะไปสนใจทำไมกับเรื่องอุจจาระสุกรราอุจจาระสุนัขแห้ง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 18:55:17 กำหนดนโยบายเลยเหรอครับ งั้นผมขอไปสวรรค์นะ ;D
แบบนี้ คนเกิดประเทศไหน ต้องแบ่งไปตกนรกประเทศนั้นด้วยหรือเปล่าครับ หรือถ้าฝรั่งมาตายประเทศเรา ต้องส่งกลับไปนรกประเทศตัวเองหรือเปล่า แล้วเกิดมนุษย์ต่างดาวมาตายในโลกเราจะเป็นอย่างไร เป็นคำถามที่ชวนสงสัยมากอิๆ (จริงๆก็สงสัยมานานแล้ว) ว่าแต่ส่งนรกไปอยู่เหนือสวรรค์ไม่เป็นไรเหรอครับ :D เพราะตามทฤษฏี ความเร็วบนสวรรค์กับ นรกนั้นไม่เท่ากัน เพราะเวลาบนสวรรค์นั้นช้ามาก ผ่านไปนิดเดียวแต่เท่ากับเวลาที่ผ่านไปนานแล้วบนโลก ในขณะที่นรก เวลาจะผ่านไปเร็วมากๆ แต่จะผ่านไปช้าบนโลก จึงทำให้สัตว์นรกทั้งหลายต้องรับกรรมอยู่นาน แม้โลกมนุษย์จะผ่านไปเพียงวูบเดียว แล้วจึงค่อยกลับมาเกิด (ทั้งนี้การเคลื่อนไหวจะแปรผันตามเวลา เช่นสัตว์นรกจะเคลื่อนที่ไวมากๆ มีความยุ่งเหยิงสูง ฉะนั้นถึงแม้เวลาจะผ่านไปเร็วแต่การเคลื่อนที่ก็จะเร็วไปด้วย จึงเหมือนอยู่ในโลกปกติที่เป็นเวลานาน ให้นึกถึงเต่าที่อายุเยอะ แต่เต่าเคลื่อนที่ได้ช้ามากๆ ฉะนั้นในความรู้สึกของมันจริงๆก็คือมันอายุไม่ได้ยาวในความรู้สึกของมันเอง แต่เรามองว่าเต่าอายุยืน เพราะเอาความต่างของระยะเวลาอายุมาคิด ถ้าผมจำผิด ไปหาอ่านใน หนังสือ ไอนสไตน์พบพระพุทฑเจ้าเห็น) แต่สาเหตุจริงๆที่เขาให้ฝึกสมาธิและจิตก็เพราะว่า ช่วงเวลาที่เราตาย จิตเราจะเร็วมากและถ้าจิตเราไปในบวกหรือลบ ก็จะส่งผลให้ไปตามที่จิตเราคิดไว้นั่นเอง แต่ทฤษฏีของดร. ไบรอัน บอกว่า จิตหลังจากกายดับแล้ว ก็จะไปจุติใหม่ทันทีแทบจะเรียกได้ว่าต่อเนื่องกัน (แต่ถ้ามองว่า เอาความต่างระหว่างเวลาของแต่ละภพมาแยกออกจากกัน การโดนส่งไปภพอื่นนาน แล้วกลับมาจุติเลยก็เป็นไปได้ เหมือนกับอุราชิมาทาโร่) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:08:55 กำหนดนโยบายเลยเหรอครับ งั้นผมขอไปสวรรค์นะ ;D แบบนี้ คนเกิดประเทศไหน ต้องแบ่งไปตกนรกประเทศนั้นด้วยหรือเปล่าครับ หรือถ้าฝรั่งมาตายประเทศเรา ต้องส่งกลับไปนรกประเทศตัวเองหรือเปล่า แล้วเกิดมนุษย์ต่างดาวมาตายในโลกเราจะเป็นอย่างไร เป็นคำถามที่ชวนสงสัยมากอิๆ (จริงๆก็สงสัยมานานแล้ว) ว่าแต่ส่งนรกไปอยู่เหนือสวรรค์ไม่เป็นไรเหรอครับ :D เพราะตามทฤษฏี ความเร็วบนสวรรค์กับ นรกนั้นไม่เท่ากัน เพราะเวลาบนสวรรค์นั้นช้ามาก ผ่านไปนิดเดียวแต่เท่ากับเวลาที่ผ่านไปนานแล้วบนโลก ในขณะที่นรก เวลาจะผ่านไปเร็วมากๆ แต่จะผ่านไปช้าบนโลก จึงทำให้สัตว์นรกทั้งหลายต้องรับกรรมอยู่นาน แม้โลกมนุษย์จะผ่านไปเพียงวูบเดียว แล้วจึงค่อยกลับมาเกิด (ทั้งนี้การเคลื่อนไหวจะแปรผันตามเวลา เช่นสัตว์นรกจะเคลื่อนที่ไวมากๆ มีความยุ่งเหยิงสูง ฉะนั้นถึงแม้เวลาจะผ่านไปเร็วแต่การเคลื่อนที่ก็จะเร็วไปด้วย จึงเหมือนอยู่ในโลกปกติที่เป็นเวลานาน ให้นึกถึงเต่าที่อายุเยอะ แต่เต่าเคลื่อนที่ได้ช้ามากๆ ฉะนั้นในความรู้สึกของมันจริงๆก็คือมันอายุไม่ได้ยาวในความรู้สึกของมันเอง แต่เรามองว่าเต่าอายุยืน เพราะเอาความต่างของระยะเวลาอายุมาคิด ถ้าผมจำผิด ไปหาอ่านใน หนังสือ ไอนสไตน์พบพระพุทฑเจ้าเห็น) แต่สาเหตุจริงๆที่เขาให้ฝึกสมาธิและจิตก็เพราะว่า ช่วงเวลาที่เราตาย จิตเราจะเร็วมากและถ้าจิตเราไปในบวกหรือลบ ก็จะส่งผลให้ไปตามที่จิตเราคิดไว้นั่นเอง แต่ทฤษฏีของดร. ไบรอัน บอกว่า จิตหลังจากกายดับแล้ว ก็จะไปจุติใหม่ทันทีแทบจะเรียกได้ว่าต่อเนื่องกัน (แต่ถ้ามองว่า เอาความต่างระหว่างเวลาของแต่ละภพมาแยกออกจากกัน การโดนส่งไปภพอื่นนาน แล้วกลับมาจุติเลยก็เป็นไปได้ เหมือนกับอุราชิมาทาโร่) ที่จริงแล้วผมอ่านก็แปร่ง ๆ นิดหน่อยนะครับ เวลาบนสวรรค์น่าจะเร็วกว่าเวลาในนรก แท้จริงแล้วนะครับเป็นความรู้สึกเท่านั้นเองมาแบบนี้ผมตอบเกือบไม่ถูกเลย เอาเป็นว่า เวลาที่เรามีความสุขเวลามันก็จะผ่านไปเร็วเดี๋ยวเช้าเดี๋ยวเยจ็นเดี๋ยวก็หมดวันหมดเดือน คือไม่อยากให้เวลานั้นผ่านไป แต่เวลาที่เราทุกข์เวลามันจะช้า คืออยากจะให้ผ่านไปไว ๆ ที่จริงเวลาในทุกมิติเท่ากันหมด ส่วนเรื่องอายุของสิ่งมีึชีวิตที่ไม่เทากันไม่ใช่ปัญหา หมดกรรมหรือกรรมน้อยก็ตายเอาได้ดื้อ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา ส่วนจิตที่อยุ่บนดินแดน ถ้าทำบาปมากจะอึดอัดแล้วไม่อยากอยู่บนนั้นเพราะมันทุกข์ ยิ่งอยุ่ยิ่งทุกข์ทนไม่ได้ก็ลงมาเกิดใหม่เดงล่ะครับ ไม่ต้องขอครับทุกคนที่ตายไปถ้าบาปไม่มากจนเกินไปแล้วตนเองทนสภาพนั้นได้ก็ไปดินแดนเองล่ะครับ ทุกวันนี้ผมก็ส่งจิตวิญญาณที่ตเพิ่งายขึ้นไปอยู่แล้ว อยู่ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง ตามที่อธิบายไว้ข้างบน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:11:25 อ้างถึง จากที่ผมเล่าเรื่องสถานการณ์นรกที่ว่า ทำให้ตอนกลางปี 2548 ผมได้กำหนดนโยบายใหม่ โดยใช้กำลังสมาะิทั้งหมดย้ายนรกขึ้นไปเหนือสวรรค์เสียเลย แล้วกั้น คอกเอาไว้ พวกสัตว์นรกพอเห็นความสวยงามบนเมื่องสวรรค์อยากไปอยุ่ก็จะเหาะลงไปอยู่ด้วย แต่ไปไม่ได้ ผมก็แนะนำให้พวกนี้ปฏิบัติธรรมจนกระ ทั่งใช้เวลานาน หลายเดือนนรกก็สลายไปเหลือแต่ดินแดนแห่งเดียวกัน นั่นหมายความว่าจิตที่ไปอยุ่บนดินแดนนั้นจะใช้กฎ "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" อย่างถูกต้อง เมื่อใดคิดไม่ดีโทษก็ปรากฏกับตนทันที ถ้าคิดดีบุญก็เกิดกับตนทันที แล้วก็มาเก็บตกอีกนิดหน่อยเมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วกับพวกที่ผมส่งลงนรก ไป เองในช่วงต้น ฉะนั้นนรกไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปใช้หลัก "สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ" แทน ส่วนนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงมนุษย์และสิ่งมีชีวิต เพราะ กรรมยังมากเกินกว่าจะขึ้นไปอยู่ดินแดนได้ ท่านทำได้ขนาดนี้เลยเหรอท่าน สามารถย้ายนรก ไปบนสวรรค์ แล้วเทพที่มีก่อนท่าน ไม่คิดจะทำอะไรมั่งเลยเหรอ มาปล่อยให้ท่านจัดการหมดซะแบบนี้ แล้วสวรรค์กว้างกว่านรกมากเหรอครับ ที่เอานรกย้ายไปอยู่บนสรรค์ได้เลย แล้วขนาดของนรกกว้างเท่าไร บรรจุจิตวิญญาณได้มากแค่ไหน ทำไมถึงเต็มจนจะล้นได้ ถ้านำขนาดของจิตมาบรรจุลงในหม้อหุงข้าวได้ไม๊ หม้อหนึ่งใบบรรจุได้กี่ดวง ถ้าท่านไม่ย้ายนรกขึ้นไปในตอนแรก สมมุติว่านรกเต็มแล้ว นรกก็จะแตกไปอยู่ที่บ้านท่านเหรอ อย่านี้ใครที่ล้นออกมาก็ไม่ต้องโดนลงโทษสิ เหมือนเกณฑ์ทหาร รับหมดแล้วก็รอดไปเหรอท่าน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dummy ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:12:28 youtube อารายนี่ :o
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:26:45 เอาเลย ล่อให้ท่านแสดงบร๊ะลานุภาพออกมาเยอะๆ คนจะได้เห็นกันจะๆไปเลย ว่าฉายามหาเทพเหนือพรหม ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย :wanwan004:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:34:21 อ้างถึง จากที่ผมเล่าเรื่องสถานการณ์นรกที่ว่า ทำให้ตอนกลางปี 2548 ผมได้กำหนดนโยบายใหม่ โดยใช้กำลังสมาะิทั้งหมดย้ายนรกขึ้นไปเหนือสวรรค์เสียเลย แล้วกั้น คอกเอาไว้ พวกสัตว์นรกพอเห็นความสวยงามบนเมื่องสวรรค์อยากไปอยุ่ก็จะเหาะลงไปอยู่ด้วย แต่ไปไม่ได้ ผมก็แนะนำให้พวกนี้ปฏิบัติธรรมจนกระ ทั่งใช้เวลานาน หลายเดือนนรกก็สลายไปเหลือแต่ดินแดนแห่งเดียวกัน นั่นหมายความว่าจิตที่ไปอยุ่บนดินแดนนั้นจะใช้กฎ "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" อย่างถูกต้อง เมื่อใดคิดไม่ดีโทษก็ปรากฏกับตนทันที ถ้าคิดดีบุญก็เกิดกับตนทันที แล้วก็มาเก็บตกอีกนิดหน่อยเมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วกับพวกที่ผมส่งลงนรก ไป เองในช่วงต้น ฉะนั้นนรกไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปใช้หลัก "สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ" แทน ส่วนนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงมนุษย์และสิ่งมีชีวิต เพราะ กรรมยังมากเกินกว่าจะขึ้นไปอยู่ดินแดนได้ ท่านทำได้ขนาดนี้เลยเหรอท่าน สามารถย้ายนรก ไปบนสวรรค์ แล้วเทพที่มีก่อนท่าน ไม่คิดจะทำอะไรมั่งเลยเหรอ มาปล่อยให้ท่านจัดการหมดซะแบบนี้ แล้วสวรรค์กว้างกว่านรกมากเหรอครับ ที่เอานรกย้ายไปอยู่บนสรรค์ได้เลย แล้วขนาดของนรกกว้างเท่าไร บรรจุจิตวิญญาณได้มากแค่ไหน ทำไมถึงเต็มจนจะล้นได้ ถ้านำขนาดของจิตมาบรรจุลงในหม้อหุงข้าวได้ไม๊ หม้อหนึ่งใบบรรจุได้กี่ดวง ถ้าท่านไม่ย้ายนรกขึ้นไปในตอนแรก สมมุติว่านรกเต็มแล้ว นรกก็จะแตกไปอยู่ที่บ้านท่านเหรอ อย่านี้ใครที่ล้นออกมาก็ไม่ต้องโดนลงโทษสิ เหมือนเกณฑ์ทหาร รับหมดแล้วก็รอดไปเหรอท่าน จุดเริ่มต้นของการมีนรกมาจากพระศิวะ สมัยนั้นท่านก็แย่งอำนาจการปกครองผมไปนี่แหล่ะ แล้วตอนนั้นสวรรค์ก็วุ่นวายมากผมบอกว่า ให้ใช้เมตตาจัดการนะเพราะถ้าใช้อำนาจจะบานปลาย แล้วเทพทั้งหลายท่านไม่เชื่อรวมหัวกันกับพระศิวะแล้วยึดอำนาจจากผมไป ส่วนตัวเองเสียอำนาจแล้วทนไม่ไหวทั้ง ๆ ที่พระแม่อุมาก็ขอร้องให้อยู่ต่อ แต่ทนกับการที่ถูกแย่งอำนาจไม่ได้ ก็เลยแอบหนีมาเกิดพร้อมทั้งการสิ้นสุดความเป็นเทพไปด้วย ตอนที่ผมปกครองอยู่ตอนโน้นไม่มีสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งมีชีวิตก็เกิดขึ้นจากความวุ่นวายบนสวรรค์นั่นแหล่ะ จิตเหล่านั้นทนความวุ่นวายไม่ไหวก็หนีมาเกิด สน่วนจิตที่ก่อความวุ่นวายถูกพระศิวะจับ ไปขังไว้ในนรก เป็นที่มาของนรก แล้วหลังจากนั้นท่านก็ใช้อำนาจด้วยความบ้าอำนาจสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่าเทพเทวดามากมาย จนเทพหลายพระองค์ท่านก็ทนไม่ไหว เทพเทวดา บางองค์ทำอะไรให้ขัดใจก็ใช้อำนาจไล่ลงไปเกิด ด้วยเหตุนี้เองเมื่อถึงคราวที่โลกมนุษย์และระบบสรรค์ถึงคราวเสื่อมสุด ๆ พระศิวะท่านจำเป็นที่จะต้องให้ผมถือกำเนิดขึ้นมาด้วยกฎแห่งกรรม แล้วด้วยกรรมนี้ทำให้ท่านต้องขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของผมไปด้วย แต่ทำอะไรผมไม่ได้เลยเพราะผมมีความอดทนเกินกว่าที่จะทำอะไรผมได้จนกระทั่งถึงกับเอยปากกับผมว่า "ท่านนี่ยิ่งทำ ลายยิ่งแข็ง" เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยูครับเพราะนี่คือจุดแข็งของผม เมื่อทำอะไรผมไม่ได้ก็ส่งงูไปกัดสหายธรรมเอกของผมจนกระทั่งเกือบตาย แล้วผมก็ช่วยชีวิตสหา่ยธรรมเอาไว้จนรอด แล้ว ด้วยกรรมนี้เองทำให้พระศิวะท่านเสื่อมอำนาจและเสื่อมจากความเป็นเทพโดยสิ้นเชิง ทำให้ผมในฐานะเทพเบอร์ 2 ต้องถูกบังคับให้ต้องมาทำหน้าที่แทนด้วยความจำใจแล้วเป็นกฎของจักรวาล แทนเยอร์ 1 ที่สิ้นสภาพลง ที่จริงแล้วผมขึ้นเบอร์ 1 ตั้งนานแล้วแต่พระศิวะท่านไม่ยอมยกตำแหน่งให้จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปทำลายตนเองจนสิ้น การทำหน้าที่เรื่องการย้ายนรกนี่เป็นหน้าที่ของเทพเบอร์ 1 แต่พระศิวะท่านมีบารมีไม่เพียงพออีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งนรกด้ว ด้วยกรรมเช่นนี้ค้ำคออยู่จึงไม่สามารถล้างนรกได้เลย ส่วผมเป็นเบอร์ 1 มา ที่แท้จริงมานานแล้วจึงสามารถทำได้ อีกอย่างสัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ไ/ด้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสแล้วอนู่อย่างแออัดยัดเยียดน่าอนาถ จึงมาขอให้ผมช่วยให้พ้นสภาพดังกล่าวด้วย จึงเป็น ที่มาของการล้างนรกขึ้น อ่อผมตอบไปข้างบนอยู่แล้วว่า ใครทำผิดก็ลงโทษตนเองถูกวิบากกรรมเล่นงานก็ชัดเจนแล้วครับ ไม่ต้องไปลงโทษใครหรอก การลงโทษคนอื่นเป็นกรรมอย่างหนึ่งของผู้กระทำด้วย ต้ัองให้เจ้าตัว ลงโทษตนเองด้วยการกระทำของตนเอง พระศิวะท่านก็ไม่มีใครไปทำให้ท่านเสื่อมนอกจากตัวท่านเองตามที่ผมเล่ามาเป็นต้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 19:57:13 อ๋อ เป็นอริกันมาก่อนนี่เอง
มิน่า ตอนขึ้นสวรรค์ถึงพาไปดีๆไม่ได้ ต้องเตะขึ้นไป ตอนส่งลงมาก็คงอยากจะถีบลงมาด้วย แต่เกรงใจ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:06:31 อ๋อ เป็นอริกันมาก่อนนี่เอง มิน่า ตอนขึ้นสวรรค์ถึงพาไปดีๆไม่ได้ ต้องเตะขึ้นไป ตอนส่งลงมาก็คงอยากจะถีบลงมาด้วย แต่เกรงใจ คงงั้นแหล่ะป้า เตะซะแรงเลย แล้วในตำแหน่งของผมนี่ใคร ๆ ก็อยากเป็นเทพนับล้าน ๆ อยากเป็นหมด มีผมแหล่ะที่ไม่อยากได้มาตั้งแต่แรกจนกระทั้งเดี๋ยวนี้ก็อยากจะปลดเกษียณตัวเองใจแทบขาด อยากอยู่สบาย ๆ บ้างแต่ทำไม่ได้อะถ้าทำก็ผิดกฎ ยิ่งสูงยิ่งหนาวนะป้าจะบอกให้ อำนาจยิ่งมีมากไม่ระวังตัวก็เผาตัวตาย ผมไม่ได้มีหน้าที่แค่ที่เล่ามานี่หรอก หน้าที่ยังมีอีกเยอะแล้วต้องใช้อำนาจทั้งนั้น ที่เล่ามานี่แค่สะเก็ด ๆ เท่านั้นนะ อีกอย่างนะป้า คนที่เขามีอำนาจจริงเขาไม่ใช้อำนาจหรอกนะป้า เขาใช้ความเมตตาส่วนพวกที่ไม่มีอำนาจนี่เขาจะใช้อำนาจแล้วแสดงตนว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ป้าลองไปพิจารณาดูซิ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:09:32 อ้างถึง ผมไม่เห็นด้วยกับนรกอยู่ข้อนึงเหมือนกับความคิดเห็นนึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า สวรรค์ นรกไม่แสดงตัว ผม ติดใจตรงที่ คนชั่ว แล้วก็ไปรับกรรมต่อในนรก โอเคมันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับตามผลกรรม แต่มันเป็นการรับผลกรรมที่ดูเหมือนจะเสียเปล่า เพราะคนเราพอกลับมาเกิดใหม่ ก็ลืมทั้งหมดทั้งสิ้นจำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะเข้าวงจรการเรียนรู้เดิมใหม่อีก (ยกเว้นว่าจะได้ไปเกิดด้วยปัญญาดี สภาพแวดล้อมที่ดี แต่ปกติคนมีกรรมติดมา มักไม่ได้เกิดมาดีในชาตินี้ ก็ยังแอบสงสัยอีก ชดใช้กรรมในนรกแล้วยังต้องมาชดใช้ในชาตินี้อีกด้วยเหรอ) ฉะนั้นผมอยากให้นรก เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาครับ (ว่าไปนั่น) ท่าน bubbleball มีแนวคิดที่คล้าย ๆ ผมนะครับ เรื่องแบบนีั้ ผมคิดมานานครับ และผมได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาทฤษฎีหนึ่งครับ เรียกว่า ทฤษฎี ปิงปองสองลูกครับ ผมคิดขึ้นมาเอง ทฤษฎีนี้มีอยู่ว่า มีกล่องอยู่หนึ่งใบ เป็นกล่องเหมือนที่ใช้จับใบดำ ใบแดงเวลาเลือกทหาร เอาลูกปิงปองใส่ลงไป 2 ลูก สีดำกับสีขาว เมื่อหยิบลูกปิงปองสีขาวออกมา ลูกปิงปองทีเหลือย่อมเป็นสีดำ ถ้าหยิบลูกปิงปองสีดำออกมา ลูกที่เหลือย่อมเป็นสีขาว ง่าย ๆ แค่นี้เองครับ แต่ทฤษฎีนี้ใช้พิสูจน์สิ่งที่เป็นอจินไตย หลายเรื่อง เช่น ถ้านรกมีจริง กฏแห่งกรรมจะมีจริงหรือ เพราะสองอย่างนี้ขัดกัน ถ้าตกตรกแล้วก็น่าจะหมดกรรม หรือถ้ากฏแห่งกรรมมีจริง นรกก็ไม่น่าจะมี บนสวรรค์จะมีอะไร นอกจากความว่างปล่าว เมฆ สีขาว นางฟ้าเทวดาว่างงาน หรือที่ท่านกล่าวนั่นแหละครับ ว่านรกมีไว้ทำไม ทรมานคนแล้ว ส่งมาเกิดก็ลืมหมด ไม่มีประโยชน์ เป็นองค์กรที่ไม่่มีประโยชน์ น่าจะยุบทิ้ง ท่านลองนำทฤษฎีนี้ไปใช้ จะได้อะไรมากมาย :wanwan017: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:33:37 ทางนรกคงเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่น่าจะยุบทิ้ง น่าจะเก็บไว้เป็นประโยชน์บางส่วน แต่อาจจะเพิ่ม option ให้เหมือนปุ่ม no-cafe และ no-ค้าขาย เป็นต้น
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:37:16 ทางนรกคงเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่น่าจะยุบทิ้ง น่าจะเก็บไว้เป็นประโยชน์บางส่วน แต่อาจจะเพิ่ม option ให้เหมือนปุ่ม no-cafe และ no-ค้าขาย เป็นต้น :wanwan004: :wanwan004: ;D หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:37:50 โดยส่วนตัว ผมไม่เห้นด้วยกับหลักการนรก ผมเห็นด้วยกับหลักการทางกฏหมาย เช่น คนขโมยของ ปรับเงิน ถ้าไม่มี ติดคุก กี่วันก็ว่ากันไป
ไม่ใช่ เอาไปทรมาน ตัดมือ ให้อีกาปากเหล็กจิก หรือเอาไปต้ม มันเกินไปครับ พอเกิดมา อ้าว กรรมไม่หมด ต้องใช้กรรมอีก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:43:47 เหมือนที่ผมเคยอยากรู้นั่นแหละว่า ใครเป็นคนคุมกฏจักรวาล
แต่ให้ผมเดาผมว่า ไม่มีคนคุมกฏจักรวาล แต่กระบวนการทำงานมันถูกฝังอยู่ในจิตเป็นธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว แต่จิตที่ยังไม่ไปสู่การนิพพาน ที่ยังอยู่ในวัฏจักรของการ เวียน ว่าย ตาย เกิด เองนั่นแหละ ที่สร้างกฏขึ้นมาเอง อยากพ้นตรงจุดนี้ ก็ต้องนิพพานอย่างเดียวเลย บุญในชาติที่แล้วก็คงเป็นเหมือนโปรโมชั่นสะสมให้ชาตินี้ดีกว่าชาติที่แล้วสักหน่อย ทำให้มีโอกาสมากกว่า แต่ถ้าทำไม่ดี ก็กลับไปสู่จุดเดิม ใช้โปรโมชั่นหมด เหมือนคนถูกหวย รวยแล้วไม่เอาไปต่อยอด สุดท้ายใช้เงินหมด จนเหมือนเดิม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:55:56 ผมไม่เห็นด้วยเรื่องที่เราเอาบุญมาเทียบกับหลักการทางคณิตศาสตร์ ผมไม่คิดว่าบุญเป็นสิ่งที่สะสมได้
หรือจะให้พูดให้ตรง คือ ผมไม่เชื่อว่า บุญ มีจริงนั่้นเอง ผมคิดว่าเราน่าจะเลิกคิดถึงเรื่อง "บุญ" ซะ แล้วหันมาทำความดี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใด ๆ นอกจากมันเป็นหน้าที่อันดับหนึ่งของมนุษย์เท่านั้นเอง แต่ผมเข้าใจนะ ว่าจิตของคน ไม่ว่าใคร ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทั้งนั้น ผมจะอธิบายให้ท่านฟังว่า ท่านเคยเห็นคนจับปลาใช่มั้ยครับ คนจะจับปลาต้องใช้เครื่องมือ เช่น แห อวน เบ็ด สุ่ม ระเบิด ไฟฟ้า เรือลากอวน ถ้าไม่ใช้อุปกรณ์อะไรเลย คงจับปลายาก แต่ครับ แต่มีคนบางคน จับปลาด้วยมือเปล่าได้ โดดตู้มลงไป ดำน้ำไปสักพัก จับปลาขึ้นมา สองมือ ซะด้วย ทำได้ยังงัย เก่งจริง ๆ ท่านเองก็คงเคยเห็นในทีวี เปรียบการจับปลาคือการค้นหาความหมายของชีวิต ชีวิตหลังความตาย คุณค่าของมนุษย์ เปรียบอุปกรณ์การจับปลาคือศาสนา ต้องมีอุปกรณ์ไปจับปลา เปรียบปลาคือ ความรู้่แจ้ง เห็นจริง บรรลุ พอจะมองออกมั้ยครับ ไม่ว่าจับปลามือเปล่า หรือบรรลุความรู้แจ้ง ยากทั้งสองอย่้างครับ แต่ถ้าปล่อยวางได้ ก็พอมีทาง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:59:25 ตัวผมเองชอบช่้วยเหลือผู้อื่น โดยไม่สนใจเรื่อง บุญ กรรม ชาตินี้ชาติหน้า ไม่หวังแม้แต่ความสบายใจ ผมคิดว่าผมทำหน้าที่ของมนุษย์ แม้ทำดีแล้วโดนด่า โดนว่า ผมก็ไม่ท้อครับ จิตใจของผม มั่นคงเสียยิ่งกว่าหินผาเสียอีก (นั่น ชมตัวเอง)
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:59:50 โดยส่วนตัว ผมไม่เห้นด้วยกับหลักการนรก ผมเห็นด้วยกับหลักการทางกฏหมาย เช่น คนขโมยของ ปรับเงิน ถ้าไม่มี ติดคุก กี่วันก็ว่ากันไป ไม่ใช่ เอาไปทรมาน ตัดมือ ให้อีกาปากเหล็กจิก หรือเอาไปต้ม มันเกินไปครับ พอเกิดมา อ้าว กรรมไม่หมด ต้องใช้กรรมอีก ที่จริงผมก็ไม่เห็นด้วยกับการมีนรก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจิตดั้งเดิมจากอดีตชาติตามที่เล่ามาก็ค้านอยู่นานแล้ว แต่เหตุผลคนละเหตุผลกับคุณเท่านั้น เหตุผลของผมคือ การมีนรกเป็นการลงโทษของสิ่งศักดิ์สิทะิ์ด้วยความทรมานเพื่อให้เกิดความหลาบจำ มนุษย์ก็เลียนแบบการมีนรกมีกฎหมายและการ ลงโทษให้หลาบจำ ผลของการมีนรกกับกฎหมายไม่ต่างกัน คือทำให้ผู้ที่ถูกลงโทษนั้นแค้นเคืองผู้ลงโทษมาแล้วมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากไม่หลาบจำ แล้ว ยังคิดอยากจะทำชั่วเพิ่มมากขึ้นด้วย ในทางโลกมนุษย์การเข้าคุกออกมาแล้วก็เสียเวลาออกมาก็แก่ไม่มีเรี่ยวแรง ในทางจิตวิญญาณนั้นการลงโทษ ที่ดีที่สุดคือการส่งไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตนอกจากจะลืมเรื่องในอดีตแล้วกำลังสมาธิที่สั่งสมมาในขณะที่เป็นจิตถูกทำลายสิ้นด้วย พอตยไปแม้อยากจะทำชั่วอีกก็ไม่มีพลังจิตเสียแล้ว เพราะพลังที่เคยมีถูกล้างทิ้งไปตั้งแต่ตอนเข้าไปเกิดในร่างชองสิ่งมแีชีวิต ในทำนองเดียวกัน หากไม่มีนรก นอกจากผู้มีอำนาจสุงสุดไม่ต้องรับกรรมเพราะต้องลงโทษสัตว์นรกด้วยฤทธิ์แล้ว การที่ไปใช้กฎแห่งกรรมคือการที่ตนเองลงโทษ ตนเองด้วยตนเอง จะสำนึกหรือไม่ขึ้นกับตนหากไม่สำนึกตนก็จะทุกข์มากขึ้น ถ้ายังไม่รู้ตัวตนเองก็จะทำร้ายตนเองด้วยตนเองหนักขึ้น ทีนี้แหล่ะ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน การลงโทษด้วยอำนาจย่่อมไม่อาจทำให้สำนึกได้มีส่วนน้อยเท่านั้นสำนึก ส่วนมากหยุดเพราะกลัวอำนาจในขณะที่มีความ แค้นผู้มีอำนาจมากขึ้นแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตนมีอำนาจไม่พอสู้ ให้สังเกตเถอะผู้ติดคุกพ้นคุกมาก็ทำชั่วต่อ นี่เห็นผลตำตาตามข่าวทีวี อีก ทั้งการลงโทษจากผู้มีอำนาจยังก่อให้ัเกิดการท้าทายอำนาจกับผู้มีอำนาจด้วยความแค้นฝังหุ่นด้วย แต่ถ้าใช้กฎแห่งกรรมถึงอยากจะแค้นในความ เจ็บปวดที่ตนได้รับก็จะไปแค้นใครได้เพราะไม่มีใครไปทำร้ายตน จะแค้นก็แค้นได้แต่ตน พอแค้นตนก็ทำให้ตนทรมานอยุ่ในตนมากขึ้น ถ้าสำนึก เมื่อไหร่ก็ค่อย ๆ สบายขึ้น พอเริ่มสำนึกน้อยลงก็เกิดความทรมานในตนเพิ่มขึ้นอีก อีกอย่างการมีคุกมีกฎหมายลงโทษได้แต่มนุษย์เท่านั้น ลงโทษจิตวิญญาณและสิ่มีชีวิตชนิดอื่นไม่ได้ วันนี้เข้าคุกพร่งนี้ตายจะทำไงหากต้องติดคุก 10 ปี แต่กฎแห่งกรรมตามไปได่้ทุกชาติทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นจิตเป็นสิ่งมีชีวิต ตายเกิดอีกกี่ครั้งก็ตามกันไปได้หมดทุกชาติ ๆ ไป หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:04:27 ท่านพี่ช่วยโพสท์ให้สั้่น กระชับ ได้ใจความหน่อยครับ ไม่งั้นจะไม่มีใครอ่านนะครับ
:wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:06:21 ถ้างั้นก็ต้องตัดไปว่าบุญไม่มีจริง เป็นแค่หน่วยเรียกหรือสรรพนามอย่างนึงเพื่อใช้ในความเข้าใจ แต่การที่เกิดมาดีหรือไม่มีดี นั้นถูกตัดสินด้วยการกระทำต่างๆ แล้วถูกส่งให้มาเกิดดีหรือเกิดแย่ อีกทีนึงกระมัง ฉะนั้นมันจึงเป็นการเริ่มต้นนับใหม่ตลอด เพียงแต่ได้รับโอกาสที่ดีกว่า
ก็คงคล้ายๆที่พระพุทธเจ้าเกิดมาหลายชาติ จนมาตรัสรู้ในชาติที่เกิดเป็นกษัตริย์ ที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว จนเต็ม จนกลายเป็นความรู้สึกพอ และเบื่อหน่าย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:07:52 เหมือนที่ผมเคยอยากรู้นั่นแหละว่า ใครเป็นคนคุมกฏจักรวาล แต่ให้ผมเดาผมว่า ไม่มีคนคุมกฏจักรวาล แต่กระบวนการทำงานมันถูกฝังอยู่ในจิตเป็นธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว แต่จิตที่ยังไม่ไปสู่การนิพพาน ที่ยังอยู่ในวัฏจักรของการ เวียน ว่าย ตาย เกิด เองนั่นแหละ ที่สร้างกฏขึ้นมาเอง อยากพ้นตรงจุดนี้ ก็ต้องนิพพานอย่างเดียวเลย บุญในชาติที่แล้วก็คงเป็นเหมือนโปรโมชั่นสะสมให้ชาตินี้ดีกว่าชาติที่แล้วสักหน่อย ทำให้มีโอกาสมากกว่า แต่ถ้าทำไม่ดี ก็กลับไปสู่จุดเดิม ใช้โปรโมชั่นหมด เหมือนคนถูกหวย รวยแล้วไม่เอาไปต่อยอด สุดท้ายใช้เงินหมด จนเหมือนเดิม อย่างที่คุณบอลเข้าใจน่ะถูกแล้วครับ จิตที่เกิดมาก็เป็นสิ่งสมมุติ แต่เมื่อจิตอยู่ร่วมกันก็ต้องมีกฎแล้วผู้จะออกกฎได้ต้องมีบุญหรือสร้างบุญมากที่สุด เหมือนโลกมนุษย์ที่ต้องมีกฎหมาย กฎจักรวาลกับกฎหมายไม่ต่างกันเลย คือกฎที่ทำให้จิตทุกดวงอยู่ร่วมกันได้่ ท้ายสุดแล้วกฎที่วางไว้หากอ่านจาก rep บนจะเข้าใจทันทีว่าหวนกลับไปสุ่ธรรมชาติดั้งเดิมของจิต คือ กฎแห่งกรรม ผมได้อธิบายกลไกไปแล้วตามข้างบน การมีนรก การมีสิ่งมีชีวิตงอกออกมาเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำคือทำให้ทุกอย่างกลับไปสุ่ธรรมชาติ แล้วนี่คือหน้าที่อัน แท้จริงของผม เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติผมก็หมดหน้าที่ นั่นคือจิตไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ใช่ว่าทุกจิตจะนิพพานหากอ่านจากที่ผมอธิบายข้างบนจะเข้าใจว่าจะอยุ่กัน อย่างไร หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:09:22 ท่านพี่ช่วยโพสท์ให้สั้่น กระชับ ได้ใจความหน่อยครับ ไม่งั้นจะไม่มีใครอ่านนะครับ :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031: สั้นที่สุดทุกคำตอบแล้ว ผมไม่ชอบพิมพ์อะไรยาว ๆ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:13:30 อ้างถึง ถ้างั้นก็ต้องตัดไปว่าบุญไม่มีจริง เป็นแค่หน่วยเรียกหรือสรรพนามอย่างนึงเพื่อใช้ในความเข้าใจ แต่การที่เกิดมาดีหรือไม่มีดี นั้นถูกตัดสินด้วยการกระทำต่างๆ แล้วถูกส่งให้มาเกิดดีหรือเกิดแย่ อีกทีนึงกระมัง ฉะนั้นมันจึงเป็นการเริ่มต้นนับใหม่ตลอด เพียงแต่ได้รับโอกาสที่ดีกว่า ก็คงคล้ายๆที่พระพุทธเจ้าเกิดมาหลายชาติ จริง ๆ ผมไม่ค่อยได้คุยเรื่องแบบนี้กับใครหรอกครับ มีแต่เพื่อนสนิทแค่คนเดียวที่ชอบคุยกัน แต่คิดว่า ท่าน bubbleball คงจะรับเรื่องความเห็นที่แตกต่างจากสังคมทั่วไปแบบผมได้ ผมคิดว่าความคิดทุกอย่าง ทฤษฎีทุกอย่างควรมีการ "เผื่อไม่ใช่" อยู่ด้วย เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งถามเพื่อนผมว่า "คุณคิดว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ" เพื่อนผมโกรธมาก เถียงกันหน้าดำหน้าแดง กลับมาเล่าให้ผมฟัง ผมจึงบอกไปว่า คนเรามีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์ถามนะ ไม่ว่าคิดแล้วถามแล้วจะไม่ถูกใจใครก็ตาม ผมเคยคุยกับคนที่บอกว่าตนเองบรรลุอรหันต์ (ฆราวาส ไม่ใช่พระ) ถามเขาว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ เขาบอกว่า มีหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่พระธรรม เป็นของจริง เป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่้ความรู้แจ้ง ผมผิดคาดเลย นึกว่าท่านจะโกรธเสียอีก หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:14:44 อ้างถึง สั้นที่สุดทุกคำตอบแล้ว ผมไม่ชอบพิมพ์อะไรยาว ๆ จริงอ่ะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:18:30 อ้างถึง สั้นที่สุดทุกคำตอบแล้ว ผมไม่ชอบพิมพ์อะไรยาว ๆ จริงอ่ะ ตอบยาวคิดเยอะกว่าจะจบต้องคิดต้องตอบทุก rep สมองทำงาสนเยจอะขึ้น หุหุ ไม่ชอบหรอกแต่ตอบสั้นคนไม่รู้เรื่องเพราะไม่มีรายละเอียด แล้วเป็นผลเสียมากกว่าผลดี หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: knight15 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:22:21 อ้างถึง ตอนที่ผมทำงานใหม่ ๆ สวรรค์มีพื้นที่กระจึ๋งเดียว แต่นรกปริแล้วปริอีกแล้วดันมีปล่องรอยแตกทะลุมาที่ห้องนอนผมด้วย ตอนแรก ๆ หมาหอนทุกคืนช่วงดึก ๆ ปีหลัง ๆ พอผมแผ่ เมตตาอุทิศกุศลให้ก็ีไปสุ่สุคติหมดจนกระทั่งเดี๋ยวนี้และผ่านมานานหลายปีไม่มีหมาหอนอีกเลย แล้วสวรรค์กว้างกว่านรกมากเหรอครับ ที่เอานรกย้ายไปอยู่บนสรรค์ได้เลย แล้วขนาดของนรกกว้างเท่าไร บรรจุจิตวิญญาณได้มากแค่ไหน ทำไมถึงเต็มจนจะล้นได้ ถ้านำขนาดของจิตมาบรรจุลงในหม้อหุงข้าวได้ไม๊ หม้อหนึ่งใบบรรจุได้กี่ดวง ถ้า ท่านไม่ย้ายนรกขึ้นไปในตอนแรก สมมุติว่านรกเต็มแล้ว นรกก็จะแตกไปอยู่ที่บ้านท่านเหรอ อย่านี้ใครที่ล้นออกมาก็ไม่ต้องโดนลงโทษสิ เหมือนเกณฑ์ทหาร รับหมดแล้วก็รอดไปเหรอท่าน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:30:24 ผมไม่ค่อยได้ยึดติดบนความมีอยู่หรือไม่มีหน่ะครับ ผมแค่ค้นหาจุดร่วมทางความคิดเฉยๆว่าอะไรน่าจะเป็นคำตอบเสียมากกว่า แต่สุดท้ายจะรู้ได้มันก็ไปจบด้วยการปฏิบัติอยู่ดี เพียงแต่ถ้าเรารู้ในสิ่งที่เป็นจุดร่วมระหว่างกัน แม้คนละศาสนา มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า และเป็นแนวทางที่น่าจะใช่
บางอย่างผมก็เชื่อ แต่บางอย่างผมก็ไม่ค่อยเชื่อ ซึ่งอะไรถ้าไม่ค่อยน่าเชื่อ ก็ถามๆเอา แล้วพิจารณาว่าสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่จริงหรือไม่นั้น มิอาจรู้ได้ สรุปผมไม่ได้ยึดติดบางสิ่งบางอย่างครับแม้ว่าจะถูกปลูกฝังให้เชื่อมาก็ตาม เรื่องการทำดีจึงไปอยู่ใจการพินิจพิจารณาว่าทำแบบนี้แหละดี ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะไม่ได้วางอยู่บนกรอบแนวทางที่กำหนดมาโดยทั่วไปก็ได้ สงสัยผมจะเป็นพวกนอกรีต อิๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อะไรที่เขาทำกันทั่วไป ผมก็ทำ แต่ถามว่าด้วยความรู้สึกต้องการทำของตัวเองไหม ก็ไม่ใช่ อย่างคนอื่นอาจจะมองว่าบุญคือการบริจาค ส่วนผม บุญอยู่ที่ใจ แต่การทำบุญช่วยเหลือนั้นคือน้ำใจ ที่ทำให้ปลอดโปร่งบริสุทธิ์ใจ จึงได้บุญอีกที (ผลพลอยได้) หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:37:13 ถ้างั้นก็ต้องตัดไปว่าบุญไม่มีจริง เป็นแค่หน่วยเรียกหรือสรรพนามอย่างนึงเพื่อใช้ในความเข้าใจ แต่การที่เกิดมาดีหรือไม่มีดี นั้นถูกตัดสินด้วยการกระทำต่างๆ แล้วถูกส่งให้มาเกิดดีหรือเกิดแย่ อีกทีนึงกระมัง ฉะนั้นมันจึงเป็นการเริ่มต้นนับใหม่ตลอด เพียงแต่ได้รับโอกาสที่ดีกว่า ก็คงคล้ายๆที่พระพุทธเจ้าเกิดมาหลายชาติ จนมาตรัสรู้ในชาติที่เกิดเป็นกษัตริย์ ที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว จนเต็ม จนกลายเป็นความรู้สึกพอ และเบื่อหน่าย บุญนี่เป็นรูปธรรมครับ เกิืดขึ้นจากความเข้มข้นของความตั้งใจครับ แต่มนุษย์จะรับรู้ว่าเป็นนามธรรมเพราะใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ได้ บุญสะสมอยู่ในจิตในรูปของอนุสัยนั่นแหล่ะ ถ้าไม่มีอะไรเลยอนุสัยก็จะมีสถานะว่าง ทำให้เกิดสภาวะนิพพานได้ ถ้ายังมีหรือไม่ดีอยู่ เช่นมีโลภ มีเมตตา ฯลฯ อยู่ในจิตแสดงว่ายังไม่ได้อยู่ในสภาวะนิพพาน ความเข้มข้นของความตั้งใจจะก่อให้เกิดกำลังสมาธิขึ้น ใครก็ตามที่ยิ่งคิดทำชั่วอยู่แล้วจะยิ่งอยากทำชั่วมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากไม่มีรทางออกไม่มีใครชี้แนะ จึงคิดว่าความทรมานที่ตนได้รับเป็นเหตุมาจากคนอื่น โดยหารู้สักนิด เลยว่ามันอยู่ในตนเองแหล่ะ เช่นคนโกรธเกิดที่จิตตนก่อน ไฟเมื่อถูกจุดขึ้นแล้วคนที่อยุ่ใกล้ไฟนตั้นจะร้อนมากที่สุดไไม่มีใครรู้สึกร้อนกับตน แต่เพราะเราทั้งหลายหลงผิดคิดคิดว่าคน อื่นเอาไฟมารนตนเอง คิดว่าใครทำก็เอาไฟนั้นไปรนคนนั้นด้วย ผู้นั้นเมื่อเห็นว่าเราจุดไฟไปเผปาเค้า เค้าก็ต้องจุดไหอีกกองมามาเผาเราคืน แล้วเช่นกันถ้าใครคิดว่าผมจุดไฟใส่เขาก็ ต้องจุดไฟนนั้นไว้ที่ตนเองเพื่อนำมาเผาผมด้วยเหตุที่ว่าเขาคิดว่าผมทำ พอเอาไฟมาใกล้ ๆ ผมก็เอา่น้ำฉีดไล่เพราะผมก็ไม่อยากร้อนอยู่แล้ว เรื่องอะไรที่จะต้องให้ไฟมาเผาตนเอง แล้วอย่างที่ผมบอกคนที่ผลิตไฟก็จะผลิตไฟมากขึ้นแล้วแรงขึ้นเผาตนเองแรงขึ้นทุกที แล้วเอาไปเผาคนอื่นด้วยตามที่ผมเล่ามา ส่วนผมผลิตน้ำออกมาตลอดคนจุดไฟมาเผาจุดมาเท่า ไหร่เจอน้ำฉีดไล่ตลอดแล้วถึงแม้บางทีเครื่องผลิตน้ำจะพังไปบ้างเพราะไฟมาแรงจากหลายแหลง น้ำดับไฟไม่ทันตนก็มีติดไฟจากคนอื่นมาขบ้างก็ต้องเดินหนี แล้วไปซ่อมเครื่องฉีึดน้ำ ใหม่ดับไฟที่ติดลุกไหม้อยู่ในตนจนหมดนี่เรื่องการเปรียบเรื่องอนุสัยในจิตได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมอธิบายมา อะไรร้อนก็เผาตนก่อนเพื่อนหากตนผลิต อะไรเย็นตนก็ได้รับก่อนเพื่อนเพราะ ตนผลิต นี่เท่ากับหลักกรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนานั่นเอง หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:47:54 คำถาม ถือศีล 5 กินเหล้าผิดไหม อิๆ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:48:59 ผมไม่ค่อยได้ยึดติดบนความมีอยู่หรือไม่มีหน่ะครับ ผมแค่ค้นหาจุดร่วมทางความคิดเฉยๆว่าอะไรน่าจะเป็นคำตอบเสียมากกว่า แต่สุดท้ายจะรู้ได้มันก็ไปจบด้วยการปฏิบัติอยู่ดี เพียงแต่ถ้าเรารู้ในสิ่งที่เป็นจุดร่วมระหว่างกัน แม้คนละศาสนา มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า และเป็นแนวทางที่น่าจะใช่ บางอย่างผมก็เชื่อ แต่บางอย่างผมก็ไม่ค่อยเชื่อ ซึ่งอะไรถ้าไม่ค่อยน่าเชื่อ ก็ถามๆเอา แล้วพิจารณาว่าสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่จริงหรือไม่นั้น มิอาจรู้ได้ สรุปผมไม่ได้ยึดติดบางสิ่งบางอย่างครับแม้ว่าจะถูกปลูกฝังให้เชื่อมาก็ตาม เรื่องการทำดีจึงไปอยู่ใจการพินิจพิจารณาว่าทำแบบนี้แหละดี ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะไม่ได้วางอยู่บนกรอบแนวทางที่กำหนดมาโดยทั่วไปก็ได้ สงสัยผมจะเป็นพวกนอกรีต อิๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อะไรที่เขาทำกันทั่วไป ผมก็ทำ แต่ถามว่าด้วยความรู้สึกต้องการทำของตัวเองไหม ก็ไม่ใช่ อย่างคนอื่นอาจจะมองว่าบุญคือการบริจาค ส่วนผม บุญอยู่ที่ใจ แต่การทำบุญช่วยเหลือนั้นคือน้ำใจ ที่ทำให้ปลอดโปร่งบริสุทธิ์ใจ จึงได้บุญอีกที (ผลพลอยได้) แค่เหตุผลแล้วพิจารณาเชื่อหรือไม่ยังไม่เพียงพอแล้วเป็นอันตรายต่อคำสอนในพุทธศาสนาด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องปฏิบัติให้เกิดผลขึ้นกับจน ผลที่เกิดขึ้นกับตนย่อมเป็นส่วนตนหรือเป็นปัจเจกหรือเป็นปัจจัตตัง เมื่อผลประจักษ์แจ้งกับตนเช่นนั้นแล้ว เหตุผลจะตามมาทีหลัง เหตุผลใดที่มา ก่อนจะเกิดผลนั้นต่อตนเองย่อมก่อให้เกิดอคติได้โดยง่าย เหตุผลที่มาก่อนการพิสูจน์ในผลก่อให้เกิดความพอใจหรือไม่พอใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือเชื่อ หรือไม่เชื่อนั่นแหล่ะ เหตุผลที่มาจากการพิสูจน์ผลนั้นด้วยเหตุนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านับหลาย ๆ ครั้งโดยไมยึดติดอะไรไว้ล่วงหน้า ผมขอละเรื่องอุปทานไว้เพราะ อธิบายไปเยอะแล้ว ผลออกมาไงก็ว่าไปตามนั้นเมื่อไม่มีอุปทานผลคือผลที่แน่นอน แล้วเหตุผลที่ได้จะปราศจากอคติอย่างสิ้นเชิงแล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจะกลายเป็นสัจธรรมในที่สุดเมื่อผู้อืนหลาย ๆ คนนับจำนวนมากหลายได้พิสูจน์ผลนั้นจากเหตุนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วได้ผลเช่นเดียวกับตน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 21:54:40 คำถาม ถือศีล 5 กินเหล้าผิดไหม อิๆ คำถามที่ถามว่าถูกผิดหรือไม่เป็นคำถามหนึ่งที่เป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง คำถามประเภทนี้หากจะตอบได้ให้ถามตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันตาย ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ร้อยนชาติ กี่พันชาติก็ตอบไม่หมด ให้ถามตนเองสั้น ๆ ว่าผลของการกระทำนั้นเป็นอย่างไรหรือต้องรู้อยู่แล้วว่าผลจากการกระทำนั้นเป็นเช่นไร ถ้าไม่รู้ให้ถามคนที่เขารู่้ ผลนี้ให้ใช้ ทางกายภาพเท่านั้นไม่อาจใช้กับความรู้สึกทางใจได้ เมื่อได้คำตอบแล้วถึงผลนั้นถ้ารู้ว่าไม่ดีแล้วไปทำนั้นคือผิด ถ้ารู้ว่าดีแล้วก็ถูกคำตอบมีเท่านี้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:13:09 อิๆ ตอบถูก
ผิดไม่ผิด ผมก็ว่าอยู่ที่ผลของการกิน และใจ อย่างผมเป็นคนไม่กินเหล้า หรือไม่รู้สึกอะไรกับการกินเหล้า กินแล้วก็ไม่ได้อร่อยอะไร ถึงผมถือศีล 5 แล้าเหล้าเข้าปาก ผมก็คิดว่าไม่ได้ผิดศีล 5 ยกเว้นว่าจะไปทำอะไรไม่ดี หรือว่า เป็นใจผมที่รู้สึกไปเองว่ากำลังทำผิดจากที่กฏกำหนดเอาไว้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Legolas ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:18:33 ถึงว่าทำไมไม่ตกซักที :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:20:45 อีกคำถามที่ผมมักถามใคร ๆ (ที่พอจะรับคำถามนี้ได้) คือ
*"ถ้าวันหนึ่งท่านได้รู้แจ้งเห็นจริงว่า กฏแห่งกรรม ไม่มีจริง ท่านยังจะทำความดีต่อไปอีกหรือไม่" นี่คือคำถามที่คนตอบไม่เหมือนกัน บางคนตอบว่า ทำดีก็ต้องได้ดีสิ ทำชั่วต้องได้ชั่ว บางคนตอบว่า จะทำดีไปทำไมล่ะทำดีแล้วไม่ได้ดี อยากทราบว่าท่าน bbb (bubbleball) มีคำตอบต่อคำถามนี้อย่างไร . หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:22:24 สำหรับผมก็ยืนยันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วว่า การทำความดีเป็นหน้าที่อันดับ 1 ของมนุษย์ ไม่เกี่ยวกับกฏแห่งกรรม
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:25:29 อิๆ ตอบถูก ผิดไม่ผิด ผมก็ว่าอยู่ที่ผลของการกิน และใจ อย่างผมเป็นคนไม่กินเหล้า หรือไม่รู้สึกอะไรกับการกินเหล้า กินแล้วก็ไม่ได้อร่อยอะไร ถึงผมถือศีล 5 แล้าเหล้าเข้าปาก ผมก็คิดว่าไม่ได้ผิดศีล 5 ยกเว้นว่าจะไปทำอะไรไม่ดี หรือว่า เป็นใจผมที่รู้สึกไปเองว่ากำลังทำผิดจากที่กฏกำหนดเอาไว้ อันนี้ถูกต้องครับ ที่จริงที่ป๋าบอลคุยกับผมได้เพราะมีพื้นฐานเข้าใจหลักธรรมที่ดีอยู่แล้ว แล้วตั้งแต่ที่ผมตอบมาทุกกระทู้ไม่มีกระทู้ไหนที่ประทับใจเท่ากระทู้นี้ หลายคำถามถูกลากให้ผมต้องตอบ เข้าแก่นแล้วสิ่งที่ผมใช้อยู่ สิ่งที่ผ่านมานั้นเพราะผมใช้หลักสัจธรรมมาตอบ แล้วกลไกการหาความเป็นสัจธรรมจะอยุ่ข้างบน ไม่มีใครเอาชนะสัจธรรมได้ หลายต่อหลายกระทู้ที่ดราม่าบานปลาย เพราะหลายคนไม่มองเข้ามาที่ความเป็นปัจจัตตัง ผมเองก็จะตะแบงอะไรที่นอกไปจากสัจธรรมไม่ได้ ส่วนนี้ก็ ทำให้เกิดการพายเรื่ออยุ่ในอ่างเกิดขึ้น กระทุ้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมอยากตอบมากที่สุด สิ่งี่ผมตอบคือทุกอย่างที่เป็นจิตวิญญาณของผม ผมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ได้ทำแล้วใช้ในการทำงาน พิจารณาแล้วไม่มีส่วนไหนที่เป็นการอวดอิทะิฤทธิ์เลยหลักธรรมล้วน ๆ เว้นแต่เป็นประสบการณ์นอกร่างมันเป็นแบบนั้นก็ ต้องเล่าตามนั้น หรือถ้ากระทู้มันออกแนวนั้นจริง ๆ ถึงจะตอบแนวนั้นแต่ถึงตอบก็กำกับไว้เสมอว่าไม่ใช่หลักธรรมในพุทธศาสนา หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:29:34 ผมว่ามันอยู่ที่วิธีการเล่าและนำเสนอข้อมูล หล่ะมั้ง
คืออะไรที่มันเว่อร์เกินไป ผมว่าเล่าไปก็มีแต่จะทำให้เกิดมาม่านะ ;D ผมไม่ได้บอกว่าไอ้ที่เล่าหน่ะมันผิดหรือไม่ผิด เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเชื่อ หรือผมไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เชื่อจะไม่ผิด เพราะบางทีมันฟังแล้วก็ดูเว่อร์จริงๆ อิๆ แต่ถ้าเป็นบางคำตอบที่ดูมีเหตุผล ผมว่ามันก็โอเคหล่ะนะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ouichonyam ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:36:27 ดีมากค่ะ บทความเยี่ยม :wanwan017:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:36:45 อีกคำถามที่ผมมักถามใคร ๆ (ที่พอจะรับคำถามนี้ได้) คือ *"ถ้าวันหนึ่งท่านได้รู้แจ้งเห็นจริงว่า กฏแห่งกรรม ไม่มีจริง ท่านยังจะทำความดีต่อไปอีกหรือไม่" นี่คือคำถามที่คนตอบไม่เหมือนกัน บางคนตอบว่า ทำดีก็ต้องได้ดีสิ ทำชั่วต้องได้ชั่ว บางคนตอบว่า จะทำดีไปทำไมล่ะทำดีแล้วไม่ได้ดี อยากทราบว่าท่าน bbb (bubbleball) มีคำตอบต่อคำถามนี้อย่างไร . เป็นผมเหรอ ผมก็คงทำตามใจฉันได้มากขึ้นอ่ะมั้ง คำว่าดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่นิยามของแต่ละคน และมนุษย์อย่างเราๆตั้งกันขึ้นมา ถึงแม้ว่ากฏแห่งกรรมจะไม่มีผลอยู่จริง แต่กฏของสังคมมนุษย์โลกก็ยังมีให้อิงอยู่ รวมถึงมุมมองและวัฒนธรรมทางสังคมด้วย (แต่ก็อยู่ที่เราจะแคร์หรือไม่แคร์มัน) ผมว่าบางทีกฏมันก็เหมือนตัวบีบทางจิตใจให้เรารู้สึกสำนึกผิดต่อบาปมันก็เท่านั้นเอง ก็เหมือนกับที่ว่ากินเหล้านั่นหล่ะ ต่อให้มีศีล 5 หรือไม่มีศีล 5 ผมว่าผลก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าบางข้อนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อผลที่จะตามมาเสียมากกว่า บางคนที่ซิเรียสในกฏมากเกินไป บางทีก็ทำให้ใจกลายเป็นทุกข์เสียเอง กรรมเท่ากับผลของการกระทำครับ แล้วถ้าเอาตามกฏแรงดึงดูดทางความคิด หรือ law of attraction บางทีกลายเป็นว่ายิ่งจิตเราคิดถึงผลกรรมแง่ลบที่ตามมา มันก็ไปดึงดูดสิ่งแย่ๆเข้ามาเสียเปล่าๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่คิดอะไร ปล่อยใจนิ่งๆ ไปทำไม่ดีกับคนอื่น แล้วจะไม่เกิดผลตามมา เพราะในกรณีเหล่านี้มันถือว่ามีเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดขึ้น เราอาจจะไม่คิด แต่อีกฝ่ายอาจจะคิด เราต่อยเขาเราไม่คิดอะไร แต่อีกฝ่ายต่อยเราแน่นอน มันก็เป็นผลของการกระทำอยู่ดี หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:38:46 ่ตอนนี้มีกระทู้หนึ่งโพสต์ ว่า การถอดจิตมีจริงหรือไม่ คุณ bubbleball และท่านพี่อยากย้ายไปสนทนาที่นั้นมั้ย (ท่านพี่คงไม่พลาด)
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: undeath13 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:41:39 ท่าทางเป็ํนของมหายานใช่ไหมคับ :wanwan023:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:46:16 อีกคำถามที่ผมมักถามใคร ๆ (ที่พอจะรับคำถามนี้ได้) คือ *"ถ้าวันหนึ่งท่านได้รู้แจ้งเห็นจริงว่า กฏแห่งกรรม ไม่มีจริง ท่านยังจะทำความดีต่อไปอีกหรือไม่" นี่คือคำถามที่คนตอบไม่เหมือนกัน บางคนตอบว่า ทำดีก็ต้องได้ดีสิ ทำชั่วต้องได้ชั่ว บางคนตอบว่า จะทำดีไปทำไมล่ะทำดีแล้วไม่ได้ดี อยากทราบว่าท่าน bbb (bubbleball) มีคำตอบต่อคำถามนี้อย่างไร . ผลดีหรือไม่ดีนั้นมันเกิดกับตนตลอดเวลา สร้างอันไหนไว้ก่อนอันนั้นให้ผลก่อน ผมขอตอบแค่พื้นฐานพอนะครับ แท้จริงแล้วผลของกรรมเกิดกับทุกคนตลอดเวลา รวมทั้งผมด้วย ไม่มีใครหนีกรรมพ้นกรรมดีเรียกว่าบุญกรรมชั่วเรียกว่าบาป หากเป็นผลที่ได้รับรวมกันจะเรียกว่าวิบากกรรม วิบากกรรมจึงแยกเป็นวิบากบุญกับวิบากบาป กรรมนั้นเมื่อสร้างแล้วชดใช้ไปตามลำดับ เช่นสมมุติเริ่สร้างจาก 1. ดี 2 ดี 3. ชั่ว 4. ชั่ว 5. ดี สมมุติว่าเราเริ่มสร้างกรรมที่ 6. ชั่ว แต่ผลของกรรมที่ 1. กำ ลังส่งผลจะได้เท่ากับทำชั่วได้ดี เพราะทำ 6. แต่ 1. เพิ่งส่งผล ต่อมาสร้างกรรมที่ 7. เป็นกรรมดีแต่ผล 2. เพิ่งสงมาก็เท่ากับทำดีได้ดี แต่ไม่ใช้ผลที่ส่งมาจากผลของ 7. แต่มาจากผลของ 2. ต่อมาสร้างกรรมที่ 8. ต่อเป็นกรรมดี แต่ผล 3. เพิ่งส่งผลมาเท่ากับทำดีได้ชั่ว ทำ 8. ผล 3. เพิ่งส่ง นี่คือมาตรฐานของการชดใช้กรรม คนหรือจิตที่ีไม่มีกรรมคือคนหรือจิตที่ไม่ทำอะไรเลยจึงเป็นไปไม่ได้ แค่ยกมือเกาหัวก็เป็นการสร้างกรรมแล้ว 1 กรรม แค่ีเข้าห้องน้ำแปรงฟันก็เป็นกรรมแล้ว 1 กรรม ถามว่าเป็นไปได้ไหม่ที่จะไม่สร้างกรรม ผู้ที่จะสร้างกรรมแล้วผลกรรมนั้นส่งทันทีแล้วเป็นผลแท้อย่างน้อยผุ้นั้นต้องบรรลุอรหัตผลชึ้นไป กรรมที่สร้างจึงให้ผลทันตา ส่วนปุถุชนที่เพิ่งอะไรก็ตามที่เพิ่งสร้างถือว่าเป็นวิบาก เบื้องต้นเกิดขึ้นในใจตนทันทีแต่ตัวที่เป็นผลจริงต้องรอเวลาชดใช้ตามลำดับตามที่ผมอธิบายมาซึ่งไม่ใช่ผลจริง ฉะนั้นเมื่อทำดีจะได้รับวิบากบุญในขณะขนะที่ทำ แล้วิบากบาปที่แท้ จริงซึ่งเป็นคิวค้างวเก่า ทำไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รุ้ในกรณีที่เป็นการสร้างกรรมในอดีตชาติ แต่เพิ่งจะมาแสดงผลเมื่อถึงเวลาผลนั้นจึงจะมาแสดงตามคิว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีกฎแห่งกรรม การแปรงฟันก็อยู่ในกฎแห่งกรรมด้วย ถ้าไม่มีกฎแห่งกรรมเท่ากับจิตนั้นไม่มีพลัง เพราะการกระทำทุกอย่างอยู่ที่ตนทั้งหมด คำถามที่ว่าไม่มีกฎแห่ง กรรมอาจเทียบได้กับว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีอากาศให้เราได้หายใจอีกเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างไร หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 22:59:38 ท่าทางเป็ํนของมหายานใช่ไหมคับ :wanwan023: ถ้าให้ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา นิกายมหายานจะมีความถูกต้องในคำสอนมากกว่านิกายเถรวาท เถรวาทชื่อก็บอกแล้วว่าให้เชื่อคำสอนของพระเถระ แล้วเมื่อไปเปิดดูคำสอนในหลักกาลามสูตรแล้ว เขียนไว้ชัดเจนว่าอย่าเพิ่งเชื่อคำสอนของครู นี่ก็เจอสิ่งที่ขัดกันอีกแล้ว ทีนี้นิกายมหายานนั้น คือให้ เชื่อผลจากยาน หรือจริง ๆ ก็คือญาณนั่นแหล่ะ ปฏิบัติอย่างไรได้ผลตามนั้นพิสูจน์ด้วยผลตามที่ปรากฏ การจะเข้าถึงผลหรือปฏิเวธในทางพุทธศาสสนา ต้องใช้ญาณเท่านั้น ญาณ = สัมมาปัญญา + ฌาณ มีแต่ฌาณอย่างเดียวแต่ไม่มีสัมมาาปัญญาก็ไม่เรียกว่ามีญาณ แล้วถ้ามีแต่ปัญญาหรือถึงให้เป็นสัมมา ปัญญาอย่างเดียวแต่ไม่มีฌาณก็ไม่เรียกว่ามีญาณเหมือนกัน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: mission100dollars ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 23:38:47 ผมว่าต้องเปลี่ยนชื่อกระทู้ เป็น...49 วันหลังจากตั้งกระทู้เรื่อง 49 วันหลังความตาย.....5555..คาดว่ายังยาวได้อีก...ยาวไปครับ ชอบๆ..ถกกันแบบนี้ ได้อะไรเยอะนะครับทำเป็นเล่นไป
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Panuphan ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 23:51:07 :wanwan020:
จะเชื่อหรือเปล่า ขอคิดดูก่อนครับ 555 หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 23:57:16 อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะแชร์ความรู้แจ้งกับท่านคือเรื่องของ คำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
เป็นคำที่เราได้ยินได้ฟังมามาก พูดกันจนเกร่อ(เกร่อ คือซ้ำแล้วซ้ำอีก) แต่ผมคิดว่าส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจคำนี้อย่างแท้จริง ไม่เข้าใจอย่างไร ขออธิบายดังนี้ หากผู้เป้นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พูดว่า ““ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เราก็คงจะตีความหมายได้ว่า หากท่านรักษาสุขภาพให้ดี กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ (ทำดี) ท่านย่อมได้ดี คือสุขภาพดี ไม่มีโรค มีความสุข หากผู้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พูดว่า ““ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ท่านคงจะหมายถึง หากท่านประพฤติตัวดี ไม่ทำผิดกฎหมาย (ทำดี) ท่านย่อมได้ดี คือ ไม่ต้องไปติดคุกติดตะราง มีอิสระ มีความสุข หากผู้เป็นนักธุรกิจพูดว่า ““ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ท่านอาจหมายถึง ถ้าเราทำการค้าดี เอาใจใส่ลูกค้าดี บริการดี (ทำดี) ย่อมได้ดี คือ มีกำไร มีลูกค้าประจำ มีเงินมีทอง แล้วถ้าผู้ที่กล่าวว่า ““ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” คือพระพุทธเจ้าล่ะ ท่านคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงอะไร พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่นักธุรกิจ คำว่า ได้ดี ของพระพุทธเจ้าย่อมไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศแน่ ก็ท่านละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว แล้วท่านน่าจะหมายคำว่า “ได้ดี” ว่าหมายถึงอะไร คำว่าได้ดีของพระพุทธเจ้า ก็หมายถึง “เกิดสิ่งดี ๆ” งัยล่ะครับ ท่านทำดีก็มีสิ่งดีเกิดขึ้นในสังคม สังคมดี อะไร ๆ ก้จะดีตามมา แต่เราไปตีความคำว่า “ได้ดี” ว่าหมายถึง ทรัพย์สินสฤงคาร บริวารข้าทาส เงินทองของมีค่า ซึ่งไม่ใช่สิงที่พระพุทธเจ้ามุ่งหวังให้ท่านอยากได้สิ่งนี้เลย เพราะฉะนั้นท่านที่ทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือใครที่ทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว มันก็เป็นอย่างนั้นเอง (ตถตา) ทำชั่ว มันก็เกิดสิ่งชั่ว ๆ ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว พอจะมองออกมั้ยครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 00:14:29 งันผมขอตอบตามหลักธรรมเลยนะครับว่าด้วยเรื่องการทำดีนั่นแหล่ะ เมื่อเข้าใจคำว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" แล้ว
โดยเฉพาะอย่างผมนี่ทำไปแล้วผลแท้เกิดขึ้นทันที การทำดีคือการทำเพื่อผู้อื่นมากกว่าตนเองด้วยความตั้งใจ เมื่อทำไป แล้วคนที่ได้คือตนเอง เช่นผมจะมีความสุขเมื่อผมได้พูดความจริง แล้วอาจจะมีหงุดหงิดบ้างหากจะเล่าอะไรที่เว่อร์ พอ รู้ตัวต้องมาแก้ขอความที่เวอร์หรือถ้าไม่แก้ก็อธิบายใหม่ เช่นผมพิมพ์คำว่าตายร่างเละ เล่ะในความรู้สึกของผมกับคุณบอลต่าง กัน ผมก็ต้องกลับปรับว่าเป็นอย่างไรให้ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด จะทำอะไรก็ได้ให้นึกว่าทำประโยชน์ให้คนอื่นได้มาก ๆ แล้วคำนึงถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับโดยตรงให้น้อยกว่า ตามความตั้งใจของตนแล้วทำในขณะรู้ตัว ใครจะเห็นคุณค่าจะเชื่อหรือไม่ จะรู้สึกอย่างไรก็อยู่ตัวเขาหรือดุลย์พินิจของเขา ทำได้เท่านี้ก็ถือว่าทำดีแล้วหากใครทำตรงข้ามกับที่ผมว่ามาคือการทำชั่ว เพราะคนทำชั่วจะคิดถึงสิ่งที่ตนและพวกพ้อได้รับมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เริ่มต้นก็เกิดความเห็นแก่ตัวแล้ว ความโลภนี่ก็ใช่ ทำเพื่อตนเองมากกว่าคนอื่นและส่วนรวมทั้งนั้น แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าทำชั่วได้อย่างไร สิ่งที่ผมเล่ามาพิสูจน์ได้ ณ. กาล เวลาปัจจุบันด้วยสามัญสำนึกของตน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Keiku ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 00:20:22 :-*
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: moshikub1 ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 12:25:39 ห้าๆ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 19:10:07 :wanwan044: อ่อครับ :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: dummy ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 19:21:51 ยุงกำลังกัดแม่ ตบยุงตาย ได้อะไรติดตัว บาปหรือบุญ?
เห็นแมงมุมกำลังจะกินผีเสื้อที่ติดใยแมงมุม ช่วยผีเสื้อให้รอดตาย แมงมุมกลับอดตาย บาปหรือบุญ? อยู่ที่ใจเราป่าวคะ? หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 19:49:01 ยุงกำลังกัดแม่ ตบยุงตาย ได้อะไรติดตัว บาปหรือบุญ? เห็นแมงมุมกำลังจะกินผีเสื้อที่ติดใยแมงมุม ช่วยผีเสื้อให้รอดตาย แมงมุมกลับอดตาย บาปหรือบุญ? อยู่ที่ใจเราป่าวคะ? คงอยู่ที่ความคิดกับจิตใจเรามั้ง ว่าเรายึดเหนี่ยวศาสนาเป็นที่พึ่งจิตใจ ถ้าไม่ใช่คนรู้ตอบด้วยนะครับ :wanwan002: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 19:51:56 อาทิตย์ก่อนเห็นแมลงสาปนอนหงายในห้องน้ำดิ้นกระแด่วๆ ไอ้เราก็คิดจะฆ่ามันดี หรือจะปล่อยเฉยๆอาบน้ำไปแล้วมันโดนน้ำจมน้ำดี
คิดไปคิดมา เอากระดาษพลิกตัวมันแล้วมันก็วิ่งหนีไป แบบเกรงว่าเดี๋ยวเกิดมาชาติหน้าจะไปเป็นแมลงสาปแทน :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: RahXephon ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 19:57:53 จะมีจริงหรือไม่ไม่รู้ แต่สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เมื่อเราทำความดีถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้สึกปลาบปลื้มภูมิใจ กลับกันถ้าเราทำความผิดถึงไม่มีใครรู้แต่มันก็รู้สึกวิตกกังวลร้อนรุ่มอยู่ในใจ
แต่คนบางคนทำความเลวมากมายแต่ก็ยังเฉยๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร อันนี้คงไม่อยู่ในข่ายข้างบนมั้ง :wanwan023: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 20:07:16 อาทิตย์ก่อนเห็นแมลงสาปนอนหงายในห้องน้ำดิ้นกระแด่วๆ ไอ้เราก็คิดจะฆ่ามันดี หรือจะปล่อยเฉยๆอาบน้ำไปแล้วมันโดนน้ำจมน้ำดี คิดไปคิดมา เอากระดาษพลิกตัวมันแล้วมันก็วิ่งหนีไป แบบเกรงว่าเดี๋ยวเกิดมาชาติหน้าจะไปเป็นแมลงสาปแทน :P คุณได้ตัดสินใจทำความดี ที่ดีที่สุดแล้ว คือ การช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์..+1 ไปเลย :wanwan021: หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 13 พฤศจิกายน 2010, 10:14:51 :wanwan003: ดันนะครับเพื่อใครกำลังคิดบาปรีบอ่านซะ :wanwan014:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 13 พฤศจิกายน 2010, 21:11:56 ไม่ได้มาอ่าน 2 วันนั่งทดสอบระบบเปลีร่ยน HDD ลูกใหม่ มาถึงก็ต่อไม่ติดเลยอิอิ
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 14 พฤศจิกายน 2010, 14:51:12 เช้าวันนี้ กำลังฝันอยู่เรื่องนึง แต่อาการคลื่นรบกวนทำให้ฝันหลุดแล้วตื่น แต่ยังไม่ลืมตา ก็เลยพยายามดึงตัวเองกลับเข้าสู่ความฝันใหม่อีกครั้ง
ผลลัพธ์คือผมสามารถย้อนกลับเข้าไปในฝันเดิม เหตุการณ์ต่อได้ พร้อมด้วยสติเต็มตื่น จากเดิมที่ปล่อยฝันเป็นไปตามเนื้อเรื่อง เลยกำลังคิดอยู่ว่าถ้าโปรแกรมก่อนนอนทุกคืนว่าวันนี้จะฝันถึงเรื่องอะไร โอกาสที่จะได้ตามที่กำหนดจะมีมากน้อยสักเท่าไร ป.ล. ก่อนหน้านั้นฝันว่าขับรถตู้ใหัวินดีเซล ไปจอดตึกๆหนึ่งเข้าไปเจอ ลีโนตรม ในฝัน ก็หันไปมองแว๊บๆ แล้วก็เดินจากไป แบบว่าไม่ได้ทำอะไรนะ อิๆ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ohmohm ที่ 14 พฤศจิกายน 2010, 18:07:53 อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555 ไปด้วย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 00:21:43 เช้าวันนี้ กำลังฝันอยู่เรื่องนึง แต่อาการคลื่นรบกวนทำให้ฝันหลุดแล้วตื่น แต่ยังไม่ลืมตา ก็เลยพยายามดึงตัวเองกลับเข้าสู่ความฝันใหม่อีกครั้ง ผลลัพธ์คือผมสามารถย้อนกลับเข้าไปในฝันเดิม เหตุการณ์ต่อได้ พร้อมด้วยสติเต็มตื่น จากเดิมที่ปล่อยฝันเป็นไปตามเนื้อเรื่อง เลยกำลังคิดอยู่ว่าถ้าโปรแกรมก่อนนอนทุกคืนว่าวันนี้จะฝันถึงเรื่องอะไร โอกาสที่จะได้ตามที่กำหนดจะมีมากน้อยสักเท่าไร ป.ล. ก่อนหน้านั้นฝันว่าขับรถตู้ใหัวินดีเซล ไปจอดตึกๆหนึ่งเข้าไปเจอ ลีโนตรม ในฝัน ก็หันไปมองแว๊บๆ แล้วก็เดินจากไป แบบว่าไม่ได้ทำอะไรนะ อิๆ ในการทำงานระหว่างกายกับจิต จะมีการถ่วงดุลย์กันอยู่ โดยที่จิตจะถูกควบคุมให้อยู่ใต้อำนาจด้วยความคิดที่สมอง กาย = สมอง ส่วนจิตจะควบคุม การทำงานของสภาพร่างกายด้วยกลไกของสังขารขันธ์ สังขารขันธ์จะมีหน้าที่เป็นกล่อง ECU ของระบบร่างกายทั้งหมด นั่นหมายความว่าถ้าสังขารขันธ์ ทำงานดีมีประสิทธิภาพร่างกายก็จะแข็งแรง สิ่งที่ป๋าลอลว่ามาเป็นส่วนของการตัดสินใจ เพราะการโปรแกรมให้ฝันนั้นมาจากความคิดในสมอง เมื่อสมองต้องการอะไรจิตก็ตอบสนองความต้องการให้ กลไกนี้เองทำให้ถึงแม้ว่าจิตของสิ่งมีชีวิตจะไม่อยากอยู่่ในร่างก็จำเป็นจะต้องอยู่ แล้วตัวจิตจะรับความทรมานทั้งหมดจากการตัดสินใจของสมอง ส่วนสมอง จะส่งสันดานไปยังจิตผ่านมโนทวาร กลไกนี้เองที่ทำให้สังขารชันธ์ของจิตทำงานปนเปื้อน การที่สังขารขันธ์ทำงานเพี้ยก็เพราะสันดานที่อยุ่ในสมองทั้งหมด หากอยุ่ที่จิตจะเรียกว่าอนุสัย กลไกนี้เองที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ถ้าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าวจริงป่านนี้คนส่วนใหญ่ก็ตายกันหมดแล้ว เพราะจิตของมนุษย์ส่วนมากไม่อยากอยู่ในร่างรวมทั้งจิตผมด้สวย แต่ที่จิตไปจากร่าง ไม่ได้เพราะต้องทำตามที่สมองต้องการ สมองอยากอยุ่ต่อจิตก็ต้องอยุ่ตาม จิตจะออกจากร่างนั้นไเด้ก็ต่อเมื่้อสังขารขันธ์ชำรุดอย่างมากจนไม่อาจควบคุมร่างนั้น ได้อีก สังขารขันธ์ชำรุดจนทำงานเพี้ยนมาก ๆ คือทำให้ร่างกายป่วยอย่างแสนสาหัส ฉะนั้นจิตจะออกจากร่างสังขารขันธ์จึงออกก่อนตามที่ผมเล่ามา นั่นจึงเป็น การเริ่มต้นของกระบวนการตาย หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 00:32:15 อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555 ไปด้วย ที่จริงไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน ๆ มันก็เหมือนกันหมดแหล่ะ มนุษย์เรามาแบ่งกันเองว่าให้มีมีศาสนาั้นศาสนานี้ ให้อธิบาย ตรง ๆ อาจจะแรงไปบ้าง ศาสนาพุทธหากปฏิบัติถูกวิธีจะเป็นมาตรฐานที่สุดแล้ว ท้ายสุดสวรรค์ก็เป็นที่รวมของทุกศาสนา รวมอยู่ด้วยกันไม่มีแบ่งอยุ่แล้ว ใครทำได้มาตรฐานของกฎสวรรค์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็ไปยังที่เดียวกันหมด ใครทำ ได้ตามมาตรฐานนรกก็ไปเหมือนกันหมด เช่นนรกชั้นที่ 1 ให้มีตวามกังวลมาก ๆ นรกชั้น 2 ให้มีความหลงตนและการถือ ตัวให้มาก ๆ ใครมีอันไหนมากก็ไปตามนั้นวัดผลได้ตั้งแต่ตอนมีชีวิตเลยแหล่ะเป็นรูปธรรมในใจตนด้วย ศาสนาไหน ๆ ก็ มาตรฐานเดียวกันหมด ส่วนสวรรค์จะบอกให้ค่อย ๆ ละให้สิ้น สวรรค์กับนรกจึงตรงข้ามกัน ฉะนั้นสวรรค์อยุ่ในอกนรก อยู่ในใจจึงใช้ไๆด้กับทุกศาสนา การนับถือศาสนาใด ๆ จึงไม่มีผลต่อการไปสุ่สุคติหรือทุคติ แต่มีผลเพียงการปลอบใจ ตนเองว่าพ้นจากตรงโน้นมาโผลตรงนี้แล้วเท่านั้น กฎพวกนี้มีมานานก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีำก มีมานานแล้วเพียงแต่ผมไป ล่วงรู้แล้วก็ทำให้ได้เท่านั้น ทำได้แค่ีไหนก็แค่นั้นทุกคนสามารถประเมินผลตนเองได้ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Babybinge ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 01:05:39 ยาวเกินคาดแฮะกระทู้นี้
ไปไกลจากหัวข้อกระทู้มากเลยนะท่านมัค ว่ามั้ย เห็นพูดถึงนิกายฝ่ายพุทธ จริงๆมีอีกหลายนิกายนะ มหายาน หินยาน วัชระยาน พี่ตู้ (จรัสพงษ์ สุรัษสวดี) เคยบอกว่า ควรจะมีอีก 1 นิกาย คือ วิจารณญาณ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: webunder ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 02:06:30 ลองคิดดูเล่นๆนะ ถ้าจริงๆแล้ว ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรกหล่ะ โลกเราจะดีกว่านี้ไหม คุณเคยคิดเหมือนผมรึเปล่า
ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวแน่ๆ :o http://www.youtube.com/watch?v=M1NIXgjNXDk หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 02:36:46 ผมเคยคิดถึงสังคมอุดมคติ ว่าถ้าทุกคนสามารถมีกินมีใช้กันทุกคนโดยจะได้อาหารมาจากไหนก็แล้วแต่ สบายกันไปหมด จะเป็นอย่างไร
สุดท้ายผมก็ติดคำตอบเรื่องปัญหา ความรัก ครับที่อาจจะทำให้คนทะเลาะกันอยู่ดี :P หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: rayjung ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 02:53:16 ศัยกับวิทย์มันเป็นของคู่กันครับ
เปรียบเทียบง่าย เล่น วิทย์ ค้นหาวิธีป้องกันอาวุธ เพื่อให้ ยิงฟันแทงไม่เข้าโดยคิดค้นชุดเกาะ ศัย มีก็มีการใช้อะไรซักอย่างให้หนังเหนียวแทงไม่เข้าเช่นกัน ซึ่งมีมาก่อนแล้ว คิดในทางกลับกันเหมือนวิทย์ ตามหลังศัยครับ :wanwan004: ถ้าท่านสนใจเรื่องพวกนี้แวะเว็บผมได้นะครับ ตามลายเซ็น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Legolas ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 04:10:00 :-X
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 06:52:30 ยาวเกินคาดแฮะกระทู้นี้ ไปไกลจากหัวข้อกระทู้มากเลยนะท่านมัค ว่ามั้ย เห็นพูดถึงนิกายฝ่ายพุทธ จริงๆมีอีกหลายนิกายนะ มหายาน หินยาน วัชระยาน พี่ตู้ (จรัสพงษ์ สุรัษสวดี) เคยบอกว่า ควรจะมีอีก 1 นิกาย คือ วิจารณญาณ ที่จริงสมัยนี้ นิกายวิจารณญาณสำคัญที่สุดเพราะใกล้เคียงกับหลักกาลามสูตรมากที่สุด โดยให้ใช้วิจารณญาณในการเริ่มต้นเรียนรู้ ว่าสิ่งที่รู้มามีทางเป็นไปได้มั้ย แปลเป็นภาษาธรรมว่าปฏิ จจสมุปบาทสายเกิด แล้ววิจารณญาณหลังปฏิบัติไปแล้ว ได้ผลจากการ เป็นที่ประจักษ์ต่อตนเองแล้วเรียกว่าได้ขื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติได้ตามหลักกาลามสูตรทั้ง 10 ได้อย่างสมบูรณ์โดยชอบแล้ว หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 07:05:49 ผมเคยคิดถึงสังคมอุดมคติ ว่าถ้าทุกคนสามารถมีกินมีใช้กันทุกคนโดยจะได้อาหารมาจากไหนก็แล้วแต่ สบายกันไปหมด จะเป็นอย่างไร สุดท้ายผมก็ติดคำตอบเรื่องปัญหา ความรัก ครับที่อาจจะทำให้คนทะเลาะกันอยู่ดี :P มันเป็นไปแล้วสำหรับผมนะครับป๋า จากเดิมเคยกนข้าว 2 มื้อ มื้อเที่ยงและมื้อเย็นตอนนี้เหลือมื้อเดียวแล้วคือมื้อเที่ยง ส่วนที่เหลือ อิ่มทิพย์ได้ คือไม่ต้องกินก็อ ิ่มแต่ถ้ากินไปอีกก็จะแน่นท้อง ท้องอืด แต่ถ้าหากว่าจะให้อิ่มจริง ๆ ต้องตายไปก่อนจะมีการเสพปิติเป็นอาหาร อย่างผมนี่ระบบร่างกายทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี วันไหนร่างกายไม่ต้องการอาหารมื้อไหนมื้อนั้นจะไม่มีน้ำย่อยออกมาผลคือไม่เกิดความหิว สิ่งที่ป๋าว่ามีอยู่แล้วล่ะ บางทีคนที่ทำสมาธิจริงแล้วกินน้อยส่วนใหญ่จะอิ่มทิพย์หรือเสพปิติแทนกินข้าวไงครับป๋า หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: workpoints ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 08:19:22 กระทู้ดีนะครับ ในมุมของผม ผมมองว่า อย่างน้อยทำให้คนเกรงกลัวความผิดบ้าง ถ้าได้อ่านกระทู้นี้
ส่วนตัวผม เชื่อว่าโลกนี้มีพลังงานวิญญาณ นะครับ เพราะเคยเห็นมาบ้าง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมกำลังหาบ้านหลังหนึ่ง เพื่ออยู่กับแฟน ได้เข้าไปดูบ้าน และ เป็นบ้านเก่า ที่ได้มีการปรับปรุงและทาสีใหม่ รอบแรกไปดูพร้อมเจ้าของบ้านปกติครับ จ่ายมัดจำเรียบร้อย จากนั่น วันที่ย้ายเข้าไปอยู่ เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดไปครับ เตรียมตัวทำความสะอาดอย่างดี ผมกำลังขึ้นชั้น 2 ชัดเจนเลยครับ ผู้ ญ ยืนหน้านิ่งแฝงด้วยอารมณ์ไม่ค่อยพอใจสำหรับเราผู้ที่จะย้ายใหม่เข้าไป จากนั่นผมจึงคุยกับแฟน แฟนก็ไม่ได้พูดอะไร(ปกติแฟนผมจะมี อีโก้ นิดๆ รั้นหน่อยๆ ไม่ค่อยยอมผมเท่าไหร่) แต่พอบอกเรื่องนี้ให้แฟนรับทราบ เท่านั่นละครับ ปิดประตูโทรหาเจ้าของบ้าน เงินประกันก็ไมไ่ด้คืนนะครับ หลังจากนัี่นก็มีอีกหลายเรื่องครับ ตื้นเต้นกว่านี้ครับ ไว้เครียร์งานเสร็จจะมาเล่าต่อครับ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 08:49:20 กระทู้ดีนะครับ ในมุมของผม ผมมองว่า อย่างน้อยทำให้คนเกรงกลัวความผิดบ้าง ถ้าได้อ่านกระทู้นี้ ส่วนตัวผม เชื่อว่าโลกนี้มีพลังงานวิญญาณ นะครับ เพราะเคยเห็นมาบ้าง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมกำลังหาบ้านหลังหนึ่ง เพื่ออยู่กับแฟน ได้เข้าไปดูบ้าน และ เป็นบ้านเก่า ที่ได้มีการปรับปรุงและทาสีใหม่ รอบแรกไปดูพร้อมเจ้าของบ้านปกติครับ จ่ายมัดจำเรียบร้อย จากนั่น วันที่ย้ายเข้าไปอยู่ เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดไปครับ เตรียมตัวทำความสะอาดอย่างดี ผมกำลังขึ้นชั้น 2 ชัดเจนเลยครับ ผู้ ญ ยืนหน้านิ่งแฝงด้วยอารมณ์ไม่ค่อยพอใจสำหรับเราผู้ที่จะย้ายใหม่เข้าไป จากนั่นผมจึงคุยกับแฟน แฟนก็ไม่ได้พูดอะไร(ปกติแฟนผมจะมี อีโก้ นิดๆ รั้นหน่อยๆ ไม่ค่อยยอมผมเท่าไหร่) แต่พอบอกเรื่องนี้ให้แฟนรับทราบ เท่านั่นละครับ ปิดประตูโทรหาเจ้าของบ้าน เงินประกันก็ไมไ่ด้คืนนะครับ หลังจากนัี่นก็มีอีกหลายเรื่องครับ ตื้นเต้นกว่านี้ครับ ไว้เครียร์งานเสร็จจะมาเล่าต่อครับ คนที่เห็นและสัมผัสได้ก็เห็นแล้วสัมผัสได้ คนที่ไม่เห็นแล้วสัมผัสไม่ได้ก็คือไมได้ล่ะครับ จิตที่ตายไปบางทียังมีหวงสถานที่อยู่ บ้านของเขาก็เหมือนบ้านของเราแหละต่างกันที่เขาตายไปแล้วเรายังอยู่ ผมอาจจะมีประสบการณ์ต่างจากคุณตรงที่ผมเคยเป็นทั้งผุ้ถุก กระทำซึ่งก็จะเหมือนกับคุณและหลาย ๆ คน ส่วนผมเองเป็นผุ้กระทำด้วย ลำพังผุ้ถูกกระทำไปเล่าให้คนอื่นฟังว่ารู้โน่นเห็นนี้ ก็ยัง มีคนบอกว่าบ้าหรือเป็นโรคจิตเภท วิทยาศาสตร์ที่เน้นหาคำตอบด้วยประสาทสัมผัสปกติหาคำตอบ อันไหนหาคำตอบไม่ได้ก็บอก ว่าเป็นอุปทานหมุ่บ้าง เป็นจิตเภทแบบนั้นแบบนี้บ้าง ทั้ง ๆ ที่พระพุทธศาสนามีกล่าวไว้่นานแล้วว่ามีจริง ส่วนผมนี่เป็นผู้ปฏิบัติการ ด้วยนี่ยิ่งโดนหนักกว่าคนอื่นเลย ego ที่ว่านั้นคือหากแปลเป็นภาษาพระจะได้ว่ามานะทิฐิตามที่ผมได้เคยอธิบายมาแล้ว ด้วยเหตุ เดียวกันนี้แหล่ะ ให้ผมอธิบายสุ่สาธารณะในวงกว้างผมก็ถอยเหมือนกันแหล่ะ เพราะมันจะเป็นการจับปูใส่กระด้งแล้วก็จะเหนื่อยเปล่า เสียเวลาไปฟรี ๆ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: SekRanger ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 09:15:27 กระทู้นี้ผมชอบคำตอบของคุณ tanawat30 แฮะ
คำตอบมันไกลเรื่องอิทธิฤทธิ์/ปาฏิหารย์ดีครับ เขียนเป็นเหตุเป็นผลแบบนี้อ่านแล้วได้ความรู้ดีนะผมชอบ อีกอย่างเรื่องอิทธิฤทธิ์/ปาฏิหารย์นี่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริงมั้ย มันอาจจะมีอยู่จริงๆ แต่คงเป็นคนส่วนน้อยที่จะได้พบเจอ ฉะนั้นถ้าอยากให้เข้าถึงคนหมู่มากก็ลดๆ เรื่องที่ว่าดีกว่าครับ ธรรมะจะได้เข้าถึงคนทุกระดับมากขึ้น หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 10:23:28 กระทู้นี้ผมชอบคำตอบของคุณ tanawat30 แฮะ คำตอบมันไกลเรื่องอิทธิฤทธิ์/ปาฏิหารย์ดีครับ เขียนเป็นเหตุเป็นผลแบบนี้อ่านแล้วได้ความรู้ดีนะผมชอบ อีกอย่างเรื่องอิทธิฤทธิ์/ปาฏิหารย์นี่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริงมั้ย มันอาจจะมีอยู่จริงๆ แต่คงเป็นคนส่วนน้อยที่จะได้พบเจอ ฉะนั้นถ้าอยากให้เข้าถึงคนหมู่มากก็ลดๆ เรื่องที่ว่าดีกว่าครับ ธรรมะจะได้เข้าถึงคนทุกระดับมากขึ้น ผมก็รู้สึกงั้นแหล่ะครับ ประเด็นมันอยู่ที่หัวข้อกระทู้มากกว่า เช่นเรื่องลี้ลับมันก็ไปในทำนองนั้น หรือเรื่อคำทำนายเรื่อง 2012 ก็ต้องออกไปในแนวนั้น แต่อันนี้เกี่ยวกับความตายมันไม่ไปในทางอิทธิฤทธิ์มากนัก แต่ให้สังเกตว่าเวลาพิมพ์เรื่องอิทะิฤทธิ์ผมจะกำกับว่าไม่มีอยุ่ในคำสอนอยุ่ในพุทะศาสนา แต่ เทพกับอิทธิฤทธิ์เป็นของคู่กัน นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งในหลายเหตุที่ทำให้เทพไม่มีหน้าที่สอนพุทธโดยตรง ทั้ง ๆ ที่พื้นฐานมาจากพุทธหธแล้วเข้าใจพุทธ ทั้งเหตุ (เหตุ ; ทำอย่างไร) ทั้งผล (ผล ; ได้อะไรมาแล้วมีประสบการณ์อย่างไร) โดยประจักษ์แจ้งด้วยตนเองแล้วเหมาะสมดดยประการทั้งปวง คือบรรลุอรหัตผลเป็นอย่างน้อย ส่วนหนึ่งมาจากอย่างผมนี่แยกพุทธกับไม่พุทธออกจากกันได้ แต่คนที่เรียนรู้จะมีปัญญาพอที่จะแยกแยะได้มั้ย หรือ หากมีคนอื่นที่เป็นแบบผมเขาจะแยกได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลข้อนี้ก็ทำให้ตามกฎต้องกันเทพออกจากการสอนพุทะโดยตรงเพื่อกันตนเองหรือผู้เรียนสับ สนว่าอะไรเป็นพุทธอะไรไม่เป็นพุธ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผมไม่เน้นสอนคนโดยตรง สิ่งที่ทำคือเป็นเพียงแค่เล่าประสบการณ์ แล้วเล่าว่าทำอะไรบ้างใช้ อะไรทำเท่านั้น ตัวผมเองกับฤทะิ์แยกกันไม่ได้เพราะต้องใช้ฤทธิ์ในการทำงานทั้ง ๆ ที่ไม่อยากมีเลยแหะ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: Babybinge ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 23:41:58 ผมเคยคิดถึงสังคมอุดมคติ ว่าถ้าทุกคนสามารถมีกินมีใช้กันทุกคนโดยจะได้อาหารมาจากไหนก็แล้วแต่ สบายกันไปหมด จะเป็นอย่างไร สุดท้ายผมก็ติดคำตอบเรื่องปัญหา ความรัก ครับที่อาจจะทำให้คนทะเลาะกันอยู่ดี :P กิเลสมนุษย์ หนีไม่พ้น กิน กาม เกียรติ ครับ มีกินแล้วก็อยากเสพกาม เสพกามแล้วก็อยากมีเกียรติ ไอ้สองอันหลังมันเกินกว่าความต้องการของชีวิต ต่อให้มีกินมีใช้สุขสบาย มนุษย์เราก็ฆ่าฟันกันได้อยู่ดีครับ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีธรรมะในใจ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 00:34:46 วันนี้ลืมเอากุญแจไปด้วย กลับมาไม่มีคนอยู่ เลยไปเซ็นทรัล ดู sky line สักหน่อย
ว่าแล้วช่วงระหว่างรอก็ลงไปดูหนังสือที่ B2S เลยได้หนังสือมาสองเล่ม เล่มแรก "ไอน์สไตน์ พบ พระพุทธเจ้าเห็น เล่ม 2" ไม่คิดว่าจะมีเล่ม 2 ด้วยเลยซื้อมาเลย ไว้อ่านเพลินๆ (ปกติซื้อจตุจักรเอา ลด 20%) เล่มสองวางคู่กัน เก่าแล้ว แต่ไหนๆแล้วก็หยิบมาซะเลย คนเขียนเดียวกัน "เกิดเพราะกรรมหรือความซวย" อันนี้ซื้อไปฝากแม่ แต่คงรออ่านจบก่อน ไว้อ่านจบคงได้มีอะไรมาสนทนาเพิ่มเติม หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 07:47:25 ในทางปฏิบัติแล้วประสบการณ์จากการปฏิบัติจะช่วยเราได้มากกว่าการอ่านจากตำราเยอะมาก สมัยก่อนผมก็พยายามอ่านพระไตรปิฎกฉบับย่อ
ของอาจารย์ชูชีพเล่มล่ะ 250 บาทหนาเตอะเลยหาซื้อไม่ได้ด้วย อยากได้มากแต่พมาศึกษาจากประสบการณ์ของตนเองแล้ว ความอยาก ได้ก็น้อยลงจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่อยากได้แล้ว อยากรู้อะไรหรือต้องรู้อะไรเดี๋ยวคำตอบมาเอง นึกถึงตอนเป็นเทพใหม่ ๆ ต้องเข้ารับการปฐมนิเทศน์ ยาวเชียวว่าจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะเป็นเทพที่ดีใช้เวลาถึง 3 วันได้มั้ง หลังจากนั้นต้องมาเรียนวิชาอีกแล้วก็ต้องลองใช้ด้วย ตอนเรียนก็สนุกหรอก ตามประสาคนเพิ่งมีฤทธิ์ แต่พอทำงานจริงไม่สนุกเลยแหะเพราะทำไม่ดีคนก็ตายได้ ขนาด 9 ปีที่แล้วตอนเริ่มทำใหม่ ๆ ถ้าทำอะไรแรงเกิน ยังมีคนมานั่งหน้าแหยให้เห็นที่สำคัญคนนั้นบวชเป็นพระด้วย เป็นโรคไตแล้วจะต้องฟอกเลือดทีนี้ผมดันทำแรงไปหน่อยท่านก็บอกว่ามึนทำเบา ๆ หน่อย ทำให้ผมเิ่มรุ้ถึงขุมกำลังที่มีตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ต้องกำหนดอัตโนมัติแล้วไม่งั้นต้องเอากี่ล้านส่วนไปหาร สมัยนั้นหายกัน หลังหมื่นหลักแสน หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: lamerryroom ที่ 18 พฤศจิกายน 2010, 08:50:32 cวะมาเยี่ยมท่านมัคค่ะ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 19 พฤศจิกายน 2010, 18:22:25 :wanwan044: จบหมดยัง ? :wanwan012:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: ซาเล้ง ที่ 19 พฤศจิกายน 2010, 19:44:10 ยาวไป ยาวไป :wanwan013:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: wareerant ที่ 19 พฤศจิกายน 2010, 20:48:26 ไม่น่าเชื่อว่าจะยาวได้ขนาดนี้
อ้างถึง ป.ล. ก่อนหน้านั้นฝันว่าขับรถตู้ใหัวินดีเซล ไปจอดตึกๆหนึ่งเข้าไปเจอ ลีโนตรม ในฝัน ก็หันไปมองแว๊บๆ แล้วก็เดินจากไป แบบว่าไม่ได้ทำอะไรนะ อิๆ อยากฝันมันส์ ๆ มั้ยล่ะ ผมมีคำแนะนำ ก่อนนอนเปิดหนังมันส์ ๆ ตั้งไว้ พอหลับก็จะฝันเห็นเอง เคยมาแล้ว คนเหล็ก ภาค2 มันส์จริง ๆ หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: 4easytime ที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 09:56:34 เฮ่อ ตอนนี้ยังไม่ตาย :P
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 11:21:46 ตอนนี้ขอมาเป็นผู้อ่านมั่ง ยังยาวได้อยู่
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 17:59:53 :wanwan003: ดันให้คนที่ยังไม่อ่าน :wanwan002:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนก๊อก ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 16:28:50 :wanwan020: ดันกันหน่อยใครไม่อ่าน อ่านซะเถอะ!! :wanwan009:
หัวข้อ: Re: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ! เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 20:03:03 มีแต่การดันลูกเดียว
|