โำพสต์สุดท้ายสำหรับกระทู้นี้ของผม
ถ้าท่านสำเร็จทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างจริง
ท่านก็น่าจะรู้ว่า สิ่งที่ท่านทำอยู่ มันทำให้คนอื่นคิดกับท่านยังไงกันบ้าง
หรือว่า ท่านไม่สนใจ อันนี้ก็แล้วแต่ท่าน
แต่สิ่งที่ผมและใครหลายคนที่ผมรู้สึกได้ว่าเค้าก็คิดเหมือนผม นั่นคือท่านชอบ โอ้อวด

ไปแระ บ๊าย บาย. :

ถ้าอันนี้หมายถึงผมนะ ผมก็ตอบได้คำเดียวว่าคนที่เข้าใจผิดในเรื่อง "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา" จะมีความรู้สึกไม่ต่างจากนี้หรอก
เพราะเมื่อก่อนผมก็เป็น เพราะคนที่เข้าใจผิดในหลักคำสอนนี้มักจะชอบกล่าวโทษผุ้อื่น แล้วมักจะกล่าววาเพราะคนนั้นคนนี้ทำให้ตนรู้
สึกหรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่พิจารณาว่าตนเหตุมีความตั้งใจหรือไม่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหายอย่างมากอย่างหนึ่งในหลักพุทธศาสนา
แล้วนี่คือคำตอบว่าพุทธศาสนาเสื่อมไปจากสังคมแล้วนั่นเอง
ฉะนั้นถ้าผมจะเล่าเพื่อการอวดหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องไปสำรวจตรวจสอบตนเอง แล้วตามหลักผู้ที่ไม่สำรวจตนเองให้ถ่องแท้
จะไปกล่าวโทษผู้อื่นว่าผุ้อื่นเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วในทางปฏิบัติคนที่ไปกล่าวโทษผุ้อื่นแสดงว่าผุ้นั้นเป็นเสียเอง ลักษณะอาการที่เป็นแบบ
นี้เรียกว่าเป็นความเห็นที่เป็นมานะทิฐิ กล่าวคือตนเองจะต้องอยุ่เหนือคนอื่นจะให้คนอื่นอยู่เหนือตนไม่ได้ โดยอาการของผู้มีมานะทิฐิ
จะตอบสนองผุ้มีมานะทิฐิทันที โดยอาการจะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะที่หากรู้สึกว่าใครมีลักษณะพิเศษเหนือตนแล้วเขาออกมาเล่า
ก็ไปสรุปทึกทักเอาเองแล้วว่าเขาอวดตัว ในขณะที่คนที่ไม่มีมานะทิฐิจะฟังแล้วเฉย ๆ เช่นผมสังเกตคำตอบของคุณบอลหลายหนที่
บอกว่าประสบการณ์ของใครก็ของคนนั้นผมไม่ก้าวล่วง นั่นเป็นเพราะผู้ที่ไม่มีมานะทิฐิจะทำให้เกิดการเข้าใจในปัจจัตตัง เมื่อไม่มี
มานะทิฐิก็คุยกันได้ สิ่งที่คุยคือเอาประสบการณ์มาแลกกันแล้วผมเองก็ได้โอกาสเรียนรุ้ประสบการณ์ของคุณบอล เพราะผมไม่รู้สึกว่า
เขามีอะไรเหนือผมหรือมีความรู้มากกว่าผม เพราะผมไม่มีมานะทิฐิแต่ถ้าผมมีมานะทิฐิผมจะอ่าน rep ของคุณบอลไม่รู้เรื่อง แล้ว
ความรู้สึกของผมจะไม่ต่างจากท่านหรอก ฉะนั้นมานะทิฐิหรือความถือตัวและการหลงตนจึงเป็นเครื่องบดบังปัญญาของตนโดยแท้
ส่วนที่ผมไม่สนใจเรื่องเจตนาของผุ้อื่นนั้น เป็นเพราะเจตนาของใครผุ้นั้นต้องมีความรับผิดชอบด้วยความจริงใจว่าความตั้งใจของตน
เป็นแบบนั้น การกระทำที่จะต้องทำอะไรไปแล้วต้องให้คนอื่นมาเข้าใจเห็นใจสนใจในความคิดของตนเป็นความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว
อีกอย่างหนึ่งใครทำอะไรย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจตนเองด้วย
ท้ายสุดคนจะปฏิบัติธรรมถูกวิธีเพราะเป็นการนำหลักธรรมนั้นไปใช้กับผู้อื่นแล้วตนเองได้ประโยชน์ แต่พอนำมาใช้กับตนเองแล้วตนเองเสีย
ประโยชน์ จะนำส่งที่ตรงกันข้ามกับหลักธรรมนั้นมาใช้เพื่อเป็นข้ออ้าง สิ่งที่เห็นบ่อยคือหลักธรรมที่ว่า "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา"
หากปฏิบัติให้ถูกหลักคือดทุกคนแบไต๋ของตนออกมาเลยว่าตนรู้สึกกับคนอื่นอย่างไร แล้วมาถกกันว่าทำไมคุณรู้สึกแบบนี้ทำไมผมรู้สึกแบบนี้
ต่างคนต่างนำความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาเล่าอย่างตรงไปตรงมา แล้วถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดอย่าไปซ้ำเติมเขา เหตุที่ทำให้คนเราปฏิบัติไม่ถูก
หลักธรรมข้อนี้ ก็เพราะตนเองกลัวถูกซ้ำเติมจากคนอื่น ต่างคนต่างกลัวจึงเลี่ยงการแสดงเจตนาที่แท้จริงของตนออกมา
ในทางปฏิบัตืิไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเข้าใจเราหรอก แต่ให้เราพยายามเข้าใจคนอื่นแต่จะเข้าใจหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนที่พยายามเข้าใคนอื่น
จะไม่สนใจว่าใครจะรู้สึกกับตนอย่างไร แต่จะคิดว่าตนเองรู้สึกกับคนอื่นอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง