ThaiSEOBoard.com

< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน) => สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe) => ข้อความที่เริ่มโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 ตุลาคม 2010, 15:51:02



หัวข้อ: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 ตุลาคม 2010, 15:51:02
Google เบียดสมุดหน้าเหลือง จุดพลุบริการ Google Place Search

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016198201.JPEG)
ลักษณะหน้าผลการค้นหา Place Search มองผาดๆคล้ายสมุดหน้าเหลือง

Googleจุดพลุบริการค้นหาสถานที่ท้องถิ่นนาม Google Place Search รุกคืบบริการสมุดหน้าเหลือง Yellow Pages เต็มที่ด้วยการแนบข้อมูล แผนที่ และรีวิวเสียงตอบรับคุณภาพร้านค้าไปกับผลการสืบค้นในวิธีใหม่ มีแผนตั้งเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้Googleสามารถค้นหา ภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ เท่ากับเจ้าของกิจการทั่วโลกจะมีทางเลือกในการแสดงตำแหน่งร้านของตัวเองให้ ขึ้นหน้าแรกGoogleได้โดยไม่ต้องลุ้นกับบริการ Google Maps อย่างที่เป็นในปัจจุบัน
      
       Jackie Bavaro ผู้จัดการโครงการ Place Search บรรยายไว้ในบล็อกGoogleว่า Place Search คือบริการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่นชนิดใหม่ที่จะจัดการข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ ทั่วโลกให้ใช้ง่ายและเป็นระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของชาวเน็ตว่าจะเดินทางไปที่แห่งใด โดยผลสืบค้น Place Search จะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อGoogleวิเคราะห์และคาดว่าชาวเน็ตกำลังค้นหา ข้อมูลในท้องถิ่นใด
      
       "หากไม่ปรากฏข้อมูล Place Search อัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อชมหน้าผลการเสิร์ชได้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบของGoogleเข้าใจตำแหน่งที่ตั้ง ร้านค้าในท้องถิ่นได้ดีขึ้น เราเชื่อมเว็บไซต์หลายล้านแห่งเข้ากับพื้นที่จริงในโลกมากกว่า 50 ล้านจุด จนทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์อย่างอัตโนมัติว่าเว็บไซต์ใดกำลังถูกพูดถึง แม้การเสิร์ชในขณะนั้นจะไม่ได้ระบุข้อมูลที่เพียงพอก็ตาม”
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016198202.JPEG)
Place Search จะเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้Googleสามารถค้นหาภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ

       ข้อมูลใน Place Search จะประกอบด้วยข้อมูลเว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ และข้อมูลอื่นๆของร้านค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงร้านซักแห้ง เพื่อให้ผู้ใช้Googleได้รับข้อมูลสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น โดยจะเปิดทางให้ผู้ใช้Googleเข้ามาให้คะแนนคุณภาพร้านค้า และการแสดงลิงก์สู่บริการ Google Maps เพื่อเติมเต็มข้อมูลการเดินทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น
      
       รายงานระบุเพียงว่า คุณสมบัติการค้นหาสถานที่จะเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานในหลายพื้นที่ทั่วโลกใน ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นคือการรองรับท้องถิ่นมากกว่า 50 ล้านจุดผ่าน 40 ภาษา ยังไม่มีรายละเอียดว่ามีภาษาไทยรวมอยู่ด้วยหรือไม่

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 ตุลาคม 2010, 16:59:37
ผู้ก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นจีน "Baidu" ขึ้นแท่นรวยอันดับ 2 ในจีน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016148001.JPEG)
Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นสัญชาติจีนอย่าง"ไป่ตู้ (Baidu.com)"

อีกบทพิสูจน์ความล่ำซำจากธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้น ล่าสุดนิตยสาร Forbes China เปิดทำเนียบเศรษฐีมังกรโดยชู Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นสัญชาติจีนอย่าง"ไป่ตู้ (Baidu.com)"เป็นหนึ่งในสองของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ โดย Li ครองตำแหน่งอันดับ 2 รองจาก Zong Qinghou เจ้าพ่อน้ำอัดลมแบรนด์ Wahaha ขวัญใจลูกเด็กเล็กแดงแดนมังกร
      
       Li เป็นนักธุรกิจวัย 44 ปีที่ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินมากกว่า 7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปีที่ผ่านมา โดยสามารถแซงหน้าเศรษฐีรายอื่นจากเดิมที่เคยอยูในอันดับ 14 มาเป็นอันดับที่ 2 เพราะอานิสงส์จากมูลค่าหุ้นของไป่ตู้ที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจาก ยักษ์ใหญ่Google (Google) ประกาศปิดบริการเสิร์ชเอนจิ้นในพื้นที่ประเทศจีน เนื่องจากไม่สามารถกระทำตามกฏหมายคัดกรองเนื้อหาเว็บไซต์หรือกระบวนการ เซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีนได้
      
       ไม่เพียงมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ไป่ตู้ดอทคอมเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กำไรของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2553 นั้นเพิ่มขึ้นถึง 112% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จกำไรอยู่ที่ 156.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 45 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 41 เซนต์
      
       ในส่วนของรายได้ ไป่ตู้ประกาศว่ารายรับในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 76.4% จากปีที่แล้ว แตะ 337.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าไตรมาส 4 จะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกจนแตะระดับ 354.2 - 364.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
       ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพของเสิร์ชเอนจินจีนที่ร้อน แรงอย่างยิ่งในขณะนี้ โดยปัจจุบัน ไป่ตู้ครองส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเอ็นจินในจีนมากถึง 70% และกำลังวางแผนกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอีคอมเมิร์ซและวิดีโอออนไลน์ใน อนาคต
      
       สำหรับ Zong แชมป์รวยอันดับ 1 ของจีนนั้นเป็นชายวัย 65 ปี มีทรัพย์สินราว 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยับอันดับจากเบอร์ 3 ในปีก่อนหน้า โดยชายที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของจีนคือ Liang Wengen วัย 53 ปีผู้ก่อต้งบริษัทผลิตเครื่องมือหนักนาม Sany Group มูลค่าทรัพย์สิน 5,900 ล้านเหรียญ
      
       เหนืออื่นใด การจัดอันดับทำเนียบเศรษฐีจีนครั้งล่าสุดยังสะท้อนให้เห็นภาวะการขยายตัวของ เศรษฐกิจแดนมังกรอย่างก้าวกระโดด โดยจำนวนเศรษฐีแดนมังกรที่ติดทำเนียบเศรษฐีระดับโลกของนิตยสาร Forbes นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 128 รายจาก 79 รายในปีที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐฯที่ยังเป็นพื้นที่ที่มีเศรษฐีมากที่สุดในโลก
      
       ..ข่าวนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย ลุกขึ้นมาทำเสิร์ชเอนจินเองก็ได้ เพื่อให้คนไทยไม่ต้องพึ่งพาGoogleเพียงอย่างเดียว..

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 ตุลาคม 2010, 22:06:40
ญี่ปุ่นไอเดียกระฉูด "พรินเตอร์กลิ่น"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016113401.JPEG)

Edited - นักวิจัยญี่ปุ่นหยิบระบบเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมาต่อยอด ปูทางผู้ใช้พิมพ์ภาพพร้อมกลิ่นได้จากเครื่องพิมพ์เครื่องเดียว หวังใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างกลิ่นให้ทีวี-คอมพิวเตอร์ เพื่อให้แฟนรายการอาหารในอนาคตได้รับรู้กลิ่นหอมของอาหารระหว่างชม รวมถึงผู้ชมภาพพิมพ์ที่จะได้รับกลิ่นตามภาพที่ชมอย่างเต็มอรรถรส
      
       ผลงานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากบุคลากรมหาวิทยาลัย Keio University ในโตเกียว ซึ่งระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาทางนำระบบการทำงานลักษณะเดียว กับระบบในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท มาประยุกต์เป็นเครื่องส่งกลิ่นตามข้อมูลภาพที่ปรากฏทั้งที่เป็นภาพนิ่งและ ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้ฝันเรื่องการสร้าง"ภาพยนตร์มีกลิ่น"ที่ถูกริเริ่มในโลกตั้งแต่ ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มีแนวโน้มเป็นความจริงยิ่งขึ้น
      
       บริษัทที่ริเริ่มการสร้างภาพยนตร์มีกลิ่นในโลกคือ AromaRama ครั้งนั้น AromaRama ใช้วิธีปล่อยกลิ่นออกมาทางเครื่องปรับอากาศในโรงภาพยนตร์ ขณะที่บริษัทคู่แข่งนามว่า Smell-O-Vision ใช้ วิธีสร้างระบบปล่อยกลิ่นผ่านท่อของตัวเองขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โครงการนั้นล้มเหลวเพราะเสียงรบกวนจากเครื่องจักรและความอบอวลของกลิ่นเดิม ไปรบกวนกลิ่นใหม่ทำให้กลิ่นในขณะนั้นไม่สัมพันธ์กับภาพ กระทั่ง iSmell USB อุปกรณ์ส่งกลิ่นจากบริษัท Digiscents ถูกส่งมากระตุ้นตลาดอีกครั้งในปี 2000 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปัญหาลักษณะเดียวกัน
      
       ทั้งหมดนี้ Kenichi Okada นักวิจัยผู้เตรียมนำเสนองานวิจัยนี้ในงานประชุมซึ่งสมาคม Association for Computing Machinery มีกำหนดจัดขึ้นที่อิตาลีช่วงสัปดาห์ปลายเดือนตุลาคม 53 แสดงความเชื่อมั่นว่าความสามารถของระบบปล่อยหมึกของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทจะ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปล่อยกลิ่น ซึ่งทำให้ระบบส่งกลิ่นสามารถทำงานได้เงียบ ควบคุมได้ โดยเฉพาะการทำให้กลิ่งจางลงในชั่ววินาที

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016113402.JPEG)
เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ท แคนนอน
   
วารสาร New Scientist รายงานว่านักวิจัยญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ร่วมชาติอย่างแคน นอน (Canon) ดัดแปลงเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตรุ่นเก่าของแคนนอนโดยใช้ชื่อว่า olfactory display คุณสมบัติเด่นคือความสามารถในการปล่อยกลิ่นสลับกัน 4 กลิ่นได้อย่างแม่นยำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทีมวิจัยพบว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตนั้นสามารถพ่นหัวน้ำ หอมในความเร็ว 1 พิโคลิตร (picolitr) ต่อ 0.7 มิลลิวินาที ซึ่งความเร็วดังกล่าวยังน้อยเกินกว่าขีดจำกัดที่มนุษย์จะได้กลิ่น นักวิจัยจึงเกิดแนวคิดเพิ่มเวลาให้เป็น 100 มิลลิวินาที ซึ่งทำให้เครื่องพิมพ์สามารถให้กลิ่นทั้งมะนาว ลาเวนเดอร์ แอปเปิล ซินนามอน (อบเชย) องุ่น และมิ้นต์ได้ในที่สุด
      
       รายงานระบุว่า กลิ่นที่ได้จะจางหายไปหลังจากสูดดมสองครั้ง ทำให้เครื่องสามารถส่งกลิ่นอื่นตามมาในทันที กลิ่นที่ได้จากระบบจึงไม่ผิดเพื้ยน
      
       Okada ระบุว่าการพัฒนาขั้นต่อไปคือการสร้างกลิ่นที่ตรงกับภาพโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากการศึกษาประสบความสำเร็จ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในอนาคตก็จะสามารถทำงานเป็นทั้งเครื่องพิมพ์และ เครื่องปล่อยกลิ่นได้ในเครื่องเดียว
      
       ที่ผ่านมา เทคโนโลยีกลิ่นพร้อมภาพนั้นไม่ได้ถูกคาดหวังเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว โดยผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้งานด้านสุขภาพได้ เช่น การใช้กลิ่นช่วยเตือนความจำผู้ป่วยสมองเสื่อมให้รับประทานอาหารหรือยาอย่าง ตรงเวลา ซึ่งคาดว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์อื่นๆจากกลิ่นได้ในอนาคต
      
       อีกความท้าทายของระบบปล่อยกลิ่นคือการสร้างกลิ่นสำหรับจุดประสงค์ทั่วไป เนื่องจากนักสังเคราะห์กลิ่นยังไม่ทราบถึงวิธีการสังเคราะห์กลิ่นทั้งหมดที่อุตสาหกรรมต้องการ การ สร้างกลิ่นลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลิ่นไม่ได้เกิดจากการสังเคราะห์สีแดงสีเขียวหรือสีฟ้า ขณะเดียวกัน ส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการสังเคราะห์กลิ่นก็ยังมีมากมายหลายพัน ชนิดขึ่นอยู่กับกลิ่นที่ต้องการ เช่น กลิ่นราสเบอร์รี่ที่ไม่สามารถสังเคราะห์ได้จากช็อคโกแลต เป็นต้น

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Keiku ที่ 31 ตุลาคม 2010, 22:12:22
 :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 00:01:35
อเมซอนเปิดแอปฯ Windowshop ลุย iPad

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016108201.JPEG)

อเมซอน (Amazon) เปิดตัว Windowshop แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดเอาใจผู้ใช้ iPad คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตของแอปเปิล นำ Amazon.com มาจัดเรียงใหม่เพื่อเปิดทางให้ชาว iPad สามารถซื้อสินค้าจากอเมซอนได้เหมือนช่องทางปกติ
      
       Jeff Bezos ซีอีโออเมซอนระบุว่า Windowshop ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเอนหลังและใช้งานบนแท็บเล็ตได้อย่างสะดวก สบายกว่าหน้าเว็บไซต์ดั้งเดิม ลูกค้าอเมซอนสามารถเข้าถึงสินค้ามากกว่า 40 ประเภทได้ตามปกติ สามารถขยายภาพผลิตภัณฑ์ และเพิ่มสินค้าลงในตระกร้าได้เพียงสัมผัสหน้าจอครั้งเดียว ถือเป็นการรุกคืบกลุ่มตลาด iPad ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผลิตภัณฑ์เครื่องอ่านหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ของอเมซอนอย่าง Kindle
      
       มีการตั้งข้อสังเกกตว่า Windowshop มีกระบวนการซื้อ e-book หรือไฟล์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์บน iPad ที่ยากกว่าการซื้อหนังสือในแอปพลิเคชันอย่าง Kindle เนื่องจากลูกค้าจะต้องลงชื่อใช้งานที่เว็บไซต์ Amazon.com อีกครั้งจึงจะสามารถอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ซื้อมาได้ ต่างจากบน Kindle ที่สามารถอ่านหนังสือได้ทันทีหลังจากซื้อ

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Fuji ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 01:57:12
ติดตามอ่านครับ  :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: kl548380 ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 02:10:17
 :P :P :P

แจ๋ว ค่ะ

แต่ ปริ๊นท์เตอร์ มันจะ มีสารพิษไหมอ่ะ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 13:36:40
ไมโครซอฟท์แผ่ว แอปเปิลแซงในรอบ 15 ปี

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016283101.JPEG)
สตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอไมโครซอฟท์

ดูเหมือนจะเป็นปีที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพราะปี 2010 คือปีแรกที่คู่แข่งตลอดกาลของไมโครซอฟท์อย่างแอปเปิล (Apple) สามารถแซงหน้าทั้งในแง่มูลค่าหุ้นและรายรับรวม
      
       โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศออกมาช่วงปลายเดือนตุลาคม กลับมีมูลค่าน้อยกว่าตัวเลขที่แอปเปิลทำได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ถือ เป็นไตรมาสแรกในรอบ 15 ปีที่แอปเปิลสามารถท้าทายไมโครซอฟท์ได้อย่างเป็นรูปธรรมเช่นนี้ หลังจากที่แอปเปิลถูกยกให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (คำนวณจากมูลค่าหุ้น) เหนือกว่าไมโครซอฟท์ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
      
       ไมโครซอฟท์ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2010 (กรกฎาคม-กันยายน) ว่าสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 51% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน คิดเป็นกำไรสุทธิ 5,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่เหนือกว่าคำพยากรณ์ของบริษัทเงินทุนในวอลล์สตรีท เนื่องจากตลาดค้าซอฟต์แวร์วินโดวส์ (Windows) และซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสารออฟฟิศ (Office) เติบโตเหนือความคาดหมาย ทั้งหมดนี้ไมโครซอฟท์ระบุว่าสามารถทำ รายได้รวม 16,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.86 แสนล้านบาท) ซึ่งด้อยกว่าแอปเปิลที่ทำรายรับรวม 20,340 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.10 แสนล้านบาท)
      
       นี่เองที่ทำให้สื่อมวลชนอเมริกันรายงานว่า ไตรมาสที่ผ่านมาคือไตรมาสแรกในรอบ 15 ปีที่แอปเปิลสามารถทำยอดขายได้มากกว่าไมโครซอฟท์ โดยนักลงทุนนั้นตื่นตัวกับศักยภาพไมโครซอฟท์ที่ดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าคู่ แข่ง ทำให้มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์ลดลงถึง 14% ทั้งที่ไมโครซอฟท์สามารถทำยอดจำหน่ายและกำไรได้มากกว่าช่วง 8 ปีก่อนกว่าเท่าตัว
      
       ** ไมโครซอฟท์ยังแกร่ง **
      
       ต้องยอมรับว่าไมโครซอฟท์สามารถทำได้ดีในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากยังสามารถรักษาการเติบโตของบริษัทไว้ได้แม้องค์กรธุรกิจจำนวนมากจะ ยึดนโยบายใช้จ่ายน้อยลง และแนวโน้มที่ชี้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคพีซีขาลง ซึ่งไม่เพียงความกังวลทั้งหมดจะไม่มีผลต่อรายได้ แต่ ไมโครซอฟท์ยังโชว์ตัวเลขว่าผลิตภัณฑ์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์และซอฟต์แวร์ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศสามารถสร้างยอดขายให้ไมโครซอฟท์ถึง 60% ของยอดจำหน่ายรวม โดยคิดเป็น 80% ของกำไรทั้งหมด
      
       ผลประกอบการดีเยี่ยมของไมโครซอฟท์ทำให้นักวิเคราะห์มองคำว่า "ธุรกิจพีซีกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง" เป็นการตื่นตัวที่เกินกว่าเหตุ เนื่องจากในนาทีที่ธุรกิจแท็บเล็ตเติบโตต่อเนื่อง ไมโครซอฟท์ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในตลาดพีซีที่ได้รับผลกระทบก่อน ใคร ก็ยังไม่ถึงกับทรุดตามคำคาดการณ์ของหลายสำนัก
      
       จุดอ่อนใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์คือกลุ่มบริการออนไลน์ ซึ่งมีส่วนประกอบใหญ่เป็นบริการเสิร์ชเอนจินอย่าง Bing และเว็บท่า MSN กลุ่มธุรกิจนี้ขาดทุนเพิ่มขึ้น 17% แตะระดับตัวแดง 560 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุเป็นเพราะการลงทุนอย่างหนักเพื่อไล่ตามจ่าฝูงอย่างGoogle คาดว่าเบ็ดเสร็จตลอด 5 ปี ไมโครซอฟท์ขาดทุนจากแผนกนี้ราว 6,000 ล้านเหรียญแล้ว
      
       สำหรับตัวเลขยอดรายรับรวม 16,200 ล้านเหรียญ ไมโครซอฟท์ระบุว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 25% ส่งให้มีกำไร 5,400 ล้านเหรียญ หรือ 62 เซ็นต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 3,600 ล้านเหรียญ หรือ 40 เซ็นต์ต่อหุ้น
      
       เฉพาะธุรกิจจำหน่ายซอฟต์แวร์ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ทำกำไรขั้นต้นได้มากที่สุด 3,400 ล้านเหรียญ รองลงมาคือธุรกิจจำหน่ายระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ทำกำไรขั้นต้น 3,300 ล้านเหรียญ นอกนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจเครื่องมือและเครื่องแม่ข่าย ซึ่งรวมเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งด้วย ทำกำไรขั้นต้นได้ 1,600 ล้านเหรียญ ส่วนกลุ่มสินค้าเพื่อความบันเทิงอย่าง Xbox และซอฟต์แวร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ทำกำไรขั้นต้น 382 ล้านเหรียญ
      
       ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ดำเนินนโยบายเลิกจ้างพนักงาน 5,800 คนจนมีจำนวนพนักงานรวมในขณะนี้ 89,000 คน
      
       ** คู่แข่งแกร่งมากกว่า **
      
       แม้แอปเปิลจะมีกำไรสุทธิตลอด 3 เดือนต่ำกว่าไมโครซอฟท์ โดยประกาศที่ 4,310 ล้านเหรียญ แต่กำไรของแอปเปิลที่แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การได้กำไรในไตรมาส ก่อนเพียง 3,350 ล้านเหรียญ (ปี 2009) และ 2,530 ล้านเหรียญ (ปี 2008) รวมถึงรายรับรวมของแอปเปิลที่เพิ่มขึ้นถึง 67% ในไตรมาสเดียวกัน ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในอนาคตของไมโครซอฟท์เท่าใดนัก จนเป็นผลให้มูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ตกต่ำลงในที่สุด
      
       แอปเปิลระบุว่า ไอโฟน (iPhone) ถือเป็นกำลังหลักในการสร้างรายได้ให้แอปเปิลในไตรมาส 3 เนื่องจากยอดจำหน่ายทั้งหมดสูงถึง 14.1 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยไอแพด (iPad) จำหน่ายได้ 4.2 ล้านเครื่อง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.8 ล้านเครื่อง จุดนี้แอปเปิลชี้แจงว่าเป็นเพราะปัญหาในสายการผลิตไอแพด ซึ่งคาดว่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้ในไตรมาสนี้ สำหรับคอมพิวเตอร์แมคอินทอช แอปเปิลระบุว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 28% เบ็ดเสร็จที่ 3.89 ล้านเครื่อง เครื่องเล่นเพลงไอพอด (iPod) มียอดจำหน่ายที่ 9.05 ล้านเครื่อง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการมหาศาลของผู้บริโภคที่ไมโครซอฟท์ไม่ อาจเข้าถึงได้
      
       ในส่วนคู่แข่งไมโครซอฟท์ด้านธุรกิจออนไลน์ ยักษ์ใหญ่Googleระบุว่ามีรายได้หลังหักส่วนแบ่งกับเว็บไซต์พันธมิตรราว 5,480 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งทำได้ 5,270 ล้านเหรียญ แหล่งรายได้ใหญ่คือธุรกิจลงโฆษณาชนิดจ่ายตามจำนวนคลิก ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น 16% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
      
       ความแข็งแกร่งของคู่แข่งทั้งหมดนี้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจหากไมโครซอฟท์จะถูกแซงหน้าเรื่องการโกยเงินจากผู้บริโภคไป แต่ย่อมเป็นเรื่องไม่ดีแน่ หากไมโครซอฟท์จะไม่ปรับตัวและปล่อยให้รูปการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: two49 ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 14:58:43
ผมจะเปิดตัวอะไรกับเค้าดีเนีย  :wanwan044:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: RICHEST ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 15:03:58
 :wanwan020:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Bes ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:20:16
อ้างถึง
ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ดำเนินนโยบายเลิกจ้างพนักงาน 5,800 คนจนมีจำนวนพนักงานรวมในขณะนี้ 89,000 คน

พนักงานที่ถูกเลิกจ้างคงมาทำ Google Adsense กัน  :o


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: onlinenow ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:31:14
ความรู้เพียบเลย


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: gabriel ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:32:13
ลงชื่ออ่าน ขอบคุณครับ  :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:40:46
อินเทลดึง 70 บริษัทยักษ์ร่วมมือด้านคลาวด์ฯ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016291101.JPEG)

อินเทล ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่เป็นตัวตั้งตัวตีในการดึง 70 บริษัทนานาชาติที่ติดอันดับ Fortune 500 ซึ่งนิตยสารชื่อดังจัดอันดับไว้ เปิดเป็นสมาคม Open Data Center Alliance เพื่อหาแนวทางการจัดระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อสร้างสรรค์เป็นระบบ คลาวด์และศูนย์ข้อมูลที่เปิดกว้างและทำงานร่วมกันได้ โดยบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าการลงทุนด้านไอทีต่อปีรวมกันกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ และเป็นองค์กรที่มีงานวิจัยหรือโครงการเกี่ยวกับระบบคลาวด์อย่างจริงจัง
      
       อินเทลออกแถลงการณ์ว่าคณะกรรมการหลักของกลุ่มจะประกอบด้วยแบรนด์สากล อย่าง BMW, China Life, Deutsche Bank, J.P. Morgan Chase, Lockheed Martin, Marriott International, Inc., National Australia Bank, Shell, Terremark และ UBS โดยอินเทลจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพิเศษของกลุ่มเพื่อให้คำปรึกษาด้าน เทคโนโลยีแก่บริษัทในกลุ่มสมาชิก เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงในปี 2015
      
       สมาคมที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ "Cloud 2015" ของอินเทลในการหาทางให้ระบบคลาวด์คอมพิวติงในองค์กรมีความปลอดภัยและมีความ สามารถในการทำงานร่วมกันมากขึ้นในปี 2015 ซึ่งในเวลานั้น อินเทลเชื่อว่าปริมาณชาวเน็ตเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน 1,000 ล้านคน อุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่า 15,000 ล้านชิ้น และทราฟฟิกออนไลน์มากกว่า 1 เซตาไบต์

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: tumtac ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:52:51
จะไม่อ้างอิง สักหน่อยหรอกเหรอครับ ว่าไปเต้าข่าวที่ไหนมาบ้าง :wanwan016:

เท่าที่เห็นก็มีของ manager.co.th เยอะด้วย เพราะเข้าไปอ่านทุกวันเรื่องข่าวไอที และ ข่าวล่าสุด


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:54:23
จะไม่อ้างอิง สักหน่อยหรอกเหรอครับ ว่าไปเต้าข่าวที่ไหนมาบ้าง :wanwan016:

เท่าที่เห็นก็มีของ manager.co.th เยอะด้วย เพราะเข้าไปอ่านทุกวันเรื่องข่าวไอที และ ข่าวล่าสุด

ใส่แต่กระทู้แรกแล้วลืมยาวเลย เดี๋ยวใส่ให้ครับ
ขอบคุณที่เตือนครับ
 :-[


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: thunbon ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 20:39:54
ชอบคุณสำหรับข่าวสารนะครับบบ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 22:51:31
กูเกิลเปิดบริการ Google Place Search

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016292601.JPEG)

กูเกิลจุดพลุบริการค้นหาสถานที่ท้องถิ่นนาม Google Place Search รุกคืบบริการสมุดหน้าเหลือง Yellow Pages เต็มที่ด้วยการแนบรายการธุรกิจท้องถิ่นไปกับผลการสืบค้น มีแผนตั้งเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้กูเกิลสามารถค้นหา ภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ โดยเจ้าของกิจการจะมีทางเลือกในการแสดงตำแหน่งร้านของตัวเองให้ขึ้นหน้าแรก กูเกิลได้โดยไม่ต้องลุ้นกับบริการ Google Maps อย่างที่เป็นในปัจจุบัน
       
       กูเกิลให้ข้อมูลว่าได้รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ และข้อมูลอื่นๆของร้านค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงร้านซักแห้ง เพื่อให้ผู้ใช้กูเกิลได้รับข้อมูลสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น โดยจะเปิดทางให้ผู้ใช้กูเกิลเข้ามาให้คะแนนคุณภาพร้านค้า และการแสดงลิงก์สู่บริการ Google Maps เพื่อเติมเต็มข้อมูลการเดินทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น
       
       รายงานระบุเพียงว่า คุณสมบัติการค้นหาสถานที่จะเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานในหลายพื้นที่ทั่วโลกใน ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นคือการรองรับท้องถิ่นมากกว่า 50 ล้านจุดใน 40 ภาษา

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 13:48:02
3G บุก "เอเวอเรสต์"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016357401.JPEG)

นักปีนเขาที่ต้องการท้าทายเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่าง เอเวอเรสต์ (Everest) จะสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย 3G ได้แล้วในขณะนี้ เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อพลพรรคนักไต่เขาที่จะสามารถเช็กสภาพอากาศและรับคำแนะ นำที่เป็นประโยชน์จากกูรูออนไลน์ได้อย่างทันท่วงที ทำให้การท้านรกบนยอดเขาเอเวอเรสต์มีความปลอดภัยมากขึ้นอีกระดับ
       
       บริษัทที่ลงทุนเครือข่าย 3G ในพื้นที่เทือกเขาเอเวอเรสต์คือบริษัทโทรคมนาคมในเนปาลนาม Ncell (บริษัทในเครือ TeliaSonera ของสวีเดน) ให้ข้อมูลว่าได้ ติดตั้งสถานีฐานเครือข่ายข้อมูลไร้สายเทคโนโลยี 3G จำนวน 8 จุดทั่วจุดพักในเทือกเขาเอเวอเรสต์ โดยจุดที่ตั้งสถานีฐานที่สูงที่สุดนั้นมีความสูงถึง 5,200 เมตร หรือประมาณ 17,000 ฟุต
       
       เป้าหมายสำคัญของ Ncell คือการใช้เครือข่ายข้อมูลความเร็วสูงเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายพันคน ที่เดินทางมายังเอเวอเรสต์ในแต่ละปี ซึ่งที่ผ่านมา นักไต่เขาจะมีโอกาสใช้งานเพียงโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม (satellite phone) ซึ่งสามารถส่งผ่านเพียงเสียงเท่านั้น ทำให้นักไต่เขาไม่สามารถใช้การสื่อสารเพื่อเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการเดิน ทางได้เท่าที่ควร
       
       แม้จะยังไม่ได้ดำเนินการทดสอบที่ชัดเจน แต่ Pasi Koistinen ประธาน Ncell ยืนยันว่าสถานีฐานทั้ง 8 จุดจะสามารถให้บริการเครือข่าย 3G ครอบคลุมจุดที่สูงที่สุดในเอเวอเรสต์ โดย นอกจากความปลอดภัย เครือข่าย 3G จะช่วยให้นักไต่เขาสามารถใกล้ชิดครอบครัวและกลุ่มผู้ร่วมเดินทางได้มากยิ่ง ขึ้น เพราะนักปีนเขาจะสามารถโทรศัพท์พร้อมภาพหรือวิดีโอคอลล์ได้อย่างเต็มอรรถรส
       
       3G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 3 ที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการเพียงระบบเสียงและข้อมูล เล็กน้อย มาเป็นยุคแห่งบริการมัลติมีเดียที่สามารถส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วย อัตราความเร็วที่สูงขึ้น เนื่องจาก 3G ได้รับการการันตีว่ามีช่องสัญญาณความถี่และความจุในการรับส่งข้อมูลที่ มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล เสียง และบริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบ ผู้ใช้จึงสามารถรับ-ส่งไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถประชุมทางไกลผ่านสมาร์ทโฟน ดาวน์โหลดเพลง รวมถึงชมภาพยนตร์ได้แบบไม่สะดุด
       
       การขยายบริการ 3G มาสู่เอเวอเรสต์ยังเป็นยุทธศาสตร์ในการกระตุ้นตลาดโทรคมฯเนปาลของ Ncell โดยที่ผ่านมา สถิติการใช้งานโทรศัพท์มือถือของชาวเนปาลมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของประชากรเนปาลเท่านั้น ซึ่งเมื่อคำนวณนักท่องเที่ยวของเอเวอเรสต์ที่มีจำนวนเฉลี่ยมากกว่า 3,000 คนต่อปี ก็ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับ Ncell
       
       สำหรับเอเวอเรสต์ เทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกมีจุดสูงสุดที่ระดับ 8,848 เมตร ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกสำเร็จในโลกคือ Edmund Hillary ในปี 1953 ซึ่งในขณะนั้นการสื่อสารยังทำได้เพียงการส่งข้อความผ่านโทรเลข
       
       นอกจากเอเวอเรสต์ บริษัทแม่ของ Ncell อย่าง TeliaSonera ระบุว่าได้เตรียมงบประมาณมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,000 ล้านบาท) สำหรับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์มือถือในประเทศเนปาลช่วงปี 2011 เพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเนปาลอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 14:35:28
เว็บไซต์จีนผุดข่าวลือ! ผลทดสอบ AMD Radeon HD 6970

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016357801.JPEG)

chiphell.com เว็บไซต์สัญชาติจีนผุดผลทดสอบกราฟิกการ์ดค่ายแดง AMD Radeon HD 6970 ที่ยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายออกสู่สายตาสาธารณชน พร้อมคะแนนผลทดสอบที่เหนือชั้น NVIDIA GTX480
       
       หลังจาก AMD ปล่อยกราฟิกการ์ดในตระกูล Radeon HD 6800 Series ลงตลาดไปแล้วล่าสุดเว็บไซต์สัญชาติจีนนามว่า "chiphell.com" ได้ลงรายงานเกี่ยวกับผลทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกการ์ดตัวใหม่จากค่ายน้ำแดง AMD อย่างไม่เป็นทางการว่า ตัวการ์ดจะใช้โค้ดเนมว่า Cayman XT และมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ AMD Radeon HD 6970
       
       แต่ทั้งนี้ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยทาง chiphell.com ยังไม่มีการเปิดเผยสเปกอย่างเป็นทางการ แต่จะมีเพียงการเปิดเผยคะแนนทดสอบที่ได้จากการรันโปรแกรม 3DMark Vantage ว่าจะอยู่ที่ 23,499 คะแนนในโหมด Performance และการทดสอบรันชุดคำสั่ง DirectX 11 ผ่านโปรแกรม Unigine Heaven จะทำคะแนนอยู่ที่ 33.6 เฟรมต่อวินาทีบนความละเอียดหน้าจอ 1,920x1,080pixels พร้อมเปิดคุณสมบัติลบรอยหยักที่ 4x และเปิดฟิลเตอร์ Anisotropic อยู่ที่ 16x
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016357802.JPEG)

       ซึ่งถ้านำไปเทียบกับกราฟิกการ์ดคู่แข่งอย่าง NVIDIA GTX480 รุ่นมาตราฐานจะเห็นว่า GTX480 สามารถทำคะแนนในส่วนของ 3DMark Vantage อยู่แค่เพียง 21,106 คะแนน ในขณะที่โปรแกรม Unigine Heaven จะทำคะแนนอยู่ที่ประมาณ 29.5-30.7 เฟรมต่อวินาที โดยถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ การ์ด HD 6970 จะมีความแรงกว่า GTX480 อยู่ที่ประมาณ 10-20%
       
      อีกทั้งในส่วนของการบริโภคพลังงานตามการคาดการณ์ของสื่อต่างประเทศ หลายสำนัก คาดว่าตัวการ์ดจะบริโภคกำลังไฟอยู่ที่ประมาณ 225 วัตต์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าการ์ดรุ่นท็อปของคู่แข่งอย่าง NVIDIA GTX 480 ที่มีอัตราการบริโภคไฟอยู่ที่ 250 วัตต์

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 15:09:14
โลจิเทค เปิดตัวคีย์บอร์ดพลังงานแสงอาทิตย์ ลดโลกร้อน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016366301.JPEG)

โลจิเทคเปิดตัว “Logitech K750” คีย์บอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุด พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้เทคโนโลยีโซล่าเซลล์ในการชาร์ตพลังงาน เอาใจพวกอนุรักษ์ธรรมชาติ และเข้ากับสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
       
       Logitech K750 ถือเป็นคีย์คีย์บอร์ดไร้สาย ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิต และยังเป็นคีย์บอร์ดพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวแรกของโลก โดนมีการออกแบบเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของโลกอนาตคด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาน โค้งมน รองรับนิ้วมือในการพิมพ์ โดยมีความบางเพียงแค่ 1/3 นิ้วเท่านั้นซึ่งทำสถิติความบางที่สุดของโลกอีกด้วย และสามารถ เชื่อมต่อ Wireless ความถี่ 2.4 GHz
       
       โดยความพิเศษของเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้ มาพร้อมกับแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ สองจุด และสามารถเก็บสะสมพลังงานไว้ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 4 เดือน ทั้งนี้สามารถชาร์ตพลังงานได้ทั้งแสงอาทิตย์โดยตรงโคมไฟหรือแม้แต่แสงสว่าง ภายในอาคาร ก็สามารถทำได้เช่นกัน
       
       Logitech K750 สามารถรองรับการทำงานกับร่วมกันกับอุปกรณ์อื่นๆในระบบปฏิบัติการ Window และในอนาคต จะสามารถรองกับการทำงานกับระบบ Mac อีกด้วย โดยจะเริ่มวางจำหน่ายภายในเดือนพฤษจิกายนนี้ โดยเปิดตัวราคา 80 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,400 บาท

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: joesung ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 15:36:30
โลจิเทค เปิดตัวคีย์บอร์ดพลังงานแสงอาทิตย์ ลดโลกร้อน

([url]http://pics.manager.co.th/Images/553000016366301.JPEG[/url])

โลจิเทคเปิดตัว “Logitech K750” คีย์บอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุด พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้เทคโนโลยีโซล่าเซลล์ในการชาร์ตพลังงาน เอาใจพวกอนุรักษ์ธรรมชาติ และเข้ากับสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
       
       Logitech K750 ถือเป็นคีย์คีย์บอร์ดไร้สาย ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิต และยังเป็นคีย์บอร์ดพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวแรกของโลก โดนมีการออกแบบเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของโลกอนาตคด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาน โค้งมน รองรับนิ้วมือในการพิมพ์ โดยมีความบางเพียงแค่ 1/3 นิ้วเท่านั้นซึ่งทำสถิติความบางที่สุดของโลกอีกด้วย และสามารถ เชื่อมต่อ Wireless ความถี่ 2.4 GHz
       
       โดยความพิเศษของเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้ มาพร้อมกับแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ สองจุด และสามารถเก็บสะสมพลังงานไว้ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 4 เดือน ทั้งนี้สามารถชาร์ตพลังงานได้ทั้งแสงอาทิตย์โดยตรงโคมไฟหรือแม้แต่แสงสว่าง ภายในอาคาร ก็สามารถทำได้เช่นกัน
       
       Logitech K750 สามารถรองรับการทำงานกับร่วมกันกับอุปกรณ์อื่นๆในระบบปฏิบัติการ Window และในอนาคต จะสามารถรองกับการทำงานกับระบบ Mac อีกด้วย โดยจะเริ่มวางจำหน่ายภายในเดือนพฤษจิกายนนี้ โดยเปิดตัวราคา 80 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,400 บาท

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz

นึกว่าต้องไปเล่นกลางแดด


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 17:01:44
อิตาลีขู่Google Street View หากผิดกฎเตรียมจ่าย 6.7ลบ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016194801.JPEG)
รถที่ใช้ถ่ายภาพในโครงการ Street View จะวิ่งไปตามท้องถนน

ศาลอิตาลีพิจารณาข้อพิพาทในกรณีที่กูเกิลจะขอใช้รถยนต์บันทึกภาพ ท้องถนนสำหรับบริการ Google Street View ระบุหากกระทำผิดกฎอาจต้องเสียค่าปรับสูงถึง 6.7ล้านบาท
       
       ผู้พิพากษาอิตาลีกล่าวว่า การเก็บข้อมูลแผนที่ผ่านเครือข่ายไร้สายโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นเรื่อง ที่ผิดกฎหมายท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยการเก็บข้อมูลดังกล่าว ระบบจะสามารถจดจำอีเมล์ ที่อยู่เว็บไซต์ และพาสเวิร์ดที่ใช้เครือข่ายนั้นได้
       
       "การกระทำดังกล่าวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากกูเกิลจะทำการเก็บบันทึกและเผยแพร่ภาพถ่ายและเส้นทางที่อยู่อาศัย และบุคคล นอกจากนี้ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณที่มีการบันทึกภาพยังมีโอกาสเสี่ยงถูกบันทึก ข้อมูลกิจกรรมออนไลน์ด้วย"
       
       ด้านผู้บริหารจากกูเกิลให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ทางทีมงานพยายามที่จะอุดช่องโหว่เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลภาย ในบริการ Google Street View โดยการลบข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้มาจากการบันทึกภาพ รวมถึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงนโยบายรักษาความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่มีการบันทึกภาพ
       
       ผลการพิจารณา อัยการระบุว่า กู เกิลจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ลงในหนังสือพิมพ์และสถานีวิทยุท้องถิ่น และเว็บไซต์กูเกิลล่วงหน้า 3 วัน ก่อนที่จะเข้าทำการบันทึกภาพในพื้นที่ นอกจากนี้ยังต้องทำสัญลักษณ์ให้กับรถที่ใช้ถ่ายภาพทิวทัศน์ในโครงการ Street View เพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นหลีกเลี่ยงการถูกจับภาพขณะบันทึก หากกูเกิลไม่ปฏิบัติตามจะอาจจะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 180,000 ยูโร หรือประมาณ 7.6 ล้านบาท

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016194802.JPEG)
หลายฝ่ายมองว่าการเก็บภาพดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ของบุคคลที่อยู่ในภาพ

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 23:51:34
Twitter เตรียมแทรก "โฆษณา" ใน tweet

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-promoted-tweets-new-ad-platform-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด ทวิตเตอร์ (Twitter) เดินหน้าขยายแพลตฟอร์มโฆษณาที่ชื่อว่า Promoted Tweets (ทวีตสำหรับการโปรโมต) เข้าไปรวมอยู่ในทวีตของผู้ใช้บริการ โดยโฆษณาแบบใหม่จะพิจารณาจาก"คีย์เวิร์ด" และยังอยู่ในขั้นของการทดสอบ ดังนั้นผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่า ใน Twitter.com จะเต็มไปด้วยโฆษณา เนื่องจากในช่วงแรกจะเริ่มทดสอบกับแอพฯ อย่าง HootSuite เป็นต้น

ความจริง Twitter ได้เริ่มให้บริการโฆษณามาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเริ่มหารายได้ให้กับธุรกิจที่ผ่านหลักไมล์ของผู้ใช้ 100 ล้านในช่วงนั้น โดยในครั้งแรก Twitter ได้รวมเอาโฆษณาเข้าไปในหน้าผลลัพธ์การค้น หลังจากนั้นตามด้วยโฆษณาในเซ็คชั่น Trending topics จนมาถึงเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางบริษัทได้เปิดบริการ Promoted Accounts ซึ่งจะเป็นการนำบัญชีผู้ใช้ Twitter ของแบรนด์ต่างๆ ที่ลงโฆษณาไปในเซ็คชั่น "Suggests for You"

แต่สำหรับการประกาศแพลตฟอร์มโฆษณาครั้งล่าสุด ถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากในขณะที่ผู้ใช้ในบริษัทต่างๆ กำลังใช้ประโยชน์จากบริการโฆษณาใน search และ trending topics ผู้ใช้ Twitter ทุกคนนอกจากจะได้รับทวีตจากเพื่อนๆ แล้ว ยังจะได้รับทวีตจากแบรนด์ที่ชอบด้วย ซึ่งทางบริษัทคาดว่า ด้วยแพลตฟอร์มโฆษณาในลักษณะนี้จะสร้างรายได้หลายล้านเหรียญฯให้กับ Twitter แต่มันก็อาจจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกแย่กับสิ่งแปลกปลอม และสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ได้เหมือนกัน (ทวีตของแบรนด์จะแทรกไปกับทวีตของเพื่อนๆ)

ข้อมูล จาก Ad Age พันธมิตรของ Twitter ในการแทรกลูกค้าโฆษณาเข้าไป โดยเฉพาะแบรนด์อย่าง Virgin, Starbucks และ Red Bull ซึ่งจะเป็นกลุ่มแรกๆ ของลูกค้าที่จะอยู่ในช่วงของการทดสอบ Twitter ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า ทางบริษัทจะทดสอบ Promoted Tweets ใน apps อย่าง HootSuite ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจรายแรกๆ ผู้ใช้ Twitter เตรียมตัวรับข้อควาทวีตโฆษณาจากแบรนด์ต่างๆ ได้แล้ว

ขอบคุณที่มา: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 19:02:00
"Blekko.com" เสิร์ชพันธุ์ใหม่ท้าชนกูเกิล

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016418003.JPEG)
หน้าเว็บไซต์ Blekko.com

ใครจะยอมปล่อยให้Google (Google) ครองตลาดค้นหาข้อมูลออนไลน์ หรือเสิร์ชเอนจินฝ่ายเดียว ล่าสุด Blekko.com เสิร์ชเอนจินพันธุ์ใหม่แจ้งเกิดบนโลกออนไลน์แล้วท่ามกลางกลุ่มทุนสนับสนุน ร่วมหลายล้านเหรียญสหรัฐ อาสาเป็นตัวเลือกใหม่แทนกูเกิลและบิงจากไมโครซอฟท์ที่ครองตลาดค้นหาข้อมูลออ นไลน์ในขณะนี้
       
       Rich Skrenta ประธานกรรมการบริหารบริษัท Blekko กล่าวว่าจุดมุ่งหมายของการก่อตั้งบริษัทคือการสร้างเสิร์ชเอนจินที่ไม่เพียง ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตามปกติ แต่จะเป็นการเสิร์ชที่ผู้ใช้จะไม่สามารถทำได้บนเสิร์ชเอนจินใด
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016418004.JPEG)
การรองรับภาษาไทยยังไม่ราบรื่นนักบน Blekko.com เนื่องจากการทดลองค้นหาคำว่า "น้ำท่วม ภาคใต้" Blekko.com ไม่สามารถแสดงผลเสิร์ชได้ แต่แสดงผลการค้นหาของ Yahoo ขึ้นมาแทน

       คุณสมบัติสำคัญที่ Blekko เชิดชูที่สุดคือ slashtag ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถกำหนดขอบเขตการค้นหา ให้ดำเนินไปบนเฉพาะเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องตามที่ผู้ใช้ต้องการ ส่งให้เว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกกันออกจากผลการสืบค้นอย่างหมดจด
       
       ที่ผ่านมา การค้นหาข้อมูลด้วยคีย์เวิร์ดคำเดียวบนเสิร์ชเอนจินอย่างกูเกิล ยาฮู และบิง นำไปสู่การแสดงเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องหลายพันล้านหน้า เดือดร้อนถึงชาวเน็ตที่จะต้องใช้สายตาคัดกรองผลการเสิร์ชมหาศาลเหล่านี้ด้วย ตัวเอง จุดนี้ Blekko ยืนยันว่า slashtag (/) จะเป็นเครื่องมือเพื่อกรองผลการสืบค้น ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016418005.JPEG)
ดัชนี slashtag ใน Blekko.com ผู้ใช้สามารถเลือกดูได้จากเมนูซ้ายมือ โดยยังมีเมนูที่เปิดให้ชุมชนออนไลน์ทั่วโลกร่วมกันค้นหาข้อมูล และเมนูสำหรับให้ผู้ใช้สร้าง slashtag ของตัวเอง

       หลักการทำงานของ slashtag นั้นไม่ต่างกับการใช้ hashtag (#) ที่จะทำให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์สามารถจับกลุ่มข้อความทวีตที่เกี่ยวข้องได้ โดย slashtag จะเป็นตัวช่วยจับกลุ่มผลการเสิร์ชทุกครั้งที่ผู้ใช้ Blekko ป้อนคำค้นเข้าไป ด้วยการเสนอ slashtag ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ใช้เลือกโดยอัตโนมัติ
       
       เช่น หากผู้ใช้ต้องการค้นหาตำราอาหารลดความอ้วน เพียงพิมพ์คำว่า recipes ระบบ Blekko จะแสดงหมวดหมู่เว็บไซต์ที่คาดว่าผู้ใช้จะต้องการ เช่น /diet /food /baking เป็นต้น เพื่อให้ผู้ใช้ได้จับกลุ่มผลการค้นหาที่ต้องการอย่างคร่าวๆ จุดนี้ Blekko ระบุว่าสามารถวิเคราะห์กลุ่มคำที่ใช้ในการค้นหาครั้งใหม่ เพื่อหาความสัมพันธ์กับผลลัพธ์เว็บไซต์ที่พบโดยทั่วไป (ซึ่งไม่ถูกแสดงในครั้งแรก) จุดนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาคลิกตรวจรายการเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ด้วยตัวเอง
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016418001.JPEG)

       ในช่วงทดสอบ Blekko จัดระบบเสนอ slashtag อัตโนมัติในกลุ่มคำค้นหายอดนิยมบางส่วนเท่านั้น ได้แก่ health, colleges, autos, personal finance, lyrics, recipes และ hotels โดยมีแผนที่จะเพิ่ม slashtag สำหรับหมวดผลลัพธ์ของการค้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
       
       นอกจากนี้ Blekko ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้าง slashtag ของตัวเอง เพื่อสร้างเป็นแหล่งเก็บข้อมูลสำหรับการกลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มในภายหลัง หรืออาจเปิดให้ผู้ใช้อื่นเข้ามาชมผลการสืบค้นได้ จุดนี้ ซีอีโอ Blekko ระบุว่าการเปิดให้เพื่อนฝูง ผู้เชี่ยวชาญ ชุมชน และการตั้งค่า slashtag ด้วยตัวผู้ใช้เอง จะทำให้ผลการค้นหามีคุณภาพเหนือกว่าเสิร์ชเอนจินเจ้าอื่น
       
       นอกจากนี้ ซีอีโอ Blekko ยังทดสอบการค้นหาข้อมูลบัตรเครดิตที่คืนเงิน 2% ในสหรัฐฯ โดยการใช้คำว่า 2 percent cash back credit card เป็นคำค้นหาในกูเกิลและบิง แน่นอนว่า 2 เสิร์ชเอนจินนี้นำไปสู่ข้อมูลขยะจำนวนมาก แต่บน blekko เพียงใช้ /money [คำที่ใช้เสิร์ชคือ cash back credit card /money] เมื่อเลือก slashtag ที่นักเขียนบล็อกด้านการเงิน ผลการสืบค้นที่ได้ก็มีคุณภาพกว่ามาก
       
       ทั้งหมดนี้ Blekko ระบุว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนอิสระจากทั้ง Marc Andreessen และ Ron Conway รวมมูลค่ามากกว่า 24 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 720 ล้านบาท) และใช้เวลาในการซุ่มพัฒนาเป็นเวลา 3 ปี โดย Blekko ยังมีความร่วมมือกับเว็บไซต์สารานุกรมรายใหญ่อย่าง Wikipedia บนความหวังให้การค้นหาข้อมูลเชิงคำถามคำตอบมีความแม่นยำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกูเกิลก็มีแนวคิดเดียวกันและออกให้บริการในชื่อ SearchWiki ช่วงปี 2008 แต่ก็เงียบหายไปและถูกบริการเสิร์ชเรียลไทม์บนเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ขึ้นมาบดบังรัศมีแทน
       
       แน่นอนว่า Blekko ไม่ใช่รายแรกที่หวังจะมาท้าชิงในสังเวียนเสิร์ชเอนจิน โดยปัจจุบัน กูเกิลมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 66% ในสหรัฐฯ ขณะที่บิงมีส่วนแบ่งตลาดรวมกับผู้ใช้ยาฮูรวมกัน 28% ซึ่งไม่ว่าผลการแขงขันจะเป็นเช่นไร แต่ประชาสัมพันธ์กูเกิลให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอีวีค (eWeek) ว่ายินดีร่วมแข่งขันกับ Blekko เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 02:10:36
กูเกิลฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016470901.JPEG)

Google (Google) เปิดฉากฟ้องร้องกระทรวงมหาดไทยสหรัฐฯฐานไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ ระบุ มหาดไทยสหรัฐฯให้ความสนใจแต่ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ ระหว่างการบวนการจัดซื้อระบบงานอีเมลและการทำงานร่วมกันจากระยะไกล (collaboration) แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงมากกว่า 88,000 ราย ทำให้ซอฟต์แวร์กูเกิลแอปส์ (Google Apps) หมดโอกาสในการแข่งขัน
       
       สื่อต่างประเทศระบุว่า สำนวนฟ้องของกูเกิลถูกส่งมอบแก่ศาลสหรัฐฯตั้งแต่วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 53 เนื้อหาคำฟ้องเน้นถึงผลกระทบเรื่องการปิดกั้นการแข่งขันเสรีที่เกิดจากการ กำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อที่ระบุว่าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดผิดกฎหมาย Competition in Contracting Act ที่กำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างในสหรัฐอเมริกาต้องทำบนการประกวดราคาที่ ยุติธรรม
       
       กูเกิลจึงเคลื่อนไหวเพื่อให้ รัฐบาลสหรัฐฯชะลอการจัดซื้อระบบงานที่มีมูลค่ามากกว่า 59.3 ล้านเหรียญสหรัฐจนกว่าจะมีการจัดการอย่างถูกต้องเป็นธรรม โดยกูเกิล ย้ำว่าโปรแกรม Google Apps ซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสารออนไลน์ของกูเกิลสามารถเอาชนะไมโครซอฟท์ในการประกวด ราคาที่เป็นธรรมในเทศบาลลอสเองเจลิส ซึ่งทำให้รัฐฯสามารถประหยัดงบประมาณหลายล้านเหรียญ

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 14:34:45
กูเกิลขายเน็ตบุ๊ก?

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016468901.JPEG)

สำนักข่าวต่างประเทศอ้างแหล่งข่าวไม่ระบุนาม ว่ากูเกิล (Google) จะเริ่มวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการโครมโอเอส (Chrome Operating System) ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ น่าสนใจคือความเชื่อว่ากูเกิลจะรุกตลาดด้วยร้านค้าออนไลน์หรือ Webstore ของกูเกิลเอง ไม่จำหน่ายในร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสาขาทั่วสหรัฐฯอย่างเบสต์บาย ถือ เป็นการหวนคืนวงการธุรกิจฮาร์ดแวร์ที่จะทำให้กูเกิลกลายเป็นหนึ่งในนักชิง ชัยประจำสังเวียนคอมพ์รุ่นเล็กราคาประหยัด ทั้งเน็ตบุ๊กและแท็บเล็ตอย่างไอแพด (iPad) และแอนดรอยด์ (Android)
       
       สำนักข่าวดิจิไทมส์ (Digitimes) รายงานว่าเน็ตบุ๊กโครมโอเอสจะถูกติดแบรนด์Google และวางจำหน่ายผ่านร้านออนไลน์ของกูเกิลลักษณะเดียวกับสมาร์ทโฟนเน็กซัสวัน (Nexus One) ซึ่งกูเกิลถอดใจและยกเลิกสายการผลิตไประยะหนึ่งแล้ว โดย ดิจิไทมส์ระบุว่าเน็ตบุ๊กของกูเกิลจะถูกผลิตโดยบริษัทนามอินเวนเทค (Inventec) มาพร้อมชิปประหยัดพลังงาน ARM จำนวนการจัดส่งงวดแรก 60,000-70,000 เครื่อง
       
       ประชาสัมพันธ์ของกูเกิลปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานของ ดิจิไทมส์ตามคาด โดยระบุว่ารายงานของดิจิไทมส์เป็นเพียงข่าวลือ และกูเกิลไม่มีนโยบายให้ความเห็นบนข่าวลือหรือคำคาดเดา
       
       ระบบปฏิบัติการโครมโอเอส (Chrome OS) คือระบบปฏิบัติการออนไลน์ที่กูเกิลพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานบนคอมพิวเตอร์เน็ต บุ๊ก จุดเด่นคือการเป็นระบบปฏิบัติการที่มีพื้นฐานอยู่บนเว็บเบราเซอร์โครม (chrome) ไม่ได้ถูกติดตั้งในฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์แบบระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าอย่าง วินโดวส์ ของไมโครซอฟท์และแมคอินทอช ของแอปเปิล ทำให้โครมโอเอสสามารถทำงานได้เร็วและไม่กินทรัพยากรมาก ซึ่งกูเกิลเคยให้สัมภาษณ์ว่าตั้งเป้าพัฒนาให้คอมพิวเตอร์โครมโอเอสสามารถ เริ่มทำงานและเปิดเว็บเพจบนโลกออนไลน์ได้ใน 2-3 วินาทีหลังการกดสวิตช์
       
       ข้อมูลจากดิจิไทมส์ตรงกับข้อมูลที่กูเกิลเคยกล่าวถึงเมื่อครั้งเปิด ตัวโครมโอเอส ว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของโครมโอเอสคือคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊ก ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์พกพาตัวเล็กที่เน้นความสามารถในการเล่นอินเทอร์เน็ต โดยมีราคาต่ำกว่า คุณสมบัติน้อยกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทั่วไป
       
       นอกจากเน็ตบุ๊กแบรนด์กูเกิลที่จะวางจำหน่ายเฉพาะร้านออนไลน์ ดิจิไทมส์ย้ำว่าเน็ตบุ๊กโครมโอเอสแบรนด์อื่นจากผู้ผลิตรายหลักอย่างเอเซอร์ และเอชพี (Hewlett-Packard) จะแจ้งเกิดเพื่อเริ่มเปิดตลาดได้ในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเครื่องเหล่านี้จะออกวางขายในร้านค้าปลีกตามปกติ
       
       แน่นอนว่าข่าวลือนี้สร้างความตื่นเต้นให้นักสังเกตการณ์ในโลกไอที เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่ากูเกิลจะพยายามบุกเบิกธุรกิจจำหน่ายเน็ตบุ๊กเอง บนร้านออนไลน์ เพราะแผนดังกล่าวมีลักษณะไม่ต่างจากแผนซึ่งกูเกิลเคยเตรียมไว้ให้เน็กซัสวัน ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ทุกคนรอดูว่ากูเกิลจะใช้ความล้มเหลวในครั้งนั้นเป็นบทเรียนในการเริ่ม ต้นธุรกิจใหม่นี้อย่างไร
       
       เน็กซัสวันเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวที่ติดแบรนด์กูเกิลและวางจำหน่าย ผ่านเว็บไซต์โดยกูเกิล เป็นสมาร์ทโฟนฝีมือการผลิตของเอชทีซี (HTC) ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.1 กูเกิลเริ่มวางจำหน่ายบนเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคมปีที่แล้วในราคา 529 เหรียญสำหรับรุ่น unlock ที่เปิดเสรีให้ผู้ใช้ใช้งานบนเครือข่ายของโอเปอเรเตอร์ใดก็ได้ และ 179 เหรียญสำหรับรุ่น lock ที่กำหนดให้ผู้ใช้ต้องใช้งานเครือข่ายข้อมูลของ T-Mobile เป็นเวลา 2 ปี แต่แล้วเน็กซัสวันก็ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ทำให้กูเกิลถอดใจประกาศปิดร้านในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
       
       จุดนี้ นักวิเคราะห์ยอมรับว่ายังสับสนเพราะไม่แน่ใจว่าแรงดลใจใดทำให้กูเกิลต้องการจำหน่ายเน็ตบุ๊กด้วยตัวเอง เนื่องจากปัจจัยในตลาดเน็ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนเน็กซัสวันมีความแตกต่างกัน โดยก่อนหน้านี้ ชัดเจนว่าเน็กซัสวันนั้นเป็นความตั้งใจของกูเกิลในการลดบทบาทโอเปอเรเตอร์ ที่มีต่อกระบวนการซื้อขายโทรศัพท์ในสหรัฐฯ เพื่อเปิดเสรีให้ผู้บริโภคอเมริกันมีทางเลือกในการใช้งานเครือข่ายข้อมูลกับ โอเปอเรเตอร์รายใดก็ได้ แต่ในกรณีของเน็ตบุ๊ก กูเกิลไม่จำเป็นต้องลดบทบาทโอเปอเรเตอร์เพราะการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ชาวอเมริกันเพียง 6% เท่านั้นที่ซื้อเน็ตบุ๊กกับโอเปอเรเตอร์
       
       จุดเดียวที่กูเกิลจะสร้างความต่างได้หากวางจำหน่ายเน็ตบุ๊กเอง คือความเชื่อมั่นว่ากูเกิลจะให้บริการเทคนิคซับพอร์ตหรือการสนับสนุนด้าน เทคนิคที่ดีกว่า แต่ถึงกระนั้น การจำกัดพื้นที่จำหน่ายเฉพาะโลกออนไลน์ก็ทำให้กูเกิลขาดโอกาสในการเข้าถึง ผู้ใช้กลุ่มใหญ่ ที่ยังให้ความสำคัญกับการได้ทดลองสัมผัสใช้งานก่อนการซื้อจริง ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องรอความแน่ชัดจากกูเกิลต่อไป


ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: yabby ที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 15:36:05
 เฉพาะธุรกิจจำหน่ายซอฟต์แวร์ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ทำกำไรขั้นต้นได้มากที่สุด 3,400 ล้านเหรียญ รองลงมาคือธุรกิจจำหน่ายระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ทำกำไรขั้นต้น 3,300 ล้านเหรียญ


วินโดวส์ หรอ ไม่ได้กินพี่ไทยหรอก ฮ่าๆ  :wanwan002:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: mksuky ที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 16:15:40
ดู ๆ แล้วพี่ goo จะครองโลก it เปล่าเนี่ย


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 12:57:19
โรงแรมสวีเดนใช้มือถือแทนกุญแจ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016469401.JPEG)
ลักษณะการเปิดล็อกประตูด้วยโทรศัพท์มือถือ จะมีลักษณะคล้ายกับการใช้โทรศัพท์แตะที่เครื่องอ่านเพื่อการชำระบริการ

โรงแรม Clarion Hotel ในกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ประเดิมโครงการนำร่องทดลองให้ผู้พักแรมใช้โทรศัพท์มือถือในการเปิดล็อกห้อง พักแทนบัตรกุญแจหรือคีย์การ์ด บนเทคโนโลยีหลักการเดียวกับการชำระค่าบริการด้วยโทรศัพท์มือถือ
       
       ระบบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แทนบัตรกุญแจในโรงแรมนี้เป็นของบริษัท Assa Abloy AB ผู้จำหน่ายระบบล็อกรายใหญ่ระดับโลก โดยตลอดช่วงการทดสอบ 4 เดือน นอกจากจะสามารถเปิดล็อกห้องได้สะดวก ผู้พักแรมยังสามารถลดเวลาการแสดงหลักฐานการเข้าพัก เพราะกระบวนการทำงานหลักนั้นมีเพียงการเปิดการทำงานให้ซิมการ์ดสามารถรองรับ ระบบล็อกของห้องพักเท่านั้น
       
       Assa Abloy AB ระบุว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถขยายระบบดังกล่าวไปสู่โรงแรมแห่งอื่นหรืออาคารบ้านเรือน ในประเด็นความปลอดภัย Assa Abloy AB ย้ำว่าระบบสามารถสั่งปิดการทำงานได้จากระยะไกลในกรณีที่โทรศัพท์ของผู้เข้าพักสูญหาย โดยในกรณีที่ลูกค้าไม่มีซิมการ์ดที่สามารถรองรับระบบดังกล่าว โรงแรมก็จะใช้บัตรกุญแจในการเข้าพักตามปกติ

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 21:43:19
เอสเอพียอมจ่ายออราเคิล 120 ล้านเหรียญ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016469402.JPEG)

ทนายความของเอสเอพี (SAP) ผู้จำหน่ายระบบงานสำหรับองค์กรธุรกิจสัญชาติเยอรมนี ระบุว่าเอสเอพีจะยินยอมจ่ายเงินมูลค่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐแก่บริษัทคู่แข่งอย่างออราเคิล (Oracle) ซึ่งฝ่ายหลังเรียกร้องเป็นค่าดำเนินการทางกฏหมายในคดีละเมิดสิทธิบัตร เทคโนโลยี แต่ยังโต้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ออราเคิลฟ้องว่าเอสเอพีขโมยข้อมูลว่าเป็นการ กระทำที่ผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ โดยขออุทธรณ์ต่อศาลเพื่อลดหย่อนค่าเสียหาย
       
       การฟ้องร้องเอสเอพีของออราเคิลเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปี 2007 โดยออราเคิลระบุว่าเอสเอพี"ขโมยเอกสารสำคัญ"เพราะพนักงานบริษัท TomorrowNow ซึ่งเป็นบริษัทที่เอสเอพีเข้าซื้อเมื่อปี 2005 ได้ลักลอบเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของออราเคิล และได้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ รวมถึงเอกสารสำคัญจนทำให้ลูกค้าของออราเคิลตกอยู่ในความเสี่ยง และทำให้ออราเคิลต้องรับผิดชอบบริษัทของลูกค้าด้วยเงินมหาศาล
       
       จุดนี้เอสเอพีระบุว่า บริษัทไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากซอฟต์แวร์และเอกสารของออราเคิลที่ถูกดาวน์ โหลดมาโดยไม่ตั้งใจ จึงไม่เป็นธรรมหากออราเคิลจะโยนให้เอสเอพีเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายใน ลูกค้าของออราเคิลเพียงผู้เดียว ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าของคดีเพิ่มเติมในขณะนี้

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 12:50:29
Google Instant บน iPhone+Android

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-instant-on-mobile-iphone-android-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (4 พ.ย. 2553) Google ได้ประกาศแนะนำ Google Instant บริการเครื่องมือค้นหาแบบทันใจเวอร์ชันบนมือถือทั้งแพลตฟอร์ม iPhone และ Android พร้อมกัน

"สำหรับ Google Instant บนมือถือ เรากำลังเอาชนะข้อจำกัดทั้งของบราวเซอร์ และเครือข่ายไร้สาย" Steve Kanefsky วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google โพสต์ไว้ในบล็อก "คุณจะรู้สึกได้ถึงความเร็วของการเสิร์ชที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาก งานนี้ต้องขอบคุณเทคโนโลยี HTML5 และ AJAX เวอร์ชันใหม่บนมือถือ ซึ่งอัพเดตหน้าผลลัพธ์ใหม่ได้อย่างไหลลื่น และลดความจำเป็นในการโหลดหน้าเว็บใหม่ในแต่ละครั้งของการสืบค้น" 

Google Instant เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากทางผู้บริหารของ Google ได้ออกมากล่าวว่า มันควรจะได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้งานบนมือถือได้ด้วย โดยจุดเด่นของบริการนี้ก็คือ คุณสมบัติในการแสดงผลลัพธ์ได้โดยอัตโนมัติในขณะที่ผู้ใช้กำลังพิมพ์คำค้น เข้าไปในช่องเสิร์ช "ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพิมพ์คำว่า anse เข้าไป คุณจะเห็นคำค้น ansel adams ตามด้วยการคาดเดาคำอื่นๆ ที่คุณน่าจะพิมพ์" Kanefsky กล่าวเสริม "รายการผลลัพธ์การค้นที่มาจากคำที่ระบบคาดเดาคำแรกจะปรากฎขึ้นโดยอัตโนมัติ และเมื่อผู้ใช้เลือกคำคาดเดาคำต่อไป หรือพิมพ์ตัวอักษรใหม่เข้าไป การทำนายคำเหล่านั้นก็จะถูกแสดงผลลัพธ์ใหม่ให้เห็นทันที"

ในส่วนของการเปิดการใช้บริการ Google Instant บนมือถือ ให้ผู้แตะบนลิงค์ "turn on" บนเว็บไซต์ Google บนมือถือของคุณ ในทางกลับกัน ผู้ใช้สามารถปิดบริการนี้ได้โดยแตะบนปุ่ม "turn off" Kanefsky กล่าวว่า บริการ Google Instant จะทำงานได้ดีบนเครือข่ายไร้สาย 3G และ Wi-Fi โดย Google Instant จะใช้ได้กับสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android 2.2 ขึ้นไป และบน iPhone หรือ iPod Touch ที่ทำงานด้วย iOS 4 แม้ว่าตอนนี้จะเปิดให้บริการในสหรัฐ และเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ทาง Google มีแผนที่จะเพิ่มภาษา และการให้บริการในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: myspace69 ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 12:53:23
Blekko.com อยากใช้ๆ  :'(


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 16:36:27
MacBook Air ไร้ Flash แบตฯนานขึ้น!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/macbook-air-no-adobe-flash-add-more-2-hrs-battery-life-2.jpg)

เป็นที่ทราบกัแแน่ชัดแล้วว่า แอปเปิ้ล (Apple) ได้หยุดการติดตั้ง Adobe Flash ไปพร้อมกับเครือง Mac รุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ Flash เวอร์ชันล่าสุด และอัพเดตความปลอดภัยได้เอง แต่บางทีเหตุผลของการไม่ติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวเข้าไป เพื่อให้สามารถใช้แบตฯได้นานขึ้นอาจจะฟังดูมีน้ำหนักมากกว่า

รายงานจากเว็บไซต์ Ars Technica โดย Chris Foresman ได้ทดลองใช้ MacBook Air รุ่นใหม่ ซึ่งปรากฎว่า สามารถท่องเน็ตด้วยบราวเซอร์ Safari ต่อเนื่องได้นานถึง 6 ชั่วโมงเต็ม แต่หลังจากที่ติดตั้ง Adobe Flash เพื่อใช้งานโดยเข้าไปยังเว็บไซต์เดียวกันกับการทดลองครั้งแรก ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ระยะเวลาใช้งานลดลงเหลือแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น (ไม่ติดตั้ง Flash ใช้ได้นานกว่าถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว)

"โฆษณาที่ใช้ Flash จะทำให้ CPU ต้องทำงานตลอดเวลาโดยไม่จำเป็น" Foresman โพสต์ไว้ในเว็บไซต์ การไม่ติดตั้งปลั๊กอิน Flash เข้าไป เว็บไซต์จะแสดงโฆษณานิ่งๆ แทนที่คอนเท็นต์ที่เป็น Flash ซึ่งลดความจำเป็นในการใช้พลังประมวลผลอย่างต่อเนื่องโดยกลไกการสร้างภาพ เคลื่อนไหวของปลั๊กอิน Flash โดยจากผลการทดสอบ โฆษณาที่ใช้ Flash จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของ MacBook Air มากถึง 33% มันจึงไม่น่าแปลกใจที่ Apple แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนว่าจะไม่ติดตั้ง Flash เข้าไปใน iPad, iPod Touch และ iPhone ซึ่งมีแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่า

นอกจาก Apple แล้ว Microsoft เองก็หยุดการติดตั้ง Adobe Flash ไปพร้อมกับโอเอสตั้งแต่ Windows Vista ในปี 2007 แม้จะเข้าใจได้ไม่ยากถึงเหตุผลที่ทำเช่นนั้น เนื่องจากทางบริษัทก็มีปลั๊กอิน Silverlight ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งกันโดยตรง อย่างไรก็ตาม Windows จะมาพร้อมกับ Flash ที่อยู่ในรูปของ ActiveX Control ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้สามารถคลิกบนตำแหน่งที่แสดง Flash บนหน้าเว็บ เพื่อให้ปลั๊กอิน Flash ติดตั้งตัวมันเองเข้าไปได้ เรียกว่า เพิ่มความลำบากให้กับผู้ใช้นิดหนึ่ง ในขณะที่ผู้ใช้ MacBook Air ที่ต้องการใช้ Flash จะต้องดาวน์โหลด และติดตั้ง Flash จาก Adobe ซึ่งเป็นภาระให้กับผู้ใช้มากกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 20:10:17
จอ AMOLED บางจนดัดโค้งได้มาแล้ว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/flexible-AMOLED-samsung-mobile-display-2.jpg)

เทคโนโลยีจอแสดงผลล้ำหน้าขึ้นทุกวัน หลังจากที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความคมชัด สว่างสดใส และประหยัดพลังงานแล้ว แนวโน้มของการพัฒนาในขั้นต่อไปก็คือ การทำให้จอแสดงผลประเภทนี้มีความบางเท่าๆ กับกระดาษ และมีความยืดหยุ่นจนสามารถดัดโค้งงอได้ ซึ่งผู้นำในตลาดวันนี้คงหนีไม่พ้น Samsung อีกแล้วครับท่าน

Samsung Mobile Display ได้ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาจอแสดงผล AMOLED ที่สามารถดัดโค้งงอได้ โดยมีขนาดใหญ่ถึง 4.5 นิ้วในงาน FPD-International 2010 ซึ่งความละเอียดของจอแสดงผลที่ได้จะเป็น WVGA (800x480 พิกเซล) ไม่เพียงแต่จะสามารถให้ภาพที่คมชัด สว่างสดใส และประหยัดพลังงานเท่านั้น จอ FOLED ยังมีอัตราการตอบสนองที่เร็วกว่าด้วย นั่นหมายความว่า มันสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวที่มีอาการของภาพค้าง (Ghosting effect) ต่ำมากอีกด้วย

Samsung Mobile Display ได้พัฒนาจอแสดงผลโดยไม่ใช้แก้วเป็นตัวหลัก แต่จะใช้พลาสติกชนิดพิเศษที่สามารถแสดงผลที่ความละเอียดสูงได้ ในขณะที่มีความยืดหยุ่นสามารถดัดโค้งงอได้เหมือนกระดาษ ทางบริษัทกล่าวว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัทในการที่จะผลิตจอ AMOLED ที่ดัดโค้งงอได้ในอนาคตอันใกล้นี้ (นอกจากจอ Flexible AMOLED ขนาด 4.5 นิ้ว แล้ว ทางบริษัทยังได้โชว์จอ Super-Amoled ขนาด 7 นิ้วในงานฯเดียวกันนี้อีกด้วย คาดว่า น่าจะถูกนำไปใช้กับ Samsung Galaxy Tab ในเวอร์ชันหน้า)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 22:17:13
เมาส์ 3D มิติใหม่เกมส์+การออกแบบ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Axsotic-3D-Spheric-Mouse-2.jpg)

เมาส์ (Mouse) อุปกรณ์เสริมคู่บารมีคอมพิวเตอร์ Windows และ Mac มานานหลายสิบปี แต่วิวัฒนาการของมันอาจจะไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นมากนัก เนื่องจากจนถึงวันนี้ พวกมันส่วนใหญ่ก็ยังคงทำหน้าที่ควบคุมพอยเตอร์ให้เคลื่อนที่ไปบนหน้าจอด้วย รูปแบบ 2D เท่านั้น อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Axsotic ได้พัฒนาเมาส์สามมิติ (3D Mouse) ที่ให้คุณสามารถท่องโลกเกมส์ หรือการออกแบบได้ง่ายจนน่าอัศจรรย์

Axsotic 3D-Spheric-Mouse เมาส์สามมิติที่มีดีไซน์แปลกไปจากเมาส์ที่คุณคุ้นเคย แต่กลับสามารถใช้ควบคุมภาพวัตถุ 3D บนหน้่าจอได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ใช้มือจับลูกบอลทรงกลมที่อยู่ภายในตัวเมาส์เลื่อนหมุนไปรอบๆ เท่านั้น ตัวเมาส์จะประกอบด้วยแท่นรองที่มีลักษณะโค้ง เพื่อรองรับลูกบอลที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งสามารถใช้มือจับหมุน หรือผลักเข้า และดึงออก ตลอดจนบิดได้อย่างอิสระ โดยเซ็นเซอร์ที่ใช้สปริงที่ทำงานร่วมกับแม่เหล็กจะตีความหมายของการควบคุมใน ลักษณะดังกล่าวในรูปแบบของการทำงานในลักษณะ 3D เช่น การแพน การซูม การหมุน ตามลำดับ สำหรับความแม่นยำในการควบคุมอยู่ที่ 2,170 DPI เลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Axsotic-3D-Spheric-Mouse-3.jpg)

Axsotic 3D-Spheric-Mouse ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้แทนเมาส์ทั่วไป แต่สามารถใช้งานร่วมกับเมาส์แบบเดิม หรือสไตลัสในกรณ๊ที่ทำงานออกแบบได้พร้อมกันอีกด้วย ซึ่งช่วยลดการใช้อีกมือในการกดปุ่มคีย์ลัดเวลาออกแบบวัตถุ 3D ได้มากทีเดียว ในขณะที่การควบคุมแม่นยำกว่าอีกด้วย เมาส์ 3D เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานออกแบบ CAD หรือโมเดล 3D แต่ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ หากนำไปใช้ในการควบคุมกล้องในเกมส์ที่ต้องวางกลยุทธ์ หรือเกมส์จำลองการบิน รวมถึงการท่องไปบน Google Earth

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 14:38:04
Star Wars สงครามกลางเมืองบนไอโฟน

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/Star-Wars-Arcade-Falcon-Gunner-AR-Game-on-iPhone-2.jpg)

Augmented Reality (AR) เทคโนโลยีการซ้อนกราฟิกบนภาพจริงที่กำลังได้รับความนิยม และนำไปประยุกต์ใช้กับแอพพลิเคชันต่างๆ มากมายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ทำหน้าที่เป็นกราฟิกแสดงข้อมูลเพิ่มเติมซ้อนไปบนภาพที่ได้ จากกล้องบนมือถือ แท็บเล็ต ฯลฯ แต่สำหรับเกมส์ Star Wars บน iPhone ที่จะแนะนำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักต่อไปนี้ มันจะเปลี่ยน"เมือง"ให้กลายเป็นสมรภูมิรบ!!!

Star Wars Arcade: Falcon Gunner เกมส์บน iPhone ที่กำลังจะออกในเดือนนี้ รับรองว่า จะทำให้ผู้ที่ได้เล่นสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี Augmented Reality มาใช้กับเกมส์ เพียงแค่ผู้เล่นยก iPhone ขึ้นตรงหน้า แล้วหันไปยังวิวทิวทัศน์ที่ชื่นชอบ คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การรบในสงครามที่ดูเหมือนจริงมากๆ แต่แทนที่จะเป็น การรบในอวกาศ มันกลับเป็นสงครามกลางเมือง (ภาพแบคกราวด์ที่เห็นจะเป็นภาพจากกล้อง) โดยมีฝูงบิน Tie Fighters ทั่วท้องฟ้าที่คุณจะต้องยิงให้ร่วงก่อนที่คุณจะถูกมันยิง...ว้าว!!!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:06:55
ซัมซุงหวังขาย Galaxy Tab ทะลุล้านเครื่องปีนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016601901.JPEG)
Samsung Tab (ซ้าย) และ iPad (ขวา)

ซัมซุง (Samsung) ผู้ผลิตสินค้าเล็กทรอนิกส์แดนกิมจิ ประกาศเป้าหมายว่าตั้งใจจะจำหน่ายแท็บเล็ต Galaxy Tab ในตลาดโลกให้ได้ 1 ล้านเครื่องภายในปีนี้ มั่นใจตลาดแท็บเล็ตร้อนแรงมากในอาเซียนและยุโรป อานิสงส์จากกระแส iPad ของแอปเปิลที่เชี่ยวกรากและสร้างแรงต้องการให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง
       
       J.K. Shin ประธานฝ่ายธุรกิจเคลื่อนที่ของซัมซุง ให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทมีแผนเปิดตลาดเพื่อจำหน่ายแท็บเล็ต Galaxy Tab เต็มตัวปีหน้า ถือเป็นสัญญาณชี้ว่า การแข่งกันกับ iPad ในตลาดที่มีการเติบโตสูงจะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นแน่นอน
       
       "เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากหลายประเทศในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้และยุโรป ผมคาดว่าเราจะสามารถจำหน่ายเครื่องได้มากกว่า 1 ล้านเครื่องทั่วโลกภายในปลายปีนี้" Shin ให้สัมภาษณ์
       
       แท็บเล็ตนั้นเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาที่มีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ท โฟน สามารถทำงานเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องจิ๋วได้ ไม่มีแผงคีย์บอร์ดแต่ผู้ใช้สามารถสัมผัสที่หน้าจอได้โดยตรง สำหรับ Galaxy Tab เป็นแท็บเล็ตที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เล็กกว่า iPad ที่มีขนาด 10 นิ้ว ด้วยขนาดเท่านี้ ซัมซุงระบุว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้ Galaxy Tab สามารถถือจับเครื่องด้วยมือเดียวและสามารถนำใส่กระเป๋าเสื้อนอกของนักธุรกิจ ได้ มีกำหนดการบุกตลาดเกาหลีใต้บ้านเกิดช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ผ่านโอเปอเรเตอร์เบอร์หนึ่งของประเทศคือ SK Telecom ถือเป็นการตัดหน้าการเปิดตัว iPad ในเกาหลีใต้ที่มีคิวจำหน่ายกับโอเปอเรเตอร์เบอร์รองอย่าง KT Corp ในเดือนนี้
       
       Galaxy Tab ใช้ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ Android ของกูเกิล มาพร้อมกล้องหน้าและหลัง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถโทรศัพท์ผ่านวิดีโอหรือ video call และโทรศัพท์ด้วยเสียงธรรมดาได้ ต่างจาก iPad ที่ไม่มีกล้องและไม่สามารถโทรศัพท์ ที่สำคัญคือ ผู้ใช้แท็บเล็ตของซัมซุงจะสามารถเข้าสู่เว็บไซต์ที่สร้างบนเทคโนโลยี Flash ได้ ตรงกันข้ามกับแอปเปิลที่ไม่รองรับ Flash ในทุกอุปกรณ์เคลื่อนที่ตระกูลไอ
       
       ที่ผ่านมา ซัมซุงเริ่มเปิดตัว Galaxy Tab ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างเยอรมนีและสหรัฐฯ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการเปิดตัวตามหลัง iPad ซึ่งเริ่มทำตลาดตั้งแต่เดือนมกราคม ต้นปี และไม่ใช่ซัมซุงรายเดียวที่มองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดแท็บเล็ต เพราะยังมีผู้ผลิตรายอื่นที่ทยอยเปิดตัวแท็บเล็ตแล้วอย่างคึกคักในขณะนี้ ทำให้คาดว่าการซื้อขายแท็บเล็ตในปีหน้าจะมีจำนวนทะลุ 30 ล้านเครื่อง เติบโตจาก 13 ล้านเครื่องในปีนี้
       
       นอกจากแท็บเล็ต ซัมซุงยังถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของแอปเปิลในตลาดสมาร์ทโฟน โดยซัมซุงส่ง Galaxy S มาชนกับ iPhone โดยเฉพาะ จุดนี้ Shin คาดว่าซัมซุงจะจำหน่าย Galaxy S ได้ 20 ล้านเครื่องภายในปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Alexander ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 14:57:49
ข้อมูลดีมาก อ่านจนตาลายเลยครับ ตามเทคโนโลยีไม่ทันจริงๆ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:06:34
ครีเอทีฟส่ง "Ziio" ลงสนามแท็บเล็ต

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016700602.JPEG)

ครีเอทีฟ (Creative) ร่วมลงสนามสงครามแท็บเล็ต ส่ง ZiiO 2 รุ่น ออกสู่ตลาด ชูจุดขายใช้แอนดรอยด์ และเน้นการใช้งานมัลติมีเดีย
       
       "ZiiO" นั้นมาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 2.1, ซีพียู ZiiLabs ZMS-08 HD และชิปการ์ด Creative X-Fi sound ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเล่นไฟล์มัลติมีเดีย มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่น 7 นิ้ว (800 x 480 พิกเซล) มีน้ำหนักเบา 400 กรัม และ 10 นิ้ว (1024 x 600 พิกเซล) มีน้ำหนักเบา 650 กรัม
       
       ในส่วนของการใช้งาน Ziio มาพร้อมกล้องความละเอียด VGA, การเชื่อมต่อไวไฟ 802.11 b/g, Bluetooth 2.1 EDR รองรับการ์ด SD และmicroSD สามารถรองรับและอ่านไฟล์ได้หลากหลายเช่น MP3, AAC, WMA, FLAC, OGG, WAV, MIDI, H.264, MPEG4, WMV9, MOV, AVI, และ MKV นอกจากนี้ครีเอทีฟยังจับเทคโนโลยี X-Fi ที่เคยใช้ในเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ของครีเอทีฟเอง ลงมาใส่ในแท็บเล็ตเครื่องนี้ ซึ่งทำให้เจ้า Ziio เป็นแท็บเล็ตที่ทำออกมาเพื่อรองรับความบันเทิงทั้งดูฟนัง ฟังเพลง โดยแท้จริง
       
        โดย ZiiO จะวางจำหน่ายช่วงต้นปี 2011 ในราคา 249 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 7,500 บาท สำหรับรุ่น 10 นิ้วความจุ 8GB และ 319 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9,500บาท สำหรับ 16GB ในส่วนของรุ่นหน้าจอ 10 นิ้วนั้นราคาเริ่มที่ 319 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9,500 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 16:53:47
"ควีนอลิซเบธ" ทรงสร้างแฟนเพจบนเฟสบุ๊ก

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016715601.JPEG)

ผู้ใช้เฟสบุ๊ก (Facebook) มากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกสามารถรับทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ ที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์ได้อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นาทีนี้ แต่อย่าหวังจะเป็นเพื่อนหรือโต้ตอบกับควีนเมืองผู้ดีโดยตรง เนื่องจากเฟสบุ๊กของควีนถูกแจ้งเกิดในรูปแฟนเพจ ซึ่งเป็นรูปแบบสากลที่หน่วยงานหรือองค์กรบริษัทมักใช้เป็นเครื่องมือในการ สื่อสารกับตลาด
       
       สำนักพระราชวังอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า เฟสบุ๊กของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 จะประกอบด้วยข้อมูลพระราชกรณียกิจของพระองค์เอง และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี่ โดยจะถูกเผยแพร่ทั้งในรูปแบบวิดีโอ ภาพ และข่าวสารบนเฟสบุ๊กตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 53 เป็นต้นไป โดยผู้ใช้เฟสบุ๊กจะสามารถแสดงความเห็นต่อสำนักพระราชวัง และสามารถติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวในวังได้อย่างใกล้ชิด แต่ไม่สามารถส่งคำขอเป็นเพื่อนหรือ friend กับราชินีอังกฤษได้
       
       สำนักพระราชวังระบุว่าควีนอลิซาเบธทรงอนุมัติแผนการสร้างแฟนเพจในเฟสบุ๊กด้วยพระองค์เอง แต่กระบวนการอัปเดตข้อมูลจะยังเป็นของฝ่ายพระราชสำนัก
       
       นี่ถือเป็นการเดินตามสื่อใหม่ครั้งล่าสุดของพระราชสำนักอังกฤษ โดยที่ผ่านมา สำนักพระราชวังบักกิงแฮมได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเว็บไซต์บริการเก็บภาพ Flickr ด้วยชื่อบัญชี The British Monarchy และยังเป็นสมาชิกบริการรับส่งบล้อกสั้น Twitter ด้วยชื่อ @BritishMonarchy ในปี 2009 รวมถึงการตั้งช่องวิดีโอ The Royal Channel ใน YouTube ตั้งแต่ปี 2007 สำหรับความเคลื่อนไหวครั้งนี้เชื่อว่าเป็นที่ถูกใจของประชาชน เนื่องจากล่าสุดมีรายงานว่า ชาวเฟสบุ๊กจำนวนมากกว่า 4,000 คนได้กด "ถูกใจ" หรือ Like ที่เพจเฟสบุ๊กของราชวงศ์อังกฤษแล้ว
       
       สำหรับสำนักราชวังบักกิงแฮมเอง ได้เริ่มต้นให้บริการเว็บไซต์ตั้งแต่ปี 1997 หรือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นช่องทางสำคัญในการเปิดรับสมัครเป็นข้าราชบริพารในขณะนี้ โดยประชาชนสามารถติดตามตำแหน่งการปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้จากบริการแผนที่ ออนไลน์ Google Maps ได้ด้วย ยังมีบันทึกพระราชกรณียกิจที่ผ่านมา และหมายกำหนดการพระราชพิธีต่างๆ ในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 18:56:31
เคสแปลง iPad ให้กลายเป็น netbook

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/crux-360-case-turn-ipad-to-netbook-notebook-2.jpg)

กระแสไอแพด (iPad) ยังคงแรงต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมันก็ปลุกตลาดให้แท็บเล็ต (tablet) ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ส่วนเน็ตบุ๊ค (netbook) โดนเบียดเสียจนแทบจะไม่มีที่ยืนในตลาด อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ไอแพดบางรายแอบคิดถึงเน็ตบุ๊คอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะให้มีทั้งสองอย่างก็คงไม่ใช่ที่ บางทีสิ่งที่คุณต้องการก็คือ Crux360 เคสที่สามารถเปลี่ยนไอแพดให้กลายเป็นเน็ตบุ๊คได้ภายในพริบตา

Crux360 ไม่ได้เป็นแค่ซองแข็งใส่ iPad ทีมากับคีย์บอร์ดเท่านั้น แต่มันยังปกป้อง iPad ของคุณให้ปลอดภัยด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงราวกับเน็ตบุ๊ค หรือโน้ตบุ๊คเลยทีเดียว สำหรับการใช้งานจะมีอยู่ 3 โหมดด้วยกัน โดยในโหมด laptop คีย์บอร์ดจะทำงานร่วมกับ iPad ผ่านทางการเชื่อมต่อไร้สายด้วยบลูทูธ (Bluetooth) ส่วนโหมด Movie สามารถพับคีย์บอร์ดไปด้านหลัง เพื่อใช้เป็นฐานรอง iPad ได้ และโหมด Tablet ผู้ใช้จะสามารถพับคีย์บอร์ดไปด้านหลังได้ เรียกว่า คุณสามารถใช้ Crux360 ในการใช้ iPad ได้ตลอดเวลา และทุกรูปแบบการใช้งาน Crux360 เปิดจองแล้ว โดยจะสามารถเริ่มส่งสินค้าที่สั่งจองให้กับผู้ซื้อได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม สนนราคาอยู่ที่ 150 เหรียญฯ หรือประมาณ 4,500 บาท

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 13:11:47
เปิดชิมลางเบราว์เซอร์ใหม่ "RockMelt"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016752301.JPEG)
ลักษณะการแสดงสัญลักษณ์ (ไอคอน) ของเพื่อนและบริการเครือข่ายสังคมต่างๆ ไว้ที่แถบเครื่องมือด้านซ้ายของหน้าจอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เรียกดูข้อมูลจากเครือข่ายสังคมได้ในไม่กี่คลิ กของ RockMelt โปรแกรมท่องเว็บน้องใหม่ล่าสุด

โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์น้องใหม่ล่าสุด "RockMelt" เปิดให้ผู้ใช้บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังจำกัดวงเฉพาะผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์และแมคอินทอช รอเวลาพิสูจน์ตัวว่าสามารถเป็น "Facebook browser" หรือเบราว์เซอร์ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเล่นเครือข่ายสังคมโดย เฉพาะ
       
       RockMelt เป็นผลงานล่าสุดของ Marc Andreessen หัวหน้าทีมสร้างเบราว์เซอร์ชื่อดังในอดีตอย่าง Netscape เหตุที่ RockMelt ได้ชื่อเล่นว่าเป็น Facebook browser คือ Facebook เป็นบริการเครือข่ายสังคมเดียวในขณะนี้ที่สามารถฝังตัวใน RockMelt ได้ดีที่สุด ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้เครือข่ายสังคมได้ทันทีเมื่อเปิดโปรแกรม และรองรับพฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคมได้รวดเร็วขึ้น โดยแผนการในอนาคตคือการปรับปรุงเพื่อให้สามารถรองรับบริการเครือข่ายสังคมอื่นต่อไป
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016752303.JPEG)
แถบเมนูด้านบนสุดของ RockMelt มีปุ่มแบ่งปันข้อมูล (Share) เพื่อความสะดวกในการแบ่งปันข้อมูล

       ผู้สนใจทดสอบจะต้องลงทะเบียนกับ Rockmelt เพื่อรับลิงก์ดาวน์โหลดโปรแกรม เบื้องต้นยังไม่มีรายงานว่าการทดสอบเบราว์เซอร์ RockMelt จะสิ้นสุดเมื่อใด แต่คาดว่าการให้บริการจริงจะเริ่มขึ้นในปี 2011 บนกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ใช้เฟสบุ๊กจำนวนมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก ที่มีโอกาสสูงมากในการเปลี่ยนใจหันมาใช้เบราว์เซอร์น้องใหม่นี้ในอนาคต
       
       ความสามารถสำคัญของ RockMelt คือการเชื่อมต่อกับบริการเครือข่ายสังคมเช่น Twitter และ RSS โดยหลังการลงชื่อใช้งาน Facebook Connect ผู้ใช้เบราว์เซอร์ RockMelt จะเห็นสัญลักษณ์ (ไอคอน) ของเพื่อนและบริการเครือข่ายสังคมต่างๆ ไว้ที่แถบเครื่องมือด้านซ้ายของหน้าจอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เรียกดูข้อมูลจากเครือข่ายสังคมได้ในไม่กี่คลิ ก ขณะที่ด้านขวาของจอจะปรากฏรายการชื่อเครือข่ายสังคมต่างค่าย นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาข้อมูลในเครือข่ายสังคมได้เร็วขึ้น มีปุ่มแบ่งปันข้อมูลไว้ที่ด้านบนของแถบเครื่องมือ แถมยังมีความสามารถในการทำงานหลายหน้าต่างพร้อมกันด้วย
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016752304.JPEG)
แถบด้านขวามือจะมีไอคอนเข้าสู่เครือข่ายสังคมต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน

       Facebook Connect คือเครื่องมือที่เฟสบุ๊กเปิดกว้างให้บริษัทรายอื่นนำไปใช้เพื่อผูกบริการ เข้ากับชื่อบัญชีผู้ใช้เฟสบุ๊ก เช่น เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ สามารถเปิดให้ผู้ใช้ที่เล่นเฟสบุ๊กในขณะนั้นสามารถลงชื่อใช้งานหรือ login เข้ามาซื้อสินค้าในเว็บไซต์ได้โดยใช้บัญชีเฟสบุ๊กเป็นตัวเชื่อมต่อ ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้า กรณีของ Rockmelt การลงชื่อใน Facebook Connect จะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊กได้บนเบราว์เซอร์ตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้นักสังเกตการณ์มองว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามหลังความสะดวกทั้งมวล ก็คือการสร้างรายได้โฆษณามหาศาลให้บริการเครือข่ายสังคมในอนาคต
       
       รายงานระบุว่าผู้สร้าง RockMelt ประกอบด้วยทีมงาน 30 คน ทำการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง 2 ปีบนเงินทุนกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐจากกลุ่มทุน Andreessen Horowitz รวมถึงนักลงทุนอิสระอย่าง Josh Kopelman แห่ง First Round Capital รวมถึงนักลงทุนชื่อก้องอย่าง Ron Conway

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 15:50:27
เตือนภัย "ใช้โน้ตบุ๊กบนตัก" ทำอสุจิด้อยคุณภาพ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016761101.JPEG)

ผลการศึกษาล่าสุดพบว่า ชายที่ชอบใช้งานคอมพิวเตอร์พกพา (แล็ปท็อป) บนหน้าตักมีความเสี่ยงทำให้อสุจิของชายผู้นั้นด้อยคุณภาพลง ผลจากอุณหภูมิเครื่องคอมพ์ที่เป็นอันตรายต่อกระบวนการเก็บรักษาและผลิตอสุจิ ในถุงอัณฑะ โดยพบว่าแผ่นรองโน้ตบุ๊กที่ถูกโฆษณาว่าสามารถลดความร้อนในเครื่องก็ไม่ช่วย ให้ความเสี่ยงลดลง
       
       ดร.เยลิม เชนกิน (Yelim Sheynkin) ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก วิทยาเขตสโตนนีบรูก สรุปความในวารสาร Fertility and Sterility ว่าชายทั่วโลกหลาย ล้านคนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปในขณะนี้กำลังมีปัญหามีบุตรยาก เนื่องจากการใช้งานแล็ปท็อปเพียง 10-15 นาที ก็จะทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะของชายสูงขึ้นเกินระดับความปลอดภัย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
       
       ดร.เชนกินสรุปผลการศึกษานี้โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิถุงอัณฑะ ของกลุ่มตัวอย่างชาย 29 คน ซึ่งแม้จะมีแผ่นรองเครื่องวางคั่นกลางระหว่างเครื่องและหน้าตัก ก็ยังพบว่ามีอุณหภูมิสูงขึ้นเกินระดับความปลอดภัยหลังจากใช้งานเพียง 10-15 นาที
       
       ดร.เชนกินให้ข้อมูลว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียง 2 องศาฟาเรนไฮต์ก็มีความเสี่ยงสร้างอันตรายกับอสุจิ โดยการศึกษาพบว่าการใช้งานแล็ปท็อปบนตักเป็นเวลา 1 ชั่วโมงจะทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะเพิ่มขึ้นถึง 5 องศาฟาเรนไฮต์
       
       ความเสี่ยงจากการใช้งานคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปบนตักต่ออสุจิในชายนั้น เคยเป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อปี 2547 ครั้งนั้นดร.เชนกินพบว่ามีผลทำให้ปริมาณอสุจิลดลง ก่อนจะมาพบว่า แผ่นรองคอมพิวเตอร์ก็ไม่ช่วยลดความเสี่ยงในการศึกษาครั้งล่าสุด
       
       ดร.เชนกินย้ำว่าการสวมกางเกงรัดแน่นไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพ อสุจิ เพราะผู้สวมมีการเคลื่อนไหว แต่การนั่งใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปบนตัก ขาของผู้ใช้จะนิ่งเฉยและปิดเข้าหากัน การนั่งในท่านี้นาน 1 ชั่วโมง ถุงอัณฑะจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งการใช้แผ่นรองเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแยกขาออกจากกันได้มากขึ้น ก็ไม่ทำให้อุณหภูมิลดลง
       
       เมื่อแผ่นรองแล็ปท็อปไม่สามารถลดความเสี่ยง ดร.เชนกินจึงแนะนำให้ชายทุกคนใช้งานคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปบนโต๊ะ จึงจะปลอดภัยที่สุด
       
       ปัจจุบัน คู่สมรสในสหรัฐฯราว 1 ใน 6 คู่กำลังประสบปัญหามีบุตรยาก โดยครึ่งหนึ่งเกิดจากฝ่ายชายเป็นหมัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานว่า หญิงที่ใช้งานแล็ปท็อปบนตักจะมีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุณหภูมิไม่เป็นปัจจัยอันตรายต่อการเจริญพันธุ์ในเพศหญิง

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤศจิกายน 2010, 18:51:13
ญี่ปุ่นผุดมือถือ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นตา

(http://www.arip.co.th/images/news/mobile/1/galapagos-3D-smartphone-softbank-in-japan-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด ซอฟต์แบงค์ (Softbank) บริษัทในญี่ปุ่นประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่สำหรับลูกค้าในประเทศ ซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอพิเศษสามารถแสดงภาพ 3D ได้ โดยผู้ใช้ไม่ต้องสวมแว่นตา 3D แต่อย่างใด? ว่าแต่...คุณผู้อ่านรู้สึกสนใจสมาร์ทโฟน 3D กันบ้าง หรือเปล่าครับ?

Galapagos 003SH และ 005SH สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับคีย์บอรด์ QWERTY สมบูรณ์แบบสามารถเลื่อนออกมาใช้พิมพ์ได้อย่างคล่องมือ หน้าจอ LCD 3.8 นิ้ว สามารถแสดงผล 3D ได้ตั้งแต่ ภาพถ่าย (มีฟังก์ชันแปลงภาพ 2D เป็น 3D) เกมส์ และภาพยนต์ ซึ่งสามารถรับชมได้ด้วยตาเปล่า ระบบปฏิบัติการที่ใช้เป็น Android 2.2 สนับสนุนการใช้ Flash 10.1 กล้องที่มากับมือถือความละเอียดสูงถึง 9.6 ล้านพิกเซล แถมยังมีคุณสมบัติ e-Wallet (กระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์) มี 3 สีให้เลือกด้วยกันได้แก่ ขาว ดำ และแดง วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเดือนธันวาคมศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/mobile/1/galapagos-3D-smartphone-softbank-in-japan-3.jpg)

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 13:12:41
คาดมือถือ "Windows Phone 7" โกยยอดขายวันแรก 4 หมื่นเครื่อง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016820005.JPEG)
HTC HD7 สมาร์ทโฟน Windows Phone 7 ตัวแรกที่คาดว่าจะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเร็ววันนี้

ลุ้นกันตัวโก่งสำหรับการเปิดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ ล่าสุดสำหรับสมาร์ทโฟนของไมโครซอฟท์ Windows Phone 7 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนตามเวลาในสหรัฐฯ ล่าสุดมีรายงานจากบริษัทวิจัยตลาดอเมริกันว่า ยอดจำหน่ายวันแรกในร้าน AT&T และ T-Mobile นั้นทะลุหลัก 40,000 เครื่องในวันเดียว ท่ามกลางงบประมาณโฆษณาที่ไมโครซอฟท์ทุ่มทุนไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
       
       ตัวเลข 40,000 เครื่องนี้มาจากบริษัท Cote Collaborative ซึ่งทำการติดตามยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนวินโดวส์เซเวนเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมระบุว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้รวมเครื่องที่มีข่าวว่าไมโครซอฟท์แจกฟรี ให้พนักงานทั้ง 89,000 คน
       
       เช่นเคย ไมโครซอฟท์ไม่ออกมาตอบรับหรือปฏิเสธผลการสำรวจที่เกิดขึ้น โดยจากการสอบถามประชาสัมพันธ์ T-Mobile ก็ได้รับการปฏิเสธในการให้ข้อมูลยอดจำหน่ายเช่นกัน แต่ยืนยันว่าสมาร์ทโฟนวินโดวส์โฟนเซเวนได้รับความสนใจจากลูกค้าทีโมบายล์ อย่างมาก
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016820001.JPEG)
บรรยากาศร้าน T-Mobile ในสหรัฐฯที่เริ่มวางจำหน่ายสมาร์ทโฟน Windows Phone 7

       อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 40,000 เครื่องนั้นดูเหมือนจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการคู่ แข่งอย่าง Android ซึ่งกูเกิลเคยออกมาระบุว่า สามารถจำหน่ายสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จำนวนมากกว่า 200,000 เครื่องในวันเดียว ขณะที่แอปเปิลเคยประกาศชัยว่า iPhone นั้นมียอดจำหน่าย 270,000 ในวันแรกของการวางจำหน่าย
       
       จุดนี้ Michael Cote นักวิเคราะห์ของบริษัทวิจัย Cote Collaborative ชี้ว่าไมโครซอฟท์เลือกวันประเดิมจำหน่ายสมาร์ทโฟนผิดพลาด เนื่องจากวันศุกร์-เสาร์คือวันเปิดวางจำหน่ายที่ดีที่สุด ไม่ใช่วันจันทร์
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016820003.JPEG)
ดาราสาวและหนุ่มจาก MTV มาร่วมประชาสัมพันธ์สมาร์ทโฟน Windows Phone 7

       ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Nielsen นาม Roger Entner ตั้งข้อสังเกตว่าความนิยมในวันแรกของการวางจำหน่ายไม่ใช่สิ่งตัดสินความ สำเร็จของผลิตภัณฑ์ โดยยกตัวอย่างสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรกที่วางจำหน่ายในร้านทีโมบายล์ก็ยัง ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ตรงกันข้ามกับวันนี้ที่แอนดรอยด์มาแรงอย่างฉุดไม่อยู่
       
       นักวิเคราะห์นีลสันเชื่อว่า ช่วงเวลาตัดสินอนาคตสมาร์ทโฟนวินโดวส์เซเวนคือช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี โดยคาดว่าไมโครซอฟท์อาจลงมาเล่นสงครามราคาเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด
       
       มูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ดีดตัวรับกระแสสินค้าใหม่โดยเพิ่มขึ้น 21 เซนต์เป็น 27.02 เมื่อวันอังคารตามเวลาสหรัฐฯ


ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 16:59:37
จีนขายอีบุ๊ก "e-ink" หน้าจอสีปีหน้า

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016856901.JPEG)
เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หน้าจอ E Ink Triton

บริษัทฮันวันเทคโนโลยี (Hanvon Technology) ของจีนแถลงกลางงานเทรดโชว์ FPD International 2010 ที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ว่ามีแผนเริ่มวางจำหน่ายเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊กที่ใช้ หน้าจอเทคโนโลยี e-ink แบบสีในปี 2011 แม้จะถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ แต่หน้าจอ e-ink สีก็ยังขาดความสามารถสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
       
       หน้าจอเทคโนโลยี e-ink แบบสีมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า E Ink Triton โดย บริษัทอีอิงค์โฮลดิงส์ (E Ink Holdings) เจ้าของเทคโนโลยี e-ink ไม่ระบุจำนวนสีที่สามารถแสดงผลบน E Ink Triton ที่ชัดเจน แต่ระบุเพียงว่าสามารถแสดงสีได้นับพันสี ความเร็วในการเปลี่ยนการแสดงผลหน้าจอเหนือกว่ารุ่นเดิม 20% ที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้จะสามารถใช้งานต่อเนื่องนานที่สุด 1 เดือนต่อการชาร์จพลังงานหนึ่งครั้ง
       
       ด้านฮันวันฯ บริษัทสัญชาติจีนระบุว่าอุปกรณ์ e-ink หน้าจอสีของบริษัทจะมาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนขนาด 9.68 นิ้ว มีเทคโนโลยีไว-ไฟ (Wi-Fi) และ 3G เพื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย คาดว่าจะวางจำหน่ายในราคา 440 เหรียญสหรัฐ (ราว 13,000 บาท) ในประเทศจีนช่วงเดือนมีนาคม คิดเป็นราคาที่ต่ำกว่าไอแพ็ด (iPad) รุ่นต่ำสุด (รองรับไว-ไฟเท่านั้น) ในประเทศจีนถึง 150 เหรียญ
       
       e-ink เป็นหน้าจอที่ใช้หมึกอิเล็กทรอนิกส์ในการแสดงผล อุปกรณ์อีรีดเดอร์ชื่อดังทั้งคินเดิล (Kindle) ของอเมซอน, นุ๊ก (Nook) ของบาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes & Nobles), อีรีดเดอร์ (eReader) ของโซนี และอื่นๆต่างเลือกใช้หน้าจอเทคโนโลยี e-ink เพราะความสามารถในการประหยัดพลังงาน เนื่องจากหน้าจอ e-ink จะต้องการกระแสไฟเลี้ยงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหน้าจอเท่านั้น ต่างจากจอ LCD ใน iPad ของแอปเปิล และในแท็บเล็ตอื่นๆที่ต้องการไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเครื่องตลอดเวลา ทำให้เครื่องอ่านที่ใช้จอ e-ink ในขณะนี้มีสัดส่วนถึง 90% ในตลาดโลก
       
       e-ink ในอดีตสามารถแสดงผลเฉพาะสีขาวดำ การเพิ่มการแสดงผลเป็นสีจึงถูกมองเป็นก้าวที่สำคัญของเทคโนโลยี e-ink อย่างไรก็ตาม การแสดงสีสันบน e-ink ใหม่ยังถูกวิจารณ์ว่าไม่สมบูรณ์นักเมื่อเทียบกับสีสันสดใสใจจอแอลซีดี และยังไม่สามารถแสดงผลภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอสีได้ ทั้งหมดนี้ทำให้อเมซอนและโซนียังไม่สนใจใช้จอสี e-ink ใหม่ โดยส่วนใหญ่ยืนยันว่าจะรอให้มีการพัฒนาที่สมบูรณ์กว่านี้
       
       แม้ฮันวันฯจะไม่โด่งดังในตลาดโลก แต่ฮันวันฯเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊กในประเทศจีนถึง 78% ทั้งหมดนี้ ฮันวันฯระบุว่ามีความหวังเต็มที่ในการประเดิมทำตลาดเครื่องอ่านรุ่นนี้ใน สหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: mksuky ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 17:13:36
ญี่ปุ่นผุดมือถือ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นตา

พี่ยุ่นสุดยอด


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 พฤศจิกายน 2010, 20:53:41
Google เพิ่ม "พรีวิว" หน้าเว็บผลลัพธ์

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-instant-previews-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด Google ประกาศเปิดตัว Instant Previews เครื่องมือใหม่ของบริการเสิร์ชเอ็นจิ้น โดยช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นหน้าเว็บคร่าวๆ จากลิงค์ต่างๆ ที่ปรากฎในหน้าผลลัพธ์การค้น (Search Result page) ได้ทันที ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเลือกที่จะคลิกลิงค์ต่างๆ ได้ง่ายดาย รวดเร็ว และถูกต้องยิ่งขึ้น

ข้อความใน blog ระบุ ว่า Google Instant Previews จะสามารถแสดงภาพกราฟิกคร่าวๆ ของหน้าเว็บบนลิงค์ต่างๆ ทีปรากฎในหน้าผลลัพธ์การค้น พร้อมทั้งไฮไลท์ส่วนที่เกียวข้องกับคำค้น โดยจะแสดงหน้าพรีวิวขึ้นมาทางขวาบนหน้าเว็บผลลัพธ์ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถมองเห็นหน้าเว็บคร่าวๆ ได้อย่างง่ายดาย ลักษณะจะคล้ายๆ กับการพลิกหน้านิตยสาร เพื่อค้นหาบทความที่ต้องการอ่านยังไงยังงั้น (แต่อันนี้จะเป็นการดูหน้าเว็บคร่าวๆ จากลิงค์ผลลัพธ์การค้น)

ในการเปิดหน้าพรีวิวของเว็บมีสองวิธีด้วยกัน โดยวิธีแรก ผู้ใช้จะต้องคลิกบนไอคอน"แว่นขยาย"ขนาดเล็กที่อยู่ถัดจากลิงค์ผลลัพธ์ เมื่อคลิกบนไอคอนดังกล่าว ภาพหน้าเว็บโดยคร่าวๆ ก็จะปรากฎขึ้นมาทางด้านขวา ซึ่งผู้ใช้สามารถเลื่อนพอยน์เตอร์ของเมาส์ไปบนลิงค์ต่างๆ ในหน้าผลลัพธ์ เพื่อดูพรีวิวหน้าเว็บได้ทันที โดยไม่ต้องคลิกไอคอนดังกล่าวอีกครั้ง ส่วนอีกวิธีหนึ่งจะเป็นการใช้คีย์บอร์ด ผู้ใช้สามารถกดปุ่มลูกศรขึ้นลงในการเลือกลิงค์ผลลัพธ์ที่ต้องการ จากนั้นกดปุ่ม"ลูกศรชี้ไปทางขวา" เพื่อเปิดหน้า"พรีวิว" (กดปุ่มลูกศรชี้ไปทางซ้ายเพื่อปิดหน้าพรีวิว) นับว่าเป็นคุณสมบัติการใช้งานที่สะดวกมาทีเดียว

Google กล่าวว่า Instant Previews เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และเร็วกว่าเดิม แถมยังทำให้ผู้ใช้ใช้เวลากับหน้าเว็บของ Google นานขึ้นอีกด้วย สำหรับการให้บริการ Google Instant Previews กับทุกภาษาจะเรียบร้อยภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คุณผู้อ่านที่สนใจสามารถทดลองใช้ได้โดยคลิกเข้าไปที่ Google Instant Previews (http://www.google.com/landing/instantpreviews/)

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 04:46:19
เชื่อแท็บเล็ตบีบี BlackBerry Playbook ราคาไม่ถึง 500 เหรียญ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016871501.JPEG)
Mike Lazaridis อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งริมกับ Playbook

ริม (Research In Motion) ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนบีบีหรือ BlackBerry แย้มแผนจำหน่ายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเครื่องแรกของบริษัท ระบุว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ในราคาไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐหรือไม่เกิน 15,000 บาท ถือเป็นข้อมูลแสนอัศจรรย์ใจที่มองผาดเดียวก็รู้ว่าเป็นความพยายามในการ ต่อสู้กับเจ้าตลาดอย่าง iPad ของแอปเปิล
       
       Jim Balsillie ประธานบริหารร่วมของริมให้สัมภาษณ์ในกรุงโซล เกาหลีใต้ ในวันพุธที่ 10 พ.ย. 53 เพียงว่าแท็บเล็ตของริม BlackBerry Playbook จะมาพร้อมราคาที่สามารถแข่งขันได้ดี โดยริมจะจำหน่าย Playbook ผ่านร้านค้าปลีกในสหรัฐฯเช่น Target Corp. และ Best Buy Co. ควบคู่ไปกับการจำหน่ายผ่านโอเปอเรเตอร์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดตลาดเต็มตัวได้ในปี 2011
       
       คำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารริมทำให้สื่อต่างประเทศเชื่อว่า แท็บเล็ตของริมจะมีราคาไม่เกินคู่แข่งอย่าง iPad ซึ่งแอปเปิลเริ่มจำหน่ายในราคาต่ำสุด 499 เหรียญ (รุ่น Wi-Fi 16GB) เท่ากับราคา Playbook มีโอกาสสูงมากที่จะมีมูลค่าต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐ
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016871502.JPEG)
Playbook หน้าจอ 7 นิ้ว

       สถิติไตรมาส 3 ของปี 2011 ที่ผ่านมาพบว่า iPad ครองสัดส่วนตลาดโลกถึง 95% โดยตลาดแท็บเล็ตโลกนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้น 26% มาเป็น 4.4 ล้านเครื่อง ซึ่ง iPad สามารถจำหน่ายได้ 4.19 ล้านเครื่องในช่วงเวลาดังกล่าว ตัวเลขนี้ทำให้ผู้ผลิตทั้ง RIM, Hewlett-Packard Co., Samsung Electronics Co. และ Motorola Inc. พยายามหาทางดึงส่วนแบ่งตลาดมาครองบ้าง กลายเป็นการให้กำเนิดกองทัพแท็บเล็ตที่คาดว่าจะโจมตีผู้บริโภคอย่างจริงจัง ในช่วงปีหน้า
       
       ผู้บริหารริมย้ำว่า นอกจากสหรัฐอเมริกา ริมจะวางจำหน่าย BlackBerry Playbook ในพื้นที่หลายประเทศช่วงไตรมาสที่สองของปี 2011
       
       PlayBook ถูกเปิดตัวครั้งแรกบนเวทีงานประชุมนักพัฒนาประจำปี DevCon 2010 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นสินค้าตัวแรกของริมที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน แต่เป็นคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนที่มีจุดประสงค์เพื่อ ให้ผู้ใช้ทำงานมากกว่าความบันเทิง จุดประสงค์หลักคือการตอบโจทย์กลุ่มนักธุรกิจที่เป็นผู้ใช้บีบีอยู่แล้วให้ สามารถใช้งานได้รอบด้าน จุดเด่นของ BlackBerry PlayBook ที่แท็บเล็ตยี่ห้ออื่นไม่มีคือระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จากบริษัท QNX ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนอย่างแบล็กเบอรี่โอเอส หรือแอนดรอยด์ทั่วไป โดยริมให้ชื่อเรียกระบบปฏิบัติการนี้ว่า BlackBerry Tablet OS หน้าจอเครื่องขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 1024x600 พิกเซล ด้านหน้าติดกล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซล ด้านหลังติดกล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล ตัวเครื่องหนา 9.7 มม.
       
       ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า BlackBerry PlayBookมีหน่วยประมวลผล (ซีพียู) ดูอัลคอร์ Cortex-A9 1GHz ทำให้สามารถประมวลผลงานหลายงานได้พร้อมกัน หน่วยความจำสำรอง RAM 1GB รองรับเครือข่ายไร้สาย 802.11 a/b/g/n Wi-Fi และบลูทูธ 2.1 สามารถแสดงผลเว็บไซต์มาตรฐาน HTML5 และวิดีโอโปรแกรม Flash ได้ รวมถึงการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเต็มขั้น HD 1080p แต่ในส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล ยังไม่แน่ชัดว่าหน่วยความจำภายในของ BlackBerry PlayBook เป็นเท่าใด ซึ่งข้อมูลรุ่นต้นแบบที่ถูกเปิดเผยในงานนั้นมีให้เลือกทั้ง 16GB และ 32GB
       
       สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในธุรกิจสมาร์ทโฟนของริมในขณะนี้ คือการประกาศลดราคา BlackBerry Torch ในสหรัฐฯลงเหลือ 99.99 เหรียญ (สำหรับผู้ซื้อพร้อมสัญญาใช้งานต่อเนื่อง 2 ปีกับ AT&T) จากราคาเดิม 199.99 เหรียญที่ตั้งไว้ในช่วงวันที่ 12 สิงหาคม 53 ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างดุเดือด

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 13:26:11
รัฐบาลมะกันป้องชาวเฟสบุ๊ก ห้ามไล่พนง.เพราะโพสต์ด่า

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016887001.JPEG)

ชาวเฟซบุ๊กมนุษย์เงินเดือนในสหรัฐฯใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะล่าสุดหน่วยงานราชการสหรัฐฯ ประกาศว่า การไล่ออกพนักงานซึ่งวิจารณ์หัวหน้างานบนเครือข่ายสังคมนั้นเป็นเรื่องผิด กฏหมายคุ้มครองแรงงานอเมริกัน
       
       คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติสหรัฐฯ (National Labor Relations Board) ระบุว่ากรณี ที่บริษัทในรัฐคอนเนตทีคัต ตัดสินโทษไล่ออกแก่อดีตพนักงานนามดาวน์แมรี ซูซา (Dawnmarie Souza) ซึ่งระบายความคับแค้นใจในการทำงานบนเฟซบุ๊กนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยย้ำว่าการวิจารณ์หัวหน้างานบนเฟซบุ๊กของนั้นเป็นไปตามสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวอเมริกัน ดังนั้นการที่บริษัทจะถือเอาการวิจารณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นเหตุผลในการเลิก จ้างพนักงาน จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
       
       กรณีของซูซา รายงานระบุว่าเธอเคยทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคการแพทย์ฉุกเฉิน โดยหัวหน้างานของซูซาต้องการให้เธอเขียนรายงานเรื่องคำต่อว่าจากลูกค้าต่อ กระบวนการทำงานของเธอ ปรากฏว่าซูซาปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีความผิด จึงระบายออกบนเฟซบุ๊กโดยโพสต์ข้อความกระทบกระเทียบหัวหน้างานว่าเป็นผู้ป่วย จิตเวช โดยผู้ร่วมงานของเธอหลายคนร่วมตอบความเห็น ซึ่งบางส่วนปรากฏถ้อยคำหยาบคาย โดยการโพสต์ทั้งหมดทำผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้านของซูซาเอง
       
       อดีตหัวหน้างานของซูซาไม่ได้ระบุว่าเธอถูกไล่ออกเพราะคำวิจารณ์บนเฟซบุ๊ก แต่เพราะความบกพร่องในประสิทธิภาพในฐานะสมาชิกกลุ่ม
       
       แน่นอนว่าสาวอเมริกันรายนี้ไม่ใช้พนักงานคนแรกที่ถูกไล่ออกจากบริษัท เพราะการโพสต์ข้อความวิจารณ์เจ้านายในเครือข่ายสังคม แต่เธอคือคนแรกที่ได้รับการปกป้อง ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในยุคดิจิตอลที่บริษัทส่วนใหญ่เน้นหนัก เรื่องการควบคุมเสียงวิจารณ์ในเครือข่ายสังคม
       
       "หากพนักงานเสียความรู้สึกกับหัวหน้างาน และร่วมกันใช้เวลาส่วนตัววิจารณ์ พูดถึง หรือเรียกชื่อหัวหน้างานรายนั้น เป็นเรื่องที่สามารถทำได้" โจนาธาน ไครสเบิร์ก (Jonathan Kreisberg) ประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อเมริกันให้สัมภาษณ์9jvนิวยอร์กไทมส์ โดยระบุว่าการที่องค์กรออกนโยบายควบคุมการแสดงออกบนอินเทอร์เน็ตนั้นเป็น สิ่งที่ล้ำเส้น และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายแรงงานสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้แรงงานมีสิทธิแสดงออกในสิ่งที่ต้องการ
       
       แม้หน่วยงานรักษาสิทธิแรงงานอเมริกันจะชี้ช่องว่าพนักงานสหรัฐฯมี สิทธิ์แสดงความเห็นในเครือข่ายสังคมได้ตามชอบ แต่ไม่ได้แปลว่านับจากนี้มนุษย์เงินเดือนจะสามารถใส่ไฟหัวหน้างานได้เต็มที่ เนื่องจากบริษัทยังสามารถเอาผิดพนักงานตามกฎหมายแรงงานสหรัฐฯ ที่เน้นให้ความสำคัญต่อเจตนาในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งยังเป็นเส้นด้ายบางเบาที่ทำให้การโพสต์ข้อความวิจารณ์เป็นความผิดได้
       
       ที่ผ่านมา เครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กนั้นเป็นโลกแห่งการสื่อสารที่อุดมไปด้วยเรื่อง ส่วนตัว นินทา และข่าวสารหลากรส จุดนี้รัฐบาลอเมริกันตระหนักดีว่าจะต้องเข้ามากำกับดูแลการสื่อสารบนเฟซบุ๊ กอย่างจริงจัง โดยคาดว่าในเดือนมกราคมนี้ สหรัฐฯจะมีกฎหมายใหม่ที่ระบุถึงสิทธิในการใช้งานเครือข่ายสังคมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: abuzzii ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 14:39:38
อะไรก็แฟสบุ๊ค...ดีเหมือนกันจะได้ละบาย


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 17:07:51
Android ขึ้นแท่น OS มือถืออันดับ 2

(http://www.thaidroid.com/wp-content/uploads/2010/03/android-logo.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด Gartner บริษัทวิจัยได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับตลาดโทรศัพท์มือถือทั่วโลกในไตรมาสที่ สามของปี 2010 โดยมีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การก้าวกระโดดของระบบปฏิบัติการมือถือ Android ของ Google ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 25.5% (เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว) ส่งผลให้ Android เป็นโอเอสมือถืออันดับ 2 ของโลกรองจาก Symbian ที่ใช้บนมือถือรุ่นต่างๆ ของ Nokia และผู้ผลิตรายอื่นๆ

ปัจจุบัน Symbian มีส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้มือถืออยู่ที่ 36.6% โดยลดลงจาก 44.6% ซึ่งเป็นตัวเลขในไตรมาสที่สามของปี 2009 ส่วนทางด้าน iOS ที่ใช้บน iPhone ของ Apple ก็มีส่วนแบ่งลดลงเหมือนกันจากเดิม 17.1% เมื่อปีที่แล้ว ตกลงมาอยู่ที่ 16.7% ในปีนี้ ทางด้าน BlakBerry ของ RIM ก็ต้องถือว่า ตกแรงเช่นเดียวกัน โดยร่วงจาก 20.7% ในปีที่แล้ว เหลือแค่ 14.8% เท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-number-2-smartphone-os-2.jpg)

สำหรับภาพรวมของยอดขายมือถือในไตรมาสที่ 3 ของปี 2010 มือถือ Nokia ยังคงครองอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งยอดขายอยู่ที่ 28.2% ตกลงจากจาก 36.7% ในปีที่แล้ว ตามด้วย Samsung 17.2%, LG 6.6%, Apple 3.2% และ RIM 2.9% ทั้งนี้ตัวเลขรวมของยอดขายมือถือทั่วโลกในไตรมาสที่สามอยู่ที่ 417 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2009

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-number-2-smartphone-os-3.jpg)

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 19:21:41
Apple ติดชาร์จท็อป 5 ผู้ผลิตมือถือโลก

(http://www.techmoblog.com/wp-content/uploads/2010/06/iphone_4.jpg)

ผลการสำรวจล่าสุดจากบริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ พบว่า 5 อันดับผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสนใจ โดยผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างแอปเปิลสามารถแทรกตัวเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ คว้าอันดับ 4 ซึ่งเหนือกว่าผู้สร้างบีบีหรือแบล็กเบอรี่อย่างริมที่ได้อันดับ 5 ตามหลังโนเกีย ซัมซุงและแอลจีที่ยึดเก้าอี้ท็อป 3 อย่างเหนียวแน่น
       
       ที่สำคัญ การสำรวจยังพบว่าระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลสามารถครองตำแหน่งโอเอส เบอร์สองที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลก เป็นรองก็เพียงระบบปฏิบัติการซิมเบียนของโนเกียเท่านั้น

แอปเปิลขึ้นแท่นเบอร์ 4
       การ์ทเนอร์ให้ข้อมูลว่า แอปเปิลสามารถจำหน่ายไอโฟน (iPhone) ตลอดเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2010 มากกว่า 13.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 3.2% ของตลาดโทรศัพท์มือถือโลก คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในปี 2009 โดยแอปเปิลถือเป็นผู้ค้ารายเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงอันดับได้สูงที่สุดใน กลุ่ม 8 อันดับแรก เนื่องจากแอปเปิลสามารถถีบตัวเองจากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 4 ในปีนี้
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016884701.JPEG)
ส่วนแบ่งตลาดแบรนด์โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก ประจำไตรมาส 3 ปี 2010 (ข้อมูลจากการ์ทเนอร์)

       สิ่งที่น่าสนใจในไตรมาสนี้ คือความจริงที่ว่าแบรนด์ดังไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการซื้อที่เสมอไป เนื่องจากสัดส่วนตลาดในกลุ่ม"ผู้ผลิตรายอื่น"หรือที่การ์ทเนอร์ให้ชื่อเรียก ว่า “Other” นั้นเพิ่มสัดส่วนขึ้นจาก 16.1% มาเป็น 33% ในปีนี้ สื่อ มวลชนอเมริกันวิเคราะห์ว่า สัดส่วนตลาดที่ขยายตัวอย่างชัดเจนในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะแบรนด์ย่อยซึ่ง จำหน่ายโทรศัพท์มือถือในราคาไม่แพงนั้นเคยครองตลาดได้เฉพาะในจีนเป็นส่วน ใหญ่ แต่ปัจจุบันตลาดดังกล่าวเริ่ม ขยายไปยังประเทศตลาดกำลังเติบโตอย่างอัฟริกา อินเดีย อเมริกาใต้ รวมถึงรัสเซีย ทำให้สัดส่วนตลาดในกลุ่มนี้ขยายตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด
       
       ที่น่าเป็นห่วงคือโนเกีย ที่ส่วนแบ่งตลาดในวันนี้ลดลงจาก 36.7% เหลือเพียง 28.2% เท่านั้น แม้ว่าโนเกียจะสามารถจำหน่ายโทรศัพท์ได้มากกว่าปีก่อนถึง 4 ล้านเครื่อง (โนเกียสามารถจำหน่ายโทรศัพท์ 113.5 ล้านเครื่องในช่วงไตรมาส 3 ปี 2009 แต่สามารถจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นเป็น 117.5 ล้านเครื่องในปีนี้)
       
       เช่นกันกับซัมซุงที่สามารถทำยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 ล้านเครื่องในปีนี้ เพิ่มจาก 60.6 ล้านเครื่องเป็น 71.7 ล้านเครื่องอย่างสบาย คาดกันว่าเป็นผลจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ช่วยฉุดยอดจำหน่ายซัมซุงให้ เพิ่มขึ้นอย่างน่าอิจฉา แต่ก็ยังไม่วายมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 19.6% มาเป็น 17.2% ในไตรมาสล่าสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: ครึ่งควบลูก! ที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 19:37:47
 :wanwan003:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 03:54:02
Samsung เล็งออก Galaxy Tab 10 นิ้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/Samsung-Galaxy-Tab-10-inches-version-2.jpg)

หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวลือว่า Samsung อาจจะออก Galaxy Tab "แท็บเล็ต"ที่มีจอใหญ่กว่า 7 นิ้วในปีหน้า ล่าสุดยังคงมีข่าวตามมาอีกระลอจนดูเหมือนว่า ข่าวดังกล่าวจะมีเค้าความจริงมากยิ่งขึ้น โดยแหล่งข่าวเผยว่า Samsung อาจจะออก Galaxy Tab ที่มีขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว เพื่อชนกับคู่แข่ง iPad ที่มีหน้าจอขนาด 9.7 นิ้วของ Apple โดยตรง

Samsung คงจะได้ยินคำสบประมาทของ Steve Jobs ที่บอกว่า "แท็บเล็ต" ขนาด 7 นิ้วไม่น่าจะประสบความสำเร็จในตลาด ซึ่งน่าจะเป็นแรงผลักดันให้ Samsung ตัดสินใจเดินหน้าผลิต Galaxy Tab ที่มีขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้วที่ใหญ่กว่า iPad แถมยังมีข่าวลืออีกด้วยว่า เราอาจจะได้เห็น Galaxy Tab รุ่นหน้าจอ 10.1 นิวในงาน FPD International Green Device ที่จัดขึ้นในจีน โดยจะเริ่มในวันนี้อีกด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติมเกียวกับสเป็กที่หลุดออกมาจากจีนยังระบุอีกด้วยว่า Samsung Galaxy Tab รุ่นหน้าจอ 10.1 นิ้วจะมีความละเอียด 1024x600 พิกเซล โดยจะบางกว่ารุ่นหน้าจอ 7 นิ้วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่จอบส์ออกมากล่าวว่า แท็บเล็ต 7 นิ้วไม่เป็นที่่น่าสนใจจของตลาด แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม Galaxy Tab ที่เพิ่งเปิดตัวในคลาดกลับออกตัวได้ดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดของ Android ที่ทำให้ความละเอียดของการแสดงผลทำให้มันเหมาะกับแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว แต่ข้อจำกัดดังกล่าวจะหายไปเมื่อ Galaxy Tab รุ่นหน้าจอ 10 นิ้วจะมาพร้อมกับ Android 3.0 สำหรับข่าวคราวของ Samsung Galaxy Tab รุ่นใหม่จะเท็จจริงอย่างไร คงต้องรอความชัดเจนอีกทีหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th) ]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: doctorcar ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 04:00:34
เข้ามาอัพเดทเหมือนกัน
แต่มา ตอนตี 4
อิอิ ตอบกระทู้สุดท้ายก่อน
เข้านอน

 :wanwan022: :wanwan022:



หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 13:01:23
NVIDIA โว GeForce GTX 580 เร็วที่สุดในโลก

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016926601.JPEG)

เอ็นวิเดียเตรียมประเคนกราฟิกการ์ดตัวใหม่ GeForce GTX 580 ลงตลาดหลังเอเอ็มดีเปิดตัว Radeon HD ซีรีย์ 6 พร้อมคุยโว GTX 580 เป็นกราฟิกการ์ดที่เร็วที่สุดในโลก
       
       หลังจากที่ทางเอเอ็มดี ประกาศเปิดตัวกราฟิกการ์ด Radeon HD ซีรีย์ 6 ไปเมื่อไม่นานนี้ ทางเอ็นวิเดียก็ขอเปิดตัวกราฟิกการ์ดตัวใหม่ในรุ่น GeForce GTX 580 ด้วยการเข็นคุณสมบัติเด่นอย่างการรองรับ NVIDIA 3D Vision, 3D Surround, SLI และเทคโนโลยี CUDA เต็มรูปแบบ อีกทั้งทางเอ็นวิเดียยังได้ประกาศออกมาด้วยว่า สำหรับกราฟิกการ์ดตัวใหม่จะมีการปรับปรุงในเรื่องประสิทธิภาพให้มีความเร็ว มากกว่ากราฟิกการ์ด GTX 480 ถึง 30% และเมื่อใช้เล่นเกมจะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 40-62% จากการ์ดรุ่นก่อนหน้าของเอ็นวิเดีย อีกทั้งการ์ด GTX 580 ยังเป็นการ์ดที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ด้วย
       
       ในส่วนของคุณสมบัติตัวการ์ดคร่าวๆ ทางเอ็นวิเดียได้อัพเกรดประสิทธิภาพในเรื่องจำนวนคอร์ทำงานเป็น 512 คอร์ 16 PolyMorph รวมถึงการเพิ่มในส่วนของ Geometric Realism เป็น 2 billion triangles ต่อวินาที ทำให้การคำนวณ Hardware Tessellation และ Compute บนชุดคำสั่ง DirectX 11 ทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเรื่องการบริโภคพลังงานและความร้อนที่ถือเป็นปัญหาสำคัญของเอ็นวิ เดียก็จะถูกแก้ไขในการ์ดรุ่นใหม่นี้ด้วย
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016926602.JPEG)

       สำหรับในส่วนการใช้เล่นเกม Cevat Yerli ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Crytek ได้แสดงความเห็นเกี่บวกับการ์ด GeForce GTX 580 ว่า เกม Crysis 2 (ครายซิส 2) ที่กำลังมีแผนวางจำหน่ายบนพีซีเร็วๆ นี้ จะเป็นเกมที่จำเป็นต้องมีการใช้คุณสมบัติ DirectX 11 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งกราฟิกการ์ด GeForce GTX 580 ที่กำลังจะวางจำหน่ายสามารถเล่น Crysis 2 ที่คุณภาพกราฟิกสูงสุดได้อย่างแน่นอน
       
       อีกทั้งภายในเว็บไซต์ Guru3D ยังได้มีผลการทดสอบของกราฟิกการ์ด GeForce GTX 580 บนชุดทดสอบ Intel Core i7 [email protected], RAM 6 GB โดยผลที่ได้ในเกม Colin McRae Dirt 2 โดยการ์ด GTX 580 สามารถทำคะแนนเฟรมเรทอยู่ที่ 96fps ที่ความละเอียด 1,920x1,200pixels ในขณะที่การ์ดรุ่นก่อนหน้าอย่าง GTX 480 สามารถทำคะแนนอยู่ได้เพียง 77fps และเมื่อนำไปเทียบกับการ์ด AMD Radeon HD 6870 จะมีคะแนนเฟรมเรทเพียง 70fps ส่วนเมื่อเทียบกับ HD 5870 จะอยู่ที่ 76fps และเมื่อเทียบกับ HD 5850 - 2x CrossFire จะมีเฟรมเรทอยู่ที่ 102fps ที่ความละเอียดและชุดทดสอบเดียวกัน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000016926603.JPEG)

       มาที่การทดสอบกับเกม Metro 2033 ที่ความละเอียด 1,920x1200 โดยปิดระบบประมวลผล PhysX คะแนนเฟรมเรทของ GTX 580 จะอยู่ที่ 33fps ในขณะที่ GTX 480 มีคะแนนเฟรมเรทอยู่ที่ 28fps ส่วน HD 5970 จะอยู่ที่ 34fps
       
       สุดท้ายในส่วนของการบริโภคพลังงานการ์ด GTX 580 ตัวเดียวจะบริโภคพลังงานอยู่ที่ 447 วัตต์ ในขณะที่การ์ดตัวเก่า GTX 480 จะบริโภคพลังงานอยู่ที่ 419 วัตต์ ส่วนเมื่อเทียบกับ AMD Radeon HD 6870 ที่การ์ดตัวเดียวจะบริโภคไฟอยู่ที่ 291 วัตต์เท่านั้นส่วนเมื่อทำ CrossFire 2 ตัวจะอยู่ที่ 421 วัตต์
       
       สำหรับกราฟิกการ์ด GeForce GTX 580 จะมีราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 14,800 บาท


(http://pics.manager.co.th/Images/553000016926605.JPEG)

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 18:00:01
Google เรียกขวัญพนักงาน แจก 1,000 เหรียญฯ รับปีใหม่

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016977501.JPEG)

บริษัทเสิร์ช เอนจิ้น รายใหญ่ของโลก ประกาศเรียกขวัญพนักงานด้วยการขึ้นเงินเดือนให้ขั้นต่ำ 10% พร้อมควักเงินอีกกว่า 1,000 เหรียญO แจกเป็นโบนัสสำหรับวันหยุดสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง
       
       สำนักข่าว วอลล์ สตรีท เจอนัล รายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า Google ได้สร้างเซอร์ไพร์สให้กับพนักงานทั้ง 23,000 ราย ด้วยการ ประกาศขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานเป็นจำนวน 10% (หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินผลของพนักงานแต่ละราย) พร้อมควักเงินกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,000 บาทให้กับพนักงานทุกคนไว้สำหรับใช้จ่ายช่วงวันหยุดสิ้นปีที่จะมาถึงนี้
       
       รายงานระบุว่าการประกาศขึ้นเงินเดือนในครั้งนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2554 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เอริค เอเมอร์สัน ชมิดท์ ซีอีโอบริษัท Google ยังได้มีการส่งอีเมล์หาพนักงานว่า สิ่งที่ Google ทำอยู่นี้ เพื่อเพิ่มความสุขให้กับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่มาอย่างดี มาโดยตลอด
       
       นักสังเกตการณ์หลายรายมองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากที่ก่อนหน้านี้พนักงานบริษัท Google หลายรายย้าย ไปทำงานร่วมกับบริษัทน้องใหม่ไฟแรงอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) เว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ โดย Google นั้นพยายามสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับพนักงานที่เหลือเพื่อไม่ให้พนักงานลาออกไปอยู่ในองค์กรอื่น อีก นอกจากนี้การเพิ่มเงินเดือนพนักงานในครั้งนี้ ยังถือเป็นตัวบ่งชี้ความมั่นคง และฐานะทางการเงินของบริษัทด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 22:47:35
ทวิตเตอร์-แอปเปิล ควงแขนหวานชื่นเพื่อสังคมบันเทิง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016991401.JPEG)

แม้แอปเปิล (Apple) จะเปิดตัวเครือข่ายสังคมของคอเพลงนามว่าปิง (Ping) เมื่อเดือนกันยายนด้วยการให้คำจำกัดความว่า "การโคจรมาพบกันของเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์บนไอจูนส์" ล่าสุดแม้เฟสบุ๊กจะยังไม่ยอมตกลงปลงใจกับปิงตามที่นัดหมาย แต่ทวิตเตอร์ได้ประกาศความสัมพันธ์แนบชิดกับปิงเพื่อประสบการณ์ใหม่ของคอ เพลงนักทวีตแล้วในขณะนี้
       
       ทวิตเตอร์ (Twitter) ประกาศว่า ผู้ ใช้ทวิตเตอร์จะสามารถเชื่อมชื่อบัญชีทวิตเตอร์และปิงเข้าด้วยกัน เพื่อให้ข้อความข้อมูลเพลง ภาพ หรือวิดีโอที่ผู้ใช้โพสต์ไว้บนปิง ไปปรากฏบนทวิตเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ ถือเป็นการเปิดทางสะดวกแก่ศิลปินที่สามารถอัปเดทข้อมูลแก่ผู้ติดตามหรือ Follower ได้แบบทันใจ
       
       ** "กิจกรรมบนปิง"พร้อมถูกทวีตอัตโนมัติ **
       ปิงคือบริการเครือข่ายสังคมด้านเพลงที่แอปเปิลเปิดตัวพร้อมซอฟต์แวร์ iTunes 10 ซอฟต์แวร์โหลดเพลงออนไลน์เวอร์ชันล่าสุดของแอปเปิล หลักการทำงานของปิงคือการเป็นเครือข่ายสังคมด้านเพลงและศิลปิน ซึ่งผู้ใช้ปิงจะสามารถชมภาพและวิดีโอของศิลปินคนโปรด รับข้อมูลเกี่ยวกับคอนเสิร์ตและงานโชว์ตัว และสามารถแลกความเห็นกับผู้ใช้รายอื่นเกี่ยวกับอัลบัมและเพลงน่าสนใจอื่นๆ
       
       ความร่วมมือกับทวิตเตอร์จะทำให้ความ เคลื่อนไหวในปิง ทั้งข้อมูลกิจกรรม ข้อมูลแนะนำเพลงใหม่ และลิงก์ซื้อเพลงจากร้านไอจูนส์ (iTunes Store) ปรากฏเป็นข้อความ"ทวีต (tweet)" หรือข้อความที่ถูกส่งต่อไปมาบนทวิตเตอร์ โดยการเชื่อมชื่อบัญชีปิงและทวิตเตอร์เข้าด้วยกันจะทำให้บัญชีกลุ่มผู้ใช้ในปิงเกิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มผู้ติดตามในทวิตเตอร์
       
       "ทันทีที่มีการลิงก์ชื่อ บัญชีเข้าด้วยกัน เมื่อผู้ใช้โพสต์ แสดงความชื่นชอบ (Like) รีวิว หรือบอกเพื่อนว่าทำไมจึงซื้อเพลงหรืออัลบัมบนปิง กิจกรรมทั้งหมดจะถูกทวีตถึงผู้ติดตาม" ทวิตเตอร์ระบุในแถลงการณ์ "เมื่อผู้ใช้คลิกบนข้อความทวีตซึ่งถูกส่งผ่านมาจากปิง หรือมีลิงก์ไอจูนส์อยู่ด้วย ผู้ใช้ก็จะได้เห็นเพลงหรืออัลบัมในหน้าต่างบอกรายละเอียดของทวิตเตอร์ (แถบขวามือของหน้าจอ) ผู้ใช้จะสามารถทดลองฟังเพลงจากไอจูนส์ได้เลย ถือเป็นประสบการณ์ใหม่บนทวิตเตอร์"
       
       ยังไม่ปรากฎข้อมูลว่า ประสบการณ์ใหม่บนทวิตเตอร์นี้จะทำให้ทวิตเตอร์ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ค่า จำหน่ายเพลงเป็นตัวเลขกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่า การร่วมมือกับแอปเปิลจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้ทวิตเตอร์สามารถสร้างรายได้โดย ไม่ต้องรอกำไรจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์อย่างเดียว ขณะที่แอปเปิล ก็จะได้อาศัยใบบุญของทวิตเตอร์ในการแจ้งเกิดปิงในหัวใจของชาวไซเบอร์
       
       ** จำกัด 23 ประเทศ **
       ทวิตเตอร์ระบุว่า ผู้ใช้ทวิตเตอร์ใน 23 ประเทศจะสามารถทดลองฟังเพลงไอจูนส์ได้ โดยจำกัดเฉพาะ 23 ประเทศที่ร้าน iTunes Store เสนอขายเพลง ซึ่งยังไม่มีรายชื่อประเทศไทยในขณะนี้
       
       สำหรับปิง ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่ามีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนที่สมัครเข้าใช้งานปิง ในเวลาเพียง 4 วันหรือ 48 ชั่วโมง หลังการเปิดตัวในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
       
       นี่ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทวิตเตอร์ ทวิตเตอร์นั้นเป็นดาวรุ่งในวงการอินเทอร์เน็ตนับตั้งแต่เริ่มให้บริการในปี 2006 ในฐานะบริการที่เปิดให้ชาวเน็ตสามารถแบ่งปันความคิด สถานการณ์รอบตัว และกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ได้เป็นข้อความไม่เกิน 140 ตัวอักษร มียอดการรับส่งข้อความสั้นราว 70 ล้านข้อความ (Tweet) ต่อวันทั่วโลก เป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 53 ราว 20 ล้านทวีตต่อวัน โดยตัวเลข 70 ล้านทวีตต่อวันนั้นเท่ากับสมาชิกทวิตเตอร์นั้นโพสต์ข้อความทวีตโดยเฉลี่ย 800 ข้อความต่อวินาที
       
       นักสังเกตการณ์ทั่วโลกกำลังรอลุ้นให้เกิดความร่วมมือทั้งหมด นี้บนเฟสบุ๊ก เพราะมีข่าวว่าผู้บริหารแอปเปิลและเฟสบุ๊กกำลังเจรจากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากความร่วมมือระหว่างแอปเปิลและเฟสบุ๊กเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าถึงเวลานั้นโลกไอทีและธุรกิจบันเทิงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาล

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: marketting ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 22:50:17
แต่ละอย่างแจ่มๆ ทั้งนั้น แต่เรื่องราคาก็ผมคนละไม่สู้ หุหุ  :wanwan004:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤศจิกายน 2010, 23:47:43
"เทมาเสก" เท60ล.ดอลล์ซื้อบริษัทเกมออนไลน์มะกัน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016998701.JPEG)

เทมาเสก โฮลดิงส์ (Temasek Holdings) กลุ่มทุนรัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเทเงิน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,800 ล้านบาท) ซื้อหุ้นบริษัทวิดีโอเกมออนไลน์อเมริกัน ไม่มีรายงานความเห็นอย่างเป็นทางการจากเทมาเสก แต่สื่อสิงคโปร์ระบุว่าเป็นการถือหุ้นในสัดส่วนน้อย ทำให้เทมาเสกไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเกมอเมริกัน
       
       บริษัทเกมที่เทมาเสกประกาศซื้อหุ้นคือ Gazillion Entertainment เป็น บริษัทนักพัฒนาและผู้เผยแพร่เกมออนไลน์ชนิด MMO ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ร่วมเล่นในวงกว้าง โดย Rob Hutter ซีอีโอของ Gazillion ระบุในแถลงการณ์ว่ายินดีต้อนรับเทมาเสกในช่วงที่บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงแห่ง การขยายบริษัท ซึ่งนอกจากเทมาเสก ผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ Gazillion ยังมี Hearst Corporation จากสหรัฐฯและกลุ่ม Abu Dhabi Media Company จากอาบูดาบี
       
       เทมาเสกปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับลงทุนครั้งนี้ แต่หนังสือพิมพ์ Straits Times ของสิงคโปร์ระบุว่า การลงทุนครั้งนี้ทำให้เทมาเสกกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยของ Gazillion ซึ่งที่ผ่านมา Gazillion ได้พิสูจน์ตัวเองถึงกระแสนิยมต่อเยาวชนทั่วโลก โดยเพิ่งจะเปิดตัวบริการเกม LEGO Universe เกม MMO ที่เกี่ยวข้องกับของเล่นอมตะเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนจะเดินตามแผนเปิดตัวเกมเพิ่มอีกในช่วงต้นปี 2011
       
       ที่ผ่านมา เทมาเสกเข้าถือหุ้นบริษัทเกมออนไลน์ในจีนถึง 2 แห่ง ได้แก่ 9you.com และ Shanda Entertainment ถือเป็นหนึ่งในนานาบริษัททั่วโลกที่เทมาเสกมีมูลค่าการลงทุนหลายล้านเหรียญ สหรัฐ

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 พฤศจิกายน 2010, 14:39:56
Firefox 4 beta 7 ออกมาแล้ว เร็วโพดๆ

(http://blog.toggle.com/wp-content/uploads/2010/11/Firefox-4-0.jpg)

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Mozilla ได้เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ดาวน์โหลด Firefox 4 รุ่นทดสอบที่ 7 เวอร์ชันบน Windows, Mac และ Linux กันไปแล้ว ซึ่งผลปรากฎว่า เว็บไซต์ต่างๆ พูดถึงประสิทธิภาพความเร็วของมันว่าน่าทึ่งมากๆ โดยเฉพาะการใช้คุณสมบัติเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์กราฟิกบน Windows และ Mac รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง การซิงค์รวม และ Tab Candy

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-4-beta-7-speedier-jaegerMonkey-JavaScript-JIT-engine-2.jpg)

เรียกได้ว่า Firefox 4 Beta 7 ที่เป็นเวอร์ชันใกล้สมบูรณ์มากๆ แล้ว สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ทดลองใช้ได้ โดย Mozilla กล่าวว่า คอมไพเลอร์ JavaScript ที่ชื่อ JaegerMonkey ของทางบริษัทเมื่อทำงานร่วมกับการพัฒนาการในส่วนอื่นๆ ทำให้ Firefox 4 มีกลไกการเรนเดอร์หน้าเว็บ การแปลคำสั่งเว็บแอพฯ ต่างๆ ตลอดจนเกมส์ได้อย่างรวดเร็วน่าประทับใจอย่างมาก

ผลการทดสอบเปรียบเทียบข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า Firefox 4 Beta 7 แรงกว่าเดิมเกือบ 5 เท่าเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 พฤศจิกายน 2010, 19:11:28
Apple พร้อมให้ดาวน์โหลด OSX 10.6.5 แล้ว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017031201.JPEG)

จากรายงานว่า iOS สำหรับ iPhone, iPod Touch, iPad เวอร์ชั่น 4.2 ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นเด่นอย่าง AirPlay จะเปิดให้ดาวน์โหลดเร็วๆ นี้ทาง iTunes Store ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ที่ผ่านมานี้ทางแอปเปิ้ลก็พร้อมเปิดให้อัพเดตซอฟท์แวร์ MacOSX 10.6.5 แล้ว
       
       โดย MacOSX 10.6.5 จะมาพร้อมการรองรับ AirPrint, AirPlay ระหว่าง Windows และ MacOSX สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ iOS 4.2 อีกทั้งยังมีการปรับปรุงในส่วนของระบบการซิงค์ข้อมูลระหว่าง Google Address book และ iCal ด้วย
       
       นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงในส่วนอื่นๆ อีกมากมายอาทิเช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพของโปรแกรมต่างๆ บน MacOSX รวมถึงการรองรับไฟล์รูปภาพลักษณะ RAW Files ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
       
       สำหรับผู้ใช้งาน MacOSX ที่ต้องการอัพเดตระบบปฏิบัติการณ์ดังกล่าวสามารถเข้าไปที่ Software Update พร้อมดาวน์โหลดได้บนขนาดไฟล์ 644MB

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 พฤศจิกายน 2010, 02:55:19
Intel ปรับราคา SSD ลงในช่วงคริสต์มาส

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017036001.JPEG)

อินเทลเตรียมปรับราคาฮาร์ดไดร์ประเภท SSD (Solid State Drive) ในตระกูล X25-M สำหรับกลุ่มเมนสตรีมลงในช่วงคริสต์มาสนี้พร้อมเผยราคา SSD ขนาด 120GB
       
       สำหรับแผนการปรับลดราคาจะมีผลใช้ในช่วงคริสต์มาสปีนี้ โดย SSD ขนาด 40GB จะมีราคาขายอยู่ที่ 99$ (ประมาณ 2,980 บาท) ส่วนขนาด 80GB จะมีราคาขายอยู่ที่ 199$ (ประมาณ 5,990 บาท) มาที่ขนาดความจุ 160GB จะมีราคาขายอยู่ที่ 415$ (ประมาณ 12,500 บาท) และสุดท้ายรุ่นความจุ 120GB ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่ได้เปิดตัวไปจะมีราคาขายอยู่ที่ 249$ (ประมาณ 7,500 บาท)

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 พฤศจิกายน 2010, 14:24:08
เฟซบุ๊กผิดศีลธรรม! ซาอุฯบล็อกเรียบ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017058201.JPEG)

รายงานจากสำนักข่าว เอพี (Associated Press) ระบุว่า ทางหน่วยงานสื่อสารภายในประเทศซาอุดิ อาราเบีย ให้ความเห็นหลังจากมีการปิดกี้นการเข้าถึงเฟซบุ๊ก ว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวผิดกับค่านิยมในประเทศ
       
       การปิดกั้นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากหน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร ทำการบล็อกเว็บไซต์เฟซบุ๊กเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมขึ้นข้อความผิดพลาดในการเข้าใช้
       
       โดยแหล่งข่าวจากกระทรวงดังกล่าวได้ออกมาให้ความเห็นว่า เนื้อหาในเฟซบุ๊กมีการล้ำเส้น เกี่ยวกับศีลธรรมภายในราชอาณาจักร แต่คาดว่าการปิดกั้นดังกล่าวจะทำเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 14:28:14
มะกันจ๋อย "จีน" ผงาดแชมป์คอมพ์โลก

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017085201.JPEG)
เทียนเหอ-1 ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จากประเทศจีนที่สามารถประมวลผลได้ถึง 2,570 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที

ผลสำรวจเพื่อจัดอันดับความเร็วซูเปอร์คอมพิวเตอร์โลกครั้งล่าสุดพบ ว่า ซูเปอร์คอมพ์จากจีนสามารถเขี่ยเพื่อนร่วมสายพันธุ์จากสหรัฐอเมริกาและประเทศ อื่นๆ และผงาดขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในฐานะคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วสูงสุดในโลกอย่าง เป็นทางการ
       
       เทียนเหอ-1 (Tianhe-1) ซึ่งมีความหมายว่าทางช้างเผือก ได้รับการการันตีว่าสามารถ ประมวลผลได้ถึง 2,570 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที (มีศูนย์ตามมาอีก 12 ตัว) ตัวเลขนี้ทำให้เทียนเหอ-1กลายเป็นอันดับหนึ่งของสำรวจโดยกลุ่ม Top 500 (www.top500.org (http://www.top500.org)) ซึ่งทำการสำรวจและจัดอันดับความเร็วซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกมาตลอด
       
       อดีตแชมป์อย่าง Jaguar ซูเปอร์คอมพ์อเมริกันที่ติดตั้งในหน่วยงานราชการสหรัฐฯในรัฐเทนเนสซีจึงตกไป อยู่อันดับ 2 ในขณะนี้ ด้วยสถิติความเร็วในการประมวลผล 1,750 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
       
       ปัจจุบัน เทียนเหอ-1 ถูกติดตั้งในศูนย์ซูเปอร์คอมพิวติงแห่งชาติจีนในเขตเทียนจิน ซึ่งแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสัญชาติจีนเต็มตัว แต่ หน่วยประมวลผลที่อยู่ภายในเครื่องส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชิปที่ผลิตโดย บริษัทอเมริกัน เช่น ซีพียูจากอินเทล (Intel) และเอ็นวิเดีย (Nvidia)
       
       อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯก็ยังถือเป็นประเทศมหาอำนาจในโลกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ต่อไป เนื่องจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากกว่าครึ่งหนึ่งในอันดับโลก Top 500 ถูกบันทึกว่ามาจากสหรัฐฯ นำหน้าจีนซึ่งกวาดไป 42 อันดับในรายการ ตามมาด้วยญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ
       
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถูกชิงมงกุฎไปสำเร็จโดยประเทศใน เอเชีย เนื่องจากญี่ปุ่นนั้นเคยครองแชมป์ทำเนียบซูเปอร์คอมพ์โลกมาแล้วในปี 2002 โดยเป็นซูเปอร์คอมพ์ที่ถูกระบุว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าซูเปอร์คอมพ์อเมริกัน 20 ตัวในยุคนั้นรวมกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 15:26:00
ไตรมาส 3 ยอดขายคอมพิวเตอร์พีซียังต่ำลง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017100101.JPEG)

ผลสำรวจพบ ไตรมาส 3 ปี 2010 ยอดความนิยมคอมพิวเตอร์พีซียังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และต่ำลงเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา ระบุส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดโน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต
       
       บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์รายงานผลการจัดส่งคอมพิวเตอร์พีซีในไตร มาสที่ 3 ของปี 2010 ว่ามีมากถึง 88.3 ล้านเครื่อง เพิ่มสูงขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้านี้ แต่ยังคงต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะสูงขึ้น 12.7%
       
       นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ในตลาดโลกจะมียอดความต้องการคอมพิวเตอร์พีซีสูงขึ้น แต่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก กลับมียอดลดน้อยลง ส่งผลให้ตัวเลขการจัดส่งลดน้อยลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากทั้ง 2 ทวีปยังคงเป็นตลาดซื้อขายสำคัญของโลก ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ยอดจัดส่งสูงขึ้น
       
       นอกจากนี้การแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดโน้ตบุ๊ก และมินิโน้ตบุ๊ก ยังส่งผลให้อุปกรณ์แบบพกพามีราคาถูกลง ทำให้เกิดการชะลอตัวในการซื้อคอมพิวเตอร์พีซีในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2010 หลังจากที่เคยมีผลการเติบโตเป็นที่น่าพอใจเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
       
       ไม่เพียงเท่านั้น นักวิเคราะห์หลายรายยังให้ความเห็นตรงกันว่า กระแสความร้อนแรงของคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ส่งผลให้การเติบโตของยอดขายโน้ตบุ๊คในตลาดโลกมีความล้าช้าขึ้นกว่าเดิม
       
       "แม้แท็บเล็ตจะไม่สามารถแทนที่คอมพิวเตอร์พีซีได้ แต่ในสหรัฐอเมริกาประชาชนจำนวนไม่น้อยกำลังเทความสนใจให้กับไอแพ็ด จากแอปเปิล"
       
       ผลวิเคราะห์จากการ์ทเนอร์ ยังระบุอีกว่าเอชพีกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักในการครองตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดโลก เนื่องจากประสบปัญหายอดจัดส่งสินค้าในเอเซียแปซิฟิกลดต่ำลง 20% ด้านเอเซอร์ก็เช่นกัน มียอดจัดส่งสินค้าลดลง 1.7% ในไตรมาสที่ 3 ขณะที่เดลล์กลับมียอดการเติบโตสูงที่สุดในแต่ละภูมิภาค
       
       ในส่วนของผู้ผลิตจากแดนมังกรอย่างเลอโนโว มีการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นหนึ่งใน 5 อันดับของโลก ถือเป็นตัวช่วยกระตุ้นการเติบโตของเลอโนโวในสหรัฐอเมริกา และกลุ่ม EMAA (ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) โดยในไตรมาสที่ 3 เลอโนโวมียอดจัดส่งคอมพิวเตอร์พีซีในเอเซียแปซิฟิกสูงถึง 29.9 ล้านเครื่อง
       
       ตลาดที่สำคัญที่สุดในเอเซียอย่างจีน มียอดจัดส่งสูงขึ้น 11.3% ซึ่งสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมียอดสูงขึ้น 3.6 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 3 และเพิ่มสูงขึ้น 14.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 18:45:35
HTC จดลิขสิทธิ์ชื่อ "HTC EVO SHIFT 4G" แล้ว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017110901.JPEG)

คงเป็นเรื่องที่มั่นคงแน่นอนแล้วสำหรับชื่อสมาร์ทโฟนตัวต่อไปจาก HTC ว่าอาจจะเป็น "HTC EVO SHIFT 4G" แทนที่จะเป็น "HTC EVO 4G Shift" อย่างที่ทาง HTC เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ เพราะล่าสุดทาง engagdet ได้รายงานว่าเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมาทาง HTC ได้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "HTC EVO SHIFT 4G" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       สำหรับสเปกคร่าวๆ ของ HTC EVO SHIFT 4G ที่เคยได้รับการเปิดเผยไปแล้วนั้น ตัวเครื่องจะมาพร้อมหน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว WVGA รองรับการบันทึกวิดีโอ HD 720p มาพร้อมกล้อง 8MP และที่สำคัญตัวเครื่องจะมาพร้อมการรองรับระบบ WiMAX

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 20:11:57
ARM เตรียมส่ง Mali-T604 ลงตลาดสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017119101.JPEG)

หลังจากที่ ARM เปิดตัว Cortex-A15 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการผลิต 28 นาโนเมตรและมีความเร็วอยู่ที่ 2.5GHz ไปแล้ว ล่าสุดทาง ARM ก็ได้เปิดตัวชิปกราฟิก Mali T604 สำหรับใช้ควบคู่กับ Cortex-A15 และสมาร์ทโฟนในอนาคตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       สำหรับจุดเด่นของ ARM Mali-T604 คือจะรองรับ API อย่าง Kronos Group's OpenGL ES, OpenVG, OpenCL, และ DirectX 11 เต็มรูปแบบ อีกทั้งตัว Mali-T604 ยังรองรับการลบรอยหยักของวัตถุที่ภาพที่16x FSAA
       
       สุดท้ายจากเอกสารที่ทาง ARM ได้เปิดเผยแก่สื่อมวลชน พบว่าในขณะนี้ทางซัมซุง (Samsung) เป็นเจ้าแรกที่เข้ามาเป็นฮาร์ดแวร์พาร์ทเนอร์ของ ARM Mali-T604

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 พฤศจิกายน 2010, 23:02:07
แอปเปิ้ลเลื่อนอัปเดต iOS 4.2 ออกไป

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017125601.JPEG)

หลังจากเดิมทีแอปเปิ้ลมีกำหนดคลอดซอฟท์แวร์อัปเดต iOS 4.2 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่แล้วแอปเปิ้ลก็ปล่อยให้ลูกค้ารอเก้อ เพราะเมื่อมีผู้ทดสอบ iOS 4.2 เวอร์ชั่น Gold Master (GM) สำหรับนักพัฒนาพบกับปัญหาการเชื่อมต่อ WiFi บน iPad ทำให้ทางแอปเปิ้ลจำเป็นต้องแก้ปัญหาและนำ iOS 4.2 GM ตัวที่ 2 ส่งให้นักพัฒนาเหล่านั้นได้ทดสอบอีกครั้ง ทำให้ตัว iOS 4.2 เวอร์ชั่นจริงที่จะปล่อยให้ดาวน์โหลดต้องถูกเลื่อนไปจนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนโดยประมาณ
       
       ในส่วนลูกเล่นที่จะถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 4.2 สำหรับ iPad ได้แก่ เพิ่มคีย์บอร์ดภาษาไทย, Multi-Tasking, ความสามารถในการสร้างโฟลเดอร์, AirPrint, AirPlay, Game Center, ระบบค้นหาแบบใหม่ใน Safari และความสามารถในการเพิ่ม-ลด เสียง, ปรับแสงสว่างของหน้าจอได้ทันทีบน Task Bar
       
       ส่วน iOS 4.2 สำหรับ iPhone, iPod Touch ได้แก่ Youtube ได้รับการปรับปรุงให้สามารถโหวตได้, Facetime สามารถกดที่หน้า Messages ได้, ความสามารถในการเพิ่ม-ลด เสียงรวมถึงความสามารถในการปรับความสว่างหน้าจอได้ทันทีบน Task Bar รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำหรับ iPhone 3G

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤศจิกายน 2010, 02:16:54
NY Times จัดอันดับ e-Book ขายดี

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/new-york-times-launches-e-book-ranking-lists-2.jpg)

ปกติหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง New York Times จะมีเซ็คชั่นในการแนะนำหนังสือขายดี (Best Seller) ให้ผู้อ่านได้ไปเลือกซื้อหามาอ่านกัน แต่เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ทางหนังสือพิมพ์ได้ประกาศว่า จะเพิ่มรายชื่อ e-Book ขายดีเข้าไปในเซ็คชั่นแนะนำหนังสือขายดีด้วย

สำหรับการแนะนำรายชื่อของ e-Book ขายดีของทางหนังสือพิมพ์ New York Times จะเริ่มในช่วงต้นปี 2011 โดยจะเป็นการแนะนำอีบุ๊คขายดีทั้งในส่วนของบันเทิง และความรู้ต่างๆ ใน New York Times ทั้งเวอร์ชันที่เป็นสิ่งพิมพ์ และออนไลน์ ทั้งนี้ในส่วนของการแนะนำหนังสือขายดีได้เริ่มเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 1935 หรือประมาณ 76 ที่แล้ว

กองบรรณาธิการของ New York Times เปิดเผยถึงเหตุผลที่ต้องมีการเพิ่มรายชื่ออีบุ๊คขายดีเข้าไปในหนังสือพิมพ์ ว่า เป็นผลมาจากการเติบโตของความนิยมในสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ต้องจับตาเป็นอย่างยิ่ง การแนะนำอีบุ๊คขายดีกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อ่านหนังสือพิมพ์ที่มีทั้ง ออฟไลน์ และออนไลน์ ทั้งนี้ทาง New York Times กล่าวว่า การจัดทำรายชื่ออีบุ๊คขายดีจะเป็นการสรุปจากเหล่าบรรดาผู้ให้บริการอีบุ๊คบน เน็ต และใช้ซอฟต์แวร์ในการวิเคราะห์ตัวเลขที่ได้อีกทีหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤศจิกายน 2010, 13:08:06
"เฟซบุ๊ก" เขย่าสังเวียน "อีเมล"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017147301.JPEG)

สมรภูมิฟรีอีเมลร้อนแรงขึ้นทันทีเมื่อเฟซบุ๊ก (Facebook) บริการเครือข่ายสังคมฮอตฮิตมีกำหนดเปิดตัวโครงการ Project Titan หรือบริการเว็บเมลเพื่อรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมลบนอินเทอร์เน็ต โดยเฟซบุ๊กเองในอนาคต
       
       เท่ากับทั้ง Gmail จากกูเกิล, Yahoo Mail จากยาฮู, Windows Live Hotmail จากไมโครซอฟท์ และนานาบริการรับส่งข้อความออนไลน์ในตลาดขณะนี้ต่างกำลังจะมีคู่แข่งที่น่า เกรงขามเพิ่มขึ้นมาอีกราย คาดว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการสื่อสารของโลกช่วงปีหน้า
       
       ความพิเศษของ Project Titan อยู่ที่ปริมาณผู้ใช้มหาศาลที่ติดอยู่กับความเพลิดเพลินในเฟซบุ๊กซึ่งมีจำนวน มากกว่า 500 ล้านคนในขณะนี้ ซึ่งแนวโน้มสูงว่า ลูกค้ากลุ่มที่เป็นสาวกจะเปลี่ยนจากการใช้อีเมลแอดเดรสดั้งเดิม มาเป็น @facebook.com มากขึ้น
       
       เว็บเมล (Webmail) คือโปรแกรมที่ทำให้ผู้ใช้สามารถรับและส่งอีเมลผ่านหน้าต่างเว็บเบราว์เซอร์ ได้ ผู้ให้บริการเว็บเมลรายใหญ่ของโลกได้แก่ Google ยาฮู ไมโครซอฟท์ ฯลฯ บนตัวเลขผู้ใช้งานล่าสุดมากกว่า 1 พันล้านราย อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่ารูปแบบการสื่อสารในเครือข่ายสังคมที่ทำให้การสื่อสารจากบุคคล เดียวไปสู่บุคคลหลายคนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึงกว่าอีเมล มีผลให้การส่งอีเมลลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
       
       เมื่อการส่งอีเมลลดลง บริการเว็บเมลจึงต้องเพิ่มความสามารถอื่นลงไป เช่น การสนทนาหรือแชต และความสามารถในการทำงานร่วมกันจากระยะไกล ซึ่งที่ผ่านมา เฟซบุ๊กนั้นให้บริการแชตหรือการรับส่งข้อความสนทนาระหว่างผู้ใช้มาระยะหนึ่ง แล้ว แต่ยังไม่เคยประกาศจุดยืนให้บริการอีเมลอย่างจริงจัง
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไม่มีผู้ใดแปลกใจเมื่อเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีนาม เทคครันซ์ (TechCrunch) รายงานข่าวจากแหล่งข่าวนิรนามว่าเฟซบุ๊กจะเปิดตัวบริการเว็บเมลซึ่งมีชื่อ รหัสว่า Project Titan ในงานแถลงข่าวซึ่งเฟซบุ๊กมีกำหนดจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกวันที่ 15 พฤศจิกายน 53 โดยคาดว่าซีอีโอเฟซบุ๊กอย่างมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จะกล่าวถึงโครงการนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายน
       
       บริการ Gmail ถูกมองว่าจะได้รับแรงท้าทายจากบริการอีเมลของเฟซบุ๊กมากที่สุด เนื่องจากสำนักข่าว ZDNet รายงานว่า Titan จะถูกผูกรวมกับชุดออฟฟิศเว็บแอปพลิเคชัน (Office Web Apps) ของไมโครซอฟท์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างไฟล์เอกสารอย่าง Microsoft Word, Excel, PowerPoint และ OneNote ได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ Microsoft Docs บริการซอฟต์แวร์เอกสารออนไลน์ของไมโครซอฟท์ สามารถเรียกความสนใจจากผู้บริโภคได้มากกว่าบริการซอฟต์แวร์ออนไลน์ของกูเกิล
       
       สิ่งสำคัญที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นหลังการประกาศแผนสร้างอีเมลของ เฟซบุ๊ก คืออิทธิพลของเฟซบุ๊กต่ออาณาจักรการสื่อสารของโลกที่จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก จุดนี้ นักวิเคราะห์ของ Altimeter Group นาม Jeremiah Owyang ให้สัมภาษณ์ว่า ในขณะที่การสื่อสารที่เฟซบุ๊กมีอยู่สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่พอใจ อยู่แล้ว บริการอีเมลจะยิ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการสื่อสารได้กว้างขึ้นอีก โดย Owyang เชื่อว่าขณะนี้ประชากรโลกใช้เครื่องมือในการสื่อสารหลากหลายในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่เครือข่ายสังคม แต่ยังมีข้อความ SMS ทางโทรศัพท์มือถือ และอีเมลที่ชาวโลกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ
       
       เหนืออื่นใด Owyang ชี้ว่าการขยายความสามารถด้านอีเมลในเฟซบุ๊ก จะทำให้เฟซบุ๊กสามารถเพิ่มปริมาณเวลาให้ผู้ใช้เปิดเพจเฟซบุ๊กนานขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในอนาคตด้วย
       
       ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เฟซบุ๊กถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเฟซบุ๊กเพิ่งซื้อบริการ FriendFeed บริการด้านเครือข่ายสังคมที่สร้างโดยผู้สร้าง Gmail นาม Bret Taylor และ Paul Bucheit ซึ่งปัจจุบัน Taylor ขึ้นกุมบังเหียนตำแหน่งประธานฝ่ายเทคโนโลยีหรือ CTO ของเฟสบุ๊กในขณะนี้
       
       ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าเฟสบุ๊กได้สิทธิ์ครอบครองชื่อโดเมน fb.com ทำให้มีการคาดว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กอาจมีอีเมลเป็น @fb.com ก็ได้ ซึ่งยังไม่มีความแน่ชัดในขณะนี้
       
       สำหรับความเคลื่อนไหวอื่นในวงการการสื่อสารด้วยข้อความ ล่าสุดไมโครซอฟท์ออกมาประกาศว่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมรับส่งข้อ ความแชต Windows Live Messenger บนทีวีต่ออินเทอร์เน็ตแบรนด์ซัมซุง (Samsung) โดยในอนาคต ซัมซุงมีแผนจะขยายความร่วมมือไปยังผลิตภัณฑ์โฮมเธียเตอร์ที่เชื่อมต่ออิน เทอร์เน็ตได้และเครื่องเล่นบลูเรย์ต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤศจิกายน 2010, 15:43:47
พรุ่งนี้ 4 ทุ่มแอปเปิลเตรียมเซอร์ไพรส์ผู้ใช้ iTunes

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017162601.JPEG)

วันนี้ถ้าใครได้เข้าไปเยือนเว็บ Apple.com คงจะได้เห็นข้อความ "Tomorrow is just another day That you'll never forget." หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "พรุ่งนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่งวันที่คุณจะไม่ลืม" และต่อด้วยข้อความ "exciting announcement from iTunes"

อีกทั้งด้านล่างของข้อความยังมีเวลาเปิดตัวความเซอร์ไพร์สในประเทศต่างๆ ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ค, ลอนดอน และญี่ปุ่น (สำหรับประเทศไทยจะอยู่ในช่วง 4 ทุ่มของวันพรุ่งนี้) ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีสื่อใดทราบแน่ชัดว่าทางแอปเปิ้ลเตรียมอะไรมาเซอร์ไพร์ส ผู้ใช้ iTunes แต่จะมีบางสื่อที่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้คือ
       
       
       - แอปเปิลอาจนำอัลบั้ม The Beatles มาจำหน่ายหรือเผยแพร่ใหม่ผ่าน iTunes Store เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักวงดนตรีในตำนาน (ข้อนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก)
       - อาจมีการปล่อย iOS 4.2 ก่อนกำหนด
       - คอนเทนต์ใหม่วิดีโอใหม่ๆ ที่จะถูกอัพเดตขึ้น
       
       ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ว่าแอปเปิลจะเตรียมเซอร์ไพร์สอะไรไว้ให้ผู้ใช้ iTunes พรุ่งนี้ประมาณ 4 ทุ่ม ทีมงานผู้จัดการไซเบอร์จะนำมารายงานใน Breaking News ให้ทราบโดยทั่วกันครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤศจิกายน 2010, 19:51:18
สาวก FB ทุกคนมีสิทธิ์ได้แอดเดรส @facebook.com "เพื่อจัดการอีเมล"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017183501.JPEG)
ส่วนบริการข้อความ (Massaging) ของเฟซบุ๊กกำลังจะมีบริการอีเมลใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจะแสดงข้อความในลักษณะข้อความโต้ตอบระหว่างผู้ใช้และผู้ติดต่อ ไม่แบ่งตามข้อความแบบอีเมลดั้งเดิม

ซีอีโอเฟซบุ๊กเปิดตัวบริการรับส่งข้อความออนไลน์เจเนอเรชันใหม่ตาม ข่าวลือ ระบุว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคนสามารถมีอีเมลแอดเดรสต่อท้ายว่า @facebook.com จริงตามข่าวลือ แต่จะไม่ใช่แอดเดรสเพื่อการรับส่งอีเมลธรรมดา เพราะสามารถใช้แอดเดรสนี้เพื่อการจัดการการสื่อสารผ่านอีเมล พร้อมยืนยันว่าไม่ได้หวังให้สาวกเลิกใช้อีเมลแอดเดรสเดิมของ Yahoo Mail, Gmail หรือค่ายอื่นๆ แต่หวังให้อีเมลสามารถเติมเต็มการสื่อสารออนไลน์แบบเรียลไทม์ได้ดียิ่งขึ้น
       
       มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ก เรียกบริการใหม่ของเฟซบุ๊กว่าเป็นระบบรับส่งข้อความแบบประสานหรือ "convergent" ที่สามารถจัดการจดหมายข้อความแบบครบวงจรได้อย่างไร้รอยต่อบนหน้าต่างเดียว โดยนับแต่นี้ บริการข้อความของเฟซบุ๊กจะรวมเอาข้อความแชต ข้อความสั้น และเครื่องมือสนทนาเรียลไทม์อื่นๆเข้ากับอีเมลดั้งเดิม ซึ่งซีอีโอเฟซบุ๊กมองว่า อีเมลนั้นไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่นได้เท่าที่ควร
       
       "เป็นความจริงที่ผู้ใช้สามารถมีอีเมลแอดเดรส facebook.com แต่มันไม่ใช่อีเมล เพราะมันจะจัดการอีเมล เราไม่คาดหวังให้ผู้ใช้คิดว่าจะต้องไปปิดบริการอีเมลกับ Yahoo Mail หรือ Gmail account ในวันนี้พรุ่งนี้ แต่ก็ไม่แน่ที่อีก 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้า ผู้ใช้จำนวนมากจะเริ่มคิดว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นในอนาคต"
       
       ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า หลักการทำงานของระบบข้อความอีเมลใหม่ในเฟซบุ๊กจะไม่ มีช่องกรอกข้อมูลหัวเรื่อง (subject) ถึง (to) และสำเนาถึง (cc) แต่ผู้ใช้จะสามารถคลิกชื่อเพื่อนแล้วพิมพ์ข้อความลักษณะเดียวกับโปรแกรมแช ตทั่วไป โดยจะแสดงข้อความในลักษณะข้อความโต้ตอบระหว่างผู้ใช้และผู้ติดต่อ ไม่แบ่งตามข้อความแบบอีเมลดั้งเดิม และจะมีระบบจัดกลุ่ม ส่งต่ออีเมล และการแนบไฟล์ตามปกติ
       
       ซัคเกอร์เบิร์กย้ำว่าหัวใจของกลยุทธ์นี้ไม่ได้อยู่ที่การให้บริการ เว็บเมล หรือบริการรับส่งอีเมลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอีเมลไม่ใช่ช่องทางการติดต่อที่สำคัญอย่างที่เป็นมาใน อดีต และที่ผ่านมา เฟซบุ๊กก็สามารถดันให้ผู้ใช้เข้าสู่ระบบการสื่อสารเรียลไทม์แล้วในระดับ หนึ่ง
       
       ซีอีโอเฟซบุ๊กย้ำว่า ระบบข้อความใหม่หรือที่เรียกกันภายในว่า "Titan" จะสามารถให้บริการผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยปัจจุบัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 350 ล้านคน (จากผู้ใช้ทั้งหมดมากกว่า 500 ล้านคน) นั้นใช้งานบริการข้อความของเฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่อง บนยอดการส่งข้อความดิจิตอลมากกว่า 4,000 ล้านข้อความต่อวัน
       
       แม้ซัคเกอร์เบิร์กจะยืนยันว่าไม่หวังแข่งขันกับบริการเว็บเมลอย่าง Hotmail, Yahoo! Mail และ Gmail แต่ด้วยจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กปริมาณมหาศาลย่อมมีโอกาสทำให้ความยิ่งใหญ่ของ 3 ค่ายอีเมลนี้ด้อยลง ปัจจุบัน ฮอตเมลมีจำนวนผู้ใช้มากที่สุดกว่า 361.7 ล้านชื่อ ตามด้วยยาฮู 273.1 ล้านชื่อ และจีเมล 193.3 ล้านชื่อ (ข้อมูลเดือนกันยายน 53)
       
       ล่าสุด มีรายงานว่าอิริค ชมิดท์ ได้กล่าวในงานประชุม Web 2.0 Summit ที่ซานฟรานซิสโก ว่ากูเกิลไม่รู้สึกเดือดร้อนกับการที่เฟซบุ๊คออกมาเปิดตัวบริการอีเมลใหม่ ซึ่งการมีคู่แข่งใหม่ในตลาดเป็นเรื่องดีเพราะจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ตลาดโต ขึ้น
       
       "เรามั่นใจในคุณภาพการใช้งานของจีเมล ด้วยความรวดเร็วในการใช้งาน และระบบเสิร์ชที่ทำงานร่วมกับบริการกูเกิลได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีในส่วนของนโยบายความเป็นส่วนตัวของจีเมลที่กูเกิลให้ความ สำคัญมาตลอดด้วย"
       
       กูเกิลถูกมองว่าจะเป็นบริษัทที่ได้รับกระทบต่อความเคลื่อน ไหวนี้ของเฟซบุ๊ก เนื่องจากผู้ใช้ที่ได้รับข้อความในระบบอีเมลใหม่ของเฟซบุ๊กที่มีไฟล์แนบ เอกสารนามสกุล Word, Excel และ PowerPoint จะสามารถกดลิงก์เพื่อเปิดเอกสารบนบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ Office.com ได้โดยตรง เท่ากับบริการออนไลน์ของกูเกิลย่อมมีโอกาสถูกดึงผู้ใช้ไปไม่มากก็น้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤศจิกายน 2010, 23:27:10
เอเอ็มดีร่วมอินเทล-โนเกีย หนุนระบบปฏิบัติการ MeeGo

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017187801.JPEG)

เอเอ็มดี (AMD) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์คู่แข่งอินเทลประกาศว่าได้ลงนามเข้าร่วม โครงการพัฒนาระบบปฏิบัติการ MeeGo Linux โดยเอเอ็มดีจะนำทรัพยากรด้านวิศวกรรมมาพัฒนาร่วมในโครงการเพื่อสร้างความ มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ APU (Accelerating processing unit) หรือชิปที่รวมชุดชิปเซ็ตต่างๆในชิปตัวเดียวของบริษัทจะสามารถรองรับระบบ ปฏิบัติการ MeeGo ได้
       
       เอเอ็มดีประกาศความเคลื่อนไหวนี้ในงานประชุมนักพัฒนาระบบปฏิบัติการ MeeGo ที่เมืองดับลิน ไอร์แลนด์ เมื่อวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แน่นอนว่าการประกาศครั้งนี้คือเรื่องสำคัญ เนื่องจาก MeeGo เป็นระบบปฏิบัติการที่โนเกีย (Nokia) ยักษ์ใหญ่โทรศัพท์เคลื่อนที่พัฒนาขึ้นโดยร่วมมือกับเจ้าพ่อวงการชิปอย่างอินเทล (Intel) ซึ่ง เป็นคู่แข่งตัวฉกาจของเอเอ็มดี และชื่อของ MeeGo ก็มาจากการร่วมกันของชื่อ Moblin ระบบปฏิบัติการของอินเทล และชื่อ Maemo ระบบปฏิบัติการของโนเกีย
       
       ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการวางเป้าหมายรุกตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่ของ เอเอ็มดี เนื่องจากระบบปฏิบัติการ MeeGo OS ถูกมองว่าจะมีบทบาทในตลาดสมาร์ทโฟนในอนาคต โดยอาจจะมาแทนที่ระบบปฏิบัติการดั้งเดิมของโนเกียอย่าง Symbian
       
       อย่างไรก็ตามระบบปฏิบัติการ MeeGo สำหรับเน็ตบุ๊กถูกเปิดตัวอยางเป็นทางการในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มมีการเปิดเผยรหัสซอร์สโค้ด MeeGo ในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าสมาร์ทโฟน MeeGo รุ่นแรกจากโนเกียจะสามารถบุกตลาดได้ในปี 2011
       
       จุดนี้ Ben Bar-Haim รองประธานฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ของเอเอ็มดียอมรับว่า MeeGo จะสามารถเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบฝังตัวในตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่ และสามารถขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม APU ของเอเอ็มดีในอนาคตด้วย
       
       APU คือชื่อที่เอเอ็มดีใช้เรียกระบบประมวลผลที่ผสมหน่วยประมวลผลกลาง CPU และหน่วยประมวลผลกราฟิก GPU เข้าด้วยกัน คาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ในปี 2011

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 02:39:31
AMD โว! ปี 2012 ซีพียู Terramar จะมี 20 แกน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017206801.JPEG)

ไม่มีข้อมูลที่เป็นทางการสำหรับข่าวนี้ เพราะมีแต่คำคุยโวของ AMD ที่ได้ประกาศไว้ว่า ภายในปี 2012 ทาง AMD มีแผนจะปล่อยซีพียูที่มีโค้ดเนมว่า "Terramar" ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ Bulldozer ทำให้ซีพียูจะมีแกนทำงานถึง 20 แกน บนเทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร และจะเป็นซีพียูที่จับกลุ่มเซิร์ฟเวอร์เป็นหลัก
       
       ในส่วนซีพียูสำหรับกลุ่มเซิร์ฟเวอร์รุ่นอื่นๆ ที่มีแผนจะวางตลาดในช่วงปี 2011-2012 จะมีโค้ดเนมว่า "Sepang" ซึ่งจะมีแกนทำงาน 10 แกน รวมถึง ซีพียูโค้ดเนม "Valencia" และ "Interlagos" ที่จะมีแกนทำงานอยู่ที่ 8 และ 16 แกนตามลำดับ

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 12:44:38
แอปเปิ้ลเฉลย "The Beatles" คือเซอร์ไพรส์บน iTunes

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017208401.JPEG)

และแล้วหน้า iTunes Store และเว็บ apple.com/itunes ก็เปลี่ยนหน้าตาเฉลยประโยคที่ว่า "Tomorrow is just another day That you'll never forget." ด้วยคำตอบว่า "The Beatles Now on iTunes" ไปตามการคาดหมายของสื่อหลายสำนัก
       
       โดยในหน้าของ iTunes Store ได้มีการแปะอัลบั้มของ The Beatles กว่า 17 อัลบั้ม 239 บทเพลงไว้เพื่อจำหน่ายสำหรับแฟนพันธ์แท้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกซื้อแบบเป็นเพลงๆ ตกราคาเพลงละ 1.29$ (ประมาณ 39 บาท) หรือจะซื้อเป็น Box Set สนนราคาอยู่ที่ 149$ (ประมาณ 4,500 บาท) นอกจากนั้นยังมีวิดีโอการแสดงสดพิเศษที่ Washington Coliseum ในปี 1964 แถมมาอีกด้วย
       
       แต่ทั้งนี้ความเซอร์ไพรส์ที่ทางแอปเปิ้ลมอบให้กับผู้ใช้ iTunes นี้จะไม่สามารถใช้กับผู้ใช้ที่สมัครบัญชีสำหรับประเทศไทยได้ เพราะทางแอปเปิ้ลเปิดจำหน่ายเฉพาะประเทศที่สามารถเข้าใช้งานในส่วนของ iTunes Store Music เท่านั้น

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017208402.JPEG)

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Soft666 ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 12:50:50

ข่าวดีๆ ทั้งนั้น อัพเรื่อยๆนะครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 13:28:33

ข่าวดีๆ ทั้งนั้น อัพเรื่อยๆนะครับ

ได๋เล้ยยยยยยยยยยย
ขอบคุณที่ติดตามครับ
 :wanwan019:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 14:46:02
Dell ขายแท็บเล็ต 2 หน้าจอ 23 พ.ย.นี้

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017177401.JPEG)

เดลล์ ขยับอีกครั้ง ประกาศเตรียมความพร้อม จับมือไมโครซอฟต์ วางจำหน่ายแท็บเล็ต 2 หน้าจอ "Inspiron Duo" อังคารหน้านี้
       
       ก่อนหน้านี้เดลล์เคยใช้เวที Intel Developer Forum โชว์ "Inspiron Duo"คอมพิวเตอร์พกพาขนาด 10 นิ้วที่สามารถ"พลิกหน้าจอ"เพื่อแปลงร่างไปมาระหว่างคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กและ แท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสได้ ซึ่งในขณะนั้นเดลล์ระบุว่ายังไม่มีกำหนดเปิดตัวเป็นที่แน่ชัด จนเมื่อวานนี้ (16 พ.ย.) แหล่งข่าววงการอุตสาหกรรมออกมาระบุว่า เดลล์พร้อมเปิดตัว และวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์ตัวดังกล่าว ในวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน ที่ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
       
       "Inspiron Duo" นั้นเป็นคอมพิวเตอร์ลูกผสมระหว่างเน็ตบุ๊กและแท็บเล็ต ที่มีหน้าจอขนาด 10 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 และซีพียู Intel Atom N550 Dual-core และรองรับการเล่นวิดีโอความละเอียด HD 1080p ผลิตออกมาเพือตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤศจิกายน 2010, 17:19:35
Samsung เล็งออก Google TV ต้นปีหน้า

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-google-tv-coming-in-jan-2011-2.jpg)

และแล้ว Sony ก็ไม่ได้เป็นผู้ผลิตทีวีเพียงรายเดียวที่ใช้แพลตฟอร์ม Google TV กับทีวีของบริษัท เนื่องจากรายงานข่าวล่าสุด Samsung มีแผนที่จะรันซอฟต์แวร์ Google TV เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถท่องเว็บ และจัดการกับระบบบันทึกวิดีโอดิจิตอล ตลอดจนคุณสมบัติอื่นๆ อีกเพียบบน HDTV รุ่นใหม่ของทางบริษัทที่จะวางตลาดในต้นปีหน้า

ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดย Yoon Boo Keun ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจทีวีของซัมซุง ซึ่งนักข่าวของ Bloomberg รายงานว่า นอกจากการระบุถึงผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ทางผู้บริหารยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอะไรมากนัก อย่างไรก็ตาม Samsung กำลังจะเป็นบริษัทผู้ผลิตทีวีรายที่สองที่กระโดดเข้ามาเล่นในสังเวียน Google TV โดยจะประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคม 2011

ก่อนหน้านี้ Sony ได้ออก HDTV ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติของ Google TV โดยมีขนาดของจอให้เลือกตั้งแต่ 24 นิ้วไปจนถึง 46 นิ้ว ซึ่งราคาเริ่มต้นที่ 600 - 1,400 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 - 42,000 บาท) นอกจากแพลตฟอร์ม Google TV จะมีให้เลือกใช้ในรูปแบบของทีวีแล้ว ยังมีในแบบอุปกรณ์เสริมการใช้งานทีวีอีกด้วยอย่างเช่น Logitech Revue เซตทอปบ๊อกซ์ที่สามารถเปลี่ยนทีวีของคุณเป็น Google TV ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 16:30:36
Adobe ปล่อย Reader X ให้ดาวน์โหลดแล้ว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017414801.JPEG)

Adobe ประกาศ พร้อมให้ดาวน์โหลด Reader X เวอร์ชั่นแจกฟรี (อ่านไฟล์ได้อย่างเดียวไม่สามารถสร้างเอกสาร PDF ได้) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่้เวอร์ชั่น PRO สามารถอัพเกรดจากเวอร์ชั่นเดิมได้ในราคา 199$ US (ประมาณ 5,900 บาท)
       
       โดยจุดน่าสนใจของ Adobe Reader X อยู่ที่ความสามารถในการเข้าถึงไฟล์ PDF ที่เพิ่มมากขึ้นเพราะนอกจากความสามารถในการเข้าถึงไฟล์เอกสารที่ Reader รุ่นทั่วไปสามารถทำได้แล้วในเวอร์ชั่น 10 หรือจะเรียก X ตามภาษาโรมัน สามารถเข้าถึงเอกสารที่เป็นไฟล์ Video Flash (FLV, F4V) รวมถึงความสามารถในการอ่านไฟล์ CAD และการรองรับ Multiplatform ด้วย
       
       อีกทั้งอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ทาง Adobe เพิ่มลงไปในเวอร์ชั่น 10 ก็คือ ความสามารถในเรื่อง Protected Mode ชึ่งจะช่วยป้องกันเอกสารจากการถูกผู้ไม่ประสงค์ดีขโมยข้อมูลสำคัญไปได้ด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 19:01:05
กูเกิลย้ำ ไม่ได้ขายเสื้อผ้าบน Boutiques.com

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017342101.JPEG)
Boutiques.com เว็บไซต์อีคอมเมิร์ชสินค้าแฟชั่นในเครือกูเกิล ซึ่งกูเกิลยืนยันว่าไม่ได้ลงมาขายสินค้าเอง

ด้วยความหวังว่าจะเป็น"สถานีแรก"สำหรับนักชอปสินค้าสวยงามบนโลกออนไลน์ กูเกิลจึงเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชสินค้าแฟชั่นนาม Boutiques.com โดยย้ำว่าไม่ได้มีจุดประสงค์ขายสินค้าเอง แต่จะเป็นการใช้ทั้งคนและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์เพื่อแนะนำสินค้าให้แก่ขา ชอปอย่างตรงใจ เท่ากับนักชอปจะไม่ต้องเหนื่อยไล่มองหาสินค้าตามเว็บไซต์เองอย่างที่เคยทำมา
       
       ความเคลื่อนไหวนี้ของกูเกิลสอดรับกับการขยายตัวของตลาดค้าสินค้า แฟชั่นออนไลน์ ซึ่งเป็นตลาดที่ Amazon.com Inc. และ eBay Inc. ประกาศปรับนโยบายให้สามารถรุกตลาดนี้ได้ดียิ่งขึ้นแบบไม่มีใครยอมใคร โดยตลาดสินค้าแฟชั่นเครื่องประดับออนไลน์นั้นถูกประเมินว่ามีมูลค่าตลาดสูง ถึง 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2009 ตามการสำรวจของ comScore Inc. และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นต่อไป
       
       โดยสรุป Boutiques.com จะไม่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นโดยตรง แต่จะเป็นสื่อกลางนำขาชอปไปสู่เว็บไซต์ที่จำหน่ายสินค้าโดนใจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้การซื้อสินค้าแฟชั่นสามารถทำได้ง่ายและเพลิดเพลิน ยิ่งขึ้น จุดนี้ Munjal Shah ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของกูเกิล ให้ข้อมูลว่ากูเกิลได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นกว่า 100 คน ทั้งที่เป็นเซเลบฯมีชื่อเสียง สไตลิส และดีไซเนอร์หลากหลาย ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นผู้คัดเลือกเสื้อผ้ามีสไตล์ที่มองว่าควรค่าแก่การซื้อ โดยนักชอปจะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวว่าคนกลุ่มนี้ได้เลือกสินค้าลักษณะใด ไปแล้วบ้าง
       
       นอกจากนี้ กูเกิลยังเตรียมอัลกอลิธึมเพื่อทำดัชนีสไตล์และประเภทสินค้า เพื่อแนะนำสินค้าที่คาดว่าจะตรงกับรสนิยมนักชอป โดยพันธมิตรของกูเกิลในโครงการนี้มีตั้งแต่นักออกแบบแฟชั่นชื่อก้องโลก Oscar de la Renta จนถึงบริษัทค้าปลีกในสหรัฐฯอย่าง Scoop NYC

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017342102.JPEG)
นักชอปจะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวว่าเซเลบฯ นักออกแบบ หรือสไตลิสต์ที่ชื่นชอบ ได้เลือกสินค้าชิ้นใดไปแล้วบ้าง

รายงานระบุว่า กูเกิลมีแผนดึงผู้ใช้เสิร์ชเอนจิน Google.com ให้หันไปใช้ Boutiques.com แทนเมื่อต้องการค้นหาสินค้าแฟชั่นออนไลน์ จุดนี้ Shah ระบุว่าเป็นไปตามนโยบายของกูเกิลที่เริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างบริการค้น หาสินค้าโดยเฉพาะมากขึ้น เช่นบริการค้นหาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ที่ผ่านมา บริการเหล่านี้ของกุเกิลได้รับอานิสงส์เต็มที่จากทราฟฟิกจำนวนมหาศาลที่กู เกิลมีอยู่แล้ว นำไปสู่อัตราการเติบโตต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังได้รับความนิยมไม่เท่า Amazon และ eBay ซึ่งครองใจนักชอปมาหลายยุคหลายสมัย
       
       ผู้ใช้ Boutiques.com จะสามารถเรียกดูสินค้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นได้เลือกไว้แล้ว ทั้งชุดเดรสหลากสีและรองเท้าส้นสูงหลายแนว รวมถึงนานาสินค้าที่ระบบอัลกอริธึมของกูเกิลวิเคราะห์ให้จัดอยู่ในกลุ่ม รสนิยมเดียวกัน จากนั้นนักชอปจะสามารถสร้างบูติคส่วนตัวและรับทราบข้อมูลสินค้าแนะนำได้ อย่างเพลิดเพลิน
       
       หลักการทำงานของ Boutiques.com ถูกมองว่ามีความคล้ายคลึงกับ Like.com ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะ Like.com คือเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลสินค้าซึ่ง Shah เคยสร้างไว้อำนวยความสะดวกนักชอป ก่อนที่กูเกิลจะตัดสินใจกินรวบซื้อกิจการมา คาดว่าเป็นการซื้อขายกิจการในราคาสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
       
       แนวคิดค่าบริการใน Boutiques.com จึงไม่ต่างจาก Like.com โดยผู้ค้าจะจ่ายค่าบริการแก่กูเกิลเมื่อนักชอปคลิกเข้าไปชมหรือซื้อสินค้า ผ่านลิงก์ของกูเกิล ซึ่งค่าใช้จ่ายที่กูเกิลเรียกเก็บในกรณีคลิกชมสินค้าจะต่ำกว่ากรณีมีการซื้อ ขายสินค้า จุดนี้ Shah ระบุว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
       
       Scot Wingo ซีอีโอบริษัท ChannelAdvisor Corp. ซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ค้าสินค้าแฟชั่นบนเว็บไซต์อย่าง Amazon และ eBay ให้ความเห็นว่า Boutiques.com คือความพยายามในการบุกตลาดแฟชั่นอย่างจริงจังครั้งแรกของกูเกิล มองว่าความมีอิทธิพลในโลกแห่งการค้นหาข้อมูลของกูเกิลถือเป็นคำขู่ที่ยักษ์ ใหญ่อย่าง Amazon และ eBay ไม่ควรวางใจ
       
       "Amazon สามารถเป็นเบอร์หนึ่งในวงการอีคอมเมิร์ชได้เพราะนักชอปมองอเมซอนว่าเป็น แหล่งเริ่มต้นที่สามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่าย" จุดนี้เองที่กูเกิลสามารถสร้างแรงกดดันให้กับ Amazon มากที่สุด
       
       เบื้องต้น Boutiques.com ยังเป็นเบตาเวอร์ชันที่ทดลองให้บริการใรขณะนี้ โดยจะสามารถใช้งานกับผู้ประกอบการในสหรัฐฯเท่านั้น และรองรับสินค้าเฉพาะสำหรับสตรี ก่อนจะขยายบริการไปรองรับพื้นที่อื่นต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 15:22:56
3DMark 11 ได้ฤกษ์วางจำหน่ายสิ้นเดือนนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017419901.JPEG)

เป็นข่าวดีสำหรับพวกฮาร์ดคอร์พีซีทั้งหลาย หลังจาก Futuremark ปล่อยให้แฟนๆ 3DMark รอเวอร์ชั่นที่มีชื่อว่า "11" มานาน เพราะล่าสุดทาง Futuremark ประกาศวันวางจำหน่าย 3DMark 11 แล้วในวันที่ 30 พฤศจิกายน หรือสิ้นเดือนนี้
       
       โดยทาง Futuremark ได้กำหนดชุดวางขายและราคาของ 3DMark 11 ไว้ 3 รุ่น เช่นเดียวกับตัวก่อนหน้า (3DMark Vantage) คือ Basic Edition (สามารถดาวน์ได้ฟรี), Advanced Edition และ Professional Edition ซึ่งในส่วนของรายละเอียดสามารถดูได้ที่ตารางด้านล่าง

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000017419902)

จากตารางจะเห็นว่า 3DMark 11 แต่ละรุ่นจะมีราคาที่แตกต่างกันตามความสามารถ โดยถ้าผู้ใช้ต้องการแค่นำไปทดสอบกราฟิกการ์ดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการนำผลคะแนนที่วัดได้ไปใช้เพื่อทำบทความต่างๆ ก็สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ในรุ่น Basic Edition ส่วน Advanced Edition ซึ่งมีความสามารถในการปรับความละเอียดหน้าจอรวมถึงสามารถทดสอบประสิทธิภาพ กราฟิกการ์ดในโหมด Extreme Preset ได้จะมีราคาอยู่ที่ 19.95$ US (ประมาณ 600 บาท) และสุดท้ายสำหรับรุ่น Professional Edition ที่มาพร้อมการรองรับทุกฟังก์ชันของโปรแกรมจะมีราคาอยู่ที่ 995$ US (ประมาณ 29,900 บาท) โดยในวันนี้ทาง Futuremark ได้เปิดให้สั่งจองแล้วที่เว็บของตน

สำหรับ 3DMark 11 เป็นโปรแกรมทดสอบกราฟิกการ์ดและสามารถคำนวณผลคะแนนเป็นตัวเลขได้ ซึ่งสำหรับในเวอร์ชั่น 11 จะรองรับชุดคำสั่ง DirectX 11 เต็มรูปแบบ โดยสเปกคอมพิวเตอร์ที่ตัวโปรแกรมรองรับ ในส่วนของระบบปฏิบัติการณ์จะต้องใช้ Windows Vista และ 7 เท่านั้น สำหรับซีพียูที่โปรแกรมรองรับจะต้องเป็นซีพียู Dual Core มีความเร็วมากกว่า 1.8GHz ขึ้นไป และโปรแกรมจะใช้เนื้อที่ในการติดตั้ง 1.5GB
       
       สุดท้าย 3DMark 11 จำเป็นต้องใช้กราฟิกการ์ดที่รองรับชุดคำสั่ง DirectX 11 ในการรันโปรแกรม เพราะฉะนั้นผู้ใช้ที่มีกราฟิกการ์ดที่รองรับชุดคำสั่งตั้งแต่ DirectX 9 - 10 มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่สามารถรันโปรแกรมนี้ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 18:30:41
RIM โดนมือดีปล่อยดาวน์โหลด BlackBerry OS 6 ล่าสุดสำหรับ Curve และ Bold

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017463901.JPEG)

หลังจาก BlackBerry OS 6.0 ได้เปิดตัวไปแล้วอย่างเป็นทางการพร้อมการรองรับคุณสมบัติใหม่อย่าง Universal Search, Social Feeds รูปแบบใหม่ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพและความเสถียรให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุดมีมือดีนำอัปเดตไฟล์ BlackBerry OS เวอร์ชั่นล่าสุด 6.0.0.358 จาก RIM มาเผยแพร่สู่สาธารณะชนอย่างไม่เป็นทางการแล้ว โดยไฟล์ดังกล่าวเป็นอัปเดตไฟล์ขนาด 155MB แบ่งเป็นรุ่นที่รองรับ 2 รุ่นได้แก่ Curve 9300 และ Bold 9700
       
       *แต่ทั้งนี้ ก่อนจะเข้าสู่การดาวน์โหลดทางผู้จัดการไซเบอร์ขอเตือนก่อนว่า ตัว OS ที่นำมาบอกกล่าวนี้ ยังไม่ใช่ตัว OS ที่ทาง RIM ตรวจสอบความถูกต้องมาเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นใครที่อยากอัปเดตควรศึกษาวิธีการติดตั้งรวมถึงรายละเอียดตาม เว็บบอร์ดหรือเว็บไซต์ต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 20:39:18
NEC Casio Mobile ขยับแข้งลงตลาดแอนดรอยด์โฟน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017466701.JPEG)

ดูเหมือนว่าคู่แข่งระบบปฏิบัติการณ์ไอโอเอส (iOS) คนสำคัญอย่าง แอนดรอยด์ (Android) จะอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก เพราะล่าสุดทาง NEC Casio Mobile ได้ขอเซ็นต์ชื่อเข้าเป็นผู้ปกครองหุ่นกระป๋องเขียวอีกหนึ่งราย
       
       โดยตอนนี้ทาง NEC Casio Mobile ซึ่งนำทีมโดย นาย ยามาซากิ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารยังไม่มีการกล่าวถึงตัวผลิตภัณฑ์นอกจาก เรื่องความคาดหวังในส่วนของการขาย ที่ทางนาย ยามาซากิตั้งเป้าไว้ว่าจะขายสาร์ทโฟนในนาม NEC Casio Mobile ได้ 6 ล้านเครื่องในปี 2012 โดยจะเน้นขายนอกประเทศญี่ปุ่น 60% อีกทั้งทางบริษัทยังตั้งเป้าในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายในการขายไว้ที่กลุ่ม ผู้ใช้งานระดับเริ่มต้นและผู้ใช้งานที่มีทุนทรัพย์ไม่มากเป็นหลัก
       
       ซึ่งงานนี้ถือเป็นความใจกล้าของ NEC Casio Mobile อย่างมาก ที่กล้าเสี่ยงในตลาดสมาร์ทโฟน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน โดยงานนี้จะหมู่หรือจ่าปีหน้าฟ้าใหม่คงได้รู้กันแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 พฤศจิกายน 2010, 21:32:12
Google Docs แก้ไขเอกสารบน iPad ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-docs-mobile-editing-supports-iOS-iPad-android-phone-2.jpg)

ในที่สุด Google Docs เวอร์ชันโมบายก็คลอดออกมาจนได้ ซึ่งประโยชน์ทีผู้ใช้จะได้รับก็คือ คุณสามารถแก้ไขเอกสารของคุณได้ทั้งในขณะที่อยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือขณะเดินทาง โดยแก้ไขผ่านมือถือ Android หรือแม้แต่ iPad เรียกได้ว่า อัพเดตเอกสารของคุณได้ทุกที่ทุกเวลาทุกเวลานั่นเอง

ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ทำให้ผู้ใช้ยุ่งยากในเรื่องของการแชร์ไฟล์ เพื่อวิว หรือแก้ไข แต่ด้วย Google Docs เวอร์ชันโมบายจะทำให้ปัญหานี้ของคุณหมดไป เพราะมันจะทำให้คุณสามารถแก้ไขไฟล์เอกสารเดียวกันนี้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขณะอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่บนมือถือ ตลอดจน iPad แม้เครื่องมือแก้ไขเอกสารบน Google Docs เวอร์ชันโมบายจะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่การตอบโจทย์ความสะดวกข้างต้นจะทำให้คุณลืมข้อจำกัดดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี Google Docs เวอร์ชันบนมือถือ Android ผู้ใช้จะสามารถแทรกข้อความเข้าไปในเอกสารด้วยเทคโนโลยีรู้จำเสียง (voice recognition) หรือใช้เสียงพูดของคุณแทนการพิมพ์ด้วยนิ้วสัมผัสได้อีกด้วย ปัจจุบัน Google Docs จะสนับสนุนอุปกรณ์บนแพลตฟอร์ม Android ที่ทำงานด้วย Froyo และ iOS 3.0 ขึ้นไป (รวมถึง iPad) เล่าให้ฟังอาจจะไม่เห็นภาพชัดเจน ลองชมคลิปแนะนำ Google Docs (เวอร์ชันโมบาย) ข้างล่างนี้ดีกว่าครับ รับรองว่า คุณต้องอยากใช้กันแน่ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 04:37:32
คาด "iPad 2" ลุยตลาดเมษายนปีหน้า

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017480101.JPEG)
iPad แท็บเล็ตยอดฮิตจากแอปเปิลซึ่งคาดว่าจะมีรุ่นที่ 2 ตามมาในเดือนเมษายน ปี 2011

ท่ามกลางข่าวลือมากมายเกี่ยวกับ "iPad 2" แท็บเล็ตรุ่นใหม่ในตระกูล iPad ของแอปเปิลที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าแอปเปิลจะใช้ชื่อใดในการทำตลาด ล่าสุดนักวิเคราะห์จากบริษัท Gleacher & Company ประกาศว่าได้รับข้อมูลวงในที่ชี้ว่า แอปเปิลจะเปิดตัว iPad รุ่น 2 ได้ในเดือนเมษายน 2011 หรืออีกประมาณ 5 เดือนข้างหน้า
       
       การคาดการณ์นี้เป็นของไบรอัน มาร์แชล (Brian Marshall) นักวิเคราะห์ของบริษัท Gleacher & Company ซึ่งให้สัมภาษณ์ต่อนิยสาร Computerworld จนกลายเป็นข่าวทั่วอินเตอร์เน็ต เพราะความเห็นครั้งนี้สวนทางกับรายงานข่าวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสื่อออนไลน์ในช่วงเวลานั้นเชื่อว่า แอปเปิลจะแจ้งเกิด iPad 2 เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปีนี้
       
       อย่างไรก็ตาม ความเห็นของมาร์แชลกลับไปสอดคล้องกับรายงานล่าสุดจากสำนัก Digitimes ที่เชื่อว่า iPad 2 จะยังไม่ถึงกำหนดคลอดในปีนี้ โดยระบุว่าบริษัทซัปพลายเออร์ 3 รายใหญ่ Ibiden, Tripod และ TTM นั้นเพิ่งได้รับใบรับรองจากแอปเปิลในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อให้เริ่มเปิด สายพานการผลิตแผงวงจร HDI สำหรับจัดส่งภายในเดือนธันวาคมนี้ แต่จะเป็นการผลิตชิ้นส่วนแผงวงจรที่ยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้เชื่อว่า iPad2 จะผลิตไม่ทันปลายปีแน่นอน
       
       Digitimes ยังอ้างแหล่งข่าววงในอีกว่า แอปเปิลมีแผนเพิ่มสายการผลิตในโรงงานเพิ่มอีก 4 แห่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า นี่คือสัญญาณที่ชี้ว่าแอปเปิลกำลังเตรียมพร้อมเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบ ในไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งเมื่อคำนวณร่วมกับข่าวลือเรื่องการผลิตหน้าจอที่เชื่อกันว่าเป็นส่วน ประกอบของ iPad รุ่นใหม่ ก็จะเป็นไปในกรอบเวลาที่สอดคล้องกัน
       
       สำหรับคุณสมบัติใหม่ใน iPad2 เชื่อกันว่าจะเป็นการใส่กล้องดิจิตอลด้านหน้าและหลังสไตล์เดียวกับ iPhone 4 เพื่อให้ผู้ใช้ iPad 2 สามารถสื่อสารผ่านวิดีโอได้บนโปรแกรม Facetime ขณะ เดียวกัน หลายเสียงเชื่อว่าแอปเปิลจะเพิ่มเซ็นเซอร์ gyroscopic มาให้คอเกมสามารถเล่นเกมได้หลากหลายบนความสามารถในการตรวจจับความเคลื่อนไหว ของเครื่องได้อย่างอัจฉริยะยิ่งขึ้น รวมถึงกระแสข่าวว่า แอปเปิลอาจจะเปลี่ยนใจมาใช้พอร์ท mini-USB แทนพอร์ตเชื่อมต่อแบบเข็ม 30-pin ที่แอปเปิลใช้กับ iPad รุ่นแรก บนน้ำหนักเครื่องที่คาดว่าจะเบาบางยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 19:43:42
มะรุมมะตุ้ม เตือนภัยเฟซบุ๊ก

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017482901.JPEG)

ดูเหมือนว่ายิ่งเครือข่ายสังคมยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊กเพิ่มคุณสมบัติ ใหม่มากขึ้นเท่าใด ผู้เชี่ยวชาญหลายวงการหลากสาขาก็จะออกมาเตือนภัยการใช้งานเครือข่ายสังคมยอด ฮิตอย่างเฟซบุ๊กมากขึ้นเท่านั้น ล่าสุด ทันทีที่เฟซบุ๊กเปิดตัวระบบข้อความใหม่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสก็ออกประกาศเตือนให้ผู้ใช้ระวังการถูกขโมยตัวตน ตามหลังการประกาศเตือนของกองทัพสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้พลทหารอเมริกันระวังการเปิดเผยตำแหน่งกองกำลังบนเฟซบุ๊กโดย ไม่ได้ตั้งใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานของกองทัพพญาอินทรี
       
       โซโฟส (Sophos) บริษัทรักษาความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประกาศเตือนชาวไอทีให้ระวังตัวก่อนจะ ลงชื่อใช้บริการระบบข้อความใหม่ในเฟซบุ๊ก เนื่องจากพบโอกาสและช่องโหว่มากมายที่นำไปสู่ภัยถูกขโมยตัวตน ในบริการที่เฟซบุ๊กเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
       
       เฟซบุ๊กเพิ่งประกาศว่าได้เพิ่มความสามารถในการรวมข้อความแชต ข้อความสั้น เครื่องมือสื่อสารเรียลไทม์อื่นๆ เข้ากับอีเมลดั้งเดิม โดยมีแผนให้สิทธิ์ผู้ใช้เฟสบุ๊กสามารถมีชื่อบัญชีอีเมลแอดเดรสลงท้ายว่า @facebook.com ได้เพื่อจัดการการรับส่งข้อความทุกประเภทแบบครบวงจร ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถูกเรียกรวมว่าโครงการ "Titan" และจะพร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้เฟซบุ๊กใน 2-3 เดือนข้างหน้า
       
       เกรแฮม คลูลีย์ (Graham Cluley) ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเทคโนโลยีของโซโฟสระบุว่า ผู้ ใช้จำเป็นต้องทราบว่าคุณสมบัติใหม่ของเฟซบุ๊กมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการถูก แอบอ้างชื่อบุคคลบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กมากขึ้น เพราะการเชื่อมโยงบัญชีเฟซบุ๊กเข้ากับผู้ใช้ในวงกว้างจะทำให้นักเจาะระบบมี โอกาสและมีแรงบันดาลใจในการก่อการร้ายมากขึ้น
       
       โซโฟสฟันธงว่านับจากนี้ นักเจาะระบบจะก่อการแอบอ้างชื่อบัญชีเฟซบุ๊กเพื่อส่งข้อความขยะ (บนระบบข้อความใหม่ของเฟซบุ๊ก) มากกว่าการส่งสแปมเมลในระบบอีเมลดั้งเดิมแน่นอน เนื่องจากระบบข้อความของเฟซบุ๊กนั้นเหนือกว่าอีเมลที่สามารถในการเรียกความ เชื่อถือจากผู้รับ ว่าเป็นข้อความที่ส่งมาจากเพื่อนฝูงคนรู้จัก
       
       เหนืออื่นใด คลูลีย์ย้ำว่าผู้ใช้ต้องตระหนักให้ดีว่าเฟซบุ๊กจะเก็บข้อมูลการสื่อสารทั้ง หมดไว้ หากผู้ใช้วางใจเฟซบุ๊กแล้วทำการสื่อสารข้อความครบวงจรบนเฟซบุ๊กจะสร้างความ เสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะการนำข้อมูลการสื่อสารไปใช้ในทางมิชอบทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
       
       ทั้งหมดนี้ โซโฟสเรียกร้องให้เฟซบุ๊กพัฒนาระบบคัดกรองและรักษาความปลอดภัยในเฟซบุ๊กอ ย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ใช้เฟสบุ๊กตกเป็นเหยื่อของวงจรรับส่งข้อความขยะ ภัยแอบอ้างบุคคล รวมถึงกลลวงฟิชชิ่งซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายด้านการเงิน ส่วนด้านผู้ใช้ โซโฟสย้ำให้สาวกเฟซบุ๊กทุกคนดูแลตัวเองด้วยการตั้งรหัสผ่านที่ยากต่อการคาด เดา อัปเดทซอฟต์แวร์ระบบการรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัยอยู่เสมอ และหมั่นตรวจตราความผิดปกติของนานาแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับชื่อบัญชี เฟซบุ๊กอย่างสม่ำเสมอ
       
       ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ระบบข้อความของเฟซบุ๊กนั้นถูกใช้งานเป็นประจำโดยผู้ใช้เฟสบุ๊กมากกว่า 350 ล้านคน (จากทั้งหมด 500 ล้านคน) สถิติการส่งข้อความคือ 4,000 ล้านข้อวามต่อวัน
       
       การประกาศเตือนภัยของโซโฟสเกิดขึ้นตามหลังแถลงการณ์จากกองทัพสหรัฐฯ ที่เตือนพลทหารอเมริกันไม่ให้ประมาทต่อการใช้บริการเฟซบุ๊กและเครือข่าย สังคมออนไลน์อื่นๆ เนื่องจากอาจเป็นการเปิดเผยฐานที่มั่นให้ศัตรูรู้โดยไม่เจตนา โดยเป็นการประกาศเตือนหลังจากที่เฟซบุ๊กเพิ่มความสามารถใหม่ให้ผู้ใช้สามารถ ระบุพิกัดตำแหน่งที่อยู่ได้โดยไม่ต้องเข้าสู่บริการอื่นให้ยุ่งยาก
       
       แถลงการณ์ดังกล่าวถูกโพสต์และส่งไปยังผู้บังคับบัญชาหน่วย งานต่างๆในกองทัพสหรัฐฯ โดยแสดงความกังวลต่อเทคโนโลยีใหม่ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถกำหนดจุดที่อยู่ บนแผนที่ออนไลน์ได้อย่างสะดวก เนื้อความโดยสรุประบุว่าการใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่งในเครือข่ายสังคมอย่าง ขาดความรอบคอบของพลทหาร อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงต่อปฏิบัติการความมั่นคงของประเทศ ซึ่งไม่เพียงเฟซบุ๊ก สมาร์ทโฟนแบล็กเบอรี (บีบี) และอุปกรณ์อื่นที่มีระบบระบุพิกัดจีพีเอส รวมทั้งการใช้บริการที่มีความสามารถในการระบุพิกัดทั้งโฟว์สแควร์ ล้วนมีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯทั้งสิ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 20:37:07
iPad รุ่นใหม่ ฝังซิมการ์ดในตัว

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017520901.JPEG)

แม้ที่ผ่านมาแอปเปิลจะออกมาประกาศว่าบริษัทจะล้มเลิกความคิดการฝัง ซิมการ์ดลงใน iPhone แต่ล่าสุดมีข่าวลือออกมาว่าบริษัทกำลังเตรียมผลิต iPad ที่มาพร้อมซิมการ์ดในตัว
       
       หนังสือพิมพ์ The Telegraph เมืองผู้ดีรายงานว่า แอปเปิลเตรียมผลิต iPhone 4 และ iPad ที่มีการฝังซิมการ์ดไว้ภายในตัวออกมาวางจำหน่ายบนท้องตลาด โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้ผู้ซื้อใช้งานบนเครือข่ายผู้ให้บริการตนโดยตรง แทนการซื้อเครื่องเปล่ามาใส่ซิมการ์ดเครือข่ายอื่น
       
       โดยแอปเปิลมีแผนจะเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ก่อนเทศกาลคริสมาสต์ที่จะมาถึง หรืออย่างช้าช่วงต้นปี 2011 หลังจากเคยเปิดตัว iPad รุ่นแรกในช่วงปลายเดือนมกราคม 2010

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 พฤศจิกายน 2010, 21:44:38
ลือหึ่ง Google เสนอซื้อทวิตเตอร์ 2.5-4 พันล.ดอลล์

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017526301.JPEG)

หลังจากมีข่าวว่าGoogle (Google) ต้องการซื้อบริการรับส่งบล็อกสั้นทวิตเตอร์ (Twitter) ตั้งแต่ช่วงก่อนสงกรานต์ ล่าสุด แหล่งข่าวนิรนามรายหนึ่งระบุว่าGoogleเสนอราคาซื้อหุ้นทวิตเตอร์สูงถึง 2,500 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 75,000 ล้านบาท ขณะที่อีกรายหนึ่งระบุว่าGoogleใจป้ำเสนอราคาถึง 4,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 120,000 ล้านบาท
      
       รายงานจากซิลิกอนวัลเลย์อินไซเดอร์ย้ำว่า ราคาเสนอซื้อหลายพันล้านเหรียญนี้ยังไม่มีความชัดเจนและยังไม่ใช่ราคาเสนอ ซื้ออย่างเป็นทางการแน่นอน เนื่องจาก 2 ตัวเลขนี้มีความต่างกันมาก โดยตัวเลข 2,500 ล้านเหรียญมาจากแหล่งข่าวที่เป็นผู้บริหารซึ่งอ้างว่าเป็นผู้รู้เห็นในการ เจรจา ขณะที่ตัวเลข 4,000 ล้านเหรียญเป็นตัวเลขจากแหล่งข่าวผู้ถือหุ้นทวิตเตอร์ ซึ่งระบุว่าทวิตเตอร์ไม่ยอมรับข้อเสนอ 4 พันล้านเหรียญเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว (กรกฏาคม 53) โดยที่แหล่งข่าวไม่มีข้อมูลว่าเป็นการเสนอซื้อโดยใคร
      
       แหล่งข่าวทั้ง 2  คาดว่าไมโครซอฟท์ได้ร่วมเสนอราคาซื้อทวิตเตอร์ด้วย จุดนี้รายงานวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่Googleต้องการปกป้องไม่ให้ทวิตเตอร์ตกไปอยู่ใน มือไมโครซอฟท์ จึงเสนอราคาซื้อไว้แทน
      
       ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์เคยประกาศว่ากำลังอยู่ระหว่างการเพิ่มทุนปฏิบัติการอีก 3,000 ล้านเหรียญ ใกล้เคียงกับตัวเลขเสนอซื้อกิจการ 4,000 ล้านเหรียญ
      
       ข่าวการแย่งกันเสนอซื้อทวิตเตอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ถือเป็นสัญญาณ ความสำเร็จของบริษัทเกิดใหม่อย่างทวิตเตอร์ บริการที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถบอกเล่าความเป็นไปใน ขณะนั้นได้ในรูปเว็บล็อกความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษรแก่เพื่อนในกลุ่ม ผู้ใช้สามารถส่งข้อความว่ากำลังทำอะไรที่ไหนอย่างไรไปยังคอมพิวเตอร์ของ เพื่อนที่ออนไลน์อยู่ในขณะนั้น ได้รับความนิยมมากเนื่องจากความสะดวกในการติดต่อข่าวสารระหว่างคนในกลุ่มแบบ รวดเร็วทันใจและไม่มีค่าใช้จ่าย เว้นแต่จะเป็นการส่งข้อความสู่โทรศัพท์มือถือ
              
       อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างGoogleและทวิตเตอร์อาจไม่ใช่การซื้อขายบริษัทก็ได้ และเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจสนใจทำงานร่วมกันเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจของกัน และกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ร่วมก่อตั้งทวิตเตอร์อย่างบิซ สโตน (Biz Stone) เคยกล่าวเมื่อกุมภาพันธ์ 53 ว่าต้องการเป็นพันธมิตรกับหลายบริษัท และยังไม่มีความคิดที่จะขายบริษัทในขณะนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 02:08:31
LG กิมจิปั้นแท็ปเล็ตวินโดวส์ 7 ราคาแรง!

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017522101.JPEG)

แอลจี ประเทศเกาหลีเปิดตัวคอมพิวเตอร์กระดานชนวนรุ่น H1000B โดยให้ชื่อว่า "E-Note" (อี-โน้ต) ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7
       
       "E-Note" มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter Edition, หน้าจอแสดงผล Capacitive แบบสัมผัส ขนาดกว้าง 10.1นิ้ว (ความละเอียด 1366 x 768พิกเซล), ใช้หน่วยประมวลผล Intel Atom Z510 หรือ Z530 ความเร็ว 1.6GHz, RAM 1GB, ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความจุ 16GB รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 3.0 ไวไฟ 802.11b/g/n ตัวอ่านเอสดีการ์ด และช่องต่อยูเอสบี 2.0 จำนวน 2 ช่อง และมีน้ำหนัก 850กรัม น่าเสียดายที่แอลจีไม่ใส่กล้องถ่ายรูปมาให้ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติหลักที่แท็บเล็ตแบรนด์อื่นๆ มี
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017522102.JPEG)

       แม้คุณสมบัติที่ให้มาอาจดูไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แต่แอลจียังคงยืนยันจะเปิดตัวแท็บเล็ต "E-Note" H1000B ในไม่ช้านี้ โดยจะวางจำหน่ายในราคา 850 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25,500 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 03:17:31
ลือ!!! หนังสือพิมพ์ iPad ใกล้คลอดแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/news-corp-join-apple-lauch-the-daily-newspaper-on-ipad-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด News Corp ยักษ์ใหญ่ทางด้านสื่ออาจจะกำลังทำงานร่วมกับ Apple เพื่อสร้างหนังสือพิมพ์ขึ้นมาใหม่สำหรับใช้อ่านบน iPad โดยเฉพาะ โดยมีกำหนดการเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างนี้ด้วยค่าบริการแค่ 99 เซนต์ (ประมาณ 30 บาท) ต่อสัปดาห์เท่านั้น

ข่าวลือดังกล่าวเล็ดลอดออกมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวแฟชั่น Women's Wear Daily ที่อ้างว่า Rupert Murdoch ซีอีโอของ News Corp กับ Steve Jobs ซีอีโอ Apple ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดสำหรับโครงการพิเศษ ซึ่งเรียกว่า "The Daily" โดยกล่าวว่า Jobs และ Murdoch อาจจะปรากฎตัวร่วมกัน เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้

ไม่เพียงเท่านั้น The Guardian ใน U.K. ยังรายงานข่าวในเชิงลึกยิ่งกว่า โดยระบุว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง News Corp กับ Apple ในเรื่องของแท็บเล็ตเท่านั้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้จะไม่ใช่สิ่งพิมพ์ หรือเว็บ แต่เป็นการพัฒนาแอพพลิเคชันที่ได้รับความช่วยเหลือจากวิศวกรของ Apple อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะไม่ได้ใช้กับ iPad เท่านั้น The Daily ของ News Corip จะมีบนแท็บเล็ตอื่นๆ ด้วย แต่เนื่องจาก Murdoch เชื่อว่า iPad เป็นกลไกหลักของการเปลี่ยนเกมครั้งนี้ เนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่ใช้มันรับข้อมลข่าวสาร

ตามรายงานอ้างว่า แผนก The Daily จะทำงานอยู่บนชั้นที่ 26 ของสำนักงาน News Corp ใน New York โดยมีการว่าจ้างนักข่าวถึง 100 คนสำหรับงานนี้ คาดว่า The Daily จะถูกประกาศตามหลังแผนการให้บริการสมัครรับหนังสือพิมพ์ของ Apple ที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple กำลังสร้างแอพพลิเคชันเฉพาะขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการใช้บริการ Digial Newsstand (แผงหนังสือดิจิตอล) สำหรับนิตยสาร และหนังสือพิมพ์อีกด้วย ลักษณะคล้ายกับ iBook ที่เป็นแอพฯตัวหนึ่งบน iPad

ขอบคุณข้อมูลจาก: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 12:42:04
ได้เวลา "นสพ.เพื่อ iPad"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017539001.JPEG)

กลายเป็นข่าวที่สื่อน้อยใหญ่ในสหรัฐฯให้ความสนใจอย่างมากสำหรับโป รเจกต์ "The Daily" โครงการใหม่ที่มีการอ้างว่าเป็นความร่วมมือระหว่างสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอแอปเปิลผู้ผลิต iPad กับรูเพิร์ต เมอร์ดอช ซีอีโอนิวส์คอร์ปซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน เนื้อข่าวระบุว่าผลผลิตจากโครงการคือหนังสือพิมพ์รายวันเวอร์ชันเฉพาะสำหรับ ชาว iPad ที่จะสามารถอ่านได้ทุกวันในราคา 99 เซนต์ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 4-5 บาทต่อวัน
       
       รายงานจากนิวยอร์กไทมส์ชี้ว่า The Daily จะเป็นหนังสือพิมพ์รายวันชนิดแรกที่มาพร้อมมัลติมีเดียและภาพที่ออกแบบมา เพื่อการแสดงบนคอมพิวเตอร์พกพาทรงกระดานชนวนของแอปเปิลโดยเฉพาะ ซึ่งจะเหนือกว่าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ดั้งเดิมที่การจัดวางและลูกเล่นในการนำเสนอที่รองรับการสัมผัสหน้าจอมากกว่า
       
       นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า The Daily จะถูกพัฒนาในสำนักงานนิวส์คอร์ปสาขาแมนฮัตตัน บนตัวเลขการลงทุนมากกว่า 30 ล้านเหรียญ ท่ามกลางทีมงานราว 100 คน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถหลากหลายทั้งด้านดนตรี การผลิตทีวี งานข่าว และนานางานคอนเทนต์
       
       สำนักข่าวอเมริกันอ้างแหล่งข่าววงในว่า ผู้ ใช้ iPad จะสามารถรับบริการหนังสือพิมพ์รายวันเวอร์ชันพิเศษในราคาค่าบริการราว 0.99 เหรียญต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 4.25 เหรียญต่อเดือน (ราว 30 บาทต่อสัปดาห์ และ 130 บาทต่อเดือน) โดยเบื้องต้น เชื่อว่า The Daily เวอร์ชันทดลองจะสามารถเริ่มชิมลางสู่มือผู้บริโภคในเดือนธันวาคมนี้
       
       ข้อมูลจากสำนักข่าว Women's Wear Daily ระบุว่า The Daily จะมีเนื้อหาครอบคลุมข่าวในประเทศสหรัฐอเมริกา ลักษณะเด่นจะเหมือนหนังสือแท็บลอยด์ดิจิตอลที่อ่านง่ายและสนุกเพลิดเพลิน โดยอาจมาในรูปแอปพลิเคชันแยกเดี่ยวให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดไปใช้งาน คาดว่า The Daily เวอร์ชันเต็มจะสามารถเปิดตลาดได้ในปี 2011
       
       ก่อนหน้านี้ เมอร์ดอชเคยให้สัมภาษณ์ว่า The Daily คือโครงการที่น่าตื่นเต้นอันดับ 1 ซึ่งจะเป็นโครงการเรือธงสำหรับนิวส์คอร์ป ความเห็นนี้ไม่น่าแปลกใจหากนิวส์คอร์ปจะมอง iPad เป็นเค้กก้อนใหญ่ที่นำรายได้จากกระเป๋าผู้บริโภคมาสู่ธุรกิจงานข่าว เนื่องจากที่ผ่านมา แอปเปิลสามารถพิสูจน์ตัวเองให้วงการสื่อมวลชนเห็นว่าสามารถทำเงินได้จริง
       
       ตัวอย่างเช่นแอปพลิเคชันของหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นอล (Wall Street Journal) บน iPad ที่สามารถสร้างเม็ดเงินจากโมเดลสมัครสมาชิกได้เป็นกอบเป็นกำ ขณะเดียวกัน นิวส์คอร์ปก็มีสัมพันธ์อันดีกับแอปเปิล โดยรายงานก่อนหน้านี้ชี้ว่าเมอร์ดอชตกลงให้แอปเปิลจำหน่ายรายการทีวีโชว์ของ สถานี Fox TV บนร้าน iTunes ในราคา 99 เซ็นต์ต่อ 1 ตอนแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า The Daily จะรองรับเฉพาะ iPad อย่างเดียวหรือไม่ โดยสื่อต่างประเทศเชื่อว่า The Daily น่าจะสามารถใช้งานกับอุปกรณ์แท็บเล็ตค่ายอื่นได้ด้วย ในเบื้องต้นเชื่อว่าจะสามารถโกยผู้ใช้งานในสหรัฐฯมากกว่า 100,000 คนในเวลาไม่นาน บนยอดเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ
       
       เหนืออื่นใด The Daily จะทำให้ iPad กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทวีความท้าทายเครื่องอ่านอีบุ๊กอย่าง Kindle หรือ Nook ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ไม่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ยิ่งขึ้น และหาก The Daily ประสบความสำเร็จ วงการสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้งในอเมริกาและทั่วโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 16:04:06
ไมโครซอฟท์ งัดข้อแฮกเกอร์ ส่งระบบตรวจสอบลิขสิทธิ์ ลง "วินโดว์โฟน 7"

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017562001.JPEG)

ผู้ใช้หลายท่านที่ชอบใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ที่เป็นแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์ คงเคยเห็นหน้าตา Genuine Software ปรากฏขึ้นมาในบางครั้งที่เผลอไปอัปเดตตัวระบบปฏิบัติการจนอาจทำให้เกิดปัญหา กับตัววินโดว์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้น
       
       ซึ่งในวันนี้เมื่อไมโครซอฟท์คลอดวินโดว์โฟน 7 ออกมาและมีมือดีพยายามแฮกระบบของวินโดว์โฟน 7 ให้ไปใช้งานบนสาร์ทโฟน HTC HD2 ทำให้ทางไมโครซอฟท์ต้องของัดข้อกับเหล่าแฮกเกอร์ด้วยการนำระบบ Genuine Checker หรือระบบตรวจสอบซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ ติดตั้งลงไปในวินโดว์โฟน 7 โดยหลักการทำงานคือ เมื่อผู้ใช้เปิดโทรศัพท์เพื่อใช้งานวินโดว์โฟน 7 ระบบจะทำการดึง PVK (Private Keys) ซึ่งจะถูกเก็บไว้บน Mainboard ของสาร์ทโฟนแต่ละแบรนด์ มาทำการ Activate ระบบ โดยถ้าผู้ใช้ที่กำลังรันวินโดว์โฟน 7 บน custom ROM ซึ่งแน่นอนว่า PVK จะไม่ถูกเก็บค่าตามมาด้วย จะทำให้ตัวระบบปฏิบัติการไม่สามารถเข้าใช้เซอร์วิสต่างๆ อาทิเช่น Marketplace, XBOX Live Windows Live หรือ Zune ได้
       
       อีกทั้งในส่วนของการพยายามแฮก XBOX Live บนวินโดว์ 7 ให้สามารถลงซอฟต์แวร์หรือเกมละเมิดลิขสิทธิ์ ทางไมโครซอฟท์ได้ตั้งมาตราการ "ระงับ" บัญชีรวมถึงตัวเครื่อง โดยจะมีข้อความแจ้งเตือน
       
       "This phone has been banned from Xbox LIVE for violating the Xbox LIVE Terms of Use. To protect the Xbox LIVE service and its members, Microsoft does not provide details about phone bans. There is no recourse for Terms of Use violations."
       
       ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้แฟน XBOX360 คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีจากการที่ไมโครซอฟท์เคยมีการล้างบาง ระงับบัญชีรวมถึงตัวเครื่องของผู้ใช้ XBOX360 ที่ทำการดัดแปลงให้สามารถเล่นเกมที่ละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนกว่า 1 ล้านยูสเซอร์ในปี 2009 มาแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: MGO Cyber Biz


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 19:20:20
Facebook กำลังยึดครอง"อินเทอร์เน็ต"

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-taking-over-internet-as-user-homepage-2.jpg)

Facebook กำลังจะครองแทรฟฟิกบนอินเทอร์เน็ตไปแล้ว เมื่อสถิติล่าสุดพบกว่า เพจวิวประมาณ 25% เป็นของโซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งแห่งนี้ โดยสถิติในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเทียบกับปี 2010 พบว่า แทรฟฟิกของเว็บไซต์มีการเติบโตสูงถึง 60% เลยทีเดียว

Experian Hitwise เว็บไซต์ที่ตรวจจับสถิติการใช้งานบนอินเทอร์เน็ตเปิดเผยว่า Facebook กำลังจะครอบครองอินเทอร์เน็ตแล้ว โดยเพจวิว 1 ใน 4 เป็นของเว็บไซต์แห่งนี้ และมีส่วนแบ่งของผู้เยี่ยมชม 10% ในขณะเดียวกัน Google ตกเป็นที่สองอยู่ที่ 7% ตามด้วย YouTube (ของ Google) 3% อย่างไรก็ดี หากรวม Google กับ YouTube จะได้เพจวิวทั้งหมดคิดเป็น 11.7% อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน Google ก็ได้เคยพ่ายแพ้ให้กับ Facebook มาแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-taking-over-internet-as-user-homepage-3.jpg)

วันนี้ Facebook มีผู้เข้าชมคอนเท็นต์สูงกกว่า YouTube โดยมีแทรฟฟิกจาเพจวิว 24.27% เทียบกับ YouTube 6.93% ในขณะที่ Google มีแทรฟฟิกของเพจวิวแค่ 4.13% เท่านั้น ตามด้วย Yahoo ที่ครองส่วนแบ่งเพจวิว 0.54%

ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่เลือกที่จะตั้งให้ดีฟอลต์เพจเป็น Facebook ของตนเอง ประกอบกับล่าสุด ทางบริษัทได้เริ่มแนะนำให้ผู้ใช้บางรายด้วยการถามว่า ต้องการตั้งให้ Facebook เป็นโฮมเพจ หรือไม่? เพื่อจะได้เข้าถึงง่ายกว่า และเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะแค่เปิดบราวเซอร์ก็จะเข้าสู่ Facebook ทันที ด้วยวิธีนี้ ทางทีมงานของ Facebook มั่นใจว่า จะทำให้แทรฟฟิกของตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเติบโตที่คาดว่าจะสามารถถึง 1 พันล้านได้ภายในปี 2011

ขอบคุณข้อมูลจาก [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: RiceX ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 19:28:54
ข้อมูลจาก เอ.อาร์.ไอ.พี มีลิงค์

แล้วข้อมูลจาก MGO Cyber Biz ไม่มีลิงค์หละ



หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 พฤศจิกายน 2010, 22:55:46
Google Connect ปันใจผู้ใช้ Office

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-cloud-connect-MS-Office-documents-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด Google เสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่เปิดให้บริการ"ปลั๊กอิน" (Plug-in)ใหม่ Google Connect ซึ่งถือได้ว่าเป็น"อาวุธลับ"ในการที่จะดึงผู้ใช้ให้ถอนตัวจาก Microsoft Office หันไปใช้ Google Docs นับเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมากทีเดียว

Google Cloud Connect เป็นปลั๊กอินตัวใหม่ที่ออกแบบให้ดาวน์โหลด และติดตั้งได้ง่ายมาก เพียงแค่ 30 วินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกทาง Google จะเปิดให้สมาชิกบางรายที่เป็น tester ได้ดาวน์โหลดปลั๊กอินเวอร์ชันทดลองตัวนี้ไปใช้ ส่วนการจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่ว ไปเมื่อไรนั้นยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด สำหรับการทำงานของปลั๊กอิน Google Connect จะเป็นการแทรกหน้าต่างเล็กๆ เข้าไปบนทูลบาร์หลักของโปรแกรม Office โดยผู้ใช้สามารถส่งก็อปปี้ของไฟล์เอกสาร Word, Excel หรือ Powerpoint ไปยังบัญชีผู้ใช้ Google ซึ่ง Connect จะสร้างลิงค์เชื่อมโยงก็อปปี้ของเอกสารที่เก็บบนเซิร์ฟเวอร์ในระบบ Cloud ของ Google ได้

หลังจากส่งไฟล์เอกสาร Office ขึ้นไปบน Google Cloud แล้ว ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงเอกสารดังกล่าวได้จากบราวเซอร์จากพีซี หรือเน็ตคาเฟ่ต่างๆ ตลอดจนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตด้วยบริการของ Google Docs ได้แล้ว นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถแชร์ลิงค์ของเอกสารให้กับผู้ใช้ Google คนอื่นๆ ได้ด้วย ทำให้สามารถแก้ไขเอกสารตัวเดียวกันได้พร้อมกันอีกต่างหาก ปลั๊กอิน Google Connect สามารถติดตั้งเป็นทูลบาร์ใน Word, Excel และ PowerPoint ของชุด Office 2003, 2007 และ 2010 นั่นหมายความว่า ผู้ใช้สามารถเข้าถึงไฟล์เอกสาร Office เวอร์ชัน Web ด้วยอินเตอร์เฟซของโปรแกรม Office ที่คุ้นเคยได้ทันที หรือจะแก้ไขผ่าน Google Docs บนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ก็ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-cloud-connect-MS-Office-documents-3.jpg)

Google Connect จะเหมาะสำหรับ SMEs ที่ต้องการควบคุมงบประมาณ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ Office เวอร์ชันเก่า ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ Google Connect เพื่อใช้บริการผ่าน Internet Cloud ของ Google ทำให้เกิดความคล่องตัว และประหยัดงบประมาณในการอัพเกรดได้อีกด้วย คงต้องติดตามกันดูต่อไปว่า แผนเปลี่ยนใจผู้ใช้ Office ให้หันมาสนใจ Google Docs ที่ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความคล่องตัวในการใช้งานจะประสบความสำเร็จ หรือไม่?

ขอบคุณข้อมูลจาก [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 04:17:18
หนอน Koobface อาละวาดอีกบน Facebook, Twitter

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016289701.JPEG)

บริษัท Intego และ SecureMac บริษัทจำหน่ายซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยบนระบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอช ประกาศเตือนภัยผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 3 ระบบปฏิบัติการทั้งแมคอินทอช ลินุกซ์ และวินโดวส์ ให้ระวังการกลับมาอาละวาดของหนอนคอมพิวเตอร์นาม Koobface ซึ่งแพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายสังคมยอดฮิตทั้ง Facebook, MySpace และ Twitter
       
       หนอน Koobface เวอร์ชันใหม่ถูกให้ชื่อว่า "Boonana" โดยถูกระบุว่าเป็นหนอนที่มุ่งโจมตีผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Mac OS X หลัก การทำงานคือ Boonana จะแฝงตัวไปกับข้อความในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่เรียกร้องความสนใจให้ เหยื่อคลิกเปิดลิงก์อันตราย เช่นข้อความ "Is this you in the video?" เมื่อเหยื่อหลงเชื่อคลิกลิงก์เพื่อชมว่าเป็นวิดีโอใด โปรแกรม Java ฝังไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องโดยที่เหยื่อไม่ทันรู้ตัว
       
       นี่ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของหนอน Koobface ซึ่งเคยมุ่งโจมตีเฉพาะผู้ใช้พีซีระบบปฏิบัติการวินโดวส์ช่วงปี 2009 โดยชื่อ Koobface นั้นเป็นการกลับตัวอักษร Facebook ขณะที่ชื่อ Boonana มาจากชื่อบัญชีปลอมที่เป็นต้นตอการกระจายข้อความลวง ซึ่งล่าสุด ประชาสัมพันธ์ Facebook ระบุว่าบริษัทรับรู้ถึงการระบาดของหนอนคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมยืนยันว่าเป็นการโจมตีที่จำกัดในวงแคบเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 13:48:48
"ซิมการ์ด" ไม่หยุดแค่มือถือ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017571601.JPEG)

กลุ่มโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายรายใหญ่ของ โลกประกาศแผนส่งออกซิมการ์ดไปสู่อุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ แจ้งเกิดในอุปกรณ์พกพา เช่นเนวิเกเตอร์นำทาง เครื่องเล่นเพลงพกพา เครื่องเล่นเกม และนานาอุปกรณ์เคลื่อนที่ภายในปี 2012 หวังฝังซิมการ์ดลงในอุปกรณ์โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องยุ่งยากหาซื้อซิมเพื่อต่ออิน เทอร์เน็ตกับโอเปอเรเตอร์ แถมเลือกใช้บริการของโอเปอเรเตอร์รายใดก็ได้เมื่อต้องการใช้งาน
       
       กลุ่มโอเปอเรเตอร์เจ้าของแผนขยายอาณานิคมซิมการ์ดนี้คือสมาคม GSM Association โดยรายงานระบุว่าสมาชิกสมาคมได้เริ่มศึกษาการฝังซิมการ์ดลงในอุปกรณ์พกพา อื่นๆ ที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือแล้ว เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายได้ ยืดหยุ่นกว่าเดิม
       
       ซิมการ์ด (SIM card) หรือ subscriber identity module คือชิปขนาดเล็กที่ทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถระบุตัวตนได้บนเครือข่ายไร้สาย GSM ในอดีตเทคโนโลยีซิมการ์ดมีบทบาทเฉพาะวงการโทรศัพท์ แต่ในยุคแห่งการสื่อสาร 3G และ LTE ซิมการ์ดได้ถูกใช้ในการเพื่อการส่งถ่ายข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นอินเทอร์เน็ตซิมหรือซิมการ์ดที่ออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์ เน็ตในอุปกรณ์พกพา ทั้งหมดนี้ถือเป็นสัญญาณเติบโตของอิทธิพล GSM นอกจากวงการการสื่อสารด้วยเสียง
       
       รายงานย้ำว่าการฝังซิมการ์ดลงในอุปกรณ์จะมีลักษณะต่างไปจากปกติ เพราะจะไม่สามารถถอดเข้าออกได้เหมือนซิมการ์ดในโทรศัพท์หรือในคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตเช่น iPad, Samsung Galaxy Tab และนานาอุปกรณ์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตซิมในการเชื่อมต่อ โดย ซิมการ์ดใหม่ที่จะฝังลงไปในตัวเครื่องจะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้โอ เปอเรเตอร์หรือผู้ให้บริการเครือข่ายรายใดเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ โดยผู้ใช้ไม่ต้องเดือดร้อนติดต่อกับศูนย์บริการเครือข่ายเพื่อการซื้ออิน เทอร์เน็ตซิมการ์ดอย่างที่เคยเป็นมาตลอด
       
       แรงบันดาลใจของแนวคิดนี้คือความสำคัญของอินเทอร์เน็ตในอุปกรณ์พกพา เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้จากการเชื่อมต่อ กับอินเทอร์เน็ตไร้สาย เช่น ผู้ใช้ กล้องดิจิตอลจะสามารถอัปโหลดไฟล์ภาพความจุสูงได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องใช้ สายเชื่อมต่อใดๆ หรือผู้ใช้เครื่องเล่นเพลงพกพาที่จะสามารถดาวน์โหลดเพลงหรือทีวีโชว์ความ ละเอียดสูงได้ไม่ต่างจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟน แต่เครือข่ายไร้สายที่ใช้ กันแพร่หลายในขณะนี้อย่าง Wi-Fi กลับไม่ถูกใช้งานบนอุปกรณ์พกพาเนื่องจากสิ้นเปลืองพลังงาน ขณะที่การเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย ก็ทำให้ต้นทุนการใช้งานอุปกรณ์เพิ่มขึ้น
       
       GSMA มองว่าอนาคตของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์พกพาเหล่านี้คือการติดซิ มการ์ดลงในอุปกรณ์ แต่พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่มักไม่พอใจกับการถูกบังคับให้ใช้บริการจากโอ เปอเรเตอร์รายเดียวตลอด จึงทำให้ GSMA ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานโอเปอเรเตอร์ได้ในภายหลัง เนื่องจากมีโอกาสน้อยมากที่ผู้บริโภคจะซื้อกล้องดิจิตอลที่เชื่อมต่อกับโอ เปอเรเตอร์รายใดรายหนึ่งตลอดไป
       
       ร็อบ คอนเวย์ (Rob Conway) ประธาน GSMA ให้ความเห็นว่าวิธีการนี้จะสามารถเพิ่มรายได้ให้โอเปอเรเตอร์อีกทางหนึ่ง และนอกจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต วิธีการนี้จะทำให้อุปกรณ์พกพาสามารถรองรับการใช้งานเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อีก หนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีเพื่อการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ near-field communication (NFC) ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือเช่นเด็กหรือผู้สูงอายุ สามารถวางเครื่องเล่นเกมหรือเครื่องเล่นเพลงพกพาของตัวเองลงบริเวณเครื่อง อ่าน เพื่อชำระเงินค่ารถไฟหรือค่าน้ำอัดลมจากตู้จำหน่ายได้ในอนาคต
       
       โอเปอเรเตอร์ที่ถูกระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อ พัฒนาเป็นระบบซิมการ์ดฝังตัวมีทั้งสัญชาติสหรัฐฯ จีน เยอรมนี ฝรั่งเศส เกาหลี ญี่ปุ่น และอิตาลี ได้แก่ AT&T, China Mobile, Deutsche Telekom, France Telecom Orange, KT, NTT Docomo, SK Telecom, Telecom Italia, Telefonica, Verizon Wireless และ Vodafone รายงานระบุว่าทั้งหมดกำลังประสานงานกับผู้ผลิตซิมการ์ดของตัวเอง และมีแผนที่จะวิเคราะห์ความต้องการของตลาดร่วมกันในปลายเดือนมกราคม ปีหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 16:42:38
PCI-SIG เข็นมาตราฐาน PCI Express 3.0 ลงตลาด

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017621101.JPEG)

หลังจาก The PCI Special Interest Group (PCI-SIG) ผุดแนวคิดมาตราฐานการส่งข้อมูลบนสล็อต PCI Express เวอร์ชันใหม่ 3.0 ล่าสุดทาง PCI-SIG พร้อมปล่อยมาตราฐาน PCI Express 3.0 ลงสู่ตลาดฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์แล้ว
       
       โดยสเปกของมาตราฐาน PCI Express เวอร์ชัน 3.0 จะมีความกว้างในการส่งข้อมูล (Data Rate) อยู่ที่ 8 Giga-Transfer ต่อวินาที ในส่วนความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 1GB ต่อวินาทีสำหรับการรับ-ส่งที่ 1 เลน ซึ่งในอนาคตถ้ากราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่รองรับ PCI Express 3.0 มีความเร็วรับ-ส่งอยู่ที่ 16 เลน ก็จะได้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลรวมทั้งหมดอยู่ที่ 16GB ต่อวินาที ซึ่งเรียกได้ว่าเร็วมากทีเดียว
       
       สุดท้ายสำหรับผู้ใช้ที่กังวลเรื่องการรองรับกับฮาร์ดแวร์เก่าๆ ที่ยังใช้มาตราฐาน PCI Express ตั้งแต่เวอร์ชัน 1-2 อยู่ทาง PCI-SIG ได้ออกมายืนยันแล้วว่า มาตราฐาน PCI Express 3.0 จะรองรับกับฮาร์ดแวร์ทุกรุ่น (Backward Compatible) ถึงแม้ฮาร์ดแวร์เหล่านั้นจะรองรับ PCI Express เพียงแค่เวอร์ชัน 1 ก็ตาม

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 19:12:18
ลือ! แอปเปิลเตรียมปล่อย iOS 4.3 ช่วงเดือนธันวาคม

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017629401.JPEG)

iOS 4.2 เพิ่งคลอดให้ดาวน์โหลดไปเมื่อไม่กี่วัน ล่าสุด MacStories ได้ปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับ iOS 4.3 ที่ทางแอปเปิลอาจปล่อยให้อัปเดตในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
       
       โดยในส่วนของรายละเอียด iOS 4.3 ทาง MacStories ได้รายงานคร่าวๆ (ยังไม่ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากแอปเปิล) ว่า ความจริงแล้วทางแอปเปิลตั้งใจจะคลอด iOS 4.3 ในช่วงประมาณวันที่ 13 ธันวาคมเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดพลาดที่พบใน AirPlay บน iOS 4.2 และอาจเพิ่มการรองรับ Newspaper บน iPad แต่ด้วยเรื่องไม่คาดคิดจากปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อ WiFi บน iPad ใน iOS 4.2 ทำให้ตารางการปล่อย iOS ตัวต่างๆ ต้องถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า iOS 4.3 จะพร้อมให้อัปเดตในช่วงไหนของเดือนธันวาคม ซึ่งงานนี้คงต้องรอข่าวยืนยันจากแอปเปิ้ลอีกทีหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 21:07:40
เอเซอร์โชว์หมัดเด็ด เปิดตัวแล็บท็อป 2 หน้าจอ

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017618102.JPEG)

"เอเซอร์" ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โชว์ของเด็ดหวังใช้เป็นอาวุธฟาดฟันคู่ต่อด้วยการเปิดตัวแท็บเล็ตระบบปฏิบัติ วินโดวส์ 7, แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 ชูอาวุธเอกด้วยโน๊ตบุ๊ก 2 หน้าจอขนาด 14 นิ้ว ที่มีชื่อเรียกว่า "ไอโคเนีย (Iconia)"
       
       ไอโคเนีย ถูกเปิดตัวขึ้นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (23 พ.ย.53) ที่ผ่านมา มีความโดดเด่นอยู่ที่การออกแบบตัวเครื่องให้มีความสะดุดตามากยิ่งขึ้น เมื่อเปิดฝาพับขึ้นผู้ใช้งานจะกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 468 พิกเซล ส่วนแผงคีย์บอร์ดด้านล่างที่พวกเราคุ้นเคยจะถูกเปลี่ยนเป็นหน้าจอแบบสัมผัส ขนาด 14 นิ้ว ที่จะแสดงผลคีย์บอร์ดแบบ QWERTY เมื่อผู้ใช้ต้องการพิมพ์เอกสาร
       
       สเปกภายใน "ไอโคเนีย" นั้นใช้ชิปประมวลผล Intel Core i5-480, RAM DDR3 4GB, ฮาร์ดดิสก์ 640 กิกะไบต์, แบตเตอรี 4เซลล์ และระบบปฏิบัติการ Windows 7 แต่เอเซอร์ไม่มีการพูดถึงกล้องเว็บแคมความละเอียดสูง และการรองรับ 3G นอกจากนี้ยังมีช่องต่อ VGA และ HDMI รองรับการเชื่อมต่อไวไฟ 802.11b/g/n, บลูทูธ 3.0 และช่องต่อ ยูเอสบี 3 ช่อง และยูเอสบี 3.0 1 ช่อง
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017618103.JPEG)

       ในเวลาเดียวกัน เอเซอร์ยังได้มีการเผยโฉมคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เวอร์ชัน 3.0 (Honeycomb) 2 รุ่นคือรุ่นหน้าจอ 7 นิ้ว และ 10 นิ้ว ทั้งคู่มีหน้าจอความละเอียด 1280x800 พิกเซล และรองรับโปรแกรม Flash Player 10.1
       
       นอกจากนี้ยังมีสมาร์ทโฟน ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ที่ มีหน้าจอแสดงผลขนาด 4.8 นิ้ว ความละเอียด 1024x480 พิกเซล แต่ไม่มีการพูดถึงกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, การเชื่อมต่อ DLNA และ ระบบเสียง Dolby Digital บนโทรศัพท์มือถือ อย่างที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้
       
       สำหรับสินค้าที่นำมาเปิดตัวในวันนี้ เอเซอร์ระบุว่าในส่วนของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จะวาง จำหน่ายในเดือนเมษายน ปี 2011 ในขณะที่แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการวินโดวส์จะวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2011

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 04:03:32
Sony Reader App อ่านอีบุ๊คบน iPhone

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/Sony-Reader-App-for-iOS-and-Android-platform-DEC-2010-2.jpg)

และแล้ว Sony ก็เดินตามทางของ Amazon หลังจากที่มีเครื่องอ่านออกมาสู่ท้องตลาดหลายต่อหลายรุ่น ล่าสุดทางบริษัทได้พัฒนา Reader App ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันอ่านอีบุ๊คบน iPhone และ Android โดยจะเปิดให้ดาวน์โหลดในเดือนหน้า

Sony Reader App นอกจากจะทำให้เจ้าของ iPhone และสมาร์ทโฟน Android สามารถเข้าถึง และซื้ออีบุ๊คได้จาก Reader Store แล้ว มันยังมีคุณสมบัติการใช้งานอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย ไมว่าจะเป็น การคั่นหน้า (bookmark) บันทึกข้อความ ไฮไลท์ประโยคเด็ด ตลอดจนปรับขนาดของตัวหนังสือ อย่างไรก็ตาม คู่แข่งทั้ง Amazon และ B&N ต่างก็มีแอพฯอ่านอีบุ๊คบนแพลตฟอร์ม Apple iOS และ Android กันมาตั้งนานแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/Sony-Reader-App-for-iOS-and-Android-platform-DEC-2010-3.jpg)

Sony Reader App ไม่ได้แตกต่างจาก iBooks ของ Apple และ Kindle App ของ Amazon หรือ Nook Reader App ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน Amazon ได้เพิ่มการฝังคอนเท็นต์อย่าง Video และ Audio และ Audio เข้าไปใน Kindle App บน iPhone ทำให้ผู้ใช้สนุกการอ่านอีบุ๊คที่โต้ตอบได้มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ Sony Reader App จึงได้พัฒนาคุณสมบัตินี้เข้าไปด้วย คำถามคือ คุณต้องการ Reader App ตัวที่ 2 หรือ 3 บน iPhone/iPad หรือ Android เพื่อซื้ออีบุ๊คอีกหรือ? ข้างล่างนี้เป็นคลิป Sony Reader เครื่องอ่านอีบุ๊ครุ่นหน้าจอสัมผัส

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 15:41:00
เอเซอร์พร้อมชน iPad

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017657601.JPEG)

เอเซอร์ (Acer) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับ 2 ของโลก ประกาศแผนเปิดตัวคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต 3 รุ่นเพื่อท้าชนเจ้ากระแสอย่างไอแพด (iPad) ของแอปเปิล ลุย 2 ค่ายระบบปฏิบัติการทั้งวินโดวส์ 7 และแอนดรอยด์ ขีดเส้นบุกหนักปีหน้าในราคาต่ำกว่า 400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12,000 บาท
       
       เอเซอร์ประกาศเรื่องนี้ในงานประชุมที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระบุว่าจะเริ่มทำตลาดคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนของตัว เองตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2011 ประกอบด้วยแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการวินโดวส์เซเว่น (Windows 7) หน้าจอ 10.1 นิ้ว 1 รุ่นพร้อมกล้องดิจิตอลด้านหน้า (คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้เดือนกุมภาพันธ์) และอีก 2 รุ่นที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ซึ่งมาพร้อมหน้าจอ 2 ขนาดคือ 7 นิ้วและ 10 นิ้ว (คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนเมษายน)
       
       รายงานระบุว่า แท็บเล็ตทั้ง 3 รุ่นจะมาพร้อมความสามารถในการรองรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย WiFi และ 3G โดยนอกจากแท็บเล็ต เอเซอร์มีแผนจะวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หน้าจอขนาด 4.8 นิ้ว และแล็ปท็อป 2 หน้าจอขนาด 14 นิ้วด้วย
       
       ปัจจุบัน เอเซอร์ถูกมองว่ากำลังหาทางเกาะกระแสแท็บเล็ตให้ได้หลังจากทั่วโลกผันตัวสู่ ช่วงขาลงของเน็ตบุ๊ก (netbook) คอมพิวเตอร์พกพาพร้อมคีย์บอร์ดเต็มรูปแบบที่มีราคาประหยัดกว่า ประสิทธิภาพน้อยกว่า และประหยัดพลังงานมากกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป ก่อนหน้านี้ บริษัทคู่แข่งของเอเซอร์อย่างแอปเปิลและซัมซุงนั้นไหวตัวและออกวิ่งนำไปก่อน แล้ว ท่ามกลางเดลล์และเอชพีที่จะร่วมวงไพบูลย์อย่างเป็นทางการในไม่กี่เดือนนับ จากนี้
       
       ผลิตภัณฑ์ใหม่ของเอเซอร์ถูกมองว่าเป็นการส่งหมัดตรงเพื่อเขย่า เก้าอี้ไอแพดของแอปเปิลโดยตรง เนื่องจากแม้ซัมซุงจะประกาศยอดจำหน่ายแท็บเล็ตทะลุหลัก 600,000 เครื่องทั่วโลกในเวลาจำหน่ายเพียงเดือนเดียว แต่ก็ยังไม่เท่าแอปเปิลที่สามารถประกาศยอดจำหน่ายไอแพดหลายล้านเครื่อง ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยตัวเลขล่าสุดย้ำว่า ไอแพดสามารถครองส่วนแบ่งตลาดแท็บเล็ตโลกได้ถึง 95.5% แล้วในขณะนี้
       
       นักวิเคราะห์นั้นมองว่า ความ เคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปตามทิศทางการเติบโตของมูลค่าตลาดแท็บเล็ตที่เพิ่ม ขึ้นเป็นหลักพันล้านเหรียญแล้วในขณะนี้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สวนทางกับมูลค่าตลาดคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กซึ่งลดลง ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2009 โดยการสำรวจยอดจำหน่ายโน้ตบุ๊กในสหรัฐฯประจำปีนี้พบว่ามีอัตราลดลง 4% ต่อปี
       
       จิม หว่อง ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศของเอเซอร์ ระบุว่าเอเซอร์ตั้งเป้าจำหน่ายแท็บเล็ตให้ได้ราว 40-50 ล้านเครื่องในปีหน้า (2011) ในระดับราคาต่ำกว่า 400 เหรียญ (ราว 12,000 บาท) ถือเป็นการตั้งราคาที่จงใจให้ต่ำกว่า 499-829 เหรียญ ที่แอปเปิลตั้งไว้เพื่อจำหน่ายไอแพด
       
       แม้จะยังไม่มีข้อมูลคุณสมบัติเครื่องอย่างเป็นทางการในขณะ นี้ แต่ข้อมูลที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นสาวกเอเซอร์ ตั้งตารอแท็บเล็ตราคาประหยัดจากเอเซอร์ในปีหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 18:47:26
ลือ! PlayStation Phone อาจเปิดตัว 9 ธันวาคมนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017669701.JPEG)

เว็บไซต์ฝรั่งเศสนามว่า nowhereelse.fr ได้เปิดเผยรูปภาพๆ หนึ่งที่ประกอบด้วย ภาพไอคอนปุ่มกดที่อยู่บนคอนโทรลเลอร์ของ PlayStation พร้อมไอคอนโทรศัพท์ และด้านใต้ได้มีข้อความเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "le jeudi 9 décembre à 20h…" หรือแปลเป็นภาษาไทยคือ "วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม" อีกทั้งในส่วนบนยังแสดงถึงข้อความเชิญชวนร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดย Pierre Perron (DG Sony Ericsson France) และข้อความ "‘la présentation la plus attendue de ces 10 dernières années‘ " หรือแปลเป็นไทยว่า "จะมีการนำเสนอสิ่งที่พิเศษที่สุดในรอบ 10 ปี"
       
       โดยจากข้อความดังกล่าวที่ทาง nowhereelse.fr นำมาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของตนนั้น ทำให้หลายสื่อรวมถึงทีมงานผู้จัดการไซเบอร์ต่างคาดคิดว่า ในวันพฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม หรืออีกประมาณ 14 วัน ทาง Sony Ericsson อาจมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน PSP Phone (PlayStation Phone) เพราะด้วยการวางสัญลักษณ์ของปุ่ม Play Station และสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์มารวมไว้ ผนวกกับข่าวของ PSP Phone ที่เพิ่งปล่อยออกมา ทำให้มีความเป็นไปค่อนข้างสูงมากที่ทาง Sony Ericsson อาจมีการนำ PSP Phone มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานเลี้ยงดังกล่าว
       
       สำหรับสมาร์ทโฟน PSP Phone ในส่วนของสเปกจากข่าวลือตัว เครื่องจะมาพร้อมซีพียู 1GHz Qualcomm MSM 8655 ในส่วนของหน่วยความจำจะให้มา 512MB (RAM) และ 1GB (ROM) รองรับ MicroSD หน้าจอจะมีขนาด 3.7 หรือ 4 นิ้ว และที่สำคัญคือตัว PSP Phone มาพร้อมระบบปฏิบัติการณ์ Android 2.3 (Gingerbread)

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 20:22:19
มะกันปิ๊งไอเดีย "911" ยุคดิจิตอล

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017656901.JPEG)

คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมสหรัฐฯ หรือเอฟซีซี จุดประกายรัฐบาลอเมริกันให้ปรับปรุงบริการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 911 เพื่อให้เท่าทันยุคดิจิตอลยิ่งขึ้น ชูประเด็นเพิ่มช่องทางรับแจ้งเหตุด้วยการเปิดให้ชาวอเมริกันส่งข้อมูลอื่นๆ เข้าสู่ระบบ 911 ได้ไม่ใช่โทรอย่างเดียว ทั้งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือ (SMS) ภาพถ่าย และวิดีโอ คาดจะเริ่มกระบวนการประชาพิจารณ์เพื่อปรับระบบอย่างจริงจังช่วงเดือนธันวาคม นี้
       
       คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมสหรัฐฯให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน กว่า 70% ของการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายในสหรัฐฯที่เบอร์โทรศัพท์ 911 นั้นเป็นการโทรจากโทรศัพท์มือถือ ขณะที่การสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 72% ใช้งานบริการรับส่งข้อความเอสเอ็มเอส ทั้งหมดนี้เป็นความจริงที่ทำให้เอฟซีซีมองว่าถึงเวลาแล้วที่ระบบแจ้งเหตุ ด่วนแห่งชาติอเมริกันต้องเปลี่ยนแปลง เนื่องจากที่ผ่านมา ประชาชนอเมริกันไม่สามารถส่งข้อความเพื่อขอความช่วยเหลือได้
       
       จูเลียส เกแนโชวสกี้ ประธานเอฟซีซีให้ชื่อเรียกแนวคิดนี้ว่า "Next-Generation 9-1-1" โดยวางแผนให้บริการ 911 ในยุคหน้าสามารถเปิดทางให้ชาวอเมริกันไม่จำเป็นต้องแจ้งเหตุเฉพาะการ โทรศัพท์เพื่อส่งเสียงขอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่สามารถส่งข้อความเอสเอ็มเอส คลิปภาพวิดีโอ และภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือเข้าสู่ระบบ 911 ได้
       
       เกแนโชวสกี้ยกกรณีโศกนาฎกรรมยิงกราดนักเรียนในสถาบันเทคโนโลยี Virginia Tech ช่วงปี 2007 ว่าเป็นตัวอย่างสำคัญของผลเสียจากการมีข้อจำกัดในการแจ้งเหตุ โดยเกแนโชวสกี้กล่าวสุนทรพจน์ในศูนย์ Arlington County Emergency Center ว่านักเรียนและพยานหลายรายในโศกนา ฎกรรมครั้งนั้นพยายามส่งข้อความถึง 911 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่น่าเสียดายที่ข้อความทั้งหมดไม่มีทางส่งถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในศูนย์ 911 จนเกิดเป็นความสูญเสียที่เรียกว่าเป็นบาดแผลของสังคมโลก
       
       เอฟซีซีเชื่อว่าการพัฒนา 911 ยุคหน้าจะช่วยยกระดับความปลอดภัยของอเมริกันชนได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผู้เคราะห์ร้ายไม่สามารถโทรศัพท์ได้ นอกจากนี้ ข้อมูลคลิปวิดีโอและภาพที่ถูกส่งจากโทรศัพท์มือถือยังเพิ่มเบาะแสที่เป็น ประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อการช่วยเหลือที่ทันการณ์ฉับไวยิ่งขึ้น
       
       เกแนโชวสกี้ย้ำว่า ขณะนี้ศูนย์รับร้องเรียน 911 ในสหรัฐฯจำนวนมากยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้งาน โดยบางศูนย์ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้า ไม่ถึง จุดนี้จึงเป็นอีกจุดสำคัญที่เอฟซีซีมองว่าต้องปรับปรุงบนแผน 911 ยุคดิจิตอล
       
       ระบบรับแจ้งเหตุในสหรัฐฯ 911 นั้นก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1968 ประสบความสำเร็จในการช่วยชีวิตอเมริกันชนมากมาย โดยเอฟซีซีให้ข้อมูลว่า ระบบ 911 นั้นรับเรื่องร้องเรียนฉุกเฉินทางโทรศัพท์มากกว่า 650,000 สายต่อเดือน
       
       สำหรับแผนการพัฒนา Next-Generation 9-1-1 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาบรอดแบนด์แห่งชาติ ซึ่งเอฟซีซีมุ่งหวังให้เครือข่ายข้อมูลไร้สายสามารถยกระดับความปลอดภัย ของอเมริกันชนให้ได้ภายในปี 2020 โดยรายงานระบุว่า เดือนธันวาคม 53 จะเป็นเดือนที่เอฟซีซีจะนำแผนปฏิบัติการโครงการ Next-Generation 9-1-1 เข้าสู่การทำประชาพิจารณ์อย่างจริงจัง
       
       หลังการนำร่องโครงการของสหรัฐฯ เชื่อว่าศูนย์รับแจ้งเหตุในประเทศอื่นๆทั่วโลกก็จะมีการปรับตัว ซึ่งไม่แน่ว่าอาจรวมถึงศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ในประเทศไทยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 21:19:21
Facebook ขอเป็นเจ้าของคำว่า "Face"

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-dont-use-face-in-your-site-name-2.jpg)

หาก Facebook ได้รับอนุญาตจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Patent and Trademark Office) ในการปกป้องชื่อของบริษัทจากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่จะเกิดขึ้นใหม่ที่ พยายามจะใช้ชื่อที่มีคำว่า Face หรือ book อยู่ด้วย นั่นเท่ากับว่า Facebook ได้ติดอาวุธทางกฎหมาย เพื่อปกป้องธุรกิจให้กับตัวเองได้สำเร็จไปอีกระดับหนึ่ง

Facebook ไม่เคยลดละความพยายามที่จะปกป้องชื่อของตัวเอง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ฟ้องเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่พยายามใช้คำว่า Book อย่างเช่น Lamebook และ Teachbook ซึ่งทางบริษัทเชื่อว่า มีผู้เริ่มต้นทำธุรกิจหลายรายกำลังพยายามจะใช้ประโยชน์ในการใช้ชื่อที่คล้าย Facebook เพื่อสร้างความจดจำได้อย่างรวดเร็ว โดยทางบริษัทได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Face"

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ ได้ออกหนังสือแจ้งรับการจดทะเบียนการค้าคำว่า "Face" จากทาง Facebook ในฐานที่มันเป็นคำที่ถูกประยุกต์ใช้ในการตั้งชื่อ Facebook โดยการที่จะผ่านขั้นตอนสุดท้ายของการยอมรับดังกล่าว Facebook ได้ระบุว่า ทางบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวในการทำธุรกิจ สำหรับรายละเอียดของเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับธุรกิจของ Facebook ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม กล่าวคือ จัดหาและให้บริการห้องสนทนาออนไลน์ กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งข้อความระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์ด้วยกันในประเด็นเรื่องของความสนใจ ทั่วไป และประเด็นทางด้านสังคม และความบันเทิง

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-dont-use-face-in-your-site-name-3.jpg)

ความพยายามขึ้นทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Face" เริ่มต้นขึ้นในปี 2008 เมื่อทางบริษัทต้องซื้อเครื่องหมายการค้า Faceparty.com เว็บไซต์เครือข่ายสังคมในสหราชอณาจักรที่เปิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 และได้ยื่นขอจดทะเบียนการค้าคำว่า "Face" ตั้งแต่ในปี 2005 หลังจากนั้น Facebook ได้ไล่ติดตามบริษัทต่างๆ ที่เชื่อว่า พยายามใช้ประโยชน์จากความนิยมของ Facebook

ในการตั้งชื่อด้วยคำเหล่านี้ ซึ่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ฟ้อง Teachbook ฐานที่ใช้คำว่า "book" ประกอบกับการใหบริการที่คล้ายกัน โดยเป็นเครือข่ายสังคมของครูอาจารย์ และในเดือนเดียวกัน Facebook ยังได้ยื่นฟ้องเว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อว่า Placebook ให้เปลี่ยนชื่อเป็น TripTrace หลังจากได้รับการติดต่อจากทาง Facebook

ขอบคุณข้อมูลจาก [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)]


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 14:14:12
โซนี่ส่งเครื่องอ่านอีบุ๊ก 5 นิ้วบุกญี่ปุ่น

โซนีประกาศเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ๊ก Sony Reader 2 รุ่นใหม่สู่ตลาดบ้านเกิด คือ PRS-350 และ PRS-650 อีบุ๊กหน้าจอ 5 และ 6 นิ้วที่โซนีเชื่อว่าจะสามารถเอาใจหนอนหนังสือที่ต้องการอุปกรณ์พกพา ที่ทำงานอย่างอื่นได้นอกเหนือจากการอ่าน งานนี้โซนีพร้อมบุกตลาดญี่ปุ่นเต็มตัวด้วยการยกพลเครื่องอ่าน 6 รุ่นซึ่งโซนีกำลังทำตลาดในสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ในขณะนี้ มาเสริมตลาดเพื่อเป็นตัวเลือกแก่ผู้บริโภคแดนอาทิตย์อุทัย
       
       โซนีมีแผนเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องอ่านอีบุ๊ก 2 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ในเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี (ตั้งแต่ปี 2007) ที่โซนี่ใช้ญี่ปุ่นเป็นตลาดเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นใหม่ หลังจากที่โซนีชะลอการทำตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊กในบ้านเกิดลง
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017712802.JPEG)

       PRS-350 Reader Pocket Edition เป็นเครื่องอ่านอีบุ๊กขนาด 5 นิ้วที่มาพร้อมหน้าจอหมึกอีเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีของ E-Ink Corporation ซึ่ง เป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Amazon Kindle DX และ Kindle 3 ของอเมซอน หน่วยความจำรวม 2GB แต่สามารถเข้าถึงได้ 1.4GB มาพร้อมพอร์ต microUSB เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลภาพและไฟล์อีบุ๊ก ขนาดเครื่อง 104.3x145x8.5 มม น้ำหนัก 155 กรัม
       
       สำหรับ PRS-650 Reader Touch Edition มีหน้าจอใหญ่กว่า 350 ที่ 6 นิ้ว มีช่องต่อการ์ดหน่วยความจำ Memorystick PRO และ SD card ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้เพราะตัวเครื่องมีช่องต่อหูฟังขนาด 2.5 นิ้ว ทั้งหมดนี้ทำให้ 650 มีขนาดใหญ่กว่า 350 ที่ 118.8×168.0×9.6 มม น้ำหนัก 215 กรัม
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017712804.JPEG)

       รายงานระบุว่า เครื่องอ่านของโซนีสามารถรองรับไฟล์อีบุ๊กมาตรฐาน XMDF ซึ่งนำทีมการพัฒนาโดย Sharp ได้ด้วย ทำให้สามารถแสดงผลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ภาษาญี่ปุ่นได้ดี จำหน่ายพร้อมปากกาสไตลัสเพื่อให้ผู้ใช้สามารถจดโน้ตได้ทันใจ
       
       โซนียังประกาศให้บริการร้านหนังสืออีบุ๊ก Reader Store แก่ชาวญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯและแคนาดาเท่านั้นบนปริมาณหนังสือ ทั้งสิ้น 20,000 เล่ม เบื้องต้น โซนีคาดว่าจะวางจำหน่าย PRS-350 ในราคา 20,000 เยน และ PRS-650 ในราคา 25,000 เยน (ประมาณ 7,200-9,000 บาท) กำหนดการจำหน่ายคือวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ผ่านร้านค้าปลีกมากกว่า 300 แห่งทั่วญี่ปุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก: Manager Online (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 15:43:10
Toshiba เปิดตัว Google TV ต้นปี 2011

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-vizio-google-tv-2.jpg)

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)] รายงานข่าวล่าสุด Toshiba และ Vizio กำลังจะเป็นผู้ผลิต 2 รายที่ตกลงจะผลิต Google TV ออกมา โดยรายงานดังกล่าวได้มีการเปิดเผยออกมาจากแหล่งข่าวเมื่อวานนี้ ซึ่งทั้งสองจะเปิดตัว Google TV ในงาน CES 2011 ที่จะจัดขึ้นในเดือนมกราคม ทั้งนี้คาดว่า ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาน่าจะเป็นเครื่องรับโทรทัศน์มากกว่าเซตทอปบ๊อกซ์

แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะยังไม่มีการยืนยันถึงแผนดังกล่าวออกมา แต่ Jeff Barney ผู้จัดการทั่วไปแผนกดิจิตอลของโตชิบาในอเมริกาได้เปรยถึงเรื่องนี้ออกมาบ้าง แล้ว โดยเขากล่าวว่า "แน่นอนว่า Google เป็นพันธมิตรทางด้านพีซีของเรา แต่จะเป็นพันธมิตรที่สำคัญในส่วนของ TV ด้วย" ซึ่งสำหรับการเปิดตัว Google TV จากผู้ผลิต 2 รายในปีนี้อย่าง Revue ของ Logitech และ Internet TV ของ Sony อาจจะยังไม่สามารถสร้างความสนใจให้กับผู้บริโภคได้ชัดเจนนัก

การออก Google TV ของ Toshiba และ Vizio ถือได้ว่าเป็นการขยายแพลตฟอร์มครั้งสำคัญของบริษัท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Samsung ได้ออกมากล่าวแล้วว่า ทางบริษัทมีความสนใจที่จะพัฒนา Google TV เช่นเดียวกัน คาดว่า ข้อเท็จจริงสำหรับ Google TV ของทั้ง 3 บริษัทจะชัดเจนขึ้นในงาน CES 2011

อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตเหล่านี้ อาจจะได้รับผลกระทบจากการยอมรับสื่อใหม่ เนื่องจากสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนต์หลายรายยังคงไม่เปิดให้สามารถรับชมเว็บ วิดีโอได้จาก Google TV ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่า แรงต้านที่เกิดขึ้นจะสามารถเอาชนะความต้องการของผู้บริโภคได้หรือไม่?


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 พฤศจิกายน 2010, 20:49:21
เปลี่ยน iPad เป็นโปรเจ็กเตอร์ 100 นิ้ว?

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th (http://www.arip.co.th)] เจ้าของ iPad หลายๆ ท่านอาจจะแฮปปี้กับการชมภาพยนต์บนแก็ดเจ็ตของ Apple แต่หากคุณต้องการแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูด้วยพร้อมกัน จอแค่ 9 นิ้วอาจจะเล็กเกินไปแล้ว แต่ด้วย SHOWWX+ โปรเจ็กเตอร์พกพารุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับอุปกรณ์ของ Apple โดยเฉพาะ จะทำให้คุณสามารถฉายวิดีโอที่กำลังชมด้วยขนาดใหญ่ถึง 100 นิ้วได้...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/showwx-plus-laser-pico-projector-100-inches-ipad-iphone-ipod-touch-2.jpg)

SHOWWX+ โปรเจ็กเตอร์พกพารุ่นใหม่จาก MicroVision ที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถให้ความสว่างได้มากกว่าโปรเจ็กเตอร์ที่วาง ตลาดก่อนหน้านี้ถึง 50% โดยมีความสว่างถึง 15 ลูเมนส์ที่อัตราคอนทราส 5,000:1 สามารถฉายได้นานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงด้วยแบตเตอรี่ที่อยู่ภายใน SHOWWX+ ทั้งนี้พอร์ตเชื่อมต่อที่ด้านล่างของตัวเครื่องออกแบบมา เพื่อใช้กับ iPad, iPhone และ iPo Touch โดยเฉพาะ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/showwx-plus-laser-pico-projector-100-inches-ipad-iphone-ipod-touch-3.jpg)

MicroVision กล่าว ว่า การที่ SHOWWX+ เลือกใช้ Laser Projector ทำให้มันมีระยะโฟกัสเป็นอนันต์ (infinite focus) และสามารถฉายภาพได้ชัดเจนทั่วทั้งภาพ แม้จะเป็นบนฉากที่มีลักษณะเป็นพื้นผิวโค้ง หรือในกรณีที่อุปกรณ์ไม่สามารถจัดวางฉายในมุมตั้งฉากกับผนังได้ ความละเอียดของภาพทีฉายออกมาอยู่ที่ 848 x 480 พิกเซล (ยังไม่ใช่ HD) หากผู้ใช้ต้องการต่อเชื่อมกับอุปกรณ์ สนนราคาอยู่ที่ 450 เหรียญฯ (ประมาณ 13,500 บาท)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 พฤศจิกายน 2010, 20:08:22
ได้เวลา 3D ไม่ง้อแว่นบน iPad,iPhone

สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดที่ต้องการจะรับชมคอนเท็นต์ที่เป็นสามมิติ (3D) บนอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล (Apple) ไม่ว่าจะเป็น iPad หรือ iPhone ได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา ผันของคุณเป็นจริงแล้ว เมื่อ Grilli3D บริษัทในสหรัฐฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จะเนรมิตอุปกรณ์เล่านี้ให้สามารถรับชมคอนเท็นต์ 3D ได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตาในราคาแสนประหยัด...ว้าว!!!

ความลับของ GRilli3D ซ่อนอยู่ในฟิล์มพลาสติกที่ราคาไม่แพง แถมยังติดตั้งเองได้อีกด้วย โดยแผ่นฟิล์มดังกล่าวจะปิดทับไปบนด้านหน้าของ iPad หรือ iPhone และดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์แสดงผลอื่นๆ ด้วย ซึ่งทางบริษัทอธิบายว่า เทคโนโลยีที่อยู่ในแผ่นฟิล์มดังกล่าวจะสามารถสอดแทรกเส้นแบ่งระหว่างตาทั้ง สองกับภาพที่ฉายบนหน้าจอของ iPad หรือ iPhone ทำให้ตาแต่ละข้างของผู้ชมสามารถเห็นภาพที่แตกต่างได้พร้อมกัน จนทำให้มองเห็นเป็นภาพสามมิติขึ้นมาได้นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/GRilli3D-glaessless-for-ipad-iphone-2.jpg)

หลักการพื้นฐานของการสร้างภาพสามมิติยังคงเหมือนเดิม โดยการป้องกันให้ตาขวาไม่เห็นภาพที่ปรากฎบนตาซ้ายด้วยวิธีนี้ สมองก็จะพยายามรวมภาพทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ การมองเห็นภาพสามมิติ (3D stereoscopic) นั่นเอง อย่างไรก็ดี GRilli3D อ้างว่า เทคโนโลยีของทางบริษัทไม่เหมือนกับ Lentocular เพราะนอกจากจะทำงานได้เป็นอย่างดีกับจอแบ็คไลท์ LCD แล้ว มันยังไม่ไปลดทอนคุณภาพของการรับชมแม้จะไม่ใช่คอนเท็นต์ 3D อีกด้วย ที่สำคัญผู้ชมยังสามารถมองเห็นเป็น 3D แม้จะรับชมจากมุมต่างๆ ก็ตาม

ข้อเสียของ GRilli3D ก็คือ ยังมีคอนเท็นต์ให้ชมน้อยเกินไป ทั้งนี้ผู้ชมสามารถทำเองได้ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Final Cut Pro แยกวิดีโอที่เป็นมุมมองจากตาซ้าย และตาขวา จากนั้นรวมคลิปทั้งสองในแนวตั้ง (vertical interlace) ให้เป็นไฟล์วิดีโอเพียงไฟล์เดียว เพื่อใช้รับชม สนนราคา GRilli3D อยู่ที่ 30 เหรียญฯ (ประมาณ 900 บาท) สำหรับ iPad และ 15 เหรียญฯ (ประมาณ 450 บาท) สำหรับ iPhone

ข้อมูลจาก ARIP (http://http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 พฤศจิกายน 2010, 21:48:56
ใช้กระดาษแทนจอ"สัมผัส"โต้ตอบได้?

มหาวิทยาลัย Keio ในญี่ปุ่นได้นำเสนอเทคโนโลยีอินเตอร์เฟซระบบสัมผัสแบบใหม่ที่สามารถเปลี่ยน กระดาษธรรมดาให้ทำงานได้คล้ายกับจอระบบสัมผัส?

ฟังดูงงๆ ใช่ไหมครับ แต่มันเป็นเรื่องจริง โดยทางมหาวิทยาลัยคาดว่า ระบบอินเตอร์เฟซในลักษณะนี้จะถูกนำมาใช้ในอนาคต

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/paper-touch-interface-technology-2.jpg)

ทีมวิจัยใน Keio University ได้พัฒนาระบบอินเตอร์เฟซ หรือส่วนการทำงานโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยกระดาษ ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดสัมผัส และตอบสนองการทำงานได้ โดยกระดาษที่ถูกดัดโค้งในรูปจะถูกฉายด้วยภาพของใบหน้าหญิงสาว เมื่อผู้ใช้ สัมผัสกับกระดาษ หรือแม้แต่ลมพัด

ภาพฉายบนกระดาษจะเปลี่ยนแปลงไปตามการสัมผัสที่เกิดขึ้น เช่น การใช้มือดันให้มันเอียงไปทางซ้าย หรือขวา ภาพฉายของหน้าหญิงสาวบนกระดาษก็จะหันตามไปด้วย ทางทีมวิจัยเชื่อว่า วันหนึ่งมันจะถูกนำไปใช้ในธุรกิจ เช่น บัตรเข้างานที่โต้ตอบได้ หรือแผนที่

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 พฤศจิกายน 2010, 22:59:54
คาด Google TV กระหึ่มปีหน้า

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017873601.JPEG)

สื่อต่างประเทศฟันธง งานมหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ CES ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2011 นี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของ Google TV ชุดอุปกรณ์โทรทัศน์ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการของกูเกิลเพื่อการชมทีวีบนโลกออ นไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย เบื้องต้นคาดว่าผลิตภัณฑ์ Google TV จะเริ่มวางจำหน่ายภายใต้การผลิตของหลายแบรนด์ดัง ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากบรรดาเจ้าของคอนเทนต์ในสหรัฐฯที่รุนแรงขึ้นต่อ เนื่อง
       
       สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) อ้างแหล่งข่าวไม่ระบุนามกล่าวว่า โตชิบา (Toshiba) วิซิโอ (Vizio) และผู้ผลิตแบรนด์อื่นจะเปิดตัวอุปกรณ์ Google TV ในงาน CES 2011 นี้ คาดว่าจะเป็นอีกสีสันที่นอกเหนือจากเทคโนโลยี 3D ที่จะสร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมในงาน
       
       ที่ผ่านมา Google TV มีรายงานข่าวต่อเนื่องว่ามีปัญหากับสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้ Google TV สามารถเรียกชมวิดีโอจากสถานี Viacom, ABC, NBC, CBS, FOX และ Hulu ซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าของรายการทีวียอดนิยมในสหรัฐฯ คาดว่าเป็นผลจากการเจรจาที่ยังไม่บรรลุเรื่องข้อตกลง
       
       ก่อนหน้านี้ โซนีเป็นเพียงรายเดียวที่ได้รับสิทธิ์ในการพัฒนาทีวี Google TV โดยโตชิบาและวิซิโอคือ 2 รายล่าสุดที่มีข่าวลือว่าจะวางจำหน่าย Google TV ในอนาคต ตามหลังซัมซุงที่มีข่าวว่าจะเริ่มวางจำหน่าย Google TV ในปี 2011 เช่นกัน
       
       สำหรับวิซิโอนั้นเป็นบริษัททีวีแอลซีดีรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ การลงตลาด Google TV ของวิซิโอจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในแง่ของราคาเครื่องที่คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
       
       ล่าสุด โซนีประกาศลดราคาเครื่องเล่น Blu-ray ที่รองรับระบบ Google TV ลงจากเดิมที่ขาย 399 เหรียญสหรัฐ เหลือ 299 เหรียญ การลดราคาครั้งนี้ถูกวิจารณ์ว่าผิดวิสัยของโซนี เนื่องจากเครื่องเล่นบลูเรย์นี้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งวางขาย ทำให้มีการคาดเดาว่าโซนีอาจไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขายได้
       
       มูลค่าหุ้นกูเกิลในขณะนี้มีสูงเกินเสียดฟ้าที่ 594.97 เหรียญสหรัฐ


ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: superman! ที่ 30 พฤศจิกายน 2010, 23:04:02
ขอบคุณครับ  :wanwan003:

 :wanwan017: :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 13:22:22
อยากรู้ไหม? ใครดูโปรไฟล์เฟซบุ๊คคุณ

รายงานข่าวล่าสุด พบมัลแวร์บนเฟซบุ๊ค (Facebook) ที่ได้รับการออกแบบโดยใช้หลักจิตวิทยาพื้นฐานของมนุษย์ที่มักจะ"หลงตัวเอง" กับ"ความรู้สึกกังวล" ด้วยการอ้างว่า มันสามารถบอกเหยื่อได้ว่า มีใครบ้างที่ได้เข้าไปดูหน้า Profile ของคุณใน Facebook เพียงแค่นี้มัลแวร์ดังกล่าวก็สามารถแพร่กระจายไปตัวเองออกไปได้อย่างรวดเร็ว ราวกับไฟลามทุ่งแล้ว

ตามรายงานกล่าวว่า เหยื่อจะได้รับข้อความ "OMG ...I can't believe this actually works! Now you really can see who viewed your profile!" ซึ่งมาพร้อมกับ"ลิงค์"ที่เชื่อมโยงไปยังแอพฯหลอก เมื่อเหยื่อคลิกบนลิงค์ก็จะถูกพาไปยังหน้าเว็บที่ร้องขอให้ผู้ใช้ยอมให้แอพฯ ดังกล่าวเข้าถึงข้อมูล Profile ของเหยื่อได้

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-bogus-app-show-who-view-your-profile-2.jpg)

"กลอุบายในลักษณะนี้มักจะถูกใช้ในการหาค่านายหน้าของสแปมเมอร์ผู้อยู่ เบื้องหลัง ซึ่งผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อมักจะไม่ได้ตระหนักถึงการเข้าถึงโพรไฟล์ เพื่อสแปมลิงค์โดยแอพฯเหล่านี้" Graham Cluley ที่ปรึกษาอาวุโสจาก Sophos "เมื่อเหยื่อคลิ้กให้แอพฯทำงานได้ พวกเขาก็จะพบว่า โพรไฟล์ของเขาตกเป็นเหยื่อที่ถูกใช้ในการนำไปหลอกเพื่อนๆ ด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงที่ควรทราบก็คือ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า มีใครเข้าไปดูหน้าโพรไฟล์ของคุณบ้าง"

หลังจากที่แอพฯดังกล่าวโผล่ขึ้น ไปใน Facebook ปรากฎว่า มีผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วยการคลิกลิงค์ดังแล้วกว่า 60,000 รายภายใน 2-3 ชม.เท่านั้น Facebook กล่าวย้ำว่า ผู้ใช้ไม่ควรเชื่อเรื่องนี้ "บน Facebook ไม่มีทางที่จะเห็นได้ว่า ใครเข้ามาเยี่ยมชมหน้าโพรไฟล์ของคุณ เรายังได้มีการป้องกันด้วยวิธีต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการทำงานในลักษณะนี้ได้อีกด้วย"

ทาง Facebook ยังกล่าวอีกด้วยว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทได้ทำงานอย่างหนักในการป้องกัน และกำจัดเว็บไซต์ หน้าเว็บต่างๆ ตลอดจนแอพฯที่อ้างว่า สามารถทราบข้อมูลดังกล่าวได้ ถ้าผู้ใช้พบคำอ้างลักษณะนี้ อย่าโดนหลอก และควรจะรายงานให้ Facebook ทราบทันที

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 13:32:03
ว้าว!!! WheeMe หุ่นยนต์"นวดหลัง"

รายงานแก็ดเจ็ต (Gadget) ต่อไปนี้ สำหรับคุณผู้อ่านที่ทำธุรกิจสปาอาจจะสนใจ เพราะมันคือ WheeMe หุ่นยนต์"จอมนวด" จากบริษัท DreamBots โดยแทนที่จะใช้เครื่องมือนวดหลังแบบลูกกลิ้งที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับ การกดจุดเบาๆ บนหลัง คุณสามารถให้เจ้า WheeMe ทำหน้าที่นี้แทนได้โดยอัตโนมัติ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/wheeme-roller-massage-robot-2.jpg)

WheeMe เลียนแบบการทำงานของอุปกรณ์ที่ใช้นวดหลังแบบลูกกลิ้ง (handheld roller massage) ซึ่งปกติพนักงานผู้ให้บริการจะใช้มือจับมันกลิ้งไปบนหลังของลูกค้า แต่ด้วย WheeMe หุ่นยนต์นวดหลังตัวจ้อยนี้ มันสามารถจัดการให้ลูกค้าของคุณได้โดยอัตโนมัติ โดยระบบตรวจจับ (sensor) ในตัว WheeMe จะทำให้มันรู้ได้เองว่า เป็นตำแหน่งทีต้องเคลื่อนที่กลับแล้ว ไม่งั้นร่วงตกลงจากหลังของลูกค้าแน่ๆ และด้วยล้อลูกกลิ้งที่ทำลักษณะเป็นเฟืองจักรปลายมนคล้ายนิ้วเล็กๆ  (fingrerettes) ทั้ง 4 ล้อ เมื่อเคลื่อนไปบนหลังก็จะทำให้ได้รับสัมผัสที่ช่วยผ่อนคลายนั่นเอง

นอกจากใช้นวดหลังแล้ว WheeMe สามารถ นวดตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย (ชมตัวอย่างการใช้งานได้จากในคลิปวิดีโอข้างล่างนี้) อย่างไรก็ตาม มันยังไม่วางตลาดในขณะนี้ แต่จะเปิดตัวในงาน CES (Consumer Electronic Show) ช่วงเดือนมกราคมปี 2011

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 13:41:20
Google Earth 6 เชื่อม Street View

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Google Earth 6 แอพพลิเคชันแผนที่โลกเสมือนจริงเวอร์ชันล่าสุดได้รับการแนะนำพร้อมทั้งเพิ่ม คุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจเข้าไปด้วยอย่างเช่น ต้นไม้ในรูปแบบของ 3D อีกทั้งยังเชื่อมการทำงานร่วมกับบริการ Google Street View (ใครที่ใช้ Google Maps จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี) อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือ Google Earth 6 จะมีรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ตลอดจนความแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ Google Earth และ Street View จะมีให้บริการเฉพาะบางเส้นทางของท้องถนนเท่านั้น แต่ล่าสุด ข้อมูลของภาพเมืองและถนนเส้นทางต่างๆ ในมุมมอง 360 องศาจะได้รับการเชื่อมโยงเขากับ Google Earth โดยสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า ถ้ามันมี Street View ให้คุณสามารถรับชมใน Google Maps ได้ ใน Google Earth 6 ก็จะมีด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ Google Earth เวอร์ชันใหม่ยังสามารถแสดงมุมมองจากนอกโลกได้อีกด้วย เรียกได้ว่า คุณสามารถมองโลกด้วย Google Earth ได้ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางต่างๆ ไปจนถึงตึกรามบ้านช่องในรูปแบบ 3D ได้ราวกับอยู่ในสถานที่นั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-earth-6-integrates-street-view-and-3D-trees-2.jpg)

สำหรับรายละเอิยดเพิ่มเติมใน Google Earth 6 ที่สังเกตได้ชัดก็คือ การเพิ่มต้นไม้ที่เรนเดอร์เป็นภาพ 3D รอบๆ บริเวณตึกอาคาร 3D ที่สร้างจากโปรแกรมเช่นเดียวกัน Google กล่าวว่า ทางบริษัทได้เพิ่มต้นไม้ 3D เข้าไปใน Google Earth มากกว่า 80 ล้านต้น ไม่ว่าจะเป็นในเมือง Athens Berlin, Chicago, New York City, San Francisco และ Tokyo

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 14:01:19
"คีย์บอร์ดไร้สาย" พิมพ์ได้แม้มีแค่ 4 ปุ่ม?

หากคุณผู้อ่านกำลังมองหา"คีย์บอร์ด"สำหรับอุปกรณ์โมบาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แต่ครั้นจะนำคีย์บอร์ดมาตรฐานที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ติดตัวไปในทุกที่ ก็ดูท่าจะไม่สะดวกนัก บางที Kee4 อาจจะเป็นสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้ เพราะนอกจากมันจะมีขนาดเล็กพกพาสะดวกแล้ว มันยังสามารถใช้มือเดียวในการพิมพ์ข้อความต่างๆ ที่ต้องการได้อีกด้วย...ไม่ได้โม้ :O

Kee4 นวตกรรมคีย์บอร์ดที่ได้รับการออกแบบใหม่โดย Citta Consulting สามารถทำงานแบบไร้สายกับอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน MID และแท็บเล็ต โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือไดรเวอร์ เพิ่มเติมแต่อย่างใด จุดเด่นที่ทำให้คุณต้องทึ่งในดีไซน์ของ Kee4 ก็คือ มันเป็นคีย์บอร์ดที่มาพร้อมปุ่มกดมาตรฐาน แต่มันมีแค่ 4 ปุ่มเท่านั้น อ้าว!!! แล้วจะพิมพ์ได้อย่างไรล่ะ?

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/kee4-composites-keyboard-2.jpg)

แม้ Kee4 จะมีแค่ 4 ปุ่ม และใช้งานแค่มือเดียว แต่มันกลับสามารถใช้พิมพ์ข้อความได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยผู้ใช้จะต้องสอดนิ้วโป้งเข้าไปในสายรัดที่มากับ Kee4 จากนั้นวางนิ้วทั้งสี่ลงบนปุ่มที่เรียงกันตามลำดับ (1,2,3 และ 4) ความลับของการทำงานที่ทำให้ผู้ใช้สามารถกดแค่ 4 ปุ่ม แต่สามารถพิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z ตลอดจนตัวเลข และฟังก์ชันคีย์ต่างๆ เหมือนคีย์บอร์ดปกติ นั่นก็คือ วิธีพิมพ์ที่ทางบริษัทได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว เรียกว่า "composite keystrokes" หรือการผสมคีย์ที่ใช้ในการกดนั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/kee4-composites-keyboard-3.jpg)

สำหรับการ"ผสมคีย์"ในที่นี้จะหมายถึง ลำดับการกด และยกนิ้ว ซึ่งจะทำให้ Kee4 สามารถส่งรหัสของตัวอักษรที่ต้องการพิมพ์ที่แตกต่างกันไปยังอุปกรณ์ ต่างๆ ที่เชื่อมต่อการทำงานแบบไร้สายได้นั่นเอง โดยจะแบ่งลักษณะการกดป็น 2 แบบคือ rocking keystrokes และ rolling keystrokes (อ่านรายละเอียด และทดลองใช้ระบบการจำลองการใช้งานผ่านแบบฟอร์มบนเว็บกับคีย์บอร์ดทั่วไปได้ ที่ kee4.com)

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Normaderm ที่ 01 ธันวาคม 2010, 14:09:47
แบบนี้ ที่นี่เค้าจะไม่ว่า ปั้มกระทู้หรอครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 14:28:22
แบบนี้ ที่นี่เค้าจะไม่ว่า ปั้มกระทู้หรอครับ

กำลังสอบถามไปทางแอดมินอยู่ครับ ว่าเข้าข่ายปั้มกระทู้หรือปล่าว
 :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 01 ธันวาคม 2010, 14:33:13
ไม่เชิงปั๊มกระทู้ซะทีเดียว เพราะไม่ได้โพสต์แบบไร้สาระเปล่าประโยชน์ แต่อาจจะต้องมีเว้นช่วงบ้างครับ เพราะกระทู้มันจะดันขึ้นมาบ่อยๆ

จริงๆผมว่าเปิด blog เกี่ยวกับ gadget ของตัวเองน่าจะเวิรก์นะครับ ขยายช่องทางรายได้เป็นของตัวเอง


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 14:37:47
ไม่เชิงปั๊มกระทู้ซะทีเดียว เพราะไม่ได้โพสต์แบบไร้สาระเปล่าประโยชน์ แต่อาจจะต้องมีเว้นช่วงบ้างครับ เพราะกระทู้มันจะดันขึ้นมาบ่อยๆ

จริงๆผมว่าเปิด blog เกี่ยวกับ gadget ของตัวเองน่าจะเวิรก์นะครับ ขยายช่องทางรายได้เป็นของตัวเอง

ขอบคุณคุณ bubbleball ที่มาช่วยไขความกระจ่างครับ
 :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 15:55:26
Google โชว์โฆษณาโต 800%

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017942401.JPEG)
ที่ 2 จากซ้าย - นางสาวพรทิพย์ กองชุน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย บริษัท Google

Googleโชว์ยอดโฆษณาออนไลน์ในไทยผ่าน Google Adwords หลังเปิดให้บริการมา 7 ปีเติบโต 800% สูงสุดในอาเซียน เตรียมแผนกระตุ้นเอสเอ็มอีหันมาใช้โฆษณาออนไลน์เพิ่ม หลังยอดแตะหลัก 1,800 ล้าน
       
       นางสาวพรทิพย์ กองชุน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย บริษัท Google กล่าวว่า แนวโน้มการใช้สื่อโฆษณาออนไลน์ในไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เนื่องจากธุรกิจการท่องเที่ยวในไทยมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งสื่อออนไลน์ถือเป็นสื่อโฆษณาที่มีประสิทธภาพ และธุรกิจในไทยหันมาใช้มากขึ้น
       
       'เวลานี้ ธุรกิจด้านท่องเที่ยวมีการใช้สื่อโฆษณาที่เป็นออนไลน์ 100% เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวมักจะค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซด์เป็นหลัก'
       
       จากผลการวิจัยที่Googleร่วมกับ Interactive Advertising Bureau ในอาเซียนพบว่า 43% ของผู้บริโภคคนไทยมักจะซื้อสินค้าทางออนไลน์เป็นประจำ และประมาณครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไปมักจะค้นหาข้อมูลทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ
       
       จากผลวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของกูเกิล แอดเวิร์ด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการโฆษณาออนไลน์ของGoogle ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มี ผู้ใช้บริการลงโฆษณากับGoogle Adwordsทั่วโลกแล้วกว่า 1 ล้านราย ขณะที่ไทยนับเป็นตลาดหนึ่งที่Google Adwords เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตถึง 800%
       
       เวลานี้ ลูกค้าคนไทยที่ลงโฆษณาในGoogle Adwordsมีนับเป็นพันๆ ราย ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดูได้จากปัจจุบันจำนวนเอสเอ็มอีในประเทศกว่า 1 ล้านราย มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเพียง 10% เท่านั้น จึงยังมีโอกาสที่ตลาดโฆษณาออนไลน์จะเติบโตได้อีกมาก
       
       แผนขยายตลาดของGoogle Adwordsในปีหน้า กูเกิลจะเน้นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศเพื่อผลักดันให้เอสเอ็มอีใน ไทยหันมาใช้สื่อโฆษณาออนไลน์ของGoogle Adwordsเพิ่มขึ้น โดยเข้าร่วมจัดกิจกรรมทางการตลาดกับบริษัทต่างๆ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ให้เข้มข้นขึ้น โดยกูเกิลจะเสนอให้เอสเอ็มอีได้ทดลองทำเว็บไซต์ขึ้นมา โดยใช้บริการเว็บไซต์ฟรี หรือบล็อกต่างๆ ซึ่งเป็นบริการที่Googleให้บริการฟรีอยู่แล้ว โดยGoogleก็จะเสนอบริการGoogle Adwordsเพื่อช่วยในการโปรโมทด้วย
       
       Google Adwords เป็นสื่อโฆษณาที่ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ มีงบมากหรืองบน้อยสามารถที่จะใช้บริการโฆษณาออนไลน์ได้หมด เนื่องจากGoogle Adwordsถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโฆษณาได้ ตรงกลุ่มที่สุด เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเกือบ 80% ใช้เสิร์ชเอนจิ้นเพื่อค้นหาข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ทำให้การโฆษณาสามารถสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด
       
       'จุดเด่นของGoogle Adwordsอยู่ตรงที่เราสามารถโฆษณาได้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ผู้บริโภคค้น หาอยู่ ประกอบกับกูเกิลยังมีพันธมิตรทางด้านเว็บไซต์ในประเทศไทยอีกกว่า 30,000 เว็บไซด์ ทำให้ผู้ลงโฆษณาสามารถกำหนดให้โฆษณาปรากฎกับข้อมูลที่กำลังค้นหาได้ตรงกับ ความต้องการจริงๆ'
       
       ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้สื่อโฆษณาออนไลน์ประมาณ 2% ของยอดโฆษณาทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 90,000 ล้านบาท

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: niyata ที่ 01 ธันวาคม 2010, 16:46:23
เป็นข้อมูลที่ดีมากครับ รวบรวมมาให้อาจแบบนี้ มีประโยชน์นะครับ ถึงจเป็นระบบออโต้ แต่ผู้ดูแล คงไม่ลบหรอกครับ ช่วยทราฟิกให้บอร์ดด้วย


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: rongpleng ที่ 01 ธันวาคม 2010, 16:49:28
เข้ามาขอบคุณเช่นกันะครับ สำหรับข่าวน่าสนใจ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 16:50:00
เป็นข้อมูลที่ดีมากครับ รวบรวมมาให้อาจแบบนี้ มีประโยชน์นะครับ ถึงจเป็นระบบออโต้ แต่ผู้ดูแล คงไม่ลบหรอกครับ ช่วยทราฟิกให้บอร์ดด้วย

ผมโพสมือล้วนๆ ครับ
 :wanwan019:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 21:43:55
'Lenovo' จุดพลุ IdeaPad U Series

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018009901.JPEG)
จากซ้าย IdeaPad U260 โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 12.5 นิ้วตัวแรกของโลกที่ใช้โครงสร้างแมกนีเซียมอะลูมิเนียมอัลลอยด์ชิ้นเดียว และ IdeaPad U160 ขนาดหน้าจอ 11.6 นิ้ว

เลอโนโวเล็งใช้ IdeaPad U Series จับตลาดคอนซูเมอร์ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง หลังพบพฤติกรรมผู้บริโภคต้องการโน้ตบุ๊กขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง รับกำลังศึกษาตลาดแท็บเล็ตในไทย คาดไม่เกินไตรมาส 2 ปี 54 จะพร้อมลุยตลาดแท็บเล็ต ขีดเส้นปีหน้าได้เห็นกิจกรรมการตลาดรูปแบบใหม่ที่เลอโนโวไม่เคยทำมาก่อน
       
       นายขจรเกียรติ อร่ามรัศมีกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไอเดีย ถือว่าเป็นความภูมิใจในตลาดคอนซูเมอร์ของเลอโนโว หลังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากรูปลักษณ์และประสิทธิภาพของสินค้า และความสะดวกในการพกพา
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018009902.JPEG)
IdeaPad U260

       "แม้ว่าเลอโนโวจะไม่มีการเติบโตในตลาดโน้ตุบ๊กแบบก้าวกระโดด แต่ถือว่าการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระดับ 20% ต่อไตรมาส เพราะจากยอดในปีนี้ยังถือว่าตรงตามที่คาดการณ์ไว้ แม้จะมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบก็ตาม"
       
       นอกจากนี้ยังมองว่าตลาดโน้ตบุ๊กในช่วงเดือนที่เหลือนั้นไม่น่าจะมี อัตราการเติบโตมากนัก เนื่องจากอยู่ในภาวะชะลอการซื้อจากหลายปัจจัย ทำให้ผู้บริโภคไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยมากนัก
       
       "ตลาดของปีนี้คงอยู่ในช่วงทรงตัวแล้ว เราจึงเริ่มวางแผนปีหน้า ที่เลอโนโวจะมีกิจกรรมการตลาดรูปแบบใหม่ที่เลอโนโวยังไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งอาจจะเป็นการเข้าไปใช้สื่อในรูปแบบอื่นที่ไม่เคยเข้าไป หลังจากเริ่มเข้ามาใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กแล้วระยะหนึ่ง"
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018009903.JPEG)
IdeaPad U260

       ขณะที่มองตลาดแท็บเล็ตว่ายังคงต้องศึกษาทิศทางตลาดในประเทศไทยอีกพัก หนึ่ง เพราะเชื่อว่าผู้บริโภคที่่ต้องการใช้งานแท็บเล็ตในปัจจุบันได้ซื้อเครื่อง ไปแล้ว ทำให้ต้องมองต่อไปว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป
       
       "เราอาจจะเอาแท็บเล็ตเข้ามาในตลาดประเทศไทยช่วงไตรมาส 2 ของปี 2554 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่พร้อมที่สุด แต่ทั้งนี้ยังคงต้องดูทิศทางตลาดแท็บเล็ตในประเทศไทยต่อไป"
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018009904.JPEG)
IdeaPad U260

       ล่าสุด เลอโนโวเปิดตัว IdeaPad U260 ที่การันตีว่า เป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 12.5 นิ้วตัวแรกของโลกที่ใช้โครงสร้างแมกนีเซียมอะลูมิเนียมอัลลอยด์ชิ้นเดียว ส่งผลให้น้ำหนักเหลือเพียง 3 ปอนด์ มีความบาง 0.71 นิ้ว ทำงานบนหน่วยประมวลผล Intel Core i5 ราคาเปิดตัวที่ 29,900 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
       
       ส่วน IdeaPad U160 ขนาดหน้าจอ 11.6 นิ้ว วางจุดขายสำหรับผู้ชอบการเดินทางที่ต้องการโน้ตบุ๊กขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง จาก ซีพียู Intel Core i3 ฮาร์ดดิกส์ขนาด 500GB น้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม หนา 1 นิ้ว ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 17,900 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 ธันวาคม 2010, 23:22:14
"ซิมเบียน" คางเหลือง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000017959701.JPEG)

ระบบปฏิบัติการซิมเบียนของโนเกียส่อแววอ่วมปีหน้า เพราะการสำรวจชี้ว่าซิมเบียนกำลังทยอยเสียส่วนแบ่งการตลาดและความจงรักภักดี ของผู้บริโภคไปอย่างน่าเป็นห่วง ล่าสุดนักวิเคราะห์ฟันธง ปี 2011 คือปีที่โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลจะมีจำนวนมาก ที่สุดในพื้นที่ยุโรป และไอโอเอส ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในไอโฟนของแอปเปิลสามารถครองแชมป์ระบบปฏิบัติการ โทรศัพท์มือถือที่มัดใจผู้บริโภคได้มากที่สุด
       
       ข้อมูลจากบริษัทวิจัยไอดีซี (IDC) ระบุว่า ไตรมาส 3 ปี 2010 โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้นมีสัดส่วนเป็น 23% ของการจัดส่งทั้งหมดในตลาดยุโรปตะวันตก ตามหลังระบบซิมเบียนที่มีส่วนแบ่ง 34% และไอโฟน 24% จุดนี้นักวิเคราะห์ฟรานซิสโก เจโรนิโม เชื่อว่าแอนดรอยด์จะสามารถแซงหน้าทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคยุโรปภายในปีหน้า
       
       เจโรนิโมวิเคราะห์เรื่องนี้จากทิศทางการการจัดส่งสมาร์ทโฟนสู่ภูมิภาคยุโรปในปีหน้า โดยพบว่า 39% ของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่วางจำหน่ายในยุโรปตะวันตกตลอด 9 เดือนที่ผ่านมานั้นเป็นแบรนด์เอชทีซี ขณะที่ 27% เป็นของโซนี่อีริคสัน รองลงมาคือ 14% จากซัมซุง ซึ่งทั้งหมดส่งสัญญาณพร้อมเดินเครื่องยิ่งขึ้นในปีกระต่ายที่จะถึงนี้
       
       ยุโรปถือเป็นภูมิภาคที่ 2 ที่แอนดรอยด์เป็นที่นิยมมากกว่าซิมเบียน โดยการสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาดจีเอฟเค (GFK) พบว่าระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียกลายเป็นแอ นดรอยด์ไปเรียบร้อยแล้วทั้งจำนวนเครื่องและมูลค่า ถือเป็นอีกตัวเลขที่ยืนยันการเสียแชมป์ของซิมเบียนได้ในระดับหนึ่ง
       
       นอกจากซิมเบียนจะมีแนวโน้มพ่ายแพ้ในมุมมองส่วนแบ่งตลาด การสำรวจล่าสุดพบว่าซิมเบียนยังพ่ายแพ้ต่อไอโฟนในมุมมองความจงรักภักดีของ ผู้บริโภค โดยจีเอฟเคพบว่าผู้ใช้ไอโฟนนั้นมีความจงรักภักดีในแบรนด์มากเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการค่ายอื่น ตัวเลขอ้างอิงคือ 59% ของผู้ใช้ไอโฟนมีแผนใช้งานโอเอสเดิมต่อไป เข้มแข็งกว่าผู้ใช้แอนดรอยด์ที่ 28% ระบุว่าจะใช้งานแอนดรอยด์ต่อไป
       
       จีเอฟเคพบว่า แบล็กเบอรีคือ ระบบปฏิบัติการที่มีผู้จงรักภักดีมากเป็นอันดับ 2 โดยผู้ใช้บีบีมากกว่า 35% ระบุว่าจะยังคงเลือกซื้อบีบีต่อไปไม่เปลี่ยนใจ ขณะที่แอนดรอยด์มีผู้ใช้เพียง 28% เท่านั้นที่รักเดียวใจเดียว
       
       สำหรับซิมเบียนซึ่งเป็นแชมป์ระบบปฏิบัติการอันดับ 1 ในตลาดโลกขณะนี้ นั้นมีกลุ่มผู้จงรักภักดีในแบรนด์ราว 24% ซึ่งยังดีกว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมบายที่มีอยู่ 21%
       
       จีเอฟเคดำเนินการทดสอบนี้โดยการสัมภาษณ์ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 2,653 รายในประเทศบราซิล เยอรมนี สเปน อังกฤษ สหรัฐฯ และจีน โดยพบว่าความจงรักภักดีในระบบปฏิบัติการของผู้บริโภคคิดเป็นค่าเฉลี่ย 25% โดย 37% ของกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือธรรมดาระบุว่าจะหันมาซื้อสมาร์ทโฟนในการซื้อ โทรศัพท์เครื่องต่อไป
       
       ผลสำรวจตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียในไตรมาส 3 พบว่ามีอัตราการเติบโตมากกว่าไตรมาส 3 ปี 2009 ถึง 270% ถ้าคิดรวมเป็นมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่า 1.48 พันล้านเหรียญสหรัฐ บนจำนวนของสมาร์ทโฟนที่จำหน่ายในไตรมาส 3 ของภูมิภาคเอเชียทั้ง 4.7 ล้านเครื่อง

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 01:14:53
โมโตโรลาแยกร่าง 2 บริษัทพร้อมรบ ม.ค.นี้

โมโตโรลา (Motorola) อดีตยักษ์ใหญ่โลกสื่อสารประกาศรายละเอียดการแตกหน่วยธุรกิจออกมาตั้งเป็น 2 บริษัทใหม่ว่าจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 มกราคมเป็นต้นไป ถือเป็นข่าวที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาทั่วโลกที่จับจ้องทิศทางในอนาคตของโมโต โรโลา ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิสก์ในสหรัฐฯให้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017981303.JPEG)
ซาน เจย์ จฮา (Sanjay Jha) กำลังจะกลายเป็นซีอีโอบริษัท Motorola Mobility ขณะที่ co-CEO อีกรายคือ Greg Brown จะดูแลบริษัท Motorola Solutions

       เช่นเดียวกับข้อมูลที่เคยถูกรายงานมาแล้ว นั่นคือโมโตโรลาจะแยกธุรกิจธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ความบันเทิงภายในบ้าน เช่น อุปกรณ์กล่องรับสัญญาณเคเบิลทีวี ออกมาเป็นบริษัทเดี่ยว ขณะที่อีกหนึ่งบริษัทจะดูแลธุรกิจเครือข่ายและโซลูชันเคลื่อนที่สำหรับ องค์กร (Enterprise Mobility Solutions and Networks) ครอบคลุมสินค้าประเภทอุปกรณ์รับส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ, คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่, ระบบรักษาความปลอดภัย และโครงข่ายข้อมูลไร้สาย
       
       ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นคือ ผู้ถือหุ้นโมโตโรลาจะได้รับหุ้นทั้งใน 2 บริษัท โดยบริษัทที่ดูแลธุรกิจสินค้าคอนซูเมอร์จะมีชื่อว่า Motorola Mobility ขณะที่ธุรกิจสินค้าองค์กรจะมีชื่อเรียกว่า Motorola Solutions
       
       โมโตโรลาย้ำว่าการแยกส่วนธุรกิจจะนำไปสู่ความชัดเจนในมุมของนักลงทุน จากเดิมที่เคยมีความสับสน ซึ่งโมโตโรลามองเห็นในเรื่องนี้จึงประกาศแผนการแยกบริษัทออกมาตั้งแต่ปี 2008
       
       อย่างไรก็ตาม การประกาศกรอบเวลาแยกบริษัทเป็นมกราคม 2011 นั้นถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดการมาก เพราะแต่เดิมโมโตโรลาเคยประกาศไว้ว่าจะแยกบริษัทให้แล้วเสร็จในปี 2009 สาเหตุเป็นเพราะจังหวะพิษเศรษฐกิจซบเซาและความจำเป็นของโมโตโรลาในการเร่งทำ ตลาดโทรศัพท์มือถือ
       
       สำหรับธุรกิจสินค้าองค์กร โมโตโรลายืนยันว่าไม่มีแผนแยกหน่วยธุรกิจออกเป็นบริษัทย่อยอีก หลังจากได้ประกาศขายธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายให้กับบริษัทร่วม ทุนสัญชาติฟินแลนด์และเยอรมนีนาม Nokia Siemens Networks โดยดีลดังกล่าวคาดว่าจะสมบูรณ์ภายในกลายปีนี้
       
       โมโตโรลานั้นเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ผลิตวิทยุติดรถยนต์ในปี 1930 ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในช่วงปี 80 โดยโมโตโรลารุ่งเรืองสุดขีดช่วงปี 2007 ท่ามกลางความสำเร็จจากสินค้าตระกูล Razr จนขึ้นเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 2 ของโลก ล่าสุด โมโตโรลาถูกจัดอันดับให้เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับที่ 7 ของโลก
       
       รายงานระบุด้วยว่า ธุรกิจที่จะถูกรวมในบริษัท Motorola Mobility นั้นมียอดจำหน่ายราว 2,900 ล้านเหรียญในไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับ 1,900 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับธุรกิจในบริษัท Motorola Solutions
       
       สำหรับสำนักงานที่ตั้ง Motorola Solutions รายงานระบุว่าจะอยู่ในย่าน Schaumburg ขณะที่ Motorola Mobility จะอยู่ที่ Libertyville มลรัฐอิลินอยส์ ซึ่งคาดว่าจะมีการย้ายสำนักงานทีมงานในโมโตโรลาสำนักงานใหญ่บางส่วนไปประจำ การในสาขาซานดิเอโก ซานฟรานซิสโก หรือเมืองออสติน รัฐเท็กซัส
       
       รายงานชี้ว่า โมโตโรลาได้เตรียมการสำหรับการแยกร่างด้วยการว่าจ้างซานเจย์ จฮา (Sanjay Jha) ในปี 2008 เพื่อคุมบังเหียนธุรกิจโทรศัพท์มือถือบนตำหน่างประธานกรรมการบริหารร่วมหรือ co-CEO โดยจฮาจะเป็นผู้ดูแลธุรกิจ Mobility และ co-CEO อีกรายคือ Greg Brown จะดูแลธุรกิจ Solutions
       
       หลังการประกาศ มูลค่าหุ้นโมโตโรลาลดลง 11 เซนต์ ปิดที่ 7.66 เหรียญ


ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 04:05:10
ออสซีส่งแอพฯใหม่ใช้วัดยูวี-แสงแดด

สำหรับสาวไทย แสงแดดอุ่นๆ ค่อนไปทางร้อนในช่วงซัมเมอร์อาจเป็นของแสลง และคู่ขนานที่ยากจะบรรจบกัน แต่สำหรับหนุ่มสาวชาวออสซีแล้วกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

(http://www.posttoday.com/media/content/2010/12/01/43D9F3A4A9544B8F907723AC6BA1D1FE.jpg)

แต่อย่างที่รู้กันดีว่า “แสงแดด” แม้จะมีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์ หากไม่รู้จักป้องกันตัวจากมฤตยูร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในแสงแดดอย่าง “รังสียูวี” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตชาวออสซีให้ต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร เพราะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในแต่ละปีมีชาวออสซีที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับ โรคมะเร็งผิวหนังถึงกว่า 1,850 คน หรือมากกว่าเหยื่อที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

ด้วยเหตุนี้สถาบันมะเร็งซันสมาร์ต แมนเจอร์ จึงพัฒนา “SunSmart” แอพพลิเคชันใหม่บนไอโฟน เพื่อเป็นตัวช่วยตัดสินใจว่าเวลาใดปลอดภัยที่สุดสำหรับการออกไปนอนอาบแดดบ่ม ผิว เพราะด้วยเจ้าแอพพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าแสง แดดเวลาใดมีอุณหภูมิพอเหมาะ และไม่มีรังสียูวีอยู่ในระดับที่อันตรายเกินไป

สำหรับความอัจฉริยะของเจ้าแอพพลิเคชันที่ว่านี้ คือ การใช้เทคโนโลยีสุดล้ำอย่างจีพีเอสตรวจจับพิกัดของผู้ใช้ เพื่อประมวลผลอัตโนมัติว่าเวลาใดคือช่วงเวลาที่ปลอดภัยสำหรับการอาบแดด รวมทั้งมีการแจ้งเตือนถึงปริมาณรังสียูวีในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย

“ความพิเศษของแอพพลิเคชันนี้ คือ มันอยู่ในกระเป๋าของคุณ โดยที่คุณไม่ต้องไปเปิดคอมพิวเตอร์หรือเปิดตำราให้ยุ่งยากเสียเวลา” ซู ฮีวาล์ด จากสถาบันมะเร็ง กล่าว

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: itacc ที่ 02 ธันวาคม 2010, 05:40:46
มีประโยชน์ดีครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 12:32:01
ลองชุดสวยด้วย "Google" กับโปรเจ็กเตอร์

เมื่อช่วงประมาณกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Google ได้ประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ชื่อว่า Boutiques.com เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีกับแฟชั่นได้อย่างลงตัว โดยผู้ใช้บริการร้านออนไลน์แห่งนี้สามารถเลือกแฟชันในแบบของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถแชร์ไอเดียการแต่งตัวกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

แต่รายงานข่าวชิ้นนี้ ไม่ได้เป็นการแนะนำเว็บไซต์ข้างต้นแต่อย่างใด แต่เป็นไอเดียเด็ดๆ ที่รับรองว่า คุณผู้อ่านโดยเฉพาะสาวๆ ต้องชอบแน่ๆ นั่นก็คือ ไอเดียการจัด"เวอร์ชวล"แฟชั่นโชว์ที่คุณสามารถเป็นนางแบบลองชุดเสื้อผ้าสวยๆ ได้ เพียงแค่มี Google กับเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ (Projector) เพื่อฉายภาพชุดแฟชั่นสวยๆ ที่เสิร์ชได้จาก Google Image บนฉาก โดยขยายให้มันมีขนาดเท่ากับรูปร่างของนางแบบ (ที่อาจหมายถึงตัวคุณก็ได้) ซึ่งสวมชุดสีขาว เมืีอนางแบบเข้าไปในฉาก ภาพฉายจากโปรเจ็กเตอร์ก็จะปรากฎบนตัวนางแบบพอดิบพอดี จะลองกี่่ชุดก็ได้ นับเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-demo-slam-virtual-fashion-show-2.jpg)

Virtual Fashion Show เป็นหนึ่งในไอเดียที่คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปชม และโหวดได้ใน Google Demo Slam โดยทางเว็บไซต์เปิดให้ผู้ที่มีไอเดียที่หลายคนอาจะไม่กล้าทำ หรือนึกไม่ถึง และสามารถนำไปทำได้จริงๆ ซึ่งนอกจากไอเดียนี้แล้ว ก็ยังจะมีไอเดียอย่างเช่น ตัดผมเอง การใช้ของต่างๆ มากมายทำ QR Code ฯลฯ ลองเข้าไปชมกันนะครับ รับรองว่า คุณผู้อ่านต้องชอบอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 13:26:07
ยุโรปเร่งสอบ Google ผูกขาดการค้า

คณะกรรมาธิการยุโรปหรือ European Commission (EC) ประกาศเริ่มต้นกระบวนการสอบสวนกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์สัญชาติอเมริกันในข้อหาผูกขาดการ ค้า โดยต้องการตรวจสอบว่ากูเกิลฝ่าฝืนกฎหมายสหภาพยุโรปด้วยการ "ใช้อิทธิพลในตลาดเสิร์ชออนไลน์ในทางที่ผิด"หรือไม่ เพื่อรักษาประโยชน์แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเสิร์ชออนไลน์สัญชาติยุโรปให้ สามารถแข่งขันได้อย่างเสรี
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018025301.JPEG)

       รายงานย้ำว่า การเริ่มกระบวนการสอบสวนกูเกิลในข้อหาผูกขาดการค้าที่เกิดขึ้นไม่ได้แปลว่า กูเกิลถูกตัดสินว่าฝ่าฝืนกฎหมายยุโรปแล้ว โดยกูเกิลออกมาให้ความเห็นรับลูกคณะกรรมาธิการอีซีว่าจะให้ความร่วมมือต่อ การสอบสวนอย่างเต็มที่
       
       การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจาก ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์สัญชาติยุโรป 3 ราย ออกมาร้องเรียนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็น ธรรมในบริการค้นหาข้อมูลฟรีของกูเกิล ระบุว่าถูกกูเกิล"ลดคะแนน"หรือการจงใจทำให้ระบบค้นหาของกูเกิลจัดลำดับ เว็บไซต์ให้มีความสำคัญต่ำ ทำให้ชื่อเว็บไม่ปรากฏในเพจผลการค้นหาด้านให้บริการฟรี เพราะเว็บไซต์เหล่านี้ให้บริการสืบค้นเช่นเดียวกับกูเกิล สิ่งที่เกิดขึ้นจึงดูเหมือนการกีดกันทางการค้าที่ทำให้ทั้ง 3 บริษัทเสียประโยชน์
       
       เว็บไซต์ 3 รายที่ร้องเรียนเรื่องนี้คือเว็บไซต์ Foundem สัญชาติอังกฤษ เว็บไซต์ Ciao จากฝรั่งเศส และเว็บไซต์ ejustice.fr จากฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามครั้งนั้นกูเกิลแถลงการณ์ปฏิเสธว่ากูเกิลไม่ได้ปรับแต่งผลการ ค้นหา แต่ผลการค้นหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากระบบคำนวณหรืออัลกอริทึมของกูเกิล ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน มีข่าวว่าคณะกรรมาธิการยุโรปได้ส่งคำถามเพื่อให้กูเกิลชี้แจงข้อมูลด้าน เทคนิคบางจุดแล้ว
       
       เหตุที่การลบชื่อออกจากหน้าผลการค้นหาข้อมูลออนไลน์ของกูเกิลถูกมอง ว่าเป็นการกีดกันทางการค้า เพราะเพจการค้นหาของกูเกิลคือประตูชั้นยอดที่จะนำนักท่องเน็ตเข้าสู่เว็บไซ ต์ โดยภายหลังการร้องเรียน รายงานข่าวระบุว่าชื่อเว็บไซต์เหล่านี้ปรากฏในเพจการค้นหาของกูเกิลอีกครั้ง และ Foundem ซึ่งเป็น 1 ในเว็บไซต์ที่ร้องเรียนระบุว่า เว็บไซต์มีทราฟฟิกการใช้งานเพิ่มขึ้นทันทีถึง 10,000%
       
       รายงานย้ำว่า การสอบสวนกูเกิล ของคณะกรรมาธิการยุโรปจะครอบคลุมถึงการหาข้อเท็จจริงว่ากูเกิลจงใจลดคะแนน เว็บไซต์คู่แข่งหรือไม่ ซึ่งหากใช่ กูเกิลจะสูญเสียความเชื่อมั่นในโลกออนไลน์ไปอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้ ทำให้นักสังเกตการณ์มองว่าไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นคู่แข่งในโลกค้นหาข้อมูลออ นไลน์นั้นมีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อบริษัท Ciao 1 ในเว็บไซต์ที่ฟ้องร้องนั้นเป็นบริษัทของไมโครซอฟท์
       
       ไม่เพียงบริการค้นหาข้อมูลฟรี บริการลงโฆษณาบนหน้าเพจการค้นหาของกูเกิลก็ถูกร้องเรียนเรื่องผูกขาดตลาดใน ยุโรปเช่นกัน โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัท Navx ในฝรั่งเศสซึ่งจำหน่ายซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้หลบหลีกตำรวจได้ชำระเงินลง โฆษณาบนกูเกิล แต่กูเกิลตัดสินใจถอดโฆษณาดังกล่าวออกเนื่องจากเห็นว่าซอฟต์แวร์ของ Navx ส่งเสริมให้คนทำผิดกฎหมาย
       
       Navx จึงฟ้องร้องกูเกิลให้กูเกิลลงโฆษณา Navx ดังเดิม เพราะซอฟต์แวร์ GPS จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Garmin ก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้หลบหลีกตำรวจฝรั่งเศสได้เช่นกัน เมื่อกูเกิลยอมแสดงลิงก์โฆษณาของ Garmin การกระทำของกูเกิลต่อ Navx จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสร้างผลเสียให้แก่ธุรกิจของ Navx ให้ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเสรี
       
       ปี 2010 ถือเป็นปีที่ประเทศในกลุ่มยุโรปออกมาแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของกูเกิลที่ กินสัดส่วนใหญ่ในตลาดเสิร์ชเอนจินของหลายประเทศ เช่นในฝรั่งเศสที่ถูกประเมินว่ากูเกิลสามารถกินส่วนแบ่งไปมากกว่า 90% โดยหลายกระแสมองว่าอิทธิพลของกูเกิลอาจทำให้ธุรกิจในประเทศไม่เกิดการแข่ง ขันที่เสรี ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเสียผลประโยชน์ในที่สุด
       
       สำหรับประเทศไทย กูเกิลมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 98% และยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการผูกขาดที่อาจเกิดขึ้น

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 14:53:11
มะกันนับวันรอ 4G เวอไรซอนขีดเส้นลุย 5 ธ.ค. นี้

เวอไรซอน (Verizon) ประกาศพร้อมให้บริการเครือข่าย LTE หรือ 4G ในสหรัฐฯวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ประเดิมก่อนใน 30 ย่านหลักทั่วประเทศ เบื้องต้นลุยทำตลาดโมเด็มเพื่อปูทางให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์พีซีสามารถใช้อิน เทอร์เน็ตความเร็วขั้นเทพได้ก่อนในช่วงที่สมาร์ทโฟน 4G ยังไม่ลงตลาด โดยสมาร์ทโฟน 4G คาดว่าจะเปิดตลาดในสหรัฐฯช่วงกลางปี 2011
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018033301.JPEG)

       รายงานระบุว่า วันที่ 5 ธันวาคม 53 เวอไรซอนจะเริ่มจำหน่ายยูเอสบีโมเด็มจำนวน 2 รุ่นที่รองรับเทคโนโลยีเครือข่าย LTE หรือ Long-Term Evolution ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลจริงราว 5-12 เมกะบิตต่อวินาที ถือเป็นความเร็วเครือข่ายสูงสุดที่สหรัฐฯเคยมี โดยโมเด็ม 4G มีราคาจำหน่ายสุทธิ 99.99 เหรียญพร้อมสัญญาใช้งาน 2 ปี (หลังหักส่วนลดเงินคืน 50 เหรียญ) หรือประมาณ 2,999 บาท
       
       เบื้องต้น นักสังเกตการณ์เชื่อว่าเครือข่าย LTE ในสหรัฐฯจะถูกใช้งานเฉพาะการสื่อสารข้อมูลอย่างเดียวไปถึงปี 2012 เนื่องจากการเปิดตลาดของสมาร์ทโฟน 4G ที่เวอไรซอนเคยประกาศว่าจะนำไปเปิดตัวในงาน CES 2011 และจะวางจำหน่ายในช่วงกลางปี 2011 นั้นจะไม่แพร่หลายในทันทีทันใด
       
       เวอไรซอนมีแผนขยายเครือข่าย LTE ให้ครอบคลุมพื้นที่ทุกจุดในสหรัฐฯที่มีเครือข่าย 3G ให้บริการอยู่ โดยพื้นที่ที่สามารถใช้งาน 4G ของเวอไรซอนในช่วงแรกได้แก่ เมืองหลักในรัฐโอไฮโอ จอร์เจีย แมรี่แลนด์ แมสสาชูเซ็ตส์ อิลินอยส์ นอร์ธแคโรไลนา โคโรราโด ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย เนวาดา เทนเนสซี นิวยอร์ก เพนซิลวาเนีย หลุยเซียนา โอกลาโฮมา และวอชิงตัน
       
       สำหรับค่าบริการ เวอรไรซอนกำหนดไว้ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อการใช้งานข้อมูล 5GB (ราว 1,500 บาท) และ 80 เหรียญต่อการใช้ข้อมูล 10GB (ราว 2,400 บาท) โดยโมเด็มทั้ง 2 รุ่นจะสามารถทำงานกับเครือข่าย 3G ของเวอไรซอนได้

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 17:03:30
Google Editions พร้อมขายอีบุ๊กปลายปีนี้

หลังจากเลื่อนมาหลายเดือน ล่าสุดประชาสัมพันธ์กูเกิลออกมายืนยันข่าวซึ่งสื่ออเมริกันรายงานว่า กูเกิลกำลังเตรียมฤกษ์เปิดร้านจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊กแบบ ปลีกอย่างเป็นทางการภายในปลายปีนี้จริง จะใช้ชื่อ Google Editions เพื่อลุยทำตลาดในสหรัฐฯก่อนเป็นประเทศแรก
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018061502.JPEG)
แฟ้มภาพจำลองบริการ Google Editions

       วอลล์สตรีทเจอร์นอลตั้งข้อสังเกตว่าการที่กูเกิลสามารถจบปัญหาความ ขัดแย้งด้านกฎหมายกับสำนักพิมพ์ได้เรียบร้อย ทำให้ Google Editions สามารถเริ่มให้บริการในสหรัฐฯได้ก่อนปลายปีนี้ โดยระบุว่า Google Editions จะสามารถขยายบริการไปยังประเทศต่างๆได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2011
       
       ประชาสัมพันธ์กูเกิลยืนยันว่ากำหนดการให้บริการก่อนปลายปีของ Google Editions นั้นเป็นความจริง แต่ไม่ให้เหตุผลว่าความล่าช้าของโครงการเกิดขึ้นเพราะปัญหาการฟ้องร้องระ หว่างกูเกิลและสำนักพิมพ์จริงหรือไม่ ทั้งที่เดือนพฤษภาคม 53 ผู้บริหารกูเกิลเคยเปิดเผยว่าจะให้บริการซื้อขายไฟล์อีบุ๊กในช่วงมิถุนายน ที่ผ่านมา
       
       หลายฝ่ายเชื่อว่าความล่าช้าของธุรกิจอีบุ๊กกูเกิลมีความเกี่ยวข้อง โดยตรงต่อความสัมพันธ์กับสำนักพิมพ์ เนื่องจากความพร้อมของ Google Editions เกิดขึ้นหลังจากกูเกิลและผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ทั้งนักเขียน และสำนักพิมพ์สามารถยอมความกันได้ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
       
       รายงานระบุว่า ภายใต้ระบบของกูเกิล ผู้ค้าหนังสืออิสระจะสามารถวางจำหน่ายอีบุ๊กผ่าน Google Editions ได้อย่างเสรี โดยผู้ค้าอิสระรายย่อยจะได้รับผลประโยชน์ตามสัญญาซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยราย ละเอียดในขณะนี้ เบื้องต้น ข้อมูลชี้ว่ากูเกิลจะเปิดกว้างให้ผู้ใช้หลากหลายอุปกรณ์สามารถซื้ออีบุ๊กกับ กูเกิลได้ เพราะ Google Editions จะทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดอ่านอีบุ๊กบนบราวเซอร์และแอปพลิเคชันได้ทั้ง แบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยจะจัดเก็บไฟล์ไว้บนระบบคลาวด์คอมพิวติงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูไฟล์ ได้จากทุกอุปกรณ์หลังจากซื้อไฟล์ไปแล้ว ขณะที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะสามารถวางใจเรื่องการจัดการสิทธิ์การใช้งานได้ ด้วย แถมจะเปิดเสรีให้ผู้ใช้สามารถเข้าสู่บริการ Google Editions ได้จากหลายเว็บไซต์ ซึ่งหากเป็นจริง นี่จะถือเป็นการปฏิวัติวงการค้าปลีกหนังสืออิเล็กทรอนิกส์บนโลกออนไลน์ครั้ง ใหญ่ที่น่าจับตา

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018061501.JPEG)
อีบุ๊กของกูเกิลสามารถอ่านได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลาย

นักสังเกตการณ์เชื่อว่า Google Editions จะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของอเมซอน (Amazon.com) บาร์นส์แอนโนเบิล (Barnesandnoble.com) รวมถึงแอปเปิล (Apple) ซึ่งมีหน้าร้านจำหน่ายอีบุ๊กอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากกูเกิลเคยประกาศแผนว่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถซื้ออีบุ๊กด้วยชื่อบัญชี ใช้งานบริการกูเกิลที่ผู้ใช้มีอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้กูเกิลสามารถแย่งลูกค้าผู้ใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์พีซี และแท็บเล็ตนานาชนิดที่สามารถเข้าถึงบริการกูเกิลได้จากเว็บเบราว์เซอร์หลาย ค่ายไปได้
       
       นี่ไม่ใช่บริการเกี่ยวกับหนังสือบริการแรกของกูเกิล โดยปัจจุบัน กูเกิลเปิดให้บริการค้นหาหนังสือในชื่อ Google Book Search แล้วเพื่อให้ชาวเน็ตสามารถค้นหาและได้มีโอกาสเปิดดูเนื้อหาบางส่วนของ หนังสือซึ่งรวบรวมมาจากห้องสมุดและสำนักพิมพ์ทั่วโลก

จุดนี้รายงานระบุว่ากูเกิลจะนำ Google Editions มาควบรวมกับบริการ Book Search ด้วย โดยจะเปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อหนังสือที่ค้นหาได้ในรูปแบบอีบุ๊ก ขณะเดียวกัน กูเกิลก็จะให้สิทธิ์สำนักพิมพ์รายย่อยในการจำหน่ายอีบุ๊กในบริการ Google Editions บนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์เองด้วย

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 21:50:28
BBC เล็งขายสมาชิกแอปฯทีวีบน iPad ทั่วโลก

หลังจากให้บริการฟรีเฉพาะสมาชิกในประเทศอังกฤษ ล่าสุดสถานีโทรทัศน์บีบีซี (BBC) ประกาศแผนพร้อมให้บริการแอปพลิเคชัน iPlayer แก่ผู้ใช้ iPad ทั่วโลกแบบเก็บค่าสมาชิก รายงานชี้บีบีซีหวังลูกค้าในกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ถือเป็นอีกข่าวที่ตอกย้ำความหลากหลายของคอนเทนต์บน iPad ในนาทีนี้
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018073801.JPEG)
หน้าเว็บไซต์ bbc.com

       รายงานจากไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) ระบุว่า ปัจจุบันบีบีซีให้บริการแอปพลิเคชัน iPlayer ฟรีแก่สมาชิกในอังกฤษผู้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS ของแอปเปิลซึ่งชำระค่าบริการชมทีวีรายเดือนแก่สถานี เนื่องจากสถานีไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บค่าบริการคอนเทนต์ตามกฏหมายอังกฤษ บีบีซีจึงกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อให้บริการสมัครสมาชิกเพื่อรับชม รายการทีวีของบีบีซีในตลาดต่างประเทศ โดยสหรัฐฯคือหนึ่งในประเทศเป้าหมายหลักของบีบีซี
       
       Luke Bradley-Jones ผู้อำนวยการบริหารของ BBC.com ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวไฟแนนเชียลไทมส์ว่าแอปพลิเคชัน iPlayer จะถูกเปิดตัวในรูปแบบบริการสมาชิกที่เก็บค่าบริการ ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในแผนการดึงแฟนสถานีที่เคยใช้บริการ iPlayer ให้มาเป็นสมาชิกบริการบีบีซีมากยิ่งขึ้นในอนาคต

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018073802.JPEG)
แอปพลิเคชันแจกฟรีแก่สมาชิกผู้ใช้ iPad ในอังกฤษกำลังจะขยายพื้นที่เข้าสู่สหรัฐฯแล้ว

เหนืออื่นใด ผู้บริหารบีบีซีชี้ว่าแอปพลิเคชัน iPlayer จะทำให้บีบีซีได้รับข้อมูลผู้อ่านมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บีบีซีสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่บริการของบีบี ซีในอนาคตได้ โดยในไม่กี่เดือนนับจากนี้ บีบีซีมีแผนให้บริการ Global iPlayer แก่ผู้ใช้ iPad ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับบริการวิดีโอออนดีมานต์แบบอินเทอร์แอคทีฟได้อย่าง แท้จริง
       
       นักวิเคราะห์มองว่าการขยายช่องทางกระจายภาพของสถานีโทรทัศน์ อย่างบีบีซีนั้นทำให้สถานีสามารถสร้างได้เพิ่มขึ้นทั้งในแง่ค่าบริการสมาชิก ค่าบริการดาวน์โหลด และค่าบริการตามจำนวนครั้งที่ชม ขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่การรับเงินจากสปอนเซอร์เพื่อผลิตคอนเทนต์ฟรีได้อีก ทางหนึ่ง
       
       ความเคลื่อนไหวของบีบีซีเกิดขึ้นหลังจากข่าวการแจ้งเกิดนิตยสารและ หนังสือพิมพ์หลากหลายค่ายบน iPad โดยสื่อยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง News Corporation ออกมาเปิดเผยว่ากำลังพัฒนา"หนังสือพิมพ์สำหรับ iPad"ฉบับแรกของโลก ในรูปแบบแอปพลิเคชันบน iPad ที่ผู้ใช้จะสามารถอ่านข่าวประจำวันในราคา 99 เซนต์ต่อสัปดาห์ โดยจะมีเนื้อหาผสมระหว่างข่าวที่เข้มข้นจริงจังและข่าวสไตล์หนังสือพิมพ์ แท็บลอยด์ที่เน้นสีสัน
       
       นอกจากหนังสือพิมพ์ Richard Branson ผู้ก่อตั้งอาณาจักร Virgin ได้เริ่มให้บริการนิตยสารดิจิตอลหรือดิจิตอลแมคกาซีนบน iPad แล้วในชื่อ Project เบื้องต้นออกเป็นรายเดือนในราคาฉบับละ 2.99 เหรียญสหรัฐ ภายในประกอบด้วยบทความด้านศิลปะการออกแบบ บันเทิง และเทคโนโลยี ท่ามกลางคำวิจารณ์ว่ายังใช้งานยากและมีลักษณะคล้ายถูกออกแบบมาเพื่อการตี พิมพ์บนกระดาษ
       
       Branson ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอเมริกันด้วยว่า ความเคลื่อนไหวนี้คือการก้าวไปสู่โลกอนาคตของสิ่งพิมพ์ ซึ่งนานาค่ายจะแข่งขันด้านคุณภาพอย่างจริงจังยิ่งขึ้นแน่นอน

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 22:30:40
อัลตราซาวด์พกพา หมอเหมือนมีตาทิพย์

เชื่อหรือไม่ว่าขณะนี้คุณหมอทั้งหลายกำลังจะมีตาทิพย์พกพาติดตัวโดย ไม่ต้องพึ่งพาหูฟังอีกต่อไป เมื่อเทคโนโลยีอัลตราซาวด์ถูกพัฒนาลงมาจนกลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่มีขนาด กะทัดรัด ทำให้สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018068501.JPEG)

       ในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อวงการสุขภาพนั้น หน่วยธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ของจีอี ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการขยายขอบข่ายของผลิตภัณฑ์ และบริการด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยแนวคิดที่เรียกว่าเฮลท์แมจิเนชั่น ทำให้จีอีเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งไปที่เทคโนโลยีที่ช่วยให้ค่าใช้จ่ายถูกลง เพื่อลดผลกระทบของเทคโนโลยีต่อต้นทุนด้านต่างๆ
       
       เครื่อง Vscan ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จีอีพัฒนาบนแนวคิดดังกล่าว และถือเป็นเครื่องมือ Visualization ที่น้ำหนักเบาและฉลาด กลายเป็นอัลตราซาวด์พกพาที่แพทย์สามารถนำติดตัวไปได้ทุกที่ แม้แต่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ อย่างกรณีเกิดน้ำท่วมอย่างหนัก แพทย์สามารถนำเครื่องวีสแกนไปเพื่อตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
       
       “หมอจะเหมือนมีตาทิพย์เมื่อใช้วีสแกน และในอนาคตอาจจะใช้แทนหูฟังที่ใช้งานอยู่ขณะนี้” เดวิด อูทามะ ประธานและซีอีโอ จีอีเฮลธ์แคร์ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
       
       วีสแกนเป็นเครื่องมือสร้างและประมวลผลภาพทางการแพทย์ที่มีขนาดกะทัด รัดไซส์ประมาณสมาร์ทโฟน และน้ำหนักเพียง 390 กรัม จึงพกพาสะดวกและใช้งานง่าย ช่วยให้การฉายภาพ ณ จุดที่ทำการรักษาสามารถทำได้จริง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลภาพแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับ อวัยวะภายในร่างกายผู้ป่วยได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเจาะหรือสอดเครื่องมือ เข้าไปภายใน
       
       สำหรับกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์วีสแกนมี 4 กลุ่ม ได้แก่ เวชศาสตร์ครอบครัว โรคหัวใจ สูตินรีแพทย์ และการแพทย์ และการแพทย์ฉุกเฉิน โดยเครื่องมือนี้มีศักยภาพเป็นด่านแรกในการตรวจหาอาการของโรค แม้ในสถานที่ที่จำเป็นต้องดูแลรักษาขั้นต้น
       
       ทั้งนี้ วีสแกนสามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยได้สูงสุดถึง 30 ราย ภายในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง และแพทย์สามารถจัดเก็บภาพถ่ายของผู้ป่วยไว้ในการ์ดความจำขนาด 4 กิกะไบต์ ซึ่งเพิ่มได้อีกถึง 32 กิกะไบต์
       
       “วีสแกนมีประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์ที่เกิดภัยธรรมชาติอย่างที่ เพิ่งเกิดในประเทศไทย โดยสามารถพกพาไปยังจุดที่เกิดภัยพิบัติ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการได้ทันทีผ่านจอภาพ เช่น รูรั่วที่อาจเกิดขึ้น อาการเลือดออกภายใน การมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจและนิ่ว”
       
       จีอีมีเป้าหมายจะนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรม 100 รายการที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมการเข้าถึงบริการและเพิ่มคุณภาพให้ได้ร้อยละ 15 ในระยะยาว ทำให้ผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์สามารถเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ ในราคาที่ถูกลง

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 ธันวาคม 2010, 23:51:22
สมาร์ททีวี TV REVOLUTION

ชื่อของ “สมาร์ททีวี” หลายคนคงเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่ตัวจริงๆ ของสมาร์ททีวีนั้นเพิ่งจะปรากฏในตลาดเมืองไทยจากการเปิดตัวของค่ายใหญ่แดน กิมจิอย่าง “แอลจี” ที่เปิดตัว “LG INFINIA SMART TV” ยิ่งไปกว่านั้นแอลจียังจับมือกับโลคัลคอนเทนต์อย่าง เนชั่น แชนแนล และเอ็มไทย ร่วมพัฒนาเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์สำหรับอินเทอร์เน็ตทีวีเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018068701.JPEG)

       “ในตลาดต่างประเทศอย่างเกาหลี ยุโรปและอเมริกา สมาร์ททีวีได้รับความนิยมเป็นอย่างดี”
       
       เป็นคำกล่าวของ ฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และว่า “การเปิดตัวสมาร์ททีวีในประเทศไทยครั้งนี้ น่าจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทีวีรูปแบบใหม่”
       
       จุดเด่นของ LG INFINIA SMART TV อยู่ที่การออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกสบาย ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เพียงกดปุ่ม NetCast บนรีโมตคอนโทรลเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ยังยกระดับการรับชมด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอื่นๆ ภายในบ้านแบบไร้สายผ่านเครือข่าย DLNA, Bluetooth, USB และ HDMI รวมถึงจุดเด่นการดีไซน์แบบ BORDERLESS หน้าจอเรียบหรูด้วยกระจกแผ่นเดียว ตัวทีวีและกรอบจอบางเฉียบ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมภาพ
       
       ที่สำคัญแอลจีมองว่า การผนึกความร่วมมือกับโลคัลคอนเทนต์อย่างเนชั่นและเอ็มไทย น่าจะตอบสนองรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้คนไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านมาในตลาดต่างประเทศ การที่สมาร์ททีวีมีคอนเทนต์ที่เป็นของท้องถิ่นจะได้รับความนิยมจากตลาดดี กว่าการมีคอนเทนต์ต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ ในปี 2554 แอลจีมีแผนที่จะเพิ่มเติมจำนวนคอนเทนต์ให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง
       
       ในส่วนของการพัฒนาคอนเทนต์ถือเป็นจุดสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างใน การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตสมาร์ททีวีแต่ละรายด้วย ยิ่งคอนเทนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้สมาร์ททีวีแบรนด์นั้นเป็นทางเลือกสำหรับผู้ซื้อ นอกจากนี้การใช้งานที่ง่ายถือเป็นจุดที่สร้างความแตกต่าง โดยจุดนี้แอลจีจึงได้พัฒนา NetCast ที่กดเพียงปุ่มเดียวบนรีโมตก็สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทันที
       
       “ผู้ชมจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่าง สามารถเลือกรับชมคอนเทนต์ที่มีอย่างหลากหลายได้อย่างอิสระ รวมถึงคอนเทนต์จากต่างประเทศ เช่น YouTube, facebook หรือ Picasa ซึ่งแอลจีได้ออกแบบฟีเจอร์ให้ใช้งานสะดวกสบาย ทำให้สามารถแบ่งปันความสุขกับคนรอบข้างได้ง่ายขึ้น”
       
       สมาร์ททีวีสามารถเชื่อมต่อคอนเทนต์บนโลกออนไลน์จากทั่วทุกมุมโลก ภายใต้แนวคิด 4C ได้แก่ ความสะดวกสบาย (Convenience) คอนเทนต์ที่หลากหลาย (Content) รองรับทุกการเชื่อมต่อ (Connectivity) และดีไซน์สวยงามล้ำสมัย (Charming Design) โดยแอลจีเชื่อมั่นว่าจะตอบสนองไลฟ์สไตล์แนวใหม่ของคนไทย
       
       “การร่วมมือกับแอลจีในครั้งนี้ นับเป็นการพลิกโฉมวงการโทรทัศน์ของไทย ตอบรับเทรนด์ในการบริโภคข่าวสารของคนไทยที่ต้องการข้อมูลอัปเดตตลอดเวลา และยังเพิ่มช่องทางสื่อสารใหม่ที่น่าสนใจให้แก่ผู้บริโภค” ชุตินธรา วัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนานิวมีเดีย บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) จำกัด กล่าว
       
       ด้าน ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาเว็บไซต์และธุรกิจเว็บ บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด เจ้าของเว็บไซต์เอ็มไทย กล่าวว่า ผู้ใช้งานสมาร์ททีวีสามารถเลือกชมได้ตามความต้องการ จากการเลือกคอนเทนต์เอ็มไทยที่ได้รับความนิยมสำหรับแอลจีโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นคลิปดูดวงโดย อาจารย์คฑา ชินบัญชร เคล็ดลับความสวยความงาม เทคโนโลยีล้ำสมัย สัตว์เลี้ยงแสนรัก สถานที่ท่องเที่ยว คลิปโชว์ความสามารถพิเศษ และคลิปเรื่องแปลก พร้อมอัปเดตเนื้อหาตลอด 24 ชั่วโมง
       
       ฉันท์ชาย เชื่อว่าภายในปี 2554 สมาร์ททีวีจะเป็นช่องทางให้ผู้พัฒนาคอนเทนต์สามารถขายแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ ททีวีได้ ไม่ว่าจะเป็น เกม ภาพยนตร์ หรืออื่นๆ ทำให้สมาร์ททีวีกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้พัฒนาคอนเทนต์ที่ต้องการเพิ่ม รายได้และฐานลูกค้าในอนาคต
       
       สำหรับกลุ่มเป้าหมายของสมาร์ททีวี จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว และมีพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบชั่วคราวและชอบแชร์แบ่งปันคอนเทนต์ กับผู้อื่น โดยมีพฤติกรรมที่ชอบดูทีวีที่บ้านด้วย กลุ่มคนกลุ่มนี้จะเลือกซื้อสมาร์ททีวีมาใช้งานภายในบ้าน
       
       อย่างไรก็ตาม แอลจีมีแผนที่จะกระตุ้นการรับรู้การมาของสมาร์ททีวี ด้วยการให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์การใช้งานสมาร์ททีวีจริง ไม่ว่าจะเป็น ณ จุดขาย หรือการบันเดิลอินเทอร์เน็ตมาให้ผู้ซื้อสมาร์ททีวีได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรี
       
       LG INFINIA SMART TV ที่รองรับฟีเจอร์ NetCast ได้แก่รุ่น INFINIA LIVE BORDERLESS ทั้งในส่วนของแอลซีดี แอลอีดี และพลาสม่าทีวี มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 32-60 นิ้ว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 22,990-149,990 บาท
       
       สำหรับปี 2553 แอลจีตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดจากตลาดทีวีโดยรวม ในส่วนของมูลค่าการขายที่ 25% หรือคิดเป็นมูลค่า 7,200 ล้านบาท และตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดของแอลซีดี แอลอีดี ทีวี ในส่วนของมูลค่าการขายที่ 22% หรือคิดเป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท คาดว่าการเปิดตัว LG INFINIA SMART TV ครั้งนี้จะส่งผลให้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมวางเป้าหมายของปี 2554 โดยแอลจีจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทีวีรวมในเชิงมูลค่าเป็น 28%

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 01:06:41
ซูเปอร์ฟาสต์อินเทอร์เน็ตโฟน “HTC” แอนดรอยด์รุ่นท็อป

ไฮไลต์โปรดักส์ช่วงปลายปียังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และหากใครเป็นสาวกแอนดรอยด์โฟนตัวยง คงจะไม่พลาดแอนดรอยด์รุ่นท็อปอย่าง HTC Desire HD ที่ถูกตั้งนิยามให้เป็น “ซูเปอร์ฟาสต์อินเทอร์เน็ตโฟน” ที่ออกมาเพื่อตอบสนองกระแสโมบายอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กให้ยิ่งติดปีกมากขึ้น
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018069301.JPEG)

       ช่วงปลายปี 2553 นี้ เอชทีซีพร้อมที่จะเขย่าตลาดสมาร์ทโฟนด้วยผลิตภัณฑ์ตัวธงที่เป็นไฮไลต์ของปี จาก 2 ระบบปฏิบัติการ ได้แก่ แอนดรอยด์และวินโดวส์ 7 ซึ่งถือเป็นสินค้าตัวท็อปของเอชทีซี ไม่ว่าจะเป็น HTC Desire HD และ HTC HD7 ซึ่งแนวทางการทำตลาดของทั้งสองระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟน 2 รุ่นก็แตกต่างกัน โดย HTC Desire HD เอชทีซีร่วมมือกับเอไอเอสในการทำตลาด ส่วน HTC HD7 เอชทีซีจะร่วมมือกับไมโครซอฟท์และดีแทคในการทำตลาด
       
       “เราจะมุ่งทำตลาดทั้งสองระบบปฏิบัติการ เนื่องจากมีแฟนคลับของแต่ละระบบปฏิบัติการอยู่มาก” ณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอชทีซี (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวและว่า “ในการเปิดตัว HTC Desire HD ถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงในตลาดแอนดรอยด์โฟน โดยมาพร้อมกับ HTC Sense เจเนอเรชั่นใหม่”
       
       HTC Sense ใหม่นำเสนอความหลากหลายในการยกระดับบริการ ที่ช่วยปรับปรุงวิธีที่ผู้ใช้งานจะถ่ายภาพ สร้างข้อมูล แบ่งปันข้อมูล และเข้าถึงข้อมูลมัลติมีเดีย ใช้บริการ Location Base การเรียกดู e-Book และสร้างวิถีชีวิตใหม่บนโลกโมบาย

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018069302.JPEG)

นอกจากการบันทึกวิดีโอระดับไฮเดฟแล้ว HTC Sense รุ่นใหม่ ยังให้แบ่งปันภาพถ่ายและวิดีโอขึ้น YouTube ได้โดยตรง หรือลิงก์เข้ากับหน้าจอทีวีขนาดใหญ่ ผ่านสาย DLNA ส่วน HTC Locations ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างในการใช้แผนที่ผ่านระบบออนไลน์บนมือถือ ผู้ใช้งานสามารถหาตำแหน่งบนแผนที่ได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับความล่าช้าในการดาวน์โหลด
       
       สำหรับคุณสมบัติใหม่ใน HTC Sense ยังรวมประสบการณ์ในการใช้งานการอ่านแบบออนไลน์บนมือถือ โดยผ่าน e-Book Store ที่สนับสนุนโดย Kobo และคุณสมบัติใหม่ ได้รวมเอาความสามารถในการทำไฮไลต์ จดโน้ตย่อ และช่องค้นหาแบบเร่งด่วน เพื่อหาคำนิยาม หรือแปลคำที่ผู้ใช้ไม่คุ้นเคย และ HTC FastBoot ช่วยให้ผู้ใช้งานต่อโทรศัพท์หรือเช็กอีเมลได้เร็วขึ้น ช่วยย่นระยะเวลาในการเข้าสู่ขั้นตอนต่างๆ
       
       ณัฐวัชร์ กล่าวว่า เอชทีซีได้ขยายประสบการณ์ขึ้นสู่ระบบออนไลน์ผ่าน HTCSense.com ด้วย ในการนำเสนอประโยชน์ต่างๆ ในการเชื่อมต่อบริการ การเข้าถึงจากระยะไกล และควบคุมมือถือคุณ และความสามารถในการทำสำรองข้อมูล ทำให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เอชทีซีรวมอยู่บนมือถือเพียงอย่างเดียว
       
       ตัวอย่างความสามารถที่มาพร้อมกับ HTCSense.com อย่างความสามารถในการตามหามือถือที่หายไปได้อย่างง่ายดาย โดยสั่งให้มือถือดังขึ้น แม้ว่ามือถือนั้นจะถูกตั้งไว้ในโหมดเงียบเสียง หรือแสดงตำแหน่งในแผนที่ตรงจุดที่ทำมือถือหาย ถ้ามือถือหาย หรือถูกขโมย ก็สามารถทำการรีโมตจากระยะไกลเพื่อล็อกโทรศัพท์ รวมไปถึงการสั่งฟอร์เวิร์ดสายและข้อความไปยังโทรศัพท์เครื่องอื่นได้
       
       ในความร่วมมือระหว่างเอชทีซีกับเอไอเอสเปิดตัว HTC Desire HD นั้น ถือเป็นการตอกย้ำความร่วมมือระหว่างเอไอเอสกับเอชทีซี ที่จะทำตลาดกับสุดยอดสมาร์ทโฟน เหมือนอย่างเช่นการร่วมกันเปิดตัว HTC Magic ที่เป็นแอนดรอยด์โฟน ตัวแรกในช่วงกลางปี 2552 ที่ผ่านมา และมีส่วนทำให้ความนิยมแอนดรอยด์ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับอัตราการเติบโตในระดับโลก
       
       เอไอเอสนำเสนอเครือข่าย EDGE Plus ที่รองรับการใช้งานดาต้าพร้อมโทร.ออกและรับสายได้ อีกทั้งเพิ่มความสามารถในการดาวน์โหลดได้สูงขึ้นกว่า 30% ให้กับ HTC Desire HD รวมทั้งบริการจาก Smart Phone Expert ที่จะแนะนำการใช้งานในทุก Touch Point บริการ สำหรับแพกเกจการใช้งานดาต้า ที่บันเดิลไปกับ HTC Desire HD มีมูลค่าถึง 7,200 บาท นาน 18 เดือน (รับฟรี Data Package เดือนละ 500 เมกะไบต์)

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 03:14:11
ยักษ์ชนยักษ์ สมาร์ททีวี

“สมาร์ททีวี” จะไม่ใช่เพียงกระแสที่เกิดขึ้นและหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่ “สมาร์ททีวี” จะเป็นสมรภูมิที่บรรดาค่ายยักษ์ใหญ่พร้อมเข้าสู่สมรภูมินี้ และไม่เฉพาะแต่บรรดาค่ายเอวีชั้นนำของโลก แต่ทั้งกูเกิล แอปเปิล และไมโครซอฟท์ ก็หมายปองที่จะครอบครองตลาดนี้ให้ได้เช่นกัน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018069501.JPEG)

       ก่อนหน้านี้ “อินเทอร์เน็ตทีวี” ถูกจุดพลุขึ้นมาระยะหนึ่ง เมื่อผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น โซนี่ ซัมซุง แอลจี พานาโซนิค นำเสนอเทคโนโลยีใหม่บนโทรทัศน์ ด้วยทีวีที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต แต่มันก็ไม่สามารถตอบสนองได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์
       
       “สมาร์ททีวี” จึงเกิดขึ้น ด้วยการเป็นทีวีอัจฉริยะที่ทำงานได้มากกว่าเครื่องรับสัญญาณภาพทั่วไป เป็นทีวีที่สามารถนำเสนอรายการทีวีทั้งในรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์ เป็นทีวีที่มีนวัตกรรมพิเศษในการเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทาง Web Browser และใช้งาน Widget แอปพลิเคชั่นขนาดเล็ก ซึ่งสามารถเข้าถึงเนื้อหาเฉพาะผ่านทางโปรแกรมต่างๆ
       
       กระแสของ “สมาร์ททีวี” น่าจะเริ่มแรงขึ้น และกลายเป็นกระแสหลักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องมาจากยักษ์ใหญ่วงการไอทีทั้ง 3 ค่าย อาทิ Google แอปเปิล และไมโครซอฟท์ ลงมาเล่นตลาดสมาร์ททีวีอย่างจริงจัง การเข้าสู่เกมการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 3 ค่ายจะลงทุนผลิตทีวีของตัวเอง แต่ทั้ง 3 บริษัทจะเข้ามาต่อสู้ในแพลตฟอร์มของระบบปฏิบัติการที่ใช้บนสมาร์ททีวี มากกว่า โดยปัจจุบันทั้ง 3 ค่ายมีผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาใช้ในทีวียุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Google TV, Apple TV และ The Window TV
       
       จุดเด่นของสมาร์ททีวีแต่ละค่ายนั้น ในฝั่งของ Google TV ตัวเครื่องจะคล้ายๆ กับกล่องรับสัญญาณ ใช้งานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และใช้ระบบประมวลผล Intel Atom ทั้งนี้ฟังก์ชั่นการค้นหาของกูเกิลทีวีจะสามารถสแกนหาช่องรายการถ่ายทอดสด รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยบันทึกไว้ และเว็บไซต์สำหรับสตรีมวิดีโอและเพลง แถมยังมีความสามารถในการเล่น Flash Content ที่สแกนภาพได้คมชัดถึง 1080p นอกจากนี้ยังจะมีเบราว์เซอร์ Chrome ในตัวเพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึง Apps ต่างๆ บน Android Market ที่มีมากกว่า 1 แสนแอป
       
       ส่วน Apple TV มีความเป็นไปได้ที่แอปเปิลจะนำระบบปฏิบัติการ iOS จากเครื่องไอพอดและไอโฟนมาใช้ เพื่อดึงความสามารถในการเข้าถึง Apple Store มาใช้ ซึ่งจะทำให้ทีวีที่ใช้ Apple TV สามารถเข้าถึงโลกของเนื้อหาใหม่ๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้กว้างขว้างขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่มันจะมีลูกเล่นที่สามารถเรียกดูข้อมูลและจัดหารายการ โปรดที่กำลังรับชมอยู่ โดยผ่าน iPhone ซึ่งทำให้การรับชมข้อมูลสามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้งทางมือถือ และทีวี
       
       สำหรับ The Window TV ไมโครซอฟท์มีแผนที่จะทำเรื่องของสมาร์ททีวีมานานแล้ว โดยซอฟต์แวร์ Media Center ไมโครซอฟท์ต้องการสรรค์สร้างทีวีที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานวินโดวส์อย่างเต็ม รูปแบบ ซึ่งหมายถึงจะไม่มีกล่องอุปกรณ์แยกต่างหาก ทั้งนี้ เทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ดูเหนือกว่าคู่แข่งในเรื่องประสิทธิภาพในการประมวลผล และความยืดหยุ่น โดยมันจะรวมทั้ง Win 7 Media Center และ Internet Explorer เข้าด้วยกัน ไมโครซอฟท์ยังมีคลังห้องสมุดที่ผสมผสานและมีพลังสำหรับไฟล์เพลง รูปภาพ และหนัง อีกทั้งยังมีระบบ PVR และมีหน้ารายการหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้ควบคุมได้โดยใช้ IR รีโมต รวมถึงยังมีแอปที่ผู้ใช้กำหนดรูปแบบเองได้หลายร้อยแอปอีกด้วย
       
       ปี 2554 จึงน่าจะเป็นปีที่สมาร์ททีวีจะกระหึ่มในตลาดเมืองไทยด้วยการกรีธาทัพผลิตภัณฑ์เข้าประชันกันอย่างเต็มรูปแบบ

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: powered ที่ 03 ธันวาคม 2010, 09:43:52
ตามอ่านครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: เก๋าลัดคุง ที่ 03 ธันวาคม 2010, 10:30:25
แวะมาติดตาม


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 12:30:42
"ด่าออนไลน์" วงจรอุบาทว์เด็กไทย

ถือเป็นเรื่องที่ต้องจำใจยอมรับว่า วันนี้วัยรุ่นไทยได้วิวัฒนาการเขียน "คำด่า" จากที่เคยอยู่ในห้องน้ำ โต๊ะเรียน หรือกำแพง มาเป็นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแล้ว ที่น่าวิตกคือ นาทีนี้การด่าทอออนไลน์กำลังมีแนวโน้มก่อตัวขึ้นเป็นวงจรอุบาทว์ซึ่งอาจจะ กัดกินสังคมไทยต่อไปในอนาคต เพราะงานสำรวจล่าสุดพบว่า 40% ของวัยรุ่นไทยทั่วประเทศพร้อมจะด่าทอกลับเมื่อโดนกระทำ
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000017710803.JPEG)

       ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง "ปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมความรุนแรงทั้งทางกายภาพและการข่มเหงรังแกผ่านโลกไซเบอร์ของเยาวชนไทย" และอาจารย์สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ให้ข้อมูลว่า มากกว่า 26% ของกลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยอายุ 12-24 ปีจำนวน 2,500 คนทั่วประเทศ ไม่เห็นว่าการโพสต์ข้อความด่าทอบนอินเทอร์เน็ตเป็นการทำร้ายใคร และอีก 25% คิดว่าผู้ที่ด่าทอคนบนอินเทอร์เน็ตได้นั้น "เท่"
       
       ถามว่าทำไมเรื่องนี้จึงน่าวิตก ดร.วิมลทิพย์ชี้ว่า เหตุ ที่คนไทยต้องสนใจเรื่องนี้เพราะการด่าทอคือหนึ่งในความรุนแรงที่ไม่ควรให้ บ่มเพาะในเด็กด้วยประการทั้งปวง โดยความรุนแรงคือ 1 ใน 10 ที่นำไปสู่สาเหตุการตายยอดนิยมในประเทศไทย
       
       การด่าทอนั้นเป็นรูปแบบการข่มเหงรังแกออนไลน์หรือที่ต่างประเทศเรียก กันว่าไซเบอร์บูลลีอิง (Cyber-bullying) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเด็กไทย โดยดร.วิมลทิพย์เผยว่า 25% ของกลุ่มตัวอย่างเคยเป็นเหยื่อถูกนินทา ด่าทอ รองลงมาคือ 21% เคยถูกส่งข้อความก่อกวน 10% เคยถูกนำข้อมูลส่วนตัวมาเผยแพร่ 10% เคยถูกแอบอ้างชื่อให้ร้าย 13% เคยถูกล้อเลียน ข่มขู่ คุกคาม และ 13% เคยถูกลบออกจากกลุ่ม
       
       "การสำรวจพบว่า บทบาทการเป็นเหยื่อและผู้กระทำหมุนเป็นวงจร กลุ่ม ตัวอย่าง 40% บอกว่าถ้าโดนมาจะทำกลับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเด็กไม่รู้วิธีแก้ปัญหา และตัดสินใจแก้แค้นทำกลับ หมุนเป็นวงจรไม่จบสิ้น มีเพียง 5% เท่านั้นที่ไม่เคยบอกครู ปกปิด รอจนการข่มขู่จะเลิกไปเองโดยไม่ตอบโต้"
       
       กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 43.1% ระบุว่าเคยถูกรังแกผ่านโลกไซเบอร์ แม้ตัวเลขนี้จะน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการที่วัยรุ่นไทยเป็นทั้งผู้ถูกรังแกและเป็นผู้ รังแกเสียเอง ทั้งที่ส่วนใหญ่รู้ว่าการข่มเหงนี้ไม่ควรกระทำ เพราะทำลายสุขภาพจิตเหยื่อ เป็นความรุนแรงและเป็นเรื่องที่ผิด สร้างปัญหา จุดนี้การศึกษาของดร.วิมลทิพย์พบว่าเกิดจากปัญหาครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กอาชีวะที่มากกว่า 24% รู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจ เมื่อกระทำผิดแล้วจะโดนพ่อแม่ดุด่า ครอบครัวทะเลาะเป็นประจำ ไม่มีใครสนใจ
       
       "วัยรุ่นไทยมากกว่า 30% ไม่กล้ากล่าวปฏิเสธ 36.5% ต้องการเป็นที่ยอมรับจึงต้องเห็นด้วย อัตราการข่มเหงรังแกออนไลน์ในเด็กไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษา เพราะเด็กรู้สึกว่าใครๆก็ทำ ถ้าทำต่อก็ไม่เห็นเป็นเรื่องอะไร"
       
       ดร.วิมลทิพย์ชี้ว่า ประเทศ ไทยสามารถใช้แนวทางแก้ปัญหาจากประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งญี่ปุ่น สหรัฐฯ และอื่นๆที่ล้วนผ่านช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงมาแล้ว โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สามารถดึงเด็กที่มีแนวโน้มเป็นผู้ข่มเหง มาบ่มนิสัยให้เด็กรู้สึกว่าการข่มเหงรังแกออนไลน์ไม่ใช่ความเท่ได้สำเร็จ
       
       "ญี่ปุ่นรู้ว่าวิธีไหนเวิร์กไม่เวิร์ก ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นตั้งหน่วยงาน ตรวจจับคำด่าทดข่มขู่ มีการสั่งห้ามพกโทรศัพท์-ห้ามแชตในโรงเรียน นอกเวลาเรียนให้พ่อแม่ดูแล แม้จะร่วมมือกันทั้งโรงเรียน-รัฐ-ครอบครัวก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะ เด็กเรียนรู้ว่าคำไหนจะถูกตรวจจับจึงเปลี่ยนเป็นสื่อสารด้วยศัพท์แสลงที่ ผู้ใหญ่ตามไม่ทัน ผลที่ได้ไม่คุ้มเงินที่ลงทุนระบบไป จากนั้นญี่ปุ่นจึงเปลี่ยนมาเล่นงานที่บุคลากรแทน กลับกลายเป็นว่าบุคลากรโรงเรียนกลับไม่รายงานว่ามีการข่มขู่ที่แท้จริง เท่าใด เมื่อไม่ได้ผล ญี่ปุ่นจึงกลับมาสร้างความเข้มแข็งกับครอบครัวและเด็ก ให้เด็กรู้สึกว่าไม่เดือดร้อนเมื่อถูกด่าทอ ทำให้ไม่เกิดวงจร"
       
       ดร.วิมลทิพย์ชี้แนวทางว่าจะต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเชื่อว่างาน วิจัยนี้จะทำให้วิธีการคัดกรองเด็กในโรงเรียนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะแบบวัดระดับความสมบูรณ์ทางอารมณ์หรือ EQ ที่วัยรุ่นซึ่งเป็นผู้ข่มเหงออนไลน์ยังสอบผ่าน
       
       "เด็กเรียนดีหน้าตาใสซื่อจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ข่มเหงในไซเบอร์บูลลี อิง ทั้งหมดนี้กฏหมายไม่ใช่คำตอบ กฏหมายไทยไม่ได้ไม่ดี แต่การนำไปใช้เท่านั้นที่มีปัญหา สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือพ่อแม่ต้องรู้ IT ไม่ใช่เป็นทุกข์เรื่องผลการเรียนของลูกอย่างเดียว"
       
       วิมลทิพย์ย้ำหนักแน่นว่าแม้จะมีการข่มเหงออนไลน์ในวัยรุ่น แต่ไม่ได้แปลว่าอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมที่ต้องลดความไม่ดีของอินเทอร์เน็๋ต ทำให้ดาบ 2 คมด้านที่ไม่ดีนั้นคมน้อยลง
       
       ** รู้หรือไม่? **
       - คำว่า Cyber-bullying ใช้เรียกการรักแกกันอย่างต่อเนื่องผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ตเท่า นั้น ใช้เฉพาะในกลุ่มเด็ก ส่วนการข่มเหงในกลุ่มผู้ใหญ่จะนับเป็นอาชญากร ซึ่งจะรวมถึงผู้ที่รังแกผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวด้วยการฟอร์เวิร์ดเมล จะได้รับโทษ 5 ปีปรับแสนบาทต่อการฟอร์เวิร์ด 1 ครั้ง
       - หากเป็นเหยื่อรังแกออนไลน์ สามารถแจ้งความได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างถูกต้อง ซึ่งจะดีกว่าการกระทำตอบเป็นวงจรไม่รู้จบ


ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 13:19:18
HP รุกตลาดเกมเมอร์ไทย อัดกิจกรรมกระตุ้นกำลังซื้อ

เอชพีลุยตลาดพีซีเกมเมอร์เต็มตัว ส่งโปรดักส์ใหม่เอี่ยมลงเพิ่มส่วนแบ่งตลาด หลังชิมลางไม่ถึงปีตัวยอดขายพุ่งถึง 15,000 เครื่อง ระบุตลาดนี้กำลังซื้อสูง เน้นประสิทธิภาพและบริการเป็นหลัก
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018094201.JPEG)
นายพงศ์ธวัช พิเชษฐเลอมานวงศ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนลซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) ประกาศความพร้อมลุยตลาดพีซีเกมเมอร์เต็มตัว

       นายพงศ์ธวัช พิเชษฐเลอมานวงศ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนลซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการทำตลาดของเอชพีต่อจากปีนี้จะโฟกัสลงในแต่ละเซกเมนต์ที่ชัดเจนขึ้น ดังจะเห็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นออลอินวัน คอมเมอร์เชียลพีซี โดยถึงตลาดผู้ชื่นชอบการเล่นเกม ใช้งานทางด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นตลาดอีกเซกเมนต์ที่มีความต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพไม่ว่า จะเป็นเรื่องของพลังของซีพียู ระบบเสียง การ์ดแสดงผล รวมถึงดีไซน์ที่จะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ไปในตัว
       
       “ปัจจุบัน เอชพีมียอดขายคอมซูเมอร์พีซีในส่วนเซกเมนต์เกมและโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์อยู่ ประมาณ 15,000 เครื่องหรือคิดเป็น 5% ของตลาดคอนซูเมอร์พีซีรวม 800,000 เครื่อง ซึ่งปีหน้าเราต้องเป้าที่จะขยายตลาดในส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมทีคิดเป็นสัด ส่วนยอดขายคอมซูเมอร์พีซีของภายใต้แบรด์เอชพีประมาณ 10% โดยปีหน้าตั้งเป้าที่เพิ่มขึ้นให้เป็น 15%”
       
       นายพงศ์ธวัช กล่าวว่า เอชพี ได้เข้ามาทำตลาดเซกเมนต์เกมเมอร์ หรือโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์จริงๆ ช่วยต้นปีที่ผ่านมา 1 โมเดล กับปลายปีอีก 1 โมเดล ซึ่งตลาดให้การตอบรับเป็นอย่างดี ถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง แตกต่างจากตลาดเกมเมอร์ที่ซื้อหาคอมพิวเตอร์แบบประกอบเอง ตรงที่มีความรู้ในเรื่องของสเปกที่ใช้งานไม่มากนัก ไม่รู้ว่า เกมไหนจะต้องใช้สเปกการ์ดจอแบบไหน ซีพียูความเร็วเท่าไร ซึ่งทางเอชพีตอบโจทย์ดังกล่าวได้ครบ โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของแบรนด์และบริการหลังการขายถึงบ้าน จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมเอชพีถึงประสบความสำเร็จในการตลาดเซกเมนต์นี้ในช่วงที่ ผ่านมา
       
       เอชพีจึงได้นำเสนอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ HP Pavilion Elite High Performance Edition ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Vision Black จากเอเอ็มดี ประกอบได้วยซีพียู Phenom II x6 กราฟิกการ์ด ATI Radeon HD 5770 ที่สามารถต่อจอภาพได้ในเวลาเดียวกันถึง 3 จอ หน่วยความจำเป็นแบบดีดีอาร์3 ความจุ 4 กิกะไบต์ ฮาร์ดไดรฟ์ความจุ 1.5 เทราไบต์ ความเร็ว 7200 รอบต่อวินาที ระบบเสียงเป็นแบบไฮเดฟฟินิชัน 7.1 Surround Sound Ready รองรับเครื่องเล่นบลูเรย์ มาพร้อม ทีวี จูนเนอร์ พร้อมวิดีโอ เรดคอร์ดเดอร์และรีโมทคอนโทรล รวมกับจอภาพรุ่นใหม่ของเอพชี 2310e ขนาด 23 นิ้ว จำนวน 3 จอ ราคาเริ่มต้นยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 66,700 บาท
       
       นายพงศ์ธวัช กล่าวถึงกิจกรรมการตลาดที่จะรุกตลาดเกมเมอร์ว่า ทางเอชพีจะมีกิจกรรมที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จัดทำพื้นที่โชว์สินค้าเต็มรูปแบบให้ผู้ใช้ได้ มีโอกาสทดลองเล่นเกมกับ HP Pavilion Elite High Performance Edition ด้วยตนเอง ณ เอชพี ช็อป 5 แห่ง ตามหัวเมืองใหญ่ๆ เมื่อรวมกับโปรโมชันต่างๆ ที่ทางเอชพีจัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ก็น่าจะทำให้ตลาดเติบโตในตลาดเกมเมอร์ให้กับเอชพีได้อย่างแน่นอน
       
       “การทำกิจกรรมอย่างนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้ผุ้สนใจได้มี โอกาสสัมผัสกับประสิทธิภาพของเครื่องด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อไปใช้ งาน ซึ่งตลาดเกมเมอร์ถือเป็นเซกเมนต์ที่มีกำลังซื้อสูง ราคาไม่ใช้ปัจจัยสำคัญในการตัดสิน แต่ต้องการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพและบริการหลังการขายมากกว่า”

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: euromed ที่ 03 ธันวาคม 2010, 13:45:59
มีอะไรมาให้อ่านเรื่อย ๆ ดีครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 15:36:16
iPad ไทยขายเกินร้อยเครื่องใน 2 ชม.แรก

พนักงานหน้าร้านไอสตูดิโอสาขาเซ็นทรัลเวิร์ลเผย จำนวนลูกค้าในร้านที่จ่ายเงินซื้อ iPad ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 53 มีจำนวนมากกว่าร้อยคน คาดว่าหากรวมไอสตูดิโอสาขาอื่นยอดจำหน่ายจะทะลุหลักพันแน่นอน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018116801.JPEG)

       นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานบริษัท คอปเปอร์ไวร์ด จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่าไม่สามารถระบุจำนวนเครื่อง iPadที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในร้านไอสตูดิโอบายคอปเปอร์ไวร์ดประเทศไทยอย่าง เป็นทางการในงวดแรกได้ โดยบอกเพียงว่ามีจำนวนหลักพันเครื่องและเพียงพอสำหรับการจำหน่ายในช่วง สัปดาห์แรก ซึ่งหากเครื่องหมด ลูกค้าจะต้องลงทะเบียนสั่งจองไว้
       
       "คิดว่ารุ่น WiFi 32GB จะขายดีที่สุด เชื่อว่า iPad จะเป็น 1 ใน 3 สินค้าขายดีที่สุดในไอสตูดิโอได้ใน 1 เดือน"
       
       ปรเมศร์ให้ข้อมูลว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดในร้านไอสตูดิโอขณะนี้คือไอ โฟน รองลงมาคือไอพ็อด และแมคบุ๊ก เชื่อว่า iPad จะติดอันดับสินค้าขายดีแทนหนึ่งในสามอันดับนี้ภายใน 1 เดือน โดยการนำ iPad เข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องในประเทศไทยโดยไอสตูดิโอจะเป็นการเพิ่มทราฟฟิก หรือการดึงลูกค้าให้เข้ามาสู่ร้านไอสตูดิโอเพิ่มขึ้นแน่นอน
       
       ปรเมศร์เชื่อว่า iPad ไม่ใช่สินค้าที่เป็นกระแสหวือหวาในระยะแรกแบบเน็ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์รุ่น เล็กราคาประหยัดที่สามารถโกยยอดจำหน่ายในตลาดพีซีได้เพียงช่วงหนึ่ง เนื่องจากประโยชน์ของ iPad ด้านการใช้อินเทอร์เน็ต ฟังเพลง เล่นเกม และการชมวิดีโอนั้นเป็นพฤติกรรมที่คนไอทีกระทำอยู่แล้ว แต่ iPad ช่วยให้การทำงานเหล่านี้สามารถทำงานได้ในขณะเคลื่อนที่ได้สะดวกยิ่งขึ้น
       
       สำหรับตลาดเครื่องหิ้วหรือเกรย์มาร์เก็ต ปรเมศร์ยอมรับว่าไม่แน่ใจว่าผู้ค้าเหล่านี้จะปรับตัวอย่างไรหลังจากไอ สตูดิโอเริ่มนำเข้า iPad มาจำหน่ายอย่างถุูกต้องในราคาไม่สูง โดยยอมรับว่าที่ผ่านมา ไอสตูดิโอได้รับซ่อมเครื่องจากผู้ค้าเหล่านี้จำนวนมาก
       
       ด้านราคา ปรเมศร์เชื่อว่าราคา iPad เริ่มที่ 15,900 บาทเป็นราคาที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
       
       "เป็นราคาที่เมืองนอกกำหนดให้ ค่าเงินอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่หลักๆคือเราพยายามเปิดราคาให้ใกล้เคียงกับที่สหรัฐฯมากที่สุด"
       
       ปรเมศร์ย้ำว่าไอสตูดิโอไม่มีแผนการตลาดเพื่อต่อสู้กับค่ายผู้ผลิต แท็บเล็ตพีซีรายอื่นในขณะนี้ ระบุว่าจะตั้งใจจำหน่าย iPad อย่างเต็มที่ สำหรับส่วนแบ่งการตลาดที่คาดว่า iPad จะทำได้ในปีหน้า ปรเมศร์ระบุว่ายังไม่สามารถประเมินได้เพราะไม่มีข้อมูลว่าแท็บเล็ตต่างค่าย จะแจ้งเกิดในปีหน้ามากน้อยกี่เจ้า
       
       "หลายประเทศที่มีสัดส่วนการใช้งาน iPad 95% ก็อาจเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้"
       
       iPad นั้นเป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์หน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนรุ่นล่าสุดซึ่งแอ ปเปิลเริ่มเปิดตัวเมื่อต้นปี 2010 ที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน ตามเนื้อความในเว็บไซต์ iStudio.in.th ระบุว่า "iPad กับระบบไร้สาย" หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า iPad WiFi นั้นมีราคา 3 ระดับตามขนาดความจุ ได้แก่ 16GB : 15,900 บาท 32GB : 18,900 บาท และ 64GB : 21,900 บาท
       
       สำหรับ "iPad กับระบบไร้สาย+3G" ซึ่งรองรับเทคโนโลยีการสื่อสาร 3G นั้นวางจำหน่าย 3 ระดับราคาเช่นกัน ได้แก่ 16GB : 19,900 บาท 32GB : 22,900 บาท และ 64GB : 25,900 บาท
       
       iPad นั้นมีหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว (วัดจากด้านเฉียง) มาพร้อมหน้าจอ LED-backlit เทคโนโลยี IPS ซึ่งเป็นเบื้องหลังของความคมชัดบนหน้าจอ ผู้ใช้สามารถสัมผัส iPad ได้หลายจุดหรือ Multi-Touch รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi (802.11a/b/g/n) สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายผ่าน Bluetooth 2.1 และเทคโนโลยี EDR แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 10 ชั่วโมง
       
       น้ำหนักเครื่องรุ่น WiFi นั้นเบากว่ารุ่น WiFi+3G โดยรุ่น WiFi มีน้ำหนัก 0.68 กิโลกรัม ขณะที่รุ่น WiFi+3G หนัก 0.73 กิโลกรัม ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดบาง 13.4 มม.
       
       การเปิดวางจำหน่าย iPad อย่างถูกต้องในประเทศไทยจะทำให้ iPad สามารถเข้าถึงกลุ่มตลาดในวงกว้างขึ้น ด้านโอเปอเรเตอร์ในประเทศไทยก็แสดงความมั่นใจว่ารายได้อินเทอร์เน็ตเคลื่อน ที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นกันกับผู้สร้างคอนเทนท์ในประเทศไทยที่ขานรับและแจ้งเกิดเนื้อหาบน iPad ที่เป็นภาษาไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในขณะนี้

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 ธันวาคม 2010, 16:11:32
ควันหลงแบล็ค ฟรายเดย์ และ วิธีการสร้างโปรโมชั่นออนไลน์

คราวที่แล้วได้แนะนำปรากฏการณ์ชอปปิงสุดกระหน่ำของเมืองลุงแซมในวันแบล็ค ฟรายเดย์ ไป ซึ่งในปีนี้ ยอดขายช่วงสุดสัปดาห์ดังกล่าวพุ่งขึ้นอย่างถล่มทลาย อยู่ที่ราว 45,000 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจากสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ สหรัฐ)
 
(http://negosyoideas.com/wp-content/uploads/2010/11/cyber-monday.jpg)

ขณะที่ เพย์พัล เผยว่า ยอดการใช้จ่ายออนไลน์ ในวันข้างต้นเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึง 27% ส่วนอีเบย์  เว็บท่าประมูลออนไลน์ชื่อดังแจ้งว่า มียอดการประมูลผ่านทางโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นถึง 30%
 
นอกจากนี้ยังได้เห็นผู้นำร้านค้าออนไลน์ อย่าง แอ๊ปเปิ้ล และ อเมซอน เริ่มเข้าไปแนะนำ แบล็ค ฟรายเดย์ เซลล์ (Black Friday Sale) ให้ผู้บริโภคในอังกฤษได้รู้จัก ถือเป็นการสร้างพฤติกรรมชอปปิงข้ามทวีปกันเลยทีเดียว
 
สำหรับ การขายออนไลน์ในวันไซเบอร์ มันเดย์ ปีนี้ มีร้านค้าออนไลน์มากถึง 88% จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดนักช้อป ทำให้มียอดพุ่งขึ้นจากปี 2552 เกือบ 20%
 
ร้านค้าออนไลน์ 5 ร้าน ที่มีผู้ไปเยี่ยมชมมากที่สุดในไซเบอร์ มันเดย์ คือ อเมซอน วอล-มาร์ท  ทาร์เก็ท เบสต์บาย และ โคลส์ คอร์ป  ล้วนแต่เป็นร้านค้าที่มีมูลค่าการลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในด้านปรับปรุงเว็บไซต์ ฐานข้อมูลลูกค้า และกลยุทธ์การสร้างออนไลน์โปรโมชั่น
 
สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงนี้ สำหรับนักการตลาดบ้านเรา คือ วิธีการสร้างออนไลน์โปรโมชั่นของแบรนด์และผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ๆ  ที่มีการเจาะทำโปรโมชั่นอย่างถึงเนื้อถึงตัวและเปลี่ยนแปลงแบบวันต่อวัน

ระดมไอเดีย สด ใหม่ สร้างความตื่นเต้น

แน่นอนที่ไอ เดียมากมายสร้าง และทดสอบความมีประสิทธิภาพ (Effectiveness) บนโลกออนไลน์ได้ ในเวลาอันสั้น ทำให้นักการตลาดสามารถดูผลลัพธ์การตอบสนองของกลุ่มเป้าหมาย และวางแผนในการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าการทำโปรโมชั่นอาจใช้วิธี Adaptive Approach หรือเลือกทำโปรโมชั่นตามการตอบรับ
 
เราอาจเห็น การทำออนไลน์โปรโมชั่นผ่านมือถือที่มากกว่าการส่งเอสเอ็มเอส โปรโมชั่นรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Deals of the Day, Online Only Deals, Free Shipping Offers, Free Trail Offers, หรือ Group Discount กันในปีหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์หรือผู้ค้าปลีก ที่มีร้านค้าออนไลน์พร้อมแล้ว
 
การศึกษาตัวอย่างในช่วงนี้ นอกจากจะเป็นฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการสร้างสีสันให้บรรดานักการตลาดได้ วางแผนการแข่งขันกันอย่างคึกคักแล้ว ผู้บริโภคเองก็มีช่วงการจับจ่ายที่สนุกสนานมากขึ้นด้วย
 
งานหนักคง ตกอยู่กับการบริหารจัดการกับความถี่ของโปรแกรมที่มากขึ้น เทคโนโลยีและระบบที่มีความเสถียร รวมไปถึงประสิทธิภาพของทีมงานที่สามารถจัดการโปรโมชั่นที่ซับซ้อนเหล่านี้

Personalized Deals การตลาดประชิดตัว
 
เป็น อาวุธการตลาดอันหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก หากจะเน้นในเรื่องการทำการตลาดแบบ One-on-One ของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงหนีไม่พ้น eMail Marketing และ Mobile Marketing
 
แต่การสร้างโป รโมชั่นเฉพาะตัวแบบนี้จะได้ผลลัพธ์ในการตอบรับ หรือสร้างผู้นำในการขายได้ดี ก็ต่อเมื่อแบรนด์มีฐานข้อมูลลูกค้าที่มีคุณภาพ เรียกกันง่ายๆ ว่ามี Clean Customer List และมีการติดตั้งระบบในการเลือกโปรโมชั่นที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละราย รูปแบบที่ใช้อาจเป็น Coupon Code
 
นอกจากนี้ เมื่อนำข้อมูลไปผนวกกับพลังของโซเชียลมีเดีย และอีเมลได้ ก็จะสร้างโปรโมชั่นแบบบอกต่อได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการทำการตลาดแบบยิงนกสองต่อเลยทีเดียว
 
สำหรับอุปกรณ์มือ ถือ ไม่ว่าจะเป็น ไอแพด หรือ แทบเล็ตพีซี ค่ายอื่นๆ ที่เป็นอุปกรณ์ On-The-Go สำหรับกลุ่มเป้าหมายยุคใหม่ การทำโปรโมชั่นแบบ Location-based Promotion ซึ่งยังอยู่ในระยะทดลองสำหรับหลายๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางสื่อเครือข่ายสังคมในท้องถิ่น แบบ โฟร์สแควร์  เฟซบุ๊ค เอสซีวีเอ็นจีอาร์ และ โกวัลลา  หรือผ่านแอพฯ บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ล้วนเป็นเป้าหมายในการทำโปรโมชั่นแบบตัวต่อตัวทั้งสิ้น ความสำเร็จของโปรโมชั่นต้องขึ้นอยู่กับไอเดีย ความเหมาะสมของโปรโมชั่นในพื้นที่ และการเลือกผู้รับโปรโมชั่นเป้าหมายที่ถูกต้อง
 
การสร้างโปรโมชั่น ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เป็นการแข่งขันที่ท้าทายและดุเดือดสำหรับนักการตลาด จะเห็นได้ว่า เมื่อเทคโนโลยีมาช่วยการทำโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายได้ดีเท่าไร หน้าที่จำเป็นที่สำคัญไม่น้อยกว่าการบริหารจัดการแคมเปญต่างๆ อย่างรวดเร็วแล้ว คือ นักการตลาดควรมีความเข้าใจและเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีการจัดการที่เหมาะสม แม่นยำต่อกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
 
วันนี้ แผนการสร้างโปรโมชั่นคงต้องมีความยืดหยุ่นสูงและผสานเทคนิคดิจิทัลมาร์เก็ต ติ้งมาใช้อย่างมีกลยุทธ์ รวมถึงการสื่อสารในทุกๆ ช่องทางออนไลน์ได้อย่างลงตัว
 
เมื่อใดก็ตามที่เกิดโปรโมชั่นโดนใจประชากรออนไลน์  เมื่อนั้นแบรนด์ก็จะสามารถวัดผลและสร้างโปรโมชั่นต่อยอดได้ทันที

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 ธันวาคม 2010, 13:20:09
5 สิ่งที่พ่อยุคไอทีควร "ตามให้ทัน"

ทุกคนยอมรับว่าโลกดิจิตอลเปลี่ยนชีวิตของคนทุกสถานะทุกอาชีพทั่วโลก แน่นอนว่าคุณพ่อในยุคไอทีย่อมไม่มีข้อยกเว้น ต่อไปนี้คือข้อสังเกตจาก “พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน” รองอธิบดีดีเอสไอซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ซึ่งให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า คุณพ่อยุคไอทีต้องมีบทบาทอย่างไรเพิ่มเติม จึงจะสามารถดูแลลูกรักให้อยู่รอดปลอดภัยบนโลกไซเบอร์
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018127301.JPEG)

       1. ตามให้ทันว่าลูกแชตกับใคร
       
       ท่านญาณฯมองว่าการรู้ให้ทันว่าลูกกำลังแชตกับใครเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากประสบการณ์การทำคดีความอาชญากรรมที่มีสาเหตุมาจากการแชตในวัยเรียน พบว่าพ่อแม่ผู้ปกครองของเหยื่อไม่เคยใส่ใจว่าลูกหลานกำลังหมกตัวอยู่ในห้อง เพื่อแชตกับใคร
       
       ท่านญาณฯอธิบายว่า เด็กไทยมากกว่า 30% เป็นกลุ่มบ้านแตกสาแหรกขาดที่ย้ายมาอยู่กับญาติและมีครอบครัวมีปัญหา ซึ่งเด็กที่ถูกญาติด่าทอบ่อยครั้งเหล่านี้ได้รับความรักจากห้องแชตอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่เด็กจะติดการแชตอย่างหนักจนอาจเป็นปัญหาสังคม
       
       "อย่างกรณีน้องส้ม น้องส้มถูกป้าด่าทุกวันเช้าเย็น แต่พอเข้าห้องแชตปุ๊บ ข้อความเป็นสิบเป็นร้อยเข้ามาทักทายว่า สวัสดีครับน้องส้ม วันนี้มาแล้วเหรอ พวกนี้บางทีทักเพื่อลุ้นให้น้องส้มถอดเสียที พวกนี้ผู้ปกครองต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องพวกนี้ให้มาก พ่อแม่ต้องรู้ว่าลูกแชตกับใคร"
       
       2. ตามให้ทันลูกด้วยความเข้าใจ
       
       "มีเด็กมาแจ้งความกับผม เค้าบอกว่าหมดสิ้นกันแล้วคุณอา สามล้านเซนีหายไปเกลี้ยงเลย ดาบพิฆาตก็หายไปด้วย ยังจะหมวกอีก คือพวกนี้เค้ามองว่าเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่จริงๆ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้องเข้าใจเค้าด้วย"
       
       ท่านญาณย้ำว่าพ่อและแม่ควรเข้าใจความคิดของลูกมากกว่าที่จะต่อว่าด่า ทอ ฉะนั้นคุณพ่อในฐานะที่เป็น 1 ในกงล้อขับเคลื่อนครอบครัวที่สำคัญก็ควรให้ความสำคัญในจุดนี้ด้วย
       
       3. ตามให้ทันเรื่องเล่นเกม
       
       คุณพ่อยุคใหม่ต้องไม่ควรมองว่าเกมคือเรื่องร้ายแรงหรือเป็นสิ่งล่อ ลวง เพราะเด็กกับเกมนั้นเป็นสิ่งคู่กัน แต่คุณพ่อต้องบอกว่าเกมนี้ดี หรือเกมนี้ไม่ดี
       
       "ยุคนี้ขู่ไม่ได้แล้ว สมัยก่อนพ่อสามารถห้ามลูกเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืนแล้วหลอกว่าเดี๋ยวจะโดนผีพา ไป หรือห้ามลูกเป่ากบด้วยการขู่ว่ามีผีมาดูดปาก ตอนนี้ขู่ไม่ได้แล้ว จะให้ขู่ว่าแชตมากแล้วเดี๋ยวโดนผีดูดเข้าหน้าจอเหรอ มันไม่ได้"
       
       4. ตามให้ทันเล่ห์กลของลูก
       
       "เด็กบางคนใช้วิธีเว้นบรรทัดสามครั้งติดกัน เพื่อเป็นรหัสลับบอกคู่แชตให้รู้ว่าพ่อแม่กำลังจับตามองการแชตอยู่ ในเมืองนอกจะมีการพิมพ์คำว่า pbm หรือ parent behind me ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเด็กไทยมีหรือเปล่า"
       
       ฉะนั้นคุณพ่อยุคใหม่อย่าได้นิ่งนอนใจหากหน้าต่างแชตของลูกไม่มีข้อ ความใดๆปรากฏ หรือหากได้ยินเสียงเคาะคีย์บอร์ดถี่ๆ เพราะนี่อาจเป็นการส่งรหัสลับระหว่างกันก็ได้
       
       5. ตามให้ทันเรื่องภัยไอที
       
       "เราต้องเสริมสร้างความรู้ป้องกันภัยให้ผู้ปกครองด้วย และสอนทุกปีเพราะภัยเปลี่ยนไป เด็กไทยจะพร้อมเมื่อผู้ปกครองพร้อม ต้องแก้ที่การให้ความรู้ ต้องเปลี่ยน หาลูกล่อลูกชนให้ทัน"
       
       ท่านญาณเล่าว่า การควบคุมดูแลจากระบบอัตโนมัติของภาครัฐนั้นไม่เพียงพอต่อการดูแลความ ปลอดภัยของเยาวชนไทย โดยพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องให้ความร่วมมือกัน
       
       "อย่างเช่นเรื่องเบอร์โทรศัพท์ ระบบบล็อกการโพสต์เผยแพร่เลขโทรศัพท์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งนั้นไม่เคย ได้ผล พวกนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวเลขสลับด้วยขีด หรือไม่ก็พิมพ์เป็นเสียงจึ่ง-จ๋อง-จ๋าม-จี่เลยก็มี"
       
       แน่นอนว่าภาระนี้ไม่ใช่ของคุณพ่อฝ่ายเดียว แต่คุณแม่ก็ต้องช่วยคุณพ่อด้วย รวมถึงลูกหลานไทยที่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะจ้ะ

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 ธันวาคม 2010, 23:52:06
ซื้อ IPad ใหม่ ใช้โปรไหนดี?

กระแสการเปิดตัวไอแพ็ดอย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวมไปถึงราคาวางจำหน่ายที่เริ่มต้นเพียง 15,900 บาท นั้นทำให้สาวกสตีฟฟ์ จ็อบส์ ที่ซื้อไอแพ็ดเครื่องหิ้วไปก่อนหน้าแทบน้ำตาร่วง
       
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000018072904)

       วันนี้ทีมงานไซเบอร์ บิซ เลยขอนำโปรโมชัน "เน็ตซิม" จ่ายโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายในเมืองไทย มาให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับ Gadget ชิ้นใหม่ของคุณ ที่กำลังจะได้ครอบครองในไม่ช้านี้
       
       เริ่มกันที่เอไอเอสนำเสนอ “NET SIM GO online” ที่เป็นเน็ตซิมเวอร์ชันออนไลน์สำหรับคนชอบเล่นอินเทอร์เน็ต มีความพิเศษอยู่ที่การใช้งานในแบบ Plug&Play คือใส่ซิมแล้วใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องกดเบอร์ Activate ผ่านโทรศัพท์มือถือเหมือนที่ผ่านมา มีแพกเกจให้เลือกทั้งแบบชั่วโมง หรือปริมาณ (คิดเป็นเมกะไบต์) ในส่วนของแพกเกจแบบชั่วโมงเริ่มต้นที่ 30 ชั่วโมง 99 บาท, 60 ชั่วโมง 149 บาท, 200 ชั่วโมง 399 บาท และไม่จำกัดชั่วโมง 799 บาท
       
       ส่วนแพกเกจตามปริมาณการใช้งาน (Volume-base) เริ่มต้นที่ 50MB 99 บาท ใช้ 3G ในพื้นที่ให้บริการ 300MB, 80MB 149 บาท ใช้ 3G ในพื้นที่ให้บริการ 500MB, 500MB 399 บาท ใช้ 3G ในพื้นที่ให้บริการ 2GB และ ไม่จำกัดปริมาณการใช้ 799 บาท ใช้ 3G ในพื้นที่ให้บริการ 5GB
       
       ในส่วนของค่ายดีแทคมีให้เลือกทั้งแบบชั่วโมง หรือปริมาณเช่นกัน โดยแพ็กเกจแบบชั่วโมงเริ่มต้นที่ 20 ชั่วโมง 99 บาท, 50 ชั่วโมง 149 บาท, 140 ชั่วโมง 399 บาท และไม่จำกัดชั่วโมง เดือนละ 999 บาท หรือจะเลือกใช้แพกเกจตามปริมาณการใช้งานต่อเดือน เริ่มที่ 100MB 399 บาท, 3GB 799 บาท พร้อมโทรฟรี ทุกเครือข่าย 200 นาที

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000018072901)

นอกจากนี้ยังมีการเปิดแพกเกจอินเทอร์เน็ตสำหรับ iPad โดยเฉพาะ คิดค่าบริการรายเดือน 650 บาท ใช้งานอินเทอร์เน็ต 3GB โดยลูกค้าปัจจุบันสามารถนำซิมมาเปลี่ยนเป็น Micro Sim และเปิดใช้บริการ MultiSIM เพื่อใช้งานกับiPadได้ที่ดีแทคทุกสาขา
       
       ปิดท้ายที่ทรูมูฟที่ขอเสนอแพ็กเกจให้กับ iPad ไวไฟ 3จี และ iPad ไวไฟ โดยจะแบ่งโปรโมชันตามรูปแบบการชำระเงินทั้งแบบรายเดือน และเติมเงิน ดังต่อไปนี้
       
** สำหรับลูกค้ารายเดือน **

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000018072903)

** สำหรับลูกค้าเติมเงิน **

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000018072902)

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: icesacream ที่ 04 ธันวาคม 2010, 23:53:12
เยี่ยมครับ :wanwan020:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Triumphs ที่ 04 ธันวาคม 2010, 23:56:13
Ipad ใช้ทำไมครับ กระดานชนวน ดีกว่าของไทยๆ :wanwan004:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 ธันวาคม 2010, 01:19:01
ตามรอย "คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์" เครื่องแรก

ปวงชนชาวไทยทั่วประเทศรู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรง เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงศึกษาอย่างลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยี สารสนเทศหรือไอที บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรก ในแง่มุมที่คุณอาจยังไม่รู้
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018169801.JPEG)
ในหลวงและ Macintosh Plus คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรก

       มีหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์ทรงสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวล ผลข้อมูลด้วยพระองค์เอง, ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทย (Font) ที่มีลักษณะงดงามอ่อนช้อยเพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์, ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ, ทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ และยังทรงประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์แก่ปวงชนชาวไทยหลายปีติดต่อกัน พระกรณียกิจมากมายเหล่านี้เริ่มต้นมาจาก "Macintosh Plus" คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรกที่ทรงใช้งาน
       
       ตามข้อมูลที่ปรากฎ ม.ล.อัศนี ปราโมช คือผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งหากนับอายุโดยคร่าวของ Macintosh Plus ก็จะพบว่าคอมพ์ทรงเกียรตินี้มีอายุนับจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 1986 ถึง 24 ปี
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018169802.JPEG)
Macintosh Plus ฮาร์ดไดร์ฟ 30MB ราคากว่า 74,000 บาท

       ข้อมูลชี้ว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ ม.ล.อัศนี เลือก Macintosh Plus เพราะความสามารถในการเก็บและพิมพ์โน้ตเพลงได้ง่ายดาย การเรียนรู้และใช้งานไม่ยาก แถมยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พิเศษสำหรับเล่นดนตรีตามโน้ตเพลงที่เก็บไว้ได้ ด้วย
       
       Macintosh Plus ไม่ใช่เครื่องแมคอินทอชเครื่องแรกของแอปเปิล เนื่องจาก Macintosh 128K และ 512K คือแมคอินทอชเครื่องแรกที่แอปเปิลวางจำหน่ายช่วงวันที่ 24 มกราคม 1984 โดย Macintosh Plus (จำหน่ายปี 1986) นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ System 6.0.4, Finder 6.1.4 มาพร้อมหน่วยความจำสำรองในเครื่อง 1 MB และฮาร์ดไดร์ฟ 30MB เท่านั้น
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018169803.JPEG)
คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ในเวลาต่อมาคือ IBM PC Compatible

       Macintosh Plus ในยุคนั้นถูกมองว่าเป็นผู้พลิกวงการพิมพ์ และออกแบบ โดยราคาจำหน่ายที่สูงมากในขณะนั้น (ราว 2,495 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 74,850 บาท) ทำให้เครื่องไม่แพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป
       
       บริษัท สหวิริยา โอเอ จำกัด เป็นผู้นำเข้า Macintosh Plus และเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์แอปเปิลรายแรกในประเทศไทยในช่วง 24 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ไอสตูดิโออย่างทุกวันนี้
       
       รายงานบอกว่าตั้งแต่นั้น พระองค์ก็ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในงานส่วนพระองค์ทางด้านดนตรี ทั้งการป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้อง ทั้งหมดนี้พระองค์ท่านทรงศึกษาวิธีการใช้เครื่องและโปรแกรมที่เกี่ยวข้อง ด้วยพระองค์เอง
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018169804.JPEG)
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีส่วนพระองค์มากมาย (พื้นหลังของภาพ)

       ปัจจุบัน Macintosh Plus ถูกวางจำหน่ายในร้านประมูลออนไลน์ในราคาเริ่มต้นที่ 23.50 ดอลลาร์ (ราว 705 บาท) เท่านั้น
       
       คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ในเวลาต่อมาคือ IBM PC Compatible และอีกหลายรุ่นซึ่งมีการพัฒนาขึ้นตามโลกสมัย จุดนี้มีรายงานว่าพระองค์สนพระทัยในเทคนิคการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างมาก บางครั้งจึงทรงเปิดเครื่องออกดูระบบต่างๆ ภายในด้วยพระองค์เอง รวมถึงทรงแก้ไขซอฟต์แวร์ในเครื่องให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ เช่น โปรแกรมภาษาไทย CU WRITER เป็นต้น
       
       ผู้สนใจในข้อมูล Macintosh Plus สามารถชมได้จากวิดีโอด้านล่าง ซึ่ง"สตีฟ จ็อบส์"ซีอีโอแอปเปิลในวัยหนุ่มหล่อเหลาได้เปิดตัว Macintosh Plus บนเวทีท่ามกลางเสียงเชียร์คึกคักของผู้ร่วมงาน

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)

ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อมขอเดชะ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 ธันวาคม 2010, 12:49:17
PayPal งดให้บริการ Wikileaks

PayPal ปัดให้บริการระบบจ่ายเงินแก่วิกีลีคส์ เว็บไซต์จอมแฉความลับทั่วโลก อ้างไม่สนับสนุนกิจกรรมผิดกฏหมาย

(http://tech360.info/wp-content/uploads/2010/11/wikileaks_article.gif)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วิกีลีคส์ เว็บไซต์ จอมแฉความลับทั่วโลก ต้องสูญแหล่งบริจาคทุนสำคัญ หลังPayPal ผู้ให้บริการจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ของสหรัฐ ประกาศระงับบัญชีของวิกิลิกส์กับบัญชีต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนให้แก่เว็บไซต์รายนี้โดยอ้างเหตุผลว่า ไม่สามารถให้บริการจ่ายเงินเข้าบัญชีในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายได้

ขณะที่วีกิลีกส์ กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า การกระทำของPayPal มาจากแรงกดดันของรัฐบาลสหรัฐ         

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นในขณะที่นายจูเลียน แอสแซง ผู้ก่อตั้งวิกิลีคส์ ได้สร้างความตะลึงไปทั่วโลก ด้วยการปล่อยข้อมูลเอกสารจำนวน 250,000 ชิ้น ที่กระทบต่อสหรัฐและประเทศต่าง ๆ

มีรายงานด้วยว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กำลังพิจารณาเตือนนักศึกษาวิชาการทูตให้หลีกเลี่ยงการเข้าถึงข้อมูลของวิกิลีคส์ ที่เกี่ยวข้องกับความลับของรัฐบาลสหรัฐ

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 ธันวาคม 2010, 13:41:34
ชาว Twitter ลุ้น #WeLoveKing ขึ้นอันดับหนึ่งอีกครั้ง

เกิดปรากฏการณ์เชิญชวนชาวทวิตเตอร์ในประเทศไทยช่วยกันสร้างความ ภาคภูมิใจอีกครั้งในการทำให้โลกบันทึกเป็นครั้งที่ 2 ว่า วันที่ 5 ธันวาคม #WeLoveKing จะขึ้นสู่อันดับ 1 เทรนด์ของทวิตเตอร์ที่มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ร่วมกันถวายพระพรและแสดงความจงรัก ภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018180401.JPEG)

       ที่กลายเป็นทำเนียมสำหรับชาวทวิตเตอร์ไปแล้ว ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ประชาชนชาวไทยในทวิตเตอร์จะรวมพลังกัน เพื่อแสดงถึงพลังความรักความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านการทวีตข้อความ #WeLoveKing ให้กลายเป็นสถิติโลก
       
       ขณะนี้ (12.41 น.) เทรนด์คำว่า #WeLoveKing พร้อมคำถวายพระพรต่างๆ ได้ขึ้นเป็นคำที่พูดถึงมากที่สุดในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว จำนวน 37,423 ครั้ง และมีทีท่าว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เพื่อให้กลายเป็นอันดับโลก
       
       ส่งผลให้ชาวทวิตเตอร์ มีการนัดแนะกัน ทวีตคำว่า #WeLoveKing ในช่วงเวลา 19.00 น. ที่เป็นช่วงจุดเทียบชัยถวายพระพร โดยมีเหล่าคนดังในทวิตเตอร์อย่าง @iwhale @rockdawolrd ช่วยกันทวีตกระจายข่าวสารดังกล่าว
       
       โดยเมื่อปีที่ผ่านมา #WeLoveKing ได้ขึ้นอันดับหนึ่งบนทวิตเตอร์ เมื่อช่วงเวลา 20.29 ของคืนวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกภาคส่วนร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติทั่วประเทศตั้งแต่ ถนนราชดำเนิน ที่ถูกเนรมิตด้วยแสงไฟนับแสนดวง และกิจกรรมอลังการที่ทำให้ราชดำเนินกลายเป็นถนนแห่งความสุขของคนไทย รวมทั้งพิธีการจุดเทียนชัยถวายพระพร
       
       นอกจากทวิตเตอร์แล้วประชาชนออนไลน์ยังสามารถร่วมถวายความจงรักภักดี ต่อในหลวงได้ที่เว็บไซต์ http://www.9forking.com/ โครงการถวายพระพรออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "ด้วย ๙ ชาวไทย" ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 7 ธันวาคม 2553

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 ธันวาคม 2010, 14:46:27
ยอดขาย Galaxy Tab ทะลุล้านเครื่อง!!!

เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซัมซุง (Samsung) ประกาศว่า ทางบริษัทได้จำหน่าย Galaxy Tab ไปทั่วโลกแล้วมากกว่า 600,000 เครื่อง ล่าสุด Samsung ออกมาประกาศว่า ยอดขายของ Galaxy Tab ทะลุด 1 ล้านเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจนถึงต้นปี 2011 ยอดขายจะแตะ 1.5 ล้านเครื่อง

ปัจจุบัน Galaxy Tab ได้วางจำหน่ายถึง 64 ประเทศผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย 120 ราย ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศษ สหราชอณาจักร และสหรัฐฯ Galaxy Tab ได้รับการแนะนำค่อนข้างดีจากผู้ใช้ และผู้ทดสอบ ทั้งๆ ที่มันมีขนาดหน้าจอแค่ 7 นิ้ว ซึ่งขนาดสตีฟจอบส์จากแอปเปิ้ลพยายามจะแตะเบรคด้วยการออกมากล่าวว่า มันเล็กเกินไปสำหรับผู้ใช้ โดยแม้แต่ New York Times ยังรีวิวถึง Galaxy Tab ในทางที่ดี โดยเฉพาะประสิทธิภาพของหน้าจอแสดงผล และการตอบสนองของระบบสัมผัสที่รวดเร็ว และแน่นอน

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-1-million-units-sold-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายของ Galaxy Tab จะผ่านหลัก 1 ล้านเครื่องไปได้แล้ว แต่ Samsung ยังถูก Apple ทิ้งห่างค่อนข้างไกลมากทีเดียว

ซึ่งล่าสุดมีรายงานข่าวว่า iPad ม่ียอดจำหน่ายทั่วโลก 7 ล้านเครื่องไปแล้วตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แถมยังมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPad 2 ที่มีกล้องทั้งด้านหน้าและหลัง ตลอดจนการเพิ่มพอร์ต USB ซึ่งน่าจะอุดช่องโหว่ที่ทำให้ Galaxy Tab ประสบความสำเร็จได้อีกด้วย

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 ธันวาคม 2010, 15:42:59
มีอะไรใหม่ใน วินโดวส์ไลฟ์ 2011

หลังจากที่ไมโครซอฟท์ปรับโฉมรุ่นใหม่รับกระแสสมาร์ทโฟน หลายคนคงอย่ากรู้แล้วว่าในวินโดวส์ไลฟ์ตัวใหม่นี้มันมีดีอะไร แล้วมันจะแตกต่างกับรุ่นก่อนๆที่ผ่านมาอย่างไร วันนี้ทางไซเบอร์ บีส จะมาโชว์ความสามารถให้รู้กัน
       
       อย่างที่เรารู้กันดีว่าวินโดวส์ไลฟ์ จะมีบริการเด่นๆที่เรารู้จักกันดีคือ อีเมล์ (hotmail) และแมสเซนเจอร์ (Messenger) แต่ในครั้งนี้มาพร้อมลูกเล่นใหม่ของเอสเซนเชียล (Essentials) หรือตัวจัดการภาพและภาพยนต์ดีๆที่อยากแบ่งปันให้เพื่อนดู อยากรู้ว่าแต่ละตัวมีความโดนเด่นอย่างไรตามมาชมกัน

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000017493303)

เริ่มแรกจะพาไปทำความรู้จักกับ Hotmail ตัวใหม่ โดยทางไมโครซอฟท์เน้นคุณสมบัติที่ช่วยให้การจัดการอีเมล์มีประสิทธิภาพมาก ขึ้น ขจัดความไม่เป็นระเบียบในกล่องอีเมล์ขาเข้า ไม่เพียงแค่เรื่องสแปมเมล์ แต่ยังช่วยประหยัดเวลาในการจัดการกับเรื่องง่ายๆ ในกล่องขาเข้าและช่วยให้การเปิด แบ่งปัน และเปลี่ยนแปลงเอกสาร Microsoft Office ในระบบคลาวด์ทำได้ง่ายขึ้น
       
       - ไฮไลท์ของ Hotmail ผู้ใช้สามารถรู้ได้ทันทีเมื่อ มีอีเมล์ใหม่จากเพื่อนๆ ข้อความล่าสุดจากเพื่อในสังคมออนไลน์ การแจ้งส่งสินค้า นัดหมาย และการเตือนครบรอบวันเกิด ทั้งหมดนี้จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อ log in เข้าใช้อีเมล์
       
       - Conversation View ช่วยให้รู้ว่าการสนทนากับบาง คน หรือหลายคน ผ่านอีเมล์เป็นระยะเวลานานอาจทำให้ข้อมูลการสนทนาบางส่วนกระจัดกระจายจนไม่ เป็นผลดีกับผู้ใช้ Hotmail เวอร์ชั่นใหม่รวมเอาข้อมูลที่กระจัดกระจายเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นภาพรวมการสนทนาทั้งหมดในที่เดียว
       
       - Microsoft SmartScreen ช่วยแบ่งแยกระหว่างอีเมล์ ที่พึงประสงค์และสแปม ขึ้นอยู่กับความสามารถของโปรโตคอลอินเตอร์เน็ต, การรายงานผู้ใช้, แหล่งข้อมูลจากบุคคลที่ส่งอีเมล์มา, แหล่งข้อมูลจากบุคคลที่สาม, การคัดกรองอีเมล์จากคำที่ล่อแหลม, ระบบดักจับเครือข่ายของแฮ็กเกอร์ที่ส่งมากับอีเมล์ และการจดจำลายเซ็นต์
       
       - ส่งรูปภาพได้สูงสุดถึง 10 GB ต่อข้อความ โดย ไม่ต้องกังวลกับข้อจำกัดในการแนบไฟล์หรือกล่องขาเข้าที่อัดแน่น ไม่ว่าจะทางฝั่งผู้ส่งหรือผู้รับ โดย Hotmail ทำงานประสานกับ Windows Live SkyDrive ซึ่งเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์ที่ให้บริการฟรีจาก Windows Live ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถส่ง (ผ่านลิงค์) ได้สูงสุดถึง 200 ภาพ ขนาดภาพใหญ่สุด 50 MB (รวม 10 GB) ในการส่งข้อความแต่ละครั้ง
       
       - เปิดดูไฟล์แนบดังกล่าวแบบออนไลน์ได้ทันที เมื่อผู้ใช้ได้รับเอกสาร Office แนบมากับข้อความใน Hotmail ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel หรือ PowerPoint พวกเขาสามารถดูผ่านบราวเซอร์ใดก็ได้ หรือจะบนพีซี หรือเครื่อง Mac และแม้แต่กรณีที่ไม่ได้ติดตั้ง Office คุณสมบัติ ที่ยืดหยุ่นเช่นนี้เป็นผลจากการรวมขีดความสามารถระหว่าง Hotmail, SkyDrive และ Office Web Apps ทำให้ผู้ใช้สามารถส่ง รับ และจัดการกับเอกสารได้อย่างสะดวก

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000017493305)

ด้านความสามารถของวินโดวส์ไลฟ์ แมสเซนเจอร์ (Messenger) ตัว ใหม่ซึ่งหลายคนรอคอยว่าเมื่อไรจะมีการเปลี่ยนรูปโฉมเสียที่ โดยแมสเซนเจอร์เวอร์ชั่นใหม่นี้ทำให้ผู้ใช้สามารถกิจกรรมบนเครือข่ายออนไลน์ ได้ง่ายขึ้น
       
       - Facebook Chat ผู้ใช้สามารถสนทนากับเพื่อนๆ ใน Facebook ผ่านทาง Messenger บนเครื่องพีซี iPhone และ Web Messenger ของตนเองได้เลย ไม่ว่าเพื่อนๆ เหล่านั้นจะอยู่บน Messenger, Facebook หรือทั้งสองที่ก็ตาม
       
       - สนทนาในรูปแบบภาพวิดีโอความละเอียดสูง (HD video chat) เวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมกับการสนทนาในรุปแบบภาพวิดีโอความละเอียดสูง ช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์การสนทนาผ่านวิดีโอ สามารถแบ่งปันรูปภาพและไฟล์วิดีโอขณะกำลังสนทนา ทั้งยังได้เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนๆ ในแบบเรียลไทม์และปรับเป็นฟูลสกรีนได้
       
       - เชื่อมโยงกับบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์กว่า 75 เครือข่าย ซึ่ง รวมถึง Facebook, MySpace, และ LinkedIn ช่วยให้ผู้ใช้รวมรายชื่อเพื่อน การสื่อสาร และอัปเดทต่างๆ จากบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ชั้นนำเข้ามาไว้ใน Messenger ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่พลาดข้อมูลอัปเดทต่างๆ จากเครือข่ายทางสังคม (รวมถึงรูปภาพและไฟล์วิดีโอ) ผ่านทาง Messenger และอัปเดทสถานะของตนในบริการเครือข่ายสังคมได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้อง log-on เข้าใช้บริการใดๆ อีกนอกจาก Messenger
       
       - ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแบ่งปันข้อมูลอะไรกับใครบ้าง และข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ เอกสาร และเนื้อหาส่วนไหนที่คนเหล่านั้นมีสิทธิ์เข้าถึงได้

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000017493301)

ตัวสุดท้ายของวินโดวส์ไลฟ์เวอร์ชันใหม่คือ วินโดวส์ไลฟ์ เอสเซนเชียล คือชุดโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและแบ่งปันภาพสวยๆ และหนังดีๆ จัดการอีเมล์และติดต่อกับเพื่อนฝูง โดย ประกอบไปด้วย Photo Gallery, Movie Maker,Mail, Messenger ไปจนถึงบริการที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง Windows Live Mesh ซึ่งช่วยผสานพลังของพีซีและระบบคลาวด์
       
       - Photo Fuse ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเอาเฉพาะส่วนที่ชอบที่สุดจากหลายๆ ภาพมาต่อกันเป็น “ภาพสวยสมบูรณ์แบบ” ภาพเดียวด้วยเครื่องมือปรับแต่งภาพที่ใช้งานแสนง่ายดาย

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000017493302)

       - เทคโนโลยีจดจำใบหน้า เทคโนโลยีจดจำใบหน้าช่วยให้ Photo Gallery สามารถค้นหาภาพที่มีคนอยู่และระบุว่าใครอยู่ในภาพเหล่านั้น
       
       - ปรับแต่งภาพสวยดังใจด้วย ‘Retouch’ ไม่ว่าจะเป็นรอยด่าง รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือคราบ ฟังก์ชั่น Retouch ใน Photo Gallery ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกได้ง่ายดายราวกับว่าสิ่งนั้นไม่ เคยมีอยู่ในภาพมาก่อน โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่มืออาชีพตามโมเดลลิ่งชั้นนำใช้จัดการกับภาพถ่าย ของพวกเขา
       
       Movie Maker :สร้างและแบ่งปันไฟล์หนังอย่างง่ายดาย
       
       - สร้างธีมด้วย AutoMovie ช่วยให้การเพิ่มธีมสวยๆ ในภาพและวิดีโอทำได้ง่ายขึ้นในเวลาไม่กี่นาที ไม่ว่าจะเป็นชื่อ คำบรรยายใต้ภาพ หรือเพลงประกอบ โดยผู้ใช้สามารถใช้ธีมเดียวกันนี้ในโหมดสไลด์โชว์ของ Photo Gallery
       
       - บันทึกเป็นไฟล์ความละเอียดสูง (720p และ 1080p) สร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับใครๆ ที่ได้พบเห็นด้วยการบันทึกไฟล์วิดีโอที่สร้างโดยใช้ Movie Maker เป็นไฟล์ความละเอียดสูง (HD)
       
       Mesh: เข้าถึงข้อมูลสำคัญของคุณได้ตลอดเวลา
       
       - Windows Live Mesh ช่วยเชื่อมโยง (sync) โฟลเดอร์ที่ผู้ใช้เลือก เช่น โฟลเดอร์เอกสาร รูปภาพ เพลง และอื่นๆ เข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำงานหรือเพลิดเพลินกับกิจกรรมใดๆ ที่ชื่นชอบ เมื่อมีการอัพเดทไฟล์ในคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง ข้อมูลในเครื่องอื่นจะถูกอัปเดทไปด้วยโดยอัตโนมัติเมื่อเครื่องนั้นถูกเปิด ใช้งานและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เมื่อโฟลเดอร์ใดถูก synchronize ไฟล์นั้นจะปรากฏอยู่ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ด้วยแม้ยังไม่ได้เชื่อมต่ออิน เทอร์เน็ต
       
       - รีโมทเดสก์ท็อป ผู้ใช้สามารถเข้าถึงไฟล์และแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ทุกที่ผ่าน http://devices.live.com โดยสามารถค้นหาพีซีของตนในรายชื่ออุปกรณ์ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ แล้วคลิก “Connect to this computer” เพื่อควบคุมพีซีของตนได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ขณะอยู่ที่ทำงานแต่จำเป็นต้องใช้ไฟล์ข้อมูลสำคัญที่เก็บไว้ในเครื่องที่บ้าน
       
       Mail: ใช้งานอีเมล์ ปฏิทิน และรายชื่อผู้ติดต่อที่ผนวกเข้ากับ Windows ได้สะดวก ทุกเวลา
       
       - การรวมบัญชีผู้ใช้อีเมล์ Windows Live Mail ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการบัญชีผู้ใช้อีเมล์ รวมถึงปฏิทิน บริการ RSS feeds รายชื่อผู้ติดต่อ และ newsgroups จากหลายบัญชีรวมเข้าไว้ในจุดเดียว
       
       - เชื่อมโยงกับ Windows Live Messenger ผู้ใช้สามารถตอบกลับเพื่อนๆ ด้วย instant message จาก Windows Live Mail ได้ทันที นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังรู้ได้อีกว่า ‘คู่หู’ คนไหนกำลังออนไลน์อยู่ เพราะการเข้าใช้งานของพวกเขาเชื่อมโยงเข้ากับอีเมล์

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 ธันวาคม 2010, 14:09:39
Facebook ยกเครื่องหน้า Profile อีกแล้ว

ในรายการ 60 Minutes ที่เผยแพร่ในสหรัฐฯเมื่อวานนี้ Mark Zuckerberg ซีอีโอจากเว็บไซต์ Facebook ได้เปิดเผยว่า ทางบริษัทกำลังปรับแต่งหน้าโพรไฟล์ (profile) ของผู้ใช้ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 ล้านราย เพื่้อให้สะท้อนถึงตัวตนการใช้ชีวิตจริงของผู้ใช้มากขึ้น พร้อมด้วยคุณสมบัติการใช้งานที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงนั่นก็คือ Photos

สำหรับรายละเอียดบนบล็อกของ Facebook ล่าสุดยังได้มีการให้คำอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องของการยกเครื่องหน้า Profile ด้วย โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองได้ ง่ายขึ้น ไมว่าจะเป็นการให้รายละเอียดว่า คุณคือใคร ทำงานที่ไหน (คล้าย Linkedin) ตลอดจนปรัชญาของการดำรงชีวิต และใครที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตของคุณ โดยในส่วนของรูปภาพจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ภาพถ่ายต่างๆ ไปจนถึงรูปภาพที่ผู้ใช้สนใจ

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-redesign-profile-page-2.jpg)

เซ็คชั่นประวัติส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นใหม่นี้ไม่เพียงแต่จะบอกว่า คุณคือใคร และอยู่ที่ไหนเท่านั้น แต่มันยังมีการตั้งค่าให้แสดงผลภาพล่าสุดของคุณที่เพื่อนได้ tag ไว้ด้วย โดยก่อนหน้านี้ ใช้จะต้องคลิกบนแท็บ เพื่อดูภาพล่าสุดบนโพรไฟล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถระบุความสำคัญของเพื่อนในหน้าโพรไฟล์ได้อีกด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้จะใช้การสุ่มขึ้นมา ส่วนในเรื่องของงาน ในหน้าดีไซน์ใหม่ผู้ใช้สามารถเพิ่มโครงการที่กำลังทำอยู่ได้อีกด้วย ซึ่งโดยรวมการปรับแต่งหน้า Profile ใหม่เป็นการแสดงให้เห็นภาพความเป็นตัวตนของผู้ใช้มากขึ้น แน่นอนว่า การเปิดเผยตัวตนที่มากขึ้นของผู้ใช้จะดึงดูดผู้ลงโฆษณามากขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม Facebook ไม่ได้มีการเปลียนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวในส่วนของการปรับหน้า Profile ครั้งนี้แต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดนี้น่าจะเป็นการรุกคืบ อีกขั้นของ Facebook สำหรับการแข่งขันกับ Google เสิร์ชเอ็นจิ้นอันดับหนึ่งของโลก ในฐานะของหน้าเว็บพื้นฐานที่ผู้ใช้เน็ตทุกคนต้องเข้าไปใช้งาน การเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนหน้า Profile ของผู้ใช้จะเป็นอะไรที่อัพเดตสุด หากเทียบกับข้อความที่สตรีมบน wall หรือลิงค์ ตลอดจนภาพต่างๆ ที่ผู้ใช้โพสต์ขึ้นไป

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 ธันวาคม 2010, 16:41:19
Facebook ปรับหน้า นักวิเคราะห์คาดทำเงินได้มากขึ้น

เครือข่ายสังคมเฟซบุ๊ก (Facebook) สร้างความฮือฮาส่งท้ายปีด้วยการออกแบบหน้าประวัติหรือ profile ให้สมาชิกเฟซบุ๊กที่มีจำนวนมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกสามารถแสดงตัวตนอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดึงข้อมูลส่วนตัวพร้อมรูปมาโชว์ในส่วนบนสุดของหน้าแรก ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงที่นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เฟสบุ๊กมาเปิดเผยมากเกินไป

ขณะที่หลายเสียงมองว่าการเปิด เผยข้อมูลส่วนตัวอย่างชัดเจนทำให้ผู้ใช้สนิทสนมกันมากขึ้น แถมนักการตลาดก็ได้ประโยชน์เพราะได้รู้ความสนใจที่แท้จริงของสมาชิกเฟซบุ๊ก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018229401.JPEG)

       เฟซบุ๊กประกาศข้อมูลการออกแบบหน้าเพจใหม่ไว้ใน http://www.facebook.com/about/profile/ ข้อมูลระบุว่าเพจใหม่นี้เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย Peter Deng ผู้จัดการผลิตภัณฑ์เฟซบุ๊กให้ความเห็นว่าเพจโปรไฟล์ดั้งเดิมนั้นไม่ได้ให้ ข้อมูลตัวตนของสมาชิกเท่าที่ควร เฟซบุ๊กจึงปรับปรุงเพื่อฉายภาพความเป็นตัวตนของผู้ใช้ให้ดีขึ้น
      
       สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปชัดเจน ที่สุด คือข้อมูลบ้านเกิด สถานภาพ (โสดหรือสมรส) การศึกษา วันเกิด และข้อมูลอื่นที่จะปรากฏในส่วนบนของหน้า จุดนี้เฟสบุ๊กออกแบบโดยวางข้อมูลติดต่อกันเป็นบรรทัดเดียว ก่อนจะต่อท้ายด้วยรูปภาพขนาดเล็กซึ่งสมาชิกรายนั้นถูก"Tag"หรือติดป้ายชื่อ เอาไว้อีก 5 ภาพ
      
       แถบเมนูด้านซ้ายของเพจ เฟซบุ๊กปรับให้สมาชิกสามารถ"ลิสต์รายชื่อ" เพื่อน เพื่อนร่วมห้อง และกลุ่มคนสำคัญของตัวเองได้ แทนระบบเดิมที่สุ่มรายการเพื่อนขึ้นมาเอง จุดนี้รายงานระบุว่าหากเป็นรายการเพื่อนร่วมงาน ผู้ใช้จะสามารถให้ข้อมูลโปรเจ็กต์หรือโครงการวิจัยที่กำลังทำอยู่ได้
      
       แม้สิ่งที่เฟซบุ๊กปรับปรุงจะเป็นเพียงการใช้ข้อมูลเดิมมาแสดงผลในรูป แบบใหม่ โดยเพิ่มความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงหลากหลายกลุ่มมาแสดงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น แต่นักวิเคราะห์มองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่รายได้โฆษณาออนไลน์ของเฟซบุ๊กก้อนโตกว่าเดิมในอนาคต โดย Marissa Gluck นักวิเคราะห์ของ Radar Research ระบุว่าสื่อโฆษณาออนไลน์จะสามารถเข้าถึงผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ดียิ่งขึ้น
      
       เฟซบุ๊กถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ในตลาดโฆษณาออนไลน์ถึง 1.3 พันล้านเหรียญทั่วโลกในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 665 ล้านเหรียญในปี 2009 ตามการวิจัยของ eMarketer

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 ธันวาคม 2010, 22:17:44
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนไทยไม่ต้องซื้อ “iPad เครื่องหิ้ว”

หลังจากมีการจำหน่ายเครื่องหิ้วอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาช้านาน ในที่สุด iPad คอมพิวเตอร์แท็ปเล็ตหน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนของแอปเปิลก็ได้ฤกษ์วาง จำหน่ายในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 53 ผู้บริหารไทยชี้ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้คือ iPad จะสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

แอปพลิเคชันที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนไทยก็จะมีปริมาณมากขึ้น ท่ามกลางรายได้มหาศาลที่จะไหลเข้ากระเป๋าค่ายมือถือโอเปอเรเตอร์ต่อเนื่องในปีหน้า
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018125201.JPEG)
แฟ้มภาพนักศึกษากับ iPad ที่ซื้อจากร้านไอสตูดิโอ สาขาเซ็นทรัลเวิร์ลในวันที่ 3 ธันวาคม 53

       นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานบริษัท คอปเปอร์ไวร์ด จำกัด ให้ความเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากการนำเข้า iPad เข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฏหมายในประเทศไทย คือยอดขาย iPad จะสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ปริมาณการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันละเมิดลิขสิทธิ์ใน iPad เชื่อว่าจะน้อยลง รวมถึงปริมาณสื่อออนไลน์ใน iPad ที่เป็นภาษาไทยจะมีจำนวนมากขึ้น
       
       “ที่เห็นชัดคือยอดขาย iPad จะเพิ่มขึ้น ปริมาณคนที่จะเสียเงินดาวน์โหลดแอปพลิเคชันกับผู้ค้ารายย่อยครั้งละ 500 บาทก็เชื่อว่าจะน้อยลง ที่เห็นชัดอีกอย่างคือคอนเทนต์ที่เป็นนิตยสารภาษาไทย ที่สร้างออกมาในรูปแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดไปอ่านบน iPad ในขณะนี้ก็มีมากกว่า 10 หัวหนังสือ ถือเป็นครั้งแรกที่เรามีพัฒนาการด้านคอนเทนต์เร็วเท่ากับต่างประเทศ”
       
       คอปเปอร์ไวร์ดเป็น 1 ใน 5 บริษัทค้าปลีกสินค้าของแอปเปิลในนามไอสตูดิโอที่ได้รับการรับรองอย่างเป็น ทางการ ปรเมศร์จึงระบุว่าไม่สามารถประมาณตัวเลขเป้าหมายยอดขาย iPad ของไอสูดิโอทั้งหมดในประเทศไทยได้ แต่คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มสินค้าแท็บเล็ตประเทศไทยช่วงปีหน้า อาจไม่แตกต่างจากหลายประเทศที่มีสัดส่วนการใช้งาน iPad สูงถึง 95%

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018125202.JPEG)
แถวคิวยาวของผู้ซื้อ iPad ในวันเปิดตัวในเมืองไทย

***ค่ายมือถือยิ้ม ยอดใช้ดาต้าพุ่ง
       
       ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่/ประธานคณะผู้บริหาร และรองหัวหน้า กลุ่มคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด เชื่อว่าการนำ iPad เข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องในเมืองไทยจะทำให้ทรูมีลูกค้าผู้ใช้บริการกลุ่ม โพสต์เพดมากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจให้บริการดาต้าแพกเกจ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีหน้า
       
       “เชื่อว่าผู้ใช้กลุ่มโพสต์เพดจะมากขึ้นนับจากนี้ เพราะแพคเกจ iPad ของทรูสามารถใช้ร่วมกับแพคเกจของ iPhone ได้ ส่วนธุรกิจดาต้าแพกเกจ ปีนี้เราเติบโต 40% ปีหน้าก็เชื่อว่าจะไม่ต่ำกว่านี้”
       
       ทรูเชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายไมโครซิม หรือซิมการ์ดขนาดจิ๋วเพื่อใช้งานกับ iPad ได้มากกว่า 1 หมื่นชิ้นในเวลา 1 เดือน
       
       เรื่องนี้ ปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจบริการเสริม บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นสวนทางกับทรู โดยยอมรับว่ายอดใช้บริการดาต้าของดีแทคในกรุงเทพฯ จะได้รับอานิสงส์จากการเปิดตลาด iPad น้อยกว่าในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ
       
       “ในกรุงเทพฯ เรายอมรับว่าแพ้ทรูเรื่อง 3G แต่ในต่างจังหวัดทุกคนจะนึกถึงเรา ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังไทยสามารถจำหน่าย iPad อย่างถูกต้องไม่ใช่เรื่องไลฟ์สไตล์ เพราะตอนนี้ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไปแล้วเรียบร้อย แต่การมีหน้าร้านไอสตูดิโอ จะทำให้คนที่ไม่กล้าเข้าไปซื้อ iPad ตามตู้ค้ามีทางเลือกมากขึ้น”
       
       ปกรณ์มองว่า การวางจำหน่าย iPad อย่างแพร่หลายจะเป็นตัวกระตุ้นความต้องการแท็บเล็ตในสังคมไทย กลบกระแสเน็ตบุ๊กในเวลาไม่นานนับจากนี้ เบื้องต้นคาดว่า ปริมาณแท็บเล็ตในตลาดไทยช่วงปีหน้าจะทะลุ 200,000-300,000 เครื่อง

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018125203.JPEG)
ซีอีโอแอปเปิล ในวันเปิดตัว iPad ครั้งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

***แมกกาซีนไทยก้าวกระโดด
       
       นาทีนี้ผู้บริหารหลายคนเชื่อว่าตลาดแอปพลิเคชัน iPad ที่จะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในประเทศไทยคือตลาดนิตยสารดิจิตอล นำหน้าเกมหรือแอปพลิเคชันทางธุรกิจทุกประเภท โดยขณะนี้ นิตยสารไทยที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันร้านหนังสืออิสระนั้นมีจำนวนมากกว่า 40 หัวหนังสือแล้ว
       
       พชร สมุทวณิช บรรณาธิการบริหารนิตยสารมาร์ส ให้สัมภาษณ์ว่ารูปแบบการอ่านของคนไทยกลุ่มหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะ iPad เชื่อว่า iPad จะทำให้ผู้อ่านนิตยสารเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการอ่านทุกหน้า แม้แต่หน้าที่เป็นโฆษณา เนื่องจากลูกเล่นในการนำเสนอที่น่าสนใจ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการตลาดในอีกรูปแบบหนึ่ง
       
       iPad นั้นเป็นแท็ปเล็ตคอมพิวเตอร์หน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนรุ่นล่าสุดซึ่งแอ ปเปิลเริ่มเปิดตัวเมื่อต้นปี 2010 ที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน ราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 15,900 บาท สูงสุดคือ 25,900 บาท ต่ำกว่าราคา iPad เครื่องหิ้วที่เคยจำหน่ายในราคา 20,000-21,000 บาท
       
       ล่าสุด การสำรวจตลาดมาบุญครอง (วันที่ 3 ธันวาคม 53) พบว่า iPad เครื่องหิ้วยังมีราคาจำหน่ายแต่ละร้านไม่คงที่ บางร้านวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 15,800 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ขณะที่บางร้านจำหน่ายในราคาสูงกว่า เช่น 16,500 บาท และ 17,000 บาท ไม่มีการรับประกันสินค้าแต่ให้บริการติดตั้งแอปพลิเคชัน
       
       ที่น่าสนใจคือ ผู้ค้าในตลาดมาบุญครองขณะนี้มีการนำเสนอแท็ปเล็ตทางเลือกหลายขนาดมากขึ้น เป็นสินค้าจากจีนที่มีหน้าจอตั้งแต่ 5 นิ้วขึ้นไป ราคาเบื้องต้นเริ่มที่ 7,000 บาท ถือเป็นอีกการเปลี่ยนแปลงด้านสินค้าในมาบุญครองที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 ธันวาคม 2010, 23:52:13
RSA เตือนโทรจันบนมือถือ ล้วงข้อมูลธุรกรรมธนาคาร

RSA เตือนภัยลูกค้าธุรกรรมออนไลน์ ระวังตกเป็นเหยื่อของโทรจัน Qakbot ที่มุ่งเป้าหมายไปที่สถาบันทางการเงินทั้งหมด หลังพบมีอัตราการกระจายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมเผยวิธีป้องกันขั้นต้นทั้งในแง่ของผู้ใช้และองค์กรที่ต้องเพิ่มการตรวจสอบมากขึ้น
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018213501.JPEG)
อีเทย์ มาเออร์ ผู้จัดการโครงการ (Fraud Action)

       อีเทย์ มาเออร์ ผู้จัดการโครงการ การจัดการกับการฉ้อโกงออนไลน์ (Fraud Action) โครงการของอาร์เอสเอ หน่วยธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัยของอีเอ็มซี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนอกจากการโจมตีในด้านของมัลแวร์ สปายแวร์ (Spyware) สแปม (Spam) ฟิชชิ่ง (Phishing) และโทรจัน (Trojan) แล้ว ได้มีการส่งโทรจันเข้าไปโจมตีในส่วนของสมาร์ทโฟนเพื่อขโมยรหัสในการเข้าใช้ งานธุรกรรมออนไลน์
       
       "จากเดิมที่ผู้ร้ายมักส่งโทร จันเข้าไปฝังในคอมพิวเตอร์ เพื่อส่งข้อมูลกลับไป ปัจจุบันได้เริ่มมีการนำโทรจันเข้ามาใช้งานกับสมาร์ทโฟนมากขึ้น ซึ่งส่วนมากจะใช้การโจมตีผ่านเว็บฟิชชิ่ง ที่ปลอมเป็นหน้าเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อลวงให้ผู้บริโภคกรอกรหัสและเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ หลังจากนั้นจะส่ง ข้อความมัลติมีเดีย (MMS) เพื่อลวงให้เป้าหมายเปิดลิงก์และเข้าไปดาวน์โหลดโทรจัน"
       
       หลังจากที่ฝังโทรจันลงไปทั้งในคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนแล้ว ผู้ร้ายก็สามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของเป้าหมายได้ทันที ทำให้ทางผู้ใช้งาน และองค์กรที่เป็นเป้าโจมตีอย่างธนาคาร จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังและระบบรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น
       
       "จากการสุ่มเก็บข้อมูลของ RSA ในช่วง 10 วัน พบว่ามีจำนวนโทรจันที่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยสูงถึง 8328 ตัว ที่เข้าโจมตีสถานบันทางการเงิน โดยผู้ร้ายจะนำข้อมูลเหล่านี้ ไปขายในเว็บบอร์ดใต้ดิน ที่มีการซื้อขายข้อมูลพวกนี้ในต่างประเทศ อย่างรัสเซียเป็นต้น"
       
       โดยในการส่งโทรจันออกไปเพื่อเก็บข้อมูลในปัจจุบัน ได้มีวิธีการใหม่ๆเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน บอตอย่าง SpyEye ที่มีข่าวล่าสุดว่าได้รวมตัวกับ Zeus ที่เมื่อก่อนเป็นคู่แข่งในด้านการลักลอบเข้าไปเก็บข้อมูล
       
       "ในเว็บบอร์ดใต้ดินมีการจำหน่ายโปรแกรมเหล่านี้ในราคา ตั้งแต่ 300 ถึง 3,000 เหรียญฯ เพื่อให้ผู้ร้ายได้ส่งตัวโทรจันเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน ทั่วไป ซึ่งจะมีรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกัน แต่หลักๆแล้วเป้าหมายจำเป็นต้องกดเปิดลิงก์หรือดาวน์โหลดโปรแกรมมาไว้ใน เครื่องก่อน"
       
       ทำให้ในการป้องกันโทรจันนั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องสร้างความระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่เปิดลิงก์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก ไม่กดเซฟหรือลงโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าไว้ใจ รวมไปถึงหมั่นคอยอัปเดตระบบปฏิบัติการ และแอนตี้ไวรัสให้ใหม่อยู่เสมอ
       
       ขณะที่ในแง่ขององค์กรที่เป็นเป้าหมายอย่างธนาคารก็ต้องมีการวางระบบ รักษาความปลอดภัย ซึ่งในเบื้องต้นจะแบ่งเป็น 3 ขั้น ตั้งแต่ต้องเข้าใจถึงวิธีการและรูปแบบการโจมตีต่างๆ รวมถึงหาวิธีการอื่นๆมาช่วยเสริมในการล็อกอินเข้าใช้งาน เช่นรหัสใช้ครั้งเดียว การยืนยันตัวตนในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
       
       ถัดมาคือต้องมีโซลูชันที่ป้องกันการโจมตีจากโทรจัน รวมถึงมีการตรวจสอบโทรจันที่เข้ามาโจมตีอยู่ตลอดเวลา และสุดท้ายคือการตรวจสอบโปรไฟล์การใช้งาน เช่นไอพีแอดเดรสที่ใช้ล็อกอินที่ใช้ในประเทศ ถ้ามีการใช้งานจากต่างประเทศเข้ามาก็ต้องมีการตรวจสอบ รวมไปถึงภาษาที่ใช้ ตัวระบบปฏิบัติการที่ใช้ แม้กระทั่งพฤติกรรมการใช้งาน
       
       "ในส่วนของธนาคารการตรวจสอบ ผู้ใช้เป็นงานที่ทำในหลังบ้าน ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ทางธนาคารก็ต้องมีมาตรการป้องกัน อย่างในสหรัฐฯ ถ้ามีการทำธุรกรรมโอนเงินไปยังหมายเลขบัญชีใหม่ ในจำนวนมาก ก็จะมีการโทรศัพท์ยืนยันธุรกรรม คล้ายๆกับวิธีการตรวจสอบการใช้งานบัตรเครดิตในบ้านเรา"
       
       ส่วนการป้องกันภัยบนสมาร์ทโฟนนั้น อีเทย์ ให้คำพูดสั้นๆว่า "ถ้าไม่จำเป็นอย่าดาวน์โหลดแอปฯฟรี" เพราะในอนาคตการดาวน์โหลดแอปฯฟรีมาใช้งาน ถือว่าค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการรับ-ส่งข้อมูลที่ผิดปกติหรือไม่

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 04:18:41
Microsoft เดินหน้า 'Clound Service' คาดโตต่อเนื่อง 50%

ไมโครซอฟท์เดินหน้ารุกตลาดคลาวด์คอมพิวติงเต็มตัว หลังแนวโน้มการเติบโตเริ่มเห็นชัดในประเทศไทย ที่ไอดีซีคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง 45-50% ไปจนถึงปี 2014 ซึ่งรูปแบบการเติบโตจะแบ่งเป็นในเรื่องของโครงสร้างระบบ การพัฒนาแอปพลิเคขัน และเข้าสู่ยุคบริการบรคลาวด์เซอร์วิสในที่สุด
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018213901.JPEG)

       ดร.ประสบโชค ประมงกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำเนินการเกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติง (บริการบนกลุ่มเมฆ) ของทางไมโครซอฟท์ได้เริ่มมากว่า 5 ปีแล้ว โดยปัจจุบันได้มีการนำไปใช้งานในบริการต่างๆของไมโครซอฟท์แล้ว รวมไปถึงอยู่ในช่วงทำแผนและสร้างความพร้อมกับกลุ่มพันธมิตรให้พร้อมใช้งานใน อนาคต
       
       "ปัจจุบันมีองค์กรในประเทศไทยเริ่มใช้งานคลาวด์เซอร์วิสของ ไมโครซอฟท์แล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ เพื่อปรับแผนให้เข้ากับวิธีการดำเนินธุรกิจต่อไป และเชื่อว่าจะเห็นภาพการใช้งานชัดเจนภายในช่วงกลางปี 2011 เพราะปัจจุบันองค์กรต่างๆ ได้มีการเริ่มลงทุนในด้านโครงสร้างให้รองรับการใช้งานเวอชัลไลเซชันกันพอ สมควรแล้ว"
       
       ทางไอดีซี (IDC) ได้มีการคาดการณ์ว่า พับบลิคคลาวด์ (Public Clound) จะมีอัตราการเติบต่ออย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ปีข้างหน้าที่ราว 45-50% ทำให้จากเดินมูลค่าตลาดของคลาวด์ในปัจจุบันที่ประมาณ 11 ล้านเหรียญฯ ในปี 2010 จะขึ้นไปอยู่ที่ 48 ล้านเหรียญฯในปี 2014
       
       โดยการเติบโตนั้นจะแบ่งออกเป็นในส่วนของ IAAS (Infrastructure as a Service) หรือการให้ลงทุนทางด้านโครงการ ซึ่งในปี 2010 มีอัตราการเติบโตในประเทศสูงถึง 115.4% จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 5 ล้านเหรียญฯ ทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2014 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 17 ล้านเหรียญฯ
       
       ส่วนถัดมาคือการเติบโตของ PAAS (Platform as a service) หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับกับบริการ ที่จะมีการเติบโตจากเดิม 20% ในปี 2010 เพิ่มขึ้นไปถึง 65% ในปี 2011 จากมูลค่า 1 ล้านเหรียญฯ ในปัจจุบัน ไปอยู่ที่ 8 ล้านเหรียญฯในปี 2014
       
       ขณะที่สุดท้าย SAAS (Software as a Service) จะมีการเติบโตจากในช่วง 36.8% ในปี 2010 ไปเป็น 45.2% ในปี 2011 ซึ่งในส่วนของมูลค่าจาก 7 ล้านเหรียญฯ ในปี 2010 ขึ้นไปเป็น 23 ล้านเหรียญฯ ในปี 2014 ซึ่งถือว่าพับบลิคคลาวด์เองก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
       
       "ด้วยการที่ไมโครซอฟท์มีเทคโนโลยีที่พัฒนามาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ที่สามารถสร้างบริการกลุ่มเมฆได้อยู่แล้วอย่าง วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2008 ที่สามารถทำเวอชัลไลเซชันได้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อที่จะมาควบคุมคลาวด์ด้วยเช่นกัน"
       
       ซึ่งทางการ์ทเนอร์ (Gartner) ได้มีการสำรวจถึงกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่การใช้งานคลาวด์ในช่วง แรกจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ภาครัฐ ธนาคาร และกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม ก่อนที่จะเคลื่อนไปยังกลุ่ม สื่อสารมวลชน อุตสาหกรรมขนส่ง ประกันภัย ค้าปลีก และโรงพยาบาลอย่างเต็มตัวในปี 2014
       
       ภูผา เอกะวิภาต ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมการใช้งานซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี บริษัท ไมโครซอฟท์ จำกัด ให้ข้อมูลถึงการให้บริการพับบลิคคลาวด์ว่า ปัจจุบันบริการ Windows Live ของไมโครซอฟท์ก็เป็นการให้บริการบนระบบคลาวด์คอมพิวติงแล้ว โดยมีจุดเด่นที่เป็นการพัฒนาบริการเดิมให้มีความสามารถมากขึ้นรองรับการใช้ งานบนอินเทอร์เน็ตทุกที่ทุกเวลา
       
       ปัจจุบันไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ เวอร์ชันใหม่ ก็สามารถเซฟไฟล์เอกสารไปไว้บนคลาวด์เซอร์วิสของไมโครซอฟท์ ทีเรียกว่า สกายไดร์ฟ (Skydrive) รวมกับบริการอื่นๆอย่าง ออฟฟิศเว็บแอป แมสเซนเจอร์ แชร์รูปภาพ และบริการยอดฮิตอย่างอีเมล ที่ได้พัฒนาขึ้นมาให้อยู่ในรูปแบบของบริการบนกลุ่มเมฆแล้ว

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 04:28:07
สมาร์ตโฟนหนุนอาร์เอสดิจิตอล

อาร์เอส ดิจิตอล เกาะกระแสสมาร์ตโฟน ดันยอดทะลุเป้า 500 ล้าน งัดคอนเทนต์ตอบโจทย์ลูกค้าไม่รอ 3จี

(http://lh6.google.com/lewcpe/Rr3LFmvSsnI/AAAAAAAACiE/jPJGzRxcq1Q/s400/IMG_0377.JPG)

นายวรพจน์ นิ่มวิจิตร ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานอาร์เอส ดิจิตอล บริษัท อาร์เอส ผู้ดำเนินธุรกิจดิจิตอลคอนเทนต์ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจไม่ดี แต่สำหรับคอนเทนต์ประเภทดูดวง และการเสี่ยงโชค หวย ลอตเตอรี่ กลับเติบโตมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ การเติบโตของโทรศัพท์มือถือกลุ่มสมาร์ตโฟนที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งให้มีการ ดาวน์โหลดคอนเทนต์ประเภทต่างๆ มากขึ้นด้วย เช่น เพลง เกม ภาพ เสียง ทำให้ตลาดดิจิตอลคอนเทนต์เติบโต 25%

สำหรับธุรกิจดิจิตอลคอนเทนต์ของบริษัทก็มีอัตราการเติบโตเท่ากับตลาดรวม หรือ 25% ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ของบริษัทปีนี้อยู่ที่ 500 ล้านบาท สำหรับแผนงานในปีหน้า ได้เตรียมคอนเทนต์ประเภทมิวสิกวิดีโอ รายการทีวี ละคร บนมือถือ ไว้ตอบสนองลูกค้า แม้จะ|ไม่มีการเปิดให้บริการ 3จี เพราะลูกค้าสามารถดาวน์โหลดผ่านไว-ไฟ หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการไม่มีบริการ 3จี ทำให้ตลาดดิจิตอลคอน เทนต์เติบโตน้อย กลายเป็นข้อจำกัดที่สำคัญในธุรกิจนี้ แต่ผู้บริโภคยังมีความต้องการคอนเทนต์ ซึ่งในฐานะผู้ให้บริการก็ต้องพร้อมสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 04:28:56
ทวิตคนไทยรักในหลวงทุบสถิติโลก

ทวิตเตอร์คนไทยรักในหลวงขึ้นเทรนด์ติดอันดับโลกจากการถวายพระพร เมื่อ5ธ.ค.เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความออกถึงความจงรักภักดี

(http://www.posttoday.com/media/content/2010/12/06/986C777AFFD54F939120B55F975AB7F7.jpg)

ชาวทวิตเตอร์ในประเทศไทย สร้างความภาคภูมิใจอีกครั้ง ในปรากฏการณ์เชิญชวนว่าในวันที่ 5 ธันวาคม"#WeLoveKing" จะขึ้นสู่อันดับ 1 เทรนด์ของทวิตเตอร์ ที่มีผู้ใช้ร่วมกันถวายพระพร และแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่างไรก็ตามหลังนักทวิตเตอร์ไทยได้รวมพลังทวิต #WeLoveKing จำนวนมาก เลยทำให้ระบบทวิตเตอร์เข้าใจว่า เป็นสแปมหรือข้อความขยะ ทำให้ไม่เป็นเทรนด์ที่ได้รับการพูดถึง ชาวทวิตเตอร์ไทย จึงได้มีการเปลี่ยนข้อความให้เป็น #HisMajesty แทน และขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในช่วงเวลา 22.11 น.ของคืนวันที่ 5ธ.ค.ที่ผ่านมาแทน

ทั้งนี้ กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับชาวทวิตเตอร์ว่า ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ชาวไทยในทวิตเตอร์จะรวมพลังกัน เพื่อแสดงถึงพลังความรักความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้กลายเป็นสถิติโลก

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 12:36:53
Nexus S วางตลาด 16 ธันวาคม ศกนี้

และแล้วก็ได้เวลาของกูเกิ้ลโฟนรุ่นใหม่ Nexus S ที่พัฒนาโดยซัมซุง (Samsung) ซึ่งมือถือรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 4 นิ้ว โพรเซสเซอร์ Hummingbird ความเร็ว 1GHz และเหนืออื่นใดมันยังมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 2.3 หรือ Gingerbread

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/samsung-nexus-s-google-phone-gingerbread-2.jpg)

สำหรับเหตุผลที่ทำให้สาวก Android สนใจ Nexus Phone รุ่นนี้ัก็เนื่องจากมันเป็นแอนดรอยด์โฟนรุ่นแรกที่ได้รับการอัพเกรด ซอฟต์แวร์ และ Google mobile apps ใหม่ล่าสุดทันทีที่มือถือรุ่นนี้วางจำหน่าย Nexus S จะมีสตอเรจภายใน 16GB และหน่วยความจำ RAM ขนาด 512MB พร้อมทั้งติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyroscope และสนับสนุน VoIP โพรเซสเซอร์ Hummingbird (ใช้สถาปัตยกรรม Cortex A8) 1GHz และจอ Super AMOLED 4 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล ฟังดูสเป็กจะคล้ายๆ กับ Samsung Galaxy S ที่ออกมาก่อนหน้านี้

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/samsung-nexus-s-google-phone-gingerbread-3.jpg)

ในส่วนของกล้องด้านหลังจะมีความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล แถมยังมีกล้อง VGA ด้านหน้าอีกด้วย และด้วยดีไซน์ของตัวเครื่องที่โค้งมนทำให้เวลาถือใช้งานในฟังก์ชัน video chat ทำได้สะดวก ทางบริษัทเตรียมที่จะวางตลาด Nexus S ในสหรัฐฯ วันที 16 ธันวาคม ศกนี้ โดยสนนราคาเครื่องปลดล็อคอยู่ที่ 529 เหรียญฯ หรือประมาณ 16,000 บาท ซึ่งยังคงเป็นที่ BestBuy และเว็บไซต์ Google เช่นเดียวกับรุ่นแรก

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: k.kaew ที่ 07 ธันวาคม 2010, 13:52:09
โนเกียเครื่อง900ดีกว่า ตกกระจายก็ไม่เสียดาย มีไฟฉายด้วย  :wanwan002:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 13:58:09
Google โชว์ต้นแบบแท็บเล็ต MotoPad

หลังจากที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า Google เตรียมเปิดตัวเน็ตบุ๊คที่ทำงานด้วย Chrome OS ล่าสุดทางผู้บริหารของบริษัทได้แนะนำต้นแบบแท็บเล็ต (tablet) ที่ร่วมมือพัฒนากับทางโมโตโรลา (Motorola) โดยใช้ชื่อว่า MotoPad ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว ทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 พร้อมด้วยกล้องด้านหน้าสำหรับวิดีโอแชท

ในงาน D:Drive Into Mobile ที่จัดขึ้นโดยกูเกิ้ลวันนี้ Andy Rubin รองประธานบริษัทผู้ซึ่งเป็นหัวหอกของ Android ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์โมบายได้สาธิตการทำงานของแท็บเล็ตต้นแบบ MotoPad ที่คาดว่าน่าะใช้ Honeycomb (Android 3.0) ในการทำงาน ซึ่งจะมาพร้อมกับฟังก์ชันการปรับแต่งการทำงานที่น่าสนใจอย่างเช่น การแยกหน้าจอแสดงผล เพื่อดูการทำงานในส่วนต่างๆ แยกกัน

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/motopad-tegra-2-honeycomb-tablet-at-google-d-drive-into-mobile-event-2.jpg)

สำหรับแท็บเล็ตลึกลับดังกล่าวคาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES วันที่ 5 มกราคม ซึ่งจะเป็นวันที่ Motorola มีคิวในการขึ้นเวที โดยแท็บเล็ต MotoPad น่าจะทำงานร่วมกับเครือข่าย Verizon และเป็นเวอร์ชันที่เชื่อมต่อไร้สายผ่าน 3G แต่สามารถอัพเกรดเป็น 4G LTE ได้ในภายหลัง Rubin เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแท็บเล็ต โดยเขากล่าวว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานที่สุดสำหรับการโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ของ ผู้ใช้ มันเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านกายภาพที่จับต้องได้ และความรู้สึก แม้ Rubin จะไม่ได้สาธิตการใช้อินเตอร์เฟซให้ได้เห็นกันมากนัก แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่า อินเตอร์เฟซที่ดีของแท็บเล็ตจะสามารถเรียนรู้และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ Rubin ไม่ได้พูดถึงกรณีที่สตีฟจอบส์ (Steve Jobs) ซีอีโอของ Apple บอกว่า แท็บเล็ตจอเล็กไม่เวิร์ก

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/motopad-tegra-2-honeycomb-tablet-at-google-d-drive-into-mobile-event-3.jpg)

นอกจากจะมีการแนะนำ MotoPad แท็บเล็ตรุ่นใหม่ของโมโตฯแล้ว ทาง Rubin ยังได้โชว์ให้เห็นเทคโนโลยีใหม่อย่าง Google Maps เวอร์ชัน 3D ที่ทำให้สามารถเลือกมองจากมุมต่างๆ เพื่อให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น ที่สำคัญมันทำงานเร็วขึ้นด้วยระบบการแสดงผลแบบเวคเตอร์ ดังนั้นแอพฯจะสามารถเร็นเดอร์ภาพได้ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย คร่าวๆ ก็คือ มันสามารถโหลดได้เร็วกกว่าเดิมประมาณ 100 เท่า (โดยเฉพาะข้อมูลตอนต้นที่ต้องโหลด) และด้วยขนาดของข้อมูลที่เล็กลง ผู้ใช้สามารถเก็บแผนที่ทั้งรัฐไว้ในหน่วยความจำของเครื่อง โดยไม่ต้องคอยเปิดใช้บริการเครือข่าย Rubin กล่าว

นอกจากนี้ แอพฯแผนที่บนแท็บเล็ตยังสามารถหันหน้าไปในทิศทางเดียวกับผู้ใช้ได้อีกด้วย เรียกได้ว่า เงยหน้าจากจอแผนที่ก็จะเห็นภาพถนนหนทางจริงที่ตรงกันพอดิบพอดี คาดว่าผู้ใช้จะได้ใช้ Google Map 3D ในเร็วๆ นี้

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 14:41:40
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ปี 2554

(http://www.watblog.com/wp-content/uploads/2010/07/online-marketing1.gif)

เขาว่า “ธุรกิจจะอยู่รอดได้ ก็ต้องมีเงินเพียงพอ ธุรกิจจะก้าวหน้าและรุ่งเรืองได้ ก็ต้องมีการเติบโต” เงินมาจากรายได้และแหล่งเงินทุน

แต่สำหรับการเติบโตแล้ว จะมาจาก
 
๐ การขยายธุรกิจออกไปเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักในวงกว้าง
 
๐ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้ามุ่งหวัง หรือ สมาชิก เพื่อสร้างโอกาสการขายใหม่ๆ
 
บาง คนจะเรียกกิจกรรมข้างต้นนี้ว่า Lead generation หรือ Community management หรืออะไรก็ได้ บางทีดูเหมือนจะง่ายสำหรับกิจกรรมข้างต้น แต่ที่จริงแล้วมันท้าทายนักการตลาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกลยุทธ์การตลาดอย่างยั่งยืน การใช้ต้นทุนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การตลาดออนไลน์จริงเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบนี้ที่ช่วยตอบโจทย์ของคุณได้
 
แล้วกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในปีหน้า ปี พ.ศ.2554 ธุรกิจของคุณควรจะให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง
 
เริ่ม ต้นจาก เว็บไซต์ของคุณ แต่เว็บไซต์ของคุณในวันนี้จะไม่ใช่เว็บไซต์ที่คุณเคยรู้จักมาก่อนหน้านี้ 3-4 ปี ที่ผ่านมา เว็บไซต์ของคุณในวันนี้จะหมายถึงความสามารถหลากหลายในสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, YouTube, LikedIn, Flickr และอื่นๆ
 
เว็บไซต์ ของคุณจะไม่เป็นเพียงเว็บไซต์ข้อมูลหรือให้บริการเท่านั้น แต่มันจะหมายถึงประสบการณ์ที่สังคมออนไลน์จะได้รับ ที่มันสามารถนำไปสู่ Social Commerce ในอนาคตได้ ลองมองกลับไปที่เว็บไซต์ของคุณอีกครั้งว่า เว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์ของสังคมออนไลน์ได้มากน้อยเพียงใด
 
กลยุทธ์ ต่อมาก็คือ เนื้อหา เนื้อหา และ เนื้อหา เมื่อเราพูดถึงเนื้อหา หรือข้อมูล เราจะหมายถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ จดหมายข่าวที่คุณส่ง โฆษณาแบนเนอร์ เป็นต้น หัวใจสำคัญของเนื้อหาก็คือ ความสัมพันธ์ เนื้อหาจะต้องช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าคุณทำอะไรแล้วมันสัมพันธ์อะไรกับพวก เขา
 
การเล่าเรื่องราวและนำเสนอในรูปแบบของกรณีศึกษาที่สัมพันธ์กับ ผู้บริโภคจะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจในสิ่งที่คุณทำได้มากขึ้น จากนั้นการขายสินค้าก็จะทำได้ง่ายในภายหลัง
ไม่จำเป็นเสมอไปที่โปรโมชั่น จะเป็นเนื้อหาที่ดีในการดึงดูดผู้บริโภคสนใจ เนื้อหาที่น่าสนใจและสัมพันธ์กับเขาอาจจะดีกว่าและพวกเขาก็ยินดีที่จะกระจาย (Share) เนื้อหานี้ให้กับผู้อื่น ควรจะหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ Hard sell เพราะมันอาจจะทำลายความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ดีได้

ช่องทาง เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ช่องทางในที่นี้หมายถึงช่องทางกระจายเนื้อหาของคุณ ถ้าเปรียบเทียบกับอินเทอร์เน็ตในยุคแรกๆ แล้ว เนื้อหาของคุณสามารถที่จะกระจายในอินเทอร์เน็ตได้ง่ายมากกว่า ไม่ว่าจะผ่านทาง Blog, Podcast, เกมออนไลน์ หรือ เว็บไซต์ Social Media ต่างๆ
 
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็อาศัยช่องทางเดียวกันกับคุณ หากคุณคาดหวังว่าจะมีผู้บริโภคเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ อ่านเนื้อหาของคุณ แล้วกระจายให้กับคนอื่นๆ แล้ว ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากคุณไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย
 
ใน ปี พ.ศ.2552 ทั่วโลกมีเว็บไซต์มากกว่า 100 ล้านไซต์ มีเว็บเพจมากกว่าล้านๆ หน้า โอกาสที่ผู้บริโภคจะเข้ามาอ่านเว็บเพจของคุณเริ่มจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสีย แล้ว คุณจะต้องใช้หลากหลายเทคนิคในการเพิ่มช่องทางของคุณ ไม่ว่าจะเป็น Search Engine, Social Media หรือแม้กระทั่ง การกระจายเนื้อหาแบบเดิมๆ อย่าง อีเมล ก็ตาม
 
จริงแล้วการตลาดอีเมลก็ยังคงมีอยู่และให้ผลตอบ แทนที่คุ้มค่าด้วยเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายที่ต่ำ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ ความสามารถ Personalization และ อื่นๆ อีกมาก ที่สื่อออนไลน์อื่นๆ ด้อยกว่า
 
สุดท้าย การบริหารฐานข้อมูลลูกค้า คุณคงไม่ต้องการที่จะรู้จักลูกค้าของคุณอย่างผิวเผินตลอดไป ซึ่งจะนำไปสู่การสื่อสารที่ไร้ประสิทธิภาพและสร้างความรำคาญให้กับลูกค้าอีก ด้วย การบริหารฐานข้อมูลของลูกค้าจะช่วยให้คุณสามารถที่จะทราบพฤติกรรมของลูกค้า ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ชอบเนื้อหาใด ชอบโปรโมชั่นไหน ชอบกิจกรรมอะไร เหล่านี้สามารถที่นำไปสู่ความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งได้และช่วยให้ธุรกิจ นำเสนอเนื้อหาได้อย่างถูกกาลเทศะมากกว่า
 
อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำข้างต้นทั้ง 4 กลยุทธ์คงเป็นแค่ภาพกว้างๆ ของการตลาดออนไลน์ ผมก็หวังว่าคุณจะนำไปขยายผลในรายละเอียด เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจในปี พ.ศ.2554 ที่จะถึงนี้ ขอให้โชคดีครับ

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 16:11:35
ลือ!!! iPad 2 วางตลาดกุมภาพันธ์ 2011

ในขณะที่บ้านเราเพิ่งเปิดตัวกันไปสำหรับ iPad หลังจากซื้อเครื่องหิ้วกันมาหลายเดือนแล้ว ล่าสุดมีข่าวลือออกมาจาก Foxconn บริษัทผู้ผลิตหลักทั้ง iPhone และ iPad ของ Apple ซึ่งตั้งอยู่ในไต้หวันที่ระบุว่า iPad รุ่นต่อไปจะมีกำหนดการวางตลาดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2011

ตามรายงานข่าวที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ DigiTimes ที่ อ้างว่า ทาง Foxconn มีกำหนดการที่จะต้องผลิต iPad 2 ให้สามารถพร้อมวางจำหน่ายเป็นจำนวน 400,000 - 600,000 เครื่องภายใน 100 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Foxconn ได้ปฏิเสธที่จะคอมเมนต์ข่าวลือดังกล่าว นอกจากนี้ DigiTimes ยัง อ้างอีกด้วยว่า ตอนแรก Apple คาดว่าจะเริ่มผลิต iPad 2 ในเดือนมกราคม แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากเฟิร์มแวร์ของ iPad 2 ยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ซึ่งเมื่อมีการสอบถามไปยังทาง Apple ตัวแทนบริษัทไม่ได้ให้คอมเมนต์ในประเด็นนี้แต่อย่างใดเช่นเดียวกัน

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/ipad-2-will-launch-in-february-2011-2.jpg)

ก่อนหน้านี้ ทางเว็บไซต์ arip ได้รายงานไปแล้วว่า iPad 2 มีรอบการวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 โดยจะมาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ซึ่งหากทางบริษัทเลือกใช้ชิปของ Qualcomm ก็จะทำให้ iPad 2 สามารถทำงานได้ทั้งเครือข่ายที่ทำงานในระบบ CDMA และ GSM โดยจะทำให้ iPad 2 ใช้งานได้ทั่วโลกจริงๆ เนื่องจากปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 3G และทำงานกับเครือข่าย GSM เท่านั้น อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามความชัดเจนของข่าวนี้กันต่อไป

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 17:21:07
ว้าว!!! หุ่นยนต์ไขลาน USB Hub เดินได้

ช่วงเย็นๆ อย่างนี้ มาติดตามรายงานข่าว Gadget น่ารักๆ กันบ้างดีกว่านะครับ สำหรับชิ้นนี้มาจากบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์เสริมชื่อว่า Sanwa Supply ของญี่ปุ่น โดยเพิ่งเปิดขายเมื่อวานนี้เป็นวันแรกนั่นก็คือ USB Hub Robot หุ่นยนต์ไขลาน "ยูเอสบีฮับ" คุณสมบัติก็ตามชื่อของมันเลย นั่นคือ มันเป็นทั้งฮับสำหรับต่ออุปกรณ์ยูเอสบี และหุ่นยนต์ไขลานเดินได้...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/usb-hub-robot-so-cute-2.jpg)

เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อ USB Hub Robot กับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ ดวงตา LED บนหน้าของมันก็จะสว่างขึ้นมา และเมื่อคุณไขลานที่อยู่ด้านข้างของตัวหุ่นยนต์ ขาทั้งสองของมันก็จะสามารถก้าวเดินไปรอบๆ โต๊ะของคุณได้

นอกจากนี้ที่มือทั้งสองของมันยังได้รับการออกแบบให้สามารถหยิบจับสิ่งของ เล็กๆ อย่างปากกาได้ USB Hub Robot วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น แต่สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ Geek Stuff 4 U ได้ในราคา 57.12 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,720 บาท

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 21:36:54
หนอน Twitter แพร่ผ่านลิงค์ goo.gl

ด่วน!!! พบหนอนทวิตเตอร์ (Twitter) กำลังแพร่กระจายผ่านอุปกรณ์โมบายผ่านบริการลิงค์ย่อ Goo.gl ของ Google โดยมันจะส่งต่อตัวเองเมื่อผู้ใช้คลิกบนลิงค์ดังกล่าว เนื่องจากลิงค์เต็มๆ ของมันจะเป็นพาหะทีใช้ในการแพร่กระจายหนอนตัวนี้ ผู้ใช้ทวิตเตอร์โปรดระวังลิงค์ goo.gl ที่ลงท้ายด้วย "od0az" sinv "R7f68" อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

การแพร่กระจายของหนอนตัวนี้จะสามารถทำได้ทั้งจากบัญชีผู้ใช้ที่ถูกสร้างขึ้น มาใหม่ หรือใช้แอคเคาต์สแปมของมันที่มีอยู่แล้วในการแพร่กระจาย โดยทาง Twitter จะส่งรหัสผ่าน (password) ทีใช้สำหรับการรีเซตไปยังผู้ใช้ที่โดนหนอนตัวนี้เล่นงาน เพื่อหยุดการแพร่ กระจาย พร้อมทั้งแจ้งว่า จะติดตามดูสถานการณ์ของผู้ใช้ต่อไป ทั้งนี้ผู้ใช้จะได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการคลิ้กบนลิงค์ Goo.gl ที่ต้องสงสัย โดยหนอนดังกล่าวจะแพร่ผ่าน http://mobile.twitter.com ดังนั้นผู้ใช้สมาร์ทโฟนควรระวัง

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-worm-goo-gl-link-2.jpg)

สำหรับผู้ใช้ที่ได้คลิกลิงค์อันตรายนี้ไปแล้ว แนะนำให้เข้าไปที่ Twitter แล้วคลิกลิงค์ "Settings" ตามด้วย "Connections" แล้วมองหาแอคเคาต์ชื่อ "Fllwrs" คลิกลิงค์ "Revoke Access" เพื่อหยุดการแพร่กระจายในเบื้องต้น ในส่วนของความคืบหน้า หากมีอะไรเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกทีหนึ่ง

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 22:09:26
Windows Phone 7 อัพเดตเพิ่มคำสั่ง copy และ paste

หลายคนทราบดีว่า Windows Phone 7 ขาดฟังก์ชัน Copy & Paste และแน่นอนว่า Microsoft จะต้องอัพเกรดคุณสมบัติดังกล่าวให้กับผู้ใช้ โดยคาดว่าชุดอัพเดตจะสามารถออกได้ในช่วงต้นปี 2011 แต่คุณผู้อ่านที่สนใจ Windows Phone 7 คงอยากเห็นการใช้งานคำสั่ง copy & paste ว่าจะสะดวกแค่ไหน

(http://www.arip.co.th/images/news/mobile/1/windows-phone-7-updates-copy-and-paste-command-2.jpg)

อย่างไรก็ดี ความลับไม่มีในโลกว่า ล่าสุดมีมือดีโพสต์คลิปการใช้คำสั่ง copy & paste บน Samsung Taylor ทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 7 ที่คาดว่าน่าจะเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการอัพเดตแล้ว

สำหรับวิธีที่ Copy & Paste ของ WP7 จะใช้การแตะ เพื่อเลือกคำที่ต้องการแล้วแตะไอคอนสัญลักษณ์ copy ที่ปรากฎตรงมุมบนขวาของคำ หรือขอความที่เลือก ซึ่งเวลาที่คุณแก้ไขเอกสาร เหนือเวอร์ชวลคีย์บอร์ดจะปรากฎไอคอน paste เมื่อแตะที่ไอคอนนี้ ข้อความที่ก็อปปี้ก็จะถูกวางลงบนตำแหน่งเคอร์เซอร์ให้ทันที สังเกตว่า จะต่างจาก iOS ที่ใช้การแตะค้าง เพื่อเลือกใช้คำสั่ง select/copy และ paste แบบไหนจะคล่องตัวกว่าก็แล้วแต่รสนิยมของคุณผู้อ่านนะครับ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 ธันวาคม 2010, 22:22:55
ไอซีทีสรุป9วัน2ล้านคำถวายพระพร

ไอซีทีสรุปยอด9วันเปิดช่องทางถวายพระพรออนไลน์มีประชาชนร่วมส่ง ข้อความคำถวายพระพรทั้งสิ้น2,913,211พร้อมเปิดตู้ปณ.ให้ส่งไปรษณีย์ถึงสิ้น ธ.ค.

(http://datacenter.dsd.go.th/9forking.jpg)

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปผลโครงการถวายพระพรออนไลน์ 5 ธันวาคม 2553 ภายใต้ชื่อ “ด้วย 9 ชาวไทย”ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ผ่านทางเว็บไซต์ www.9forking.com (http://www.9forking.com) ตั้งแต่เมื่อวันที่  29 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2553 รวม 9 วัน และการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (SMS) ฟรีทุกระบบที่หมายเลข 4567890 มียอดจำนวนทั้งสิ้น 2,913,211 คำถวายพระพร

ทั้งนี้ยังเปิดช่องทางให้ประชาชนร่วมส่งไปรษณียบัตรถวายพระพร ไปที่ ตู้ ปณ. ถวายพระพร ปณ.สำนักงาน ปณท 10002 ได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม โดยมีคำถวายพระพรจากสุดยอดบุคคลต้นแบบ 99 คน จากทุกสาขาอาชีพ

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 04:00:44
ทรู ผนึก เดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดตัวเว็บไซต์สุดฮิป ฉีกประสบการณ์ใหม่ให้นักช้อปบนโลกไซเบอร์

กรุงเทพฯ 1 ธันวาคม 2553 นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข กรรมการผู้จัดการคอนเวอร์เจนซ์ กลุ่มบริษัททรู และ กรรมการผู้จัดการกลุ่มลูกค้าธุรกิจ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จับมือ นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เอาใจนักช้อป เปิดตัวเว็บไซต์ www.mods.co.th (http://www.mods.co.th) ชวนสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์รูปแบบใหม่

โดยทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้นำธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ และ อี-มาร์เก็ตเพลส อันดับหนึ่งของไทย เป็นผู้จัดทำระบบออนไลน์ และระบบการชำระเงินผ่านบริการทรูมันนี่ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อถือได้ อาทิ บัตรเครดิต, เอทีเอ็ม, อินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้ง และทัชซิม ซิมอัจฉริยะบนมือถือทรูมูฟ ให้กับเว็บไซต์ www.mods.co.th (http://www.mods.co.th) มั่นใจจะได้กระแสตอบรับจากหนุ่มสาวเทรนด์ดี้ในการช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์อย่าง แน่นอน พบกับวัฒนธรรมใหม่ในการช้อปปิ้งสุดทันสมัยบนโลกออนไลน์ได้ที่ www.mods.co.th (http://www.mods.co.th)  ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2553 นี้

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2010/pr6/mods.jpg)

www.mods.co.th มีสินค้าให้เลือกสรรกว่า 30,000 รายการ ใน 11 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Beauty Hall, Woman, Accessories, Shoes & Bags Salon, Men, Sports, Kids, Betrend, Living, Power Mall และ Gourmet นอกจากนี้ยังจะได้พบกับสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ Only @ Mods พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายสำหรับสมาชิก Mobs เท่านั้น

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 04:21:55
อีเบย์ สุดปลื้ม ยอดขายโมบายคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกา พุ่งสูงในวัน "ไซเบอร์ มันเดย์"

ซาน โฮเซ่ แคลิฟอร์เนีย – 7 ธันวาคม 2553 –  อีเบย์ อิงค์ (NASDAQ : eBay) ตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยนักช้อปกระหน่ำทัชสกีนเลือกซื้อสินค้ารับเทศกาลส่งความสุขผ่านมือถือกัน กระจุยในวันไซเบอร์ มันเดย์ (Cyber Monday) ที่ผ่านมา

ทำให้การซื้อขายสินค้าผ่านมือถือของอีเบย์มียอดขายพุ่งสูง 146% โดยรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาดา แมรี่แลนด์ เพนซิลวาเนีย และฟลอริดา เป็นรัฐที่มีการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือสูงสุด และช่วงเวลาที่มีการซื้อขายสูงสุด คือ ช่วง 17.00 – 19.00 น.ตามเวลามาตรฐานทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงถึงความแรงของกระแสช้อปปิ้งออนไลน์ ทั้งนี้ อีเบย์ คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายสินค้ารวมผ่านมือถือ (GMV) สูงถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 เมื่อเทียบกับ 600 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2552

มร. สตีฟ ญอนโควิช รองประธาน อีเบย์ โมบาย แพลทฟอร์ม เผยว่า “จากการเติบโตของยอดขายที่พุ่งสูงเพื่อรับเทศกาลส่งความสุขดังกล่าว สะท้อนถึงแนวโน้มของการช้อปปิ้งผ่านมือถือจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอีเบย์เป็นผู้นำทางด้านโมบายคอมเมิร์ซ โดยแอพพลิเคชั่นต่างๆ ของอีเบย์ได้เชื่อมโยงโลกของการช้อปปิ้งผ่านออนไลน์และในห้างสรรพสินค้าเข้า ด้วยกันเพื่อเอื้ออำนวยแก่นักช้อปสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเฟ้นหาสินค้าแฟชั่นสุดฮิป ราคาสินค้าที่ดีที่สุด หรือการเปรียบเทียบราคาสินค้าต่างๆ ซึ่งตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ถูกย่อไว้ในกระเป๋ากางเกงของ คุณแล้ว”

จากการสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์อีเบย์ผ่าน มือถือในสหรัฐอเมริกา โดยสมิธไกเกอ (SmithGeiger) พบว่า เกินกว่าครึ่งของผู้ซื้อประจำยินดีใช้จ่ายผ่านมือถือมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ ต่อการทำธุรกรรมช้อปปิ้งหนึ่งครั้ง ขณะที่ 14% ยินดีที่จะใช้จ่ายผ่านมือถือเกินกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ โดยที่ผ่านมา พบว่ามูลค่าเฉลี่ยของการใช้จ่ายในการซื้อของออนไลน์ผ่านมือถือของผู้ซื้อมี มูลค่ามากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ ต่อเดือน นอกจากนี้ ในต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ผู้ซื้ออีเบย์ได้ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ผ่านมือถือด้วยมูลค่าสูงถึง 240,000 เหรียญสหรัฐ

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2010/pr6/ebay-infographic.jpg)

ทั้งนี้ สามารถดูอินโฟกราฟฟิก แอพพลิเคชั่น (infographic application) ที่มีการทำงานแบบอินเตอร์แอคทีฟได้ที่ www.ebayinc.com/mobilecommerce (http://www.ebayinc.com/mobilecommerce) ซึ่งจับกระแสเทรนด์ซื้อขายสินค้าบนอีเบย์ผ่านมือถือ (Mobile Shopping) ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง 29 พฤศจิกายน โดยแสดงสินค้าที่มียอดขายสูงสุดของตลาดโมบายอีเบย์ 20 ประเภท  ทั้งยังระบุว่า นักช้อปซื้อสินค้าบนอีเบย์ผ่านไอโฟนมากที่สุดในปีนี้ โดยมียอดขายถึง 2 ใน 3 ของยอดขายอีเบย์ทั้งหมดในระหว่างสัปดาห์ของวันไซเบอร์ มันเดย์ ที่ผ่านมา โดยยอดขาย 1 ใน 3 มาจากแอนดรอยด์ แบล็คเบอร์รี่ โมบาย เว็บ และวินโดว์ โฟน 7

จากข้อมูลอินโฟกราฟฟิกเกี่ยวกับโมบายคอมเมิร์ซของอีเบย์ (eBay’s mobile commerce infographic) ระบุว่า

เทรนด์ซื้อขายสินค้าบนอีเบย์ผ่านมือถือในสหรัฐในช่วงสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และวันไซเบอร์ มันเดย์ ได้แก่

    * สินค้ารถยนต์และรถบรรทุกติดอันดับหนึ่งในสินค้าที่มีการซื้อผ่านมือถือสูงสุด
    * สินค้ามือถือและอุปกรณ์เสริมพีดีเอ และเสื้อผ้าผู้หญิงมีปริมาณการทำธุรกรรมการซื้อผ่านมือถือในระดับสูง

ภูมิภาคอเมริกาเป็นภูมิภาคที่มีการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือสูงที่สุดในช่วงสัปดาห์เทศกาลแห่งความสุข

    * รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีการช้อปปิ้งผ่านมือถือสูงที่สุดทั้งในแง่ยอดขายและจำนวนของการทำธุรกรรมของการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือ
    * การ ช้อปปิ้งผ่านมือถือในรัฐแคลิฟอร์เนีย กลุ่มสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายมีสัดส่วนของยอดขายสูงที่สุด รองลงมา คือ สินค้าประเภทรถยนต์และรถบรรทุก อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมพีดีเอ

ทั้ง นี้ โมบายคอมเมิร์ซมีอัตราการเติบโตในทั่วโลก โดยการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือบนอีเบย์ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง 29 พฤศจิกายน มีอัตราการเติบโตสูงถึง 230% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดที่มีการเติบโตของการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือหรือโมบายคอมเมิร์ซสูง 6 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย และกลุ่มสินค้าประเภทรถยนต์และรถบรรทุก และเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายได้รับความนิยมสูงสุด

ทั้งนี้ สามารถดูวิดีโอสาธิตการดูข้อมูลเอ็ม-คอมเมิร์ซของอีเบย์โดยใช้แอพพลิเคชั่น อินโฟกราฟฟิก (eBay’s m-commerce infographic) ได้ที่ www.youtube.com/watch?v=CZAfJP9Ghas (http://www.youtube.com/watch?v=CZAfJP9Ghas#ws)

เทรนด์การซื้อขายสินค้าบนอีเบย์ผ่านมือถือทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง 29 พฤศจิกายน

    * ในตลาดฝรั่งเศส ผู้ซื้อนิยมซื้อสินค้าผ่านมือถือในกลุ่มเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย รวมทั้งของเล่นเป็นส่วนใหญ่
    * สำหรับสินค้าอุปกรณ์กีฬา พบว่ามีการซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ผ่านมือถือจากชาวออสเตรเลียมากที่สุด
    * ใน ตลาดสหราชอาณาจักร มีการซื้อสินค้าประเภทรถยนต์และรถบรรทุก (cars & trucks) มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายทางมือถือทั้งหมด ขณะที่เยอรมนีเป็นประเทศเดียวที่มีการซื้อสินค้า ในกลุ่มอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์เป็นอันดับหนึ่ง
    * แคนาดาเป็นประเทศเดียวที่สินค้าประเภทของสะสม (collectibles) ติดอันดับหนึ่งในห้าสินค้ายอดนิยมในช่วงเทศกาลวันหยุดที่ผ่านมา

อีเบย์ ออกแอพพลิเคชั่นสำหรับไอโฟน ช่วยประหยัดเวลาและเงิน

อีเบย์ได้ออกแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นใหม่สำหรับไอโฟน core iPhone application ซึ่งได้ผนวกรวมกับแอพพลิเคชั่นสแกนบาร์โค้ดบนไอโฟนของ RedLaser โดยเวอร์ชั่นใหม่นี้จะช่วยให้การช้อปปิ้งผ่านมือถือง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น นักช้อปในช่วงวันหยุดจะเพลิดเพลินกับการสแกนเพื่อเปรียบเทียบสินค้าต่างๆใน แต่ละร้าน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ภาพยนตร์ และวิดีโอเกม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ebay.com/mobile (http://www.ebay.com/mobile)

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 14:05:42
PostPost หนังสือพิมพ์ Facebook ?

TigerLogic บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดการข้อมูลได้แนะนำบริการใหม่บน เว็บไซต์ชื่อว่า PostPost หนังสือพิมพ์สังคมส่วนตัว(ของคุณ)ที่สามารถรายงานข่าวสารต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ (real-time) โดยเนื้อข่าวที่ปรากฎใน PostPost จะถูกรวบรวมมาจากโพสต์ข้อความต่างๆ ที่แชร์โดยเพื่อนๆ ของคุณในเฟซบุ๊ค (Facebook) และจัดให้อยู่ในรูปแบบเลย์เอาต์ของหนังสือพิมพ์

สำหรับการเข้าถึงบริการของ PostPost ผู้ใช้สามารถล็อกอินด้วยการใช้ Facebook Connect หลังจากนั้น ลิงค์ต่างๆ รวมถึงภาพถ่าย วิดีโอ ตลอดจนบทความที่เพื่อนๆ ของคุณใน Facebook แชร์ให้กันก็จะถูกแสดงผลขึ้นบนหน้าแรกของในรูปแบบหนังสือพิมพ์ส่วนตัว เบื้องหลังการทำงานของเว็บไซต์ PostPost จะใช้กลไกการทำงานของเทคโนโลยีการค้นหาที่ชื่อว่า yolink ของ TigerLogic เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาคอนเท็นต์ล่าสุดแบบเรียลไทม์บนหน้าบริการ PostPost ซึ่งจะทำให้คุณได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่มาจากเรื่องราวต่างๆ ที่เพื่อนคุณสนใจ และแบ่งปันใน Facebook นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/internet/2/postpost-realtime-facebook-newspaper-from-tigerlogic-2.jpg)

"PostPost จะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยผสานการทำงานร่วมกับ yolink search ทำให้ผู้อ่านได้รับคอนเท็นต์ภาพรวมที่น่าสนใจ แถมยังเป็นการเปิดเผยให้เห็นข้อมูลทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในลิงค์นับร้อยใน Facebook ทีบางเรื่องอาจมีความน่าสนใจ แต่คุณอาจจะข้ามไป" Brian Cheek ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจที่ TigerLogic กล่าว

"ไอเดียของ PostPost เกิดจากการสังเกตว่า เพื่อนๆ ของเรามักจะแชร์เรื่องราวที่น่าสนใจ และเกี่ยวกับเราได้ดีกว่าที่รวบรวมโดยหนังสือพิมพ์ทั่วไป" PostPost ให้บริการฟรี และจะมีการพัฒนาคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆ ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 15:14:59
IE9 เพิ่มคุณสมบัติ "ป้องกันการติดตาม"

ในขณะที่ Google โดนโจมตีอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีการติดตาม (Tracking) ผู้ใช้ผ่านบริการต่างๆ ของทางบริษัท ทาง Microsoft ใช้จังหวะนี้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ด้วยการเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไปใน IE9 เรียกว่า Tracking Protection หรือระบบ"ป้องกันการติดตาม" ซึ่งจะพบได้ในเวอร์ชัน RC ที่จะออกมาให้ใช้กันในปีหน้า

ในส่วนของคุณสมบัติ Tracking Protection จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้เว็บบราวเซอร์ IE9 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผูืใช้สามารถควบคุม (ให้ หรือไม่ให้อนุญาต) วิดเจ็ต (widget) และสคริปท์ต่างๆ ตลอดจนข้อมูลที่พวกมันจะดึงออกไปจากระบบการใช้งานของผู้ใช้ เวลาที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่ง IE9 จะแสดงรายละเอียดให้ผู้ใช้ได้ทราบ เพื่อตัดสินใจว่าจะยอมให้เว็บไซต์เหล่านั้นติดตาม และเก็บข้อมูลจากระบบของคุณไปหรือไม่ ซึ่งการประกาศคุณสมบัติใหม่นี้ นอกจากจะเป็นการตอกย้ำ Google แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามที่คณะกรรมการการค้าภายในสหรัฐฯ หรือFTC ได้ออกมาประกาศว่า ทางหน่วยงานจะให้ความสำคัญ และตรวจสอบเรื่อง Internet Privacy เป็นพิเศษ

(http://www.arip.co.th/images/news/ie9/ie-9-add-tracking-protection-Do-Not-Track-Option-2.jpg)

สำหรับ Tracking Protection ใน IE9 จะปรากฎอยู่ในตัวเลือก (Option) "Do Not Track" ซึ่งถูกเสนอให้ใช้ข้อความตัวเลือกนี้โดย FTC เมื่อผู้ใช้เปิดการทำงาน (enable) ของตัวเลือกดังกล่าว เวลาที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ IE9 ก็จะตรวจสอบวิดเจ็ต และสคริปท์ทีทำงานว่ามีการติดตาม หรือเก็บข้อมูลไปหรือไม่?

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถสร้างรายชื่อของเว็บไซต์ที่มีการติดตาม (Tracking list) พร้อมทั้งเผยแพร่รายชื่อเหล่านั้นบนเว็บ เพื่อให้ผู้ใช้คนอื่นๆ ได้สมัครและใช้รายการเหล่านั้นคล้่ายๆ กับ RSS แต่ผู้ใช้ก็ยังสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้บางเว็บไซต์ในรายการติดตามได้

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 16:23:02
Google เผยโฉมเน็ตบุ๊ค Chrome OS

ในทีสุด Google ก็ได้เผยโฉมเน็ตบุ๊คต้นแบบที่ใช้ Chrome OS ในการทำงาน พร้อมทั้งแนะนำ Chrome Web Store ที่มีแอพฯไว้คอยบริการทั้งจำหน่าย และดาวน์โหลดฟรี โดยในส่วนของเน็ตบุ๊คดังกล่าวใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Google Cr-48 ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตออกมาและวางจำหน่ายโดยบริษัทผู้ผลิตชั้นนำอย่าง Acer, Samsung ในช่วงกลางปี 2011

Google Cr-48 เป็นชื่อเรียกของเน็ตบุ๊ค Chrome OS โดยชื่่อนี้ได้มาจากสัญลักษณ์ของโครเมี่ยมพร้อมเลข Isotope ในตารางธาตุ ซึ่งเน็ตบุ๊คเหล่านี้จะได้รับการส่งให้กับผู้ทีสมัครเข้าร่วมโครงการ Chrome OS Pilot Program โดยทาง Google คาดหวังที่จะได้ฟีดแบ็คจากผู้ใช้ (นักพัฒนา และผู้ใช้ทั่วไป) กลุ่มนี้ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับปรุง และพัฒนาให้ Google Cr-48 เป็นเน็ตบุ๊คที่ผู้บริโภคพึงพอใจก่อนที่จะผลิตออกมาวางจำหน่ายในช่วงกลางปี 2011

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-debuts-Cr-48-chrome-os-netbook-and-chrome-web-store-2.jpg)

สำหรับคุณสมบัติในขั้นต้นของ Google Cr-48 ก็คือ มันจะเชื่อมต่อเน็ตตลอดเวลา (always connected) ซึ่งผู้ใช้ในสหรัฐฯ จะใช้เน็ตบุ๊คเครืองนี้ทำงานกับผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง Verizon ด้วยข้อตกลงพิเศษที่เรียกว่า "pay as you use 3G" (คิดค่าบริการเมื่อใช้ 3G) และทุกเดือนผู้ใช้จะสามารถใช้ข้อมูลได้ 100MB ฟรี โดยไม่มีค่าเริ่มต้นการใช้งาน หรือค่ายกเลิกการใช้บริการแต่อย่างใด เนื่องจากมันจะ activate การทำงานได้เอง ค่าบริการในขั้นต้นวันละ 9.99 เหรียญฯ (ประมาณ 300 บาท) หรือคิดตามค่าใช้ข้อมูล ส่วนตัวเครื่องจะมีขนาดหน้าจอ 12.1 นิ้ว คีย์บอร์ด 100% แทร็คแพดขนาดใหญ่ เชื่อมต่อไร้สาย 3G ด้วยเครือข่าย Verizon และ Wi-Fi 802.11n แบตเตอรีนานมากกว่า 8 ชม. สแตนด์บายได้นานมากกว่า 8 วัน เว็บแคม และสตอเรจใช้หน่วยความจำแฟลช

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-debuts-Cr-48-chrome-os-netbook-and-chrome-web-store-3.jpg)

นอกจากจะแนะนำเน็ตบุ๊ค Chome OS ทาง Google ยังได้เปิดตัว Chrome Web Store อีกด้วย โดยถือได้ว่า มันเป็นของขวัญสำหรับนักพัฒนาก็ว่าได้ สำหรับหน้าร้านจำหน่ายแอพฯแห่งนี้จะคล้ายๆ กับ iOS App Store ของ Apple และ Androdi Market ของ Google โดยเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถนำแอพฯของตนมาวาง เพื่อให้ผู้ใช้มองเห็น และซื้อออกไป

ซึ่งนโยบายของ Google คือ ไม่เก็บค่านายหน้ากับนักพัฒนา และแอพฯที่จำหน่ายจะพัฒนาด้วย HTML5 นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถใส่โฆษณาเข้าไปในแอพฯ เพื่อหารายได้เพิ่มอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบชำระค่าแอพฯจะใช้บริการ Google Checkout อ้าว???

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 17:06:48
Google เปิดร้าน E-Book ใหญ่ที่สุดในโลก

Google (Google) ผงาดเปิดร้านดาวน์โหลดอีบุ๊กขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศมีหนังสือให้เลือกมากกว่า 3 ล้านเรื่องซึ่งถือว่ามากกว่าร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ดั้งเดิมในสหรัฐฯ เช่น บาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes and Noble) หรือบอร์เดอร์ส (Borders) นักวิเคราะห์หวั่นธุรกิจร้านหนังสือดั้งเดิมถึงคราวเคราะห์เพราะหนอนหนังสือ มีทางเลือกที่ทำให้ต้นทุนการอ่านราคาต่ำกว่า แถมยังสามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเมื่อยแขน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018308301.JPEG)

       กูเกิลให้ชื่อบริการร้านอีบุ๊กของตัวเองว่า Google eBookstore เปลี่ยนจากชื่อ Google Editions ที่ตกเป็นข่าวลือมานานหลายเดือน โดย ระบุว่าหนังสือมากกว่า 2.8 ล้านเรื่องนั้นเปิดให้ชาวออนไลน์ดาวน์โหลดไปอ่านได้ฟรี ขณะที่หนังสือ"หลายแสนเล่ม" นั้นจะวางจำหน่ายให้ผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดไปอ่าน โดยไมเคิล เคิร์กแลนด์ (Michael Kirkland) โฆษกกูเกิลให้ข้อมูลว่า ไฟล์อีบุ๊กที่วางจำหน่ายใน Google eBookstore นั้นเป็นหนังสือในเครือสำนักพิมพ์ชั้นนำ 6 รายในสหรัฐฯ
       
       หากคำนวณจำนวนไฟล์อีบุ๊กรวม บริการ Google eBookstore จะมีปริมาณหนังสือมากกว่าอเมซอน แต่หากคำนวณในกลุ่มที่วางจำหน่าย จำนวนไฟล์ของอเมซอนจะมีมากกว่า โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า อเมซอนมีอีบุ๊กเพื่อจำหน่ายราว 750,000 เรื่อง และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี 1.8 ล้านเรื่อง
       
       การลงมาร่วมวงในตลาดอีบุ๊กของกูเกิลนั้นถูกมองว่าเป็นเพราะตลาดอี บุ๊กหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกระแสอิทธิพลของอุปกรณ์แท็บเล็ตที่ขยายวงกว้างอย่างก้าวกระโดด จุดนี้กูเกิลให้สัมภาษณ์ว่าจุดประสงค์หลักของ Google eBookstore คือการเปิดกว้างให้ผู้ใช้ได้เข้ามาดาวน์โหลดหนังสือฟรี จึงทำให้กูเกิลพัฒนาระบบให้รองรับการอ่านบนอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม
       
       รายงานย้ำว่า Google eBookstore จะสนับสนุนทั้งอุปกรณ์ที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) และไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์อีบุ๊กไปอ่านบนเครื่องอ่านอีบุ๊กรีดเดอร์ทั้งนุก (Nook) และโซนี่รีดเดอร์ (Sony Reader) ได้ ซึ่งการสนับสนุนหลายแพลตฟอร์มลักษณะนี้จะอำนวยความสะดวกในกรณีที่หนอน หนังสืออ่านเรื่องใดค้างไว้ ก็จะสามารถดึงไฟล์มาอ่านต่อในอุปกรณ์อื่นได้แบบไม่สะดุด
       
       กลุ่มหนังสือที่เก็บค่าบริการใน Google eBookstore จะจำกัดวงให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้นในขณะนี้ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกหนังสือและอ่านได้ทั้งจากบนหน้าเว็บเพจและอุปกรณ์พกพา ไฟล์ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์เพื่อให้การเรียกอ่านจากหลายอุปกรณ์ใน ช่วงหลากเวลาทำได้อย่างลื่นไหล
       
       แต่ที่น่าสนใจคือ Google eBookstore ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องอ่านคินเดิล (Kindle) ยอดฮิตของอเมซอนได้ สะท้อนภาพระบบปิดของอเมซอนที่แตกต่างจากระบบเปิดของกูเกิลแบบสุดขั้ว เท่ากับผู้ใช้คินเดิลในขณะนี้จะถูก"กำหนด"ให้ดาวน์โหลดอีบุ๊กจาก Amazon.com ร้านเดียวเท่านั้น
       
       รายงานระบุว่า ส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายอีบุ๊กที่กูเกิลหักจากสำนักพิมพ์คือ 30% โดยสำนักพิมพ์จะได้รับรายได้ 70% โดยอัตราค่าบริการหนังสือใหม่ใน Google eBookstore เริ่มต้นที่ 10-15 เหรียญ (300-450 บาท)

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 21:56:23
"เพลงลูกเทวดา" แชมป์คำถูกค้นหาในกูเกิลบ่อยที่สุดปี 53

คำที่ถูกชาวเน็ตในเมืองไทยค้นหาบ่อยที่สุดในปี 53 ไม่ใช่ iPad, iPhone 4 หรือ facebook แต่เป็นคำว่า "เพลงลูกเทวดา" ที่สามารถครองแชมป์ในกลุ่มคำค้นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี เขี่ยแบรนด์สินค้าไอทีตกชั้นไปอยู่อันดับ 2-3 ขณะที่อันดับ 4 คือคำว่า the star 6 นำหน้าอันดับ 5 คือคำว่าเพลงเหงาปาก
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018361601.JPEG)

       อันดับคำค้นหายอดนิยมในเว็บไซต์กูเกิลนั้นถูกประกาศเป็นประจำทุกปี ภายใต้ชื่อ"ไซต์ไกสต์" นัยสำคัญของผลไซต์ไกสต์คือการสะท้อนความสนใจของคนออนไลน์ในแต่ละปี ว่าเทรนด์ใดมาแรงที่สุด โดยชั่งน้ำหนักและจัดอันดับจากการค้นหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและทุกพื้นที่ ทั่วโลก
       
       สำหรับประเทศไทย เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดปี 2553 เช่น การชุมนุมทางการเมือง อุทกภัยที่ชาวไทยทั่วประเทศได้ร่วมใจกันช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการจากไปอย่างวีรบุรุษของจ่าเพียร ล้วนเป็นข่าวเด่นที่อยู่ในความสนใจของคนไทยในปีนี้
       
       ในหมวดคำท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวในประเทศไทยมักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเก๋ ไก๋ที่กำลังเป็นกระแสนิยม โดยเฉพาะสถานที่ที่มีเรื่องราวหรือมีความโดดเด่นจนได้ออกรายการทีวี หรือมีการพูดถึงบนอินเทอร์เน็ต เช่น ศรีพันวา รีสอร์ทหรูที่เกาะภูเก็ต, ที่พักบนเกาะล้าน จังหวัดชลบุรี และตลาดน้ำอัมพวา
       
       เทคโนโลจี 3G เข้ามาอยู่ในความสนใจของชาวไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และมีเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะช่วงเวลาที่จะมีการประมูลใบอนุญาต แต่ความสนใจดังกล่าวก็ลดระดับลงไปทันทีที่การประมูลต้องถูกระงับไป จุดนี้กูเกิลตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า “ระบบ 3G” มีอัตราการเติบโตที่น่าตื่นใจเพราะกราฟนี้พุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนกันยายน เนื่องจากผู้คนพากันติดตามสถานการณ์การประมูลใบอนุญาตอย่างใกล้ชิด และแผ่วลงเมื่อการประมูลถูกระงับไป ข้อสังเกตนี้เกิดจากบริการ Google Insights for Search บริการค้นหาข้อมูลการค้นหาเชิงลึกของกูเกิล
       
       ในด้านบันเทิง เพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมอย่าง “เพลงลูกเทวดา” มาแรงฉุดไม่อยู่ ส่วนรายการเรียลลิตี้ยอดฮิต “เดอะสตาร์ 6” ก็มีแฟนคลับติดตามให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่นไม่หลุดโผ
       
       อุปกรณ์เทคโนโลยีอินเทรนด์ต่างๆ เช่น iPad iPhone หรือ Blackberry และ Nokia พบว่าชาวออนไลน์ให้ความสนใจและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างมากในปีนี้ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทที่โดดเด่นมากในปีนี้ เช่น facebook และ YouTube

สำหรับอันดับคำค้นหาสูงสุดจากประเทศทั่วโลก โฆษกกูเกิลระบุว่ากูเกิลมีกำหนดการประกาศผลทางหน้าเว็บไซต์ GoogleZeitgeist ในเวลา 4 ทุ่มวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม ตามเวลาประเทศไทย
       
       เบื้องต้น กูเกิลเปิดเผยว่าคำค้นหาที่มาแรงที่สุดในระดับโลกคือ "แช็ตรูเล็ตต์ (chatroulette)" วิวัฒนาการในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่ผสานทั้งบริการ สนทนาผ่านเว็บแคมหรือวิดีโอ เสียง และตัวอักษร ตามมาด้วยคำว่า"ไอแพด (iPad)" ผลิตภัณฑ์ไอทีที่ช่วยตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อันดับ 3 คือศิลปินเพลงป๊อปที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลกอย่างหนุ่มน้อย มหัศจรรย์ "จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber)" รวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค ที่ติดโผด้วยเช่นกัน
       
       ไซต์ไกสต์ หรือ Zeitgeist เป็นคำภาษาเยอรมัน หมายถึง “จิตวิญญาณแห่งกาลเวลา” ที่มาของชื่อนี้คือกูเกิลเชื่อว่าการจัดอันดับคำค้นหาจะแสดงถึงแนวโน้มที่ อยู่ในความนิยมในแต่ละช่วงเวลาหรือปีที่จัดอันดับ โดยย้ำว่าเครื่อง มือไซต์ไกสต์ของกูเกิลไม่สามารถนำมาใช้กำหนดการค้นหาของผู้ใช้แต่ละรายได้ เนื่องจากกูเกิลใช้วิธีนับจำนวนครั้งที่มีผู้เข้ามาค้นหาด้วยคำนั้นๆ แล้วแสดงตัวเลขโดยประมาณ โดยตัดคำที่ซ้ำออกไป ทั้งหมดนี้กูเกิลจะไม่เปิดเผยที่มาของผู้ค้นหาเพื่อความเป็นส่วนตัว

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: apikongzad ที่ 08 ธันวาคม 2010, 21:59:40
"เพลงลูกเทวดา" แชมป์คำถูกค้นหาในGoogleบ่อยที่สุดปี 53

คำที่ถูกชาวเน็ตในเมืองไทยค้นหาบ่อยที่สุดในปี 53 ไม่ใช่ iPad, iPhone 4 หรือ facebook แต่เป็นคำว่า "เพลงลูกเทวดา" ที่สามารถครองแชมป์ในกลุ่มคำค้นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี เขี่ยแบรนด์สินค้าไอทีตกชั้นไปอยู่อันดับ 2-3 ขณะที่อันดับ 4 คือคำว่า the star 6 นำหน้าอันดับ 5 คือคำว่าเพลงเหงาปาก
       
([url]http://pics.manager.co.th/Images/553000018361601.JPEG[/url])

       อันดับคำค้นหายอดนิยมในเว็บไซต์Googleนั้นถูกประกาศเป็นประจำทุกปี ภายใต้ชื่อ"ไซต์ไกสต์" นัยสำคัญของผลไซต์ไกสต์คือการสะท้อนความสนใจของคนออนไลน์ในแต่ละปี ว่าเทรนด์ใดมาแรงที่สุด โดยชั่งน้ำหนักและจัดอันดับจากการค้นหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและทุกพื้นที่ ทั่วโลก
       
       สำหรับประเทศไทย เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดปี 2553 เช่น การชุมนุมทางการเมือง อุทกภัยที่ชาวไทยทั่วประเทศได้ร่วมใจกันช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการจากไปอย่างวีรบุรุษของจ่าเพียร ล้วนเป็นข่าวเด่นที่อยู่ในความสนใจของคนไทยในปีนี้
       
       ในหมวดคำท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวในประเทศไทยมักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเก๋ ไก๋ที่กำลังเป็นกระแสนิยม โดยเฉพาะสถานที่ที่มีเรื่องราวหรือมีความโดดเด่นจนได้ออกรายการทีวี หรือมีการพูดถึงบนอินเทอร์เน็ต เช่น ศรีพันวา รีสอร์ทหรูที่เกาะภูเก็ต, ที่พักบนเกาะล้าน จังหวัดชลบุรี และตลาดน้ำอัมพวา
       
       เทคโนโลจี 3G เข้ามาอยู่ในความสนใจของชาวไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และมีเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะช่วงเวลาที่จะมีการประมูลใบอนุญาต แต่ความสนใจดังกล่าวก็ลดระดับลงไปทันทีที่การประมูลต้องถูกระงับไป จุดนี้Googleตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า “ระบบ 3G” มีอัตราการเติบโตที่น่าตื่นใจเพราะกราฟนี้พุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนกันยายน เนื่องจากผู้คนพากันติดตามสถานการณ์การประมูลใบอนุญาตอย่างใกล้ชิด และแผ่วลงเมื่อการประมูลถูกระงับไป ข้อสังเกตนี้เกิดจากบริการ Google Insights for Search บริการค้นหาข้อมูลการค้นหาเชิงลึกของGoogle
       
       ในด้านบันเทิง เพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมอย่าง “เพลงลูกเทวดา” มาแรงฉุดไม่อยู่ ส่วนรายการเรียลลิตี้ยอดฮิต “เดอะสตาร์ 6” ก็มีแฟนคลับติดตามให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่นไม่หลุดโผ
       
       อุปกรณ์เทคโนโลยีอินเทรนด์ต่างๆ เช่น iPad iPhone หรือ Blackberry และ Nokia พบว่าชาวออนไลน์ให้ความสนใจและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างมากในปีนี้ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทที่โดดเด่นมากในปีนี้ เช่น facebook และ YouTube

สำหรับอันดับคำค้นหาสูงสุดจากประเทศทั่วโลก โฆษกGoogleระบุว่าGoogleมีกำหนดการประกาศผลทางหน้าเว็บไซต์ GoogleZeitgeist ในเวลา 4 ทุ่มวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม ตามเวลาประเทศไทย
       
       เบื้องต้น Googleเปิดเผยว่าคำค้นหาที่มาแรงที่สุดในระดับโลกคือ "แช็ตรูเล็ตต์ (chatroulette)" วิวัฒนาการในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่ผสานทั้งบริการ สนทนาผ่านเว็บแคมหรือวิดีโอ เสียง และตัวอักษร ตามมาด้วยคำว่า"ไอแพด (iPad)" ผลิตภัณฑ์ไอทีที่ช่วยตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อันดับ 3 คือศิลปินเพลงป๊อปที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลกอย่างหนุ่มน้อย มหัศจรรย์ "จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber)" รวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค ที่ติดโผด้วยเช่นกัน
       
       ไซต์ไกสต์ หรือ Zeitgeist เป็นคำภาษาเยอรมัน หมายถึง “จิตวิญญาณแห่งกาลเวลา” ที่มาของชื่อนี้คือGoogleเชื่อว่าการจัดอันดับคำค้นหาจะแสดงถึงแนวโน้มที่ อยู่ในความนิยมในแต่ละช่วงเวลาหรือปีที่จัดอันดับ โดยย้ำว่าเครื่อง มือไซต์ไกสต์ของGoogleไม่สามารถนำมาใช้กำหนดการค้นหาของผู้ใช้แต่ละรายได้ เนื่องจากGoogleใช้วิธีนับจำนวนครั้งที่มีผู้เข้ามาค้นหาด้วยคำนั้นๆ แล้วแสดงตัวเลขโดยประมาณ โดยตัดคำที่ซ้ำออกไป ทั้งหมดนี้Googleจะไม่เปิดเผยที่มาของผู้ค้นหาเพื่อความเป็นส่วนตัว

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ ([url]http://www.manager.co.th[/url])
เรียบเรียงโดย Laptop Price ([url]http://www.laptopprice.org/[/url])


http://www.youtube.com/watch?v=cCx3pZrvxtc


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 ธันวาคม 2010, 23:03:07
i-Kool Real 3G ชูแพ็คเกจดาต้าเจาะกลุ่มองค์กร

“i-Kool Real 3G” เล็งเจาะเพิ่มกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ ออกแบบแพ็คเกจดาต้าที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจ รองรับการใช้งาน 3G บนมือถือ โน้ตบุ๊คส์-ไอแพด

นายสุรช ล่ำซำ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์    ผู้เช่าใช้โครงข่ายและทำตลาดในระบบ 3G บนเครือข่ายของทีโอที ภายใต้แบรนด์ i-Kool Real 3G เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนรุกทำตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการใช้งานดาต้าจากเครือข่าย 3G จำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่า หลังจากที่ TOT ประกาศลงทุนเครือข่าย 3G อีก 1.9 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายการให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพื่อให้ระบบเครือ ข่าย 3G มีโครงข่ายครอบคลุมมากขึ้นและมีประสิทธิภาพการให้บริการที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อลูกค้ากลุ่มองค์กรที่มีความต้องการใช้งานด้านดาต้า จะเข้ามาใช้บริการ i-Kool Real3G มากยิ่งขึ้น

(http://www.posttoday.com/media/content/2010/12/08/D1AF1C0642C04AA68876D7AB3A2C36F0.jpg)

สำหรับรูปแบบการทำตลาดนั้น บริษัทฯ จะหารือร่วมกับลูกค้าองค์กรทั้งกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้เครือข่ายระบบ 3G TOT เพื่อออกแบบแพ็คเกจโปรโมชั่นด้านดาต้า ที่เหมาะสมกับองค์กรธุรกิจและตามความต้องการใช้งานผ่านมือถือ โน้ตบุ๊คส์ หรือไอแพด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้เทคโนโลยีจากเครือข่าย 3G ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของลูกค้าองค์กรให้มีความสะดวกสบายและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

"ที่ผ่านมา เราได้ทำตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรในระดับหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่ TOT ได้มีแผนขยายเครือข่าย 3G ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและขยายไปต่างจังหวัดได้มากขึ้น เราก็จะเน้นการทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มนี้จริงจังมากขึ้น  เพราะการใช้งานในลูกค้ากลุ่มนี้ จะมีการใช้งานด้านดาต้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จึงถือว่าเป็นฐานลูกค้าที่ระยะยาวของบริษัทฯ โดยจะเริ่มทำตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ในปีหน้านี้มากยิ่งขึ้น"นายสุรชกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการทำซีอาร์เอ็มหรือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ i-Kool Real 3G เกิดความประทับใจในการให้บริการ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ใช้ i-Kool Real 3G รวมถึงจะมีการออกแคมเปญต่างๆเพื่อตอบแทนลูกค้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษา ลูกค้าให้อยู่กับเราต่อไป

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 05:03:00
ลุ้น "Chrome" บุกตลาดคอมพ์พกพากลางปีหน้า

Google โชว์ตัวคอมพิวเตอร์พกพาที่ใช้ระบบปฏิบัติการโครม (Chrome operating system) ของตัวเองเมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ไม่เปิดเผยชื่อแบรนด์แต่คาดว่าจะสามารถวางตลาดในช่วงกลางปี 2011 หากโครงการนำร่องทดสอบโครมในคอมพ์พกพาเป็นไปด้วยดี
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018366901.JPEG)

       ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของGoogleให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับGoogle โครมคือการเดินทางอันยาวนานเพื่อสร้างรูปแบบการประมวลผลบนระบบคลาวด์คอมพิว ติงที่แท้จริง คำพูดนี้เกิดขึ้นเพราะโครมคือระบบปฏิบัติการที่จะไม่ฝังตัวในฮาร์ดไดร์ฟของ เน็ตบุ๊ก แต่จะติดตั้งอยู่บนระบบคลาวด์คอมพิวติงเพื่อให้ผู้ใช้เรียกใช้งานทางอิน เทอร์เน็ต โดยแล็ปท็อประบบปฏิบัติการโครมที่Googleเปิดตัวล่าสุดนี้คือส่วนหนึ่งใน โครงการนำร่องเพื่อทดสอบความผิดพลาดของแนวคิดนี้ ซึ่งหากไม่มีความผิดพลาด ก็เชื่อว่าแล็ปท็อประบบปฏิบัติการโครมจะสามารถวางตลาดได้ภายในปีหน้า
       
       การเปิดตัวระบบปฏิบัติการโครมของGoogleถือเป็นคำขู่ที่ส่งตรงถึงเจ้า ตลาดระบบปฏิบัติการอย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอปเปิล (Apple) ซึ่งครองตลาดทั้งการใช้งานคอมพิวเตอร์ในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและในองค์กรธุรกิจ
       
       Googleย้ำว่าจะไม่เปิดตัวคอมพิวเตอร์พีซีระบบปฏิบัติการโครมจนกว่าจะ ถึงกลางปีหน้า เพื่อให้Googleมีเวลาเพียงพอต่อการแก้ไขข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์ และสร้างความมั่นใจว่าการใช้งานโครมบนอุปกรณ์สามารถทำได้อย่างราบรื่นอย่าง แท้จริง
       
       "ถือเป็นการพัฒนาที่น่าตื่นตา แต่ยังถือว่าเรายังทำได้ไม่เสร็จดี หากGoogleเริ่มวางจำหน่ายในช่วงใดช่วงหนึ่ง Googleก็อาจจะไม่พัฒนาต่อเนื่องเท่าที่ควร"
       
       แม้จะยังไม่มีการระบุราคาแล็ปท็อประบบปฏิบัติการโครม แต่ผู้บริหารGoogleเชื่อว่าจะมีราคาต่ำกว่าคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่มีระบบ ปฏิบัติการติดตั้งไว้ที่เครื่องโดยตรง โดยสิ่งที่เกิดขึ้นGoogleเชื่อว่าจะเป็นการสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภค เนื่องจากจะสามารถสร้างทางเลือกเรื่องราคาที่แตกต่างกันในการตัดสินใจ
       
       รายงานระบุว่า ซัมซุง (Samsung Electronics) และเอเซอร์ (Acer) จะเป็น 2 ผู้ผลิตที่ได้สิทธิ์ในการผลิตแล็ปท็อปโครมรุ่นแรก บนชิปจากบริษัทอินเทล (Intel) เบื้องต้นคาดว่า รุ่นที่จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯจะมาพร้อมบริการสื่อสารข้อมูลไร้สายฟรีขนาด 100 เมกะไบต์ต่อเดือนเป็นเวลานาน 2 ปีจากโอเปอเรเตอร์เบอร์ 2 ของสหรัฐฯอย่างเวอร์ไซซน ไวร์เลส (Verizon Wireless)
       
       ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้คือ การจุดประกายเทคโนโลยีการประมวลผลที่มีเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์ กลาง ซึ่งจะนำไปสู่การแทนที่ซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์พีซีด้วยแอปพลิเคชันออนไลน์
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018366902.JPEG)

       นอกจากเปิดตัวรายละเอียดของระบบปฏิบัติการโครม Googleยังเปิดตัวร้านแอปพลิเคชันออนไลน์สำหรับโครมโดยระบุว่าเริ่มวาง จำหน่ายเกม ข่าว และซอฟต์แวร์อื่นๆมากกว่า 500 แอปพลิเคชันในขณะนี้ จุดนี้Googleเปิดเผยว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่ง 5% ในทุกแอปพลิเคชันที่จำหน่ายได้บนบริการของGoogle โดยย้ำว่าสัดส่วน 5% ก็เพียงพอสำหรับต้นทุนการดำเนินงานของGoogle รายได้ส่วนใหญ่จึงจะตกอยู่ในมือนักพัฒนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
       
       Googleไม่ตอบคำถามว่า ระบบปฏิบัติการ Chrome จะสามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้อย่างไร แต่หากพิจารณาข้อมูลที่ผ่านมา Googleก็เปิดให้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ในสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตหลากหลายรุ่นให้สามารถใช้งานได้ฟรี และรับรายได้จากธุรกิจลงโฆษณาบนสมาร์ทโฟนแทน
       
       Googleย้ำว่า จุดประสงค์ของการสร้างระบบปฏิบัติการโครม คือการดึงผู้ใช้ตามบ้านสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์เดียวกับการสร้างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยยอมรับว่าหากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น Googleก็จะมีช่องทางในการขายโฆษณาออนไลน์ยิ่งขึ้น

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=553000018366904)

หนึ่งในแล็ปท็อประบบปฎิบัติการโครมที่Googleเปิดตัวในงานนี้คือรุ่นต้น แบบของ "CR 48" ที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 12 นิ้ว ซึ่งทางGoogleไม่ได้เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพียงแต่นักพัฒนาที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อนำไปพัฒนาได้
       
       โดยสเปกของ CR 48 คือสามารถเปิดใช้งานได้ภายใน 10 วินาที ถ้าอยู่ในโหมด Sleep สามารถกลับมาทำงานต่อได้ทันที รองรับการเชื่อมต่อไว-ไฟ 3G ให้สามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกเวลา เชื่อมต่อเว็บแคม (Webcam) ได้ คีย์บอร์ดขนาดปกติ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้มากกว่า 8 ชั่วโมง เปิดสแตนบายได้ 1 สัปดาห์
       
       สำหรับโปรแกรมเว็บเบราเซอร์โครม รายงานระบุว่าถูกใช้งานโดยผู้ใช้มากกว่า 120 ล้านคนในขณะนี้ และหลังการเปิดตัวระบบปฏิบัติการโครม มูลค้าหุ้นของGoogleเพิ่มขึ้นอีก 1.5% เป็น 587.14 เหรียญเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 13:01:31
Intel หนุน Tablet ชูแพลตฟอร์ม Atom

รายงานข่าวล่าสุด Paul Otellini ซีอีโอของ Intel กล่าวเมื่อวานนี้ว่า โพรเซสเซอร์ของทางบริษัทจะถูกใช้"แท็บเล็ต" (tablet) รุ่นต่างๆ ที่จะออกวางตลาดในปี 2011 มากกว่า 35 โมเดล พร้อมทั้งยืนยันความชัดเจนว่า โพรเซสเซอร์ที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นแพลตฟอร์ม Atom

"เรากำลังทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่า Intel สนับสนุนทุกระบบปฏิบัติการอันหลากหลายที่พบในตลาดวันนี้" Otellini กล่าวที่งานประชุม Barclays Capital 2010 Global Technology โดยการประชุมดังกล่าวได้มีการสตรีมมิ่งระบบเสียงบนอินเทอร์เน็ตด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้เปิดเผยรายชื่อแบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำ กว่า 15 ราย ซึ่งในที่นี้รวมถึงบริษัทที่กำลังเตรียมวางตลาด"แท็บเล็ต"อย่างน้อย 35 โมเดลที่ทำงานด้วยชิป Atom ไม่ว่าจะเป็น โตชิบา เดลล์ เลอโนโว อัสซุส เอเวอร์ และโมชั่นคอมพิวติ้ง "แท็บเล็ตที่ออกมาเหล่านี้มีทั้งที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows และ Android ที่มีทั้ง Froyo และ Honeycomb" Otellini กล่าว

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/intel-confirm-atom-for-tablet-and-smartphone-2011-2.jpg)

"เรามีความตั้งใจที่จะใช้ชิป Atom กับสองสายผลิตภัณฑ์ด้วยกัน" Otellini กล่าว "โดยโพรเซสเซอร์ Atom โค้ดเนม Oak Trail จะยังคงรักษาตลาด PC (เน็ตบุ๊ค) ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้อุปกรณ์รอบข้างที่เข้ากันได้ PC เนื่องจากเครื่องพิมพ์ทุกรุ่นในโลก ตลอดจนไดรเวอร์ USB ทั้งหมดจะทำงานได้กับ PC ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Oak Trail ซึ่งเป็นโพรเซสเซอร์ Atom ที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูง ทนทาน และใช้พลังงานต่ำ" Otellini กล่าวต่อว่า "ในขณะเดียวกันเรายังมี Atom เวอร์ชันที่ได้รับการออปติไมซ์เรียกว่า Moorestown ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องที่มีความบางเบา แบตเตอรี่ใช้ได้นาน โดยมันจะไม่ได้ใช้กับ PC โพรเซสเซอร์เวอร์ชันนี้จะทำงานด้วยชุดคำสั่ง x86 ดังนั้นมันจะเข้ากันได้กับการเชื่อมต่อ Internet และไม่ต้องกังวลสำหรับการสนับสนุนระบบการทำงานเดิม (Windows)" Otellini กล่าว "แท็บเล็ตที่จะวางตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2011 จะสนับสนุนทั้ง 3 ระบบปฏิบัติการ"

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/intel-confirm-atom-for-tablet-and-smartphone-2011-3.jpg)

นอกจาก Otellinin จะพูดถึง Intel Atom สองตระกูลที่ใช้สนับสนุน PC และ Tablet แล้ว เขายังกล่าวอีกว่า มันถึงเวลาแล้วที่ Intel จะได้ผลิตชิปที่ใช้ในสมาร์ทโฟน "มันเป็นการแข่งแบบมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้น" เขากล่าวว่า โพรเซสเซอร์ Atom รุ่นที่สองจะใช้กับสมาร์ทโฟน โดยมีชื่อว่า "Medfield" โดยจะเริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนที่จะวางตลาดตั้งแต่ในปี 2011 ซึ่ง Otellini ย้ำว่า ผู้บริโภคจะได้เห็นสมาร์ทโฟนจากผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำในไตรมาสที่สองของปี 2011

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Normaderm ที่ 09 ธันวาคม 2010, 13:09:31
สุดยอดแห่งความขยันอะ  :P


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 13:11:37
สุดยอดแห่งความขยันอะ  :P

ขอบคุณสำหรับ feedback ครับ
บริการทุกระดับ ประทับใจ??
 :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 14:13:37
Smart Phone - Tablet แรง คาด 2 ปียอดส่งแซง PC

ฟันธงสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะเป็นอุปกรณ์ที่มาแรงสุดขีดในช่วง 2 ปีข้างหน้า การสำรวจล่าสุดพบยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรวมกันจะเกินหน้ายอดจัดส่ง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ในปี 2012 ถือเป็นสัญญาณที่ชี้ว่ายุคแห่งพีซีกำลังจะถึงช่วงขาลง ขณะที่บุคลากรในโลกธุรกิจจะให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่มาพร้อม"แอปฯ"มากขึ้น อย่างต่อเนื่อง
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018280101.JPEG)

       บริษัท วิจัยไอดีซี (IDC) คาด การณ์ว่าตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันได้เอง จะมีจำนวนรวม 377 ล้านเครื่องในปี 2011 ก่อนที่ยอดจัดส่งจะทะลุไปที่ 462 ล้านเครื่องในปี 2012
       
       ตัวเลข 462 ล้านเครื่องนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าตลาดพีซี ที่เชื่อว่าจะมียอดจัดส่ง 402 ล้านเครื่องในปี 2011 และ 448 ล้านเครื่องในปี 2012 ถือเป็นการแซงหน้าครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกไอที
       
       แม้ตัวเลขจากไอดีซีจะชี้ว่าโลกพีซีจะไม่ใช่โลกที่เติบโตเร็วมากที่ สุดอีกต่อไปในอนาคต แต่สิ่งที่ชัดเจนคือตลาดพีซีก็จะยังเติบโตต่อไป โดยเป็นการเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสเท่านั้น จุดนี้แฟรงค์ เจนส์ นักวิเคราะห์ไอดีซีมองว่านี่คือสัญญาณที่แปลว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะไม่ได้มา แทนที่คอมพิวเตอร์พีซี แต่จะเป็นส่วนขยายตลาดที่เพิ่มขึ้น
       
       สำหรับการใช้จ่ายรวมในตลาดไอทีโลก ไอดีซีคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 5.7% มูลค่าเบ็ดเสร็จที่ 1,600 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2011 โดยเฉพาะปี 2010 ไอดีซีคาดว่ายอดจัดส่งสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะแตะระดับ 284 ล้านเครื่อง ต่ำกว่ายอดจัดส่งพีซีที่มีจำนวน 356 ล้านเครื่อง

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 15:26:50
ดีแทคขาย BlackBerry Torch 9800 21,900 บ.

ดีแทคพร้อมจำหน่ายแบล็กเบอร์รี Torch 9800 ในราคา 21,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมโปรโมชันผ่อน 0% นาน 10 เดือนผ่านบัตรเครดิตชั้นนำ
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018398601.JPEG)

       แบล็กเบอร์รี Torch 9800 ใหม่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เป็นทั้ง Touch Screen และคีย์บอร์ด QWERTY แบบสไลด์ ในเครื่องเดียว ใช้ระบบปฏิบัติการ BlackBerry OS6, หน่วยประมวลผล 624MHz, ความจุในตัวเครื่อง 4GB รองรับไมโครเอสดีการ์ด ความจุสูงสุด 32GB กล้อง 5 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส และแฟลช รองรับการเชื่อมต่อไวไฟ 802.11b/g/n, 3G HSDPA, USB 2.1 และยูเอสบี
       
       โดยดีแทคเสนอแพกเกจเสริมเพื่อใช้งานร่วมกับแบล็กเบอร์รี 4 รูปแบบครอบคลุมไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันประกอบด้วย 1. BlackBerry Internet UNLIMIT 790 บาทต่อเดือนสำหรับ ซิมดีแทคแบบรายเดือน และ 790 บาทต่อ 30 วันสำหรับซิมแฮปปี้แบบเติมเงิน ใช้งานแช็ต, อีเมล, โซเชียลเน็ตเวิร์ก และใช้งานดีแทคอินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัด 2. BlackBerry Life 350 บาทต่อเดือนสำหรับ ผู้ใช้ซิมดีแทคแบบรายเดือน และ 350 บาทต่อ 30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้ ใช้งานแช็ต, อีเมล, โซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยจะคิดค่าดีแทคอินเตอร์เน็ตตามแพ็คเกจหลักที่เลือกไว้
       
       3. BlackBerry BeMail เน้นการแช็ต และอีเมล (BlackBerry eMail, Google. Yahoo, Hotmail, MSN, และ POP3/IMAP/OWA เป็นต้น) ค่าบริการ 299 บาทต่อเดือนสำหรับผู้ใช้ซิมดีแทคแบบรายเดือน และ 299 บาทต่อ 30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้ และ 4. BlackBerry BeSocial เน้นการแช็ตและการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก อาทิ Facebook, Twitter และ MySpace เป็นต้น ค่าบริการ 299 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ซิมดีแทคแบบรายเดือน และ 299 บาทต่อ 30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้
       
       ผู้ที่สนใจสามารถซื้อแบล็กเบอร์รี Torch 9800 จากดีแทคได้ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการกว่า 380 แห่ง ทั้งสำนักงานบริการดีแทค ดีแทคเซ็นเตอร์, ร้านทีจีโฟน, เจมาร์ท, ไอ-โมบาย, บลิสเทล และไออีซี ช็อป ที่ร่วมรายการ

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 16:39:14
ส่องกล้อง ชุมชนบรรณารักษ์ออนไลน์

เคยมีรายงานสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2546 พบว่า คนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยปีละ 7 บรรทัด กลายเป็นข้อมูลอ้างอิงที่ถูกหยิบมากพูดกันน้ำหูน้ำตาเล็ด
 
(http://www.bkknews.net/newbkk1/admin/picnews/library-058.jpg)

อีก 5 ปีต่อมา 2551 ผลสำรวจสำนักเดิมอีกพบว่า แนวโน้มคนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็น 39 นาทีต่อวัน
 
จนล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำรวจพบว่าคนไทยอ่านหนังสือนานถึง 94 นาทีต่อวัน เท่ากับว่าเวลาผ่านไปไม่ถึง 10 ปี คนไทยมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น หรอืไม่ช่องทางการเข้าถึงหนังสือของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
 
แน่นอนว่า อินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นพฤติกรรมการอ่านของคนทั่วโลก
 
การ อ่านหนังสือ และการค้นคว้าเอกสารของนักเรียนนักศึกษาไม่ได้จำกัดตัวอยู่ในห้องสมุดอย่าง เดียวแล้ว ภาพของนักศึกษายืนอยู่หน้าตู้ดัชนี ดึงลิ้นชักออกมาค้นหารายชื่อหนังสือ แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว พวกเขาไม่ต้องการความรู้เกี่ยวกับการจัดระบบห้องสมุดแบบดิวอี้ และรัฐสภาอเมริกัน อีกต่อไป
 
เมฆินทร์ ลิขิตบุญฤทธิ์ นักพัฒนาระบบห้องสมุด จากโครงการศูนย์ความรู้กินได้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) ยอมรับว่า ทิศทางการสืบค้นแบบใหม่ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตทำให้การค้นหาแบบเดิมถูกตัดทิ้ง ห้องสมุดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันสมัย บรรณารักษ์ต้องเป็นได้มากกว่าคนเฝ้าห้องสมุด
 
ที่ผ่านมาแม้ห้องสมุด จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของเทคโนโลยีโดยแปลงหนังสือทั้งเล่มให้อยู่ในรูปของอี บุ๊ค จัดเก็บในฐานข้อมูลดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการค้นหา แต่เขากลับมองว่า นั่นไม่ใช่แนวทางที่จะสนับสนุนให้คนอ่านหนังสือมากขึ้น ขณะเดียวกันสิ่งที่เขามองคือการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจในรูปของบทความ นอกเหนือจากข่าวสาร บันเทิง ที่ปรากฏอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ตในทุกวันนี้
 
เหตุผล ดังกล่าวผลักดันให้บรรณารักษ์ วัย 28 ปี ริเริ่มแนวคิดการสร้างชุมชนบรรณารักษ์ออนไลน์ขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อหากลุ่มคนที่มีแนวความคิดเดียวกัน สร้างเป็นเครือข่าย ผลักดันให้เกิด libraryhub.in.th ศูนย์กลางข้อมูลสำหรับบรรณารักษ์โดยเฉพาะ
 
“แนวคิด นี้เกิดขึ้นจากความสนใจส่วนตัวที่หลงไหลในเสน่ห์ของห้องสมุด จนกระทั่งตัดสินใจเรียนต่อเพื่อที่จะเป็นบรรณารักษ์ ในขณะที่คนอื่นอาจเลือกเรียนในสายวิศวะ แพทย์ ที่ดูดีมากกว่า” เขากล่าว
 
libraryhub ที่เริ่มต้นโดยมีเป้าหมายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบันเว็บไซต์ได้รับการยอมรับให้เป็นประตูของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า นักพัฒนาห้องสมุด ในยุค 2.0
 
(http://www.bostonavenueumc.org/images/c_library.jpg)

“ทุกวันนี้ห้องสมุดเกือบทุกแห่งเริ่ม เอานำสื่อออนไลน์เข้ามาใช้ อย่างเช่น เฟซบุ๊ค แฟนเพจ เข้ามาใช้ บรรณารักษ์ในโลกยุคใหม่ที่สามารถทำหน้าที่เป็นคนป้อนความรู้ให้กับผู้อ่าน ได้เลย โดยไม่ต้องยัดเยียด ต่างจากทฤษฎีของบรรณารักษ์รุ่นเก่าที่ใครจะเข้ามาใช้ห้องสมุดต้องมาค้นหา ข้อมูลเอง” เขาอธิบาย
 
เมฆินทร์ เล่าว่า ห้องสมุดในบ้านกับต่างประเทศแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่าง สหรัฐ อาชีพบรรณารักษ์ส่วนใหญ่มาจากสายไอที อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเช่น ชีวะ ธุรกิจ แพทย์ ซึ่งโจทย์ของบรรณารักษ์คือจะทำอย่างไรให้คนห้องสมุด และอ่านหนังสือมากขึ้น
 
ครั้งหนึ่ง เมฆินทร์ เคยแก้โจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้เด็กช่างกลเข้าห้องสมุด เขาคิดหาแผนการทุกวันทั้งที่ใช้แล้วได้ผลและไม่ได้ผล ตั้งแต่หลอกล่อโดยวิธีการแปะสกอร์ฟุตบอล ไว้ข้างบอร์ดหางานพิเศษ แสดงถึงคุณสมบัติของคนที่ต้องการ ซึ่งเขามองว่าบรรณารักษ์สามารถแนะนำหนังสือที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เด็กที่ไม่ เคยสนใจอ่านหนังสือเลยได้ลองอ่านดู
 
แม้จะไม่มีทักษะด้านงานเขียนมา ก่อน แต่ด้วยสไตล์เขียนแบบเล่าเรื่อง ช่วยสื่อสารให้คนเข้าใจดีกว่าเขียนเป็นทางการแต่ไม่มีใครอ่านเลย หลังจากเขียนไปสักระยะหนึ่งเริ่มมีการส่งต่อเนื้อหา คอมเม้นท์ และสร้างเป็นกลุ่มสังคมออนไลน์ ด้วยฐานสมาชิกประมาณ 700 คน เกิดเป็นคอมมูนิตี้ ห้องสมุดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
 
จนกระทั่งเครือ ข่ายเริ่มขยายตัว เกิดเป็นไลเบอร์เลี่ยนแมกาซีนออนไลน์ ไลเบอร์เลี่ยนออนไลน์ดอทคอม ไลเบอร์เลี่ยนทีวี ในขณะที่ตัวเขาเองรับหน้าที่เดินสายบรรยายและเป็นที่ปรึกษาให้ห้องสมุดหลาย ที่ คิดโครงการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ เช่น รณรงค์ให้นักอ่านแบ่งบันหนังสือ โดยใส่แท็กในแฟซบุ๊ค รวมถึงจัดลิมแคปม์ เปิดเวทีสัมมนาเฉพาะกลุ่มสำหรับบรรณารักษ์ในยุคดิจิทัล
 
เขามองว่า งานห้องสมุดยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ เช่นการจัดการระบบห้องสมุดที่มีอยู่กระจัดกระจายทั่วกรุงเทพให้อยู่บนฐาน ข้อมูลเดียวกัน โดยยึดแบบอย่างจากห้องสมุดในประเทศสิงคโปร์ที่มีองค์กรกลางเข้ามาดูแลจัดการ ในเรื่องหนังสือ ฐานข้อมูล ทำให้ห้องสมุดขนาดเล็กทำหน้าที่ให้บริการเพียงอย่างเดียว
 
ขณะที่ ห้องสมุดในเครือข่ายของห้องสมุดกรุงเทพ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 แห่ง ทำงานแยกส่วนกัน ซึ่งหากมีการทำงานเป็นภาพรวมก็จะทำให้เห็นสถิติการอ่านของคนกรุงเทพ ซึ่งมาจากข้อมูลที่มีตัวชี้วัดที่แน่นอน รวมถึงการปรับเปลี่ยนหนังสือในห้องสมุดระดับจังหวัดให้มีเนื้อหาตรวจกับความ ต้องการของท้องถิ่น
 
เขามองว่า การสร้างห้องสมุคในยุคใหม่ต้องเริ่มต้นจากการสำรวจความต้องการของคนใน พื้นที่ สำรวจว่าท้องถิ่นมุ่งไปทางไหนได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกรรม หัตถกรรม หรือการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับนักอ่านที่แท้จริง
 
“ห้องสมุดจะนั่งอยู่เฉยให้คนมาบอกว่าไม่พัฒนา จะยอมจำนน หรือต้องสู้เพื่อการพัฒนา” เขาตั้งคำถามไปยังบรณารักษ์ทั้งมวล

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 ธันวาคม 2010, 21:22:48
3D-POWER TV สเตปสร้างตลาดทีวีโตชิบา

โตชิบาเดินเกมการตลาดทีวีครั้งใหม่ครั้งใหญ่ด้วยการปูพรมผลิตภัณฑ์ทั้งทีวี 3 มิติ ทีวีไฮเอนด์ และ Power TV ชูความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เจาะขยายฐานผู้บริโภคจากตลาดอาเซียนก่อนสู่ภูมิภาคอื่น ส่วนในไทยเน้นกลยุทธ์เรื่องของราคาสร้างตลาดรับยอดขายพุ่ง 2 เท่า
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018413201.JPEG)

       นักการตลาดต่างวิเคราะห์ว่าแนวโน้มภายในปี 2013 ตลาดโทรทัศน์ 3 มิติ หรือทีวี 3D จะมีอัตราการเติบโตเป็น 2 เท่าตัว มาแรงที่สุดในเวลานี้
       
       “3D เป็นโทรทัศน์ที่ยังมีข้อจำกัดมาก สายตามนุษย์ดู 3D ได้อย่างมากแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ปวดตาแล้ว เลยตอบยากว่าจะเติบโตได้แค่ไหน แต่เป็นความต้องการของตลาด โตชิบาก็ต้องเกาะกระแสตลาดไปด้วย สิ่งที่โตชิบาทำคือต้องพัฒนาให้เกิดความแตกต่างให้ได้” ฮิเดโนริ มัสสุอิ ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าว
       
       มุ่งเจาะอาเซียนเติบโตสูง
       
       วันนี้โทรทัศน์สายพันธุ์ญี่ปุ่นอย่าง “โตชิบา” พร้อมแล้วสำหรับสินค้าโทรทัศน์ 3D ที่กำลังจะส่งลงตลาดอาเซียน และเป็น 3D ที่พัฒนามาไกลกว่าแบรนด์อื่นด้วยการเป็นโทรทัศน์ 3D เครื่องแรกที่ไม่ต้องใช้แว่นตา!
       
       นอกจากนี้ “โตชิบา” ยังวางยุทธศาสตร์ทางการตลาดที่จะเจาะตลาดอาเซียนอย่างครอบคลุมคนทุกกลุ่ม พร้อมตีตลาดในปี 2554 เป้าหมายของโตชิบาคือ ภายใน 5 ปีนี้ โตชิบาจะต้องเป็นบริษัท 1 ใน 4 อันดับแรกในตลาดโทรทัศน์อาเซียน รองจาก ซัมซุง โซนี่ และแอลจี ให้ได้ โดยมุ่งเน้นขยายตลาดอาเซียนเป็นอันดับแรก และเตรียมขยายต่อไปประเทศจีน อินเดีย บราซิล และรัสเซีย เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก ขยายตัวได้สูง
       
       “ยุทธศาสตร์การตลาดของโตชิบาจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนให้มาก ขึ้น เนื่องจากตลาดมีการเติบโตค่อนข้างดีปีละไม่ต่ำกว่า 20%” โทคุมิทสึ ชิเงโนงิ รองประธาน บริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว
       
(http://www.3dtvbestprices.com/wp-content/uploads/2010/09/toshiba-cell-regza-xe2.jpg)

       เปิดตัวทีวี 4 ซีรีส์เจาะทุกกลุ่ม
       
       โตชิบาได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มของทีวีพร้อมกัน 6 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย รวม 4 รุ่น ทั้งทีวี แอลอีดีทีวี และแอลซีดีทีวี ด้วยซีรีส์ใหม่ล่าสุด ได้แก่
       
       โทรทัศน์ 3D ที่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าเครื่องแรกของโลก ในซีรีส์ Glasses-free 3D กำลังจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมนี้ 2 รุ่นคือ 12GL1 และ 20GL1 ซึ่งทีวีซีรีส์นี้จะเป็นการรับชมโทรทัศน์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่น ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพที่มีความซับซ้อนกว่าปรกติถึง 9 เท่า
       
       ต่อมาคือรุ่น flagship ZL 800 ขนาด 55 นิ้ว รุ่นนี้เป็นความมุ่งหวังของโตชิบาที่จะครองใจตลาดไฮเอนด์โฮมเอนเตอร์เท นเมนต์ในทวีปเอเชีย ซึ่งรุ่นนี้เป็นโทรทัศน์แบบ LED TV ได้พัฒนามาจาก CELL REGZA ที่มีคุณภาพของภาพคมชัดสูง มีภาพ 3 มิติที่เหมือนจริง ZL 800 นี้จะวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2554 ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ฯลฯ
       
       ต่อมาคือ โทรทัศน์ LED ที่พัฒนาเป็น 3D และดูด้วยตาเปล่าได้เช่นกัน ได้แก่ WL 700 REGZA ซึ่งเป็นโทรทัศน์ 3D รุ่นแรกของโตชิบา ใน 2 ขนาดคือ 46 นิ้ว และ 55 นิ้ว โดย 46 นิ้ว ราคาประมาณ 9 หมื่นบาท และ 55 นิ้ว ราคาประมาณ 1.2 แสนบาท รุ่นนี้จุดเด่นคือ คุณภาพของภาพ 3 มิติที่สูงมาก และสไตล์การออกแบบก็มีการดีไซน์ร่วมกับ จาคอบ เจนเซ่น ดีไซน์เซ็นเตอร์ ซึ่งใช้วัสดุกระจกและเมทัลมาผสมผสานกัน จึงเป็นอีกรุ่นที่เตรียมเจาะตลาดไฮเอนด์โดยเฉพาะ
       
       POWER TV
       ทีวีกวาดชนชั้นกลาง

       
       ซีรีส์สุดท้ายคือ ซีรีส์เพาเวอร์ ทีวี (Power TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ที่เกิดจากงานวิจัยปัจจัยพื้นฐานในประเทศอาเซียน แล้วนำปัญหามาพัฒนาเป็นทีวีที่ตอบสนองผู้บริโภคในอาเซียนได้เป็นอย่างดี ในเพาเวอร์ทีวี 3 รุ่น คือ PC1, PS1 และ PB1
       
       รุ่น PC1 (Power Charger) เป็นแอลอีดีทีวีที่มีแบตเตอรี่สำรองในตัว โดยแบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มที่จะทำให้ทีวีสามารถทำงานต่อไปได้อีก 2 ชั่วโมง มีขนาด 24 และ 32 นิ้ว เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่คงที่ของการจ่ายไฟฟ้าหรือไฟฟ้าดับบ่อย
       
       รุ่น PS1 (Power Saver) เป็นซีรีส์ของทีวี LED เช่นเดียวกัน เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อความสามารถในการประหยัดพลังงาน มี 3 ขนาดคือ 24 นิ้ว 32 นิ้ว และขนาด 40 นิ้ว
       
       รุ่น PB1 (Power Booster) รุ่นนี้เป็นซีรีส์ของทีวี LCD TV ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูโทรทัศน์แบบเสียงดัง ซึ่งจากการทำวิจัยพบว่าผู้บริโภคในประเทศอาเซียนหลายประเทศนิยมดูโทรทัศน์ เสียงดัง ซึ่งรุ่นนี้จะสามารถปรับเสียงให้ดังได้ 20 วัตต์ อีกทั้งยังสามารถปรับขนาดภาพให้มีความคมชัดมากขึ้น ในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่ดีอีกด้วย รุ่นนี้มี 2 ขนาดคือ 24 นิ้ว และ 32 นิ้ว
       
       “กลุ่มโทรทัศน์ Power TV นี้ เป็นไฮไลต์ที่จะมาเจาะตลาดชนชั้นกลางในอาเซียน ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดและรายแรกของโลก ในส่วนประเทศไทยนั้น เชื่อว่ากลุ่ม Power TV นี้จะสามารถทำให้ยอดขายในประเทศของ บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ มียอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่า และจะทำให้เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า 10%” ฮิเดโนริ มัสสุอิ กล่าว

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 ธันวาคม 2010, 13:19:37
พอร์ต VGA จะเลิกใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

รายงานข่าวล่าสุด บริษัทผู้ผลิตโพรเซสเซอร์ และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel, AMD และ Samsung ออกมาประกาศแผนการที่จะยกเลิกการใช้พอร์ต VGA โดยจะเปลี่ยนมาใช้เป็นพอร์ต HDMI และ DisplayPort กับผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท

VGA (Video Graphic Array) เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อส่วนแสดงผลที่มีอายุอานามหลายสิบปี โดยทำหน้าที่เชื่อมต่อมอนิเตอร์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม มันมีข้อจำกัดของเทคโนโลยี VGA ที่เป็นแอนาล็อกนั่นก็คือ ความสามารถในการแสดงผลที่ความละเอียดสูงสุด ซึ่งเทคโนโลยี HDMI และ DisplayPort ที่ทำงานในระบบดิจิตอลจะตอบโจทย์การใช้งานปัจจุบันได้ดีกว่า ว่าแล้วยักษ์ใหญ่ในโลกเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น Intel, AMD, Samsung, LG, Dell และ Lenovo ต่างก็ออกมาประกาศแผนการเลิกใช้ VGA โดยเปลี่ยนไปใชพอร์ต HDMI และ DisplayPort เป็นอินเตอร์เฟซหลักสำหรับจอแสดงผลของพีซีแทน

(http://www.arip.co.th/images/news/hardware/1/Goodbye-VGA-Port-intel-amd-samsung-dell-LG-Lenovo-2.jpg)

"อินเตอร์เฟซจอแสดงผลดิจิตอลสมัยใหฒ่อย่างเช่น DisplayPort และ HDMI จะให้ประสบการ์ณในการใช้พีซีที่เหนือกว่า โดยเฉพาะความละเอียดของการแสดงผลที่สูงขึ้น และความล้ำลึกของสีทีแสดง ในขณะที่ใช้พลังงานต่ำกว่า โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์แลปทอป" Eric Mentzer รองประธานบริษัท Intel กล่าว "การย้ายไปใช้อินเตอร์เฟซใหม่จะทำให้ Intel สามารถโฟกัสการลงทุนไปที่นวตกรรมใหม่ๆ ในการสร้างประสบการณ์ในการใช้งานพีซี แทนที่จะต้องมาคอยแก้ปัญหาให้เทคโนโลยีใหม่สนับสนุนอินเตอร์เฟซแอนาล็อก เก่าๆ" ทางด้าน AMD มีแผนที่จะเลิกใช้ LVDS และ VGA ในปี 2013 และจะไม่เห็นพอร์ตเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทเลยในปี 2015

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 ธันวาคม 2010, 14:31:31
Android แอคติเวท 3 แสนเครื่องต่อวัน

Google อ้างว่า ปัจจุบันมีการกระตุ้น (activate) การทำงานของสมาร์ทโฟน Android ทะลุ 300,000 เครื่องต่อวันแล้ว ซึ่งเท่ากับการเปิดมือถือใหม่ทั่วโลกทีใช้โอเอส Symbian ตัวเลขดังกล่าวนอกจากจะบอกถึงชัยชนะของ Android แล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงยอดขายที่น่าจับตามองอีกด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม Eric Schmidt ซีอีโอของ Google กล่าวว่า ทางบริษัทได้กระตุ้นการทำงานของมือถือ Android ประมาณ 200,000 เครื่องต่อวัน แต่ยอดตัวเลขใหม่ที่ได้มีการทวีตโดย Andy Rubin เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาระบุตัวเลขที่กระโดดขึ้นไปเป็นมากกว่า 300,000 เครื่องต่อวัน ซึ่งทำให้เป็นไปได้อย่างมากที่ Android จะเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-smartphone-activated-over-300000-units-per-day-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์มาก นัก เนื่องจากพวกเขาได้คาดการณ์ไว้แล้ว อย่างไรก็ดี ความเร็วของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างหาก เนื่องจากมันเป็นการเติบโตที่เร็วกว่าเดิมถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลสำรวจล่าสุดยังระบุอีกว่า ครึ่งหนึ่งของยอดขายสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯช่วงไตรมาสที่ 3 เป็น Android สำรวจโดย comScore

เมื่อเป็นเช่นนี้ คาดว่า Apple คงเตรียมการตอบโต้ Android อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางผ่านเครือข่ายผู้ให้บริการมือถือนอกจาก AT&T ที่จะหมดสัญญาในปี 2011 ตามด้วยการออก iPhone 5 ทังนี้คงต้องดูกันต่อไปว่า แผนการทั้งสองข้อจะสามารถหยุดยั้งการเติบโตของ Android ได้ หรือไม่?

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 ธันวาคม 2010, 15:45:08
"Angry Bird" ครองแชมป์ App. ยอดนิยมแห่งปี

ความร้อนแรงของระบบปฏิบัติการ iOS ของแอปเปิล (Apple) ทำให้วันนี้บนร้านค้าออนไลน์อย่าง Apple Store มีแอปพลิเคชันให้ผู้ใช้งานได้เลือกดาวน์โหลดฟรี และเสียเงินมากกว่า 300,000 แอปฯ ล่าสุดแอปเปิลได้ออกมาประกาศรายชื่อแอปพลิเคชันที่ขายดีที่สุดแห่งปี 2010 ผลพบเกม Angry Bird และเครือข่ายสังคม Facebook เป็นแอปฯ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018457001.JPEG)

       แอปเปิลระบุว่า Angry Bird เป็นเกมที่ขายดีที่สุดแห่งปี ตามมาด้วยเกม Doodle Jump, Skee-Ball, Bejeweled 2 + Blitz และ Fruit Ninja ตามลำดับ โดย Rovio ผู้ผลิตเกม Angry Birds ให้ข้อมูลว่าเกมดังกล่าวสามารถขายได้ 12 ล้านชุด ตั้งแต่มีการเปิดตัวมา และมียอดดาวน์โหลดฟรี 30 ชุดในหนึ่งวัน
       
       นอกจากนี้เครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่าง เฟซบุ๊ก (Facebook) ยังเป็นแอปฯฟรี ที่ผู้ใช้มีการดาวน์โหลดมากที่สุด ตามมาด้วย Angry Birds Lite, เกม Words With Friends, โปรแกรมโทรศัพท์บนอินเทอร์เน็ตอย่าง Skype และเกม Tap Tap Revenge 3
       
       ตามติดกระแสไอแพดในเมืองไทย ด้วยแอปฯ สำหรับไอแพดที่มีการดาวน์โหลดฟรีมากที่สุด คือ iBooks ตามมาด้วย Pandora Radio, Netflix, Google Mobile App และเกมไพ่อย่าง Solitaire
       
       ปิดท้ายที่แอปฯ สำหรับไอแพดที่มียอดซื้อสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งคือ โปรแกรม Pages ตามมาด้วย GoodReader for iPad, Numbers, Angry Birds HD และ Keynote

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 ธันวาคม 2010, 22:00:14
รั่ว!!! เคส iPad 2 เผยกล้อง+ช่องใส่ SD

พบภาพรั่วที่กำลังว่อนเน็ตขณะนี้ที่หลายคนสงสัยว่า มันอาจจะเป็นเคสด้านหลัง iPad 2 ที่หลุดออกมาจากโรงงานผลิตแห่งหนึ่งในจีน ซึ่งหากเป็นไปอย่างที่ข่าวว่า แล้วรูที่อยู่มุมบนซ้าย และช่องเว้าบริเวณขอบที่เพิ่มขึ้นมานั้น คืออะไรกันแน่?

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/ipad-2-case-leaked-show-rear-camera-and-sd-card-slot-2.jpg)

หากพิจารณาภาพเคสที่สันนิษฐานว่าเป็นเคสด้านหลังของ iPad 2 รูวงกลมที่อยู่มุมบนซ้ายน่าจะเจาะไว้สำหรับ"กล้องด้านหลัง" ส่วนรอยเว้าขนาดใหญ่ที่ขอบด้านข้างล่าง ซึ่งอยู่ถัดจากช่องของคอนเน็คเตอร์น่าจะเป็นช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD อย่างไรก็ตามมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกมาว่า มันอาจจะไม่ใช่ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD แต่น่าจะเป็นช่องของลำโพงที่ใหญ่กว่าเดิม

ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ เนื่องจาก Apple ไม่เคยดีไซน์ช่องขนาดใหญ่สำหรับลำโพง โดยอ้างอิงจาก iPhone และ iPod Touch หากเคสนี้เป็นของจริง iPad 2 อาจจะแตะเบรค Samsung Galaxy Tab ได้สำเร็จ ว่าแต่แล้วมันจะแตะเบรค iPad เวอร์ชันปัจจุบันด้วยไหม?

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 ธันวาคม 2010, 23:03:57
Real Steel หุ่นเหล็กสังเวียนเดือด!!!

วันหยุดอย่างนี้ มีคลิปตัวอย่างหนังแอคชั่นชุดล่าสุดเรื่อง REAL STEEL หุ่นเหล็กสังเวียนเดือด ภาพยนต์ที่ว่าด้วยหุ่นยนต์ชกมวยสุดไฮเทค ซึ่งได้พระเอกอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน มารับบท ชาร์ลี เคนตัน อดีตนักชกตกอับที่ผันตัวเองมาเป็นโปรโมเตอร์เล็กๆในกีฬา "หุ่นยนต์ชกมวย" เห็นแล้วนึกถึงของเล่นสมัยเด็กๆ เลย

(http://www.arip.co.th/images/news/video/real-steel-boxing-robot-the-movie-2.jpg)

เรื่องราวของ Real Steel ไม่ได้มีเฉพาะฉากแอคชั่นสุดมันส์เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดเรื่องของความผูกพันระหว่างพ่อลูกอีกด้วย เมื่อชาร์ลีผู้พ่อที่ตกอับได้กลับมาร่วมมือกับลูกชาย เพื่อพัฒนา และฝึกหุ่นยนต์นักชกให้สามารถขึ้นสังเวียนเดือดได้อีกครั้ง

Real Steel: หุ่นเหล็กสังเวียนเดือด มีกำหนดลงโรงในวันที่ 7 ตุลาคม 2011 รับรองว่า คุณต้องชอบแน่ๆ

http://www.youtube.com/watch?v=BkYYPKGykdk

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 ธันวาคม 2010, 04:08:47
จาก Wikileaks สู่เมืองไทย...อิสรภาพใหม่บนแก้วเหล้าใบเดิม

บริบททางสังคมมักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จนอาจกล่าวได้ว่าการมีเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ท่ามกลางการกีดกันไม่ให้เข้าถึงบางเรื่อง บางอย่าง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังเป็นปัญหาและคำถามที่ต้องการคำตอบแบบไม่เคยหมดสิ้น

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/12/10/images/news_img_366916_1.jpg)

วงเสวนา “ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์ จากวิกิลีกส์ถึงเมืองไทย” มีมุมมองสะท้อนความท้าทายระดับโลก สู่รัฐไทย ประเทศเล็กๆ แต่ปัญหาไม่เล็กเหมือนดังตัว...

ความมั่นคงรัฐเรื่องโกหกทั้งเพ

นายนิรันดร์  พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กรณีวิกิลีกส์ เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าความมั่นคงของคน และสังคม ที่ผ่านมาระบบอำนาจนิยมนำไปสู่การทำลายล้าง ใช้สื่อปั้นแต่ง ครอบงำสิทธิเสรีภาพ

“เรื่องความมั่นคงของรัฐเป็น เรื่องโกหกทั้งเพ สังคมไทยชอบปิดบังข้อมูลข่าวสารแล้วบอกว่าคนไทยโง่ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องการปิดกั้นการเข้าถึงมากกว่า สังคมต้องมองเรื่องความดี ความเป็นธรรม หากจะเป็นธรรมรัฐต้องเปิดกว้าง ถ้าปิดถือว่าฮั้วกัน แล้วมาอ้างความมั่นคงของรัฐ”

ทั้งนี้มีข่าวสารเป็นแสนชิ้นถูกเผยแพร่ออกมา เรื่องนี้ไม่ใหม่แค่ตอกย้ำเรื่องที่รู้มานานแล้วคือเป็นแค่เรื่องหลอกลวงของ ชนชั้นปกครอง และกลุ่มอำนาจผลประโยชน์ จากนี้ความรู้จะไม่ใช่อำนาจอีกต่อไป แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการต่อสู้ภาคประชาสังคม เพื่อมีส่วนร่วมทางการเมือง และควบคุมตรวจสอบชนชั้นปกครองในการใช้อำนาจ

เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายคนพยายามนำประเด็นเหล่านี้มาเอาผิดกัน ไม่ต่างกับการนำอำนาจกฎหมายและนโยบายเพื่อสร้างความชอบธรรมโดยการปิดเว็บไซ ต์ หรือปิดกั้นสื่ออินเทอร์เน็ตต่างๆ

อย่างไรก็ตาม การพยายามใช้ความมั่นคงของรัฐมา ปิดกั้นสื่อ เป็นประเด็นต้องทบทวนว่าเป็นการครอบงำ หรือแทรกแซงการเติบโตของพลเมืองหรือไม่ โดยมีหลักการพิจารณาที่สำคัญคือ สื่อต้องทำหน้าที่บอกความจริงต่อสังคม กระตุ้นให้มีการเปิดพื้นที่การแสดงออก

ข่าวสารคืออำนาจ

นายโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับสหรัฐในไทยมีโอกาสเป็นไปได้สูง คำถามคือแล้วจะกระทบแรงแค่ไหน ตัวความมั่นคงคืออะไรกันแน่ จริงๆ แล้ววิกิลีกส์เป็น แค่ตัวกลางที่เสนอข่าวขึ้นมา และได้รับการรับรองว่าเป็นเรื่องจริง และจะยิ่งทำงานได้ดีเมื่อมีระบบการันตีว่ามีระบบความปลอดภัยแหล่งข่าว

“แรกๆ ดูเหมือนพระเอก ไปๆ มาๆ ถูกวิจารณ์ค่อนข้างเยอะ ผมขอแบ่งรับแบ่งสู้ไม่อาจตอบได้ว่าไม่เกี่ยวกับความมั่นคงเลย แต่ถ้าพูดว่าทำลายโดยตรงอาจจะไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับประเภท และเนื้อหาข้อมูลเป็นแบบไหน มีผลกระทบทางดีหรือทางร้าย”

เขาให้ข้อสังเกตว่า การเปิดเผยข้อมูลลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นช่องทางใหม่ที่ประชาชนมีโอกาสเป็นผู้เผยแพร่ ทำให้ข้อมูลข่าวมีอำนาจมากขึ้น แต่ถ้ารัฐบาลโปร่งใสไม่มีอะไรต้องกลัว

ขณะที่นายอัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เสริมว่า ในมุมของการสื่อสารและสื่อ หลายสิบปีที่ผ่านมาสังคมอยู่ในยุคของคลื่นลูกที่ 2 ที่สื่อมวลชนมีพลานุภาพสูงสุด ประชากรในสังคมถูกจับตามอง วันนี้เป็นคลื่นลูกที่ 3 หรือยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร ที่เขย่าการรับรู้ของคนสังคม เป็นโอกาสที่พัฒนาสู่การมีเครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อการแสดงออก

“ถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรตามมา แต่สุดท้ายความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ระหว่างเสรีภาพของสื่อใหม่ของนักข่าวพลเมืองที่ใครก็สามารถเผยแพร่ข่าวได้ กับความรับผิดชอบอยู่ตรงไหน สุดท้ายประโยชน์สาธารณะต้องสูงกว่า”

รอยต่อการเปลี่ยนแปลง

พันเอกธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองการเมือง กล่าวว่า ข้ามมาจากยุคของนอนเทรดดิชั่นแนลซีเคียวริตี้ สู่ยุคโซเชียลมีเดีย วิกิลีกส์เป็น รอยต่อ และจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง วันนี้โลกเปลี่ยนเป็นฮิวแมน ซีเคียวริตี้ ที่ความคิดฝ่ายบริหารยังไปไม่ทัน กลไกที่เหมาะคือภาคประชาสังคม จากนี้จะมีการโต้แย้งรุนแรงขึ้นอีก

เขาเล่าว่า ประเด็นความมั่นคงแห่งรัฐเป็นการตกค้างความคิดหน่วยงานด้านความมั่นคง การปฏิรูป และธรรมาภิบาลในหน่วยงาน หากไม่มองเรื่องอุดมคตินิยม ปัญหาธรรมาภิบาลจะมาแน่นอน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสังคมยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

“เมื่ออยู่ยุคเปลี่ยนผ่านต้องอดทนและมันจะไปสู่จุดที่ต้องยืน สมัยก่อนอารยธรรมสร้างมา 3 พันปี วันนี้ความขัดแย้งมีมาไม่กี่เดือน บริบทสังคมในระยะยาวหน่วยงานความมั่นคงต้องถอยไปยังจุดที่ควร”

นายกานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการ สยาม อินเทลลิเจนท์ ยูนิต มองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร ที่แน่ๆ คือ การบริหารงานภาครัฐอดีตองค์กรภาครัฐกำหนดนโยบายจะเปลี่ยนสู่ภาคประชาชนมาก ขึ้น ขณะที่รัฐมีปัญหาปกปิดความลับเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง

เขากล่าวว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น หากยังเพิกเฉยไม่ทำสิ่งอันควรทำอาจเกิดความรุนแรงซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด ขึ้น หลายประเทศในเอเชียกำลังอยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลง มีสิ่งที่แตะต้องพูดถึงไม่ได้ แต่เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนโลก ต้องรอดูและเผื่อใจ

(http://www.antifascistencyclopedia.com/wp-content/uploads/2010/12/wikileaks_article.gif)

ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า สถานการณ์สิทธิเสรีภาพอินเทอร์เน็ตประจำปีนี้อยู่ในขั้นวิกฤติ เพราะมีการใช้กฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการให้อำนาจ ศอฉ. ปิดกันเว็บไซต์อย่างไรก็ได้ ทั้งสามารถดำเนินคดีกับใครก็ได้ที่เข้าข่ายขัดความมั่นคงของรัฐในสายตา ศอฉ.

จุดนี้เป็นตัวชี้วัดที่ทำให้เสรีภาพสื่อและเสรีภาพอินเทอร์เน็ตในประเทศ ไทยตกอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้ประเทศตกอยู่ในสายตาขอนานาประเทศเรื่องความลดระดับเรื่องสิทธิและ เสรีภาพทางการเมือง และถูกมองว่ารัฐไทยมองอินเทอร์เน็ตเป็นศัตรูทางการเมือง

ทั้งนี้ ภาพรวมตัวเลขการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตในไทย คาดว่า ปีนี้จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 21 ล้านราย จาก 18 ล้านรายเมื่อปีก่อน ข้อมูล กทช.ไตรมาส 2 ปี 2553 ระบุผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีจำนวน 2.4 ล้านรายเติบโตขึ้น 23% ทั้งมีข้อมูลว่าการใช้งานนอนวอยซ์ และดาต้า เซอร์วิสผ่านมือถือเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราคงที่แม้ว่าไม่มี 3จีก็ตาม

ที่น่าสนใจคือ ปีนี้เป็นปีทองของโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยเฉพาะเฟซบุ๊คจากผลสำรวจพบว่า มีอัตราการเติบโตมากถึง 235% จาก 4.6 ล้านรายเป็น 6.6 ล้านราย

นางสาวอรชพร นิมิตรกุลพร รักษาการผู้อำนวยการ คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เล่าว่า จากประสบการณ์การทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชัดเจนว่าภาครัฐใช้เว็บไซต์ของตัวเองส่งผ่านข้อมูลมายังประชาชน ในแง่การแสดงออกทางความคิดพื้นที่ของประชาชนมีน้อย ประชาชนมีความกลัวสูง การแก้ปัญหามองในภาพใหญ่ถ้าข้อมูลไม่พอก็อาจทำได้ยาก ทำให้หาจุดลงตัวลำบาก แต่เชื่อว่าแต่ละคนจะมีหนทางของตนเอง
 
พ.ร.บ.คอมพ์ถูกสอดไส้

นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ชี้ว่า อำนาจรัฐทั่วโลกเหมือนกันหมด คือต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยอ้างเรื่องความมั่นคง หรือศีลธรรมอันดีงาม หรือไม่ก็เพื่อการต่อสู้กับสงครามก่อการร้าย

เขากล่าวว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกสอดไส้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการจำกัดเสรีภาพ การจำกัดเสรีภาพมีหลายรูปแบบ ไม่ได้มีเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่มีกฎหมายหมิ่นประมาท และตัวบทอื่นๆ ฉะนั้นมาตราทั้งหลายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพต้องยกเลิกให้ได้ และต้องยกเลิกโดยพลังของประชาชน ไม่ใช่ยกเลิก พ.ร.บ.ทั้งหมด แต่ต้องยกเลิกเนื้อหาที่จำกัดเสรีภาพออกไป

“ประเทศไทยค่อนข้างมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทุกรูปแบบตราบใดที่ ไม่พูดถึงสถาบันกษัตริย์ เรื่องนี้เป็นความจริงในทางปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ในทางทฤษฎี ความน่ากลัวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  รวมถึงกฎอัยการศึก และ พ.ร.บ.ความมั่นคง คือการเปิดโอกาสให้มีการเซ็นเซอร์การแสดงความคิดเห็น ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่ทำลายสถาบันก็คือคนที่แสดงตัวว่าปกป้องสถาบัน เพราะเป็นการปิดปากประชาชน เมื่อปิดปากประชาชน เขาก็ไปคุยกันในที่ลับ ที่บ้าน หรือที่อื่นๆ ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้” นายจอน กล่าว

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 ธันวาคม 2010, 13:43:27
ด่วน!!! Firefox 3.6.13 อุด 11 ช่องโหว่

เริ่มต้นข่าวเที่ยงนี้ ขอประเดิมด้วยรายงานล่าสุดที่ผู้ใช้ Firefox ควรทราบนั่นคือ Mozilla ได้อัพเดตเวอร์ชันใหม่ของบราวเซอร์ Firefox เป็น 3.6.13 เพื่ออุด 11 ช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังได้อัพเดตอีเมล์ไคลเอ็นต์อย่าง Thunderbird เป็น 3.1.7 ด้วย

สำหรับช่องโหว่ 11 แห่งที่พบนั้น 9 ช่องโหว่ถูกระบุว่าเป็นช่องโหว่วิกฤต (critical) ส่วนที่เหลือเป็นช่องโหว่ที่มีความร้ายแรงระดับปานกลาง (moderate) และสูง (high) ทั้งนี้ในส่วนของช่องโหว่วิกฤตก็จะเกี่ยวข้องกับการกระโดดข้ามระบบรักษาความ ปลอดภถัยของ Java การสั่งรันโค้ดอันตรายผ่านเน็ต และช่องโหว่ต่างๆ ที่เกิดจากระบบจัดการหน่วยความจำที่ไม่ชัดเจน ส่วนช่องโหว่ที่ไม่วิกฤตก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้ารหัสตัวอักษร และการหลอกให้เข้าใจผิดคิดว่าการเชื่อมต่อขณะนั้นปลอดภัยด้วย SSL แล้ว ทาง Mozilla กล่าวว่า การอัพเดตยังได้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ระบบมีการทำงานที่สเถียรขึ้นอีก 68 แห่ง

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-3-6-13-pataches-11-security-holes-2.jpg)

นอกจากออกอัพเดต Firefox แล้ว ทาง Mozilla ยังได้ออก Thunderbird เวอร์ชัน 3.1.7 เพื่อปรับปรุงการทำงาน โดยเฉพาะการแสดงผลอีเมล์ที่เป็น HTML ทั้งในเรื่องของข้อผิดพลาด ประสิทธิภาพในการทำงาน ความสเถียรของโปรแกรม ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัย Mozilla ยังอ้างอีกด้วยว่า อัพเดตเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับโฟลเดอร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ที่อยู่ในเครื่อง และลดความเสี่ยงจากการเสียหายของเมล์บ๊อกซ์ที่ใช้ IMAP ทั้งนี้ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนให้ติดตั้งอัพเดตของซอฟต์แวร์ทั้งสองตัวแบบอัตโนมัติ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 ธันวาคม 2010, 14:48:45
เหตุผลที่ Chrome OS Netbook น่าใช้?

หลังจากทีได้มีการแนะนำกันไปบ้างแล้ว สำหรับ Chrome OS Netbook ซึ่งก็มีคุณผู้อ่านหลายท่านที่ให้ความสนใจกันพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำถามตามมาว่า มันก็แค่"เน็ตบุ๊ค"เครื่องหนึ่ง และหากจะว่าไปมันดูเหมือนกำลังจะเป็นขาลงของเน็ตบุ๊คไม่ใช่ หรือ? แล้ว Google Cr-48 เน็ตบุ๊คที่ทำงานด้วย Chrome OS มีดีอะไร? ที่ทำให้ผู้ใช้ต้องหันมามอง

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-chrome-os-netbook-preview-and-destroy-2.jpg)

หากคุณผู้อ่านสนใจในประเด็นนี้ ลองเสิร์ชคำว่า Google CR-48 ใน YouTube จะพบว่า มีคลิปสารพัดที่พยายามให้คำตอบในเรื่องนี้ ล่าสุดทาง Google เองได้จัดทำคลิปแนะนำ และตอกย้ำคำอ้างเกี่ยวกับ Google Chrome OS Netbook ที่ว่า มันไม่เพียงแต่มีดีไซน์ที่น่าใช้ด้วยความบางเพียง 0.9 นิ้ว และหนักแค่ 3.6 ปอนด์ (1.63 กิโลกรัม) เท่านั้น

แต่ไม่ว่าคุณจะทำมันพังสักกี่เครื่อง ข้อมูลต่างๆ และงานของคุณจะพร้อมใช้ด้วยระบบการทำงานแบบ Cloud computing ได้ทันทีที่เปลี่ยนเครื่องใหม่ ลองชมคลิปข้างข้างนี้ดูนะครับ รับรองว่า คุณต้องชอบแน่ๆ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 ธันวาคม 2010, 13:06:04
เทรนด์ไอทีปีกระต่าย องค์กรใช้แอพฯสร้างแต้มต่อธุรกิจ

ยังไม่ทันจะข้ามไป ปี 2554 หากปีนี้ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ออกมาสร้างความคึกคักได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความคึกคักของการปรับเปลี่ยนองค์กรที่นำเอาระบบไอทีใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว และสามารถแข่งขันได้อยู่ตลอดเวลา

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/12/11/images/news_img_366940_1.jpg)

เมื่อถึงปี 2554 คาดว่าจะเป็นปีที่มีการแข่งขัน และความหลากหลายทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และไทย

"เบง เทค เลียง" กรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเอ็นเทอร์ไพรส์ บิสิเนส บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประเมินสุดยอดเทรนด์ที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และไทยปี 2554 เอาไว้ อ้างอิงผลวิจัยล่าสุดที่เอชพีจัดทำขึ้น บ่งชี้ถึงบทบาทไอทีใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปัจจุบันว่า เปลี่ยนแปลงจากเดิมซึ่งมีบทบาทสนับสนุนเพียงงานบริหารองค์กร มาเป็นบทบาทของการเป็นศูนย์กลางที่สนับสนุนการทำงานทุกอย่างขององค์กร

ธุรกิจระบุไอทีสร้างนวัตกรรมใหม่

ผลสำรวจ ระบุว่า ผู้บริหารระดับอาวุโสในภาครัฐและธุรกิจกว่า 80% ตระหนักว่า องค์กรของตัวเองต้องปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าประชาชน ได้ตรงตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปให้ดีขึ้น

ขณะที่ 73% ระบุว่า เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาครัฐและธุรกิจ และอีก 76% กล่าวว่า ความสำเร็จในการดำเนินงานเกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการให้บริการ ของภาครัฐและธุรกิจ

"องค์กรธุรกิจปีหน้า จะมุ่งสู่การเป็น 'อินสแตนท์ -ออน เอ็นเตอร์ไพร์ซ' (Instant-On Enterprise) ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะทำให้องค์กรต่างๆ มีแต้มต่อในการแข่งขันที่เหนือกว่า ทั้งยังให้บริการตรงตามความต้องการของลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และประชาชนได้อย่างฉับไวและทันที" นาย เบง กล่าว

เขาอธิบายว่า ระบบอินสแตนท์-ออน เอ็นเตอร์ไพร์ซ จะทำงานบนแอพพลิเคชั่นที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา และสามารถปรับให้เข้ากับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย (Application Tranformation)

ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นที่มีความยืดหยุ่น และคล่องตัวในการใช้งานเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลายมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอพพลิเคชั่นที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สำหรับองค์กรธุรกิจและภาครัฐ

"แอพพลิเคชั่นที่ใช้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำให้องค์กรให้บริการใหม่ๆ เพื่อเพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร ขณะที่โซลูชั่นเดิมไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มีความยืดหยุ่น ทำให้มีงบประมาณบานปลายในการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี"

ผลสำรวจ ระบุว่า ปัจจุบันองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมการสำรวจมากกว่า 50% ใช้แอพพลิเคชั่นที่มีอายุนานกว่า 8 ปี ขณะที่กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 15% มีแอพพลิเคชั่นที่มีอายุนานกว่า 16 ปี และอีกมากกว่า 50% เห็นว่า ค่าใช้จ่าย ทรัพยากรและเวลาที่ต้องใช้ปรับปรุงและดูแลรักษาแอพพลิเคชั่นรุ่นเดิมเป็น อุปสรรคที่ทำให้องค์กรต่างๆ ไม่สามารถให้บริการใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งองค์กรต่างๆ ยังมีการขยายตัวของแอพพลิเคชั่นเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานมานานแล้ว

แอพฯที่ใช้ในองค์กรต้องยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ยังมีโมเดลการให้บริการด้านไอทีรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบโมบาย และ คลาวด์ คอมพิวติ้ง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งใหม่และท้าทายสำหรับองค์กรต่างๆ ทำให้หลายองค์กรจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีแอพพลิเคชั่น ทรานฟอร์เมชั่นที่เหมาะสม โดยกลุ่มตัวอย่างเกือบ 60% ระบุว่า การใช้เทคโนโลยีนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ตัวเองจะทำเป็นอันดับแรกในปี 2554

ทั้งนี้ ระบบอินสแตนท์-ออน เอ็นเตอร์ไพร์ซ ยังเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีที่สามารถปรับขยายและปรับลดให้ตรงตามความ ต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม โดยต้องมีเทคโนโลยีในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป แต่มีปริมาณที่เหมาะสมและสามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

"องค์กรแบบอินสแตนท์-ออน เอ็นเตอร์ไพร์ซ นั้น ฝ่ายไอทีจำ เป็นต้องจัดทำระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อปกป้องสินทรัพย์ทางธุรกิจของบริษัท และเปิดให้ผู้ที่ได้รับอนุญาตเข้าใช้งานได้เท่านั้น การศึกษาล่าสุดที่จัดทำขึ้นในนามเอชพี ระบุว่า ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ และด้านเทคโนโลยีทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทุก 1 ใน 2 คน เผชิญอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรม การเพิ่มความคล่องตัวของเทคโนโลยี และการให้บริการลูกค้า ซึ่งมีสาเหตุจากปัญหาระบบการรักษาความปลอดภัย"

อีก2ปีแนวโน้มข้อมูลพุ่งกว่า20%

ขณะเดียวกัน ยังบ่งชี้ว่า ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีผู้บริหารระดับสูงด้านเทคโนโลยีและธุรกิจเพียง 18% เท่านั้น ที่ระบุว่า ฝ่ายไอทีได้ ให้ข้อมูลตามที่เขาต้องการตลอดเวลา ปัญหานี้จะเลวร้ายยิ่งขึ้น เนื่องจากปี 2548 มนุษย์สร้างข้อมูลดิจิทัลจำนวน 150 เอ็กซาไบต์ แต่สามารถเพิ่มขึ้นมากกว่า 8 เท่าในปี 2553

ผู้บริหารระดับสูงทั้งด้านไอทีและ ธุรกิจ 88% เชื่อว่า อุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่มากกว่า 86% เชื่อว่า อุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านกฎหมายมีมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์ต่อข้อมูล 1 เทราไบต์

ปี 2553 ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสำคัญ

ปีเสือ 2553 ที่กำลังจะผ่านไปก็เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่องค์กรธุรกิจต่างพยายามนำมาประยุกต์ ปรับใช้เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานได้เพิ่มมากขึ้น

เริ่มที่การใช้เทคโนโลยีศูนย์ข้อมูลแบบผนวกในปี 2553 เป็นปีที่องค์กรหลายแห่งเริ่มติดตั้งอุปกรณ์ศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเพื่อรอง รับการขยายตัวของธุรกิจ ส่งผลให้เกิดปัญหาการอัดแน่นของเทคโนโลยี ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและดูแลระบบไอทีเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% ของงบประมาณด้านไอทีทั้งหมด

องค์กรต่างๆ จึงหันมาแก้ไขปัญหาการขยายตัวอย่างไร้ระเบียบของไอที ด้วยการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวก ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดทั่วโลกคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2555

นายเบง เทค เลียง กรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเอ็นเทอร์ไพรส์ บิสิเนส บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา เอชพีเดินหน้าส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวก อย่างครบวงจร รวมทั้งระบบคอมพิวติ้ง อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ลูกค้าสามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้สร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจของตัวเองได้อย่าง มีประสิทธิภาพ องค์กรต่างๆ สามารถใช้แอพพลิเคชั่นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งยังใช้ทรัพยากรได้อย่างยืดหยุ่นและคล่องตัวตามต้องการในแนวทางที่คุ้ม ค่าสูงสุด บริการได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างความคุ้มค่าจากการลงทุนด้านไอทีได้อย่างรวดเร็ว

องค์กรมุ่งพัฒนาแอพฯที่ทันสมัย

การมุ่งพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ล้ำสมัย ซึ่งถือว่า ปีนี้เป็นปีที่ประธานเจ้าหน้าที่ด้านไอทีหรือซีไอโอหลายรายได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบไอทีที่ ไร้ประสิทธิภาพเพื่อลดค่าใช้จ่ายและนำงบประมาณไปสร้างสรรค์ระบบการทำงาน ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่เน้น
การให้บริการตัวเองมากขึ้น

ดังนั้น แอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการประกอบธุรกิจของบริษัทต่างๆ จึงต้องรองรับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถก้าวไปในระดับเดียวกัน หรือล้ำหน้าคู่แข่ง เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทมีความต่อเนื่อง ราบรื่น ไม่สะดุด

ทั้งนี้ องค์กรหลายแห่งมีการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ซ้ำซ้อน ไม่คล่องตัว ทั้งยังต้องใช้งบประมาณในการดูแลรักษามาก ขณะที่การอัพเดทระบบให้ทันสมัยก็มีค่าใช้จ่ายสูง องค์กรเหล่านั้นจึงได้ปรับปรุงและยกระดับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้องค์กรต่างๆ มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบเดิมลดลง ทั้งยังมีงบประมาณเหลือนำไปลงทุนสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยเพิ่มขึ้น

คลาวด์ คอมพิวติ้งได้รับความนิยม

ซีไอโอในองค์กรธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐต่างเผชิญกับความกดดันในการมอบบริการที่รองรับเทคโนโลยี ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของผู้บริโภค หนึ่งในโซลูชั่นที่ได้รับความนิยมขององค์กรธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ คือ ระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ที่ส่งเสริมการทำคอลลาบอเรชั่น พร้อมทั้งเพิ่มความรวดเร็วและคล่องตัวในการทำงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งมาใช้ให้ได้ประโยชน์มากสุด องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องรู้ว่า ระบบไอทีของ ตัวเองนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์จากแหล่งใดและอย่างไร พร้อมพิจารณาคุณสมบัติของเทคโนโลยีคลาวด์เปรียบเทียบกับระบบการให้บริการแบบ เดิม และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อนำมาใช้สนับสนุนการดำเนินงานของตัวเองให้บรรลุเป้าหมายได้ตรงตามงบ ประมาณที่วางไว้

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 ธันวาคม 2010, 16:20:19
@rockdaworld กับ #TWT4TH จุดเล็กๆ เพื่อสังคมไทย

การสร้างชุมชนบนโลกทวิตเตอร์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องยากอย่างการทำให้ชุมชนออนไลน์มาร่วมกันสร้างสรรค์ กิจกรรมเพื่อสังคมก็เกิดขึ้นได้หลากหลายกับชาวทวิตเตอร์เช่นกัน หนึ่งในกลุ่มที่ได้รับการยอมรับว่าน่าสนใจที่สุดในสังคมออนไลน์ไทยขณะนี้คือ "Twitter For Thailand (TWT4TH)" แน่นอนว่านี้ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เชื่อว่าการมีอยู่ของกลุ่มนี้ ช่วยให้สังคมออนไลน์มีการพัฒนาบนคำขวัญ "ขอเป็นส่วนหนึ่ง จากจุดเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้ดีขึ้น"
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018121801.JPEG)
@rockdaworld ในงานการกุศลล่าสุดเพื่อนำเงินไปฟื้นฟูสถานที่สำคัญและให้ความรู้ธุรกิจชุมชนแก่พี่น้องใน อ.พิมาย จ.โคราช

       @rockdaworld หรือ รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ผู้จัดการทั่วไป (General. Manager) ของ Universal Music Thailand ผู้ให้กำเนิดกลุ่มทวิตเตอร์ ฟอร์ ไทยแลนด์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเริ่มต้นกลุ่มว่า เกิด ขึ้นมาหลังวิกฤติสังคมไทย ใช้เวลา 7 วันในการเตรียมการระดมสมองครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีแกนนำอยู่ประมาณ 20 คน บนสมาชิกที่ลงทะเบียนไว้สองร้อยกว่าคน
       
       "เพื่อนๆแทบทุกคนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของพวกเรานั้นล้วนให้การ สนับสนุนกิจกรรมของ #TWT4TH เป็นอย่างดีทุกครั้ง ดังนั้นถ้าพูดถึงแนวร่วมของ #TWT4TH ก็น่าจะมีอยู่หลายพันคน ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นทวิตเตอร์ เท่านั้น จะเป็นเฟซบุ๊ก หรืออื่นๆ หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็ได้ ขอเพียงมีหัวใจอาสา ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง"
       
       "ที่ผ่านมาสมาชิกบางท่านก็ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายสังคมเพียงแต่ทราบ ข่าว ก็เข้ามาไปๆมาๆ ก็เลยถูกจับเล่น twitter กับ facebook ไปเลยครับ"
       
       กลุ่ม "ทวิตเตอร์ ฟอร์ ไทยแลนด์" (#TWT4TH) ถือเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่เริ่มมาจากคนใน โซเชียล เน็ตเวิร์ค มารวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆเพื่อสังคม โดยใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ก อย่าง ทวิตเตอร์ @TWT4TH เฟซบุ๊ก TWT For Thailand เว็บไซต์ www.twt4th.in.th (http://www.twt4th.in.th) เป็นแกนกลาง โดยในการดำเนินงานนั้นมีทั้งทำงานร่วมกลับกลุ่มอาสา หรือองค์กรอื่นๆ และจัดกิจกรรมเป็นของตัวเอง
       
       "เราเน้นการดำเนินงานที่ต้องเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม และจะต้องทำแล้วเห็นผลชัดเจน"
       
       งานแรกที่ #TWT4TH จัดขึ้นคือการจัดเวทีสาธารณะเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์และฟื้นฟูสังคมไทยผ่านทางกิจกรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังร่วมกับองค์กรอื่นๆ อย่างเช่น ศูนย์คุณธรรม ในการแสดงความคิดเห็น และนำเสนอบทบาทของโซเชียลมีเดีย กับการปฏิรูปสังคมไทย นอกจากนี้คณะทำงาน #TWT4TH ยังมีการประสานงานกันตลอดเวลาผ่านทางโซเชียลมีเดีย และ ประชุมตามปกติกันเดือนละครั้ง
       
       ล่าสุดได้มีการจัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่เสี่ยงภัย เข้าถึงยาก ร่วมกับมูลนิธิ 1500 ไมล์ โดยมีหลักการในการประสานงานกับอาสาสมัครในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ฟื้นฟู และคอยแจ้งเตือน และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับพิบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
       
       "เดือนตุลาคมที่ผ่ามา เรามีการระดมอาสาสมัครลำเลียงถุงยังชีพลงในพื้นที่ และมีการระดมเงินบริจาคผ่านทางระบบออนไลน์ การจัดประมูลการกุศลผ่านระบบออนไลน์ และการจัดชมภาพยนตร์เรื่อง The Social Network ในรอบพิเศษ รับชมก่อนใครเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาในการโปรโมทงานเพียง 3 วัน แต่มีคนให้ความสนใจเต็มโรง รวมรายได้ทั้งสิ้น 65,000 บาท"
       
       โดยทาง #TWT4TH ได้ยึดคำขวัญ "ขอเป็นส่วนหนึ่ง จากจุดเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้ดีขึ้น" ทำให้การทำกิจกรรมต่างๆต้องเน้นที่ความโปร่งใส รวดเร็ว เห็นผลชัดเจน และยินดีต้อนรับทุกคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่อ้างอิงกลุ่มการเมืองหรือองค์กรใดๆ
       
       "เราแสดงออกผ่านการกระทำของพวกเรา จนทำให้มีคนสนใจเข้าร่วมและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ก็มีหลายคนที่เคยเคลือบแคลงสงสัยในวัตถุประสงค์ของกลุ่ม แต่ท้ายที่สุดแล้วก็กลับกลายมาเป็นแนวร่วมที่เข้มแข็ง เป็นการสร้างความสามัคคีได้โดยปริยาย ที่น่าดีใจมีบางคนบอกกับเราว่าหลังจากที่ได้เห็นการทำงานของพวกเรา เขาก็ได้เปลี่ยนทัศนคติและปาวรณาตัวที่จะเป็นคนดีของสังคมต่อไป เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ"
       
       ผู้ที่มาเข้าร่วมงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะอาศัยหลักการที่ว่า "ทำดี รู้สึกดี" เพราะเป็นงานอาสาสมัคร ที่ต้องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกเหนือจากเวลาทำงานหรือเวลาเรียน ดั้งนั้นหากจะช่วยคนอื่น ช่วยสังคม ให้ดีได้นั้น ต้องมั่นใจว่าตนเองต้องไม่เดือดร้อน ต้องไม่เสียเรื่องหน้าที่การงาน โดยส่วนใหญ่เป็นการทำกิจกรรมแบบพอดีตัว ตามสรรพกำลัง อาจมีผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ บ้างเป็นธรรมดาถือเป็นบทเรียนในการทำงาน
       
       ส่วนการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งนั้น กลุ่มจะเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากคนในกลุ่มและคนอื่นๆที่เสนอเข้ามา บนจุดประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารของสังคมไทย
       
       "หากสอดคล้องกับแนวทางของเราก็จะรวบรวมสรรพกำลังเพื่อลงมือทำกันต่อ ไป และคาดว่ากิจกรรมในอนาคตคงจะมีอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นการให้ความรู้เกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์คให้กับชุมชน เพราะเราถือว่าการให้ความรู้และโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย และได้แบ่งปันข้อมูลนั้น เป็นการสร้างความเท่าเทียมกันในด้านข้อมูลข่าวสาร และเป็นการลดช่องว่างทางสังคมได้อีกทางหนึ่ง"

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 13:05:06
Sphero ลูกบอลไฮเทคบังคับด้วยมือถือ?

รายงานข่าวแรกของวันนี้ ขอประเดิมด้วยแก็ดเจ็ต (Gadget) ที่เป็นของเล่นไอเดียที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ Sphero หุ่นยนต์"ลูกบอล"จากบริษัท Orbotix ซึ่งสามารถควบคุมให้มันเคลื่อนที่กลิ้งไปมาได้ด้วย Bluetooth และเซ็นเซอร์จับตำแหน่งการเอียง (Tilt Sensor) บนสมาร์ทโฟนของคุณ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/sphero-robotic-ball-controlled-via-bluetooth-on-smartphone-2.jpg)

ก่อนหน้านี้ เราเห็นความพยายามใช้ iPhone และสมาร์ทโฟน Android ในการควบคุมของเล่นตั้งแต่รถบังคับวิทยุไปจนถึง AR. Drone เครื่องบินบังคับแบบ 4 ใบพัด แต่สำหรับในงาน CES 2011 ที่จะมีในเดือนมกราคมนี้ หลายคนจะได้พบกับ Sphero ลูกบอลไฮเทคฯที่สามารถควบคุมให้กลิ้งไปในทิศทางต่างๆ ได้ตามต้องการ เพียงแค่คุณจับสมาร์ทโฟนเอียงไปมาเท่านั้น ว่าแต่นี่เราขี้เกียจถึงขั้นแค่จะกลิ้งลูกบอลเล่นกันเลย หรือนี่?

แต่อย่าเพิ่งสรุปเอาง่ายๆ เช่นนั้น ซีอีโอ orbotix เล่า ว่า การใช้สมาร์ทโฟนควบคุมลูกบอลของเขาเป็นอะไรที่สนุกมาก และมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแอพพลิเคชันต่างๆ ได้มากมาย เช่น เกมส์ Augmented Reality, ปริศนาเขาวงกต เป็นต้น โดยทางบริษัทได้ทำ API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันบน iPhone และ Android เพื่อใช้ควบคุมเจ้า Sphero ให้ด้วย Spero จะน่าสนุกแค่ไหน

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 13:57:47
Toshiba โชว์ "แท็บเล็ต 3D" ไม่ง้อแว่น

Autosteroscopic (หมายถึงระบบสร้างภาพ 3D แบบไม่ต้องใช้แว่นตา) 3D Screen เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ปัญหาของเทคนิคนี้ก็คือ ผู้ใช้จะสามารถมองเห็นภาพ 3D ที่สมบูรณ์แบบในมุมมองที่ไม่กว้างมากนัก นั่นหมายความว่า ในบางมุมมองผู้ใช้จะไม่สามารถเห็นมิติที่ทะลุจอออกมาได้ชัดเจน

แต่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป เมื่อได้สัมผัสกับเทคโนโลยี Toshiba Mobile Display หน้าจอแสดงผล 3D ที่สามารถปรับตำแหน่งที่ให้ผู้ใช้ได้มองเห็นวัตถุในรูป 3D ตลอดเวลา โดยแทนที่ผู้บริโภคจะต้องเลือกหามุมมอง ด้วยหน้าจอขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยี ผู้บริโภคจะใช้มือจับหน้าจอ เพื่อมองภาพวัตถุที่อยู่ภายในแทน โดยเทคโนโลยีของการแสดงผลจะคอยปรับแต่งให้ เห็นภาพเป็น 3D ที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา (อาศัยหลักการที่ว่า ลักษณะการจ้องมองจะตั้งฉากหน้าจอ เพราะส่วนใหญ่จะดูคนเดียว)

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/toshiba-glass-free-3D-display-systems-2.jpg)

ความลับของเทคโนโลยีนี้ก็คือ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง 6 แกน (6-axis accelerometer) เข้าไปในหน้าจอแท็บเล็ตขนาด 12.1 นิ้ว เมื่อผู้บริโภคเอียงแท็บเล็ตในมุมมองต่างๆ ก็จะสามารถมองเห็นมุมมองต่างๆ ของภาพวัตถุ 3D ในหน้าจอ โดยซอฟต์แวร์จะแสดงภาพ 3D ในมุมมองที่เหมาะสมด้วยการคำนวณค่าที่ได้จากเซ็นเซอร์นั่นเอง แทนที่จะผลักภาระการทำงานไปให้กับฮาร์ดแวร์

Toshiba คาดว่า มันเหมาะสำหรับการใช้งานทางด้านการศึกษา และชอปปิ้ง ซึ่งนอกจากจะจอของแท็บเล็ตต้นแบบจะแสดงผลเป็น 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นตาแล้ว มันยังมีรองรับการทำงานในระบบสัมผัสอีกด้วย

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 14:23:02
สั่งทำโมเดล 3D "ตัวจิ๋ว" ด้วยรูปถ่าย

คุณผู้อ่านเคยนึกอยากมีโมเดล"ตัวจิ๋ว"ที่เป็นตัวคุณเองกันบ้างไหมครับ หากสนใจ และอยากมีไว้ครอบครอง ลองแวะเข้าไปสั่งทำได้ที่ Sculpteo เพียงแค่ส่งไฟล์รูปถ่ายไปให้ 2-3 ใบ จ่ายตังค์ แล้วก็รอประมาณ 2 สัปดาห์ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของโมเดลจิ๋วที่หน้าตาเหมือนคุณเปี๊ยบ!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/sculpteo-mini-you-3d-printing-figure-for-yourself-services-2.jpg)

Sculpteo ให้ บริการพิมพ์โมเดล 3D กับผู้สนใจต้องการมีโมเดลจิ๋วของตัวเอง (หรือแฟนก็ได้) เพียงแค่อัพโหลดภาพ 2 รูปคือ หน้าตรง และทั้งตัวผ่านทางเว็บไซต์ จากนั้นทางบริษัทก็จะออกแบบโมเดลจิ๋วของตัวคุณ (mini-you) โดยใช้รายละเอียดจากภาพที่ส่งไปให้ ซึ่งในขั้นตอนที่สองทางบริษัทจะส่งภาพต้นแบบผลงานให้ดูก่อนผลิตจริง เผื่อว่าหากคุณต้องการแก้ไข หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกค้าก็จะได้รับโมเดลจิ๋วของตัวเอง โดยทางบริษัทมีให้เลือก 2 ขนาดด้วยกันคือ ที่ความสูงประมาณ 2.7 นิ้วราคาตัวละ 75 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,300 บาท หรือที่ความสูง 3.9 นิ้วราคา 130 เหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4,000 บาท อุ๊ปส์!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/sculpteo-mini-you-3d-printing-figure-for-yourself-services-3.jpg)

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 15:13:00
"วงใน" กินอะไรแค่คลิก!

"วงใน มีเดีย" สบช่องทำตลาดบนโลกออนไลน์ ผุดเว็บไซต์ wongnai.com บนแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นเอง หวังเป็นเครือข่ายสังคมด้านร้านอาหาร ให้ผู้ใช้เข้ามาช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อมูล ก่อนต่อยอดพัฒนาแอปฯ บนสมาร์ทโฟนทุกแพลตฟอร์ม
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018545701.JPEG)

       ยอด ชินสุภัคกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้งวงในมีเดีย เล่าให้ฟังว่า จุดกำเนิดของเว็บไซต์วงใน คือการที่ตนเองได้มีโอกาสไปศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ เอนจิเนียร์ในต่างประเทศ และพบว่ามีเว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับร้านอาหาร เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
       
       "ประเทศไทยยังไม่มีเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลร้านอาหาร ที่ให้ผู้ใช้เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างจริง และการค้นหาร้านอาหารในย่านต่างๆ ทำได้ยาก ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ ประกอบกับนิสัยของคนไทยที่เชื่อการบอกต่อมากกว่าการโฆษณาเป็นทุนเดิม ทำให้เกิดไอเดียในการสร้างเว็บวงในขึ้น"
       
       นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการที่ ให้ผู้ใช้สามารถรีวิวร้านอาหารได้ด้วยตนเอง จะเป็นการเพิ่มคอนเทนต์ให้กับเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งในต่างประเทศเรียกเว็บไซต์แนวนี้ว่าเป็น User Generated Content ในการรับข้อมูลต่างๆ จากผู้ใช้งาน
       
       "ด้วยความที่ต้องการให้ผู้ ใช้สามารถเชื่อมโยงการใช้งานเว็บไซต์ เข้ากับเครือข่ายสังคมออนไลน์ ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้ยูสเซอร์เนมจากเฟซบุ๊ก เข้ามาล็อกอินที่เว็บไซต์ เพื่อหาข้อมูล เขียนรีวิว และแชร์ร้านอาหารที่น่าสนใจให้กับเพื่อนๆ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้"
       
       โดยยอดมองว่า เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลร้านอาหารในประเทศไทยส่วนใหญ่ ยังใช้เป็นดาต้าเบสธรรมดา ไม่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ใช้ ทำให้เว็บไซต์ไม่ค่อยมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในจุดนี้เว็บไซต์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เข้ามาเขียนรีวิวอย่างวงใน จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
       
       "ในช่วงต้นที่เปิดทดลองให้บริการมาในระยะเวลา 3 เดือน มียอดผู้เข้าชมประมาณ 1 แสนคนต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 1,500 คนต่อวัน ในขณะที่ยังไม่มีการโปรโมทมากนัก แต่ต่อจากนี้เมื่อเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ จะมีการทำตลาดมากขึ้น"
       
       รูปแบบการทำตลาดที่วงใน มีเดียใช้จะเป็นการทำตลาดแบบบีโลว์เดอะไลน์ เจาะกลุ่มไปยังผู้นำความคิดในโลกเครือข่ายสังคมให้เข้ามาใช้งาน เพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่ามีเว็บไซต์ดังกล่าว รวมไปถึงการทำ Search Engine Optimization (SEO) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ ในการค้นหา
       
       "เท่าที่เราเปิดใช้งานมา ผู้ที่เข้ามาใช้บริการกว่า 60% เข้ามาจากทางกูเกิล ซึ่งในจุดนี้การทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้รักษาฐานลูกค้าไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าการขยายตลาดจำเป็นต้องใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมในการกระจายข่าว สาร ในแนวเพื่อนบอกต่อกันไป"
       
       ปัจจุบัน เว็บไซต์ www.wongnai.com (http://www.wongnai.com) มีฐานข้อมูลร้านอาหารอยู่ในระบบกว่า 7,000 ร้านทั่วประเทศ ล่าสุดได้มีการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Wongnai บนระบบปฏิบัติการ iOS ทำให้ผู้ใช้ไอโฟน สามารถโหลดแอปฯ มาใช้ได้ฟรี
       
       "การทำงานของแอปฯบนสมาร์ทโฟน จะนำระบบจีพีเอส ที่มีอยู่ในโทรศัพท์ มาช่วยระบุตำแหน่งผู้ใช้ เพื่อค้นหาร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียง โดยมีรายละเอียดของร้านอาหาร เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และรีวิวร้านอาหารจากบุคคลอื่นๆ ซึ่งต่อไปในช่วงต้นปีหน้า น่าจะมีการเปิดตัวแอปฯ บนระบบปฏิบัติการอย่างแอนดรอยด์ตามมา ส่วนแบล็กเบอร์รีนั้นกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาระบบ"
       
       สำหรับรูปแบบการประชาสัมพันธ์ในช่วงสิ้นปี มีการจัดกิจกรรม "Blogger Review Rush" ที่ให้ผู้ใช้ร่วมกันเขียนรีวิวร้านอาหาร ชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 10,000 บาท โดยอาศัยรูปแบบการรีวิวร้านอาหารตามบล็อก เว็บบอร์ด ให้ผู้ใช้มาโพสต์บนเว็บไซต์วงในแทน
       
       "เราต้องการดึงบล็อกเกอร์ ที่นิยมเขียนเรื่องราวรีวิวร้านอาหารต่างๆ มารวมกันอยู่ในเว็บไซต์ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และเป็นการเก็บข้อมูลในระยะยาว ซึ่งถ้าบล็อกเกอร์ทั่วไปนำไปโพสตามเว็บบอร์ด ความสะดวกในการค้นหาจะเป็นเรื่องยาก และมีความเสี่ยงต่อการสูญหายของข้อมูล"
       
       กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2553 - 9 มกราคม 2554 ผู้ใช้รายใดที่มีการโพสต์รีวิวร้านอาหารเข้าไปในระบบมากที่สุดเป็นผู้ชนะ แบ่งการแจกรางวัลออกเป็น 2 ช่วงคือ 24 ธันวาคม และ 9 มกราคม โดยข้อมูลและรูปที่ใช้ต้องเป็นของตนเอง แต่ไม่จำกัดว่าทำขึ้นเมื่อใด ขอให้ร้านอาหารยังเปิดอยู่ก็พอ

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 15:46:27
แจ้งเกิด "Tune Talk Thailand" โฉมใหม่ MVNO 3G TOT

โทนี่ เฟอร์นันเดส จับมือ ทอม เครือโสภณ ตั้งบริษัท Tune Talk Thailand เป็น MVNO ให้บริการ 3G TOT พร้อมเปิดบริการ 13 ม.ค.2554 อาศัยจุดแข็งลูกค้าแอร์เอเชีย 33 ล้านคนปีนี้และกว่า 51 ล้านคนปีหน้า โดยกว่า 12 ล้านคนเดินทางผ่านประเทศไทย เป็นฐานการตลาดชั้นเยี่ยม หวังสร้าง Seamless Roaming ซิมการ์ดเดียว โรมมิ่งอัตราเดียว ด้วยการตลาดแบบ Regional Marketing
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018544601.JPEG)
พาร์ตเนอร์ - วิเชียร นาคสีนวล โทนี่ เฟอร์นันเดส และทอม เครือโสภณ ผู้ก่อตั้ง Tune Talk Thailand สีสันของธุรกิจ MVNO 3G TOT รายใหม่ในประเทศไทย

       เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายโทนี่ เฟอร์นันเดส (Tony Fernandes) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสาย การบินแอร์เอเชีย ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับนายทอม เครือโสภณ ในสัดส่วน 49/51 เพื่อจัดตั้งบริษัท Tune Talk Thailand ในประเทศไทยเพื่อเป็น MVNO (Mobile Virtual Network Operator) บริการ 3G ของบริษัท ทีโอที โดยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท
       
       โทนี่ เฟอร์นันเดส กล่าวว่าสาเหตุที่มาลงทุน MVNO ในประเทศไทยเป็นเพราะรู้จักประเทศไทยดี และสามารถใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของแอร์เอเชียในการทำธุรกิจ โดยในปีนี้มีคนบินแอร์เอเชียประมาณ 33 ล้านคน ซึ่งมากกว่า 12 ล้านคนต้องแตะประเทศไทย ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีคนใช้บริการแอร์เอเชียกว่า 51 ล้านคน
       
       "ผมมั่นใจพาร์ตเนอร์อย่างทอม เพราะพูดภาษาเดียวกัน และเป็นพาร์ตเนอร์ที่มีความเข้มแข็งด้านการตลาด นอกจากนี้วิชันของทีโอทียังชัดเจนว่าจะต้องให้บริการผ่าน MVNO ซึ่งน่าจะเป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่ไม่ทำธุรกิจเพื่อมาแข่งกับ MVNO ของตนเอง"
       
       ในมุมมองของโทนี่ เห็นว่าบริการ โทรศัพท์มือถือต้องเป็นลักษณะให้บริการเชื่อมโยงคนในภูมิภาคในลักษณะ Regional Marketing ไม่ใช่เป็นแค่บริการเฉพาะในแต่ละประเทศ โทนี่ต้องการให้ลูกค้าใช้ซิมการ์ดเดียว อัตราโรมมิ่งเดียวทั่วภูมิภาค (Seamless Roaming) นอกจากนี้ยังต้องการโปรโมตบริการ DATA ที่เป็นจุดแข็งของ 3G ในแบบโลว์ คอส แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องโลว์ไพร์ซ หรือ โลว์ควอลิตี้โดยมองว่าในเรื่อง DATA แล้วอุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ตจะเติบโตอย่างมาก
       
       ทอม เครือโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Tune Talk Thailand กล่าวว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ม.ค.2554 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 3 กลุ่มคือ 1.ลูกค้าที่ใช้บริการแอร์เอเชีย รวมทั้งคนที่เดินทางข้ามชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย 2.กลุ่มคนที่ใช้ DATA ซึ่งไม่ใช่ใช้ผ่านสมาร์ทโฟนอย่างเดียว แต่รวมถึงแท็บเล็ตด้วย และ 3.กลุ่มคนที่ตลาดมองข้าม (Overlook Market) เช่นกลุ่มผู้ใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
       
       "เป้าหมายเราชัดเจนต้องการลูกค้า Active 5 แสนคนภายใน 18 เดือนและ 1 ล้านคนภายใน 24 เดือน โดยเราเตรียมเงินลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทภายในเวลา 3 ปี"
       
       การกลับเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคมอีกครั้งของทอม เกิดจากการชักชวนของนายวิเชียร นาคสีนวล อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที และเป็นประธานกรรมการบริหารใน Tune Talk Thailand ที่มองเห็นโอกาสเติบโตของ MVNO และความเชื่อว่าหาก MVNO รอด ก็หมายถึงทีโอทีรอด ซึ่งแนวทางของทอมคือต้องหาพาร์ตเนอร์ ซึ่งข้อสรุปลงตัวที่โทนี่ เฟอร์นันเดส
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018544602.JPEG)

       ทอมคุยกับโทนี่ที่ประเทศมาเลเซีย อาศัยคนเชื่อมชั้นดีอย่างทัศพล แบเลเว็ลด์ เพื่อพรีเซ็นต์โครงการ MVNO ช่วง 6-8 สัปดาห์ที่แล้ว โดยหลังจากเดินเข้าออกห้องประชุมระหว่างที่ทอมพรีเซ็นต์โครงการ โทนี่พูดย้ำแต่ "Let Do It" ซึ่งภายหลังโทนี่ให้เหตุผลว่าที่เลือกทอมเพราะคลิกกันและพูดภาษาเดียวกัน โดยที่โทนี่ไม่หวั่นไหวกับประเด็นข้อกม.ต่างๆเกี่ยวกับธุรกิจโทรคมนาคมของ ไทย เพราะเชื่อว่าธุรกิจสายการบินของแอร์เอเชีย เจอมรสุมด้านกม.และความซับซ้อนที่มากกว่าแต่ในเมื่อผ่านมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกับเรื่องใดๆอีก
       
       ส่วนมุมมองธุรกิจด้าน MVNO ของทอมนั้น เขาย้ำว่า MVNO ไม่ใช่ศัตรูหรือคู่แข่งของโอเปอเรเตอร์ไม่ว่าจะเป็นเอไอเอส ดีแทค หรือทรูมูฟ โดยเฉพาะเอไอเอสนั้นยังต้องอาศัยการโรมมิ่งวอยซ์ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรที่ ดีของ 3G TOT และ MVNO ทุกราย ซึ่งความสำเร็จของ MVNO คือต้องมีฐานลูกค้าชัดเจน ซึ่งสำหรับ Tune Talk Thailand ก็คือกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ง่ายๆ คือในเมื่อใครๆ ก็บินได้แล้ว หากต้องการชำระค่าสินค้าและบริการก็ต้องมีบัตรเครดิต ผ่านบริการของ Tune Money และเมื่อเดินทางไปไหนก็ต้อง มีรร.ที่พักอย่าง Tune Hotel รวมทั้งต้องสามารถใช้บริการโทรศัพท์มือถือโรมมิ่งในอัตราเดียวกันผ่านบริการ Tune Talk พูดง่ายๆ คือให้บริการทุกอย่างเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวของแอร์เอเชีย
       
       "ความสำเร็จของบริการ 3G TOT ขึ้นอยู่กับทีโอทีแล้วว่าจะมีโครงข่ายให้ใช้หรือไม่ เพราะตอนนี้มีพาร์ตเนอร์ที่พร้อมทำการตลาดและมีฐานลูกค้าพร้อมอย่าง Tune Talk Thailand แล้ว"

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 17:18:19
'D Ambassador' ขบวนการก่อการดี

"การทำความดีนั้น แม้ไม่มีใครรู้เห็น แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ผลดีที่เกิดขึ้น ยิ่งเพิ่มพูนและแผ่ขยายกว้างไปเป็นประโยชน์ เป็นความเจริญมั่นคงที่แท้แก่ตน แก่ส่วนรวมตลอดถึงชาติบ้านเมือง" พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/12/13/images/news_img_367030_4.jpg)

พระบรมราโชวาทนี้ได้จุดประกายต่อยอดโครงการ "คนไทยหัวใจสีขาว" ด้วยจุดเริ่มต้นการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ไปสู่การจัดทำโครงการ "ทูตความดีแห่งประเทศไทย" Thailand's D Ambassadors 2010 การค้นหาเยาวชนต้นแบบของนักเรียน นิสิต นักศึกษาจากทุกสถาบันทั่วประเทศ เพื่อเป็นแบบอย่าง สร้างแรงบันดาลใจให้กับสังคมในการ "กล้าทำความดี"
 
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานคณะทำงาน โครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย เล่าว่า องค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมที่ร่วมสนับสนุนโครงการคนไทยหัวใจสีขาว ต่างตระหนักถึงรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต คือ การปลุกจิตอาสาให้เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชน ที่มีกว่า 22 ล้านคนทั่วประเทศ  ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมเปิดรับความคิดใหม่ๆ ให้เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม ตั้งมั่นในการทำความดี เพื่อสร้างนักศึกษาและบัณฑิตต้นแบบ (Ideal Graduates) ทำหน้าที่แบ่งปันและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น ส่งเสริมค่านิยมในการสร้าง "คนดี" และ "คนเก่ง" ในสังคมไทย
 
จาก ประสบการณ์เดินสายบรรยายในโครงการคนไทยหัวใจสีขาว ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี จำนวน 260 ครั้ง มีผู้ฟังแล้วกว่า 5 หมื่นคน ได้รับเสียงสะท้อนจากกลุ่มเยาวชน  ถึงการเปิดพื้นที่ และเวทีเพื่อให้เยาวชนได้ร่วมแสดงออกถึงการทำความดีว่ามีอย่างจำกัด ที่สะดุดใจมากที่สุดในการแสดงออกของกลุ่มเยาวชนในเครือข่ายสังคมออนไลน์  กับข้อความที่ว่า "อย่าปล่อยให้ความดีไม่มีที่อยู่ อย่าปล่อยให้คนดีไม่มีที่ยืน"
 
จึงเป็นที่มาของโครงการ "ทูตความดีแห่งประเทศไทย 2553" หรือ D Ambassador 2010  ภายใต้สโลแกน Rewrite Thailand's Future เพื่อให้เยาวชนมาร่วมเขียนอนาคตประเทศไทยใหม่ 
 
โครงการ นี้จะเปิดรับอาสาสมัครเครือข่ายเยาวชนอายุตั้งแต่ 15-25 ปี ตั้งแต่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา นิสิต นักศึกษาระดับอุดมศึกษา อาชีวะ และวิทยาลัยชุมชน   ด้วยการส่งผลงานคลิปวีดิโอ ความยาวไม่เกิน 3 นาที บอกเล่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจที่ได้ทำความดี ภายใต้หัวข้อ "ความดี ดีที่ได้ทำ"  พร้อมอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ www.do-d-club.com (http://www.do-d-club.com)  โดยประชาชนทั่วไปจะร่วมโหวตผู้เข้ารอบ  หลังจากนั้นคณะกรรมการจะเดินสาย 4 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อคัดเลือก 12 ทีม เข้าสู่ "บ้านความดี"  ในรูปแบบ
"เรียลลิตี้ทำความดี"  ออกอากาศผ่านทรูวิชั่นส์เช่นเดียวกับการเข้ามาอยู่ใน "บ้านเอเอฟ" ของบรรดานักล่าฝัน 
 
โดย ทั้ง 12 ทีม จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านความดีตลอด 10 วัน เพื่อรับการอบรมพิเศษหลักสูตรต่างๆ  เช่น The Meta Secret  โดยผู้เขียน Dr.Mel Gill, ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง, การสร้างพลังบวก, กลยุทธ์ White Heart  เป็นต้น การคัดเลือก 12 ทีมเข้าสู่บ้านความดีจะอยู่ในช่วงเดือน เม.ย.2554 นำเสนอกิจกรรมต่างๆ ผ่าน "เรียลลิตี้ทำความดี"
 
การคัด เลือกตัวแทนทูตความดีแห่งประเทศไทย จะมาจากคะแนนโหวตของไอเดียการทำความดีแต่ละทีม ที่ผู้ชมชื่นชอบทางทรูวิชั่นส์และโซเชียลมีเดียต่างๆ ทีมที่ได้รับเลือกจะทำหน้าที่เป็น "ทูตความดี" เชิญชวนคนไทยทั่วประเทศมาร่วม "ขบวนการก่อการดี" พลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมแห่งการทำความดี
 
กลไกการสื่อสารหลักใน โครงการทูตแห่งความดีประเทศไทย ตั้งแต่เริ่มโครงการ ได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ มาร่วมขับเคลื่อนไปยังกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใน เริ่มจาก เว็บไซต์ do-d-club.com  ที่หมายถึง "ทำดีก็จะดูดี"  พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับทุกช่องทางโซเชียล มีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เว็บบล็อก และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ที่จะร่วมส่งข้อความ SMS ประชาสัมพันธ์โครงการ 
 
"เราต้องการให้เด็กๆ เยาวชน ลุกขึ้นมาทำความดี และนำเรื่องราวที่น่าภูมิใจเหล่านี้มาบอกเล่าผ่านคลิป วีดิโอ เพื่อให้คนในสังคมและโลกออนไลน์ ได้ร่วมกันโหวต  หวังสร้างให้เกิดเป็นกระแสสังคมว่า ทำดีก็จะดูดี เท่ และไม่ใช่สิ่งน่าเขินอาย"
 
ด้วยเชื่อว่า "ดีแล้วต้องดัง ดีแล้วต้องเด่น" หลังจากคัดเลือกทูตความดีประเทศไทยประจำปี 2553 ได้แล้ว ทีมที่ได้รับตำแหน่ง D Ambassador จะมีภารกิจ "ส่งต่อความดี" เป็นเวลา 1 ปี  พร้อมทำหน้าที่เป็นพิธีกรผ่านรายการ "ทูตความดี" ทางช่อง 3 และทรูวิชั่นส์ เพื่อปลุกกระแสการทำความดีในกลุ่มเยาวชน คนทั่วไปในสังคม และเป็นตัวแทนทูตความดีประเทศไทย เพื่อร่วมทำกิจกรรมในเวทีต่างประเทศร่วมกับภาคีเครือข่าย The United Nations Volunteers (UNV)  ในฐานะตัวแทนประเทศไทย   
 
โครงการทูต ความดีประเทศไทย จะเป็นโปรเจคต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมคัดเลือกตัวแทนในซีซันต่อไปปีหน้า การโฟกัสที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะเด็กๆ และเยาวชน มีพลังในการสื่อสารกับพ่อแม่-คนในสังคม เพื่อดึงมาร่วม"เปลี่ยนประเทศไทย" ในฐานะ Change Agent  ที่พร้อมส่งมอบประเทศไทยให้คนรุ่นต่อๆ ไป เพื่อให้เยาวชนมาร่วมเขียนอนาคตประเทศไทยใหม่ จุดกระแสการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ด้วยความรู้สึกว่า "ทุกคนเป็นเจ้าของประเทศไทย เป็นหุ้นส่วนประเทศไทย"
 
ดนัย บอกว่าสิ่งที่ต้องการจากโครงการนี้ คือ "พลังมวลรวมแห่งความดี"  ที่จะเกิดในสังคมไทย ต้องการให้คนไทยมาจับมือเชื่อมโยงการทำความดี เพื่อสร้างให้เป็นกระแส และวัฒนธรรมหลักของสังคม ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศต้นแบบด้านซีเอสอาร์ของโลก พร้อมทวงคืนประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกกลับคืนมา
 
"คนไทยเป็นคนจิตใจดี ชื่นชอบการทำความดี และคนทำความดีต้องมีที่ยืนอย่างสง่างามในสังคม"

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 21:32:20
ลืออีกรอบ!!! iPad Mini 7" ต้นปี 2011

รายงานข่าวนี้อาจสร้างความประหลาดใจกับผู้ที่ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหว ของ iPad รุ่นใหม่ ซึ่งข่าวลือที่เคยมีออกมาก่อนหน้านี้ก็คือ Apple เตรียมออก iPad Mini ที่มีขนาดของหน้าจอ 7 นิ้วแบบ Samsung Galaxy Tab แต่สตีฟ จอบส์ก็ได้ออกมาสยบข่าวลือดังกล่าวพร้อมทั้งวลีเดือดที่ว่า "DOA-Dead On Arrival" ตายตั้งแต่วางตลาด...อุ๊ปส์!!!

จอบส์มองว่า แท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วเล็กเกินกว่าที่จะใช้ได้ถนัด หรือมองคอนเท็นต์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนชัดเจน แต่ล่าสุดมีรายงานออกมาจาก Reuters ที่ เปิดเผยโดยโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งหนึ่งในเอเชีย ซึ่งระบุว่า Apple กำลังเตรียมออก iPad Mini พร้อมกับ iPad 2 ในช่วงต้นปี 2011 จะว่าไปข่าวนี้มันดูขัดแย้งกับสิ่งที่จอบส์แสดงความเห็นออกมาก่อนหน้านี้ เพราะไม่น่าเชื่อว่า จอบส์จะเปลียนใจหันมาชอบแท็บเล็ต 7 นิ้วที่เล็กกว่า iPad มาตรฐานถึงครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/ipad-mini-7-inches-rumors-again-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม Shaw Wu นักวิเคราะห์จาก Kaufman Brothers เชื่อในข่าวดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า สตีฟ จอบส์กำลังโกหก ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้คนไม่สนใจในสิ่งที่ Apple กำลังทำ เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาหัวเราะเยาะกับไอเดียที่เชื่อว่า iPod น่าจะเล่นวิดีโอได้ ซึ่งในเวลาต่อม iPod หลายๆ รุ่นก็เล่นวิดีโอได้อย่างที่เราเห็นกัน แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่จอบส์พยายาม รายงานข่าวลือที่ออกมาล่าสุดก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ดี เนื่องจาก iPad ออกมาเติมเต็มช่องว่างการใช้งานระหว่าง iPhone กับ MacBook เมื่อเป็นเช่นนี้ มันมีประเด็นอะไรที่ Apple จะออก iPad 7 นิ้วอีกล่ะ?

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 22:03:34
Twitter กับ 10 ประเด็นฮอตในปี 2010

และแล้ว Twitter ก็ออกมาเปิดเผยแนวโน้มสำหรับ 10 ประเด็นร้อนที่มีการพูดถึงมากทีสุดในปี 2010 ตามหลังรายงานของ Yahoo และ Google มาติดๆ โดยรายงานของ Twitter เกิดจากการวิเคราะห์ข้อความมากกว่า 25 พันล้านทวีตในช่วงปีนี้ ข่าวดีสำหรับสาวๆ ที่ Justin Bieber นักร้องหนุ่มหน้าใสของพวกเธอยังคงติดอันดับกับเขาด้วยเหมือนกัน

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-trending-topics-of-the-year-2010-2.jpg)

แม้ว่าจะยังอีกตั้งครึ่งเดือนกว่าที่จะผ่านปีนี้ไป แต่ Twitter ก็ได้สรุป 10 หัวข้อที่เป็นแนวโน้ม (trending topics) ของปี 2010 โดยแยกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ของความสนใจจนกลายเป็นกระแสตลอดช่วงปีนี้ ซึ่งข้อมูลจากบล็อกของ Twitter ระบุว่า พวกเขาได้วิเคราะห์แนวโน้มทั้งหมดจากทวีตที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ ซึ่งมีมากกว่า 25 พันล้านทวีต ข้างล่างนี้เป็น 10 อันดับประเด็นฮอตที่มีกระแสการพูดถึงในปี 2010

   1. Gulf Oil Spill (วิกฤตน้ำมันรั่ว)
   2. FIFA World Cup (การแข่งขันฟุตบอลโลก)
   3. Inception (ภาพยนต์เรื่อง "จิตพิฆาตโลก")
   4. Haiti Earthquake (แผ่นดินไหวในเฮติ)
   5. Vuvuzela (แตรเสียงทรงพลังที่ใช้เชียร์ในฟุตบอลโลก)
   6. Apple iPad (แท็บเล็ตของแอปเปิ้ล)
   7. Google Android (แอนดรอยด์ โอเอสมือถือของกูเกิ้ล)
   8. Justin Bieber (จัสติน บีเบอร์ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นทั่วโลก)
   9. Harry Potter & the Deathly Hallows (แฮรี่พอตเตอร์ ภาคสุดท้าย)
  10. Pulpo Paul (หมึกพอล :D)

นอก จากสรุป 10 แนวโน้มของประเด็นฮอตทั้งหมดแล้ว ทาง Twitter ยังได้แบ่ง Trending Topics ออกเป็นหมวดหมู่ด้วย โดยประเด็นทางเทคโนโลยีที่มีการพูดถึงมากที่สุดตามลำดับมีดังนี้ (Apple กินขาด)

   1. Apple iPad (ไอแพดของแอปเปิ้ล)
   2. Google Android (แอนดรอยด์ของกูเกิ้ล)
   3. Apple iOS (โอเอสของไอโฟน)
   4. Apple iPhone (ไอโฟนของแอปเปิ้ล)
   5. Call of Duty Black Ops (เกมส์ยิงสุดฮอต)
   6. New Twitter (โฉมใหม่ของทวิตเตอร์)
   7. HTC (สมาร์ทโฟนแบรนด์ HTC)
   8. RockMelt (บราวเซอร์ใหม่ที่เน้นโซเชียลเน็ตเวิร์กของ Mark Andreessen)
   9. MacBook Air (แมคบุ๊ค แอร์ รุ่นใหม่)
  10. Google Instant (บริการใหม่ Google พิมพ์ปุ๊บเห็นผลลัพธ์ปั๊บ)

นี่แค่ตัวอย่างนะครับ สำหรับประเด็นฮอตในหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งหมดได้ถูกรวบรวมไว้ที่ http://yearinreview.twitter.com/trends/

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 ธันวาคม 2010, 22:54:37
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพุ่ง ดัน "Digital Retails" โต

นับจากปี 2543 การวิจัยผู้บริโภคไทยพบว่าคนไทยทุกเพศ วัย และอายุ ใช้งานอินเทอร์เน็ตเติบโตต่อเนื่อง จากจำนวน 2.3 ล้านคน เป็น 9.9 ล้านคน ใน ปี 2548 หรือเติบโต 42% ปี 2550 มีจำนวน 13.4 ล้านคน เติบโต 18% ปี 2552 จำนวน 18.3 ล้านคน เติบโต 14% และคาดการณ์ปี 2553 จำนวน 22 ล้านคน เติบโต 20%

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/12/13/images/news_img_367037_3.jpg)

กนกกาญจน์ ประจงแสงศรี ผู้อำนวยการสมทบฝ่ายวิจัยสื่อโฆษณา บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด กล่าวว่า จำนวนประชากรไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 33% ของประชากรประเทศ ขณะที่อินโดนีเซียอยู่ที่ 12% เวียดนาม 27% ฟิลิปปินส์ 30% มาเลเซีย 64% และสิงคโปร์สูงสุดที่ 78% คาดการณ์ปี  2558 ประชากรไทยจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตราว 36 ล้านคน หรือ 52% จากการนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ และเทคโนโลยี 3 G ในอนาคต 
 
ทิศทาง ดังกล่าวส่งผลให้ Digital Retails เป็นอีกช่องทางสำคัญในการจับจ่ายของผู้บริโภคในยุคนี้ จากของมูลของเอซี  นีลเส็น โกลบอล  ระบุว่า ผู้บริโภคไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ต 26% วางแผนจะซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า  โดย "ตลาดดอทคอม" รายงานว่าปีนี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
 
พบว่าพฤติกร รมชอปปิงออนไลน์ของคนไทย ผ่านทางร้านค้าทางออนไลน์  31% เว็บไซต์ขายสินค้า 30% และช้อปที่ขายทั้งออนไลน์และในร้านค้า 19% โดยผู้บริโภคกลุ่มหลักที่ซื้อสินค้าออนไลน์อยู่ในช่วงอายุ 12-17 ปี คิดเป็นสัดส่วน 30% อายุ 18-23 ปี สัดส่วน 28% และอายุ 24-35 ปี สัดส่วน 28%
 
เดิมการซื้อสินค้าออนไลน์หลักๆ จะอยู่ในกลุ่มตั๋วเครื่องบิน ซอฟต์แวร์ หนังสือจากต่างประเทศ ปีนี้พบว่ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมียอดการซื้อผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น จาก 17% ในปี 2551 เป็น 39%  เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่มอื่นๆ ที่มีอัตราการซื้อผ่านออนไลน์เติบโตขึ้น เช่น สินค้าบันเทิงประเภทแผ่นซีดี ดีวีดี จาก 17% เป็น 22% เสื้อผ้าแฟชั่นจาก 11% เป็น 14% และที่มาแรงจะเป็นกลุ่มเครื่องสำอางยอดฮิตจากเกาหลี  เป็นต้น หรือเรียกได้ว่ากระจายอยู่ในทุกกลุ่มประเภทสินค้า
 
นอกจากนี้ ยังพบว่าแนวโน้มผู้ค้าปลีกในทศวรรษหน้า ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน ที่คาดว่าในปี 2558 จะมาเป็นกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ และเป็นอีกเครื่องมือในการชอปปิง โดยผู้ค้าปลีกชั้นนำต่างมีพัฒนา "แอพพลิเคชั่น ชอปปิง" ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ด้วยการให้ข้อมูลสถานที่ตั้ง โปรโมชั่นและคูปองส่วนลด
 
ในปี 2553 ประเทศไทยมีเบอร์โทรศัพท์มือถือใช้งานประมาณ 69 ล้านเบอร์ ในจำนวนดังกล่าวมี 18 ล้านเบอร์ที่ใช้งาน โมบาย อินเทอร์เน็ต  เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2552 คิดเป็นสัดส่วนสมาร์ทโฟน 33% เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน
 
จาก การเติบโตของผู้ใช้ โมบาย อินเทอร์เน็ต คาดว่าในปี 2554 จะอยู่ที่ 21 ล้านคน ปี 2558 เพิ่มเป็น 36 ล้านคนเท่ากับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผ่านคอมพิวเตอร์ และจะเพิ่มเป็น 40 ล้านคน ในปี 2559  ซึ่งแซงหน้าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ 
 
การขยายตัวทั้งจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน ในประเทศไทย ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ "ดิจิทัล รีเทล" เติบโตสูงในอนาคต

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 01:26:08
Great King City เกมพอเพียง

“ Great King City ” เป็นเกมออนไลน์บนเฟซบุคที่พัฒนาด้วยฝีมือคนไทยเป็นครั้งแรก น้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้อย่างถูกต้อง

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2010/12/09/images/news_img_366859_1.jpg)

ต่อไปนี้ หากเห็นใครติดเกมบนเฟซบุค คงไม่อาจบ่นได้ว่า เล่นอะไรไร้สาระ เมื่อบริษัท โพสท์ อิลิเม็นท์ จำกัด จับมือนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น และบรรดาสปอนเซอร์ทุ่มงบกว่า 25 ล้านบาทเปิดตัวเกมออนไลน์บนเฟซบุคที่พัฒนาด้วยฝีมือคนไทยเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “ Great King City ”น้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้อย่างถูกต้อง

 นายธนัช จิรวารศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพสท์ อิลิเม็นท์ จำกัด ผู้ผลิตนิตยสารนำเข้าจากอังกฤษ เผยถึงการขยายเข้ามายังเกมออนไลน์ว่า ที่มาของโครงการนี้คือ ประสบการณ์การเข้าไปดูภาพยนตร์ และเมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยถามพ่อว่า ทำไมต้องยืน

ณ ขณะนั้น ในใจคิดว่า เราจำเป็นต้องมีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของในหลวง โดยเฉพาะแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง โดยต้องเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ เข้าใจอย่างถูกต้อง

 "โครงการเกมออนไลน์จึง เกิดขึ้นโดยใช้เฟซบุค เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยม มีฐานผู้เล่นไทยมากกว่า 5 ล้านคนใช้อยู่ ซึ่งเราพัฒนาเกมโดยใช้เทคโนโลยีแฟลช (Flash) โดยน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและ เกษตรทฤษฎีใหม่ ผสานกับการทำไร่ทำสวนเพื่อสร้างรายได้สำหรับบริหารหมู่บ้านและเมือง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ประชากรมีความสุข" นายธนัชอธิบายก่อนชี้ว่า

 ภายในเกมจะมีการสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริต่าง ๆ กว่า 4 พันโครงการ เพื่อให้ผู้เล่นมีความรู้ความเข้าใจในโครงการที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่ พสกนิกรชาวไทย

 ผู้เล่นเกมส์เป็น นักพัฒนาเมืองตามหลักเศรฐกิจพอเพียง บ้านหลังแรกคือบ้านของผู้เล่นเอง จากหลักของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ใช้ระบบความคิดในด้านเศรษฐกิจพอเพียงและ เกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อขับเคลื่อนกลไกลของเกมส์ โดยมีกลไกหลักเน้นไปที่การปลูกผัก สร้างเมือง และค้าขายกับเพื่อนในชุมชนเครือข่าย ( network ) และมีระบบสินค้าคงคลังและการอดออมในเกมเพื่อให้เกิดการออมเงินและการบริหาร จัดการทรัพย์สินที่ตนเองมีอยู่

 นอกจากนี้ จุดเด่นของเกม คือ ข้อมูลเศรษฐกิจ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการเล่นเกมส์ เป็นข้อมูลเรียลไทม์ที่อัพเดทตลอด อาจจะเป็นทุก 1-2 สัปดาห์แล้วแต่สถานการณ์โดยอ้างอิงจากทีมงานเศรษฐกิจจาก Money Channel ซึ่งระบบต่างๆ เช่น ตลาด ธนาคาร การขยายที่ดินจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อระดับการเล่นเพิ่มขึ้น รวมถึงระบบเกมส์ จะอัพเดทสภาพดินฟ้าอากาศ และสิ่งแวดล้อมในเกม ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตามที่ได้รับจากการสุ่มภาคเมื่อครั้งแรกที่สมัครสมาชิก เช่น ปัจจุบันภาคใต้เกิดภาวะน้ำท่วม ผู้เล่นที่เล่นในพื้นที่ภาคใต้ จะประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน 

 "ตัวเกมมี 2 ภาษา ไทย อังกฤษ เพื่อรองรับผู้เล่นเฟซบุคในประเทศไทยที่มีมากกว่า 5 ล้านคน รวมถึงการขยายไปสู่กลุ่มคนต่างชาติด้วย โดยเราตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าร่วมเล่นสูงถึง 7 แสนรายในไตรมาสแรกนี้ โดยอาศัยเครือข่ายเพื่อนในเฟซบุคบอกต่อ ๆ กันไป" นายสุรพงษ์ วีระรักษ์เดชา กรรมการผู้จัดการบริษัท ประณีต จำกัด ในฐานะหัวหน้าโปรแกรมเมอร์ในโครงการนี้อธิบาย

 เกมนี้เริ่มพัฒนาแนวคิดและวางกรอบการทำงานตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 โดยทีมพัฒนาเกมเป็นทีมที่เคยร่วมงานพัฒนาเกมจาก EA Games ซึ่งหาข้อมูลและทำการวิจัยโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว กว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศ ตลอดจนข้อมูลทางด้านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์

 จากนั้นระดมความคิดและรวบรวมทีมงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านการพัฒนาเกมและนวัตกรรมสื่อสังคมออนไลน์ รวมไปถึงกลไกการพัฒนาเกม เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบและตอบสนองความต้องการของผู้เล่นได้อย่างแท้จริง นำแนวคิดจากการวิจัยโครงการ มาประยุกต์พัฒนาเบื้องต้น โดยออกมาในรูปแบบของวีดีโอนำเสนอวิธีการเล่น พูดคุยและรับข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านองค์ความรู้แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนารูปแบบเกมให้สอดคล้องต่อหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ถูกต้อง เพื่อให้มูลนิธิชัยพัฒนาได้ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง โดยในขณะเดียวกัน ก็เริ่มหาสปอนเซอร์

 ผู้พัฒนาเกมออนไลน์แนว คิดพอเพียงชี้ว่า มีแผนที่จะหาสปอนเซอร์หลัก 5 รายเพื่อสนับสนุนงบประมาณ 25 ล้านบาทสำหรับโครงการนี้ โดยปัจจุบันมีมาแล้ว 2 รายคือ สายการบินนกแอร์และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด

"เราหวังจะสร้างช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และให้ประชาชน ได้ตระหนักถึงโครงการในพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์สังคมออนไลน์ไปในทิศทางที่เหมาะสม สร้างกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ดีในสังคม เพื่อให้เด็กและเยาวชน หรือบุคลากรที่สนใจที่เข้ามาร่วมเล่นเกมรู้จักที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วม กันเป็นหมู่คณะ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะส่งผลต่อสังคม ทัศนคติ และความเป็นอยู่ในสังคม" นายธนัชกล่าวทิ้งท้าย

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: sakang ที่ 14 ธันวาคม 2010, 01:49:25
ลงชื่ออ่านครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 13:00:26
Dust Ball ไอเดีย "เครื่องดูดฝุ่น" กลมกิ๊ก

เช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยข่าวงานดีไซน์แก็ดเจ็ต (Gadget) ล้ำๆ กันบ้างนะครับ เมื่อวานนี้ ทางเว็บไซต์ arip ก็เพิ่งจะแนะนำแก็ดเจ็ต"กลมๆ"อย่าง Sphero ลูกบอลของเล่นที่สามารถบังคับให้มันกลิ้งไปในทิศทางต่างๆ ด้วยสมาร์ทโฟน มาวันนี้มีแก็ดเจ็ตกลมๆ มานำเสนออีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ของเล่น แต่มันคือ Dust Ball ลูกบอลเครื่องดูดฝุ่น?

ไอเดียของการออกแบบผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ที่พยายาม ทะลายกรอบความคิดดั้งเดิมด้วยการตั้งคำถามที่ว่า นอกจากเครื่องดูดฝุนรูปแบบเดิมๆ ที่ประกอบด้วย ตัวเครื่องพลังดูดที่มีล้อ โดยต่อกับท่อและหัวแปรงดูดฝุ่นจนมาล่าสุดเป็นหุ่นยนต์รูปวงกลมแบนๆ ที่มี ชื่อว่า iRobot หรือ Roomba แล้ว เครื่องดูดฝุนจะสามารถมีดีไซน์แปลกใหม่ไปกว่านี้อีกไหม?

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/dust-ball-vacuum-cleaner-concept-2.jpg)

คำตอบก็คือ Dust Ball เครื่องดูดฝุ่นที่ได้รับการออกแบบเป็นทรงกลมเหมือน"ลูกบอล"ตามชื่อเรียกของ มัน ซึ่งฟังก์ชันการทำงานของเครื่องดูดฝุ่นดีไซน์แหวกแนวนี้ก็ง่ายมาก โดยเวลาทำงาน Dust Ball ที่ประกอบด้วยท่อดูดรอบตัวจะกลิ้งไปกับพื้น จากนั้นมอเตอร์ที่สร้างแรงดูดที่อยู่แกนกลางภายในเครื่องจะดูดฝุ่นผ่านเข้า ไปทางท่อบริเวณที่สัมผัสพื้นในขณะนั้น นั่นหมายความว่า ขณะที่มันกลิ้งไปก็จะดูดฝุ่นไปตลอดทางที่เคลื่อนที่นั่นเอง และเมื่อฝุ่นเต็ม Dust Ball ก็จะเรืองแสงขึ้นมา กรณีที่แบตเตอรี่หมด Dust Ball จะสามารถกลิ้งกลับไปยังแท่นชาร์จที่ดีไซน์เป็นวงแหวนรองรับ (เพื่อไม่ให้กลิ้งไหลไปที่อื่นได้โดยง่ายขณะชาร์จ) ได้เองโดยอัตโนมัติ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/dust-ball-vacuum-cleaner-concept-3.jpg)

แต่ดีไซน์เครื่องดูดฝุ่นลักษณะทรงกลมเป็นลูกบอลอย่างนี้ อาจจะไม่ตอบโจทย์เรื่องการทำความสะอาดได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ iRobot หรือ Roomba ที่มีลักษณะเป็นวงกลมแบนราบ เพราะเจ้า Dust Ball คงไม่สามารถกลิ้งเข้าไปดูดฝุ่นใต้เก้าอี้ หรือโซฟาได้เหมือน iRobot แถมยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่บริเวณใกล้ๆ ฝาผนังห้อง เนื่องด้วยรัศมีของทรงกลมด้านข้างอีกด้วย...ดูดี แต่มีบั๊กจนได้

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: musicianthai.com ที่ 14 ธันวาคม 2010, 13:19:36
ดันไว้ให้อ่านกัน


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 14:47:04
BlackBerry App World เปิดรับแอพพลิเคชั่นสำหรับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค แล้ววันนี้

13 ธันวาคม 2553 กรุงเทพ, ประเทศไทย – บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (ริม) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนตระกูลแบล็กเบอร์รี่ และผู้นำด้านการออกแบบและผลิตนวัตกรรมโซลูชั่นไร้สาย เปิดตัวหน้าเว็บ BlackBerry App World™ เพื่อให้นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นได้ลงทะเบียน และนำเสนอแอพพิเคชั่นสำหรับ BlackBerry® PlayBook™ นอกจากนี้ นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นยังมีสิทธิ์ลุ้นรับแบล็กเบอร์รี่ เพลย์บุ๊ค ฟรี โดยริมได้กำหนดเงื่อนไขว่า นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นจะต้องส่งแอพพลิเคชั่นที่ตนเองคิดค้น และได้รับการรับรองให้เผยแพร่บนโปรแกรม BlackBerry App World ในช่วงเวลาก่อนการเปิดตัวแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค ซึ่งจะมีขึ้นในอเมริกาเหนือ*

(http://www.pressthai.com/userfiles/image/rim_blackberry_app_world1.jpg)

มร. ไทเลอร์ เลสซาร์ด รองประธาน ฝ่าย Global Alliances and Developer Relations บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น กล่าวว่า “ความสนใจและกระแสของแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊คยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับกระแสการตอบรับที่ดีทั้งจากชุมชนนักพัฒนา แอพพลิเคชั่นและกลุ่มลูกค้าของเรา แบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค นำเสนอแพลตฟอร์มชั้นเยี่ยมที่ดึงดูดความสนใจของนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือ ถือเป็นอย่างมาก ด้วยวิวัฒนาการใหม่ด้านประสิทธิภาพการทำงาน และความสมบูรณ์ในการเป็นตัวสนับสนุนสำหรับอุปกรณ์การพัฒนามาตรฐานของ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักพัฒนา Adobe® AIR® and Flash®, กลุ่มนักพัฒนาเว็บรูปแบบ HTML, กลุ่มนักพัฒนาภายในองค์กร และผู้ที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นเป็นงานอดิเรก เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นก่อน หน้าที่จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และการเปิดตัวโปรแกรม BlackBerry App World เพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นสำหรับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

การพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค

เมื่อ เร็วๆ นี้ ริมได้เปิดตัวชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ SDK แบบฟรีสำหรับแบล็กเบอร์รี่แท็บเล็ตโอเอส เวอร์ชั่นอัพเดท สำหรับทำงานบน Adobe AIR ซึ่งชุดพัฒนาซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่นี้ สามารถรองการทำงานของ Flash Builder 4.5 (Burrito/Flex Mobile) มาพร้อมสายพ่วงต่อที่สามารถทำงานได้ร่วมกับ Flash Builder 4.0 หรือ Flash Builder Burrito รุ่นทดลองก่อนเปิดตัวจริง การรองรับ Flash Builder Burrito ช่วยเพิ่มความสามารถในการลาก (drag) และวาง (drop) เข้ามา ซึ่งจะช่วยให้นักพัฒนาทำการสร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นสำหรับเพลย์บุ๊คได้อย่าง ง่ายดายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ SDK แบบฟรี   ใหม่ล่าสุด ยังสามารถรองรับโปรแกรมวินโดวส์ 64-bit และประกอบด้วยโปรแกรมจำลองสำหรับลีนุกซ์อีกด้วย

คำกล่าวจากกลุ่มนักพัฒนา

มร. เจอโรม คาร์ที่ ประธาน ของ JCX Systems, Inc. กล่าวว่า “การพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับเพลย์บุ๊คนับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ เป็นอย่างยิ่ง การทำงานของ APIs มีความง่ายดาย และสามารถปรับให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ และสภาวะแวดล้อมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกัน สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือศักยภาพของฮาร์ดแวร์ ประกอบกับรูปลักษณ์ของเพลย์บุ๊คที่ทำให้รู้สึกถึงจอสัมผัสที่ไร้ขอบเขต จึงทำให้ทั้งนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นและผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์และความเพลิด เพลินที่ไม่เหมือนใคร”

มร. แรนดี้ ทรอปป์แมน ผู้ก่อตั้ง RunningMap กล่าวว่า “แบล็กเบอร์รี่ เพลย์บุ๊ค มีองค์ประกอบฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น ซึ่งจะช่วยรองรับการทำงานบน Adobe AIR ได้ค่อนข้างดี ผมได้รวบรวมแอพพลิเคชั่น AIR ของผมอีกครั้งด้วยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ BlackBerry Tablet OS AIR SDK ซึ่งทำให้โปรแกรมสามารถทำงานครั้งแรก ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีการปรับเปลี่ยน ตอนนี้ผมเพียงแต่ใช้ประโยชน์ของระบบสัมผัสหน้าจอของแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ขึ้นไปอีกระดับ”

มร. จอห์น บาร์นส เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี ของ  Model Metrics, Inc. กล่าวว่า “บริษัท Model Metrics รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้นำเสนอแอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรธุรกิจบน แบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค ความง่ายดายของการพัฒนาและการติตตั้ง ส่งผลให้เกิดมาตรฐานใหม่ของตลาดแท็บเล็ต และ Model Metrics วางแผนในการนำเสนอแพลตฟอร์ม 2GO สำหรับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค” ชมตัวอย่างและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของนักพัฒนา ได้ที่ http://devblog.blackberry.com/2010/10/blackberry-playbook-apps/

(http://www.rimarkable.com/wp-content/uploads/2009/09/blackberry_homepage_app_world.jpg)

ข้อเสนอพิเศษ แจกฟรีแบล็กเบอร์รี่ เพลย์บุ๊ค

นักพัฒนาที่ลงทะเบียน และนำเสนอแอพพลิเคชั่นซึ่งได้รับการยอมรับให้เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับแบ ล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊คในโปรแกรม BlackBerry App World ก่อนที่จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เป็นครั้งแรกในอเมริกาเหนือ จะได้รับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊คฟรี ตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ระบุไว้ และถึงแม้นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นจะสามารถส่งแอพพลิเคชั่นที่ตนเองสร้างสรรค์ ได้มากกว่าหนึ่งผลงานต่อหนึ่งคน แต่มีข้อจำกัดอยู่ที่ว่านักพัฒนาที่ได้ลงทะเบียนใน BlackBerry App World จะมีโอกาสรับแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊คได้เพียงหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษ รวมทั้งเงื่อนไขและข้อกำหนด สามารถดูได้ที่ www.blackberry.com/devlopers/blackberryplaybookoffer (http://www.blackberry.com/devlopers/blackberryplaybookoffer)

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 15:29:29
เอชพี ประเทศไทยประกาศผลผู้ชนะรางวัลสุดยอดนักแอนิเมชั่น รุ่นเยาว์ จาก Toon Creator Awards

เอชพี ร่วมกับการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ประกาศผลผู้ชนะเลิศประเทศไทยจากการแข่งขันออกแบบแอนิเมชั่นเรื่องสั้นจาก โครงการ Toon Creator Awards 2010 ที่จัดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยพิจารณาจากผลงานแอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมรวมกว่า 160,000 ชิ้น ทั้งในรางวัลประเภทบุคคล และประเภทโรงเรียนที่สนับสนุนเยาวชนเข้าร่วมประกวด

สำหรับ ประเทศไทย ผู้ชนะเลิศประเภทบุคคล ได้แก่ ด.ช. อัคนี โพธิสวัสดิ์ อายุ 13 ปี จากผลงาน Powerpuff Save the Earth แอนิเมชั่นเรื่องสั้นอันน่าตื่นเต้น โดยเยาวชนคนเก่งได้สร้างสรรค์ขึ้นจากตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบอย่าง พาวเวอร์พัฟเกิร์ล

ด.ช. อัคนี โพธิสวัสดิ์จะได้รับ HP TouchSmart 310-1070d PC มูลค่า 37,343 บาท และชุดของรางวัลสุดพิเศษจากการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าลิขสิทธิ์ เบน 10 อาทิ ชุดของเล่น Ben 10 Alien Force Alien Creation Chamber, อุปกรณ์วอล์คกี้ทอล์คกี้พร้อมหูฟัง, นาฬิกา Ben 10 Omnitrix Alien Viewer, รถจักรยาน Ben 10 Quad Bike และลำโพง Powerpuff Girls

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2010/hp/hp-toon-creator-awards-winner.jpg)

พร้อมกันนี้ หลากหลายโรงเรียนต่างในภูมิภาค ยังมีส่วนร่วมสำคัญในการปลูกฝังและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าเยาวชน ผ่าน เทคโนโลยีล้ำสมัยในการแข่งขัน Toon Creator Awards และโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมยังมีสิทธิ์ร่วมลุ้น HP TouchSmart 310-1070d PC จำนวน 3 เครื่องสำหรับคอมพิวเตอร์แล็บเป็นรางวัลด้วยเช่นกัน ซึ่งผลงานที่ส่งเข้าร่วมมาจากกว่า 3,000 โรงเรียนระดับคุณภาพทั่วทั้งเอเชีย แปซิฟิก สำหรับประเทศไทย โรงเรียนที่มีนักเรียนสมัครเข้าร่วมการแข่งขันมากที่สุด ได้แก่ โรงเรียนแพน-เอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล

ในปีนี้ การประกวดผลงานแอนิเมชั่นโครงการ Toon Creator Awards นอกจากจะได้เพิ่มฟังก์ชั่นการสร้างสรรค์ตัวละครรูปแบบใหม่แล้ว เด็ก ๆ ยังสามารถสร้างอวตารที่พวกเขาต้องการเพื่อท่องไปในดินแดนแห่งโลกออนไลน์ของ ตัวเองได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ ยังสามารถปลดล็อคไอเท็มต่าง ๆ จากหลากหลายเกม เพื่อใช้สร้างสีสัน และเสริมแต่งเรื่องราวจากแอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมในแบบฉบับของตนเองได้ ยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบใหม่จากการ์ตูนแอนิเมชั่น และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ทางกิจกรรมออนไลน์ให้แก่พวกเขาได้อีกทางหนึ่ง

การ ประกวดในครั้งนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้เข้าประกวดและบุคคล ทั่วไป พิสูจน์ได้จากยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์หลักของการแข่งขันสิ้นสุด ณ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ที่มีมากกว่า 6.3 ล้าน Page Views และกว่า 800,000 Unique Visitors

มร. เบนจามิน กรับส์ ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค ของเทอร์เนอร์ เอนเตอร์เทนเมนท์ อินเตอร์แอคทีฟ มีเดีย กล่าวว่า "ในวันนี้ เด็ก ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ได้เก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ จากกิจกรรมการสร้างสรรค์ตัวการ์ตูนแอนิเมชั่น ซึ่งจัดขึ้นโดยการ์ตูน เน็ตเวิร์ค และเอชพี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้พวกเขาได้สามารถสร้างสรรค์ แอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยม ผ่านเทคโนโลยีได้อย่างง่ายดาย”

ตลอดระยะเวลา ของการประกวดฯ ผลงานแอนิเมชั่นจำนวนกว่า 1.3 ล้านผลงาน มีผู้เข้าชมอย่างต่อเนื่อง บนเว็บไซต์ Toon Creator Awards ซึ่งหมายความว่า ทุก ๆ นาทีจะมีผลงานแอนิเมชั่นผ่านสายตาผู้ชมที่สนใจจำนวนถึง 8 เรื่องต่อนาที

นายประเสริฐ จรูญไพศาล ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนลซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ไม่มีอะไรที่ทำให้เรามีความสุขไปมากกว่า การได้มีส่วนร่วมที่เยาวชนของเราสามารถนำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากเอชพีไปใช้ต่อย อด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแห่งความสนุกสนาน ความน่าตื่นเต้น รวมไปถึงแอนิเมชั่นเรื่องสั้นที่แปลกใหม่ที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา จากหลากหลายผลงานที่น่าประทับใจเหล่านี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานของซอฟแวร์ระบบ มัลติทัช ของ HP TouchSmart PC ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังเป็นชนวนในการสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ใน การเรียนรู้สำหรับเด็กในยุคนี้ได้อย่างไม่รู้จบ”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกวดแข่งขัน Toon Creator Awards เข้าชมได้ที่ www.ToonCreatorAwards.com (http://www.ToonCreatorAwards.com).


ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 16:03:56
ลือ! Toshiba สร้างโรงงานผลิตหน้าจอให้ IPhone

หนังสือพิมพ์นิกเกอิ ประเทศญี่ปุ่น รายงานว่าโตชิบ้า เตรียมทุ่มงบกว่า 1แสนล้านเยน หรือประมาณ 1,119 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อสร้างโรงงานผลิตหน้าจอแอลซีดีขนาดเล็ก โดยจะเน้นผลิตหน้าจอแสดงผลให้กับบริษัทแอปเปิลเพื่อใช้บนไอโฟนเป็นหลัก
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018625301.JPEG)

       บริษัท โตชิบ้า โมบายล์ ดิสเพลย์ นั้นเป็นบริษัทลูกของโตชิบ้า คอร์เปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองอิชิกาวา บนชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น เพื่อใช้ผลิตหน้าจอแอลซีดีโพลีซิลิกอนอุณหภูมิต่ำให้กับอุปกรณ์อิเลก ทรอนิกส์ของโตชิบ้าเอง
       
       ด้านโฆษกจากโตชิบ้าได้ออกมาปฏิเสธว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องบริษัทยังไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่าโรงงานแห่งใหม่นี้สร้างขึ้นมาผลิตหน้า จอให้กับไอโฟนของแอปเปิล
       
       สำหรับโรงงานแห่งใหม่นี้จะเปิดทำการในช่วงต้นปี 2554 และเริ่มผลิตสินค้าในไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน โดยจะสามารถผลิตหน้าจอแอลซีดีได้ 8.55 ล้านยูนิตต่อวัน ซึ่งมากกว่าคู่แข่งที่ทำอยู่ในขณะนี้

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 ธันวาคม 2010, 21:57:15
WD ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ แชร์ไฟล์บนเครือข่าย ไม่ต้องต่อพ่วง

เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) วางแผนรุกตลาดต่างจังหวัด เปิดหน้าร้านเพิ่ม 3-4 ร้านภายในปีหน้า หลังกระแสการเติบโตของคอนเทนต์มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อคอนเทนต์เข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์ บนเครื่องเล่นขนาดพกพา
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018640701.JPEG)

       มาร์กาเร็ต โคห์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ประจำภาคพื้นเอเชียใต้ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (เอส.อี. เอชีย) พีทีอี จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของตลาดฮาร์ดดิสก์ทั่วโลกมีสูงขึ้นตาม ความสะดวกในการสร้างคอนเทนต์ของผู้ใช้ ส่งผลให้ยอดจำหน่ายฮาร์ดดิสก์มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง
       
       "ตลาดฮาร์ดดิสก์ทั่วโลกในทุกๆ ไตรมาส เฉลี่ยอยู่ที่ราว 150 - 160 ล้านยูนิตต่อไตรมาส ซึ่งเฉพาะ WD มียอดจำหน่ายเฉลี่ยในไตรมาสล่าสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 50 ล้านยูนิตต่อไตรมาส จากยอดการเติบโตกว่า 30% ต่อไตรมาส"
       
       นอกจากนี้ยังเผยถึงแผนการตลาดในปีหน้าว่า จะมีการขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อตอบรับกับการเติบโตของตลาด ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดหน้าร้านเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 ร้านในปี 2011
       
       "ตอนนี้ WD มีหน้าร้านของตนเองอยู่ที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ซึ่งเป็นร้านที่ขายเฉพาะผลิตภัณฑ์ของ WD โดยเฉพาะ และวางแผนไว้ว่าจะขยายหน้าร้านไปยังหัวเมืองใหญ่อย่าง เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ในอนาคต"
       
       เคร็ก เดวิส ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เอ็กเทอนัลฮาร์ดไดรฟ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์พกพารูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน กล้องถ่ายภาพ กล้องวิดีโอแบบพกพากลายเป็นเครื่องกำเนิดคอนเทนต์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ความต้องการของฮาร์ดดิสก์มีสูงขึ้นด้วย
       
       ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 'WD TV Live HD' เครื่องเล่นและสื่อบันทึกข้อมูลขนาด 1 TB ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านคีย์บอร์ดและเมาส์บลูทูธ เปิดชมวิดีโอความละเอียดสูงจากยูทูป โดยตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการติดตั้ง เพียงแค่เชื่อมต่อเข้ากับโทรทัศน์ หรือ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็พร้อมใช้งานทันท
       
       โดยผู้ใช้สามารถควบุคุมการใช้งานผ่านอินเตอร์เฟสรูปแบบใหม่ ที่ง่ายต่อการเข้าใช้งานในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแสดงภาพ วิดีโอ ผ่านระบบ DLNA และเน็ตเวิร์ก ที่สามารถใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS และ แอนดรอยด์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
       
       สำหรับราคาจำหน่ายของ WD TV Live HD อยู่ที่ 8,990 บาท พร้อมรับประกัน 1 ปี ขณะที่ผลิตภัณฑ์ My Book Live ที่สามารถใช้เป็นฮาร์ดดิสก์แชร์ข้อมูลบนเครือข่ายภายในบ้าน วางจำหน่าย 2 รุ่นคือ 1TB และ 2TB ราคา 5,440 และ 7,650 ตามลำดับ พร้อมรับประกัน 3 ปี
       
       WD มีรายได้รวมในปี 2553 อยู่ที่ 9.8 พันล้านเหรียญ อัตราการเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น 32% และมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 194 % หรือคิดเป็นยอดขายฮาร์ดไดร์ฟมากถึง 194.4 ล้านยูนิตซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอุตสาหกรรม

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 ธันวาคม 2010, 12:46:23
ระวัง!!! Win Defrag "ไวรัส" ปลอมตัว

ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้หลายรายทั่วโลกตกเป็นเหยื่อโปรแกรม Antivirus ปลอมที่หลอกให้จ่ายเงินฟรีๆ เพื่อกำจัดไวรัสที่ไม่ได้มีอยู่จริงภายในเครื่อง หรือจัด(ไวรัส)ให้หลังเสียรู้ให้กับมันไปแล้ว ล่าสุดพวกมันกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นโปรแกรมจัดระเบียบพื้นที่ฮาร์ดดิสก์แจกฟรีที่ชื่อว่า Win Defragmenter

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/win-defragmenter-free-tools-as-a-virus-attacks-2.jpg)

สำหรับรูปแบบการหลอกครั้งใหม่นี้พบได้ในฟรีแวร์ชื่อ Win Defragmenter ซึ่งอ้างว่ามันเป็นโปรแกรมที่สามารถออปติไมซ์ระบบให้ทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยหลอกผู้ใช้ให้ตกใจด้วยข้อความเตือนปลอม และพยายามโน้มน้าวให้ผู้ใช้เชื่อว่า ตอนนี้ได้เกิดความผิดปกติขึ้นในระบบ จากนั้นเร่งรัดการตัดสินใจด้วยการแนะนำให้ซื้อซอฟต์แวร์เวอร์ชันสมบูรณ์ (full version) เพื่อแก้ไขปัญหา(ที่ไม่มีอยู่จริง)ดังที่ได้แจ้งเตือน

เมื่อคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ติดพวกมันเข้าไป Win Defragmenter จะเริ่มต้นการทำงานทุกครั้งที่คุณล็อกอินเข้าสู่ Windows และแสดงข้อความผิดพลาดปลอมทุกครั้งที่คุณพยายามจะรันโปรแกรมใดๆ ซึ่งรวมถึงโปรแกรม Anti Virus ด้วย หรือแม้แต่พยายามจะลบไฟล์ต่างๆ บางครังก็อาจจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาร้องขอให้คุณสแกนระบบด้วย Win Defragmenter และหลังจากที่มันทำทีว่าตรวจระบบเสร็จก็จะแสดงรายการผิดพลาดปลอมขึ้นมามาก มาย พร้อมทั้งหลอกว่า ข้อผิดพลาดที่พบนี้สามารถแก้ไขให้เป็นปกติได้ เพียงแค่ผู้ใช้ซื้อ(มัลแวร์)เวอร์ชันสมบูรณ์ นอกจากจะหลอกให้คุณรู้สึกกลัว เพื่อจะได้จ่ายเงินซื้อมันแล้ว ผลกระทบอื่นๆ ที่มีต่อระบบก็เช่น บางโฟลเดอร์ของคุณจะว่างเปล่า หรือไม่ก็แสดงรายชื่อไฟล์ของโฟลเดอร์อื่น ทำให้ระบบดูสับสนจริงๆ ความร้ายกาจของมันไม่หมดเพียงนี้ เนื่องจาก Win Defragmenter จะไม่ยอมให้คุณรันโปรแกรมใดๆ โดยจะปิดการทำงานของโปรแกรมที่คุณสั่งรันทันที แถมยังหลอกว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณมีปัญหาแล้ว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/win-defragmenter-free-tools-as-a-virus-attacks-3.jpg)

นอกจาก Win Defragmenter แล้ว มันยังมีผองเพื่อนทีเป็นโปรแกรม Defrag ปลอมๆ อีกหลายตัวด้วย ไม่ว่าจะเป็น Ultra Defragger, Smart Defragmenter, HDD Defragmenter, System Defragmenter, Disk Defragmenter, Quick Defragmenter, Check Disk, และ Scan Disk ข้อสังเกตก็คือ ไอคอนของโปรแกรม และอินเตอร์เฟซจะคล้ายๆ กัน (ประมาณว่าเปลี่ยนแค่ชื่อเท่านั้น) ทราบกันอย่างนี้แล้ว คุณผู้อ่านที่น่ารักของ arip ทุกท่านก็ระวังตัวกันด้วยนะครับ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: วอนนอนคุก ที่ 15 ธันวาคม 2010, 14:46:37
เข้ามาเก็บความรู้ครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 ธันวาคม 2010, 15:44:17
B&N อัปเดต "นุ๊ก คัลเลอร์" ใช้แอนดรอยด์ 2.2

บาร์นส์ แอนด์ โนเบล (Barnes and Noble) ประกาศอัปเดตเวอร์ชัน แอนดรอยด์ให้กับเครื่องอ่านอีบุ๊กนุ๊กคัลเลอร์ (Nook Color) หลังจากมีการประกาศเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ้กหน้าจอสีที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอ นดรอยด์ 2.1 ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018695301.JPEG)

       ก่อนหน้านี้ บาร์นส์ แอนด์ โนเบล ได้ออกมาประกาศเปิดตัว Nook Color ซึ่งเป็นเครื่องอีบุ้กรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยจะมาพร้อมเวอร์ชั่น 2.1 (เอแคลร์) มีหน้าจอสัมผัสแบบ Full Color ขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 16 ล้านสี มี เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยปรับหมุนหน้าจออัตโนมัติ สามารถเล่นเกมส์ ใช้งานอินเตอร์เน็ต สตรีมเพลง และผู้ใช้งานสามารถสร้างแอปสโตร์เป็นของตัวเองได้
       
       ตัวเครื่องมีขนาด 20.6 x 12.7 x 1.22 ซม และมีน้ำหนักเบา 422 กรัม พร้อมหูจับซ้ายมือของเครื่องเพื่อให้ง่ายต่อการจับใช้งาน และแบตเตอรีความจุ 4,010mAh สามารถใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมง รองรับเชื่อมต่อไวไฟ หน่วยความจำภายในความจุ 8 กิกะไบต์ ที่สามารถเพิ่มสูงสุด 32 กิกะไบต์ด้วยไมโคร เอสดีการ์ด และช่องต่อหูฟังขนาด 3.5มม.
       
       ล่าสุดบริษัทได้มีการเปิดตัว Nook Color ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 2.2 (โฟรโย่) โดยได้มีการพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ให้มีสามารถใช้งานมัลติทัช และเพิ่มเว็บแอปพลิเคชัน พร้อมแอปพลิเคชัน "NookExtras" ที่รวมเอาไอคอนของเครื่องเล่นเพลง, แพนโดรา (Pandora), เกมส์หมากรุก และซูโกกุ มาไว้ในหน้าเดียวกัน ที่สำคัญยังมี SDK (Software Development Kit) สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันบนนุ๊ก คัลเลอร์ไว้คอยให้บริการ
       
       โดย Nook Color ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์เวอร์ชัน 2.2 จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม ปี 2554 ในราคา 249 เหรียญสหรัฐ

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 ธันวาคม 2010, 22:04:31
แผนสอง USO กทช.เน้นอินเทอร์เน็ตชุมชน

กองทุนพัฒนาโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะของกทช. เดินหน้าแผนสอง เน้นอินเทอร์เน็ตชุมชน ด้วยงบ 3 พันล้านบาท หลังแผนแรกที่เน้นโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์สาธารณะถือว่าบรรลุเป้าหมาย
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018699401.JPEG)

       นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (สพป.) ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า การดำเนินการของกองทุนตามแผนสอง จะต่างจากแผนแรกที่เน้น เรื่องของโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์สาธารณะ ตามแหล่งที่ขาดแคลนและมีความต้องการ เช่น สถานศึกษา สาธารณสุข สถานีอนามัย ซึ่งการดำเนินงานตามแผนแรกที่ทำมา 2 ปี ถือว่าบรรลุเป้าหมายด้วยดี
       
       ส่วนแผนสอง จะมุ่งเน้นการทำอินเทอร์เน็ตชุมชนเป็นหลักเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าว สารได้มากขึ้น เพราะขณะนี้การให้บริการโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการที่มีอยู่ครอบคลุม พื้นที่ทั่วประเทศกว่า 93%
       
       ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนฯได้รับโอนกิจการด้านการเงิน และบัญชีของกองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะจากสำนักงานการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2552 โดยสถานะของเงินกองทุนฯ ขณะนี้มีจำนวน 2,929 ล้านบาท และเตรียมไปใช้สำหรับการพัฒนาบริการโทรคมนาคม
       
       เงินกองทุนดังกล่าว จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1. บัญชีกองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่ง กทช.ได้นำมาสมทบเป็นเงินจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาต (ไลเซนส์) ที่เก็บจากผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 2 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง และประเภทที่ 3 ตามมาตรา 52 ว่าด้วยพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2543 มีจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,122 ล้านบาท โดยเงินดังกล่าวนี้ จะนำไปใช้เพื่อพัฒนาด้านประโยชน์สาธารณสุข การศึกษา การวิจัย
       
       ส่วนที่ 2 คือ บัญชีกองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคม เพื่อ จัดให้มีการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง ซึ่งเป็นรายได้ที่ได้รับจากการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐาน ของผู้รับใบอนุญาตจัดสรรตามมาตรา 18 ว่าด้วย พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ที่กำหนดให้จัดเก็บจากผู้ประกอบในอัตรา 4% ขณะนี้มีเงินกองทุนจำนวน 1,807 ล้านบาท
       
       สำหรับเงินกองทุนพัฒนากิจการ โทรคมนาคม เพื่อจัดให้มีการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง จะต้องสอดคล้องโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) และแผนนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติของรัฐบาลด้วย
       
       ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนฯได้เปิดให้ผู้สนใจขอรับความช่วยเหลือด้านบริการโทรคมนาคมใน พื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
       (บรอดแบนด์) และอินเทอร์เน็ตชุมชน ลงทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจสมัครแล้วพันกว่าราย แต่สำนักงานกองทุนฯ จะคัดเลือกให้เหลือประมาณ 400 ราย
       
       "กทช.ได้เปลี่ยนเทคโนโลยีสำหรับบริการ USO จากโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์สาธารณะ เป็นบริการอินเทอร์เน็ตเพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด โดยมีเงินกองทุนเกือบ 3 พันล้านบาท"
       
       ขณะเดียวกันระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความ ถี่และกำกับดูแลวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯไปแล้ว และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปลายปีนี้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีการกำหนดกองทุนขึ้นใหม่ โดยจะมีการรวมกองทุนวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียง และ กองทุนในกิจการโทรคมนาคม
       
       รวมเป็นกองทุนวิทยุโทรทัศน์ กระจายเสียง และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งคณะกรรมการที่จะมาบริหารกองทุนจะมีจำนวนทั้งหมด 9 คน คือมาโดยตำแหน่ง 5 คนคือประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯจะมาจากประธานคณะกรรมการกสทช. กรรมการอีก 4 คนมาจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) โดยกรรมการทั้ง 5 คน จะเป็นผู้คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิมาดำรงตำแหน่งอีก 4 คน รวมเป็น 9 คน

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 ธันวาคม 2010, 22:57:38
IE9 ปลอดภัยจาก "โซเชียล" มัลแวร์ 99%

NSS Labs ศูนย์ทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่ไม่ขึ้นกับผู้ค้ารายใดได้ รายงานว่า Internet Explorer 9 รุ่นทดสอบล่าสุดที่ออกมา เป็นบราวเซอร์ที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ผู้ใช้หลุดรอดพ้นจากการถูกโจมตีจากมัล แวร์ (social engineered malware) ที่แพร่กระจายผ่านเครือข่ายของผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะหลงเชื่อคำหลอกที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คน

NSS Labs กล่าวว่า "Windows Internet Explorer 9 (beta) สามารถเอาตัวรอดได้จากภัยคุกคามของมัลแวร์ที่ใช้กลไกของสังคมในการหลอกให้ คลิกลิงค์ หรือเปิดไฟล์แนบอันตรายต่างๆ ด้วยประเด็นความสนใจที่อยู่ในกระแส (ข่าวฮอต, เรื่องลามก ฯลฯ) ได้สูงสุดถึง 99% ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Smartscreen ซึ่งมีอยู่ใน IE8 ด้วย" ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า อันดับสองของบราวเซอร์ที่ปลอดภัยจากมัลแวร์ประเภทนี้ก็คือ IE8 ที่ตามมาติดๆ คือ 90% ก่อนที่จะทิ้งห่าง Firefox 3.6 ที่ปกป้องได้เพียง 19% Safari 5 11% แต่ที่น่าตกใจมากที่สุดคือ Chrome 6 ที่ปกป้องผู้ใช้จากมัลแวร์ประเภทนี้ได้แค่ 3% เท่านั้น ส่วน Opera 10 ไม่สามารถปกป้องได้เลย (0%)

(http://www.arip.co.th/images/news/ie9/ie-9-safest-browser-protects-social-engineering-malware-2.jpg)

เทคโนโลยี SmartScreen ของ IE8 และ IE9 Beta จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับลูกค้าด้วยการตรวจจับ และบล็อคเว็บไซต์ต่างๆ ที่พยายามกระจายมัลแวร์ที่ใช้กลไกสังคมในการแพร่กระจาย รวมถึงการโจมตีด้วยเทคนิคฟิชชิ่ง (Phishing) ด้วย แม้ IE9 จะได้การยอมรับว่า เป็นบราวเซอร์ที่มีประสิทธิภาพที่ดี และปลอดภัยมาก แต่ผู้ใช้ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม งานนี้ Google คงต้องขอเคลียร์ เนื่องจากในรายงานที่ออกมาเป็นการเปรียบเทียบกับ Chrome 6 เวอร์ชันเก่า (ตอนนี้ Chome 8 ออกมาแล้ว) และผลทดสอบนี้เสร็จตั้งแต่กันยายน แต่ทำไม NSS Labs กับ Microsoft ถึงต้องรอจนถึงเดือนธันวาคม

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 ธันวาคม 2010, 13:46:04
Yike Bike จยย.ไฟฟ้าพับยกพกพาสะดวก

กระแส Gadget ใหม่ๆ ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมาเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ตลอดจนไอเดียที่น่าสนใจมากมาย และเราสัญญว่าจะยังคงเดินหน้าสรรหาเรื่องราวดีๆ ที่กำลังรอคุณผู้อ่านทุกท่านเข้าไปทำความรู้จักกับพวกมันในปี 2011 สำหรับวันนี้ มีข่าวอัพเดตเกี่ยวกับแก็ดเจ็ตที่หลายคนสนใจอยากมีไว้ครอบครองนั่นคือ Yike Bike จักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่สามารถ"พับ-ยก-พก-พา"สะดวก ซึ่งตอนนี้มันเปิดวางจำหน่ายแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Yike-Bike-folding-Electric-motocycle-2.jpg)

เชื่อว่า คุณผู้อ่านที่ติดตามเว็บไซต์ arip อยู่เป็นประจำก็คงจะจำเจ้า Yike Bike จักรยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อที่มีวิธีการขี่ไม่เหมือนใคร แถมยังมีระบบช่วยทรงตัว เพื่อให้ผู้ใช้บังคับได้โดยง่ายราวกับเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ซิ่งได้ยัง ไงยังงั้น โดยคันบังคับความเร็ว และเบรคจะอยู่ข้างลำตัว ส่วนการเลี้ยวจะใช้วิธีโน้มตัว ซึ่งด้านหลังจะมีไฟสัญญาณแสดงให้ผู้ทีขับขี่ยานพาหนะตามมารับทราบได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Yike-Bike-folding-Electric-motocycle-3.jpg)

ตัวถังของ Yike Bike ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มีน้ำหนักเบาแค่ 22 ปอนด์ (10.8 กิโลกรัม) โครงสร้างของมันมีลักษณะคล้ายจักรยานสองล้อ แต่ล้อทั้งสองจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยล้อหน้าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ส่วนล้อหลัง 8 นิ้ว ดังรูป สำหรับความเร็วที่มันทำได้สูงสุด 14 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 22.5 กิโลเมตรต่อชั่วดมง) และทำระยะทางได้ไกลสุด 6.2 ไมล์ (ประมาณ 10 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จแบตในแต่ละครั้ง

จุดเด่นของ Yike Bike นอกจากจะเรื่องของดีไซน์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว มันยังสามารถพับใส่กระเป๋า(เวลาเลิกใช้) เพื่อสะพายติดตัวได้อีกด้วย แถมยังเป็นแก็ดเจ็ตรักษ์โลกอีกต่งหาก สนนราคาของมันคันละ 3,600 เหรียญฯ หรือประมาณ 110,000 บาท

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 ธันวาคม 2010, 15:31:36
"ขยะอิเล็กทรอนิกส์" เวทีที่ไทยยังอ่อนซ้อม

นักกีฬาอ่อนซ้อมเรียกว่าน่าเป็นห่วงแล้ว การที่ประเทศไทย"อ่อนซ้อม"เรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศในนาที นี้ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะผลที่ตามมาหากประเทศไทยไม่สามารถเอาชนะ"วิกฤติมลภาวะจากขยะ อิเล็กทรอนิกส์" จะไม่ใช่การเสียใจหรือเสียดายเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนการแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่ลูกหลานไทยในอนาคตอาจต้องทนรับกรรมต่อไปอีกนาน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018623501.JPEG)
สาวเอปสัน กับเด็กน้อยชาวญี่ปุ่น

       เหตุที่ต้องใช้คำว่าอ่อนซ้อมกับประเทศไทย เพราะเมื่อเทียบกับหนึ่งในประเทศ"จ่าฝูง"ด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของ โลกอย่างญี่ปุ่น จะเห็นชัดเจนว่าไทยเราอ่อนซ้อมอย่างมากใน 3 ทักษะที่จำเป็นต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมให้พ้นจากพิษภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้ง 3 ทักษะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยากเกินเอื้อม แต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้ในเวลาข้ามคืน
       
       ขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-waste คือเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เสียหรือไม่มีใครต้องการ แล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้กลายเป็นประเด็นน่าวิตกเพราะชิ้นส่วนหลายชิ้นใน อุปกรณ์เหล่านี้เข้าข่าย"เป็นพิษ"และไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้
       
       ขณะนี้ หลายประเทศทั่วโลกได้ตื่นตัวที่จะรับมือกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการ ออกกฎระเบียบและมาตรการต่างๆเพื่อหวังให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์น้อยลง เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปที่ออกกฎระเบียบและมาตรการเกี่ยวกับการจัดการเศษซาก ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการกำจัดการใช้สารที่เป็นสารอันตรายบางประเภท โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นที่วางจำหน่ายใน ยุโรป ต้องมีกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และมีมาตรการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018623502.JPEG)
อากิฮิโกะ ซาไก ประธานกรรมการบริหารด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น

       ***กฏหมายไทยถูกดองเค็ม
       
       ประเทศไทยนั้นเพิ่งผ่านการขอเสนอญัตติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาปัญหามลพิษจากขยะและของเสียอันตรายช่วงปี 2550 แผนร่างกฎหมายที่จะใช้ควบคุมประเด็นปัญหาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนี้อยู่ ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ทำการร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียและขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำส่งให้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ตามข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการประกาศบังคับใช้จะเริ่มต้นในปี 2014 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า
       
       มีความเสี่ยงเหลือเกินว่ากำหนดการ 4 ปีนั้นจะ"ล่าช้า"จนเต่าเรียกพี่ เพราะล่าสุด ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามประกาศกำหนดการบังคับใช้พรบ.ขยะ อิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้านี้แล้ว ทำให้บริษัทไอทีส่งสัญญาณขานรับอย่างคึกคัก
       
       ยิ่งไทยดองเค็มกฏหมาย หรือบังคับใช้กฏหมายล่าช้าเท่าใด ความตื่นตัวและกระบวนการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเริ่มต้นช้าลง เท่านั้น ประเทศไทยก็จะสูญเสียประโยชน์อย่างปฏิเสธไม่ได้
       
       เช่นกรณีของ"เอปสัน" ที่เป็นหนึ่งในบริษัทซึ่งกำลังลงมือเริ่มวางกรอบปฏิบัติเรื่องการคัดแยกขยะ อิเล็กทรอนิกส์จากผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ในเวียดนาม จุดนี้อากิฮิโกะ ซาไก ประธานกรรมการบริหารด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ยอมรับในงานประชุม Epson Environmental Press Forum 2010 ว่าเพราะกฏหมายนี้ ทำให้เอปสันมีแผนการร่วมเจรจากับบริษัทคู่แข่งเพื่อ"แชร์"ค่าใช้จ่ายเพื่อ สังคมร่วมกัน
       
       ทางออกของการสางปมอ่อนซ้อมนี้ คือการผลักดันกฏหมายพรบ.ขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่ากฏหมายไม่ใช่ไข่เค็มที่ต้องดองจนได้ที่ แต่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนของสดที่ยิ่งเก็บค้างไว้นานเท่าใด ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นมากน้อยตามระยะเวลาช้าเร็วเท่านั้น
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018623503.JPEG)
เด็กๆในงาน Eco-Products 2010

       ***ความร่วมมือไม่เกิด
       
       เมื่อซาไกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของเอปสันด้านกระบวนการรีไซ เคิลในญี่ปุ่น พบว่าทุกโครงการในอดีตและปัจจุบันของเอปสันนั้นต้องมีการร่วมมือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับคู่แข่ง หรือการร่วมมือกับภาครัฐและชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พบได้น้อยมากในประเทศไทย
       
       เอปสันเคยดำเนินโครงการรีไซเคิลตลับมึกพิมพ์ โดยให้ศูนย์กลางชุมชนหรือโรงเรียนเป็นจุดรับรวบรวมตลับหมึกพิมพ์ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำมาเข้ากระบวนการรีไซเคิลของเอปสัน โดยโรงเรียนและชุมชนจะได้รับ"แต้ม"เมื่อรวบรวมตลับหมึกพิมพ์ได้แล้วส่งมอบ แก่เอปสัน ซึ่งแต้มเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นคะแนนในการรับเงินสนับสนุนงบประมาณโรงเรียน และสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนในท้องถิ่น
       
       ยังมีโครงการที่เอปสันร่วมมือกับ 6 คู่แข่งในตลาดญี่ปุ่น โดยเปิดกว้างให้ผู้บริโภคนำตลับหมึกพิมพ์ไม่ใช้แล้วทุกยี่ห้อมาหย่อนในกล่อง รวบรวม เพื่อนำมาคัดแยกแล้วส่งกลับให้แก่ผู้ผลิตแต่ละค่ายตามแบรนด์ที่ปรากฏ ซึ่งแต่ละแบรนด์จะนำตลับหมึกเก่าไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อผลิตเป็น สินค้าใหม่ต่อไป
       
       ซาไกเล่าว่าเอปสันยังร่วมมือกับชุมชน ในการดึงผู้พิการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการคัดแยกขยะเพื่อการรีไซเคิล กระบวนการรีไซเคิลจึงสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้ เอปสันระบุว่าไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล แต่รัฐบาลสนับสนุนให้กระบวนการรวบรวมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสนับสนุนเรื่องการขนส่งผลิตภัณฑ์ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในโครงการเป็นงบประมาณการทำ CSR เพื่อรับผิดชอบต่อสังคม
       
       การอ่อนซ้อมเรื่องนี้แก้ไขได้โดยไทยเราต้องหันมามองความร่วมมือ ระหว่างชุมชน ซึ่งทุกฝ่ายควรจะหันมาสานรับกันเพื่อให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีที่สุด
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018623504.JPEG)
กระบวนการรีไซเคิลซึ่งเอปสันร่วมมือกับคู่แข่ง

       ***อ่อนซ้อมจิตสำนึก
       
       สิ่งที่ได้เห็นจากงาน Eco-Products 2010 ที่จัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นช่วงวันที่ 9-11 ธันวาคมที่ผ่านมา คือญี่ปุ่นนั้นทุ่มเทกับการปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในเยาวชนอย่างน่า นับถือ สิ่งนี้เทียบไม่ได้เลยกับสังคมไทยที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังในเด็ก มากเท่าที่ควร
       
       เยาวชนและผู้เข้าชมงาน Eco-Products 2010 จะไม่เพียงเดินอ่านข้อมูลตามบูธอย่างเดียว แต่จะได้รับ"แบบฝึกหัด"ที่ทุกคนจะสามารถเข้าไปหาคำตอบจากบูธ แล้วนำมาส่งเจ้าหน้าที่เพื่อรับของที่ระลึก วิธีนี้จะทำให้เด็กได้รับข้อมูลเต็มเม็ดเต็มหน่วยและสนุกสนาน
       
       ซาไกบอกว่างานนี้ "เด็ก"คือลูกค้ารายใหญ่ของงานนี้ บนจุดประสงค์หลักคืออนาคตของชาติที่จะมีความรู้เรื่องการจัดการขยะอย่างเข้า ใจถ่องแท้
       
       ทั้งหมดทั้งปวงนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับประเทศไทย แต่คงจะดีไม่น้อยหากเราคนไทยจะเริ่มต้นในวันนี้

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: แอพไอโฟนแปล "ข้อความ" แบบเรียลไทม์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 ธันวาคม 2010, 22:26:55
แอพไอโฟนแปล "ข้อความ" แบบเรียลไทม์

แม้จะมีแอพฯแปลภาษาบน iPhone ออกมาให้เห็นกันพอสมควร แต่สำหรับแอพฯตัวที่นำมาฝากคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ในวันนี้ รับรองว่า ต้องไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะผู้ใช้สามารถใช้กล้องบน iPhone แปล"ข้อความ"ที่ปรากฎอยู่ในป้ายได้ทันที (real-time translation) โดยซ้อนทับคำแปลด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) โอ้ว!!! อะไรจะปานนั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/Word-Lens-Real-time-Augmented-Reality-translation-app-on-iPhone-2.jpg)

ในช่วงปี 2010 เทคโนโลยีการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ (Real-time translation) และ Augmented Reality ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด ซึ่ง Word Lens แอพฯ แปลภาษาบน iPhone ตัวล่าสุด ได้นำสองเทคโนโลยีนี้มาทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดย Word Lens สามารถเปลี่ยน iPhone ของคุณให้กลายเป็น "พจนานุกรมแห่งอนาคต" (คล้ายกับที่เคยอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว)

สำหรับการทำงานของแอพฯ จะเป็นการใช้ OCR (Optical Character Recognition) หรือระบบรู้จำตัวอักษรอ่านข้อความที่ปรากฎในภาพที่จับด้วยกล้องของ iPhone เพื่อแปลจากนั้นใช้ AR แสดงผลความหมายซ้อนทับขึ้นไป ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้ iPhone จับภาพป้ายโฆษณา เสื้อยืด หรือแม้แต่ฉลากสินค้าต่างๆ ทีมีข้อความที่ต้องการให้แปล ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพฯ Word Lens ได้ฟรี แต่โมดูลแปลภาษาที่ตอนนี้มีแค่ 2 โมดูลคือ ภาษาอังกฤษเป็นสเปน และสเปนเป็นภาษาอังกฤษ สนนราคาโมดูลละ 4.99 เหรียญฯ (ประมาณ 150 บาท) ลองดูคลิปการทำงานข้างล่างนี้ แล้วคุณจะต้องชอบอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 ธันวาคม 2010, 13:26:58
อยากเจลเบรกไอแพด ถามแฮคเกอร์หรือยัง

รู้สึกหงุดหงิดไหม ว่าเวลาเห็นมือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของซังซุง และเอชทีซี สามารถสถาปนาตัวเองเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไวไฟได้

(http://mydesign-club.net/wp-content/uploads/2010/01/ipad-004.jpg)

แต่พอกลับมาจ้องดูไอโฟนในมือที่ออกแบบได้อย่างดีเยี่ยมกลับทำแบบนั้นไม่ได้
 
มันน่าหงุดหงิดอีกเช่นกันเมื่อซื้อสาย VGA dock มาต่อไอโฟน และไอแพด เพื่อให้แสดงผลบนจอมอนิเตอร์ แต่กลับใช้งานได้เฉพาะโปรแกรม Key Note, Gallery Slide Show และ Video เท่านั้น
 
ตัวอย่างข้อจำกัดอันน่า หงุดหงิดดังกล่าวผลักดันให้เกิดโปรแกรม "แฮค" ทำให้ไอโฟนแปลงร่างเป็นไวไฟเราเตอร์ และยังมีโปรแกรมเพิ่มมูลค่าสายต่อ VGA อย่าง Display Out เพื่อให้ไอโฟน/ไอแพด แสดงผลขึ้นบนจอมอนิเตอร์ได้ทุกโปรแกรม
 
กฤษณ์ เปลี่ยนแพ นักพัฒนาโปรแกรม บริษัท ไอแอฟเดฟ จำกัด เป็นผู้ใช้ไอโฟนที่เจอกับข้อจำกัดอันน่าละเหี่ยใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบป้อนคำภาษาไทยของไอโฟนรุ่นแรกๆ ที่อุตริแสดงแป้นคีย์บอร์ดแบบ 3 แถว ผิดธรรมชาติอันคุ้นเคยของผู้ใช้ที่ป้อนอักษรผ่านแป้น 4 แถว ไม่ใช่แค่นั้น หากจะพิมพ์สระ และวรรณยุกต์ยังต้องกดแป้นค้าง เพื่อรอให้สระที่ต้องการใช้งานปรากฏขึ้น
 
โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นแค่ ยูสเซอร์ทั่วไป แต่ยังมีความรู้ทางด้านโปรแกรมมิ่งเป็นทุน และนำมันมาปรับปรุงแก้ไข จนไอโฟนสามารถแสดงแป้นพิมพ์ได้อย่างที่เขาต้องการ และผู้ใช้คนไทยหลายคนต้องการด้วยเช่นกัน เว้นเสียแต่ ใครที่ต้องการใช้แป้นพิมพ์ภาษาไทยที่เขาพัฒนา จำเป็นต้อง "ปลดล็อก" หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Jail Break" เสียก่อน แล้วค่อยไปเอาโปรแกรมแอกบน Cydia คลังแอพพลิเคชั่นนอก App Store
 
New Media :  ถามตรงไปตรงมาว่า ทำไมต้องเจลเบรก
 
กฤษณ์ : บางคนเข้าใจเจลเบรกว่า ทำไปเพื่อให้ลงโปรแกรมเถื่อน ความจริงแล้วโปรแกรมบน Cydia เกือบทั้งหมด มันไม่ใช่แอพพลิเคชั่นเถื่อน แต่มันเป็นแอพอีกแบบหนึ่งที่ไม่สามารถขึ้นไปบน App Store ได้ เพราะโปรแกรมพวกนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ไปแก้ไข system file ของระบบปฏิบัติการ แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่นักพัฒนาโปรแกรมเห็นแล้วว่ามันทำให้อุปกรณ์คุ้มค่า ได้มากกว่าที่เป็น แต่แอ๊ปเปิ้ลไม่ให้เราใช้งาน ทั้งที่เป็น fuction ที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเรา
 
New Media :  ดูเหมือนคนไทยยังเข้าใจความหมายของเจลเบรกไม่ถูกต้องนัก
 
กฤษณ์ : คนส่วนมากในเมืองไทยเข้าใจว่า พอเจลเบรกเสร็จแล้วก็สามารถเอาไปลงแอพเถื่อนได้ คนยังเข้าใจผิดเยอะมาก บางคนก็จะภูมิใจว่าเครื่องเขาไม่ได้เจลเบรก และลงโปรแกรมถูกลิขสิทธิ์ แล้วต่อต้านคนเจลเบรกแล้ว ไปลงแอพเถื่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วเวลาคุณเข้าไปใน Cydia เพื่อ add source ที่เป็นแอพเถื่อน ทาง Cydia จะแสดงข้อความเตือนโผล่ขึ้นมาบอกว่า คุณกำลังดาวน์โหลดแอพผิดกฎหมายอยู่ แฮคเกอร์พวกนี้เขาสะอาด เขาไม่ได้เป็นคนสนับสนุนให้ใช้แอพเถื่อน
 
New Media : เวลาคุณพูดถึง แอพเถื่อน หมายถึงแอพกลุ่มไหน
 
กฤษณ์ : แอพเถื่อนหมายถึง แอพที่ขึ้นขายบน App Store ซึ่งหากต้องการใช้งานต้องจ่ายเงินแต่ถ้าเครื่องที่เจลเบรกแล้วก็สามารถยุ่งกับ system ได้ สามารถ patch ตัวที่เอาไว้กันไม่ให้ติดตั้งโปรแกรมที่ไม่จ่ายเงินซื้อ จริงๆ แล้ว ต้องแยกกันก่อนว่าเจลเบรก ก็คือ เจลเบรก การลงแอพเถื่อน ก็คือ การลงแอพเถื่อน การลงแอพจาก cydia ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ Cydia เหมือนเป็นตัวกลางว่า คุณจะลงแอพเถื่อน คุณต้องลง Cydia และลงโปรแกรมที่เอาไว้ patch ด้วย แต่ทุกคนจะคิดเหมารวมกันหมด
 
New Media : ถ้าอย่างนั้นทำไมบางโปรแกรมขึ้นขายบน App Store บางโปรแกรมถึงขึ้นไปอยู่บน Cydia
 
กฤษณ์ : Cydia คือ โปรแกรมที่ไม่สามารถขึ้น App Store ได้ มันก็เลยจะอยู่ใน Cydia ถามว่าทำไม อะไรบ้างที่ขึ้น App Store ไม่ได้ ก็ต้องตอบว่า เนื่องจากแอ๊ปเปิ้ลให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และเสถียรภาพ ดังนั้น โปรแกรมทุกโปรแกรมจะแยกขาดจากกัน หมายความว่า โปรแกรมหนึ่งไม่สามารถไปดุงไฟล์ของอีกโปรแกรมมาอ่านได้ จะไม่มีลักษณะของ sharing แบบระบบปฏิบัติการวินโดว์ส แต่เป็นลักษณะเป็นของใครของมัน
 
New Media : มีนักพัฒนาคนไทยอยู่บน Cydia มากไหม
 
กฤษณ์ : ก็ไม่ถือว่ามาก ถ้าดูจากแพ็คเกจแก้ไข system file รวมกันแล้วไม่เกิน 50 แพ็คเกจ ส่วนมากเป็นนักพัฒนาจากเมืองนอกมากกว่า และส่วนใหญ่เป็นแอพฟรี ส่วนแอพจ่ายเงินส่วนใหญ่เป็นนักพัฒนาจากเมืองนอก เช่น  Display Out,  WiFi Tethering คนใช้กันเยอะ ประโยชน์ของ Cydia ก็มีหลายอย่าง
 
New Media : หนึ่งในนั้น คือ โปรแกรมคีย์บอร์ดภาษาไทยที่ คุณพัฒนาไปก่อนหน้าไอโฟนออก iOS 4
 
กฤษณ์ :  ใช่ครับ ตอนนั้นทุกคนสงสัยว่า ทำไมแอ๊ปเปิ้ลถึงทำคีย์บอร์ด 3 แถว เพราะเราเคยชินกับแป้นคีย์บอร์ด 4 แถว 'ฟหกด' มาตรฐาน แต่เหลือ 3 แถวยังไม่พอ การพิมพ์สระยังต้องกดค้างไว้ สระถึง pop up ขึ้นมา แล้วเอานิ้วค้างไว้ แล้วเอามือไปเลื่อนมันช้า ไปทันใจเหมือนกับแป้นพิมพ์ QWERTY กว่าจะกดสระได้ตัวหนึ่ง และกดค้างต้องใช้เวลา 2 วินาทีเพื่อเลื่อนไปหาสระที่ต้องการ บางทีคุณอาจเลื่อนนิ้วผิดก็ได้ มันผิดคอนเซปต์
 
ผมก็คิดว่า แล้วทำไมเราไม่ทำล่ะ ถ้าทำสี่แถวขึ้นมาชีวิตมันสะดวกขึ้นนะ เวลาไปแชทกับคนอื่น หรือส่งอีเมล แรกๆ ศึกษากับต่างประเทศ และเริ่มทำพัฒนาตั้งแต่ OS เวอร์ชั่น 2 บนไอโฟนจนสำเร็จ และพอมีไอแพดออกมาช่วงแรกไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งเป็นอุปสรรคมากสำหรับคนใช้อินเทอร์เน็ต และต้องการค้นหาเว็บด้วยภาษาไทย ผมเลยลงมือพัฒนาแป้นพิมพ์ภาษาไทย 4 แถวสำหรับไอแพด มันเหมือนกับเป็นหน้าที่ต้องทำ
 
New Media : มันมีบางโปรแกรมที่ดาวน์โหลดฟรี บางโปรแกรมที่วางขาย ระหว่างอยู่บน Cydia กับ App Store ในฐานะโปรแกรมเมอร์ คุณว่าควรเลือกส่งโปรแกรมไหน มันเหมือนต้องเลือกข้างไหม
 
กฤษณ์ : มันไม่ได้เลือกข้างนะ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าโปรแกรมไหนขึ้น App Store ได้ โปรแกรมไหนขึ้น App Store ไม่ได้ แต่โปรแกรมไหนปล่อยขายบน App Store ได้ เราก็ปล่อยบน Cydia ด้วย ไม่แปลก แต่โปรแกรมที่ปล่อยบน App Store ปกติ ผมว่าก็ควรไปทางนั้น เพราะมีช่องทางจำหน่ายเยอะกว่า และคนจะได้ทั้งกลุ่มเจลเบรกและไม่เจลเบรก แต่ถ้ามาปล่อยที่ Cydia ก็จะได้เฉพาะกลุ่มที่เจลเบรกซึ่งแคบกว่า
 
New Media : นักพัฒนาโปรแกรมบน Cydia เหมือนแมวไล่จับหนูไหม เพราะแอ๊ปเปิ้ลคอยอัพเดท firm ware อยู่ตลอด
 
กฤษณ์ : แน่นอน เอาง่ายๆ เลยอย่างผมทำคีย์บอร์ดมา เวลาแอ๊ปเปิ้ลเปลี่ยนเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ เราก็ต้องมาศึกษาอีกว่า ส่วนไหนต้องพัฒนาเพิ่ม ส่วนไหนใช้ของเดิมได้ เราต้องปรับตัวอยู่เรื่อยๆ แม้แต่ตัว Cydia เองก็ต้องปรับเวอร์ชั่นของตัวเองด้วย
 
New Media :ในฐานะเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมขึ้น App Store ด้วย และยังมีโปรแกรมบน Cydia ด้วย มีคำแนะนำอย่างไรบ้างสำหรับคนใช้ไอโฟน ไอแพด พวกเขาควรเจลเบรกไหม หรือควรใช้เท่าที่แอ๊ปเปิ้ลให้มา
 
กฤษณ์ : เมื่อก่อนคนอยากเจลเบรกกัน เพราะไม่ถูกใช้คีย์บอร์ดภาษาไทย มันเลยกลายเป็นความจำเป็นต้องเจลเบรก แต่ตอนนี้คีย์บอร์ดภาษาไทยมีใช้แล้วอย่างเป็นทางการสำหรับ iOS4  ถ้าผู้ใช้ปกติทั่วไป ไม่ต้องการปวดหัวว่าเจลเบรกแล้วจะ หมดประกัน คุณก็ใช้งานตามที่แอ๊ปเปิ้ลให้มา แต่ถ้าคุณรู้สึกว่า อยากทำอะไรนอกเหนือจากโปรแกรมบน App Store ที่จะทำให้อุปกรณ์ราคาหมื่นกว่าบาทของคุณ มันคุ้มค่ากับการใช้งาน คุณอาจจะต้องเจลเบรก

ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 ธันวาคม 2010, 16:10:19
เอเซอร์บุกตลาดแท็บเลตหวังแชร์ 20% ปีหน้า

เอเซอร์ ผู้ผลิตพีซีเบอร์ 2 ของโลก เผยแผนลุยตลาดปีหน้า เล็งขยายตลาดในประเทศจีน หวังส่วนแบ่งรายได้เพิ่มมากกว่า 20% ในตลาดโลก ภายใน 5 ปี พร้อมดันแท็บเลตเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำตลาด หลังร่วมมือผลิตกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศจีน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018729001.JPEG)
เจ ที หวาง ประธาน เอเซอร์ เตรียมพร้อมบุกตลาดแท็บเลต หวังเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ในจีน

       เจ ที หวาง ประธาน เอเซอร์ กล่าวว่า เอเซอร์มองว่าตลาดแท็ปเล็ตยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกเป็นจำนวนมาก และทางเอเซอร์ก็หวังจะเข้าร่วมในตลาดนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
       
       "เมื่อพร้อมวางจำหน่ายแท็บเลต เราก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดแท็บเลตโลกให้ได้ 15 - 20% ภายในปีหน้า"
       
       โดยผลการวิเคราะห์ล่าสุดของไอดีซี ระบุว่าตลาดแท็บเลตในปี 2011 จะอยู่ที่ 40-50 ล้านเครื่อง โดยมีไอแพดครองตลาด และคาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วง 57.4% ในทุกๆ ปีตั้งแต่ 2010 - 2014
       
       "การเติบโตของตลาดแท็บเลต จะช่วยให้เอเซอร์สามารถเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ในประเทศจีน จาก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ขึ้นเป็น 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 7% ของรายได้รวมทั้งหมดของเอเซอร์"
       
       นอกจากนี้เอเซอร์ยังเชื่อว่าตลาดรวมของสมาร์ทโฟนจะมีการเติบโตอย่าง ต่อเนื่อง 5-10% ในสิ้นปีนี้ รวมกับการเติบโตของพีซีที่ 10-15% ในปีหน้า ซึ่งยอดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนและตลาดเกิดใหม่
       
       เอเซอร์มีกำไรจากการดำเนินการในช่วงปิดตลาดไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.2% และคาดว่าจะคงที่อยู่ราว 3% ในปีหน้าด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันเอเซอร์มีส่วนแบ่งตลาดพีซีอยู่ที่ 13% รองจากเอชพีที่ 17.6% ตามการสำรวจของไอดีซีล่าสุด

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 ธันวาคม 2010, 17:11:11
ไทม์ชู "ซีอีโอเฟซบุ๊ก" บุคคลแห่งปี 2010

แม้สัปดาห์ที่แล้วจะมีข่าวว่า Julian Assange ผู้ก่อตั้ง WikiLeaks เว็บไซต์แฉเอกสารลับระหว่างประเทศคือตัวเก็งที่จะได้เป็นบุคคลแห่งปี 2010 ของนิตยสารไทม์ (Time magazine) ปรากฏว่าแชมป์ Person of the Year ปีนี้กลับกลายเป็น Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เครือข่ายสังคม Facebook แทน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018724202.JPEG)

       ข่าวลือเรื่องการเป็นตัวเก็งบุคคลแห่งปีของผู้ก่อตั้ง WikiLeaks นั้นมาจากรายงานของ Drudge Report แหล่งข่าวในรายงานชี้ว่าชื่อของ Assange มาจากการโหวตของผู้อ่านที่สิ้นสุดลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       สำหรับการยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ไทม์ให้เหตุผลว่าเฟซบุ๊กนั้นได้ประสานโลกของสังคมชาวมนุษย์อย่างลงตัว โดยย้ำว่าไม่ใช่เฉพาะชาวอเมริกัน แต่เป็นมนุษย์ทั่วทุกมุมโลกที่มีอินเทอร์เน็ตใช้งาน
       
       "มากกว่าครึ่งของชาวอเมริกันขณะนี้มีชื่อสมาชิกที่ลงทะเบียนกับ เฟซบุ๊ก แต่มากกว่า 70% ของผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งหมดเป็นผู้ใช้หลากหลายสัญชาติไม่ใช่เฉพาะอเมริกัน นี่คือการปฏิวัติการสื่อสารของโลกอย่างแท้จริง เรากะลังเข้าสู่ยุคของเฟซบุ๊ก และ Mark Zuckerberg คือคนที่ทำให้พวกเรามาถึงจุดนี้"
       
       เทียบกันแล้ว Assange แห่ง Wikileaks นั้นสามารถสร้างเพื่อนได้น้อยนิดในสถานการณ์ที่ยากเข็น
       
       Assange เป็นชาวออสเตรเลียที่เพิ่งถูกตำรวจยุโรปจับกุมตัวจากคดีข่มขืนหญิงชาวสวีเดน 2 รายเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย Assange เป็นฝ่ายเดินทางไปมอบตัวที่สถานีตำรวจและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และบอกว่าจะให้ความร่วมมือกับตำรวจสวีเดนเพื่อล้างมลทินของตัวเอง ซึ่งแม้โฆษกของ WikiLeaks จะกล่าวว่าการจับกุมตัว Assange จะไม่มีผลใดๆต่อการดำเนินงานของ WikiLeaks แต่หลายปัจจัยกลับทำให้ WikiLeaks มีความเสี่ยงระงับการให้บริการ เช่น บริการจ่ายเงินออนไลน์ PayPal, บัตรเครดิต MasterCard, บัตรเครดิต Visa และธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ Swiss Post Office Bank ต่างปิดบัญชีของ Assange ด้วยเหตุผลว่า “ละเมิดสัญญาการใช้งาน” โดยทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
       
       ปัจจุบัน เฟซบุ๊กมีผู้ใช้มากกว่า 550 ล้านราย ขณะที่ไทม์มีธรรมเนียมคัดเลือกบุคคลแห่งปี (Person of the Year) เป็นประจำทุกปี ซึ่งไทม์นั้นเคยสร้างความฮือฮาแล้วในปี 2006 โดยประกาศให้ You (พวกคุณทุกคน) เป็นบุคคลแห่งปีมาแล้ว

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 ธันวาคม 2010, 22:08:02
แอปเปิ้ลเล็งเปิด แมค แอพ สโตร์ สำหรับสาวกแมค

แอปเปิ้ลเตรียมเปิดร้านค้าออนไลน์ สำหรับดาวน์โหลแอพพลิเคชั่นของเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช โดยเฉพาะ

(http://perfectw.exteen.com/images/macbook_pro_late_2008-jesus.jpg)

สำนักข่าว เอเอฟพี รายงานว่า แอปเปิ้ล ได้เตรียมเปิดร้านแมค แอพ สโตร์ ซึ่งเป็นร้านค้าออนไลน์สำหรับดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นด้านบันเทิง และด้านการใช้งาน สำหรับคอมพิวเตอร์ในตระกูลแมคอินทอชโดยเฉพาะ ซึ่งแอปเปิลวางแผนที่จะเปิดตัวใน 90 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้แอพพลิเคชั่นที่ให้บริการจะมีทั้งให้บริการดาวน์โหลดฟรี และเสียค่าใช้จ่าย โดยประกอบไปด้วยแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย อาทิ เกม ไลฟ์สไตล์ การศึกษา ฯลฯ

สตีฟ จ็อบ ผู้บริหารของแอปเปิล กล่าวว่า หลังจากที่ แอพ สโตร์ ได้ปฏิวัติโลกของโมบายแอพมาแล้ว แอปเปิลหวังว่า การเปิด แมค แอพ สโตร์จะสามารถทำได้เช่นกัน โดยแมค แอพ สโตร์ จะช่วยให้การหาซื้อแอพฯสำหรับใช้บนเครื่องแมคฯมีความง่ายขึ้น"

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 ธันวาคม 2010, 12:47:52
Zipbuds หูฟังติดซิป แก้ปัญหาสายพัน

แม้จะมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้สายหูฟังของคุณไม่พันม้วนกันทั้งในเวลาเก็บ หรือใช้งาน แต่มันก็ดูวุ่นวายเกินไป ล่าสุดทางเว็บไซต์"เออาร์ไอพี" (arip) ได้ไปพบหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุดที่รับรองว่า ปัญหาดังกล่าวของคุณจะหมดไป ซึ่งไอเดียในการแก้ปัญหาของหูฟังทีว่านี้ก็คือ การใช้"ซิป" (zip) รูดสายทั้งสองให้ติดกันได้ซะเลย...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/zipbuds-earbud-zipper-for-ipod-iphone-2.jpg)

zipbuds ชุดหูฟังที่มาพร้อมกับไอเดียแหวกแนว แต่เวิร์ก นั่นก็คือ การนำซิปมาใช้สำหรับการรูดสายของหูฟังซ้ายขวาให้รวมเป็นเส้นเดียวได้ ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยแก้ปัญหาสายพันกันทั้งในขณะที่เก็บ หรือระหว่างใช้งานได้นั่นเอง แถมยังดูดีอีกด้วย

ความจริงไอเดียนี้น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ สนนราคาของ zipbuds อยู่ที่ 39.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,200 บาท ลองชมคลิปสาธิตการใช้งานข้างล่างนี้ รับรองว่า คุณต้องอยากเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน...เอ่อ...ผมหมายถึง zipbuds นะครับ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 ธันวาคม 2010, 14:18:11
เฟซบุ๊กใหม่ "จำใบหน้าได้" ช่วยให้ง่ายหรือดาบสองคม

ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อเฟซบุ๊ก (Facebook) เปิดตัวคุณสมบัติใหม่ที่ทำให้ระบบสามารถรับรู้ได้ว่าบุคคลในภาพเป็นใคร เฟซบุ๊กยืนยันเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ง่ายต่อการใช้งาน ขณะที่หลายฝ่ายชี้ว่านี่คือหายนะที่จะทำให้สมาชิกเฟซบุ๊กทุกคนมีความเสี่ยง สูญเสียความเป็นส่วนตัว โดยแนะนำให้ผู้ใช้ปิดการทำงานคุณสมบัตินี้เพื่อความปลอดภัย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018916001.JPEG)
มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก

      ความสามารถของคุณสมบัติใหม่ในเฟซบุ๊กนี้เกิดจากการนำเทคโนโลยี วิเคราะห์ใบหน้าหรือ facial recognition ที่นิยมใช้ในโปรแกรมแก้ไขภาพถ่ายเข้ามาประยุกต์ในส่วนบริการ Facebook Photos ผลคือเมื่อผู้ใช้อัปโหลดภาพลงในเฟซบุ๊ก ระบบจะคาดเดาว่าบุคคลในภาพเป็นใครก่อนจะแสดงรายการแนะนำชื่อของบุคคลที่ ควร"ติดป้าย"หรือแท็ก (tag) ในภาพมาให้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการแบ่งปันภาพในกลุ่มสมาชิก
      
      เทคโนโลยีนี้ทำให้เฟซบุ๊กสามารถจัดกลุ่มภาพที่มีใบหน้าบุคคลเดียว กัน ให้ผู้ใช้สามารถติดแท็กได้หลายภาพในครั้งเดียว จุดนี้เฟซบุ๊กยกตัวอย่างภาพถ่ายงานแต่งงานญาติพี่น้อง เทคโนโลยีนี้จะทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์ชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวหรือผู้ร่วมงาน หลายครั้งตามจำนวนรูป เทคโนโลยีนี้จะทำให้การแท็กชุดรูปภาพทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าเดิม

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018916003.JPEG)
ลักษณะการทำงานของคุณสมบัติ "tag suggestions"

ทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมว่าเป็นคุณสมบัติ "tag suggestions" จุดนี้เฟซบุ๊กย้ำว่า ผู้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวสามารถปิดความสามารถนี้ได้โดยตั้งค่าในเมนู Privacy Settings ให้กดไม่เลือกความสามารถ 'Suggest photos of me to friends.' เมื่อตั้งค่าแล้วระบบจะไม่แนะนำชื่อของผู้ใช้รายนั้นแก่เพื่อนที่อัปโหลดรูป ซึ่งมีใบหน้าของผู้ใช้รายนั้นอยู่ แต่ผู้ใช้จะยังคงสามารถถูกติดแท็กได้ด้วยการเลือกชื่อตามปกติ
      
      คุณสมบัติจดจำใบหน้าของเฟซบุ๊กยังไม่เปิดให้ใช้งานในขณะนี้ แต่จะทยอยเปิดให้ใช้งานในพื้นที่สหรัฐฯก่อนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
      
      ปัจจุบัน รูปในระบบเฟซบุ๊กถูกติดแท็กวันละมากกว่า 100 ล้านรูป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเฟซบุ๊กจะพัฒนาระบบติดแท็กให้มีความอัจฉริยะยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้จะลดลงเพราะความ อัจฉริยะของระบบที่เกิดขึ้น โดยบางความเห็นระบุว่าความสามารถนี้อันตรายเกินไป และชุมชนออนไลน์ควรตื่นขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ภัยร้ายเกิดขึ้นก่อนที่จะสาย เกินแก้
      
      สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลคือความสามารถนี้ทำให้ เฟซบุ๊กมีความสามารถในการรวบรวมและค้นหาข้อมูลของผู้ใช้มากเกินไป เท่ากับผู้ประสงค์ร้ายจะสามารถค้นหาข้อมูลความสนใจ ความชอบ ความเห็นด้านการเมือง วิถีชีวิต และล่าสุดคือกิจกรรมของผู้ใช้ตามรูปภาพได้แบบครบเครื่องจากเฟซบุ๊ก สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความเสี่ยงในการถูกติดตามได้ง่าย ซึ่งหลายเสียงมองว่าถือเป็นดาบ 2 คมที่ไม่คุ้มค่าหากจะแลกกับความสะดวกสบายในการแบ่งปันรูป
      
      นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดเรื่องการปรับเปลี่ยนเพจของเฟซบุ๊ก เนื่องจากเฟซบุ๊กเพิ่งเปิดตัวหน้าประวัติหรือ profile ใหม่ที่ทำให้สมาชิกเฟซบุ๊กมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกสามารถแสดงตัวตนอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยดึงข้อมูลส่วนตัวพร้อมรูปมาโชว์ในส่วนบนสุดของหน้าแรก ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงที่นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เฟซบุ๊กมาเปิดเผยมากเกินไป
      
      ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ระบบข้อความของเฟซบุ๊กนั้นถูกใช้งานเป็นประจำโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 350 ล้านคน (จากทั้งหมดมากกว่า 500 ล้านคน) สถิติการส่งข้อความคือ 4,000 ล้านข้อความต่อวัน โดยเฟซบุ๊กถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ในตลาดโฆษณาออนไลน์ถึง 1.3 พันล้านเหรียญทั่วโลกในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 665 ล้านเหรียญในปี 2009 ตามการวิจัยของ eMarketer

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 ธันวาคม 2010, 15:24:07
AIS แจก IPhone 4 วันละเครื่อง

เอไอเอส จัดกิจกรรมต้อนรับปีใหม่ตอบแทนลูกค้าส่งท้ายปี ในงาน "สุขสันต์ปีใหม่ อุ่นใจกับเอไอเอส" มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า รวมไฮไลท์พิเศษลูกค้าเอไอเอสลุ้นรับโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 4 ได้ทุกวัน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018943102.JPEG)

       ทางประชาสัมพันธ์ เอไอเอสให้ข้อมูลว่า ในวันเปิดงาน 21 ธ.ค.เวลา 18.45 น. พบกับก๊วนซานต้า ซานตี้ ชื่อดัง ทั้งชวัญ อุษามณี , เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ , ลิเดีย ศรัณย์รัชย์ และเก้า จิรายุ ที่ร่วมนำของขวัญอุ่นใจไปมอบให้แก่ผู้ร่วมงาน รวมทั้งมอบโชคเอไอเอส ไอโฟน 4 จำนวน 2 เครื่อง และปิดท้ายด้วยมินิ คอนเสิร์ต ออน ไอซ์ โดยซานตี้ ลิเดีย และชมโชว์ ไอซ์ สเก๊ต ประกอบเพลงสุดอลังการ
       
       โดยงาน "สุขสันต์ปีใหม่ อุ่นใจกับเอไอเอส" จัดขึ้นที่บริเวณลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ และลานไอซ์ สเก๊ต The Rink presented by AIS เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมนี้ จนถึงวันปีใหม่ รับบรรยากาศคริสมาสและปีใหม่

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 ธันวาคม 2010, 21:58:19
ลือ Galaxy Tab 2 ใช้ Nvidia Tegra 2

รายงานข่าวล่าสุด นักวิเคราะห์อ้างว่า Samsung มีโอกาสที่จะใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Tegra 2 กับแท็บเล็ตรุ่นต่อไปของทางบริษัทนั่นก็คือ Galaxy Tab 2 นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาอีกด้วยว่า มันจะใช้ระบบปฎิบัติการ Honeycomb (Android 3) และคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2011

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-2-will-use-nvidia-tegra-2-with-honycomb-release-1HY11-2.jpg)

Ambrish Srivastava นักวิเคราะห์เซมิคอนดัคเตอร์ที่ BMO Capital Market เปิดเผยกับนักลงทุนว่า Nvidia จะเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปวิดีโอที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตลาดแท็บเล็ตที่มี แนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2011 โดยนักวิเคราะห์รายนี้ได้มีโอกาสพบปะกับบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 30 แห่งทีตั้งอยู่ในประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำให้เขาค่อนข้าง มั่นใจว่า Nvidia Tegra 2 (ชิป Dual Core A9) มันน่าจะถูกใช้ใน Galaxy Tab 2 ปีหน้า

ปัจจุบัน มีแท็บเล็ต Advent Vega เพียงเจ้าเดียวที่ใช้ชิปดังกล่าว แต่ในปีหน้า ซึ่งจะมีแท็บเล็ตเปิดตัวอีกมากมาย โดยในจำนวนนี้จะมี Motorola และ LG ที่เปิดเผยว่าแท็บเล็ตของทางบริษัทจะใช้ Tegra 2 อย่างไรก็ตาม มันฟังดูค่อนข้างเป็นไปได้ยากสำหรับการวิเคราะห์ที่ว่า Samsung จะใช้ Nvidia Tegra 2 ทั้งๆ ที่ทางบริษัทมีชิป Hummingbird ที่ใช้ใน Galaxy Tab เวอร์ชันแรกอยู่แล้ว ขณะเดียวกันทางบริษัทก็เพิ่งจะประกาศชิปในตระกูล Humingbird ชื่อว่า Orion ที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นต้นแบบสำหรับโพรเซสเซอร์ Apple A5 ซึ่งจะใช้ใน iPad 2, iPhone 5 และ iPod Touch 5G สิ่งที่เหมือนกันของ Orion กับ Nvidia Tegra 2 ก็คือ  มันใช้ ARM Cortex A9 2 คอร์ ทำงานร่วมกับ ULP Nvidia GeForce GPU ที่ใช้พลังงานต่ำมากๆ

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 ธันวาคม 2010, 22:35:45
สปริงบุกตลาดสมาร์ตโฟน

สปริง มือถือแบรนด์ไทยทุ่มงบ 200 ล้านบาท พัฒนาระบบบริการมือถือเคาะเปิดตัว 10 ม.ค.นี้

(http://www.spriiing.com/campaign/images/spriiing-smile.png)

นายชวัล บุญประกอบศักดิ์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สปริง เทเลคอม เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 ม.ค. 2554 บริษัทเตรียมเปิดตัวมือถือเฮาส์แบรนด์ใหม่ สปริง (Spriiing) ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และพัฒนาแอพพลิเคชันโดยคนไทยทั้งหมด ใช้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท

จุดเด่นไม่ได้เน้นขายแค่เครื่องโทรศัพท์ แต่เน้นบริการแอพพลิเคชันที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้งานโซเชีย ลเน็ตเวิร์กและแชตกันได้ไม่ต่างจากแบล็คเบอร์รี่ โดยไม่ต้องยึดติดกับเครื่อง

บริษัทได้ใช้งบลงทุนพัฒนาระบบทั้งหมดและเตรียมงบไว้สำหรับลงทุนเพิ่มเติม ในปีหน้า รวมทั้งงบการตลาดอีกส่วนหนึ่งสำหรับเริ่มทำตลาดตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2554 อีกกว่า 30 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์และกระตุ้นตลาดให้เป็นที่รู้จัก โดยส่วนของเครื่องราคาเริ่มต้นที่ 6,850 บาท

อย่างไรก็ตาม สปริงเลือกสมาร์ตโฟนที่คุณภาพดี ราคาไม่สูง โดยเฉพาะการใช้งานหลักจริงๆ ของสปริง คือแอพพลิเคชันที่นอกจากเครื่องของสปริงแล้ว สมาร์ตโฟนที่ใช้แอนดรอยด์สามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งใช้งานได้ทันที และทุกคนสามารถแชตกันผ่านแอพพลิเคชันนี้ และกำลังเจรจาพัฒนาให้แอพพลิเคชันนี้ไปอยู่บนระบบอื่นๆ เช่น ไอโฟนและบีบี โดยใช้คีย์เป็นตัวยืนยัน จึงไม่ต้องผูกติดการแชตกับเครื่อง

การบุกตลาดใน เบื้องต้น สปริงได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ในการกระจายเครื่องเข้าสู่ตลาดผ่านร้านดับบลิวดีเอส

รวมถึงการให้บริการหลังการขาย โดยจะมีการแบ่งรายได้กันโดยผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ และอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ให้บริการรายอื่นๆ เพื่อร่วมมือในลักษณะเดียวกัน

นอกจากนี้ ในปีหน้าหลังจากเริ่มทำตลาดในประเทศไทยแล้ว ยังมีแผนรุกตลาดต่างประเทศ โดยขณะนี้เริ่มมีการทดสอบและเจรจากับผู้ให้บริการในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ เพราะการให้บริการแอพพลิเคชัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดก็สามารถดาวน์โหลดได้ ถ้าความร่วมมือสำเร็จก็สามารถเปิดให้บริการได้เช่นกัน

“มั่นใจในจุดเด่นของสปริง เพราะนอกจากจะเป็นมือถือแบรนด์ไทยแล้ว การใช้งานในโลกออนไลน์ก็ทำได้ใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นๆ อีกทั้งยังเป็นฝีมือคนไทยในการคิดแอพพลิเคชันต่างๆ อีกด้วย” นายชวัล กล่าว

ข้อมูลจาก โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 ธันวาคม 2010, 04:55:11
สื่อสารไทยผวาต่างชาติหลังเปิดเสรีศก.อาเซียน

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้มีการจัดสัมมนาทางวิชาการประจำปี 2553 (NTC Year-End Conference 2011) ในหัวข้อ 'อนาคตกิจการโทรคมนาคมไทย' หลังพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (พ.ร.บ.กสทช.) มีผลบังคับใช้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018964201.JPEG)

      โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วยตัวแทนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัท ทรูมูฟ บริษัท ซิมโฟนี คอมมูนิเคชั่น เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) และตัวแทนจาก กทช.
      
      ***มาร์เก็ตแคปไอซีที 5.8 แสนล้าน
      
      นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจำนวน28 บริษัท มีมาร์เก็ตแคปถึง 5.8 แสนล้านบาท จากเมื่อ 20 ปีก่อนมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท มีการระดมทุน 5.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ เป็นตราสารหนี้ 4.8 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อไม่มีการเปิดประมูล 3G
      ผู้ประกอบการก็ไม่ค่อยมีการระดมทุน แต่ถ้ามีการระดมทุนเพื่อไปดำเนินธุรกิจ จะทำให้เกิดบริการใหม่ๆ ตามมา
      
      ***ต้องเปิดแข่งแบบเสรีและเป็นธรรม
      
      นายสุทธิชัย ชื่นชูศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานธุรกิจสัมพันธ์และพัฒนาเอไอเอส กล่าวว่า การพัฒนากิจการโทรคมนาคมไทยน่าจะขยับไปอีกก้าวคือการเปิดเสรีและเป็นธรรม ยุติเรื่องสัญญาสัมปทานที่แตกต่างกันทั้งเงื่อนเวลา และส่วนแบ่งรายได้ การมี พ.ร.บ.กสทช. ถือเป็นก้าวที่ดี
      
      เอไอเอสเป็นบริษัทมหาชนมีผู้ ถือหุ้นทั้งสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ เมื่อสัญญาสัมปทานหมดอายุ รัฐจะมีการดำเนินการอย่างไร ลูกค้าจะอยู่ได้หรือไม่ คลื่นความถี่ที่ให้บริการอยู่ในขณะนี้ทั้ง 900MHz 1800MHz จะกลับไปอยู่ที่ ทีโอที กสท โทรคมนาคม หรือ กสทช. แล้วจะมีการนำมาประมูลได้หรือไม่เพื่อให้กิจการดำเนินการได้ต่อไป
      
      อย่างกรณีของมาตรา 22 คณะกรรมการมีหน้าที่ให้ความเห็นแก่กระทรวงไอซีที เอไอเอสมีการแก้สัญญามาแล้ว 7 ครั้ง แต่ละช่วงเวลามีหลักและเหตุผลที่ต่างกันตามช่วงเวลานั้นๆ ในความเห็นของคณะกรรมการ มาตรา 22 เป็นการมองย้อนหลังกลับไป แต่เอไอเอสก็ได้ดำเนินการตามกระบวนการตามที่กฎหมายเปิดทางไว้ให้
      
      ***ความต่อเนื่องทางธุรกิจช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ
      
      นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านการพาณิชย์ ทรูมูฟ กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีการหลอมรวมกันมากขึ้นเป็นทั้งสื่อและเทเลคอม ทำให้การกำกับดูแลมีความซับซ้อนขึ้น การมีคณะกรรมการ กสทช. เป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ทรูมูฟต้องการเห็นคือความต่อเนื่องทางธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน อำนาจการกำกับดูแลจาก กทช. ไปเป็น กสทช. ส่วนอายุสัมปทานหลายๆหน่วยงานก็ต้องเข้ามาช่วยกันดูแลร่วมกับ กสทช. เพราะในปี 2015 หรืออีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อม และความเหมาะสมให้กับเอกชนไทยที่จะต้องแข่งขันกับต่างประเทศที่จะเข้ามาใน ไทย เพราะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีผลกับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
      
      'ขณะนี้เรามี 2 มาตรฐานคือโลกเก่าซึ่งเป็นสัมปทานกับโลกใหม่ที่เป็นใบอนุญาต ผู้ให้บริการปัจจุบันมีทั้งที่อยู่ในโลกเก่าและโลกใหม่ แต่เมื่อเปิดเสรีผู้ประกอบการใหม่ที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ในโลกของ ใบอนุญาตอย่างเดียว ดังนั้น การแปรสัญญาสัมปทานต้องมีความชัดเจน เพราะขณะนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มีปัญหาความขัดแย้ง สับสน ทำให้เกิดการฟ้องร้องมากมาย'
      
      ***อย่าผวาต่างชาติเข้ามาแข่ง
      
      ด้านนายทอเร่ จอห์นเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า สิ่งที่ดีแทคต้องการจะเห็นคือโรดแมปที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) 3G ความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน และอยากให้องค์กรที่กำกับดูแลทำงานควบคู่ไปกับรัฐบาล ตรงไหนที่ไม่ชัดเจนก็ต้องเร่งแก้ไข ส่วนเรื่องความถี่ กทช.ก็ควรเตรียมไว้ให้พร้อม
      
      ส่วนสัญญาสัมปทานควรยกเลิก ให้ผู้ประกอบการทุกรายเริ่มต้นพร้อมกัน หรืออย่างเรื่องของโครงข่ายก็ใช้ร่วมกัน เพราะไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด เนื่องจากจะเป็นการลงทุนที่ซ้ำซ้อน
      
      'ตรงไหนที่ติดขัดเกี่ยวกับ สัญญาสัมปทานรัฐควรเร่งแก้ไข และอยากฝากถึงผู้ประกอบการไทยไม่ต้องกลัวต่างชาติ ถ้าสร้างธุรกิจตัวเองให้มีความแข็งแกร่ง'
      
      ***ผลดีกับผู้ประกอบการประเภทที่ 2
      
      นายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี กล่าวว่า การมีพ.ร.บ. กสทช. ถือเป็นผลดีกับผู้ได้ไลเซนส์ประเภทที่ 2 เพราะจะทำให้มีผู้ประกอบการโทรคมนาคมมากขึ้น มีโครงข่ายที่เป็นกลางมาก ส่วนปัญหาที่ต้องการให้กสทช.แก้ไขคือ เรื่องสัมปทาน อย่างกรณีซิมโฟนีสร้างโครงข่ายเคเบิลต้องไปเกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย ในเรื่องของการวางสายเคเบิลไปตามเส้นทางต่างๆ ในที่สาธารณะ บางครั้งการเจรจาต้องใช้เวลานาน หรือบางทีก็เป็นสุญญากาศ หรือบางครั้งเจ้าของอาคาร สถานที่เรียกเก็บค่าตอบแทนที่สูง จึงต้องการให้องค์กรที่กำกับดูแลเข้ามาทำให้เกิดความเสมอภาค เพราะต่อไปอีก 15 ปี สายเคเบิลจะเดินไปทางไหนก็ได้
      
      'ทิศทางการให้ใบอนุญาตประเภทที่ 1 จะแข่งกับประเภทที่ 2 และ 3 ไม่ได้ เพราะไม่มีโครงข่าย และประเภทที่ 2 กับ 3 จะทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ แต่บางครั้งประเภทที่ 2 ก็ไปขอใช้ผู้ให้บริการประเภทที่ 3 แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง เพราะเขามีประเภทที่ 2 อยู่ด้วย กสทช. ควรจะระบุเลยว่าใครทำเคเบิลก็ทำอย่างเดียว เซอร์วิสก็ทำได้อย่างเดียว โครงข่ายก็อย่างเดียวไป ไม่ควรทำทับซ้อนกัน'
      
      ***ถนนไอซีทีไม่พร้อมคอนเทนต์วิ่งลำบาก
      
      นายธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ ซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวว่า ในส่วนของซอฟต์แวร์พาร์คเหมือนเป็นการสร้างรถมาวิ่งบนถนน และปัจจุบันกำลังจะเป็นยุคอินเทอร์เน็ต โมบาย คอมพิวติ้ง ซึ่งจะเห็นได้จากการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต สิ่งที่ซอฟต์แวร์พาร์คมองคือคลาวด์ คอมพิวติ้ง กับโมบาย คอมพิวติ้ง ทิศทางของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ถ้าการเชื่อมต่อช้าจะไม่สามารถแข่งขันได้ใน เชิงธุรกิจ
      
      'โมบายดีไวซ์เป็นโอกาสของนัก พัฒนาโปรแกรมที่จะทำโมบาย แอปพลิเคชันที่สามารถส่งซอฟต์แวร์ออกไปทำตลาดต่างประเทศได้ แต่พอผลิตเสร็จก็ไม่มีถนนให้วิ่งให้ทดสอบ ซึ่งเราอยากจะเห็นตรงนี้เกิดขึ้น'
      
      ***กฎหมายต้นตอปัญหา
      
      นายสุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการ กทช. กล่าวว่า หลังมีพ.ร.บ. กสทช. การทำธุรกิจขายส่งบริการมือถือ (MVNO) ไม่สามารถทำได้ ทั้งที่กรรมาธิการยกร่างเป็นผู้ร่างแล้วก็มาขอให้มีการแก้ไขเพื่อให้ทำ MVNO ได้ ซึ่งไม่ทราบว่าต้องร่างมาทำไมร่างแล้วมาแก้ ส่วนความถี่เก่าใครทำก็ให้ทำไปแต่ต้องอยู่บนหลักของกฎหมายใหม่ หรืออย่าง 3G ก็ไม่เกิดทำให้ประเทศเสียโอกาสเป็นอย่างมาก
      
      'ทุกวันนี้เขาพูดถึงซูเปอร์ บรอดแบนด์แล้ว ของไทย 3G 4G ลอยอยู่แต่เอามาไม่ได้ ทำให้เกิดการผูกขาด แม้กทช.จะปฏิบัติหน้าที่แทนกสทช.แต่ก็เปิดประมูลไม่ได้ เพราะจะเป็นการละเมิดคำสั่งศาล ส่วนกรณีของมาตรา 22 ถามว่าถ้าแก้สัญญาแล้วขัดหลักกฎหมายโทรคมนาคมจะทำอย่างไร อย่างคอสแชร์ริ่งก็ขัดกับแผนแม่บท'
      
      นายสุธรรมกล่าวว่า เมื่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมอยู่ในตลาดเปิดเสรี ทุกรายต้องการอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน มีกฎกติกาเดียวกัน เมื่อทุกอย่างเสมอภาคจะไม่เกิดกรณีมาตรา 22 หรือมาตราอื่นๆ ตามมา เพราไม่ใช่การแย่งเค้กกัน วิธีการตอบสนองคือต้องมีกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมไม่ว่าจะเป็นทางโทรคมนาคม หรือบรอดแคส ที่สำคัญต้องทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านบรอดแบนด์โดยเร็วเพราะจะเป็น บันไดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ
      
      'ทุกวันนี้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมหากเป็นสีคือสีเทา เราอยู่ในเกรย์ แอร์เรียมาตลอด หรือบางอย่างก็เป็นสีม่วง อย่าง 3G ทุกอย่างทำในกฎเกณฑ์ซึ่งทุกประเทศทำได้ยกเว้นไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่าไทยไม่ใช่ประเทศเผด็จการเพราะมีฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการที่คานอำนาจกันอยู่'

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 ธันวาคม 2010, 13:45:30
Foursquare เพิ่มภาพถ่ายและคอมเมนต์

ข่าวใหญ่วันนี้ ในที่สุดแอพฯ Foursquare ที่ได้รับความนิยมบน iPhone ก็ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ของการทำงานที่หลายคนรอคอยนั่นก็คือ การเพิ่มภาพถ่ายเข้าไปในแอพฯ พร้อมทั้งสามารถคอมเมนต์ภาพถ่ายได้อีกด้วย โดยภาพต่างๆ จะมองเห็นได้โดยเพื่อนๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณเท่านั้น

Foursquare บริการแชร์และอัพเดตสถานที่อยู่ขณะนั้นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน ได้เพิ่มคุณสมบัติการทำงานใหม่ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดภาพถ่ายขึ้นไปให้เพื่อนๆ ในเครือข่ายได้เห็นภาพได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถคอมเมนต์ภาพถ่ายได้ด้วย ซึ่งหากเพื่อนอยู่แถวนั้นก็จะ สังเกตตำแหน่งที่คุณอยู่ได้ง่ายขึ้น สำหรับภาพที่แชร์นอกจากจะปรากฎใน Foursquare แล้ว มันยังรวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ อย่างเช่น Facebook และ Twitter ที่คุณได้แชร์ข้อมูลของ Foursquare ไว้ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/internet/2/foursqaure-adds-photos-and-comments-2.jpg)

Foursquare เป็นบริการที่มีการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถบรอดแคสต์สถานที่ที่ตนเองอยู่ในขณะนั้นให้ เพื่อนๆ ทราบได้ ซึ่งคู่แข่งยักษ์ใหญ่ก็คือ Facebook ที่เพิ่งจะเปิดบริการ Places ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ปัจจุบัน Foursquare มีผู้ใช้มากกว่า 5 ล้านราย ซึ่งพวกเขาเช็คอินบนเว็บไซต์มากกว่า 1.5 ล้านครั้งในแต่ละวัน สำหรับคุณสมบัติในการเพิ่มภาพเข้าไปจะพบได้ในเวอร์ชันบน iPhone ที่จะเริ่มให้อัพเดตกันได้ตั้งแต่วันจันทร์หน้า ส่วนเวอร์ชันบน Android จะเป็นสัปดาห์ถัดไป และที่ขาดไม่ได้สำหรับสาวก BB จะอัพเดตได้ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป

Alex Rainert หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Foursquare กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ด้วยคุณสมบัติใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกันได้มากขึ้น และยังอาจทำให้พวกเขาเพิ่มข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่เขาเดินทางไป และสิ่งต่างๆ ที่เขากำลังทำอีกด้วย นอกจากนี้ ทาง Foursquare ยังมีแผนที่จะเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ มากกว่านี้อีกด้วย อย่างเช่น ความสามารถในการส่งภาพถ่ายไปบน Facebook และเว็บไซต์แชร์ภาพอย่าง Flickr

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 ธันวาคม 2010, 14:30:44
Hitachi ผุดฮาร์ดดิสก์ 500GB บางเฉียบ

ขณะที่สื่อบันทึกข้อมูลพยายามทำขนาดของตัวเองให้เล็กลงเรื่อยๆ โดยสวนทางกับความจุที่มากขึ้นเรื่อยๆ Travelstar ฮาร์ดดิสก์ความจุ 500GB จาก Hitachi น่าจะเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชัดเจนในเรื่องนี้ โดยฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่จะมีความบางแค่ 7 มิลลิเมตรเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/hitachi/hitachi-travelstar-super-slim-HDD-500GB-7mm-thick-2.jpg)

ฮิตาชิได้ประกาศเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์รุ่นบางเฉียบ Travelstar ในตระกูล Z5K500 โดยไดรฟ์รุ่นดังกล่าวจะมีสองขนาดคือ 2.5 นิ้ว และ 1.8 นิ้ว  ซึ่งเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุปกรณ์ไอทีที่มีขนาดเล็กอย่าง เน็ตบุ๊ค แท็บเล็ต และเครื่องเล่นมีเดียพกพา ข้อได้เปรียบของการใช้ฮาร์ดไดรฟ์รุ่นใหม่ของฮิตาชิก็คือ การทำให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความบางลงได้อีกในขณะทีสามารถเก็บข้อมูลได้มาก ขึั้น โดยความจุล่าสุดที่ออกมาจะอยู่ที่ 500GB ภายใต้แพคเกจที่บางกว่าฮาร์ดไดรฟ์ทั่วไป (ฮาร์ดไดรฟ์ทั่วไปจะหนา 9.5 มม.)

(http://www.arip.co.th/images/news/hitachi/hitachi-travelstar-super-slim-HDD-500GB-7mm-thick-3.jpg)

อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านอาจจะรู้สึกว่า การบางลงแค่ 2.5 มม.มีความหมายอะไรมากมาย เพราะไม่เห็นจะต่างสักเท่าไร? แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มันเป็นย่างก้าวที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับอุปกรณ์สมัยใหม่ที่นับวันจะบางลงเรื่อยๆ ดูอย่าง MacBook Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ต้องใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากความบางของมัน แต่สิ่งที่ต้องแลกกับความบางที่ได้ก็คือ ความจุของสตอเรจที่น้อยกว่ามากนั่นเอง สำหรับ Travelstar Z5K500 จะมีให้เลือก 3 ขนาดคือ 250, 320 และ 500GB มาพร้อมกับแคช 8MB เชื่อมต่อด้วย SATA และใช้พลังงานต่ำแค่ 1.8W ขณะทำงาน และเหลือแค่ 0.55 วัตต์ขณะที่มันว่าง ซึ่งเหมาะกับแก็ดเจ็ตสมัยใหม่อย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 ธันวาคม 2010, 21:36:08
เทรนด์ไมโคร เตือนระวังมัลแวร์จากการค้นหาข้อมูลช่วงคริสต์มาส

ศูนย์วิจัยเทรนด์แล็บส์ของเทรนด์ ไมโคร ระบุว่า "วันหยุด" "เทศกาล" "ของขวัญ" "ของตกแต่ง" "แพกเกจ" "วันหยุดพักผ่อน" คำเหล่านี้เป็นเพียงคำบางส่วนที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอในช่วงเทศกาล คริสต์มาส และยังเป็นคำที่เรามักจะใช้เพื่อค้นหาข้อมูลบนเว็บ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุด จุดหมายปลายทางในการเดินทาง และไอเดียต่างๆ เกี่ยวกับเทศกาลวันหยุด และเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ผู้ใช้มักจะอยู่กันที่นั่น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นที่เหล่าอาชญากรไซเบอร์ก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วย การผสมคำที่ใช้ในการค้นหาที่มีคำเหล่านี้อยู่ด้วยจึงเป็นสิ่งที่อันตรายต่อ ผู้ใช้ได้ ไม่ต่างจากธุรกิจที่ถูกต้องตามกฏหมายทั่วไปซึ่งหวังจะให้บริการตอบสนองความ ต้องการของผู้ใช้ทุกคน อาชญกรไซเบอร์ก็กำลังพยายามล่อลวงผู้ใช้ให้หลงกลแผนร้ายของตนด้วยเช่นกัน
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000018212401.JPEG)

       เมื่อเร็วๆ นี้ เทรนด์ ไมโครได้ทำการตรวจพบ ลิงก์อันตรายที่จะปรากฏขึ้นเมื่อมีการค้นหาไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวัน หยุดหรือเทศกาลคริสต์มาส อันได้แก่ Christmas album, Christmas decoration, Christmas e-cards, Christmas gadgets, Christmas package, Christmas travel และ Holiday recipes
       
       อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น อาชญากรไซเบอร์สามารถเพิ่มหรือเอาคำที่ใช้ในการค้นหาเข้าออกได้อย่างง่ายดาย ในทุกนาทีเพื่อสร้างกับดักล่อบรรดานักช้อป นักล่าของถูก และผู้ที่ต้องการส่งความปรารถนาดีในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
       
       ผลลัพธ์จากการค้นหาที่เป็นอันตรายซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุด ที่มีการเฉลิมฉลองทั่วโลกนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และเป็นไปตามที่คาดไว้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์หรือวันหยุดสำคัญอื่นๆ คริสต์มาสเป็นเป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่อาชญากรไซเบอร์จะจัดส่งสแปมและหลอก ลวงผู้ใช้ให้ต้องเสียเงิน สูญเสียข้อมูลประจำตัวที่มีค่ายิ่งของตน และตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย แทนที่จะได้ของขวัญหรือข้อมูลการเดินทางและไอเดียดีๆ เว็บไซต์ลวงที่เราพบจะนำไปสู่การปรับปรุง Adobe Flash Player จอมปลอม หรือเพจสแกนไวรัสลวง (FAKEAV) ในขณะที่ผู้ใช้บางรายอาจหลงกลไซต์ที่เป็นดัชนีขยะ (spamdexing) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มการจราจรในไซต์นั้นๆ และเพื่อจัดอับดับไซต์ที่เป็นอันตรายให้อยู่ในอันดับสูงๆ ของผลการค้นหา
       
       แม้ว่าคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลแห่งความสุขสนุกสนาน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องระวังตัวให้มากขึ้นเช่นกัน ผู้ใช้ควรระมัดระวังเว็บไซต์ที่เข้าเยี่ยมชมทั้งหมด และต่อไปนี้คือคำแนะนำการปฏิบัติเมื่อคุณจะใช้งานออนไลน์
       
       1. ถ้าคุณมีเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซที่ต้องการซื้อสินค้าอยู่ในใจแล้ว ให้พิมพ์ URL ของเว็บไซต์นั้นโดยตรงในแถบที่อยู่ของบราวเซอร์เพื่อหลีกเลี่ยงภัยจากลิงก์ อันตรายที่ได้จากเครื่องมือการค้นหา
       
       2. อย่าคลิก URL ที่น่าสงสัย แม้ว่าจะเป็นลิงก์ที่ติดอันดับสูงสุดของผลการค้นหาก็ตาม การพิจารณาว่าลิงก์ดังกล่าวต้องสงสัยหรือไม่ ให้ดูที่ส่วนประกอบของลิงค์นั้นว่าถูกสร้างขึ้นด้วยอักขระแบบสุ่มหรือไม่ (ตัวอย่างเช่น <โปรโตคอล >://<โดเมน >/<โฟลเดอร์>/<ไฟล์>?<พารามิเตอร์ >)
       
       3. อ่านข้อมูลโดยรวมของผลการค้นหา (ชุดข้อความที่ปรากฏด้านขวาหลังชื่อเพจที่เป็นตัวหนา) โดยผลการค้นหาที่ได้รับอาจต้องสงสัยได้ในกรณีที่ข้อมูลโดยรวมนั้นไม่ได้ให้ คำอธิบายที่สำคัญโดยสรุปเกี่ยวกับไซต์ดังกล่าว สัญญาณเตือนที่แน่ชัดของเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ SEO (Blackhat-SEO) ก็คือจะมีคำสำคัญแบบสุ่มผสมอยู่ในข้อมูลโดยรวมนั้นด้วย
       
       4. ติดตั้งโปรแกรมกรอง URL ที่ใช้งานได้ดี เช่น Web Protection Add-On ที่สามารถผสานรวมในเบราวเซอร์ได้เป็นอย่างดี
       
       5. จำไว้เสมอว่าสิ่งดีที่สุดในชีวิตไม่เคยได้มาฟรีๆ จะเห็นได้ว่ามีเว็บไซต์จำนวนมากที่มักจะโฆษณาแจกของขวัญของรางวัลให้ฟรี และแน่นอนว่าสิ่งที่คุณจะได้รับกลับมานั้นก็จะเป็นเพียงมัลแวร์ฟรีๆ เท่านั้น ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนจึงต้องระวังตัวไว้ให้ดี!

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: e-Reader พลังงานแสงอาทิตย์มาแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 ธันวาคม 2010, 12:50:20
รายงานข่าวล่าสุด Toshiba และ KDDI ได้พัฒนา BiBlio Leaf เครื่องอ่านอีบุ๊ค (e-Reader) เพื่อต่อกรกับ Kindle ของ Amazon โดยนอกจากมันจะมีดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครแล้ว BiBlio Leaf ยังเป็นเครื่องอ่านอีบุ๊คเครื่องแรกที่ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) ในการทำงานได้ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/toshiba-KDDI-Solar-cell-e-Reader-2.jpg)

BiBilio Leaf เป็นเครื่องอ่านอีบุ๊คที่มีหน้าจอขนาด 6 นิ้ว และใช้เทคโนโลยี e-Ink เช่นเดียวกับ Amazon Kindle สามารถเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi และ 3G หน้าจอของมันทำงานร่วมกับสไตลัส (Stylus) สำหรับการจดบันทึกข้อความสั้นได้ ส่วนสตอเรจในเครื่องมีขนาด 2GB (เพิ่มการ์ดหน่วยความจำ microSD ได้) สามารถเก็บอีบุ๊คไว้ในเครื่องได้มากถึง 3,000 เล่ม แต่ทั้งหมดนี้อาจจะไม่น่าสนใจเท่ากับการที่ Biblio Leaf มาพร้อมกับแผงโซลาร์เซลที่ด้านหน้า ทำให้คุณสามารถใช้งาน BiBilio Leaf ได้เวลาที่นำติดตัวไปเที่ยวนอกสถานที่แล้วเกิดแบตฯหมดขึ้นมา

โดยในสัปดาห์หน้าทางบริษัท KDDI โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ในญี่ปุ่นจะได้ออกแพคเกจไร้สาย 3G ในราคา 20 เหรียญฯ (ประมาณ 600 บาท) ต่อเดือนด้วยสัญญา 2 ปี พร้อมรับเครื่องอ่าน Biblio Leaf ไปใช้ได้เลย

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 ธันวาคม 2010, 14:12:19
Google เตือน "ลิงค์ผลลัพธ์" ที่โดนแฮค!!!

Google (Gooogle) เริ่มพยายามปกป้องผู้ใช้ให้รอดพ้นจากมัลแวร์ (Malware) มาตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการเพิ่มข้อความเตือนว่า "this site may harm your computer" ล่าสุดทางบริษัทได้ยกระดับการปกป้องผู้ใช้จากการถูกโจมตีโดยพวกสแปม (Spam) และฟิชชิ่ง (Phishing) ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-warning-hacked-site-compromise-to-spam-n-fishing-2.jpg)

สำหรับระดับการปกป้องผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นมาจะป็นการแจ้งเตือนพิเศษในหน้า ผลลัพธ์การค้นหาด้วยการแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า เว็บไซต์นั้นเคยโดนแฮคการทำงาน แล้ว โดยจะแสดงข้อความด้วยลิงค์ที่ระบุว่า "This Site May Compromised" ภายใต้ชื่อไตเติ้ลของเว็บไซต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ Google ได้แจ้งเตือนภัยคุกคามเกียวมัลแวร์มาหลายปีแล้ว แต่การเตือนครั้งล่าสุดจะช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่า เว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์การค้นที่กำลังจะคลิกไปนั้นอาจโจมตีผู้ใช้ได้ทันทีแม้ ผู้ใช้จะยังไม่ได้ดาวน์โหลดไฟล์ หรือทำอะไรเลย เพียงแค่คลิกเช้าไปเยี่ยมชมเท่านั้น ก็อาจโดนเล่นงานได้แล้ว

ใน ส่วนของลิงค์แจ้งเตือนที่อยู่ใต้ไตเติ้ลของเว็บไซต์อันตรายจะพาผู้ใช้ไปยัง Help Center ของ Google ซึ่งผู้ใช้จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำเตือนเมื่อคลิกเข้าไป โดย Google ได้อธิบายว่า "ถ้าเว็บไซต์โดนแฮค โดยทั่วไปมักจะหมายถึงการที่เว็บไซต์นั้นๆ ถูกเข้าควบคุมการทำงาน โดยที่เจ้าของไม่อนุญาต ซึ่งแฮคเกอร์อาจจะเปลี่ยนคอนเท็นต์บนหน้าเว็บ เพิ่มลิงค์เข้าไป หรือแม้แต่เพิ่มหน้าเว็บใหม่เข้าไปได้ เจตนาของแฮคเกอร์สามารถเป็นไปได้ตังแต่ Phishing (หลอกให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลส่วนบุคคล และบัตรเครดิต) หรือ Spam"

ในกรณี ที่ผู้ใช้ไม่ใส่ใจคำเตือน แล้วคลิกไปบนลิงค์ปลายทางดังกล่าว ก็จะยังคงสามารถเข้าถึงคอนเท็นต์ของเว็บไซต์ที่มีความเสี่ยงนั้นได้ตามปกติ Google กล่าวว่า ระบบการแจ้งเตือนใหม่นี้ทำงานด้วยโปรแกรมทั้งหมด "เราใช้เครื่องมือหลากหลายที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อตรวจจับสัญญาณพื้นฐานของเว็บไซต์ที่โดนแฮค เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้" ข้อความที่โพสต์ในบล็อก "เมื่อเราตรวจจับสัญญาณบางอย่างที่น่าสงสัย เราจะใส่ข้อความแจ้งเตือนเข้าไปในหน้าผลลัพธ์ทันที"

นอกจากทาง Google จะได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ถูกแฮค และตรวจจับโดยระบบได้แล้ว ระบบยังมีความพยายามที่จะแจ้งเตือนไปยัง webmaster ของเว็บไซต์เหล่านั้นด้วย เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไขจน Google พอใจแล้ว คำเตือนก็จะถูกเอาออกไปจากลิงค์ของเว็บไซต์

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 ธันวาคม 2010, 15:14:59
เนคเทคเผยพฤติกรรมคนเล่นเน็ต บรอดแบรนด์มาแรง

เนคเทคเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้ออนไลน์ในไทยประจำปี 2553 พบแนวโน้มพฤติกรรมใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น ใช้งานผ่านที่บ้านและที่ทำงานเพิ่มกว่าปีที่แล้ว อีเมลยังเป็นเบอร์หนึ่งของการใช้งานอินเทอร์เน็ต ขณะที่คนไทยเริ่มนิยมใช้งานแอปฯบนมือถือเพิ่มขึ้น
     
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019048201.JPEG)

      ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า จาก การสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประจำปี 2553 ผ่านแบบสอบถามออนไลน์จำนวน 14,067 รายในเดือนส.ค.ถึงเดือนต.ค. 2553 พบว่า พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในปี 2553 แตกต่างจากปีก่อนๆ โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านบรอดแบนด์ แบบเอดีเอสแอลโดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 52.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีเพียง 40.3%
     
      ขณะที่การเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์มีการใช้งานลดลงอย่างมาก แสดงให้เห็นว่า ผู้ ใช้งานหันมาใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้น สถานที่ใช้งานก็เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้ตามสถานศึกษาหันมาใช้ที่บ้านและที่ทำ งานเพิ่มขึ้น รวมกันประมาณ 94.1% โดยเป็นการใช้ช่วงเวลา20.00-24.00 น.สูงถึง 37.3% ขณะที่กิจกรรมยอดนิยมยังเป็นการรับ-ส่งอีเมล คิดเป็น 27.2% ค้นหาข้อมูล 26.1% ติดตามข่าว 14.1% และอี-เลิร์นนิ่ง 8.2%
     
      ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนั้น ยังเป็นเรื่องความเร็วของการใช้บริการไม่ตรงตามที่ผู้ให้บริการระบุมากขึ้น กว่าปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยในการเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่จะ ต้องคิดอัตราค่าใช้บริการในราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับความเร็วที่จะได้รับ
     
      ส่วนปัญหาที่พบจาการใช้อินเทอร์เน็ต เรื่องไวรัสยังคงเป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่ง 40.2% รองลงมาเป็นเครื่องความล่าช้าในการรับส่งข้อมูล 36.4% ปัญหาอีเมลขยะอยู่ที่ 24.2%
     
      "น่าสังเกตว่าปีนี้การเลือกซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตมีสัดส่วนเพิ่ม ขึ้น ขณะที่กิจกรรมเพื่อความบันเทิง อาทิ การสนทนาออนไลน์ เล่นเกมออนไลน์มีสัดส่วนลดลง โดยการรับส่งอีเมลและการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ยังคงเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด" ดร.ชฎามาส ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวเสริม
     
      ส่วนสินค้าและบริการที่มีการสั่งซื้อบนอินเทอร์เน็ต หนังสือและการสั่งจองบริการต่างๆ เช่น ตั๋วภาพยนตร์ โรงแรม ยังคงได้รับความนิยมในอัตราที่สูง ขณะที่การสั่งซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม การประมูลออนไลน์ ยาบำรุงและวิตามิน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงขึ้น ส่วนสาเหตุของผู้ที่ไม่ซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ยังคงเป็นเรื่องของการที่ไม่สามารถเห็นสินค้าหรือจับต้องสินค้าก่อนเป็น สาเหตุหลักอยู่ รองลงมาเป็นเรื่องความไม่ไว้ใจผู้ขาย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าความไม่ต้องการส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านอินเทอร์เน็ต ได้เพิ่มความสำคัญขึ้นมาเป็นอันดับที่สาม สอดคล้องกับปัญหาเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ผู้ตอบเห็นว่า ภาครัฐควรพิจารณาในเชิงนโยบายเป็นอันดับต้นๆ
     
      ดร.พันธ์ศักดิ์กล่าวถึงการเพิ่มคำถามพิเศษเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้แอ ปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ว่า ความนิยมของการใช้แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารให้มีความทันสมัยและรองรับการใช้งาน แอปฯที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะกระแสของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ และแท็บเล็ต พีซี โดยข้อมูลที่สำรวจสามารถนำไปใช้ในการดำเนินการนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติได้
     
      ผลการสำรวจสำหรับคำถามพิเศษเกี่ยวกับพฤติกรรม การใช้แอปฯของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของคนไทยพบว่า 60% ยังใช้บริการส่งข้อความสั้น (SMS) เป็นหลัก และมีการใช้ GPRS ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น จากความนิยมของผู้บริโภคในการเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก
     
      "มีการใช้แอปฯผ่านสมาร์ทโฟนมากที่สุดถึง 91.6% ที่เหลือเป็นการใช้งานผ่านอุปกรณ์นำทางผ่านดาวเทียมหรือจีพีเอส การใช้งานผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา การใช้งานผ่านเครื่องแปลภาษา และการใช้งานผ่านเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์"
     
      ส่วนประเภทของแอปฯ ที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือนิยมใช้งานมากที่สุด คือรับ-ส่งอีเมล 33.5% สังคมออนไลน์ 20.2% ท่องเว็บไซต์ 20.2% และติดตามข่าว 11.5% ส่วนปัญหาของการใช้งานที่พบ 42.3% ระบุราคาแพง และ19.9% ระบุไม่สามารถใช้ได้บางพื้นที่
     
      ดร.ชฎามาส กล่าวในตอนท้ายว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่มีการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเมืองไทย พบว่ามีผู้ตอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่าผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้อินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 2 ปีมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ขณะที่การใช้บรอดแบนด์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก33% ในปี2547เพิ่มเป็น70% ในปีนี้

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 ธันวาคม 2010, 15:46:16
ด่วน!!! พบช่องโหว่ร้ายแรงใน IE 6,7,8

รายงานข่าวล่าสุด บริษัทผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยแจ้งเตือนให้ระวังโค้ดอันตรายใหม่ ที่พุ่งเป้าไปยังช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของ Internet Explorer ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวสามารถใช้ในการโจมตี เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เบ็ดเสร็จ

สำหรับช่องโหว่ใหม่ที่พบนี้รายงานโดย VUPEN Security บริษัทระบบรักษาความปลอดภัยในฝรั่งเศษ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยส่งผลกระทบกับบราวเซอร์ Internet Explorer เวอร์ชัน 6, 7 และ 8 ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/IE-zero-day-flaw-exploited-2.jpg)

VUPEN ได้จัดระดับความรุนแรงของช่องโหว่นี้เป็น "วิกฤต" (critical) เนื่องจากช่องโหว่ดังกล่าวจะสามารถทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการจัดการหน่วยความ จำของกลไกการวิเคราะห์คำสั่ง HTML โดยเฉพาะขั้นตอนในการนำเข้า CSS ของหน้าเว็บ ซึ่งผู้บุกรุกสามารถสร้างหน้าเว็บโดยอาศัยช่องโหว่ของการทำงานที่พบนี้ ส่งโค้ดอันตรายเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อด้วยการข้ามผ่าน (bypass) DEP และ ASLR ระบบรักษาความปลอดภัยที่มากับ Windows ได้

แต่ประเด็นที่น่ากลัวก็คือ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โค้ดอันตรายที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ในเครื่องมือแฮคที่ชื่อว่า Metasploit บนอินเทอร์เน็ตแล้ว (ตัวอย่างในคลิปวิดีโอข้างล่าง โชว์ให้เห็นการบายพาสระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสั่งรันโปรแกรมเครื่องคิด เลขจากหน้าเว็บที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าว)

ข้อมูลจาก ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 ธันวาคม 2010, 17:09:39
วินโดวส์ใหม่พร้อมรบบน ARM

สื่ออเมริกันอ้างแหล่งข่าววงใน ระบุว่าไมโครซอฟท์ (Microsoft) กำลังเตรียมโชว์ตัวระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่ที่สามารถทำงานบน อุปกรณ์ที่ใช้ชิป ARM ในงาน CES 2011 ช่วงเดือนมกราคม 2011 ระบุว่าจะเป็นวินโดวส์เวอร์ชันเต็มที่สามารถทำงานได้ครบเครื่อง ถือเป็นสัญญาณที่แสดงว่าแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนประหยัดพลังงานซึ่งใช้ชิป ARM จะสามารถรองรับสาวกไมโครซอฟท์ได้ดีกว่าเดิม
       
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019108801.JPEG)

       รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า วินโดวส์ เวอร์ชันใหม่จะสามารถทำงานบนชิปสถาปัตยกรรม x86 ได้ปกติ แต่จะพัฒนาการจัดการพลังงานเพื่อให้สามารถทำงานบนนานาอุปกรณ์พกพาที่ใช้ชิป ARM ได้ด้วย ขณะที่รายงานจากวอลล์ สตรีทเจอร์นัลระบุว่า วินโดวส์เวอร์ชันใหม่จะยังไม่พร้อมวางตลาดในช่วง 2 ปีนี้ ด้านซีเน็ตรายงานว่า รายละเอียดของวินโดวส์ใหม่จะถูกเปิดตัวในงานประชุมสื่อมวลชน ในช่วงก่อนหน้าการเปิดงานบนเวที CES มหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ลา สเวกัส สหรัฐอเมริกา
       
       ข้อมูลทั้งหมดยังถือเป็นข่าวลือในขณะนี้ เนื่องจากไมโครซอฟท์ยังไม่ส่งตัวแทนออกมายืนยันหรือปฏิเสธรายงานที่เกิดขึ้น
       
       ข่าวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากข่าวลือว่าไมโครซอฟท์จะแย้มคุณสมบัติใหม่ของ Windows 8 บนเวทีสัมมนาในงาน CES (กำหนดการคือวันที่ 5 มกราคม 2011) โดยนิวยอร์กไทม์เป็นรายเดียวที่รายงานว่า ซีอีโอไมโครซอฟท์จะขึ้นสาธิตแท็บเล็ตฝีมือการผลิตของซัมซุง ซึ่งมาพร้อมคีย์บอร์ดสไลด์ข้าง
       
       นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ของไมโครซอฟท์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาวินโดวส์เวอร์ชันพิเศษที่ทำงานบนชิป ARM แล้วในชื่อ Windows CE โดยเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับติดตั้งในระบบฝังตัวหรือ embedded system ซึ่งสามารถรองรับชิปสถาปัตยกรรม x86 ได้ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังพัฒนา Windows Embedded Compact 7 สำหรับติดตั้งในอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่มีคุณสมบัติเต็มรูปแบบเทียบเท่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์บน เดสก์ท็อป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์เชื่อว่าวินโดวส์เวอร์ชันใหม่จะทำได้
       
       ARM เป็นชื่อเรียกสถาปัตยกรรมหน่วยประมวลผลที่นิยมใช้ในอุปกรณ์พกพาทั้งสมาร์ท โฟนและเนวิเกเตอร์ เนื่องจากความโดดเด่นเรื่องการประหยัดพลังงาน ชิป ARM จึงมีโครงการลงสู่ตลาดแท็บเล็ตโดยหลากหลายค่ายผู้ผลิตพีซีทันทีที่โลกเข้า สู่ยุคที่กระแสแท็บเล็ตมาแรง ซึ่งที่ผ่านมา ระบบปฏิบัติการคู่แข่งไมโครซอฟท์ล้วนให้ความสนใจในการพัฒนาความสามารถในการ รองรับชิป ARM ทั้งหมดต้องรอลุ้นในงาน CES 2011 เดือนมกราคม 2011

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 ธันวาคม 2010, 22:44:32
แอปเปิลทีวี-คินเดิล ขายกระฉูดปีเสืออ้วน

แม้ปีนี้จะเป็นปีเสือโหยสำหรับหลายบริษัท แต่ไม่ใช่กับแอปเปิลและอเมซอน ล่าสุดมีรายงานว่ายอดจำหน่ายเครื่องอ่านอีบุ๊กของอเมซอนนามคินเดิล (Kindle) นั้นจะทะลุ 8 ล้านเครื่องในปีนี้แน่นอน ขณะที่แอปเปิลโชว์ยอดจำหน่ายแอปเปิลทีวี (Apple TV) ว่าจะสามารถทำยอดขายได้ทะลุ 1 ล้านเครื่องภายในสัปดาห์คริสต์มาสนี้ (25 ธันวาคม 2553) แน่นอน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000019114901.JPEG)

แอปเปิลทีวียอดขายทะลุล้าน
ลบคำสบประมาทได้ในที่สุดสำหรับแอปเปิลทีวี (Apple TV) อุปกรณ์เสริมสำหรับทีวีเพื่อการชมวิดีโอออนไลน์ในสหรัฐฯที่เคยถูกปรามาสว่า เป็นเพียงสินค้า"งานอดิเรก"ของแอปเปิล เพราะวันนี้แอปเปิลประกาศว่าแอปเปิลทีวีจะสามารถทำยอดขายได้ทะลุ 1 ล้านเครื่องภายในสัปดาห์นี้ คุยฟุ้งเป็นผลงานยอดเยี่ยมหลังจากผลิตภัณฑ์เพิ่งวางจำหน่ายได้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
       
       แอปเปิลทีวีเป็นอุปกรณ์สำหรับการเช่าและดาวน์โหลดวิดีโอจากร้านไอ จูนส์ (iTunes) มาชมบนโทรทัศน์ มาในรูปเซตท็อปบ็อกซ์ที่สามารถเข้าถึงบริการวิดีโอออนไลน์ในสหรัฐฯอย่าง Netflix สถานีวิทยุออนไลน์ podcasts และบริการฝากรูปอย่าง Flickr ผู้ใช้สามารถส่งเพลงจากคอมพิวเตอร์มาเล่นบนทีวีผ่านแอปเปิลทีวีได้ สนนราคาเครื่องละ 99 เหรียญสหรัฐ
       
       แม้แอปเปิลทีวีจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่มียอดขายร้อนแรงเท่าไอโฟน หรือไอแพด แต่ปีนี้ก็ถือเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับแอปเปิลทีวีรุ่นปรับปรุงใหม่ที่ทำยอด ขายได้ดีกว่ารุ่นเดิมซึ่งเปิดตัวครั้งเมื่อปี 2007 โดยสิ่งที่ทำให้แอปเปิลทีวีเริ่มได้รับความนิยมจนทำให้มียอดขายแตะ 1 ล้านเครื่องในเวลาเพียง 1 ไตรมาส คือแนวโน้มการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภค ที่เน้นการสตรีมหรือการส่งต่อข้อมูลมาเล่นบนทีวี ไม่ใช่การเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์อย่างที่แอปเปิลทีวีรุ่นดั้งเดิมเป็น
       
       แอปเปิลทีวีเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ทำให้แอปเปิลมีรายได้เพิ่มจากการจำ หน่ายคอนเทนต์วิดีโอ โดยแอปเปิลระบุว่ายอดการซื้อวิดีโอบนไอจูนส์ทั้งหมด (รวมกลุ่มที่นอกเหนือจากผู้ใช้แอปเปิลทีวี) อยู่ที่มากกว่า 150,000 เรื่องต่อวัน (เฉพาะหมวดภาพยนตร์) และรายการทีวี 400,000 ตอนต่อวัน

(http://pics.manager.co.th/Images/553000019114902.JPEG)

คินเดิลยอดทะลุ 8 ล้าน
ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุ อเมซอนจะสามารถจำหน่ายเครื่องอ่านอีบุ๊กคินเดิลได้เกิน 8 ล้านเครื่องในปี 2010 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานยืนยันจากอเมซอนซึ่งยังคงปกปิดยอดขายของคินเดิลโดยต่อเนื่อง
       
       ปี 2009 นักวิเคราะห์ออกมาคาดว่าคินเดิลจะสามารถทำยอดขายราว 2.4 ล้านเครื่อง แต่ปี 2010 นักวิเคราะห์เชื่อว่าตัวเลขยอดจำหน่ายคินเดิลของอเมซอนจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด
       
       อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 8 ล้านเครื่องยังเทียบไม่ได้กับยอดจำหน่ายไอแพด (iPad) อุปกรณ์แท็บเล็ตยอดฮิตของแอปเปิล เนื่องจากระหว่างเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนถึงเดือนกันยายน ไอแพดสามารถจำหน่ายได้ 7.46 ล้านเครื่องทั่วโลก และคาดว่าจะทะลุ 10 ล้านเครื่องได้ในช่วงเทศกาลซื้อของขวัญปลายปี

ข้อมูลจาก ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 ธันวาคม 2010, 05:17:31
ดีแทคแห้วซ้ำซาก บอร์ด กสท ไม่พิจารณา HSPA

สมกับเป็นผักชีโรยหน้าอย่างแท้จริง พอผู้บริหารเทเลนอร์และดีแทคทำหนังสือร้องนายกฯ รมว.คลัง รมว.ไอซีที ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบอร์ด กสท กรณีขอทดสอบแบบไม่เชิงพาณิชย์ HSPA 1,220 สถานีฐาน ก็ตกปากรับคำจะพิจารณาให้ในการประชุมบอร์ดวันที่ 23 ธ.ค. แต่สุดท้ายก็กลืนน้ำลายกลับคำเตะเรื่องจากวาระการประชุมบอร์ด กสท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019106001.JPEG)

      นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคมกล่าวว่าในการประชุมบอร์ด กสท ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการอนุมัติให้ดีแทคทดลองให้บริการ HSPA แบบไม่เชิงพาณิชย์ อีก 1,220 สถานีฐาน
      
      'มีคำสั่งให้ดึงเรื่องออกจากวาระการประชุมก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้คาดว่าบอร์ดจะพิจารณาในการประชุมวันที่ 23 ธ.ค.'
      
      นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่ารู้สึก สงสัยและไม่เข้าใจว่าทำไมบอร์ด กสท ถึงไม่พิจารณาเรื่องที่ดีแทคขอทดลองบริการ HSPA แบบไม่เชิงพาณิชย์อีก 1,220 สถานีฐาน เพราะก่อนหน้านี้ กสท ดูเหมือนรับปากอย่างหนักแน่นว่าจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมบอร์ด กสท ในวันที่ 23 ธ.ค. แต่กลายเป็นว่ามีคำสั่งให้ดึงเรื่องออกจากวาระก่อน
      
      'ผมมึนมาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ขอเวลาตั้งหลักสักพักก่อนว่าดีแทคจะทำอย่างไรต่อไปดี'
      
      ก่อนหน้านี้ในวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมานายจอน เฟรดริค บัคซอส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของดีแทค พร้อมด้วยนายซิคเว่ เบรกเก้ รองประธานบริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือใน 2 เรื่องหลักคือ 1. กรณีที่ไทยไม่เปิดประมูลไลเซนส์ 3G และ 2. การแปรสัญญาสัมปทาน เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปีของกลุ่มเทเลนอร์ที่มาลงทุนในดีแทค
      
      ต่อมาในวันที่ 22 พ.ย. ดีแทคได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และรมว.ไอซีที เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับความล่าช้าในการอนุมัติจาก กสท เพื่อทำการทดลองให้บริการ 3G HSPA แบบไม่เชิงพาณิชย์ โดยนายทอเร่ จอห์นเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่าใน ระหว่างที่ดีแทคกำลังรอการอนุมัติจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม เพื่อทดลองการให้บริการ 3G HSPA แบบเชิงพาณิชย์ ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ดีแทคได้ขออนุมัติจาก กสท เพื่อทดลองให้บริการ 3G HSPA แบบไม่เชิงพาณิชย์ไปพลางก่อน
      
      แต่นับถึงขณะนี้ กสท ได้อนุญาตให้ดีแทคทำการทดลองเพียงไม่เกิน 36 สถานีฐานแบบไม่เชิงพาณิชย์ ในขณะที่ทรูมูฟ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานอีกรายของ กสท ได้เริ่มทดลองให้บริการ 3G HSPA ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว และได้รับอนุญาตให้ทดลองให้บริการมากกว่า 600 สถานีฐาน ดีแทคไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดการขออนุญาตจากดีแทคจึงไม่ได้รับการตอบสนองที่ ดีจาก กสท และหนทางเดียวที่จะกระทำได้คือการร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเป็นธรรมต่อการขออนุญาตของดีแทคซึ่งยืด เยื้อมาเกือบ 3 ปีแล้วสำหรับการขอทดสอบแบบเชิงพาณิชย์ และเกือบ 2 ปีสำหรับการขอทดสอบแบบไม่เชิงพาณิชย์
      
      เนื่องจากดีแทคเชื่อมั่นว่า การขอปรับปรุงโครงข่ายของดีแทคเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งตัว กสท เอง ตลอดจนลูกค้าของดีแทคและประเทศไทยในภาพรวมซึ่งในช่วงนั้นนายจิรายุทธได้ตก ปากรับคำว่าการทดลองเทคโนโลยีดังกล่าว กสท อนุมัติให้เท่าที่ผู้ประกอบการขอมาในตอนแรกอย่างทรูมูฟขอมาประมาณ 600 สถานีฐาน ดีแทคขอมาประมาณ 10 กว่าสถานีฐาน ส่วนกรอบใหญ่ที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อนุมัติยังไม่มีการให้รายใดเพิ่ม ส่วนกรณีของดีแทคจะมีการบรรจุวาระเข้าที่ประชุมบอร์ด กสท เพื่อพิจารณาในวันที่ 23 ธ.ค.นี้
      
      แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมกล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ดี ลซื้อฮัทช์ของกลุ่มทรูยังไม่เรียบร้อย ดังนั้นคงไม่ยอมให้บอร์ด กสท อนุมัติให้ดีแทค ทดสอบบริการ HSPA ได้ง่ายๆ ถึงแม้จะไม่เก็บค่าบริการก็ตาม เพราะด้วยศักยภาพของดีแทคจะสร้างความได้เปรียบในการให้บริการสื่อสารข้อมูล ได้เหนือกว่ากลุ่มทรู

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: บอร์ด กสท ปล่อยดีแทค-ทรูมูฟ ทดสอบ "HSPA" แบบไม่เก็บเงิน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 ธันวาคม 2010, 13:31:55
บอร์ด กสทมีมติเห็นชอบให้ดีแทค ทรูมูฟ ทดสอบเทคโนโลยี HSPA ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ตามที่ขอมา ส่วนการให้บริการเชิงพาณิชย์ต้องประชุมร่วมกับคณะกรรมการมาตรา 22 ขณะเดียวกันมีแผนจะปรับเปลี่ยนสัญญาการตลาดใหม่ พลิกบทบาทไปเป็นเน็ตเวิร์ก โอเปอเรเตอร์ หากทรูมูฟบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการฮัทช์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019167701.JPEG)
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม

      นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า วานนี้ (23 ธ.ค.) ที่ ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทมีเห็นชอบให้บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กับบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ให้บริการ HSPA หรือ 3G ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ตามจำนวนที่ขอมา โดยทางดีแทคขอทดสอบจำนวน 1,400 ไซต์ ทรูมูฟจำนวน 1,220 ไซต์ ขั้นตอนต่อไปส่งเรื่องขออนุญาตจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพื่อนำเข้าอุปกรณ์สำหรับการทดสอบบริการดังกล่าว ส่วนการดำเนินงานจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเอกชน แต่ถ้าต้องการทดลองให้บริการเพิ่มต้องขอใหม่ว่าต้องการจะทำมากน้อยขนาดไหน
      
      สำหรับการให้บริการ HSPA ในเชิงพาณิชย์ในกรณีของดีแทคนั้นจะต้องมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการ มาตรา 22 ก่อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนม.ค. 54 ส่วนกรณีของทรูมูฟต้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะเงื่อนไขไม่ระบุในสัญญาเกี่ยวกับการอัปเกรดเทคโนโลยีบนโครงข่ายเดิม เหมือนดีแทค ส่วนเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 13 คณะกรรมการกำลังสรุปก่อนส่งให้นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) พิจารณา
      
      "เรื่องการอนุมัติที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์เป็นอำนาจของบอร์ด กสทอยู่แล้ว ส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ต้องแจ้งคณะกรรมการ มาตรา 22 ให้ทราบ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะไม่ใช่ความถี่ใหม่"
      
      พร้อมกันนี้ บอร์ด กสท ยังมีการพิจารณากรณีที่ไม่สามารถบรรลุตกลงเกี่ยวกับการซื้อกิจการฮัทช์ได้ และได้รับข้อเสนอจากทรูมูฟเพื่อปรับเปลี่ยนการให้บริการโทรศัพท์มือถือ หากทรูมูฟเจรจาซื้อกิจฮัทช์สำเร็จ ทั้งนี้ การที่ทรูมูฟเจรจาซื้อฮัทช์เพราะเชื่อว่า มีโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากฮัทช์มีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 7-8 แสนราย เป็นการใช้บริการแบบรายเดือน (โพสต์เพด) ถึง 40% ซึ่งถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือของไทยที่แต่ละรายมีสัดส่วนตรง นี้ประมาณ 10% หรือต่ำกว่า เพราะหากมองจากสัดส่วน 40% จากฐานลูกค้า 7 แสนราย และเมื่อรวมกับลูกค้าของ กสท อีก 3 แสนราย ถือว่าสูง และผู้ใช้กลุ่มนี้มีการใช้งานเกี่ยวกับข้อมูลมากไม่ใช่ลูกค้าโลว์คอส
      
      "ทรูเขามองว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีค่าทางธุรกิจจึงมีการเจรจากับฮัทช์ หากดีลประสบความสำเร็จแล้วเขาก็อยากจะมาปรับปรุงการทำธุรกิจมือถือกับ กสท"
      
      ทั้งนี้ หากทุกอย่างประสบความสำเร็จสัญญาก็ต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบไป ซึ่งแนวทางที่ กสทมองไว้คือต้องการเป็นเน็ตเวิร์ก โอเปอเรเตอร์ แล้วขายส่งบริการในแบบโฮลเซลเลอร์ รีเซลเลอร์ โดยให้เอกชนเป็นผู้ให้บริการในลักษณะเซอร์วิส โพรวายเดอร์โดยเพราะตลาดมีการแข่งขันกันสูง เช่น ต่างจังหวัด เนื่องจาก กสทเป็นรัฐวิสาหกิจทำให้ขาดความคล่องตัวในการทำตลาดเพราะติดขัดเรื่องระบบ เรียบในการออกแพกเกจแต่ละครั้ง
      
      ตามแผนดังกล่าวทรูต้องซื้อกิจการฮัทช์ได้ก่อนการดำเนินงานจึงจะเดิน หน้าได้ เพราะไม่เช่นนั้นฮัทช์คงไม่ยอม แต่การซื้อขายกิจการขึ้นอยู่กับการเจรจาของผู้ที่จะซื้อกับผู้ที่จะขาย ส่วนการลงทุนอยู่ที่การเจรจาว่าแต่ละฝ่ายมีแผนจะลงทุนตรงไหน อย่างไร เป็นต้น เพราะความถี่เป็นของ กสทและโครงข่ายบางส่วนเป็นของ กสท
      
      "สัญญาเก่าที่ทำกับฮัทช์ต้องยกเลิก แล้วทำสัญญาการตลาดใหม่กับเอกชนที่ต้องการขายส่งบริการแบบโฮลเซลเลอร์ หรือรีเซลเลอร์ โดยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดโอกาสให้ทุกรายแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน แต่สัญญาไม่ใช่ลักษณะสัญญาร่วมการงานหรือเข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมการงาน"
      
      การทำสัญญาใหม่ที่ไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมการงาน เช่น การเช่าเสาของเอกชน กสท ก็ต้องจ่ายค่าเช่า หรือซื้อเสาของเอกชนมาเป็นของ กสทเพื่อเป็นเน็ตเวิร์ก โพรวายเดอร์เต็มตัว ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าเป็นหลัก
      
      ทั้งนี้ การทำตลาดแบบโฮลเซลเลอร์ รีเซลเลอร์ ทาง กสทเคยหารือกับกฤษฎีกาแล้วเมื่อปี 51 ว่าไม่เข้าขายพ.ร.บ.ร่วมการงาน และสัญญาที่ กสท.ได้สิทธิในการให้บริการ CAT CDMA เป็นระยะเวลา 20 ปี และขณะนี้เหลืออายุสัญญาอยู่ 14 ปี หากทรูมูฟบรรลุข้อตกลงกับฮัทช์แล้วมาปรับแผนธุรกิจร่วมกับกสท. ทั้งทรูมูฟและเอกชนที่ต้องการเข้ามาขายส่งบริการก็จะได้สิทธิในการทำตลาดตาม สัญญาที่เหลือ
      
      นอกจากนี้ กสทยังต้องการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพราะเห็นว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ 3G แต่ กสทมองไปถึงการให้บริการ 4G หรือ LTE แต่การทำ 4G ขณะนี้ยังคงไม่เหมาะกับสถานการณ์เพราะยังมีไม่กี่ประเทศที่ให้บริการ เทคโนโลยีนี้ อาจจะเป็นการอัปเกรตเทคโนโลยีเป็น HSPA+ เพราะใช้เงินลงทุนน้อย แค่อัปเกรดการ์ดกับซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ การย้ายระบบจาก CDMA ไป HSPA ยังทำให้ลูกค้าสะดวกกับการใช้เครื่องลูกข่ายประเภทสมาร์ทโฟน หรือการเปลี่ยนซิมก็สามารถทำได้ง่าย แต่การหยุดให้บริการ CDMA ต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่งถึง 2 ปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: "Samsung Wave II" สมาร์ทโฟนเหนือระดับระบบปฏิบัติการบาดา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 ธันวาคม 2010, 15:54:26
ซัมซุงแนะนำสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการซัมซุง บาดา (BADA) ใหม่ล่าสุด “ซัมซุง เวฟ ทู (Samsung Wave II)” ที่อวดโฉมด้วยหน้าจอซุปเปอร์ เคลียร์ แอลซีดี ขนาดใหญ่ถึง 3.7 นิ้ว สว่างกว่า ให้สีสันที่เป็นธรรมชาติ และลดการสะท้อนแสงได้มากกว่าจอแอลซีดีทั่วไป มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงาน Social Hub และ SNS Widget ที่ย่อโลกออนไลน์ไว้เป็นหนึ่งเดียว อาทิ SNS, IM, email, Facebook และTwitter ภายใต้ขีดความสามารถที่สูงขึ้น

ด้วยประสิทธิภาพการประมวลผล (1GHz Processor) และเทคโนโลยี WiFi รุ่นล่าสุด (802.11 b/g/n) ทำให้ดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมสัญญาณกว้างมากขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้เพลิดเพลินไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต พร้อมแสดงภาพกราฟฟิคต่างๆ อีกทั้งรองรับแอพพลิเคชันที่มีให้เลือกสรรมากมายบน Samsung App store อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น games, e-books และอื่นๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2010/samsung/SamsungWaveII.jpg)

นอกจากนี้ “ซัมซุง เวฟ ทู” ยังภูมิใจนำเสนอฟังก์ชัน HD Video Player & Recorder ที่จะนำทุกท่านสนุกสนานไปกับการรับชม หรือบันทึกไฟล์วีดีโอในรูปแบบ HD ในหลากหลายฟอร์แมต รวมทั้งฟังก์ชัน t9 Trace ที่จะทำให้คุณลืมการพิมพ์ข้อความแบบเดิมๆ ด้วยการพิมพ์ที่รวดเร็ว สะดวก และง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้มาในรูปแบบดีไซน์ที่สวยงามประทับใจเกินกว่าคำบรรยายด้วยสรีระบาง เฉียบ สมกับเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยในยุคดิจิตอลที่ควรค่าในการจับจอง
Samsung Wave II

“ซัม ซุง เวฟ ทู” เริ่มวางจำหน่ายเดือนมกราคม 2554 ในราคา 13,900 บาท พร้อม microSD การ์ด ความจุ 4 กิกะไบต์ ณ ร้านซัมซุงช็อปและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือซัมซุงทั่วประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าซัมซุง 0-2689-3232 หรือโทรฟรีจากโทรศัพท์บ้าน 1-800-29-3232

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price
ลิ้งก์ที่เกี่ยวข้อง: ที่พักพัทยา (http://www.hotelandresortthailand.com/) โหลดเกมส์ (http://www.his2bot.com/) รถมือสอง (http://www.rod2thai.com/) ดูหนังออนไลน์ (http://www.subthaitle.com/)


หัวข้อ: “DVD” หลบไป WD TV Live HD มาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 ธันวาคม 2010, 21:57:02
เมื่อความบันเทิงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำเนินชีวิต ทำให้ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ เวสเทิร์น ดิจิตอล ผุด WD TV Live HDผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อคอนเทนต์เข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์ บนเครื่องเล่นขนาดพกพา เติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019207401.JPEG)

      ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการจุข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ที่สูงถึง 320 กิกะไบต์ ทำให้ตอนนั้นฮาร์ดดิสก์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ฮือฮาเพราะสร้างความมหัศจรรย์ใน การจัดเก็บข้อมูลที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น
      
      แต่มาถึงวันนี้ดูเหมือนว่าความสามารถดังกล่าวไม่สามารถเป็นจุดขายได้ ถึงแม้ว่าฮาร์ดดิสก์จะเพิ่มความจุในการจัดเก็บข้อมูลมากถึง 1 เทราไบต์แล้วก็ตาม เนื่องเพราะไลฟ์สไตล์ผู้บริโภควันนี้มีความต้องการที่นอกเหนือความจุข้อมูล แต่ยังต้องการในเรื่องของความบันเทิงมากขึ้นด้วย
      
      “ผลิตภัณฑ์พกพารูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน กล้องถ่ายภาพ กล้องวิดีโอแบบพกพา กลายเป็นเครื่องกำเนิดคอนเทนต์จำนวนมาก เพราะผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ความต้องการของฮาร์ดดิสก์มีสูงขึ้น ไม่เท่านั้น พฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมากยังนิยมดาวน์โหลด ดูดีวีดี และฟังเพลงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้นด้วย”
      
      จากพฤติกรรมผู้บริโภคดังกล่าว มาร์กาเร็ต โคห์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ประจำภาคพื้นเอเชียใต้ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (เอส.อี. เอเชีย) พีทีอี จำกัด บอกว่า เวสเทิร์น ดิจิตอล จึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ WD TV Live HD เครื่องเล่นและสื่อบันทึกข้อมูลขนาด 1 เทราไบต์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทั้งการเก็บข้อมูลและความ บันเทิง
      
      โดย WD TV Live HD สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านคีย์บอร์ดและเมาส์บลูทูธ พร้อมเปิดชมวิดีโอความละเอียดสูงจากยูทูบ โดยตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการติดตั้ง เพียงแค่เชื่อมต่อเข้ากับโทรทัศน์ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็พร้อมใช้งานได้ทันที
      
      นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถควบคุมการใช้งานผ่านอินเตอร์เฟซรูปแบบใหม่ ที่ง่ายต่อการเข้าใช้งานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแสดงภาพ วิดีโอ ผ่านระบบ DLNA และเน็ตเวิร์ก ที่สามารถใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานได้อีกด้วย
      
      ฟังดูอาจจะคล้ายกับเครื่องเล่นดีวีดี แต่มาร์กาเร็ต ก็ไม่ออกปากยอมรับว่าเจ้า WD TV Live HD จะเข้ามาแทนที่ดีวีดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละตลาด สำหรับตลาดในต่างประเทศ จากการเปิดตลาดในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ายอดขายดีขึ้นมาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ใช้งานในต่างประเทศนิยมการดูดีวีดี และราคาของดีวีดีต่อแผ่นค่อนข้างสูง หากใช้เครื่องดังกล่าว เพียงแค่ดาวน์โหลดในเว็บไซต์มาเชื่อมต่อ ราคาย่อมถูกกว่า จึงนับเป็นช่องว่างทางการตลาดที่เวสเทิร์น ดิจิตอล มองเห็น
      
      แต่สำหรับตลาดเมืองไทย จะแตกต่างจากต่างประเทศอย่างสิ้นเชิง แต่มาร์การ์เร็ต มองว่า อนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ WD TV Live HD จะเข้ามาแทนที่ดีวีดี เพราะไลฟ์สไตล์คนเมืองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
      
      มาร์การ์เร็ต บอกด้วยว่า การเติบโตของคอนเทนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้งานข้อมูลสูงขึ้น โดยเฉพาะคอนเทนต์กลุ่มบันเทิงเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ภาพรวมของตลาดฮาร์ดิสก์ทั่วโลกเติบโตสูงขึ้นด้วย
      
      สำหรับแผนการทำตลาดในปีหน้าเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดฮาร์ดดิสก์ เวสเทิร์น ดิจิตอล มีแผนขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะมองว่าตลาดต่างจังหวัดมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน เพราะฉะนั้นปีหน้ากลุ่มนี้จะเป็นตลาดหลักในการสร้างการเติบโต โดยเวสเทิร์น ดิจิตอล จะโรดโชว์ขยายตลาดไปตามหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ และขอนแก่น ผ่านการโรดโชว์ สัมมนา และจัดโปรโมชั่น เพื่อเจาะตลาดผู้ใช้กลุ่มการศึกษา และผู้ใช้พีซี ซึ่งมีอัตราการใช้พีซีกระจายตัวสูงขึ้น
      
      นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว “ดับบลิวดี แบรนด์ ช้อป” ซึ่งปัจจุบันมี 1 สาขาที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า โดยคาดว่าจะเปิดเพิ่มอีกราว 3-4 แห่ง ขณะนี้กำลังสำรวจพื้นที่ และความเหมาะสมของทำเล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: “Symbian” บัลลังก์สั่นคลอน โนเกียกำลังถูกท้าทายหนัก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 ธันวาคม 2010, 22:34:15
ระบบปฏิบัติการ “Symbian” ที่อยู่บนสมาร์ทโฟนวันนี้กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากบรรดาผู้ท้าชิง ยิ่งวันนี้ ซิมเบียนมีโนเกียเพียงค่ายเดียวที่ใช้งานระบบนี้อยู่ ยิ่งทำให้บัลลังก์ที่เคยสูงตระหง่านถูกสั่นคลอนแรงขึ้นเรื่อยๆ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019207701.JPEG)

      การ์ตเนอร์ บริษัทวิจัยชั้นนำระบุว่า วันนี้ซิมเบียนของโนเกียถือเป็นโอเอสเดียที่ยังสามารถนำหน้าแอนดรอยด์ของกู เกิล ขณะที่ไอโอเอสของแอปเปิลสามารถครองอันดับ 3 ตามด้วยแบล็กเบอร์รี่ของริม และอันดับที่ 5 คือวินโดวส์โมบายของไมโครซอฟท์ (ดูตารางประกอบ)
      
      อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการเติบโตของแอนดรอยด์แล้ว ทำให้เสียวแทนโนเกียและซิมเบียนว่าบัลลังก์ผู้นำที่ครอบครองอยู่วันนี้กำลัง จะโดนโค่นในเร็ววันนี้ก็เป็นได้ อันเนื่องมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของผู้ใช้งานแอนดรอยด์โฟน
      
      งานนี้ทางโนเกียจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อผลักดันระบบปฏิบัติการ ซิมเบียนให้ยืนหยัดในตำแหน่งผู้นำได้ยาวนานที่สุด และการที่โนเกียเข้ามาดูแลและควบคุมการพัฒนาระบบปฏิบัติการซิมเบียนเต็มรูป แบบแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2554 โนเกียจะเป็นผู้กำหนดทิศทางในอนาคตของระบบปฏิบัติการซิมเบียนเอง
      
      ทั้งนี้ โนเกียได้มีการวางแผนที่จะลงทุนและใช้ทรัพยากรของตนเองในการพัฒนาระบบซิ มเบียนต่อไป พร้อมตั้งความหวังว่าจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในพอร์ตโฟลิโอสมาร์ทโฟนที่ ใช้ระบบซิมเบียนกระจายไปยังคนทั่วโลกได้ดีขึ้น
      
      ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการโฟกัสระบบซิมเบียนอย่างจริงจังของโนเกีย มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการรองรับแอปพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์ มซิมเบียนเวอร์ชั่นใหม่ในอนาคต สร้างกรอบการพัฒนาแอปพลิเคชั่นให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแพลตฟอร์มซิมเบียนเวอร์ชั่นใหม่ๆ และยังช่วยอัปเดตและอัปเกรดสมาร์ทโฟนของโนเกียได้บ่อยครั้งขึ้น เห็นได้ชัดอย่างการเปิดตัวซิมเบียนเวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นซิมเบียน 3 ที่มาพร้อมกับการเปิดตัวโนเกียรุ่นใหม่อย่างโนเกีย N8
      
      และการที่โนเกียมาดูแลระบบซิมเบียนคนเดียว ยังส่งผลต่อนักพัฒนาที่สามารถหาเครื่องมือและได้รับการสนับสนุนต่างๆ ตามที่ต้องการ และสร้างความได้เปรียบในตลาดสมาร์ทโฟนที่กำลังมีการเติบโตสูงผ่านทางฟอรัม ของโนเกีย รวมถึงผ่านระบบการจำหน่ายเครือข่ายที่กว้างขวางของโนเกียสมาร์ทโฟน “Ovi Store” ไปยังทั่วโลก
      
      เมื่อไม่นานมานี้ โนเกียเพิ่งจะประกาศยอดดาวน์โหลดบนโอวี่สโตร์พุ่งสูงถึง 3 ล้านครั้งต่อวัน เป็นผลจากความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก และการอัปเดตโอวี่สโตร์อย่างสม่ำเสมอทำให้ใช้งานง่าย รองรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนซิมเบียนรายใหม่ๆ ของโนเกียได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: บิ๊กไฟว์บิ๊กเกม MOBILE OS WAR
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 ธันวาคม 2010, 00:04:06
      5 บิ๊กโอเอสมือถือโหมกระแสก่อนศึกใหญ่ปี 54
      การประกาศจับมือกันเปิดตัววินโดวส์โฟน 7 ระหว่างดีแทค เอชทีซี และไมโครซอฟท์ กำลังกลายเป็นการเปิดฉากสงครามแบบเต็มรูปแบบให้เกิดขึ้นกับตลาดโทรศัพท์ เคลื่อนที่ในประเทศไทย เมื่อบิ๊กเพลเยอร์ทั้ง 5 ราย กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019207601.JPEG)

      วินโดวส์โฟน 7 คือการกลับมาอีกครั้งของระบบปฏิบัติการจากค่ายยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ หลังจากเงียบหายไปกว่า 1 ปี และปล่อยให้คู่แข่งขันรายอื่นๆ ทำแต้มโกยคะแนนไปหลายขุม
      
      สำหรับระบบปฏิบัติการมือถือยักษ์ใหญ่อีก 4 ราย ประกอบด้วย ซิมเบียน ที่ ณ วันนี้มีเพียงโนเกียเป็นค่ายที่ขับเคลื่อน แอนดรอยด์จากค่ายกูเกิล แบล็กเบอร์รี่จากรีเสิร์ช อิน โมชั่น และไอโอเอสของค่ายแอปเปิล
      
      ปี 2554 ที่ทุกคนคาดการณ์กันว่าจะเป็นปีที่สมาร์ทโฟนพุ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีก หนึ่งปี จึงน่าที่จะเป็นสมรภูมิสำคัญให้บิ๊กไฟว์ต้องระดมกำลังทุ่มเข้าสู้กันอย่าง เต็มที่ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด และเราน่าจะได้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดมากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
      
      “ผู้ใช้สมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนเริ่มมองหาและสนใจกับระบบปฏิบัติการที่จะตอบสนองการใช้งานได้อย่างแท้จริง”
      
      เป็นคำกล่าของ เพ็ตเตอร์ เฟอร์เบิร์ก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานพาณิชย์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
      
      จากคำกล่าวข้างต้นทำให้เห็นภาพพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือจากแต่ละระบบปฏิบัติการ ว่าใครจะสร้างความชื่นชอบได้มากกว่ากัน และเมื่อการใช้งานโมบายอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ต้องการประสบการณ์ใหม่จากมือถือหรือสมาร์ทโฟน ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งเป็นส่วนกระตุ้นให้ผู้บริโภคยิ่งพิจารณาเลือกระบบปฏิบัติ การ
      
      วินโดวส์โฟน 7
      สร้างประสบการณ์ใหม่

      
      “ขอให้ลืมการใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ในอดีตไปเลย เพราะวินโดวส์โฟน 7 จะสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ใครๆ ก็ใช้ได้ เปลี่ยนไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง” ณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอชทีซี ไทยแลนด์ กล่าว
      
      เอชทีซีถือเป็นค่ายแรกที่เปิดตัววินโดวส์โฟน 7 กับสมาร์ทโฟนรุ่น HTC HD7 ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบของฮับต่างๆ ทำให้สามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ ฮับต่างๆ ประกอบด้วย People Hub Pictures Hub Game Hub Music&Video Hub Office Hub และ Market Place Hub พร้อมอีกหลากหลายโปรแกรมเพื่อความบันเทิง เช่น Zune นอกจากนี้ วินโดวส์โฟน 7 ยังมีฟังก์ชั่น Click to Cloud ซึ่งสามารถเก็บภาพถ่ายใน Sky Drive และสามารถส่งเข้าเฟซบุ๊กได้ทันที ผู้ใช้จึงสามารถสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงและโซเชียลมีเดียอย่างครบถ้วน
      
      “เราคิดค้นนวัตกรรมระบบปฏิบัติการยุคใหม่เพื่อให้ประสบการณ์ Work&Play ซึ่งรองรับการดำเนินชีวิตและการทำงานสำหรับคนรุ่นใหม่” ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและว่า
      
      วินโดวส์โฟน 7 ยังเป็นระบบปฏิบัติการล่าสุดสำหรับสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถรองรับการทำงานในระบบ 3 จอ ได้แก่ สมาร์ทโฟน พีซี และเว็บเบราว์เซอร์ ทำให้สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้งานกับผู้คน และข้อมูลที่ต้องการได้ทุกที่ทุกเวลา
      
      นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ประเทศไทยยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักพัฒนาท้องถิ่นในการสร้างแอ ปพลิเคชั่นสู่มาร์เกตเพลสบนวินโดวส์โฟน 7 เพื่อให้ผู้ใช้คนไทยได้สนุกกับแอปพลิเคชั่นที่หลากหลายและเหมาะสมกับความ ต้องการของคนไทย และสำหรับผู้ที่ชอบใช้งานภาษาไทย เอชทีซีได้ทำการติดตั้งบริการพิเศษที่ชื่อว่า MyHTC Thai Hub มากับตัวเครื่อง HTC HD7 ที่ได้รวบรวมแอปพลิเคชั่นในการใช้งานภาษาไทยสำหรับส่งเอสเอ็มเอส อีเมล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ โฟร์สแควร์ และเสิร์ช
      
      แบล็กเบอร์รี่ 6
      รวมจุดเด่นทุกอย่าง

      
      เมื่อไม่นานนี้ ทางรีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือริม ได้มีการเปิดตัวระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 ออกสู่ตลาด โดยระบบปฏิบัติการใหม่นี้ได้รวบรวมเอาฟีเจอร์ที่คุ้นเคยและน่าเชื่อถือมาก มายที่แสดงความโดดเด่นของแบรนด์แบล็กเบอร์รี่ไว้ ขณะเดียวกันได้นำเสนอประสบการณ์ใหม่ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายดายและมีความน่าเชื่อถือ ระบบปฏิบัติการดังกล่าวได้ผนวกเข้ากับเบราว์เซอร์ตระกูล WebKit ใหม่และมีลูกเล่นสูง สามารถเรนเดอร์ภาพหน้าเว็บ HTML ได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ หลายเว็บได้ในเวลาเดียวกัน มีคุณสมบัติในการซูมข้อความแบบ auto-wrap
      
      นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 ยังเพิ่มฟีเจอร์ในการรับส่งข้อความ ระบบการจัดการและติดตามสังคมออนไลน์ และเทคโนโลยี RSS feeds พร้อมทั้งยังนำเสนอประสบการณ์ด้านระบบมัลติมีเดียที่ล้ำหน้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอแอปพลิเคชั่นยูทูบ รวมถึงแอปพลิเคชั่นหมวดเพลงและรูปภาพ
      
      แบล็กเบอร์รี่ 6 มาในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของแบล็กเบอร์รี่ อย่าง แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9780 เป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับแป้นคีย์บอร์ดและแป้นควบคุมด้วยปลายนิ้วหรือออ ปติคอลแทร็กแพด คุณสมบัติใหม่ที่มาพร้อมกับโบลด์ 9780 จึงมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลากหลาย สามารถรองรับเครือข่าย 3G ไวไฟ และมีระบบจีพีเอสในตัวสำหรับรองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นระบุตำแหน่ง และระบบระบุตำแหน่งจีพีเอสลงในภาพ เป็นต้น
      
      ไอโอเอส-แอนดรอยด์ใหม่
      ตีกินติดปีกโตอย่างต่อเนื่อง

      
      อีก 2 ระบบปฏิบัติการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ต้องยกนิ้วให้กับไอโอเอสของค่ายแอปเปิล และแอนดรอยด์ของค่ายกูเกิล วันนี้ยอมรับไปทั่วโลกแล้วว่าระบบปฏิบัติการไอโอเอสและไอโฟนได้สร้างกระแสไป ทั่วโลกนับตั้งแต่วันแรกที่ไอโฟนแจ้งเกิดบนโลกใบนี้ ที่สำคัญไอโฟน 4 ที่เปิดตัวทำตลาดในปีนี้ ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ขาดตลาดในทุกๆ ประเทศ ยอดขายดีจนโรงงานผลิตไม่ทัน
      
      ส่วนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้น วันนี้ได้เข้าไปอยู่ในมือถือชั้นนำอย่างเอชทีซี ซัมซุง แอลจี และอื่นๆ จนสามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดให้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้นำอันดับสองใน ตลาดขณะนี้ กระทั่งมีการคาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จะโตแซงหน้าระบบปฏิบัติการซิมเบียนที่มีค่ายโนเกีย ใช้เพียงค่ายเดียวได้อย่างไม่ยากเย็น
      
      แน่นอนว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ทุกระบบปฏิบัติการจะต้องขับเคี่ยวกัน อย่างหนัก ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ผู้ตัดสินจะเป็นผู้บริโภค ผู้ใช้บริการที่จะเลือกว่าจะใช้มือถือหรือสมาร์ทโฟนที่มากับระบบปฏิบัติการ ใดมากกว่า

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: ลือ "Playstation Phone" ลงแผงเม.ย.ปีหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 ธันวาคม 2010, 21:41:56
ข่าวลือล่าสุดระบุค่ายมือถือโซนี่ อิริคสันเตรียมจะเข็นโทรศัพท์รุ่นใหม่ “เพลย์สเตชัน โฟน”ออกสู่ตลาดในเดือน เม.ย.ปีหน้า หลังจากเปิดตัวเป็นทางการในงาน “โมบาย เวิลด์ คองเกรสส์”ช่วงก.พ.ปีหน้าที่สเปน เชื่ออาจใช้ชื่อแบรนด์ “Xperia Play”
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019062401.JPEG)

      เว็บไซต์ Pocket-lint อ้างว่า ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือบอกว่า “เพลย์สเตชัน โฟน”ของโซนี่ อิริคสันจะเผยโฉมอย่างเป็นทางการก่อนงาน “โมบาย เวิลด์ คองเกรสส์”ที่เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปนจะเริ่มขึ้น(14-17 ก.พ) โดยจะจัดงานแถลงต่อสื่อมวลชนช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 13 ก.พ. และยืนยันว่าโซนี่ อิริคสันค่อนข้างหมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมากสำหรับเครื่องรุ่นดังกล่าว แต่ตัวเครื่องจะยังไม่ลงตลาดจนกว่าจะถึงเดือนเม.ย.
      
      ทั้งนี้ ก็มีรายงานเสริมอีกว่า เมื่อเร็วๆนี้โซนี่ อิริคสันได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในสหภาพยุโรปภายใต้แบรนด์ “Xperia” ด้วยกัน 4 ชื่อ ประกอบด้วย Xperia Play, Xperia Neo, Xperia Duo และXperia Arc โดยมีการจดทะเบียน XperiaPlay เป็นชื่อโดเมนของเว็บไซต์ ครอบคลุมทั้ง .com, .net และ.org ยิ่งทำให้มีมูลเพิ่มขึ้นไปอีก
      
      ก่อนหน้านี้เจ้ามือถือเพลย์สเตชันเคยตกเป็นข่าวลือมมาแล้วหลายครั้งหลายครา ทั้งภาพหลุด คลิปหลุด แต่โซนี่ก็ยังไม่ออกปากแบบเต็มปากเต็มคำว่าตัวเครื่องที่เห็นกันไปมันชัวร์ หรือมั่วนิ่ม แม้ผู้บริหารใหญ่ของโซนี่ อิริคสันจะบอกใบ้ด้วยตัวเองมาแล้วว่าได้ทำผลิตภัณฑ์ใหม่สนองการเล่นเกมจริงๆ
      
      ข้อมูลองค์ประกอบเครื่องตามที่เป็นข่าวมานั้น รูปลักษณ์เครื่องจะคล้ายๆกับเครื่องเล่นเกมแบบพกพา PSP go หน้าจอสามารถสไลด์ขึ้นไปเพื่อเผยให้เห็นปุ่มในการกดเล่นเกมตามแบบฉบับของ เพลย์สเตชันจากโซนี่ ชใช้ชิปชิป Qualcomm MSM8655 1GHz , RAM 512MB, ROM 1 GB ,ขนาดของหน้าจอที่ 3.7 ถึง 4.1 นิ้ว และใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Gingerbread
      
      อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าข่าวสารเกี่ยวกับโทรศัพท์โฉมใหม่ของโซนี่ อิริคสันเพื่อการเล่นเกมนี้จะถูกเปิดเผยอีกและลือเลื่องกันไม่มากก็น้อยใน งาน Consumer Electronics Show(CES) ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 6-9 ม.ค.นี้ ขอให้ผู้อ่านติดตามข่าวสารกันต่อไป อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ 100 %

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: "iPad" แชมป์ของขวัญในฝันเด็กอเมริกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 ธันวาคม 2010, 14:49:49
การสำรวจจากบริษัทวิจัยตลาดนีลสัน (Nielsen) พบว่าปีนี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นของขวัญให้ ตัวเอง ที่น่าสนใจคือไอแพด (iPad) แท็บเล็ตของแอปเปิลกลายเป็นของขวัญในฝันอันดับ 1 ของเด็กอเมริกันวัย 6 ถึง 12 ปี โดยภาพรวม ไอแพดคือสุดยอดของขวัญของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 31% รองลงมาคือคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ และเครื่องเล่นเพลงไอพ็อด (iPod)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019244201.JPEG)

      นอกจากนี้ การสำรวจจากบริษัทวิจัยเอ็นพีดี (NPD) ยังพบว่าในกลุ่มผู้ที่ครอบครองไอแพดอยู่แล้ว มีการใช้งานไอแพดเพิ่มขึ้นอีก โดยเพิ่มจาก 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มาเป็น 18 ชั่วโมง แถม 37% ระบุว่าใช้งานไอแพดระหว่างเดินทาง ท่ามกลางผู้ใช้ 21% ที่บอกว่าใช้ไอแพดในการทำงาน
      
      ***สินค้าไอทีขายกระฉูดปลายปี
      
      นีลสันพบว่า ชาวอเมริกันอายุ 12 ปีขึ้นไปมีความสนใจดำเนินการอัปเกรดคอมพิวเตอร์ ชุดอุปกรณ์โทรทัศน์ และสมาร์ทโฟนให้ฉลาดขึ้นในช่วงปลายปี โดยเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์และเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ล้วนปรากฏใน รายการของขวัญในดวงใจของชาวอเมริกันทั้งที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน
      
      สำหรับไอแพด กลุ่มตัวอย่าง 18% ในกลุ่มที่มีอายุเกิน 13 ปี ระบุว่าสนใจจะซื้อไอแพดในปลายปีนี้ ขณะที่ 11% ระบุว่าจะซื้อไอแพดอย่างน้อยภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้แน่นอน
      
      ผลการศึกษาทั้งหมดชี้ไปในทางเดียวกันว่า สินค้าไอทีจะสามารถจำหน่ายได้ถล่มทลายช่วงปลายปีนี้ โดยตัวเลขจากเอ็นพีดีพบว่า ยอดจำหน่ายสินค้าไอทีในสหรัฐฯช่วงปลายปีนี้จะคิดเป็นสัดส่วน 33% ของยอดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีทั้งหมดตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าตลาดเฉลี่ยให้เป็น 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 4 นี้
      
      ***ไม่แค่ไอโฟน สมาร์ทโฟนอื่นยังขายได้
      
      นีลสันพบว่า 19% ของชาวอเมริกันกำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทดฟนที่ไม่ใช่ไอโฟนภายในครึ่งปีแรกของ ปีหน้า น้อยกว่าตัวเลข 13% ที่ต้องการซื้อไอโฟน
      
      สำหรับตลาดเกม นีลสันพบว่านินเทนโดวี (Nintendo Wii) นำโด่งในกลุ่มด้วยสัดส่วน 15% ตามมาด้วยเพลย์สเตชัน 3 (Sony PlayStation 3) 13% ต่อด้วยไมโครซอฟท์เอ็กซบ็อกซ์ (Xbox 360) ราว 9%

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Firefox 4 เพิ่มการสนับสนุนกราฟิก 3D
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 ธันวาคม 2010, 14:36:40
ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม น่าจะเป็นแนวคิดสำหรับการพัฒนา Firefox ของ Mozilla โดยเฉพาะเวอร์ชัน 4 ที่ทางบริษัทออกรุ่นทดสอบมาถึงตัวที่ 8 แล้ว เป้าหมายของการพัฒนาก็คือ การเป็นบราวเซอร์ที่สมบูรณ์แบบ แข็งแรง และมีความสามารถที่ทิ้งห่าง Internet Explorer 9 ของ Microsoft ใน Firefox 4 รุ่นทดสอบล่าสุด ทาง Mozilla ได้พัฒนาความสามารถในการแสดงกราฟิก 3D เข้าไป รวมถึงระบบจัดการ Add-On ที่ดีขึ้นอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/Firefox-4-beta-8-supports-3D-Graphics-WebGL-interactive-games-2.jpg)

อ้างอิงข้อมูลจาก Mozilla ระบุว่า Firefox 4.0 Beta 8 ได้รับการปรับปรุง และแก้ไขบั๊กเพิ่มเติมอีก 1,400 กว่าแห่ง อีกทั้งยังสามารถรัน JavaScript ได้เร็วกว่า Beta 7 อีก 5% อีกด้วย แต่กระนั้น ความน่าสนใจของ Firefox 4.0 Beta 8 ก็คือ การพัฒนาให้คุณสมบัติ Firefox Sync สามารถเซตอัพบัญชีผู้ใช้ ตลอดจนการซิงค์กับอุปกรณ์ใหม่ๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเหนืออื่นใด ในเวอร์ชันทดสอบล่าสุดนี้ทาง Mozilla ยังได้เพิ่มการสนับสนุนกราฟิก 3D เข้าไปในบราวเซอร์ รวมถึงการปรับโฉมคุณสมบัติการจัดการส่วนเพิ่มเติมการทำงาน (Add-ons Manager) ของบราวเซอร์อีกด้วย

Firefox 4 Beta 8 จะมาพร้อมกับความสามารถในการเซตอัพ Firefox Sync ที่รวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิด Awesome bar เพื่อดู History, Bookmarks, แท็บต่างๆ ตลอดจนพาสเวิร์ดบนคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนได้สะดวกง่ายดายกว่าเดิม ส่วนการสนับสนุน 3D Graphics ใน Firefox 4 Beta 8 จะสามารถใช้ WebGL ที่มีอยู่ในการ์ดแสดงผลกราฟิกรุ่นใหม่ๆ ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างเกมส์ 3D ที่มีกราฟิกสวยงามได้ง่ายขึ้น

ทีสำคัญมันสามารถเล่นได้ในบราวเซอรฺ์ Firefox โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิมเติมแต่อย่างใด ลองชมคลิปสาธิตการแสดงผลกราฟิก 3 มิติในบราวเซอร์เวอร์ชันนี้ หรือจะลองดาวน์โหลดมาเล่นด้วยตัวเองก็ได้นะครับ รับรองว่า คุณต้องชอบแน่ๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: จับตา "อินเทล อะตอม" รุกแท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 ธันวาคม 2010, 16:46:44
อินเทลตั้งเป้าเป็นผู้นำในการผลิตชิปของตลาดแท็บเล็ตภายในปี 2014 ดันอะตอมลุยทุกตลาดอุปกรณ์พกพา เชื่อตลาดแท็บเล็ตไม่ส่งผลกระทบกับตลาดโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กในระยะยาว จากรูปแบบการใช้งานที่จำกัด ส่วนตลาดสมาร์ทโฟน ขอส่วนแบ่ง 20% ของผู้ผลิตซีพียู ในปี 2015
   
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019284801.JPEG)
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด
 
      นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า อินเทลยอมรับว่าการเติบโตของตลาดแท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่น่าสนใจ และอินเทลก็มีแผนที่จะเข้าไปร่วมผลิตกับผู้ประกอบการในการผลิตแท็บเล็ตวาง จำหน่ายในช่วงปลายปีหน้าแน่นอน
      
      "อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์ จะกลายเป็นสินค้าที่มีความสำคัญกับ อินเทลเป็นอย่างมากในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตลาดสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์พกพาอื่นๆ ซึ่งอินเทลตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำในตลาดแท็บเล็ตได้ภายในปี 2014"
      
      โดยในไลน์การผลิตของอินเทล อะตอม จะมีการแบ่งย่อยออกไปเพื่อผลิตให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ในแต่ละกลุ่ม เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทั้งบน แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี และส่งผลให้ราคาของอุปกรณ์มีราคาถูกลง ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้มากขึ้น
      
      "อินเทลเชื่อว่าในระหว่างปี 2011 - 2013 จะมีอัตราการเติบโตของเน็ตบุ๊กมากว่า 300% จากปัจจัยของไฮบริดจ์ ที่ผสานรวมระหว่างเน็ตบุ๊กและเท็ปเล็ต ส่วนตลาดพีซีโดยรวมในปี 2011 ยังมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ในปี 2011"
      
      โดยเอกรัศมิ์ มองว่า การเติบโตของตลาดแท็บเล็ตในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค มากกว่าการมองไปถึงประสิทธิภาพในการใช้งาน ส่งผลให้ท้ายที่สุดแล้วเมื่อผู้บริโภคเข้าใจถึงรูปแบบการใช้งานที่แตกต่าง กันระหว่างแท็บเล็ต และเน็ตบุ๊ก ทำให้เชื่อว่าตลาดแท็บเล็ตจะไม่มาแทนที่โน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กอย่างแน่นอน
      
      "การเติบโตของแท็บเล็ตเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้มีอัตราการเติบโตสูง ส่งผลให้มากินพื้นที่ของโน้ตบุ๊ก และ เน็ตบุ๊กในระดับหนึ่ง แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งแล้วเข้าสู่การซื้อซ้ำผู้บริโภคจะเลือกซื้อโน้ต บุ๊กมากกว่าซื้อแท็บเล็ตซ้ำเป็นเครื่องที่สอง"
      
      ขณะที่การเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนนั้น หลังจากที่ทางอินเทลได้ซื้อแผนกไวร์เลสโซลูชัน ของบริษัท อินฟีนิออน ทำให้ในอนาคตทางอินเทลสามารถผลิตชิปเน็ตเวิร์กที่รองรับการใช้งานทั้ง 3G ไวแมกซ์ และไวเลส ได้บนชิปเซ็ตเดียวกัน ซึ่งเมื่อรวมกับซีพียูจากอะตอมแล้ว ก็จะช่วยให้สามารถทำตลาดสมาร์ทโฟนได้มากขึ้น
      
      "ทางอินเทลได้มีการวางเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2015 อินเทลจะต้องมีส่วนแบ่งหน่วยประมวลผลในตลาดสมาร์ทโฟนให้ได้มากกว่า 20% จากการนำอินเทล อะตอม เข้ามาใช้ในตลาดสมาร์ทโฟน ผ่านระบบปฏิบัติการมีโก ที่สามารถนำไปทำตลาดได้ทั้งแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน และโน้ตบุ๊กด้วย"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: ใช้ Nokia N8 ถ่ายปกนิตยสารครั้งแรกของโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 ธันวาคม 2010, 22:01:00
หลังจากโชว์ออฟความสามารถของกล้อง Nokia N8 ด้วยการถ่ายหนังสั้นให้ได้ชมกันบนเน็ตไปแล้ว ล่าสุดมีการท้าพิสูน์ความสามารถของกล้องที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลของ Nokia N8 กันอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทางนิตยสาร Pix ได้เลือกมือโปรฯมาถ่ายรูปนางแบบจากแอฟริกาใต้ เพื่อขึ้นปกของนิตยสาร

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-n8-for-shooting-Pix-Magazine-cover-2.jpg)

งานนี้มือโปรได้จัดเตรียมการถ่ายทำด้วยการตั้งกล้องของ Nokia N8 บนขาตั้ง (tripod) และใช้หลอดไฟมากมาย เพื่อช่วยให้แสงที่มากเพียงพอในการถ่ายทำ ซึ่งผลลัพธ์ของภาพถ่ายที่ได้มีความสวยงามคมชัดจนน่าอัศจรรย์

งานนี้ต้องขอบคุณเซ็นเซอร์ 12 ล้านพิกเซลของกล้องใน Nokia N8 และฝีมือการจัดแสงไฟของโปรที่ทำให้นิตยสาร Pix ได้ปกภาพนางแบบที่สวยงามราวกับใช้กล้องถ่ายรูปคุณภาพระดับไฮเอ็นด์เลยทีเดียว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: คาดยอดส่ง SMS ปีใหม่เฉียด70ล้านข้อความ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 ธันวาคม 2010, 23:00:20
ค่ายมือถือเตรียมพร้อม-ขยายความสามารถเครือข่ายรองรับการใช้งานช่วงปีใหม่ คาดดีแทคยอดส่งเอสเอ็มเอสวันปีใหม่สูงเกือบ 70 ล้านข้อความ

(http://statics.atcloud.com/files/entries/8/83171/images/1_original.jpg)

นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอสได้เตรียม ความพร้อมเครือข่ายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าส่งความสุขและสื่อสารกันได้ อย่างไร้ข้อจำกัดในช่วงเทศกาลปีใหม่   แบ่งเป็นการขยายการรองรับปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ   โดยเฉพาะการใช้งานผ่านบีบี เพิ่มอีก 2 เท่า เพื่อรองรับการใช้งานที่คาดว่าจะเพิ่มจากช่วงเวลาปกติ

นอกจากนี้ ยังได้จัดทีมวิศวกรปฏิบัติหน้าที่ 24 ชม. ที่ ศูนย์บริหารเครือข่ายส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่พร้อมแก้ปัญหาทันทีทั่วประเทศในช่วงคืนวัน 31 ธ.ค.  พนักงานคอลเซ็นเตอร์ 1175 ที่พร้อมให้บริการ 24 ชม.เช่นกัน

ทั้งนี้ คาดว่าการใช้งานด้านดาต้า คือ เอสเอมเอ็มจะเติบโตกว่า 15%  โดยขยายความสามารถในการส่ง SMS เพิ่มอีก 1 เท่า

ให้สามารถรองรับการส่งเอสเอ็มเอสได้กว่า 57 ล้านข้อความต่อชม.  หรือเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนการส่งข้อความมัลติมีเดีย หรือ เอ็มเอ็มเอสในปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่า 25% และได้ขยายความสามารถในการส่งอีก 1 เท่า  ให้สามารถรองรับได้มากกว่า 8 แสนเอ็มเอ็มเอสต่อชม.

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์  บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค กล่าวว่า คาดว่าในปีนี้บริการที่ใช้ในการอวยพรที่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นสูงสุดคงเป็น การใช้งานผ่านโซเชียล มีเดีย จากการที่จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านรายเป็น 2.6 ล้านรายในปีนี้

ทั้งนี้ การใช้งานโซเชียลมีเดียจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้งานดาต้าผ่านมือถือ เพิ่มขึ้นกว่า 25 %  จากในช่วงปกติที่มีวันละ 1 ล้านราย โดยเฉพาะการอวยพรผ่านเครือข่ายบีบี ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นกว่า 60% ส่งผลให้ภาพรวมของการใช้งาน data เพิ่มขึ้นตามกัน ในขณะที่การส่ง เอสเอ็มเอส คาดว่าเพิ่มขึ้น 37% เป็น 68 ล้านข้อความ และเอ็มเอ็มเอส สูงขึ้น 11% เป็น 1 ล้านข้อความ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นายประเทศ ตันกุรานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิศวกรรม ดีแทค กล่าวเสริมว่า  ได้ลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีเพื่อขยายเครือข่ายรองรับการใช้งานที่จะเพิ่มขึ้นในช่วง ปีใหม่ และการรองรับการโทรไปต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้จัดส่งรถสัญญาณเคลื่อนที่ไปให้บริการตามแหล่งที่มีการใช้งานหนาแน่นทั่ว ประเทศ เช่น จุดเคานท์ดาวน์ และสถานที่จัดงานปีใหม่ด้วย

ข้อมูลจาก: โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Galaxy Player เพชรฆาต iPod Touch?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 ธันวาคม 2010, 13:59:10
รายงานข่าวล่าสุด Samsung Hub Blog อ้างว่า Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Player ในเดือนหน้าที่งาน CES 2011 ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของ iPod Touch โดยตรง อย่างไรก็ดี แม้บล็อกดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ Samsung แต่ทางบริษัทก็ไม่ได้แสคงความคิดเห็นต่อรายงานดังกล่าวแต่อย่างใด

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-player-debuts-in-CES-2011-2.jpg)

สำหรับคุณสมบัติของ Samsung Galaxy Player จะมาพร้อมกับหน้าจอ LCD จะมีขนาด 4 นิ้ว โพรเซสเซอร์ 1GHz และเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi ระบบปฎิบัติการที่ใช้ในเครื่องจะเป็น Android 2.2 และมีขนาดของหน่วยความจำให้เลือกตั้งแต่ 8GB, 16GB และ 32GB  แถมยังมีกล้องด้านหน้า เพื่อใช้บริการสนทนาแบบเห็นหน้า (video conference) กันได้อีกด้วย และเช่นเดียวกับที่ iPod Touch คล้ายกับ iPhone กรณี Galaxy Player ก็จะมีคุณสมบัติต่างๆ เหมือนกับสมาร์ทโฟน Galaxy S แต่ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ผ่านผู้ให้บริการโครงข่ายได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม มันมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่ Samsung จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดความสำเร็จของสมาร์ทโฟน Galaxy S ด้วยการทำ Galaxy Player ออกมา ซึ่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทเพิ่งจะประกาศความสำเร็จสำหรับยอดขายของ Galaxy S ที่ผ่านหลัก 3 ล้านเครื่องภายใน 3 เดือนหลังจากทำยอดทะลุ 1 ล้านเครื่องแรกไปไม่นานนัก

ขณะเดียวกัน Galaxy Tab ยังมียอดจำหน่ายเกินกว่า 1 ล้านเครื่องไปแล้วด้วย ความชัดเจนในเรื่องนี้คงต้องรอดูกันอีกทีในงาน CES 2011 ที่จัดขึ้นในเดือนหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นทางเว็บไซต์ arip จะนำเสนอรายงานให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันอีกที (เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาทาง Samsung ได้เคยนำ Galaxy Player YPG-50 ออกโชว์ในงาน IFA แต่หน้าจอแค่ 3.2 นิ้ว และมีขนาดความจุให้เลือก 8 กับ 16GB ชมคลิปโปรโมทได้จากข้างล่างนี้)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: "มือถือโฮโลแกรม" IBM ฝันคลอดปี 2015
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 ธันวาคม 2010, 15:23:59
ไอบีเอ็มพยากรณ์ 5 เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปี 2015 หรืออีก 5 ปีนับจากนี้ ได้แก่ แบตเตอรีพลังงานอากาศ ระบบนำความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพยากรณ์สภาพการจราจร เซ็นเซอร์ส่งข้อมูลสิ่งแวดล้อมจากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาเพื่อการวิ จัย และที่สำคัญคือโทรศัพท์มือถือที่สามารถฉายภาพจำลอง 3 มิติโฮโลแกรม ลักษณะเดียวกับในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019343901.JPEG)

      การพยากรณ์ครั้งนี้ของไอบี เอ็มเกิดจากการรวบรวมข้อมูลของนักวิจัยมากกว่า 3,000 คนที่ไอบีเอ็มมีอยู่ โดยรายงานจากหนังสือพิมพ์บลูมเบิร์ก (Bloomberg) ย้ำว่า 5 เทคโนโลยีที่มีโอกาสเป็นจริงได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าคือสิ่งที่อธิบายวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของไอบีเอ็ม นั่นคือการอุทิศตัวเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ในโลกกลมๆใบนี้
      
      โจเซฟีน เชง (Josephine Cheng) รองประธานสถาบันวิจัยอัลมาเดน (Almaden lab) ของไอบีเอ็ม ให้สัมภาษณ์ถึงความเชื่อของไอบีเอ็ม ที่ว่าโลกแห่งแบตเตอรีจะถูกพัฒนาจากการใช้ลิเธียมไอออนมาเป็นวัตถุดิบที่ให้ ความหนาแน่นในการจุพลังงานมากขึ้นแน่นอน เพื่อเพิ่มความประสิทธิภาพด้านอายุการใช้งานต่อเนื่องของแบตเตอรี
      
      ที่น่าสนใจคือ ไอบีเอ็มเชื่อว่าแบตเตอรีในอนาคตจะสามารถชาร์จใหม่ได้โดยใช้เพียงอากาศที่อยู่รอบแบตเตอรี บางรายงานนั้นใช้คำว่า breathing batteries เพื่อให้เห็นภาพว่าจะเป็นแบตเตอรีที่สามารถหายใจได้
      
      ในศูนย์วิจัย Almaden เทคโนโลยีแบตเตอรีเป็นหนึ่งในหลายงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไอบีเอ็มที่ไม่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอมพิวเตอร์ โดยรายงานชี้ว่า ทีมวิจัยไอบีเอ็มสามารถพัฒนาแบตเตอรีสำหรับรถไฟฟ้าที่สามารถแล่นต่อเนื่อง 500 ไมล์ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งแล้ว จุดนี้ไอบีเอ็มเชื่อว่า แบตเตอรีในโลกอนาคตจะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าปัจจุบันถึง 10 เท่าตัว
      
      นักวิเคราะห์แสดงความเห็นต่อรายการเทคโนโลยีที่ไอบีเอ็มประกาศออกมา ว่าเป็นเรื่องที่ดีและมีคุณค่าต่อโลกทั้งในแง่ธุรกิจและคุณภาพชีวิต
      
      ไอบีเอ็มระบุว่าปี 2009 ไอบีเอ็มได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นเงินมูลค่า 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 6.1% ของรายได้รวม โดยแม้ตัวเลขนี้เป็นสัดส่วนที่ลดลงจาก 10% ซึ่งไอบีเอ็มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ก็เป็นสัดส่วนที่มากกว่าคู่แข่งอย่างเอชพี (Hewlett-Packard) ซึ่งรายหลังนั้นเตรียมไว้เพียง 2.4% ในปีที่ผ่านมา
      
      นี่ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของไอบีเอ็ม นับจากเดือนพฤศจิกายนที่ไอบีเอ็มประกาศเปิดโครงการวิจัยร่วมในประเทศ สิงคโปร์ โดยไอบีเอ็มระบุว่าได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากสำนักงานสาธารณะ เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการในประเทศสิงคโปร์ เป้าหมายหลักของโครงการคือการเน้นพัฒนาเครือข่ายระบบเซ็นเซอร์เพื่อรูปแบบ การให้บริการสาธารณะแบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพยากรณ์และจัดการระบบสาธารณะทั้งระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน
      
      รายงานระบุว่า ความร่วมมือกับรัฐบาลสิงคโปร์ของไอบีเอ็มจะให้ความสำคัญกับระบบวิเคราะห์ ที่สามารถเข้าใจการคำนวณทางวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมในสังคม (จากรูปแบบทางเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภค) ซึ่งมีผลต่อการควบคุมระบบน้ำ พลังงาน และการขนส่ง เหล่านี้ถือเป็นความท้าทายในการวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา ซึ่งไอบีเอ็มจะทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดต่อเนื่องใน 5 ปีนับจากนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: 'Smart Phone' ท็อปฮิตเอเชีย ยอด 'Gadget' พุ่งแรง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 ธันวาคม 2010, 15:57:15
การวิจัยระดับภูมิภาคของ Synovate PAX (ซินโนเวต แพค) ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 14

(http://mkpowerbuy.shopup.com/imageupload/2544/3_blackberry_Bold.jpg)

ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภค สื่อทั้งในรูปแบบดั้งเดิมหรือสื่อดิจิทัล รวมถึงการบริโภคสินค้าใน 11 ประเทศ ทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลี ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
 
ผลการ สำรวจ PAX ในปี 2553  ระหว่างไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีฐานะดีเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ราคาสูงหรือตั้งใจจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูง ใช้เวลาในการเล่นอินเทอร์เน็ต ดูทีวีและอ่านหนังสือ "เพิ่มขึ้น" เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
 
สตีฟ การ์ตัน ผู้อำนวยการบริหารด้านสื่อ ซินโนเวต หน่วยงานวิจัยทางด้านการตลาดของ บริษัท อีจิส กรุ๊ป กล่าวว่าผู้บริโภคชาวเอเชียที่มีฐานะดีชื่นชอบอุปกรณ์อำนวยความสะดวก (gadget) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นล่าสุดและดีที่สุด  ผลสำรวจ PAX แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ซื้อโทรทัศน์ความละเอียดสูง (จอแอลอีดี) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 19.5% เป็น 28% คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา (โน้ตบุ๊ค) เพิ่มขึ้นจาก 48% เป็น 51.8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพิ่มขึ้นจาก 10.4% เป็น 15.8%
 
ในปี 2553 แทบจะเรียกได้ว่า "เป็นปีแห่งสมาร์ทโฟน" เนื่องจากความต้องการซื้อสมาร์ทโฟนมี อยู่ทั่วทุกภูมิภาค ความต้องการนี้จึงเป็นที่ได้รับความนิยมมากในไต้หวัน ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นจาก 15.5% เป็น 27.71% ภายใน 1 ปี
 
"คนที่มีฐานะดีในกรุงเทพฯ ซื้อโทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ปัจจุบันคนกรุงเทพฯ 15.9% มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนใช้เพิ่มขึ้นจาก 13.1% ในปีที่ผ่านมาและอีก 14.9% มีความตั้งใจที่จะซื้อสมาร์ทโฟนในปี 2554"
 
 ทั้ง นี้ พบว่าเกือบครึ่งของชาวเอเชียที่มีฐานะดี หรือ 46.7% โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารระดับสูง 58.3% ที่เห็นว่าเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งความคิดนี้ชัดเจนมากในเขตกรุงเทพฯ ด้วยสัดส่วน 58% "เห็นด้วย" ว่า เทคโนโลยีเป็นกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จของพวกเขา และ 22.6% กล่าวว่ามักจะเป็นหนึ่งในรายแรกที่ซื้ออุปกรณ์แกดเจ็ทใหม่ๆ เสมอ ซึ่งประเทศไทยเป็นอันดับ 2 จาก 10 ประเทศ
 
สมาร์ทโฟน กำลังได้รับความนิยมในภูมิภาคเอเชีย การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ายังมีความต้องการกล้องถ่ายวีดิโอระบบดิจิทัลใน กรุงเทพฯ ซึ่งจำนวนผู้ซื้อเพิ่มขึ้นจาก 46.5% เป็น 54.1% โทรทัศน์จอแบนเพิ่มขึ้นจาก 60.9% เป็น 62.3% และโทรทัศน์จอแอลซีดี/พลาสมา เพิ่มขึ้นจาก 33.7% เป็น 42.8% และอีก 24% กล่าวว่า จะซื้อโทรทัศน์จอแอลซีดี/พลาสมา ในปี 2554 และอีก 9.4% อยู่ในตลาดโทรทัศน์ที่มีความละเอียดของจอภาพสูง (แอลอีดี)
 
"ผลการ วิจัยของ PAX แสดงให้เห็นว่าชาวเอเชียที่มีฐานะดี มีอำนาจในการใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจดีและไม่ดีก็ตาม  จากการวิจัยชาวเอเชียผู้ที่มีฐานะดีตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา แม้ในปี 2552 ซึ่งนับว่าเป็นปีที่ยากในแง่ของเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีผู้บริโภคที่ใช้จ่ายในสินค้าที่ตนปรารถนา และปีนี้ เป็นปีที่เศรษฐกิจดีขึ้นและผู้บริโภคที่มีฐานะยังคงมีการใช้จ่ายในสินค้าที่ พวกเขาชื่นชอบต่อไป"
 
จากการสำรวจ PAX ยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสื่อในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งการผสมผสานของสื่อต่างๆ เหล่านี้ น่าจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการเข้าถึงความสนใจที่ซับซ้อนของชาวเอเชียที่มีฐานะดี

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: CES 2011: ภาพหลุด "Tablet" จาก ASUS
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 ธันวาคม 2010, 22:22:02
ยิ่งใกล้งานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกอย่าง CES 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 6 - 9 มกราคม 2011 ในลาสเวกัส ภาพหลุดข่าวรั่วพากันโผล่ออกมาให้เห็นกันเต็มไปหมด ล่าสุดมีภาพหลุดของแท็บเล็ตจาก Asus ที่ดูเหมือนจะมีรุ่นที่ออกแบบเป็น"ไฮบริด"ด้วยนั่นคือ ใช้งานได้ทั้งเป็นแทบเล็ต และเน็ตบุ๊ค (มีคีย์บอร์ด) ในตัว

(http://www.arip.co.th/images/news/asus/asus-hybrid-tablet-debuts-in-CES-2011-2.jpg)

ภาพข้างบนนี้น่าจะเป็น"แท็บเล็ต"รุ่นที่ทาง Asus ออกแบบให้เหมือนกับแท็บเล็ตทั่วไปแบบ iPad ของ Apple ในขณะที่ภาพข้างล่างนี้น่าจะมีดีไซน์แบบลูกผสมระหว่างแท็บเล็ต และเน็ตบุ๊คในตัว โดยมีคีย์บอร์ด และแบบหน้าจอสัมผัส อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูความชัดเจนอีกทีว่า หน้าตา"แท็บเล็ต"ของ Asus จะเป็นอย่างไรในงาน CES 2011 สัปดาห์หน้า ซึ่งทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip จะติดตามอัพเดตให้คุณผู้อ่านได้ทราบอย่างต่อเนื่อง อย่าลืมติดตามกันนะครับ

(http://www.arip.co.th/images/news/asus/asus-hybrid-tablet-debuts-in-CES-2011-3.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: CES 2011 : ซัมซุงเตรียมโชว์ Galaxy Player แข่งไอพ็อดทัช
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 ธันวาคม 2010, 23:14:26
เว็บไซต์ Samsung Hub อ้างแหล่งข่าวนิรนาม ระบุว่าซัมซุง (Samsung) ผู้ผลิตแดนกิมจิกำลังจะเพิ่มสินค้ากลุ่มเครื่องเล่นเพลงและวิดีโอพกพาสู่ ตลาดอีก 1 รุ่น เบื้องต้นคาดว่าซัมซุงจะใช้ชื่อแกแลคซีเพลเยอร์ (Galaxy Player) และจะเปิดตัวในงาน Consumer Electronics Show หรือ CES ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในเดือนมกราคม 54
   
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019381302.JPEG)
แกแลคซีเอส (Galaxy S) สมาร์ทโฟนที่ซัมซุงระบุว่าสามารถจำหน่ายได้เกิน 10 ล้านเครื่อง ล่าสุดมีรายงานว่าซัมซุงกำลังจะคลอดเครื่องเล่นเพลงตระกูลแกแลคซีในปีหน้า
 
      ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า แกแลคซีเพลเยอร์จะเป็นเครื่องเล่นเพลงและวิดีโอพกพาที่มาพร้อมระบบปฏิบัติ การแอนดรอยด์ (Android 2.2 Froyo) มีลักษณะคล้ายกับสมาร์ทโฟนฮิตของซัมซุงอย่างรุ่นแกแลคซีเอส (Galaxy S) เพียงแต่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ คาดว่าตัวเครื่องจะมีความหนา 9.9 มม. หน้าจอแอลซีดีเทคโนโลยี Super Clear LCD ความละเอียด WVGA ขนาด 4 นิ้ว
      
      ที่น่าสนใจคือ แกแลคซีเพลเยอร์จะมาพร้อมกล้องด้านหน้าและหลังเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสนทนาผ่านวิดีโอได้ ข้อมูลระบุว่ากล้องดิจิตอลด้านหลังจะมีความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล สามารถรองรับไว-ไฟ (Wi-Fi) และ Bluetooth 3.0
      
      แกแลคซีเพลเยอร์ยังมีคุณสมบัติเพื่อการฟังเพลงแบบเหนือชั้น ทั้งเทคโนโลยีพลังเสียง SoundAlive และความสามารถในการเล่นวิดีโอความละเอียดสูง มีช่องเสียบการ์ดไมโครเอสดี (microSD) โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากร้าน Samsung Apps และ Android Market ได้
      
      ยังไม่มีข้อมูลราคาจำหน่ายและข้อตกลงด้านบริการกับบริษัทพันธมิตร รวมถึงความเห็นจากซัมซุงในขณะนี้
      
      คุณสมบัติเบื้องต้นของแกแล คซีเพลเยอร์แสดงชัดเจนว่าซัมซุงต้องการบุกตลาดที่ไอพ็อดทัช (iPod Touch) ของแอปเปิลครองอยู่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าซัมซุงจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีของผู้บริโภค เช่นเดียวกับที่แกแลคซีแท็บ (Galaxy Tab) เป็นตัวเลือกที่ดีในตลาดแท็บเล็ตในขณะนี้ โดยสามารถแย่งส่วนแบ่งจากไอแพด (iPad) มาได้ส่วนหนึ่ง
      
      แกแลคซีแท็บนั้นเพิ่งวางจำหน่ายในสหรัฐฯช่วงเดือนพฤศจิกายน 53 โดยเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ซัมซุงระบุว่าสามารถจำหน่ายแกแลคซีแท็บได้เกิน 1 ล้านเครื่องแล้วในตลาดโลก ท่ามกลางความสำเร็จของแกแลคซีเอส สมาร์ทโฟนที่ซัมซุงระบุว่าสามารถจำหน่ายได้เกิน 10 ล้านเครื่องแล้ว
      
      นอกจากแกแลคซีเพลเยอร์ รายงานระบุว่าซัมซุงจะโชว์ตัวเครื่องเล่นเพลงอื่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดร อยด์เช่น YP-G50 และ YP-GB70 ในงาน CES ที่จะจัดขึ้นช่วงวันที่ 4 มกราคมนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Mark Zuckerberg ร่วมงานแต่งงานลูกน้องในเมืองไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 ธันวาคม 2010, 02:16:28
กลายเป็นข่าวที่มวลชนไทยออนไลน์ให้ความสนใจมากเหลือเกินสำหรับมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมสุดฮอตอย่างเฟซบุ๊กที่ปรากฏตัวกลางซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา แหล่งข่าววงในชี้ว่าซัคเกอร์เบิร์กเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงานแต่งงาน ของลูกน้องคนสนิทรายหนึ่งซึ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกับสาวไทยในสัปดาห์นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019399701.JPEG)

      ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า สาวผู้จะเข้าพิธีสมรสกับมือขวาของซัคเกอร์เบิร์กมีนามว่า "เตื้อย" วิศรา วิจิตรวาทการ เป็นบุตรีของ วิวัฒน์วงศ์ วิจิตรวาทการ ผู้บริหารบริษัทในเครือล็อกซเลย์ โดยวิศรานั้นมีดีกรีเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องสุญญากาศ (In Space) ผลงานหลังจากการเบนเข็มมาศึกษาด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University)จากเดิมที่วิศราศึกษาจบปริญญาตรีด้านชีววิทยามนุษย์จากมหาวิทยา ลัยสแตนฟอร์ด จนได้ไปฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์มากมาย
      
      ยังไม่มีข้อมูลชื่อของคนสนิทซัคเกอร์เบิร์กที่กำลังจะเป็น เจ้าบ่าวในเร็ววันนี้ รวมถึงกำหนดการเดินทางออกจากเมืองไทยของเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
      
      ข่าวการเดินทางมาประเทศไทยของซัคเกอร์เบิร์กนั้นได้รับความสนใจจาก ชาวออนไลน์อย่างมาก โดยเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์ และเครือข่ายสังคมอื่นๆบ่อยครั้งเพื่อบอกต่อถึงการพำนักในประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งข้อมูลจากทวิตเตอร์ระบุว่า ซัคเกอร์เบิร์กนั้นต้องการพักผ่อนในผับชื่อ Enchanted ย่านทองหล่อ แต่ยามรักษาการณ์ไม่ให้เข้าเนื่องจากที่นั่งเต็มเสียก่อน
      
      ความสนใจเรื่องการเยือนประเทศไทยของซัคเกอร์เบิร์กที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงของเฟซบุ๊ก ผลงานที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กสามารถร่ำรวยเงินทองจนกลายเป็นเศรษฐีที่อายุ น้อยที่สุดในขณะนี้ โดยนิตยสารฟอร์บส์ ได้จัดให้ซัคเกอร์เบิร์กมีอันดับความร่ำรวยที่ 35 ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 158 ในปี 2009 มีมูลค่าทรัพย์สินจากเดิม 4.9 พันล้านเหรียญมาเป็น 6.9 พันล้านเหรียญในปีเดียว เป็นตัวเลขที่ฮือฮาอย่างมากเพราะสูงกว่าทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งแอปเปิล ซึ่งสตีฟ จ็อบส์นั้นสามารถทำได้เพียงอันดับที่ 42 ด้วยทรัยพ์สินมูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญ ขณะที่นิตยสารไทม์ล่าสุดก็ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปีอีกด้วย
      
      ปัจจุบัน เฟซบุ๊กคือบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมที่มีสมาชิกมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะประเทศไทยนั้นมีจำนวนสมาชิกราว 7 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: ตะลึง!!! จิตรกรวาดรูปด้วยเครื่องพิมพ์ดีด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 ธันวาคม 2010, 13:03:41
รายงานข่าวเช้านี้ ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ได้ไปพบความสามารถของศิลปินสาวคนหนึ่ง เธอชื่อว่า Keira Rathbone ซึ่งความไม่ธรรมดาของเธอก็คือ การใช้"เครื่องพิมพ์ดีด"รุ่นโบราณในการสร้างสรรค์งานศิลปะรูปภาพได้อย่างน่า อัศจรรย์ โดยผลงานของเธอถูกเรียกว่า Typewriter Art

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/typewriter-artist-keira-rathbone-1.jpg)

ศิลปินสาวที่มีหัวสร้างสรรค์รายนี้เธอสามารถวาดรูปต่างๆ ได้ด้วยการใช้เครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งเธอซื้อมาจากร้านของมูลนิธี Poole และด้วยการพิมพ์ตัวอักษรต่างๆ หลายร้อยตัว รวมถึงตัวเลข และสัญลักษร์ต่างๆ ลงบนกระดาษ ตัวอักษรเหล่านั้นจะทำหน้าที่คล้ายพิกเซลต่างๆ ก็จะไปปรากฎขึ้นมาเป็นภาพศิลปะที่สวยงาม โดยสามารถสร้างสรรค์ภาพวาดด้วยเครื่องพิมพ์ดีดได้ทั้งภาพคน สิ่งของ และสถานที่ ซึ่งเธอเล่าว่า แต่ละภาพจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการวาด (เคาะแป้นตัวอักษรต่างๆ บนเครื่องพิมพ์ดีดของเธอ) นานถึง 90 ชั่วโมงเลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/typewriter-artist-keira-rathbone-2.jpg)

Keira ไม่ได้มีความสามารถในการวาดภาพด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเท่านั้น แต่ความจริงเธอมีฝีมือในการวาดด้วยดินสอปกติด้วย การใช้เครืองพิมพ์ดีดโบราณเป็นแค่"สื่อกลาง"ในการสร้างสรรค์งานศิลปะของเธอ เท่านั้น Keira ในฐานะศิลปินเครื่องพิมพ์ดีดตอนนี้ มีผลงานออกมาทั้งสิ้นกว่า 30 ภาพแล้ว ตัวอย่างเช่น ภาพของนางแบบสาวเคทมอส มาริลินมอนโร บารัคโอบาม่า ทอมแฮงค์ และนิโคลคิดแมน เป็นต้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: พีซีดิ้นหาทางรอดปีหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 ธันวาคม 2010, 14:36:24
ดีคอมเผยแนวโน้มปีหน้าคอมพ์ตั้งโต๊ะมุ่งเจาะลูกค้าเฉพาะทาง ดิ้นหาช่องว่างหลังปี 2553 ยอดขายทรงตัว

(http://www.laptopshop.co.uk/news/wp-content/uploads/2010/10/apple-ipad-vs-samsung-galaxy-tab-vshp-slate-500-tablet-pc-comparison.jpg)

นายวิกร วิวิธคุณาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี ดิสทริบิวแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือดีคอม เปิดเผยว่า ยอดขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือเดสก์ท็อป มียอดขายเฉลี่ยทั้งปีกว่า 1 ล้านเครื่อง เป็นเครื่องประกอบ หรือดีไอวายประมาณ 70% และเป็นเครื่องอินเตอร์แบรนด์ 30% ปกติแล้วมีการเติบโตประมาณ 10% ทุกปี แม้จะไม่เทียบเท่าโน้ตบุ๊ก แต่ถือเป็นส่วนสำคัญของตลาดไอทีเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตลอดปี 2553 มีปัจจัยลบ โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองและน้ำท่วมหนัก ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายเดสก์ท็อปตลอดทั้งปีทรงตัว ไม่มีการเติบโตตามเป้าที่วางไว้ ประกอบกับคนหันไปใช้โน้ตบุ๊กกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ดีคอมจึงมีการปรับเปลี่ยนโมเดลการจัดจำหน่าย เน้นขายเดสก์ท็อประดับไฮเอนด์มากขึ้น โดยแบ่งประเภทตามความต้องการ เช่น เครื่องสำหรับคอเกมเน้นความแรง เครื่องขนาดจอใหญ่พร้อมลำโพงสำหรับความบันเทิงในบ้าน หรือเครื่องสำหรับใช้งานสำนักงานและเอสเอ็มอี ซึ่งเชื่อว่าตลาดยังมีความต้องการ และจะทำให้ตลาดเดสก์ท็อปกลับมาเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ได้อีกครั้ง

“ยิ่งในปีหน้าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการเติบโตของเดสก์ท็อปเช่นกัน” นายวิกร กล่าว

สำหรับยอดขายของดีคอมตลอดปีที่ผ่านมา คาดว่าจะปิดยอดขายประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเท่ากับปี 2552 โดยในปีหน้านอกจากจะขายคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปแล้ว ดีคอมยังหันมาขายซอฟต์แวร์แอนตีไวรัสของแพนดา เพราะเห็นถึงแนวโน้มด้านการรักษาความปลอดภัยที่สำคัญมากขึ้น และการขายเครื่องพร้อมซอฟต์แวร์จะทำตลาดได้ง่ายกว่า ตั้งเป้าว่าในปีหน้าบริษัทจะเติบโต 10% เท่ากับตลาดเป็นอย่างน้อย

ทั้งนี้ ยอดขายของดีคอมดังกล่าว ยังไม่รวมการประมูลคอมพิวเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ที่แยกจากยอดขายรวม โดยมีเป้าหมายว่าในปีหน้าดีคอมจะใช้แบรนด์วีเทค เพื่อเข้าประมูลโครงการคอมพ์ สพฐ.ต่อเนื่อง ตั้งเป้าขอส่วนแบ่งประมาณ 20% จากงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท

ปัจจุบันดีคอมมีช่องทางจัดจำหน่ายที่เป็นดีคอมช็อปอยู่ทั่วประเทศ 55 สาขา ดีคอมคลินิก จำนวน 6 สาขา ดีคอมเซอร์วิส จำนวน 247 สาขา ดีคอมคอนเนอร์อีก 14 สาขา และร้านค้าทั่วไปอีกกว่า 1,300 สาขา

ข้อมูลจาก: โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: CES 2011: Vizio โชว์ "Tablet" อีกราย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 มกราคม 2011, 17:12:51
ถึงแม้ข่าวการเปิดตัว"แท็บเล็ต"ของ Vizio บริษัทผู้ผลิตทีวีที่หลายคนคุ้นเคยจะมาช้าไปหน่อย แต่มาปุ๊บก็มีคลิปออกมาให้เห็นกันก่อนงาน CES 2011 จะเริ่มอีกต่างหาก รายงานข่าวจากวอลล์สตรีทเจอนัลระบุว่า Vizion จะเปิดตัว"แท็บเล็ต"และ"สมาร์ทโฟน"รุ่นใหม่ของทางบริษัทในงาน CES 2011 ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้ทางบริษัทใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนานานกว่าปีครึ่ง และถือเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ Vizio

สำหรับมือถือของ Vizio จะใช้ชื่อว่า Via Phone โดยจะทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android หน้าจอขนาด 4 นิ้ว พร้อมกล้องทั้งด้านหน้า และหลัง ซึ่งกล้องด้านหน้าจะใช้สำหรับถ่ายรูปตัวเอง และวิดีโอคอลล์ แบบ FaceTime ตามรายงานข่าวไม่ได้ระบุว่า กล้องด้านหน้าละเอียดแค่ไหน? แต่กล้องด้านหลังจะมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่วน"แท็บเล็ต"ทีเป็นไฮไลท์ของ Vizio จะมีชื่อว่า Via Tablet ซึ่งจะมาพร้อมกับกล้องทั้งด้านหน้าและหลัง และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เช่นเดียวกัน สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และหน้าจอมีขนาด 8 นิ้ว ทั้ง Via Phone และ Via Tablet จะมีพอร์ตเชื่อมต่อ HDMI เพื่อดูคอนเท็นต์บน HDTV ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/vizio-via-tablet-shows-at-CES-2011-2.jpg)

Vizio พยายามจะทำให้ส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) ของผลิตภัณฑ์ทั้งสองคล้ายกับทีวี อีกทั้งผู้บริโภคยังสามารถใช้ Via Phone และ Via Tablet แทนรีโมท เพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ของ Vizio ได้อีกด้วย ทีสำคัญบริการ Vizio on Demand ยังทำให้ทุกอุปกรณ์ของทางบริษัทซิงค์กันได้อีกด้วย เช่น คุณอาจจะเริ่มดูหนังบน Via Phone ไม่จบ แล้วไปดูต่อบนทีวีของ Vizio เป็นต้น Vizio ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของราคา และคุณภาพ ทีวีของทางบริษัทเป็นสินค้าขายดีในห้างใหญ่อย่าง Walmart ซึ่งหากราคาของ Via Phone และ Via Tablet ออกมาดูดี แผนการของ Vizio ที่จะขยายธุรกิจในปีนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ชัดเจนขึ้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: CES 2011: โตชิบาโชว์ "แท็บเล็ต" จอใหญ่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 มกราคม 2011, 20:47:01
ในขณะที่ผู้บริโภคบางรายรู้สึกว่า iPad มีขนาดใหญ่ไป โดยหันไปพัฒนา"แท็บเล็ต"ที่มีขนาดเล็ก และเบากว่า แต่ล่าสุดในงาน CES 2011 ทางบริษัทโตชิบา (Toshiba) ได้เตรียมเปิดตัว"แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ที่ยังไม่มีการตั้งชื่อ ในขณะทีมันมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 10.1 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าของ iPad อีกต่างหาก

สำหรับแท็บเล็ตที่ Toshiba จะนำมาแสดงในงานนี้จะเป็นเครื่องต้นแบบที่ยังไม่มีการผลิต เนื่องจากต้องรอให้ Android (Honeycomb) ที่มีการคาดการณ์กันว่า มันเป็นโอเอสที่ได้รับการปรับแต่ง และพัฒนาให้ใช้กับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ แต่สเป็กแท็บเล็ตรุ่นใหม่ของ Toshiba ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ว่ากันตั้งแต่การใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 หน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ทีมีความละเอียด 1280x800 พิกเซล สนับสนุนวิดีโอไฮเดฟฯ 720p กล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซล ในขณะที่กล้องด้านหน้าที่ใช้สำหรับ video call ที่มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล โดยรวมสเป็กเหนือกว่า ipad ทั้งสิ้น

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/toshiba-shows-new-tablet-at-ces-2011-2.jpg)

นอกจากนี้ ยังทะลายข้อจำกัดของ iPad อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมีพอร์ต USB และ mini-USB ในขณะเดียวกันก็มีพอร์ต HDMI และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth เคสด้านหลังของแท็บเล็ตยังใช้วัสดุผสมยางทำให้หนึบไม่ลื่นหลุดมือโดยง่าย แถมยังถอดเปลี่ยนได้อีกต่างหาก เรียกได้ว่า สเป็กค่อนข้างครบครันไม่ขาดพร่องเหมือน iPad ประกอบกับดีไซน์ที่โดดเด่น และในขณะที่มันมีหน้าจอใหญ่กว่า iPad แต่กลับมีน้ำหนักแค่ 1.7 ปอนด์ (iPad หนัก 1.6 ปอนด์) จะน่าสนใจแค่ไหน? งานนี้คงต้องดูเรื่องของราคาอีกทีหนึ่ง เมื่อมันเปิดตัว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: superman! ที่ 03 มกราคม 2011, 21:39:16
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: BitTorrent มีผู้ใช้ 100 ล้านรายต่อเดือน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 12:18:11
BitTorrent บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์"แชร์ไฟล์"ที่ชื่อ BitTorrent และ µTorrent เปิดเผยตัวเลขที่น่าทึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวมากถึง 100 ล้านรายต่อเดือน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ไฟล์ที่มีการแชร์ผ่านไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์ ตลอดจนเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการส่วนใหญ่จะเป็นซอฟต์แวร์ และสื่อดิจิตอลที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ BitTorrent เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้มากที่สุด โดยในตลาดยังมีเครืองมือที่สามารถใช้งานในลักษณะเดียวกันนี้อีกมากมาย

(http://www.arip.co.th/images/news/internet/2/BitTorrent-100-Million-Active-Monthly-Users-2.jpg)

นอกจากตัวเลขสถิติที่น่าตกใจข้างต้นแล้ว BitTorrent ยังมีข้อมูลอื่นๆ อีกอย่างเช่น โดยเฉลี่ยจะมีผู้ใช้บริการในแต่ละวันมากกว่า 20 ล้านราย ซอฟต์แวร์ไคลเอ็นต์ของทางบริษัทถูกดาวน์โหลดโดยเฉลี่ย 400,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งมาจากประเทศต่างๆ มากกว่า 220 ประเทศทั่วโลก และมีเวอร์ชันในภาษาต่างๆ ให้เลือกใช้มากถึง  52 ภาษา เรียกได้ว่า ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกนั่นเอง

นอกจากจะมีซอฟต์แวร์แชร์ไฟล์(ที่ส่วนใหญ่ละเมิดลิขสิทธิ์)บนพีซีแล้ว บน iPhone ยังมีแอพฯ อย่าง iControlbits ที่หลายคนคาดว่าอาจจะถูกดึงออกจาก Apple App Store แต่ก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดทาง BitTorrent พยายามแก้ภาพลักษณ์ดังกล่าวด้วยแคมเปญจ์ Artists Spotlight Program เพื่อให้ศิลปินใช้ BitTorrent เป็นที่เผยแพร่ผลงาน เพื่อสร้างโอกาสในอนาคต ว่าแต่มีใครอยาก"นอนบนเตียงของศัตรู"บ้างล่ะ? อย่างไรก็ตาม สถิติทีทาง BitTorrent ไม่ได้เปิดเผยก็คือ มีผู้ใช้กี่รายที่ไม่ได้ใช้ไคลเอ็นต์ของทางบริษัทในการโหลดซอฟต์แวร์ที่ ละเมิดลิขสิทธิ์?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: ภาพหลุด Nintendo 3DS ว่อนเน็ต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 12:28:35
Nintendo ขอเกาะกระแสภาพหลุดของผลิตภัณฑ์ที่พบเห็นบนเน็ตได้แทบทุกสัปดาห์ โดยล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ใครบางคน? ในโรงงานผลิต Nintendo 3DS ที่ประเทศจีนได้ถ่ายรูปของเครื่องเล่นฯ ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนัก ปล่อยออกมาว่อนเน็ตยั่วน้ำลายสาวกทั่วโลก

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/nintendo-3ds-photo-and-clip-leaked-2.jpg)

ภาพหลุดของ Nintendo 3DS ที่เห็นในรูปจะสังเกตได้ว่า มันไม่มีฝาปิดด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้ในคลิปจะใส่ตลับเกมส์เข้าไปใน เครื่อง เพื่อเปิดให้มันทำงาน แต่ก็มีแค่ข้อความแสดงสถานะบางอย่างปรากฎขึ้นบนจอแทน อย่างไรก็ตาม ภาพ และคลิปที่เห็นน่าจะเป็นของจริง หรือไม่ก็ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ที่จะวางตลาดมากที่สุด

สำหรับดีไซน์ที่แตกต่าง และสังเกตเห็นได้จากในคลิปวิดีโอก็คือ ปุ่ม Select, Home และ Start ที่ตอนนี้มันอยู่ด้านล่างของจอสัมผัส โดยไม่มีลักษณะเป็นปุุ่ม ซึ่งคาดว่ามันน่าจะใช้งานด้วยการสัมผัสเช่นเดียวกัน โดยอาจจะมีแสง led ปรากฎขึ้นด้านล่าง นอกจากนี้ จะสังเกตเห็นจุดขาวที่ด้านบน คาดว่าน่าจะเป็นส่วนของกล้อง อย่างไรก็ตาม สำหรับความถูกต้องของข้อมูล คงต้องรอดูผลิตภัณฑ์จริงๆ ที่ออกมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: Kaspersky รุกหนักตลาดเอเซียแปซิฟิก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 13:12:46
แคสเปอร์สกี้ เผยกลยุทธ์รุกตลาดองค์กรในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกเพิ่ม หลังประสบความสำเร็จในตลาดยุโรป ทุ่มงบการตลาดเต็มพิกัดสร้างทั้งแบรนด์และมาร์เก็ตแชร์ มั่นใจภายใน 5 ปีเบียดแท่นผู้นำตลาด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019627801.JPEG)
นายยูยีน บูยาคิน (Eugene Buyakin) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แคสเปอร์สกี้ แลป ผู้พัฒนาซอฟต์ แวร์โซลูชันรักษาความปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์จากประเทศรัสเซีย

      นายยูยีน บูยาคิน (Eugene Buyakin) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แคสเปอร์สกี้ แลป ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์โซลูชันรักษาความปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์จากประเทศ รัสเซีย กล่าวว่า ตลาดเอเซียแปซิฟิกเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์ที่ทางบริษัทโฟกัสเป็นพิเศษต่อจากนี้ ไป โดยเฉพาะตลาดเอสเอ็มอีจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตลาดที่ทางบริษัทยังไม่ได้เข้าทำกิจกรรมการตลาดมากนัก ถึงแม้จะมีจำนวนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรไม่มากก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางบริษัทสร้างชื่อในกลุ่มคอนซูเมอร์มาก่อน จนเป็นที่รู้จักแบรนด์แคสเปอร์สกี้ได้ดีระดับหนึ่งแล้ว
      
      “2-3ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทเชื่อว่า แบรนด์แคสเปอร์สกี้ค่อนข้างเข็มแข็งในกลุ่มคอนซูเมอร์ แต่สำหรับตลาดองค์กร โอกาสทางการตลาดของแคสเปอร์สกี้ในตลาดเอเซียแปซิฟิกนี้ยังใหญ่ ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้โฟกัสในตลาดองค์กรเท่าไรนัก แต่จากปีนี้ แคสเปอร์สกี้จะโฟกัสเป็นพิเศษ”
      
      นายยูจีน ยอมรับว่า ตลาดหลักของผลิตภัณฑ์ในตลาดองค์กรของแคสเปอร์สกี้ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักยังอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และประเทศในยุโรป ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะมีการปรับกลยุทธ์ตลาดองค์กรไปจากเดิม ด้วยการขยายตลาดองค์กรไปยังภูมิภาคอื่นมากขึ้น
      
      ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หากเอ่ยถึงบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์โซลูชันรักษาความปลอดภัยจากภัยคุกคามบน อินเทอร์เน็ตแล้ว แคสเปอร์สกี้ถือเป็นบริษัทที่มาแรง จนปัจจุบัน แคสเปอร์สกี้ติดหนึ่งในสี่บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์โซลูชันทางด้าน รักษาความปลอดภัยของโลก มีผู้ใช้ซอฟท์แวร์โซลูชันของแคสเปอร์สกี้ทั่วโลกประมาณ 300 ล้านคน
      
      ในปี 2553 แคสเปอร์สกี้มีรายได้ประมาณ 540 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16.24 พันล้านบาท โดยมีอัตรการเติบโตอยู่ที่ 7.8% เทียบกับปีที่แล้วที่มีรายได้เพียง 390 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 7.4% ส่วนอันดับในตลาดคอนซูแมอร์ แคสเปอร์สกี้ติดอยู่ในอันดับ 3 ของโลก ขณะที่ตลาดองค์กร แคสเปอร์สกี้ติดอันดับ 4 ของโลก
      
      ปัจจุบัน แคสเปอร์สกี้มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในตลาดคอนซูเมอร์ประมาณ 65% ตลาดลูกค้าองค์กรประมาณ 28% ที่เหลือเป็นรายได้จากพันธมิตรเทคโนโลยี 7%
      
      นายยูยีน กล่าววอีกว่า ถ้า หากดูจากสัดส่วนรายได้ตามภูมิภาค บริษัทมีรายได้จากสหรัฐอเมริกา 21% ยุโรป 48% ตะวันออกไกล 24% ขณะที่รายได้จากเอเซียแปซิฟิก ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 7% แต่ถ้าดูจากโอกาสทางการเติบโตแล้ว จะพบว่า เอเซียแปซิฟิกเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของแคสเปอร์สกี้
      
      “ถึงแม้ทางบริษัทจะเข้ามาที่หลังคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดองค์กร แต่ด้วยชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ของแคสเปอร์สกรี้ในกลุ่ม Geek รวมไปถึงผู้บริหารทางด้านไอทีที่ดีเยี่ยม น่าจะทำให้แคสเปอร์สกี้เข้าสู่ตลาดนี้ได้ไม่ยากนัก”
      
      ทุกวันนี้นับได้ว่าเส้นแบ่งกั้นระหว่างอุปกรณ์ไอทีที่ใช้เป็นการส่วน ตัวกับองค์กร ไม่มีอีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์สื่อสารใหม่ๆ อย่าง ไอแพด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ความต้องการซอฟต์แวร์ขององค์กรที่จะช่วยป้องกันรวมถึง บริหารจัดการภัยคุกคามอย่างมัลแวร์ที่มุ่งจู่โจมข้อมูลทางธุรกิจ
      
      “เอนจิ้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับคอนซูเมอร์กับองค์กรไม่ต่างกัน เพียงแต่องค์กรจะต้องมีความหลากหลายของอุปกรณ์ มีระดับชั้นของการป้องกัน รวมถึงความต้องการบริหารจัดการข้อมูลมากกว่า”
      
      นายยูยีน มีความเชื่อว่า ถึงแม้แคสเปอร์สกี้จะดูเป็นบริษัทขนาดเล็กเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่มี ทั้งฐานจำนวนผู้ใช้และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งการขยายตลาดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวสมการเชิงเส้นที่ว่า มีลงทุนเพิ่มขึ้นเท่าไรแล้วจำนวนรายได้จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ถ้าหากการลงทุนนั้นไม่ได้เพิ่มมูลค่าก็ไม่มีผลแต่ประการใด ซึ่งแคสเปอร์สกี้เป็นบริษัทเอนจิเนียร์จึงให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้าน วิจัยและพัฒนามาโดยตลอด โดยในปีนี้ทางบริษัทลงทุนไม่ต่ำกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สามารถนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบสนองการใช้งานองค์กรได้หลากหลายแพลตฟอร์มอ ย่างทันท่วงที
      
      นอกเหนือจากการเปิดไลน์ ผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรตั้งแต่เอสเอ็มอี จนถึงองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งรองรับการใช้งานหลากหลายแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการ ที่ใช้แล้ว ทางบริษัทยังได้แบ่งทีมงานซับพอร์ต ตลอดจนทีมการตลาดด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะรุกตลาดองค์กรในเอเซียแปซิฟิก
      
      “ปีนี้ แคสเปอร์สกี้เตรียมงบในการสร้างแบรนด์ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในแต่ละประเทศ”
      
      สำหรับแนวทางการทำตลาดในประเทศไทย จะกระทำผ่านเอสไอเป็นหลัก โดยยังไม่มีแผนที่จะตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทยช่วงนี้
      
      แคสเปอร์สกี้ ตั้งเป้าหมายในการรุกตลาดเอเซียแปซิฟิกภายใน 3-5 ปีว่า จะเป็นผู้นำในตลาดนี้ให้ได้จากเดิมปัจจุบันเป็นเบอร์4หรือ5ในแต่ละประเทศ
      
      นายยูยีน ยังกล่าวถึง แนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมรักษาความปลอดภัยว่า แนวโน้มแรก การเติบโตของบริษัทต่างๆ ที่หันมาเทคโนโลยี คลาวด์ คอมพิวติ้งกันมากขึ้น ซึ่งเป็นทั้งปัญหาและโอกาสต่อบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมในการหาวิธีป้องกัน ภัยคุกคามใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
      
      แนวโน้มที่สอง คือ การเติบโตของอุปกรณ์โมบิลิตี้ต่างๆ อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ท้าทายความสามารถของบริษัทในอุตสาหกรรมรักษาความ ปลอดภัยว่า จะให้ความรู้กับตระหนักถึงภัยคุกคามที่จะเกิดตามมาในกลุ่มผู้ใช้อุปกรณ์ เหล่านี้ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งงานส่วนตัวและงานทางธุรกิจ ซึ่งเป็นความท้าทายของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถรักษา ความปลอดภัยของข้อมูลได้ทันท่วงทีและครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop (http://www.laptopprice.org/) Price


หัวข้อ: CISCO ชูโมเดลบรอดแบนด์แห่งชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 13:47:37
ซิสโก้ ระบุบรอดแบนด์แห่งชาติมีผลดีต่อคนไทย หากทำให้เป็นบริการสาธารณูปโภคเหมือนไฟฟ้า ประปา ขณะที่บอร์ดต้องมาตามตำแหน่งไม่ใช่ตำแหน่งการเมือง พร้อมเสนอตั้งบริษัทกลางเข้าบริหารโครงข่าย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/553000019627301.JPEG)
นายอดิศร์ หะริณสุต ผู้อำนวยการโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย)

      นายอดิศร์ หะริณสุต ผู้อำนวยการโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีการให้บริการโทรคมนาคมในหลากหลายรูปแบบ และมีผู้ให้บริการจำนวนมากมาย แต่เทคโนโลยีที่มีอยู่กลับไม่มีการเชื่อมต่อ ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ การให้บริการก็ยังไม่ทั่วถึง ทำให้คนไทยบางส่วนขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมอย่างคุ้มค่า
      
      แต่จากการที่ภาครัฐได้มีการประกาศนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติออกมาช่วง เดือนพฤศจิกายน 2553 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศโดยรวมที่คนไทยจะได้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีเพื่อเอื้อ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น โดย ภาครัฐมีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนการพัฒนาบริการบรอดแบนด์ ซึ่งถือเป็นบริการที่มีความสาคัญเทียบเท่าบริการที่เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้น ฐานของประชาชน ให้ทั่วถึง เพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม ภายใต้การแข่งขันเสรีและเป็นธรรม
      
      “คิดดูถ้าบรอดแบนด์เป็นบริการสาธารณูปโภค เหมือนไฟฟ้า ถนน ประปา ก็จะทำให้คนไทยเข้าถึงไอซีทีเพิ่มขึ้น ทำให้ไอซีทีกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อต่อการดำเนินชีวิต ไม่ต่างไปจากสาธารณูปโภคอื่น”
      
      สำหรับแนวทางการผลักดันนโยบายแบรนด์แบนด์แห่งชาติ นายอดิศร์ มองว่า พอจะแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรก การเร่งให้ความรู้กับประชาชนถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีบรอดแบนด์แห่ง ชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกระดับการเรียนการสอนของประเทศที่จะดีขึ้นเด็กไทยได้ เรียกหนังสือทุกคน สามารถเรียนผ่านห้องเรียนทางไกลที่โต้ตอบได้ ช่วยลดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงแหล่งความรู้ รวมถึงปัญหาขาดแคลนบุคลากรครู ปัญหาทางด้านสาธารณสุขก็จะลดน้อยลง สามารถใช้ระบบประชุมทางไกลที่มีคุณภาพมากขึ้น สามารถเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาได้เพิ่มขึ้น หรือเรื่องการที่ชาวนาสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเกษตรได้ด้วยตนเอง
      
      ส่วนที่สอง จะเป็นส่วนของการบริหารจัดการระบบโครงสร้างโทรคมนาคมพื้นฐานที่มีอยู่ให้ เป็นโครงสร้างเดียว ลดปัญหาความซ้ำซ้อนของการลงทุน ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนในการให้บริการลดลงได้หลายเท่าตัว วันนี้ การลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ขุดถนน ฯลฯ คิดเป็น 80% ของการลงทุนระบบโทรคมนาคม ที่เหลือ 10% เป็นการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี อีก 10% เป็นเรื่องของเนื้อหา
      
      ในเรื่องของการบริหารจัดการโครงสร้างโทรคมนาคมพื้นฐานนั้น จะต้องมีการกำหนดกรอบแนวทางการทำงานที่ชัดเจนออกมา เพื่อหาโมเดลที่จะใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด ที่เป็นการรวมตัวกันของตัวแทนของบริษัทเอกชนทางด้านโทรคมนาคม และตัวแทนของทีโอที และซีเอที เพื่อดำเนินการกำหนดกรอบการทำงานดังกล่าววออกมา ซึ่งเชื่อว่า สิ้นเดือนมกราคมปีหน้า น่าจะเห็นกรอบความคิดร่วมกันออกมา ก่อนที่จะดำเนินการแนวทางปฎิบัติต่อไป
      
      “ในความคิดของผม คิดว่า โมเดลที่น่าจะเป็นไปได้ ก็คือ ตั้งบริษัทกลางขึ้นมา โดยให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาถือหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบกำหนดมูลค่าการลงทุนโครงข่ายทั้งหมดแล้วตีมูลค่าโครง ข่ายออกเป็นสัดส่วนหุ้น แล้วให้หน่วยงานหรือบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกลางเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งโมเดลนี้ก็เป็นโมเดลหนึ่งที่น่าสนใจ”
      
      นายอดิศร์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้บรอดแบนด์แห่งชาติเป็นนโยบายของประเทศ ไม่ใช่เป็นเรื่องของพรรคใดพรรคหนึ่ง ควรที่จะมีการตั้งบอร์ดที่มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ตามตำแหน่ง เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องของการทำงาน ไม่ใช่เปลี่ยนบอร์ดตามพรรคการเมืองเหมือนที่ผ่านๆ มา

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: สื่อโรมาเนียยกย่องจอมแฉวิกิลีกส์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 16:07:16
"โคติเดียนุล"หนังสือพิมพ์ฉบับออนไลน์ในโรมาเนียยกย่องผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการเว็บไซต์วิกิลีกส์จอมแฉอุทิศตนเพื่อสิทธิเสรีภาพสื่อ

(http://www.antifascistencyclopedia.com/wp-content/uploads/2010/12/wikileaks_article.gif)

หนังสือพิมพ์โคติเดียนุลของโรมาเนีย ฉบับออนไลน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในความเป็นอิสระของบทบรรณาธิการ ได้ประกาศยกย่องนายจูเลียน แอสซานจ์ วัย 39 ปีชาวออสเตรเลีย ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการเว็บไซต์จมอแฉวิกิลีคส์  ในฐานะที่อุทิศตนเพื่อสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ที่กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามในยุโรปตะวันออก

รายงานของ Cotidianul.ro ฉบับวันเสาร์ ระบุว่า กองบรรณาธิการของโคติเดียนุลขอมอบรางวัลเกียรติยศ"ฟรี เดเซีย"ให้แอสซานจ์ ที่กล้าเปิดโปงความลับ และ"พฤติกรรมทำซ้ำของกลุ่มประเทศประชาธิปไตยบางกลุ่ม"

เว็บไซต์วิกิลีคส์เริ่มตีพิมพ์เผยแพร่ เอกสารลับกองทัพสหรัฐ เกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก ตามด้วยเอกสารลับทางการทูตประมาณ 250,000 รายการ  ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ

โคติเดียนุลกล่าวอีกว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ยังคางเปราะบางในภูมิภาคยุโรปตะวันออก เช่นฮังการี ซึ่งกฎหมายสื่ออนุญาตให้ฟ้องร้องผู้สื่อข่าวต่อศาล และปรับได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากข่าวที่รายงานถูกพิจารณาว่าไม่มีความสมดุล

ข้อมูลจาก: โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: อัสซุสผนึกไพรม์เซนส์ พัฒนาเทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวบนพีซี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มกราคม 2011, 16:58:11
จากการมาของอุปกรณ์ "Kinect" บนเครื่อง Xbox360 ทำให้รูปแบบการบังคับการสั่งการโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์กลายเป็นที่สนใจไปทั่ว โลก ล่าสุด "อัสซุส" บริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง ได้ออกมาประกาศว่าจะนำเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวมาใช้ กับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000020901.JPEG)
WAVI Xtion

   บริษัท "Asustek Computer" และ "PrimeSense" บริษัทในอิสราเอลที่พัฒนากล้องสามมิติที่ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Kinect ประกาศตัวเป็นพันธมิตรผนึกกำลังกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้ใช้ได้ขยับร่างกายเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ , ตรวจสอบความเคลื่อนไหวในระบบเน็ตเวิร์คสังคม , ควบคุมการเล่นวิดีโอบนพีซี หรือการควบคุมโทรทัศน์ที่เชื่อมต่ออยู่กับพีซี
   
   สำหรับอุปกรณ์ Kinect บนเครื่อง Xbox360 จะใช้กล้องสามมิติ , เซนเซอร์ตรวจสอบความลึก และซอฟต์แวร์จดจำเสียง เพื่อใช้ในการจดจำใบหน้า , เสียง และการขยับร่างกายของผู้เล่นไปมา โดยที่ไม่ต้องถืออุปกรณ์คอนโทรเลอร์ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งจะทำให้ผุ้เล่นสามารถควบคุมบังคับตัวละครบนจอได้ผ่านการพูดคุยใช้เสียง หรือการขยับร่างกาย
   
   อุปกรณ์กล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว "Kinect" ออกวางจำหน่ายไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน และได้กระแสตอบรับอย่างดี ใน 25 วันแรกที่เปิดวางจำหน่ายสามารถทำยอดขายได้ถึง 2.5 ล้านชุด
   
   ทาง Asus และ PrimeSense จะนำเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหวที่พัฒนาร่วมกันมาโชว์ในงาน International Consumer Electronics Show ที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งทั้งสองบริษัทได้วางแผนเอาไว้ว่าจะสามารถใช้ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว ควบคุมบนเครื่องพีซีได้ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ผ่านอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า "WAVI Xtion" ที่เป็นอินเตอร์เฟซของ Asus บนเทคโนโลยีสามมิติของทาง PrimeSense
   
   ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าอุปกรณ์ "WAVI Xtion" จะมีราคาเท่าไร ทาง Asus ได้ใช้เทคโนโลยีสามมิติจาก PrimeSense ในสินค้าสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในชื่อ "Xtion PRO" ที่เตรียมจะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดย Xtion PRO จะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสร้างแอพพลิเคชั่นที่ทำงานร่วมกับการบังคับควบคุม ด้วยการขยับร่างกาย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ริม จัดงานประชุมระดับโลก "BlackBerry World Conference" ต้น พ.ค. ปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 01:42:09
งานประชุม “BlackBerry World Conference” เป็นการพบปะครั้งยิ่งใหญ่ของนักคิดนักพัฒนาในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีกิจกรรมสัมมนากว่า 100 หัวข้อ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การอบรมเกี่ยวกับแบล็กเบอร์รี่ และโอกาสมากมายในการได้รับใบรับรอง

(http://cdn.slashgear.com/wp-content/uploads/2008/10/blackberry_storm_hands-on_3.jpg)

นอกจากนั้น สิ่งที่ผู้เข้าร่วมการประชุม “BlackBerry World Conference” จะได้รับ:

   * รับฟังข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโซลูชั่นแบล็กเบอร์รี่ แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ จากพันธมิตร และแผนกลยุทธ์สำหรับอนาคต
   * ชมการสาธิตจริงในการใช้โซลูชั่นแบล็กเบอร์รี่สำหรับที่ทำงาน
   * รับ ฟังคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญของแบล็กเบอร์รี่ในการพัฒนาโซลูชั่นแบบไร้สายที่ มุ่งเน้นการสร้างมูลค่า รวมทั้งคำตอบจากผู้จัดจำหน่าย และผู้ค้า ซึ่งมีส่วนช่วยในการให้ข้อมูลวิจัยด้านเทคโนโลยีไร้สายที่เป็นประโยชน์
   * พบปะ และพูดคุยกับผู้บริหารชั้นนำที่นำโซลูชั่นแบล็กเบอร์รี่มาใช้เป็นส่วนหนึ่ง ในการวางแผนธุรกิจ และผู้นำอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลต่ออนาคตของเทคโนโลยีไร้สายในระดับโลก
   * เข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการใช้แพลตฟอร์มของแบล็กเบอร์รี่ พร้อมการได้รับโอกาสเพิ่มเติมในการได้รับใบรับรองด้านเทคนิค

ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา การจัดประชุม WES ถือเป็นการประชุมเกี่ยวกับแบล็กเบอร์รี่ครั้งสำคัญของริม โดยหัวข้อและเนื้อหาสาระของการประชุม WES จะยังคงถูกรวบรวมไว้ในการประชุม BlackBerry World โดยจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเฉพาะซึ่งจะนำเสนอสำหรับ BlackBerry Channel Partners เท่านั้น

การประชุม BlackBerry World จะจัดขึ้นที่เมืองออร์แลนโด เมืองฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2554 โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าชมได้ที่ www.insideblackberry.com (http://www.insideblackberry.com) และ www.blackberryworld.com (http://www.blackberryworld.com)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Google เตือนช่องโหว่ใหม่ IE รั่วบนเน็ต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 13:27:07
นักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัยจาก Google ผู้สร้างเครื่องมือที่สามารถค้นหาบั๊กต่างๆ ในบราวเซอร์หลักที่ผู้ใช้ทั่วโลกนิยมได้ออกมาเปิดเผยว่า ข้อมูลเกี่ยวกับช่องโหว่ใน IE ที่ค้นพบล่าสุด ซึ่งยังไม่มีการแพตช์แต่อย่างใดได้หลุดรั่วออกไปตกอยู่ในมือของแฮคเกอร์ จีน...อุ๊ปส์!!!

(http://www.worsttech.com/wp-content/uploads/2010/12/IE8_vulnerability_exposed_thumb.jpg)

ประเด็นที่น่ากลัวก็คือ ช่องโหว่ใหม่ที่หลุดรั่วออกไปสามารถใช้ได้กับ IE ที่อัพเดตแพตช์แล้วด้วย Michal Zalewski นักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัยที่ Google ได้โพสต์บล็อกถึงความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลช่องโหว่ที่พบใน IE ซึ่งสามารถใช้ล่มการทำงาน เพื่อเปิดทางในการเจาะระบบของผู้ใช้ได้ถูกเปิดเผยไปยังผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่ IP ระบุว่ามาจากจีน โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวข้อผิดพลาดของการทำงานที่พบในไฟล์ mshtml.dll ซึ่งทีมวิจัยได้เก็บข้อมูลนั้นไว้บนเซิร์ฟเวอร์ตัวหนึ่ง แต่มันเกิดการผิดพลาดที่ไปเปิดให้ Google เข้ามาทำ index ในเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าวได้ โดยรายละเอียดการค้นข้อมูลของวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมาเผยให้เห็นว่า มันมีการเสิร์ชพบข้อมูลดังกล่าวตลอดจนไฟล์ต่างๆ ของเครื่องมือระบบรักษาความปลอดภัยที่ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่ได้ถูกดึงออกไปโดยใครบางคนที่ไม่สามารถระบุได้

ข้อผิดพลาดดังกล่าว จะสามารถล่มการทำงานของ EIP (Extended Instruction Pointer) บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รันบราวเซอร์ IE โดย Zalewski กล่าวว่า ช่องโหว่ที่พบนี้จะเปิดช่องให้ผู้บุกรุกสามารถเข้าโจมตี และควบคุมคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อได้อย่างสมบูรณ์ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย cross fuzz ซอฟต์แวร์ที่สามารถค้นหาบั๊กในบราวเซอร์ IE, Firefox และบราวเซอร์ตัวอื่นๆ ที่เขาพัฒนาขึ้นเองในยามว่างเมื่อสองปีก่อน ซึ่งที่ผ่านมา มันสามารถช่วยให้ค้นพบบั๊กในบราวเซอร์ได้เกือบ 100 แห่งแล้ว อย่างไรก็ดี ทาง Google ได้เปิดเผยว่า ได้ประสานงานกับ Microsoft ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดดังกล่าว เพื่อแก้ไขเป็นการด่วนแล้ว

ในขณะเดียวกันทาง Microsoft ได้ขอร้องให้ Zalewski เลื่อนการออก cross_fuzz เครื่องมือค้นหาบั๊กในบราวเซอร์ออกไปก่อน ล่าสุด Zalewski ยืนยันในบล็อกว่า ผู้ใช้นิรนามที่เข้าถึงข้อมูลของ cross_fuzz ได้ล่วงรู้ช่องโหว่ของ IE ที่ยังไม่ได้แพตช์นี้แล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ASUS แนะนำ Eee Pad 4 รุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 13:37:25
ในขณะที่เว็บไซต์ Mac Observer กำลังเปิดเกมส์ร่วมสนุกกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ด้วยการนับว่า ในงาน CES 2011 จะมี"แท็บเล็ต"ทั้งหมดกี่รุ่น ทางด้านบริษัท ASUS เมื่อวานนี้ได้เปิดตัว Eee Pad Transformer โดยเป็นแท็บเล็ตที่มีดีไซน์ให้สามารถแปลงร่าง เพื่อใช้งานเป็นโน้ตบุ๊ค หรือแท็บเล็ตได้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/asus-debuts-Eee-Transform-Slider-Memo-andriod-tablet-win-7-slate-ces-2011-2.jpg)

ASUS Eee Pad ที่เปิดตัวล่าสุดจะมาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY ขนาดมาตรฐานที่มีแท่นรองรับ (docking station) สามารถใช้ต่อเข้ากับแท็บเล็ตให้กลายเป็นโน้ตบุ๊คได้ โดย"แท็บเล็ต"รุ่นที่มีหน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ขนาด 10.1 นิ้วจะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) และมีกล้อง 2 ตัวทั้งด้านหน้า (1.2 ล้านพิกเซล) และหลัง (5 ล้านพิกเซล) สามารถเชื่อมต่อเน็ตไร้สายด้วย Wireless N พร้อมด้วยฟังก์ชัน Bluetooth ส่วนพอร์ตใช้งานทั่วไปก็จะมี HDMI, USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ โพรเซสเซอร์ที่ใช้จะเป็น NVIDIA Tegra 2 จุดขายที่ใช้โปรโมทก็คือ "สมรรถนะการทำงานเป็น 2 เท่า แถมยังบางกว่า iPad อีกด้วย"สนนราคาของ ASUS Transformer อยู่ที่ประมาณ 399-699 เหรียญฯ (12,000 - 21,000 บาท) วางตลาดเมษายน ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/asus-debuts-Eee-Transform-Slider-Memo-andriod-tablet-win-7-slate-ces-2011-3.jpg)

นอกจากนี้ยังมี Eee Pad Slider เป็น"แท็บเล็ต"ที่มีขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android 3.0 Honeycomb เช่นเดียวกัน แต่จะมาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY ที่เลื่อนออกมาจากด้านหลัง อีกทั้งยังสามารถตั้งแท็บเล็ตขึ้นมาเป็นจอแบบโน้ตบุ๊ค เพื่อใช้พิมพ์ได้อย่างสะดวกมือได้อีกด้วย สนนราคาอยู่ที่ 499 - 799 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 - 24,000 บาท) วางตลาดพฤษภาคม ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/asus-debuts-Eee-Transform-Slider-Memo-andriod-tablet-win-7-slate-ces-2011-4.jpg)

และไม่เพียงแต่จะมี  Eee Pad Transformer และ Eee Pad Slider ออกมาเพื่อชนกับ iPad เท่านั้น ทาง ASUS ยังมี Eee Pad Memo "แท็บเล็ต" Android ทีมีขนาด 7 นิ้ว เพื่อต่อกรกับ Samsung Galaxy Tab อีกด้วย โดยหน้าจอของ Memo จะสามารถใช้สัมผัสได้ทั้งนิ้ว และสไตลัส ทำงานด้วย Qualcomm Snapdragon สามารถเล่นวิดีโอฟูลไฮเดฟ 1080p ได้ สนนราคาอยู่ที่ 499 และ 699 เหรียญฯ วางตลาดมิถุนายน ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/asus-debuts-Eee-Transform-Slider-Memo-andriod-tablet-win-7-slate-ces-2011-5.jpg)

สำหรับแท็บเล็ตอีกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกันในงานนี้คือ Eee Slate EP121 ซึ่ง Jonney Shih ประธานบริษัท ASUS กล่าวว่า "มันคือพีซีที่ไม่ใช่พีซี" โดยจะมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว ภายในทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ Intel Core i5 และใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 Home Premium สามารถใช้ video chat และสนับสนุนการทำงานร่วมกับปากกาดิจิตอล (digitizer pen) ของ Wacom ในขณะที่สนับสนุนการใช้งานระบบสัมผัสแบบมัลติทัช คาดว่าจะวางตลาดเดือนนี้ สนนราคาอยู่ระหว่าง 999 - 1099 เหรียญฯ (ประมาณ 30,000 - 33,000 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ฟูจิตสึเปิดตัวไลฟ์บุ๊ค T580 ทางเลือกใหม่แท็บเลต พีซี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 14:15:05
ฟูจิตสึ เปิดตัวแท็บเลตพีซี T580 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด 4-point multi-touch พร้อมยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้นานขึ้น และหน้าจอระดับ high-definition
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000053701.JPEG)

      นายโทโมกิ ทาคาฮาชิ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่าฟู จิตสึได้เปิดตัวไลฟ์บุ๊ก T580 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่กลุ่มผู้ใช้งานแท็บเลตพีซี โดยมีจุดเด่นที่ระบบ input 3 ทิศทาง (สัมผัส เขียน พิมพ์) และเทคโนโลยี 4-point multi-touch มาพร้อมกับ dual digitizer ที่มีประสิทธิภาพรองรับการเขียน ผู้ใช้จึงรู้สึกเพลิดเพลินกับหน้าจอที่สามารถหมุนปรับได้ 2 ทิศทาง และระบบหน้าจอสัมผัสที่สามารถหมุนปรับภาพอัตโนมัติตามการใช้งานจริง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000053702.JPEG)

      ไลฟ์บุ๊ก T580 มีหน้าจอแสดงผลขนาด 10.1 นิ้ว แบบ SuperFine HD TFT ที่ทำงานบน Intel HD Graphics โดยติดตั้ง HDMI และ VGA output ผู้ใช้งานสามารถรับชมภาพและเสียงได้อย่างเต็มอรรถรส T580 ถือเป็นแท็บเลตพีซีที่ประหยัดพลังงานด้วยแพลตฟอร์มของอินเทล (Energy-Saving Intel) ที่สามารถช่วยยืดเวลาการทำงานของแบตเตอรี่ และช่วยให้การใช้งานเครื่องได้ยาวนานขึ้น
      
      ด้านขุมพลังของ T580 ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i5-560UM และใช้ชิปเซต Intel HM55 Express Chipset พร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 7 Professional ฮาร์ดดิสก์ที่มากถึง 500GB และหน่วยความจำ 4GB DDR3 800MHz น้ำหนักเบาเพียง 1.4 กิโลกรัม ส่งผลให้ความสามารถในการประมวลผลดีเยี่ยม และเพิ่มความสะดวกในการพกพาสำหรับผู้บริหารระดับสูงและผู้ใช้งานขั้น advanced T580 ราคา 49,900 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000053703.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ตรวจแถวเลอโนโว 7 ซีรีส์ 19 รุ่น พร้อมโน้ตบุ๊กไฮบริด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 14:59:57
'เลอโนโว' เผยโน๊ตบุ๊กลุยงาน CES ดัน IdeaPad สู้ศึกใหญ่ หวังดึงลูกค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง พร้อมเปิดตัวโน๊ตบุ๊กรุ่นใหม่ 7 ซีรีส์ 19 รุ่นในงาน CES (International Consumer Electronics Show) 2011 ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาในวันที่ 6-9 มกราคมที่จะถึงนี้ ก่อนทยอยเข้ามาวางจำหน่ายภายในปีนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029106.JPEG)
Lenovo IdeaPad U1/LePad โน้ตบุ๊กลูกผสม (Hybrid) ที่เลอโนโวภูมิใจนำเสนอ

      โดยตัวเด่นที่ถูกจับตามองมากที่สุด คงหนีไม่พ้นแท็บเล็ต LePad ที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊กรุ่น IdeaPad U1 ในรูปแบบไฮบริด ที่เคยเผยโฉมเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งสเปกเบื้องต้นของ LePad คือมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เวอร์ชัน 2.2 ที่เลอโนโวนำมาพัฒนาเพิ่มเติมและใช้ชื่อว่า LeOS
      
      ภายใน LePad จะใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon รุ่นล่าสุดที่ความเร็ว 1.3 GHz ส่วนภายใน U1 เป็น Core i5-540UM ความเร็ว 1.2 GHz แต่ทั้งนี้เลอโนโวยังได้ออกตัวเลือกเป็น Core i7 ให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ด้วย ซึ่งในการทำงานเมื่อใช้งานบน U1 จะใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์แทน ขนาดหน้าจอของ LePad อยู่ที่ 10.1 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ Capasitive ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล
      
      เบื้องต้นกำหนดราคาจำหน่าย IdeaPad U1 ไว้ที่ 1,300 เหรียญฯ (ประมาณ 40,000 บาท) แต่ทางเลอโนโวได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จะยังไม่วางจำหน่าย U1 จนกว่าจะสามารถนำแอนดรอยด์ เวอร์ชัน HoneyComb สำหรับแท็บเล็ตมาใช้งานได้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029103.JPEG)
Z Series

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Lenovo IdeaPad Z Series เจาะตลาดนักธุรกิจด้วย 3 รุ่นด้วยกัน คือ Z370, Z470 และ Z570 ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 13.3 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 15.6 นิ้วตามลำดับ ในส่วนจุด เด่นของ Z Series รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ใช้ซีพียู Core i7 พร้อมรองรับการอ่านแผ่นบลูเรย์ ระบบเสียงดอลบี้ เชื่อมต่อระบบส่งสัญญาณมัลติมีเดียความละเอียดสูง(HDMI) พร้อม SRS audio สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายใช้ทำงานหรือดูหนังฟังเพลงก็ย่อมได้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029102.JPEG)
Y Series

ขณะที่ Lenovo IdeaPad Y Series ซึ่งเป็นซีรีส์ที่เจาะกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป เปิดตัวใหม่ด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นคือ Y470, Y570 และY570d โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ขนาดของหน้าจอแสดงผลคือ 14 นิ้ว และ 15.6 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ 1366x760 พิกเซล จอ LED Blacklight ซี พียู Core i7 สามารถเพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 8 กิกะไบต์ การ์ดจอ Nvidia GeForce 555M ระบบส่งสัญญาณมัลติมีเดียความละเอียดสูง(HDMI) ลำโพงภายในตัวเครื่องจาก JBL

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000029108)

ด้าน Lenovo IdeaPad V Series ออกมาอีก 3 รุ่นได้แก่ V370, V470 และ V570 ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาด 13.3 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 15.6 นิ้ว ตามลำดับเช่นเคย ใช้ หน่วยประมวลผล Core i7 เพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 8 กิกะไบต์ การ์ดจอ Nvidia GeForce 315M สำหรับรุ่นV370 และการ์ดจอ Nvidia GeForce 525M สำหรับรุ่น V470 และ V570

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029105.JPEG)
S Series

 สำหรับเน็ตบุ๊กในตระกูล Lenovo IdeaPad S Series เปิดตัวใหม่ด้วยกัน 2 รุ่น คือS100 และ S205 หน้าจอแสดงผลขนาด 11. 6นิ้ว โดยใช้ซีพียูจาก AMD โดย รุ่น S100 ใช้ซีพียู AMD Turion II N570 ส่วนรุ่น S205 จะใช้ซีพียู AMD dual Core E-350 ความละเอียดหน้าจอ 1366x768 พิกเซล สามารถเพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 8 กิกะไบต์และรองรับฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุด 750 กิกะไบต์ เชื่อมต่อยูเอสบี 2.0 รองรับระบบไร้สาย WiFi และ 3G

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029104.JPEG)
B Series

Lenovo IdeaPad B Series ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับเอนทรีเลเวล มาพร้อมกับสองรุ่นใหม่ด้วยกัน 2 รุ่น B470 และ B570 ขนาดหน้าจอแสดงผลขนาด 14 นิ้ว และ 15.6 นิ้วตามลำดับ โดยทางด้านของ บี ซีรีส์ ใช้ซีพียู Core i5 เพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 8 กิกะไบต์ รองรับฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุด 1 เทราไบต์ พร้อมไดร์ฟดีวีดี-บลูเรย์ภายในตัวเครื่อง รองรับระบบไร้สาย WiFi และ3G

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000029101.JPEG)
G Series

สุดท้ายกับ Lenovo IdeaPad G Series สำหรับคอเกม มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ,15 นิ้ว และ 17 นิ้ว ทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกันคือ G470, G570, G575, G770 และ G4575 หลากหลายขนาดตามความต้องการ โดยมีหน่วยประมวลผล Core i7 ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ AMD Radeon HD 6370 1 กิกะไบต์ เพิ่มแรมได้สูงสุดถึง 8 กิกะไบต์และรองรับฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุด 750 กิกะไบต์ เชื่อมต่อยูเอสบี 2.0 สามารถอ่านแผ่นบลูเรย์รองรับระบบไร้สาย WiFi และ3G

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ภาพลวงตา "แถบแสดงสถานะดาวน์โหลด"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 15:46:18
ช่วงบ่ายอย่างนี้ ขอคั่นข่าว CES 2011 ด้วยเรื่องสนุกๆ ที่หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกต หรือมีการเปิดเผยให้ได้ทราบกัน นั่นคือ เทคนิคการใช้ภาพลวงตาใน"แถบแสดงสถานะการดาวน์โหลด" (Progess bar) ซึ่งลักษณะเป็นแถบสีที่เวลาดาวน์โหลด หรือติดตั้งโปรแกรม แถบสีดังกล่าวจะค่อยๆ ขยับเพิ่มจนเต็มทั้งแถบ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ว่าแต่แล้วมันเกี่ยวกับ"ภาพลวงตา" อย่างไร?

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Illusion-on-download-progress-bar-2.jpg)

เว็บไซต์ New Scientist ได้เปิดเผยคลิปที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากเข้าใจว่า สถานะการดาวน์โหลดที่มองเห็นบน Progress bar นั้นเร็วขึ้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เร็วกว่าเดิมแต่อย่างใด ซึ่งปกติเราจะพบเห็นแถบสีพวกนี้ มีลักษณะเป็นสีทึบที่ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มทั้งแถบ แต่ด้วยเทคนิคง่ายๆ ในการหลอกสายตา

โดยใช้การใช้เอฟเฟกต์ที่มีลักษณะคล้ายคลื่นสูงต่ำ พร้อมกับมีการเคลื่อนที่ ของแถบสว่างไปบนนั้น ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ก็จะเกิดความรู้สึกว่า มันดาวน์โหลดเร็วขึ้นกว่าแถบสีแบบเดิมๆ แล้ว ซึ่งมันเป็นทริคที่โปรแกรมเมอร์ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า มันเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันใช้เวลาเท่ากัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: วัด "ความดัน" ด้วย iPhone?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 16:45:13
เพิ่งจะแนะนำ iPhoneECG เคส+แอพที่สามารถเปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็น"เครื่องวัด และแสดงกราฟคลื่นหัวใจ"ได้ไม่แพ้เครื่องไม้เครื่องมือของทางโรงพยาบาล ใครหัวใจสะออนบ่อยๆ ก็หาซื้อไว้ใช้ได้ โดยจะนำออกแสดงในงาน CES 2011 นี้ ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่า Withings บริษัทในฝรั่งเศษได้เตรียมนำ iHealth ด็อคกิ้งที่สามารถเปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็น"เครื่องวัดความดัน(เลือด)"ได้...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/iHealth-Blood-Pressure-Dock-for-iPhone-iPod-Touch-iPad-CES-2011-2.jpg)

iHealth Blood Pressure Dock ประกอบด้วยชุดแท่นรองพร้อมด้วยสายรัดแขน เพื่อวัดความดันเลือด และแอพพลิเคชัน ซึ่งทำให้คุณสามารถวัดความดันของตนเองได้ตลอดเวลาที่ต้องการด้วย iHealth อินเตอร์เฟซใช้งานง่ายมาก เพียงแค่สัมผัสปุ่มสีเหลืองขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณกลางหน้าจอเท่านั้น นอกจากใช้กับ iPhone แล้วยังสามารถใช้กับ iPod Touch และ iPad ได้อีกด้วย เชื่อว่า สตีฟ จอบส์ ก็คงไม่นึกเหมือนกันว่า สมาร์ทโฟน และเครื่องเล่นมีเดียที่ให้ความบันเทิงของเขาจะได้รับการพัฒนาให้มาได้ไกล ถึงเพียงนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันกลายเป็นอุปกรณ์ที่ข่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้จริงๆ

ในส่วนของการทำงาน iHealth จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือวัดความดันโลหิต โดยมาพร้อมกับปลอกรัดแขนที่สามารถเปิดปิดลมได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งผลลัพธ์ที่ ได้จากการวัดความดันโลหิตของคุณจะถูกแสดงบนแอพฯของทางบริษัทที่สามารถดาวน์ โหลดได้ฟรี โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ผลลัพธ์ของความดันของคุณจะแสดงขึ้นบนหน้าจอด้วยขนาดของฟอนต์ที่ใหญ่โตชัดเจน พร้อมด้วยสเกลของความดัน

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อมูลของความดันที่วัดจะถูกเก็บไว้ เพื่อคำนวณค่าเฉลีย และประเมินความเสี่ยงของการมีโอกาสเป็นความดันสูงเทียบกับตัวเลขของ WHO ด้วย iHealth ด็อคกิ้งวัดความดันด้วย iPhone พร้อมสายรัดอยู่ที่ 99.95 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,000 บาทเท่านั้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Toshiba 3D TV ไม่ง้อแว่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 18:46:45
รายงานข่าวล่าสุด ในงาน CES 2011 (6 - 9 มกราคม ลาสเวกัส สหรัฐฯ) นอกจาก Toshiba จะทำเซอร์ไพรส์ผู้เข้าชมงานด้วย"แท็บเล็ต" Android รุ่นใหม่แล้ว ทางบริษัทยังได้เตรียมบุกตลาดทีวีสามมิติ (3D TV) ที่ไม่ต้องสวมแว่นเวลารับชมอีกด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มวางตลาดในญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/toshiba-glass-free-3d-tv-at-CES-2011-2.jpg)

Tohiba บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับครัวเรือนไปจนถึงผลิตภัณฑ์ ไอทีได้ประกาศว่า ทางบริษัทพร้อมแล้วที่จะวางจำหน่าย 3D TV ในญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นรุ่นที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา โดยมีขนาดหน้าจอให้เลือกคือ 12" และ 20" เนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องสวมแว่นตาชนิดพิเศษ เพื่อการรับชม 3D TV ทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมียอดขายไม่หวือหวาเท่าที่ควร Toshiba เชื่อว่า การทำให้ 3D TV สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นจะทำให้ตลาดนี้บูมมากขึ้น ในขณะที่บริษัทคู่แข่งกล่าวว่า เทคโนโลยีการรับชม 3D TV แบบไม่ง้อแว่น ผู้รับชมจะต้องอยู่ใตำแหน่งของมุมมองค่อนข้างจำกัด เพื่อให้สามารถมองเห็นเอ ฟเฟกต์ 3D ได้ชัดเจน

ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์วิชวลของโตชิบากล่าวว่า ในงาน CES 2011 ที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ ทางบริษัทจะได้นำ 3D TV ที่ไม่ง้อแว่นไปโชว์ในงานด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมงานนี้ โดยเฉพาะการโชว์ต้นแบบ 3D TV ขนาด 56" และ 65" ที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตาพิเศษ "3D TV ทุกรุ่นของเราไม่เพียงแต่จะทำตลาดในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯ ยุโรป และจีนด้วย" ตัวแทนบริษัทกล่าว ซึ่งปัจจุบัน Toshiba สามารถผลิต 3D TV ด้วยจอ LCD ขนาด 12" และ 20" ได้เอง แต่สำหรับจอที่มีขนาดใหญ่จะต้องพึ่งซัพพลายเออร์ ทั้งนี้ Toshiba ตั้งใจที่จะผลักดันยอดขาย TV ในสหรัฐฯให้ได้ส่วนแบ่งตลาด 10% (ปัจจุบันมีส่วนแบ่งที่ 7% - 8% เท่านั้น)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: ตรวจชะตา 6 โซเชียลเว็บเขย่าโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 20:33:48
(http://www.siamranking.com/blog/wp-content/uploads/2009/05/social_network.jpg)

1. Google ความเคลื่อนไหวในกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์คมีมาให้อัพเดทกันวันละหลายระลอก โดยเฉพาะยักษ์เสิร์ชกูเกิลที่ ไม่ได้เป็นแค่เจ้าอาณาจักรเสิร์ช เอ็นจิน ที่มีประชากรเน็ตใช้มากที่สุดในโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมียูทูบ จีเมล จีทอล์ค บล็อคเกอร์ และออร์กุต
 
เว็บกูรู มาร์แชร์เบิล ทำนายว่า จากความสำเร็จครึ่งๆ กลางที่ในปีที่ผ่านมารวมถึงภาวะต้องปิดตัวในบางบริการ อาทิกูเกิลเวฟ และความล่าช้าของการเปิดบริการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาด ทำให้ปี 2554 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่กูเกิลต้องพบกับภาวะที่น่ากลัวของการแข่งขัน และต้องพบกับสิ่งที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นในตลาดโซเชียล เน็ตเวิร์คที่พยายามพาตัวเองเข้าไปชิงส่วนแบ่งแน่นอน
 
ทั้งนี้สิ่ง สำคัญที่สุดในฐานะเจ้าตลาดที่มีบรรทัดฐานเรื่องความเร็ว และเปี่ยมประสิทธิภาพ ยังมีการบ้านที่ต้องเร่งแก้ไขอีกมาก ด้วยโจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้ผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจในผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ ของตัวเอง
 
2. มายสเปซ แม้จะพยายามปรับปรุงหน้าเว็บเพจ และยกเครื่องตัวเองมากแค่ไหน แต่มายสเปซยังประสบภาวะตีบตันและยืนอยู่ปากเหวเหมือนเดิม ปีนี้กูรูทำนายว่า อีกไม่นานอาจจะใกล้ถึงทางแยกและภาวะตกต่ำถึงขีดสุด ที่ต้องเลือกเสียทีว่าจะเดินต่อไปอย่างไรแล้ว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นเมื่อไร ทั้งต้องเร่งหามือดีสักคนเข้ามาช่วยพยุงและรับภาระหนักหน่วงนี้ไว้
 
3. บีโบ นวนิยายเรื่อง “บีโบ” เว็บโซเชียลเน็ตเวิร์คสัญชาติอังกฤษอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเฟซบุ๊คดูเหมือน จะไม่จบลงง่ายๆ ซะแล้ว และดูเหมือนกำลังจะกลายเป็นมหากาพย์ไตรภาคไปอีกด้วย ภาคแรกเริ่มตั้งแต่ปี 2549 ที่เปิดตัวออกมาและดูเหมือนจะเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ไปได้ดี เรื่อยมาจนปี 2551 ต่อภาคสองถูกยักษ์ใหญ่เอโอแอลควบกิจการไปด้วยตัวเลข 850 ล้านดอลลาร์
 
หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน เอโอแอลถอดใจไม่ร่วมแข่งขันต่อ และตัดใจขายต่อให้คริตอเรียน แคปปิตอล พาร์ทเนอร์ มูลค่าเพียง 10 ล้านดอลลาร์ และวันนี้ดูท่าว่าจะไปไม่รอดอีกตามเคย แม้จะดึงตัว เควิน บาคัส ผู้คิดค้นเอ็กซ์บ็อกซ์ และไมเคิล เบิร์ช ผู้ก่อตั้งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาก็ตาม
 
ได้แต่หวังว่า ภาคสามที่กำลังจะมีในไม่ช้า บีโบจะพบรักครั้งใหม่เร็วๆ นี้ และคาดว่าน่าจะเป็นรักเก่าที่คืนมาชื่อว่า ไมเคิล เบิร์ช ผู้ก่อตั้งคนเดิมด้วย
 
4. เฟซบุ๊ค โจ๊กวงเล็กๆ จนถึงข่าวลือหนาหูทั่ววงการนับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ของเฟซบุ๊คมีเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2550 ที่แน่ๆ ขอฟันธงว่าถึงปี 2544 ยังไม่มีโครงการขายแน่ ทำไมน่ะหรือ เหตุผลแรก หนุ่มน้อย มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ไม่สนใจเรื่องจำนวนเงินมากเท่าไร เขาพอใจที่จะอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวกับบ้านของตัวเอง
 
ข้อสอง ในภาวะของตลาดที่แปรผันตลอดเวลา และดูเหมือนยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ซักเคอร์เบิร์ก มองว่า ไอพีโอเป็นเพียงกระดาษกองโต เรื่องน่าปวดหัว และสิ่งที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบมากที่สุด และพอใจที่จะดึงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่ใช่ในปีนี้ แต่เมื่อบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งเพียงพอ เมื่อถึงเวลาต้องขยับตัวขอฟันธง ปี 2555 เวลานั้นต้องมาถึงแน่นอน
 
5. ทวิตเตอร์กูรูบอกว่า ไม่คาดหวังว่าทวิตเตอร์จะทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นหรือน่าประหลาดใจใดๆ ได้ในปีนี้ จริงอยู่แม้บริษัทมีแผนเปิดบริการฟีเจอร์ใหม่ๆ มีเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ มีลงทุนเพิ่ม ทั้งมีปรับเปลี่ยนการออกแบบเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์การโฆษณา ที่ดูเหมือนเป็นการเขย่าวงการให้สะท้านสะเทือนก็ตาม
 
เหตุผลหลัก เนื่องจากทุกเว็บไซต์ล้วนมีบทบาทที่ไม่ต่างกัน การออกแบบใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ฟีเจอร์ใหม่ไม่ทำย่อมไม่ได้ และปีนี้ขอเดาว่าจะเป็นปีที่ทวิตเตอร์เติบโตอย่างเชื่องช้า และน่าเบื่อที่สุด
 
6. โมบาย โฟโต้ 'ไบรอัน โปกอนี่' ซีอีโอ เดลี่บูธ แสดงความเห็นระหว่างงานประชุม เว็บ 2.0 ซัมมิต ว่า การอัพเดทภาพขึ้นเว็บแบบเรียลไทม์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน
 
ปี 2554 จะเป็นปีที่การแชร์รูปภาพผ่านทางอุปกรณ์โมบายสู่โซเชียลเน็ตเวิร์ค ถึงขั้นเข้าไปยึดพื้นที่ทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง และบริการลักษณะนี้จะได้รับความนิยมแบบสูงสุดในตลาดแมส โดยจะเคลื่อนตัวจากผู้ใช้งานที่ต้องการอัพเดทความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อน ผ่านมาทางสมาร์ทโฟน และแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งบนตัวเครื่อง
 
กูรูฟันธงด้วยว่าเฟซบุ๊คจะติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและพัฒนา ฟีเจอร์ใหม่ผนวกเข้ากับ “เฟซบุ๊ค เพลส” เพื่อตอบสนองความต้องการนี้แน่ๆ...

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Toshiba ชิงเปิดตัว "Tablet"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 22:35:45
สมรภูมิการแข่งขันในตลาด"แท็บเล็ต" (tablet) ดูท่าจะดุเดือดจริงๆ แค่ไม่ถึงวัน หลังจาก ASUS เปิดตัว tablet พร้อมกัน 4 รุ่น Toshiba ก็ชิงเปิดตัว Tablet ก่อนหน้าที่จะเปิดงาน CES (Consumer Electronic Show) 2011 ด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มันยังเป็นเครื่องต้นแบบที่ยังไม่ได้มีการประกาศชื่ออย่างเป็นทางการ

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/toshiba-debuts-honeycomb-tablet-before-CES-2011-2.jpg)

Toshiba เปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นที่สอง หลังจาก Folio 100 แท็บเล็ตสายพันธุ์ Android 2.2 (Froyo) ซึ่งสำหรับ"แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ แม้จะยังทำงานด้วย Froyo แต่ทางบริษัทมุ่งหวังที่จะอัพเกรดเป็น Gingerbread หรือ Honeycomb เมื่อวางตลาด นอกจากนี้ เครื่องต้นแบบที่ชิงนำออกมาโชว์ยังใช้โพรเซสเซอร์ SpursEngine ของ Toshiba แต่ทางบริษัทจะเปลี่ยนไปใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 ทางบริษัทยังได้พัฒนาเทคโนโลยี Resolution Plus ที่ทำให้วิดีโอสามารถแสดงความละเอียดได้ทั้งมาตรฐาน และ HD โดยแท็บเล็ตรุ่นใหม่นี้จะใช้หน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ขนาด 10 นิ้ว (1280x800)

ในส่วนของคุณสมบัติอื่นๆ ก็จะมีกล้อง 2 ตัวทั้งด้านหน้า และหลัง (2 ล้าน และ 5 ล้านพิกเซลตามลำดับ) พร้อมด้วยพอร์ต USB, HDMI และ ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD เซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง (Accelerometer) และตรวจจับแสงสว่างภายนอก เพื่อปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม (Ambient light sensor) สำหรับกำหนดการวางตลาดจะเป็นภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Angry Birds บนเน็ตบุ๊ค WinXP, Win7
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มกราคม 2011, 23:23:27
ด้วยความฮอตสุดๆ ของเกม Angry Birds บนสมาร์ทโฟน รายงานข่าวล่าสุดมันได้ถูกพัฒนาเป็นเวอร์ชันที่เล่นบนเน็ตบุ๊ค (netbook) ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP และ Windows 7 แล้ว โดยเปิดจำหน่ายอยู่ใน AppUp Store ของ Intel ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/angry-bird-in-windows-xp-windows-7-on-netbook-at-Intel-AppUp-Store-2.jpg)

สำหรับราคาแอพฯ Angry Birds ที่จำหน่ายอยู่ใน AppUp Store จะมีราคาอยู่ที่ 9.99 เหรียญฯ (ประมาณ 300 บาท) โดยเกมเมอร์ที่สนใจในช่วงนี้ยังสามารถซื้อได้ในราคาพิเศษ 4.99 เหรียญฯ (ประมาณ 150 บาท) ซึ่งถือเป็นไอเดียที่ฉลาดมากในการยืมโมเดลของการทำธุรกิจแอพฯบนสมาร์ทโฟนมา ใช้กับเน็ตบุ๊ค

(http://www.mobilecrunch.com/wp-content/uploads/2010/09/angry-birds.jpg)

Rovio Mobile บริษัทผู้พัฒนา Angry Birds เวอร์ชันบน Windows XP และ Windows 7 เปิดเผยว่า Angry Birds บนเน็ตบุ๊คจะมีให้เล่นถึง 195 เลเวล ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาเล่นหลายชั่วโมงทีเดียวกว่าจะผ่านทั้งหมด ในขณะเดียวกันยังสามารถอัพเดตคุณสมบัติ และเลเวลใหม่ๆ เพิ่มได้ฟรีในอนาคต ว่าแต่คุณผู้อ่านที่เป็นเจ้าของเน็ตบุ๊คสนใจจะดาวน์โหลดแอพฯ "นกโกรธ" มาเล่นดูบ้างไหมครับ?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Samsung โชว์ Sliding PC 7 ในงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 13:27:41
เมื่อวานนี้ Samsung ได้เปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นเน็ตบุ๊ค(?)ที่มีดีไซน์บางเฉียบถึง 9 รุ่น โดยทั้งหมดจะถูกนำออกแสดงในงาน CES 2011 ซึ่งทางบริษัทได้วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในซีรียส์นี้ให้เป็นคู่ชก MacBook Air ของ Apple สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่านี้คือ Samsung Sliding PC 7

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/Samsung-Sliding-PC-7-the-iPad-Rival-shows-at-CES-2011-2.jpg)

Samsung Sliding PC 7 Series เป็นเน็ตบุ๊คที่ใช้โพรเซสเซอร์ Intel Atom Z670 (Oak Trail) ความเร็ว 1.66GHz ซึ่งมาพร้อมกับหน่วยความจำ DDR2  2GB สตอเรจ SSD ความจุ 32GB หรือ 64GB ให้เลือก โดยหน้าจอขนาด 10.1" ความละเอียด 1366x768 พิกเซล ส่วนระบบปฏิบัติการที่ใช้จะเป็น Windows 7 Home Premium ทั้งนี้หากพิจารณาในส่วนของสเป็กโดยรวมเน็ตบุ๊คในซีรียส์นี้จะมี ประสิทธิภาพการทำงานที่เร็ว และประหยัดพลังงานกว่าเน็ตบุ๊คที่ออกมาก่อนหน้านี้

นอก จากสเป็กเครื่องแล้ว ดีไซน์ของเน็ตบุ๊คในซีรียส์นี้ยังมีความแตกต่าง และเหนือกว่าเน็ตบุ๊คทั่วไปอีกด้วย ไมว่าจะเป็น การใช้จอสัมผัสสำหรับการใช้เป็น"แท็บเล็ต" ในขณะที่ด้านหลังสามารถเลื่อน (slide) คีย์บอร์ด QWERTY (พร้อมทัชแพด) ออกมาใช้งานเป็น"เน็ตบุ๊ค"ได้ด้วย (คล้าย ASUS Eee Pad Slider) อาจจะเรียกว่า มันเป็นการไฮบริด "แท็บเล็ต" กับ "เน็ตบุ๊ค" ก็ได้ "Samsung 7 Series กำลังสร้างหมวดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาด้วยตัวมันเอง ด้วยความเพียบพร้อมสมบูรณ์ไม่เพียงแต่ดีไซน์ที่ให้ความสะดวกสบายในการเปิด รับคอนเท็นต์ต่างๆ เท่านั้น แต่มันยังตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์คอนเท็นต์บนคอมพิวเตอร์อีกด้วย" Scott Ledteman ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์โมบายพีซีของ Samsung Enterprise Business Division กล่าว "นวตกรรมในการออกแบบบนพื้นฐานของการใช้โพรเซสเซอร์ Atom ของ Intel ไม่เพียงแต่จะทำให้เราได้เน็ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพการทำงาน และอุปกรณ์ที่มีความคล่องตัวในการใช้งานเท่านั้น แต่มันยังสร้างความแปลกใหม่ในเรื่องของรูปแบบเครื่องที่มีดีไซน์สร้างสรรค์ อีกด้วย" Doug Davis รองประธาน และผู้จัดการทั่วไปกลุ่ม Netbook และ Tablet ของ Intel กล่าวเสริม

ในส่วนของคุณสมบัติการทำงานด้านอื่นๆ ก็จะมีช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ 4-in-1 พอร์ต USB 2.0 และพอร์ต HDMI สำหรับเชื่อมต่อกับ HDTV สามารถเชื่อมต่อเน็ตไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11 b/g/n และมีออปชันสำหรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย WiMAX หรือ 3G กล้องด้านหน้า 1.3 ล้านพิกเซล ซึ่ง Samsung Sliding PC 7 จะมีขนาดของตัวเครื่อง 10.47" x 6.88" x 0.78" (กระทัดรัด และบางเฉียบ) ในขณะที่มีน้ำหนักเพียง 2.18 ปอนด์ (ประมาณ 1 กิโลกรัม) ทำงานด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมโพลีเมอร์ สามารถใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 9 ชั่วโมง วางตลาดเดือนมีนาคม สนนราคาอยู่ที่ 699 เหรียญฯ หรือประมาณ 21,000 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: LG โชว์ผุด App Store บน TV ในงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 13:59:46
รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวานนี้ LG Electronics ประกาศแนะนำแพลตฟอร์ม Smart TV รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับบริการแอพฯ เกมส์ และภาพยนต์ที่สตรีมผ่านเว็บ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวทำให้ทีวีของ LG เพิ่มความสามารถการทำงานได้ด้วยแอพฯต่างๆ ที่ให้บริการผ่าน LG app store ที่มีคอนเท็นต์จากผู้ให้บริการชั้นนำอย่าง Hulu, Netflix และ Vudu พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาจากทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์แอพฯให้กับ Smart TV ของ LG ได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/LG-smart-tv-with-app-store-shows-at-CES-2011-2.jpg)

นอกจากนี้ อินเตอร์เฟซ Smart TV รุ่นใหม่ล่าสุดของ LG ยังสามารถควบคุมการทำงานด้วยรีโมทที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ "Magic Motion" ซึ่งเป็นการใช้เซ็นเซอร์อย่าง Gyroscope ในการตรวจจับการเขย่า หรือหมุนรีโมท เพื่อเข้าถึงเมนู และเล่นเกมส์ โดยด้านล่างของหน้าจอจะมีแถบสำหรับการเข้าถึงแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย และในกรณีที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของทีวีของ LG คุณก็ยังสามารถใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ด้วยการติดตั้ง Smart TV Upgrader เซตทอปบ๊อกซ์ของทางบริษัทที่สามารถเปลี่ยนทีวีของคุณให้กลายเป็น Smart TV ด้วยการเชื่อมต่อผ่าน HDMI อย่างไรก็ตาม Smart TV Upgrader มีกำหนดจะวางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2011

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/LG-smart-tv-with-app-store-shows-at-CES-2011-3.jpg)

แพลตฟอร์ม Smart TV ของ LG เป็นการขี่กระแสของปรากฎการณ์ App Store ที่เปิดตลาดด้วยความสำเร็จอย่างงดงามของ iPhone และ iPad ของ Apple ประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ LG เลือกที่จะสร้างแพลตฟอร์ม app ของตนเองแทนที่จะร่วมกับ Google ที่เปิดแพลตฟอร์ม Google TV ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android ในการทำงาน ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่า เป็นความท้าทายที่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน เนื่องจากใครก็สามารถสร้าง app store ได้เอง แถมยังไม่ต้องไปจำหน่ายผ่าน Google เพื่อให้เกิดการแบ่งรายได้กันอีก ในขณะเดียวกัน LG ยังสามารถเจรจากับเครือข่ายทีวีได้ง่ายกว่าการเป็น Google TV ที่กำลังถูกบล็อคจากเจ้าของคอนเท็นต์เหล่านี้อีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Intel 2nd Generation (Sandy Bridge) รับงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 16:13:18
และแล้วก็ถึงเวลาที่ซีพียูอินเทล 2nd Generation รหัสใหม่ในนาม "Sandy Bridge" ก็กำลังจะประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน CES 2011 (Consumer Electronics Show) ด้วยความคาดหวังจากผู้ใช้จำนวนมากถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการใช้งาน ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000106201)

      Sandy Bridge ถูกแบ่งระดับตลาดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคอมพิวเตอร์พีซี. เซิฟเวอร์ และโน้ตบุ๊ก ซึ่งถ้าแบ่งแยกย่อยเป็นชื่อรุ่นซีพียูที่อยู่ในตระกูล Sandy Bridge จะแบ่งได้เป็น

      กลุ่มคอมพิวเตอร์พีซี
      Core i7 Family (4 Core 8 Thread)

      
      - Intel Core i7 2600K with Intel Graphics HD 3000 จะมีความเร็ว 3.4GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.8GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 8MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 3000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 12 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1350MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 9,700 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i7 2600 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 3.4GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.8GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 8MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1350MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 8,900 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i7 2600S with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.8GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.8GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 8MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1350MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 9,300 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      Core i5 Family (4 Core 4 Thread)
      
      - Intel Core i5 2500K with Intel Graphics HD 3000 จะมีความเร็ว 3.3GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.7GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 3000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 12 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,600 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2500 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 3.3GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.7GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,200 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2500S with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.7GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.7GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,600 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2500T with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.3GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.3GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 45W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 650MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1250MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,600 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2400 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 3.1GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.4GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 5,600 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2400S with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.5GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.3GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,000 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      - Intel Core i5 2300 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.8GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.1GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และ L3 Cache อยู่ที่ 6MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 5,400 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 5 มกราคม 2011
      
      Core i5 Family (2 Core 4 Thread)
      
      - Intel Core i5 2390T with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.7GHz แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost จะสามารถดันความเร็วสูงสุดได้ที่ 3.5GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 35W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 650MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,000 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011
      
      Core i3 Family (2 Core 4 Thread)
      
      - Intel Core i3 2120 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 3.3GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 6,000 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011
      
      - Intel Core i3 2100 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 3.1GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 3,600 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011
      
      - Intel Core i3 2100T with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.5GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 35W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 650MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 3,800 บาท และเปิดตัวประมาณวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011
      
      Pentium Family (2 Core 2 Thread)
      
      - Intel Pentium G850 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.9GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 2,600 บาท และวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2011
      
      - Intel Pentium G840 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.8GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 2,300 บาท และวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2011
      
      - Intel Pentium G620 with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.6GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 65W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 850MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 2,000 บาท และวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2011
      
      - Intel Pentium G620T with Intel Graphics HD 2000 จะมีความเร็ว 2.2GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 35W และ L3 Cache อยู่ที่ 3MB
      
      สำหรับความเร็วของแกนประมวลผลกราฟิก HD 2000 จะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 650MHz ส่วน Shader Cores จะอยู่ที่ 6 ยูนิต และเมื่อใช้งานร่วมกับ Intel Turbo Boost ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาจะสามารถวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 1100MHz
      
      สำหรับสนนราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 2,100 บาท และวางจำหน่ายในช่วงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011
      
      กลุ่มเซิฟเวอร์
      Xeon-E3 Family (4 Core 8 Thread)

      
      - Intel Xeon-E3 1280 จะมีความเร็ว 3.5GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1275 จะมีความเร็ว 3.4GHz มาพร้อมกราฟิก Intel HD3000 ในตัว ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1270 จะมีความเร็ว 3.4GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 80W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1260L จะมีความเร็ว 2.4GHz มาพร้อมกราฟิก Intel HD2000 ในตัว ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 45W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1245 จะมีความเร็ว 3.3GHz มาพร้อมกราฟิก Intel HD3000 ในตัว ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1240 จะมีความเร็ว 3.3GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 80W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1235 จะมีความเร็ว 3.2GHz มาพร้อมกราฟิก Intel HD3000 ในตัว ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1230 จะมีความเร็ว 3.2GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 80W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      Xeon-E3 Family (4 Core 4 Thread)
      
      - Intel Xeon-E3 1225 จะมีความเร็ว 3.1GHz มาพร้อมกราฟิก Intel HD3000 ในตัว ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 95W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      - Intel Xeon-E3 1220 จะมีความเร็ว 3.1GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 80W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      Xeon-E3 Family (2 Core 4 Thread)
      
      - Intel Xeon-E3 1220L จะมีความเร็ว 2.2GHz ในส่วนของค่า TDP จะอยู่ที่ 20W และวันเปิดตัวจะอยู่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางอินเทลยังไม่เปิดเผยรายแต่อย่างใด
      
      สำหรับในส่วนของ L3 Cache ในรุ่น 1220, 1280, 1275, 1270, 1260L, 1245, 1240, 1235, 1230 จะอยู่ที่ 8MB ส่วน 1225 จะอยู่ที่ 6MB และ 1220L จะอยู่ที่ 3MB

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: plean ที่ 06 มกราคม 2011, 16:22:49
สุดยอด


หัวข้อ: ซัมซุงคว้า 37 รางวัล โชว์สมาร์ทโฟน 4G ในงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 16:29:13
ซัมซุงฉลองชัยหลังคว้ารางวัลนวัตกรรม (Innovation Awards) รวมกว่า 37 รางวัลภายในงาน CES 2011 ที่จัดขึ้นที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา รวม 3 ปีที่ผ่านมา ซัมซุงกวาดรางวัลไปแล้วกว่า 100 รางวัล พร้อมโชว์สินค้าไฮไลต์สมาร์ทโฟน 4G ที่ใช้ซีพียูความเร็ว 1GHz รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 50%
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110201.JPEG)
Samsung Smart TV ขนาด 75 นิ้ว
   
      นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มสื่อสารการตลาดและองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ในปีนี้ซัมซุงขนทัพนวัตกรรมเข้าร่วมงาน International Consumer Electronics Show 2011 (CES 2011) อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “Creating a Smarter Life” หรือการสรรค์สร้างประสบการณ์ใหม่แห่งโลกดิจิตอลผ่านเทคโนโลยีอันล้ำหน้า เพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110202.JPEG)
Samsung 3D LED Monitor 950 series

      โดย ผลิตภัณฑ์ของซัมซุงได้รับรางวัลทั้งสิ้น 37 รางวัลในปีนี้ ประกอบด้วยโทรทัศน์ 3 รุ่น เครื่องเล่นบลูเรย์และระบบโฮมเธียเตอร์ 9 รุ่น, กล้องดิจิตอลพร้อมเลนส์ 1 รุ่น, โทรศัพท์มือถือ 5 รุ่น, หน่วยความจำแบบ SSD 1 รุ่น, โปรเจกเตอร์ สามมิติ 1 รุ่น และคอมพิวเตอร์พีซีแบบพกพา 2 รุ่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110203.JPEG)
เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่น BD-D7500 ที่บางเพียง 0.09 นิ้ว

      นอกจากนี้ซัมซุงยังคว้ารางวัลการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Design) 6 รางวัล ได้แก่หน้าจอ LCD สามมิติ ขนาด 55 นิ้ว ใช้เทคโนโลยีในการหรี่แสงเฉพาะส่วนช่วยให้ประหยัดการใช้พลังงานลงได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับหน้าจอ CCFL LCD แบบเดิม, หน่วยความจำ Green DDR3 RDIMM ความจุ 32GB ที่ช่วยประหยัดพลังงานลงได้ถึง 83% เมื่อเทียบกับหน่วยความจำแบบโมดูล DDR2 ที่ใช้กันโดยทั่วไป รวมถึงเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่น WF520 ได้รับรางวัลการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากความยอดเยี่ยมของการ ประหยัดพลังงานที่เป็นเลิศและประสิทธิภาพด้านกำลังความจุที่สูงเป็นพิเศษ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110205.JPEG)
ซัมซุง คราฟท์ (Craft) สมาร์ทโฟนระบบ 4G

      ซัมซุง คราฟท์ สมาร์ทโฟน 4G
      
      สำหรับปี 2554 ซัมซุงได้เตรียมสินค้าที่เป็นไฮไลต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวภายในปีนี้ ได้แก่ซัมซุง คราฟท์ (Craft) สมาร์ทโฟนระบบ 4G ที่มาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัสแบบ AMOLED ขนาด 3.3 นิ้ว คีย์บอร์ด QWERTY แบบสไลด์, กล้อง 3.2MP ตามมาด้วยซัมซุง แคพติเวท (Captivate) และซัมซุง ไวแบรนท์ (Vibrant) แอนดรอยด์โฟน หน้าจอ Super AMOLED ที่ใช้พีซียูความเร็ว 1GHz
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110207.JPEG)
ซัมซุงอีปิค 4G (Epic 4G) โทรศัพท์มือถือซัมซุงรุ่นแรกในระบบแอนดรอยด์ 4G ที่ใช้หน้าจอ Super AMOLED ซีพียูความเร็ว 1GHz

      ซัมซุงอีปิค 4G (Epic 4G) โทรศัพท์ มือถือซัมซุงรุ่นแรกในระบบแอนดรอยด์ 4G ที่ใช้หน้าจอ Super AMOLED ซีพียูความเร็ว 1GHz, หน่วยความจำแบบ SSD 512GB, ใช้ชิป NAND Flash 30 กิกะบิต ให้ความเร็วในการอ่านข้อมูลต่อเนื่องได้สูงถึง 250MBps และบันทึกข้อมูลต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดถึง 220 MBps ซึ่งเร็วกว่าฮาร์ดไดรฟ์ทั่วไปที่ใช้ในโน้ตบุ๊กถึง 3 เท่า
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000110208.JPEG)
ซัมซุง ไวแบรนท์ (Vibrant)แอนดรอยด์โฟน หน้าจอ Super AMOLED ที่ใช้พีซียูความเร็ว 1GHz

      นอกจากนี้ยังมีซัมซุง สไลด์ พีซี ซีรีส์ 7 คอมพิวเตอร์ แบบพกพาที่รวมเอาจุดเด่นของโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตไว้ด้วยกัน มีคีย์บอร์ดแบบสไลด์ ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 และซีพียู Intel Atom, ซัมซุง โน้ตบุ๊ก ซีรีส์ 9 โน้ตบุ๊กระดับพรีเมียมที่บางและเบาที่สุดในโลก (หนัก 1.31 กก. บาง 16มม.) พร้อมหน้าจอ Ultra Vivid ที่ให้ภาพคมชัด
      
      กล้องดิจิตอล WB210 และ PL210 ที่มาพร้อมพลังซูมออปติคอล 12 เท่าและ 10 เท่า ใช้เลนส์มุมกว้าง 21 มม. ซัมซุง SH100 รองรับการเชื่อมต่อไวไฟเพื่องานต่อการแชร์ไฟล์ และสามารถบันทึกวิดีโอแบบ HD
      
      3D แอลอีดีทีวี รุ่น D7000 ที่มีความบางเพียง 0.2 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันการตั้งค่าตั้งค่าระบบ 3 มิติให้โดยอัตโนมัติ, ซัมซุง HT-C9950W เครื่อง เล่นบลูเรย์ โฮมเธียเตอร์ 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยี AllShare เพื่อการรับชมคอนเทนต์จากอุปกรณ์อื่นที่รองรับระบบ DLNA ได้บนหน้าจอโทรทัศน์, HW-7000 โฮมเธียเตอร์ระบบ 7.1 ชาแนลเครื่องแรกในโลก ที่มาพร้อมกับระบบบลูเรย์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่น BD-D7500 ที่บางเพียง 0.09 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันเปลี่ยนภาพจากระบบ 2 มิติเป็น 3 มิติ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: 4 แบรนด์ดังตบเท้าพร้อมลงสังเวียนศึกแท็บเล็ต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 16:51:09
ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 4 แบรนด์ชั้นนำ (อัสซุส,โตชิบ้า, แอลจี และโมโตโรลา) อาศัยเวทีมหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (CES 2011) ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เปิดตัวโน๊ตบุ๊กไฮบริดและแอนดรอยด์แท็บเล็ต Honeycomb ลงแข่งในตลาด ชูสเปคเหนือไอแพด หวังชิงส่วนแบ่งในตลาด

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079906)

อัสซุสผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน เตรียมส่งโน๊ตบุ๊กไฮบริดลูกผสมอย่าง 'Eee Pad Slider'  ที่มีขนาดหน้าจอถึง 10.1 นิ้ว ซีพียู Dual-Core Tegra 2 ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ แอนดรอยด์ ฮันนีโคม โดยจุดเด่นคือสามารถสไลด์คีย์บอร์ด QWERTY เลื่อนออกมาจากด้านหลังได้ อีกทั้งยังสามารถตั้งแท็บเล็ตขึ้นมาเป็นจอแบบโน๊ตบุ๊ก เพื่อใช้พิมพ์ได้อย่างสะดวกมือ เวลาที่ไม่ต้องการใช้ระบบหน้าจอสัมผัสทัชสกรีน โดยจะวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม ราคาอยู่ที่ 499 - 799 เหรียญฯ หรือประมาณ 15,000 - 24,000 บาท

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079907)

ขณะที่ 'Eee Pad Transformer' แท็บเล็ตที่มีความโดนเด่น ไม่แพ้กัน จากดีไซน์สุดล้ำที่สามารถแปลงร่างเป็นโน้ตบุ๊กได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เสียบกับคีย์บอร์ด QWERTY ที่มีลักษณะเหมือนแท่นรองรับ (docking station) พร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ขนาด 10.1 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ซีพียู Dual-Core Tegra 2 เช่นกัน และมีกล้อง 2 ตัว ด้านหน้า 1.2 ล้านพิกเซล และด้านหลัง 5 ล้านพิกเซล สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายด้วย Wireless และ Bluetooth มีช่องเสียบพอร์ต HDMI, USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ โดยจะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน สนนราคาของ 'ASUS Transformer' อยู่ที่ประมาณ 399-699 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,000 - 21,000 บาท

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079902)

ด้านแท็บเล็ตอีกตัวที่ทางอัสซุสเคยแจ้งไว้ว่าจะมีการเปิดตัวในงาน CES คือแท็บเล็ต'EeeSlate' พร้อม ชิปประมวลผล Core i5-470UM หน้าจอทัชสกรีนขาดใหญ่ถึง 12.1นิ้ว พร้อมติดกล้องความคมชัด 2 เมกะพิกเซล ความละเอียดหน้าจอ 1280x800 พิกเซลทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 ฮาร์ดดิสก์ขนาด 34 กิกะไบต์ และ 64 กิกะไบต์ ในส่วนของ Eee Slate จะออกวางจำหน่ายภายในเดือนนี้ ราคา 999 เหรียญฯ สำหรับ 34 กิกะไบต์ และราคา 1,099 เหรียญฯ สำหรับ 64 กิกะไบต์ หรือประมาณ 30,000 - 33,000 บาท

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079904)

ขณะที่'Eee Pad MeMO' แท็บเล็ตรุ่นเล็กก็ได้มีการนำมาจัด แสดงภายในงาน โดยมีขนาดหน้าความกว้างของจอ 7 นิ้ว จับกระชับมือพกพาสะดวกมาพร้อมระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นแอนดรอยด์ 3.0 ความละเอียดหน้าจอ 1024x600 พิกเซล ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 499-699 เหรียญฯ ประมาณ 15,000 -21,000 บาท โดยจะเริ่มวางขายได้ประมาณมิถุนายนปีนี้

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079905)

ทางด้านโตชิบ้าก็ไม่ยอมแพ้ ขอร่วมลงสังเวียนแท็บเล็ตอีกราย โดยเตรียมตัวโชว์แท็บเล็ตที่ว่ากันว่าสเปกเทพเหนือกว่าไอเพด ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ฮันนี่ โคม (Honeycomb) หน้าจอ10.1นิ้ว ซีพียู Dual-Core Tegra 2 หน้าจอระบบสัมผัส capacitive ความละเอียดของหน้าจอ 1280x800 พิกเซล พร้อมติดกล้อง 2 ตัว ด้วยกล้องหลัง 5 เมกะพิกเซล และกล้องหน้า 2 เมกะพิกเซล ใช้สำหรับ วิดีโอ คอลล์ สนับสนุนไฟล์วีดีโอแบบ ไฮ-เดฟฟินิชัน 1080p พร้อมทั้งยังรองรับไฟล์แฟลชอีกด้วย
      
      ซึ่งแท็บเล็ตตัวใหม่จากโตชิบ้าสามารถรองรับพอร์ต HDMI, USB, mini USB และช่องใส่การ์ดSD เชื่อมต่อไร้สายด้วยระบบ Wifi และ Buletooth น้ำหนักเบาเพียง 1.7 ปอนด์ ซึ่งเท็บเล็ตตัวใหม่จากโตชิบ้านี้เป็นต้นแบบที่ยังไม่ได้มีการผลิตจำหน่าย อย่างเป็นทางการ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079908)
Motorola Xoom

ในด้านของโมโตโรลา ที่ในปีนี้ขอส่ง "Xoom" แท็บเล็ตระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยด์ ฮันนี่ โคม (Honeycomb) ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ (Dual-core Tegra 2), กล้องดิจิตอลตัวหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่สามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง HD 780p และกล้องตัวหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับการสนทนาแบบวิดีโอ คอลล์ พร้อมพอร์ท HDMI
      
      มีหน้าจอแสดงผลขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 1280x800พิกเซล สัดส่วน 16:10 ที่สามารถแสดงผลภาพยนตร์ได้อย่างคมชัด, มีเซ็นเซอร์ Accelerometers และ Gyroscopes ที่ทำออกมาสำหรับนักเล่นเกมส์โดยเฉพาะ อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อ 3G ซึ่งสามารถอัปเกรดเป็น 4G ได้เมื่อมีการเปิดให้ใช้งาน

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079909)

สำหรับผู้ผลิตจากแดนกิมจิอย่าง แอลจี นั้นก็ได้มีการส่งแล็ป ท็อป 3D รุ่น A520 ใช้ซีพียู Intel Core i7 หรือ Core i5, หน้าจอแสดงผลความ Full HD ขนาด 15.6 นิ้ว, การ์ดจอ NVIDIA GeForce GT540M หรือ GT520M พร้อม บลูเรย์ ไดร์ฟ และระบบเสียง 3D Surround โดยหน้าจอ 3D จะแสดงผลโดยใช้เทคโนโลยี Film Patterned Retarder ซึ่งจะทำงานร่วมกับแว่นตาโพลาไรซ์ เพื่อการรับชมภาพ 3 มิติแบบเต็มรูปแบบ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000079910)
LG P210

นอกจากนี้ยังมีแล็ปท็อปที่มีความบางและพกพาสะดวกอย่าง P210 หน้าจอขนาด 12.5 นิ้ว บางเพียง 20.9มม. หนัก 1.3กก. ใช้ซีพียู Intel Core i3 และ Core i5 ULV และ RAM 4GB อีกรุ่นหนึ่งคือ P420 แล็ปท็อปหน้าจอ 14 นิ้ว ที่มาพร้อมซีพียู Core i5, RAM 8GB และการ์ดจอ NVIDIA GeForce GT520M

ที่สำคัญแอลจียังไม่พลาดที่จะลงสนามแข่งแท็บเล็ตด้วยการเปิดตัว G-Slate แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เวอร์ชัน ฮันนีโคม ที่มีหน้าจอกว้าง 8.9 นิ้ว และใช้ซีพียู Nvidia dual core และรองรับการใช้งานระบบ 4G
      
      ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าแท็บเล็ตที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอ นดรอยด์ เวอร์ชัน ฮันนีโคม นั้น ส่วนใหญ่จะใช้หน่วยประมวลผล Tegra2 ซึ่งเป็นชิปหน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core รุ่นใหม่ล่าสุดที่พร้อมทำตลาดอุปกรณ์พกพาในขณะนี้ ขณะที่ถ้าเป็นแท็บเล็ตในระบบปฏิบัติการวินโดวส์นั้น ยังคงใช้ซีพียูของทางอินเทลอยู่เช่นเดิม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: สาวก AIS iPhone โหลดแอปฟรี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 18:47:34
เอไอเอสเปิด App Store ให้สาวกเอไอเอส ไอโฟนโหลดฟรี เน้นสร้างโลคัลแอปพลิเคชันอย่าง E-Service ที่ช่วยบริหารการใช้งานได้ด้วยตัวเองและโลคัลคอนเทนต์จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ขาช้อป คอหุ้น และพวกชอบดูหนังฟังเพลง
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000114801.JPEG)

   นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม เอไอเอส กล่าวว่าการที่จะให้สมาร์ทโฟนมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ต้องมีแอปพลิเคชั่น เป็นตัวช่วยนอกเหนือจากการใช้ฟังก์ชันพื้นฐาน และด้วยอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสมาร์ทโฟน ทำให้ความนิยมดาวน์โหลดแอปฯมาใช้งานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
   
   เอไอเอสให้ความสำคัญกับการพัฒนาโลคัลแอปฯ เพื่อลูกค้าเอไอเอสทำให้การใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการบริหารจัดการการใช้งาน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบทุกด้าน
   
   ทั้งนี้แอปฯ ที่เปิดให้ ดาวน์โหลดผ่าน App Store ได้แล้ว คือ

   1. E- Service บริการออนไลน์รูปแบบใหม่ ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรม และบริหารจัดการ และช่วยให้ควบคุมการใช้งานมือถือได้ด้วยตัวเอง ทั้งเช็คยอดค่าโทร, รายละเอียดการโทร, ยอดใช้งานบริการเสริม, เปลี่ยนโปรโมชัน, ฯลฯ

   2.Layar ใช้ค้นหาสิทธิพิเศษจากร้านค้าแบรนด์ดังที่ร่วมโครงการของเอไอเอส พลัส ทั่วประเทศ เพียงส่อง iPhone ไปรอบตัว
   
   3.Local Content Application เป็นการผนึกกำลังพันธมิตรซึ่งเชี่ยวชาญในวงการต่างๆ อาทิ บันเทิง เพลง ข่าว หุ้น มาร่วมพัฒนาแอปฯเอ็กคลูซีฟสำหรับลูกค้าเอไอเอส อาทิ Blue Mobile ดูหุ้นแบบเรียลไทม์ จากตลาดหุ้นไทยและเทศมากกว่า 160 แห่งทั่วโลก พร้อม เช็คอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ราคาน้ำมัน และอื่นๆ ,Manager : เกาะติดข่าวในเครือ ASTV ผู้จัดการ ,QR Coder โปรแกรมอ่านและสร้าง QR code ได้ด้วยตนเอง พร้อมส่งอีเมลไปให้เพื่อนได้เลย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: เกมกระดานยุคใหม่ “Sifteo” บล็อกเหลี่ยมสุดหรรษา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 19:16:03
ความแปลกใหม่ในการออกแบบวิธีเล่นเกมที่สนุกและไม่ซ้ำซากจำเจ มักถูกยกย่องกล่าวขวัญถึงเสมอ หากมันสามารถผลักดันตัวเองให้เป็นที่นิยมในคนหมู่มากได้ วันนี้เราลองมาดูผลิตภัณฑ์เพื่อการเล่นเกมในวิถีทางใหม่ๆเพียงแค่ดัดแปลงจาก รูปแบบพื้นฐานทั่วไปจนทำให้มันน่าสนใจไม่น้อยกับเจ้า “Sifteo” บล็อกเหลี่ยมสุดหรรษา ผลงานชิ้นเอกของบัณฑิตจากสถาบัน MIT
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106001.JPEG)

      หากเราดูเผินๆ “Sifteo” อาจจะเป็นการต่อบล็อกง่ายๆ แต่เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดเราก็จะพบว่ามันดึงดูดใจอย่างไม่ธรรมดา เนื่องจากมันสามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบล็อกต่อบล็อกกันได้ โดยแสดงผลผ่านหน้าจอ LCD ขนาดจิ๋วด้านหน้า แถมยังตอบสนองต่อเคลื่อนไหวของตัวมันได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจับต้อง,วางซ้อนกัน,เขย่า และการเลื่อนมันไปมา แต่ละบล็อกจะต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ทั้งพีซีและแมคแบบไร้สายในการแม่ข่ายและ เอาไว้เลือกสรรเกมต่างๆมาเล่น ทั้งนี้ ก่อนเริ่มสนุกกับเจ้า Sifteo นั้น ผู้จะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งเสียก่อน จากนั้นก็ต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อเข้าไปซื้อเกมและแอปปลิเคชันผ่านออนไลน์มา เล่นเพิ่ม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106002.JPEG)
David Merrill และ Jeevan Kalanithi กับผลงานชิ้นนำร่อง "Siftables" ก่อนจะเป็น Sifteo

      บล็อกแบบอินเตอร์แอ็กทีฟดังกล่าวเป็นผลงานของบริษัทในชื่อเดียวกันกับชื่อ เกม ก่อตั้งโดย David Merrill และ Jeevan Kalanithi หลังพวกเขาได้ทำผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ "Siftables" เป็นโปรเจกต์จบสมัยเรียนอยู่ที่ MIT Media Lab จากนั้นก็นำมันมาต่อยอด ด้วยการตั้งบริษัท Sifteo ในปี 2009 ต่อมาก็มี Brent Fitzgerald เข้ามาร่วมแรงเพื่อช่วยออกแบบซอฟต์แวร์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106003.JPEG)

      สองผู้คิดค้น Sifteo ระบุว่า พวกเขาทำเกมบล็อกเหลี่ยมอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาก็เพราะความต้องการที่จะพัฒนา ระบบการเล่นที่ผนวกทั้งวิดีโอเกมที่พลิกแพลงได้ให้เข้ากับเกมกระดาน โดย David Merrill ประธานและผู้ก่อตั้ง Sifteo เชื่อว่าผลงานของเขาเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าการเล่นเกมได้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านการเล่นเกมในอนาคต ส่วนคู่หู Jeevan Kalanithi มองว่า การเล่นเกมคอนโซลแบบเก่าๆมันยังไม่ค่อยเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกตอนเล่นเกม กระดานคลาสสิคๆอย่างไพ่นกกระจอก หรือพวกโดมิโนสักเท่าไหร่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106004.JPEG)

      รายชื่อ 6เกมเบื้องต้นของ Sifteo ประกอบด้วย “Chroma Shuffle” เกมพัซเซิลที่ให้เราหาวิธีสลับบล็อกให้สีตรงกันเพื่อเคลียร์มันให้หมดไป (เกมนี้จะฟรีสำหรับลูกค้าชุดแรก), “Booker the Penguin” เกมผจญภัยของเจ้าเพนกวินเพื่อหนีอันตรายจาก Owlbear จอมตะกละ พร้อมกับการค้นหาไข่ , “Mount Brainiac”เกมที่ช่วยฟื้นความทรงจำของ Pappus หลังจากถูกเวทมนตร์ของปีศาจ Zeno โดยเราจะต้องการสะกดคำ,เรียงคำและทักษะทางด้านตัวเลข
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106005.JPEG)
Chroma Shuffle

      “Oogor's Day” เกมช่วยหาเพื่อนใหม่ให้กับ Oogor ในหนังสือนิทานเสมือนจริง เมื่อเราเอาลูกบาศก์มาปะติดปะต่อกันก็จะทำให้พบกับตัวละครต่างๆ และสร้างเรื่องราวใหม่ๆทุกครั้งที่เล่น หากเราเอียง,แตะหรือเขย่าก้อนเหลี่ยม ตัวละครในนั้นสามารถทำสิ่งที่แตกต่างกันได้ด้วย, “Word Play” เกมสำหรับคนรักภาษาเพื่อทดสอบความว่องไวจากการเรียงตัวอักษรเป็นคำศัพท์ ต่างๆในเวลาที่จำกัด และเกม “Sifteo Labs”รวมมิตรเกม ภายในแยกย่อยเป็นเกมอีกมากมาย (เกมอื่นนอกจาก Chroma Shuffle จะเล่นได้ฟรีแบบจำกัดเวลาในช่วงแรก)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106006.JPEG)
Booker the Penguin

      ตัวบล็อกลูกบาศก์มีขนาด 1.5 นิ้ว สำหรับชุด Starter Kit จะมีให้ 3 บล็อก ภายในชุดยังมีแท่นชาร์จแบตเตอรี ,USB เชื่อมต่อสัญญาณไร้สาย (20 ฟุต) และแต้ม 1,000 พอยต์ ทั้งหมดราคาขายในช่วงเริ่มต้นอยู่ที่ 99 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000บาท ลดจากราคาปกติ 149 เหรียญสหรัฐ (4,500บาท) กำหนดออกขายช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ขณะนี้เปิดให้จองผ่านทางเว็บไซต์ได้แล้ว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106007.JPEG)
Mount Brainiac

      ทั้งนี้ นอกจากเราจะใช้ Sifteo 3 บล็อกเล่นเกมได้แล้ว ผู้เล่นสามารถซื้อมาเพิ่มได้อีก เพราะมันรองรับการเชื่อมต่อได้สูงสุด 6 บล็อก ,มันใช้แบตแบบ LiPol เมื่อชาร์จแบตเตอรีแต่ละครั้งสามารถใช้เล่นได้ 4 ชั่วโมง ,มันสามารถปิดตัวเองได้อัตโนมัติเมื่อไม่เล่นมันนานๆ ,ใช้ CPU แบบ 32 บิตควบคุมการทำงาน ,หน้าจอแสดงภาพ 128 x 128 พิกเซล ,มีตัวจับการเคลื่อนไหวแบบ 3 แกน ,เชื่อมต่อไร้สายแบบ 2.4 Ghz,น้ำหนัก 35 กรัม,ตัวโครงสร้างทำจาก ABS และ PC พลาสติก และขนาดเครื่องอยู่ที่ 4.3 x 4.3 x 1.9 เซ็นติเมตร สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รองรับเกมนั้น ควรมีระบบปฏิบัติการวินโดวส์ XP, 7 หรือ Mac OS X 10.5 ขึ้นไป RAM 512 MB และมีพื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 200 MB

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000106008.JPEG)
Oogor's Day

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: 7 เทคนิคใช้โซเชียลมีเดีย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 20:23:15
ผมได้มีโอกาสอ่านพบ ข้อความหนึ่งที่เขียนผ่านทวิตเตอร์ ว่า สมัยก่อนที่ยังไม่มีเฟซบุ๊ค ไม่มีทวิตเตอร์ มีแค่ช่องเก้าการ์ตูน ก็มีความสุขแล้ว พออ่านข้อความนี้แล้วลองคิดตาม ว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ความสุขลดลงจริงหรือไม่  หลายครั้งผมเองก็หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ในยามพักผ่อน ลองนึกดูว่า คนที่ต้องเกาะติดอยู่กับโซเชียลมีเดีย ตลอดจะมีความสุขได้อย่างไร  มีเทคนิคดังนี้

(http://www.biojobblog.com/uploads/image/social_media_clutter(1).jpg)

1. ใช้โซเชียลมีเดียให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน เว็บโซเชียลมีเดียที่ มีกันอยู่หลากหลายนั้น ต่างมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น เฟซบุ๊ค สามารถสื่อสารได้ทั้งตัวอักษรและรูปภาพ หรือบริการบล็อกสั้นอย่างทวิตเตอร์นั้น ใส่ได้เฉพาะตัวอักษร หากมองกันดีๆ ทวิตเตอร์ ไม่สูบพลังงานมากเท่าเฟซบุ๊ค
 
2. ใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ลองใช้ความสามารถ ความรู้ หรือประสบการณ์ของคุณที่มีอยู่ นำไปตอบคำถามของเพื่อนๆ หรือบางครั้งตอบให้กับคนที่ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งการทำแบบนี้ก็จะทำให้รู้สึก ว่า สามารถช่วยเหลือคนอื่นในเรื่องที่ตนเองถนัด  บางครั้งอาจไม่ใช่แค่การตอบคำถาม แต่เป็นการช่วยบอกต่อ เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น
 
3. ใช้สอบถามความคิดเห็น ที่ตัดสินใจไม่ถูกว่า จะเลือกทางไหนดี ให้ลองเขียนลงบนเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ ถามไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านั้น บางครั้งก็จะได้คำตอบที่ดีเกินคาด
 
4. ใช้ระบบส่งข้อความแบบส่วนตัวเพื่อสื่อสารเรื่องธุรกิจ ลองหันมาใช้ direct message ในทวิตเตอร์ หรือส่งข้อความส่วนตัวไปในเฟซบุ๊ค บางทีเพื่อนๆ หรือคนที่ติดตามอ่านเฟซบุ๊คของคุณอยู่ อาจอยากรู้ว่าคุณทำธุรกิจอะไร ที่ไหน  บางครั้งเขาอาจกำลังมองหาคู่ค้าที่คุณถนัดอยู่พอดี  หรือหากติดต่อสื่อสารกันไปได้จนสนิทสนม อาจสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจได้
 
5. ใช้เพื่อให้มีเพื่อนคอยปรึกษา หลายครั้งที่เราเกิดความเครียดจากการทำงาน หรือเรียน อาจใช้ทวิตเตอร์หาเพื่อนคุย ต้องระวังว่าอย่าเผลอไปใช้ข้อความที่หยาบคายหรือฟังดูแรงนะครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะย้อนมาทำร้ายตัวเราได้ในอนาคต เช่น ตอนสมัครงาน เดี๋ยวนี้บางบริษัทมีการแอบไปอ่านเฟซบุ๊คของคนมาสัมภาษณ์ก่อนล่วงหน้า  ทั้งนี้ เพื่อเรียนรู้ตัวตนของผู้สมัครที่บางครั้งอาจไม่สามารถสอบถามได้หมดในระยะ เวลาสัมภาษณ์นัดไว้ เป็นต้น
 
6. ใช้เพื่อหาเพื่อนใหม่ ผมต้องสารภาพก่อนเลยว่าผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายคนผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเพื่อนเหล่านี้ก็สนใจในเรื่องราวที่ผมสนใจเช่นกัน การพบเจอเพื่อนใหม่ ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องออกไปพบเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เสมอไป แต่บางทีการรู้จักการผ่านรูปภาพและตัวอักษร ก็ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ง่ายขึ้น มากขึ้น โดยไม่รู้ตัวเชียวครับ
 
7. ใช้เพื่อหาข้อมูลความรู้ใหม่ ผมมักจะใช้ฟังก์ชันบุ๊คมาร์ค หรือ Add Favorite ของทวิตเตอร์อยู่บ่อยๆ เพราะเมื่อเราพบเห็นข้อความที่ดีๆ หรือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ผมก็จะรีบบุ๊คมาร์คเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยมาอ่านในภายหลังหากในขณะนั้นเรายังไม่ว่าง ซึ่งผมได้ข้อมูลในการทำงานหลายครั้งจากความพยายามที่จะ Add Favorite ข้อความที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา

ลองนำไปใช้กันดูนะครับ หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ทุกท่านสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าง มีความสุขตลอดปี 2554 และต้องขอขอบคุณภาพประกอบโดย FasTake ด้วยครับ สุดท้ายนี้ ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้อ่าน แม้ว่าจะได้มาสวัสดีช้าไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Sony เปิดตัวมือถือ Android ในงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มกราคม 2011, 22:27:00
เมื่อวานนี้ Sony Ericsson เปิดตัวสมาร์ทโฟน Xperia arc ซึ่งเป็นมือถือรุ่นแรกที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android แถมยังมีดีไซน์ที่บางเฉียบ พร้อมด้วยกล้องถ่ายรูปความละเอียดสูง นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่สาวก Sony Ericsson ที่หลงรัก Android ไม่ควรพลาด!!!

สำหรับสเป็ก Sony Ericsson Xperia arc สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ซึ่งทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.3 และใช้โพรเซสเซอร์ Qualcomm 1GHz หน่วยความจำ 512MB และหน้าจอสัมผัสแบบมัลติทัชขนาด 4.2 นิ้ว (Sony Ericsson เรียกว่า Reality Display) ความละเอียด 854 x 480 พิกเซล ในส่วนของกล้องที่มาด้วยกันจะมีความละเอียด 8.1 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกวิดีโอไฮเดฟ 720p โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่บางเฉียบแค่ 8.7 มม. ในขณะที่น้ำหนักเพียง 117 กรัมเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/sony-ericsson-xperia-arc-android-smart-phone-debuts-at-CES-2011-2.jpg)

ในส่วนของคุณสมบัติกล้องที่มากับ Sony Ericsson Xperia arc นอกจากจะมีเรื่องของความละเอียดสูงแล้ว มันยังมีระบบออโต้โฟกัส ฟังก์ชันตรวจจับใบหน้า (face detection) แฟลช LED ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilizer) ฟังก์ชันติดป้ายระบุตำแหน่งของสถานที่ที่่ถ่ายรูป (geo tagging) และลดสัญญาณรบกวนภาพ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Exmor R ที่ทำให้คุณได้ภาพถ่าย และวิดีโอที่สวยงาม แม้จะบันทึกภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/sony-ericsson-xperia-arc-android-smart-phone-debuts-at-CES-2011-3.jpg)

ไม่เพียงแต่จะคับแก้วด้วยคุณสมบัติของกล้องถ่ายรูป และวิดีโอแล้ว Sony Ericsson Xperia arc ยังมีแจ็คออดิโอขนาด 3.5 มม. พอร์ต HDMI และ USB เชื่อมต่อเน็ตไร้สายด้วย Wi-Fi และอุปกรณ์ไร้สายด้วย Bluetooth นอกจากนี้ยังสนับสนุน aGPS และ DLNA (Digital Living Network Alliance) ที่ทำให้คุณสามารถเข้าถึงภาพยนต์ เพลง และภาพถ่ายบนพีซี หรือทีวีที่สนับสนุนเทคโนโลยีนี้แบบไร้สาย รองรับการ์ดหน่วยความจำได้สูงสุด 32GB (ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ microSD 8GB) Sony Ericsson Xperia arc จะวางตลาดในบางประเทศตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2011

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: 4 แบรนด์ซีพียูตบเท้าเดินเปิดตัว เริ่มรุกตลาดกลางปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 04:11:57
ในงาน CES 2011 หลายค่ายผู้ผลิตหน่วยประมวลผลหรือ "ซีพียู" ต่างก็กำลังระดมพลเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ๆ กันอย่างแข็งขัน โดยไฮไลท์ของรุ่นซีพียูที่สื่อต่างให้ความสนใจคงหนีไม่พ้น Sandy Bridge จาก Intel อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ยังมีซีพียูอีกหลายรุ่นที่กำลังตบเท้าเดินเปิดตัวออกมาอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งวันนี้ทีมงานผู้จัดการไซเบอร์จะขอสรุปซีพียูที่ได้เปิดตัวไปแล้วในงาน CES 2011 ว่ามีตัวใดน่าสนใจบ้าง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000166405.JPEG)

      Project Denver (NVIDIA+ARM)
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000166401)      
      
      ข่าวนี้เป็นอีกหนึ่งข่าวที่ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อแบรนด์ผู้ ผลิตกราฟิกการ์ดอย่าง NVIDIA มาร่วมจับมือกับผู้คร่ำหวอดในวงการผู้ผลิตซีพียูมือถืออย่าง ARM ร่วมผลิตซีพียูให้กับคอมพิวเตอร์พีซีและซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
      
      โดยในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของสเปกหลุดออกมา แต่จะมีเพียงข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับตัวซีพียูใน Project Denver ว่า ทาง NVIDIA และ ARM มีแผนจะคลอด Project Denver เพื่อให้ซีพียู ARM ครอบคลุมตลาดหน่วยประมวลผลทั้งหมด ทั้งมือถือ คอมพิวเตอร์พีซี โน้ตบุ๊ก และ Tablet หลังจากที่ ARM สามารถครองตลาดหน่วยประมวลผลในอุปกรณ์มือถือ และมีแผนจะร่วมพัฒนา Tegra ตัวต่อไปกับ NVIDIA (น่าจะใช้ Cortex A15 processor เป็นหน่วยประมวลผลหลัก)
      
      ซึ่ง Project Denver จะพัฒนาให้ซีพียูและกราฟิกชิปจาก NVIDIA ทำงานร่วมกันได้คล้ายกับ Intel Sandy Bridge โดยการพัฒนาโครงการ Project Denver นี้ค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ผลิตซอฟท์แวร์ต่างๆ อย่าง Microsoft ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Project Denver จะสามารถทำงานร่วมกับ Windows ตัวต่อไปของตนได้ด้วย
      
      AMD Deccan, Bobcat, Bulldozer & Low Power Notebook
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000166402)      
      
      AMD ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่พยายามรวมกราฟิกชิปกับซีพียูไว้ด้วยกันในชื่อ "Fusion" โดยแผน Roadmap ของ AMD ในปี 2011 ทาง AMD มีแผนจะขยายตลาดซีพียู Ontario บนแพลตฟอร์ม Brazos ที่จะทำงานร่วมกันบนสถาปัตยกรรม Fusion เดิมให้มากขึ้น อีกทั้งในส่วนของแพลตฟอร์มที่จะมีการเปิดตัวใหม่ที่น่าสนใจคงจะเป็นแพ ลตฟอร์ม Deccan ซึ่งคาดว่าจะมาแทนแพลตฟอร์ม Brazos ในอนาคต
      
      นอกจากแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้วทาง AMD ยังมีการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Bobcat ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ระบบประหยัดพลังงาน เพราะ APU ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ และ Bulldozer ที่มีแกนทำงานที่ 16 แกน โดยทาง AMD ตั้งเป้าไว้ว่า Bulldozer จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างแน่นอน
      
      อีกทั้งภายในงาน ทาง AMD ยังเปิดตัว Laptop จากผู้หลายแบรนด์ผู้ผลิตบนแพลตฟอร์ม Brazos จำนวน 4 รุ่นได้แก่ E-Series จะใช้ซีพียูโค้ดเนม Zacate ซึ่งเป็นซีพียู E-350 Dual Core ความเร็ว 1.6GHz และ E-240 Single Core ความเร็ว 1.5GHz โดยทั้งหมดบริโภคพลังงานอยู่ที่ประมาณ 18 วัตต์
      
      ส่วนในรุ่น C-Series จะใช้ซีพียูโค้ดเนม Ontario ความเร็ว 1.0GHz สำหรับรุ่น Dual Core C-50 และความเร็ว 1.2GHz สำหรับรุ่น Single Core C-30 โดยซีพียูตระกูล C-Series จะบริโภคพลังงานอยู่ที่ประมาณ 9 วัตต์
      
      ส่วนวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะอยู่ในช่วงกลางปี 2011
      
     VIA Nano X2
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000166403)
      
      ด้านผู้ผลิตชิปเซ็ทอย่าง VIA ก็ขอเกาะกระแสซีพียูบริโภคพลังงานต่ำแบบ Dual Core in One Die กับเขาบ้าง โดยชิป VIA Nano X2 สามารถรองรับระบบ 64-bit ได้สมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นตัวชิปยังรองรับการใช้งานแบบ Multi-Tasking และทาง VIA ได้ตั้งเป้าในการขายซีพียูรุ่นดังกล่าวบนในตลาด All-in-One และ Mobile Device เป็นหลัก
      
      สำหรับสเปกของตังซีพียูในส่วนอื่นมีดังต่อไปนี้
      
      * Advanced multi-core processing
      * Power-efficient out-of-order x86 architecture
      * Full support for 64-bit operating systems
      * High-performance superscalar processing
      * Most efficient speculative floating point algorithm
      * Full processor virtualization support
      * Advanced power and thermal management
      * VIA PadLock? hardware security features
      * Pin-to-pin compatibility with other VIA processors
      
      Intel Sandy Bridge
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000166404)      
      
      สุดท้ายมาที่ซีพียูสุดร้อนแรงที่สุดในงาน CES 2011 จากอินเทลอย่าง Sandy Bridge ที่มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องการรวมแกนซีพียูและกราฟิกชิปไว้ที่ Die ตัวเดียวกัน ทำให้อุณหภูมิระหว่างใช้งานค่อนข้างต่ำ อีกทั้งภายใน Sandy Bridge ยังมาพร้อมคุณสมบัติพิเศษอย่าง Intel Quick Sync, WiDi 2.0 หรือ Intel InTru 3D ที่จะช่วยในการประมวลผลระบบมัลติมีเดียความละเอียดสูงหรือระบบ 3 มิติทำได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งกราฟิกการ์ดภายนอกแต่อย่างใด

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Mac App Store เปิดให้บริการแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 13:06:30
ในที่สุด Apple ก็เปิด Mac App Store แล้ววันนี้ วัตถุประสงค์เพื่อให้บริการหน้าร้านออนไลน์จำหน่ายแอพพลิเคชันพื้นฐานให้กับ ผู้ใช้แมค โดยมีหน้าตา และคุณสมบัติการใช้งานคล้ายกับ App Store ของอุปกรณ์ iOS (iPhone, iPod Touch และ iPad) ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้สามารถซ์้อ และติดตั้งแอพพลิเคชันจากเครื่องแมคของตนได้เลย

ปัจจุบน Mac App Store มีแอพพลิเคชันให้ดาวน์โหลดประมาณ 1,000 แอพฯ โดยมีราคาตั้งแต่ฟรีไปจนถึง 179,99 เหรียญฯ (ประมาณ 5,500 บาท) ซึ่งเป็นราคาของ Aperture 3 แอพพลิเคชันตกแต่งภาพระดับมืออาชีพ นอกจากนี้ ทาง Apple ยังอยู่ให้บริการในส่วนของผลิตภัณฑ์ของตนเองขึ้นจำหน่ายใน Mac App Store ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Pages, Keynotes และ Numbers จากชุด iWork รวมถึง GarageBand, iMovie และ Photo apps จาก Life 11 สำหรับการสั่งซื้อโปรแกรมชุด iLife ผ่าน Mac App Store จะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อเป็นกล่องถึง 15 เหรียญฯ (ประมาณ 500 บาท)

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/mac-app-store-open-with-1000-apps-for-mac-users-2.jpg)

"เราคิดว่า ผู้ใช้จะต้องชอบวิธีใหม่ในการค้นพบ และสั่งซื้อแอพฯที่ชื่นชอบจากทาง Mac App Store" สตีฟ จอบส์ ซีอีโอ Apple กล่าวในถ้อยแถลง ผู้ใช้จะสามารถใช้งาน Mac App Store ได้อย่างง่ายดายด้วยอินเตอร์เฟซที่คุ้นเคย โดย Apps จะถูกแบ่งเป็นหมวดต่างๆ และการสั่งซื้อจะใช้แอคเคาต์ iTunes การอัพเดตแอพฯ ก็จะเหมือนกับการให้บริการอัพเดตแอพฯบนเวอร์ชัน iOS ซึ่งก็คือ ผู้ใข้จะต้องโหลดจาก App Store เพื่อที่จะเข้าสู่กระบวนการอัพเดต

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/mac-app-store-open-with-1000-apps-for-mac-users-3.jpg)

ในส่วนของรายชื่อแอพยอดนิยมที่ปรากฎในหน้าร้าน Mac App Store ไม่น่าประหลาดใจเท่าไร? โดยเฉพาะ Angry Birds ที่ขึ้นอันดับหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกัน iPhoto และ iMovie ก็ติดอยู่ใน 5 อันดับแรก สำหรับคุณผู้อ่านที่ต้องการใช้บริการของ Mac App Store เครื่องแมคของคุณจะต้องติดตั้งอัพเดต Mac OS X 10.6.6 ที่จะออกในวันนี้ด้วย โดยในชุดอัพเดตนี้ยังได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดมากมาย ตลอดจนปรับปรุงระบบให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Motorola Xoom คู่ชก iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 13:21:47
ในงาน CES 2011 โมโตโรลา (Motorola) ได้เปิดตัวแท็บเล็ต Motorola XOOM อย่างเป็นทางการ โดยมาพร้อมกับอินเตอร์เฟซของระบบปฏิบัติการใหม่ Android Honeycomb พร้อมทั้งสเป็กความแรงสุดยอดในการดาวน์โหลดข้อมูลด้วย 4G เรียกได้ว่า งานนี้ Motorola XOOM แย่งซีนกระแสของ iPad 2 (ที่โผล่มาแค่ซองใส่กับ mock up) ไปเรียบร้อยแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/Motorola-XOOM-Android-Honeycomb-Tablet-iPad-Killer-CES-2011-1.jpg)

หลังจากที่หลายคนได้เห็น Motorola XOOM ที่มาพร้อมกับ Android Honeycomb (โอเอสเวอร์ชันที่สนับสนุนการทำงานของ"แท็บเล็ต"ค่อนข้างสมบูรณ์ ) แบบแว้บๆ ในงานประชุมทางด้านเทคโนโลยีทีมีการจัดขึ้นเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน คราวนี้ก็จะได้เห็นของจริงกันอย่างเต็มสักทีที่งาน CES 2011 "น้ำหนักเบา ทรงประสิทธิภาพ และมีพื้นฐานการทำงานที่แตกต่างจากแท็บเล็ตทั่วไปในท้องตลาด Motorola XOOM เป็นการรวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีที่มีวันนี้ เพื่อสร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์ในการใช้แท็บเล็ต" Bill Ogle ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Motorola Mobility กล่าว "Motorola XOOM เป็นแท็บเล็ตเครื่องแรกที่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ (Android Honeycomb) ที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อทำงานบนแท็บเล็ตโดยเฉพาะ ทำให้ Motorola XOOM สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ"

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/Motorola-XOOM-Android-Honeycomb-Tablet-iPad-Killer-CES-2011-2.jpg)

สำหรับคุณสมบัติของ Motorola XOOM จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 บนแพลตฟอร์มซีพียูดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 ที่ความเร็ว 1GHz นั่นหมายความว่า มันสามารถตอบโจทย์การใช้งานทางด้านมีเดียรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อทำงานร่วมกับ Android Honeycomb ที่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ Motorola XOOM จึงเป็นแท็บเล็ตที่มีระบบจัดการสื่อ และข้อมูลต่างๆ ในเครื่อง ประกอบกับดีไซน์ที่เรียบหรูดูน่าใช้เทียบชั้น iPad ได้ไม่ยากเย็นนัก ในส่วนของหน้าจอสัมผัสความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล สนับสนุนการเล่นวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ 1080p อีกทั้งยังมีกล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซลสามารถบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ 720p ในขณะที่กล้องด้านหน้าสามารถใช้ video chat ได้ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการเชื่อมต่อเน็ตไร้สาย Wi-Fi และอุปกรณ์ Bluetooth อีกด้วย สตอเรจในเครื่อง 32GB แบตเตอรี่ที่สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้นาน 10 ชั่วโมง ดูเหมือน iPad จะเจอคู่แข่งตัวจริงซะแล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: NEC โชว์ "แท็บเล็ต" 2 จอ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 13:31:21
ในขณะที่ผู้ผลิต"แท็บเล็ต" (tablet) ในตลาดกำลังฟาดฟันกันด้วยสเป็กขั้นเทพ โดยเฉพาะการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงอย่าง dual-core Tegra 2 ของ NVIDIA แต่ NEC กลับเลือกใช้โพรเซสเซอร์รุ่นอื่น แล้วหันกลับไปเพิ่มหน้าจอสัมผัสอีกหน้าจอหนึ่งขึ้นมากลายเป็น"แท็บเล็ต" 2 หน้าจอ ว่าแต่ NEC กำลังคิดอะไร? เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/NEC-Cloud-Communicator-dual-screen-android-tablet-CES-2011-2.jpg)

NEC เรียก"แท็บเล็ต"หน้าจอคู่ของทางบริษัทว่า NEC LT-W Cloud Communicator ว่าแล้วปริศนาของการออกแบบก็อยู่ที่ชื่อของผลิตภัณฑ์นั่นเอง โดยสเป็กของเครื่องจะประกอบด้วยหน้าจอสัมผัสแบบ resistive (ใช้สไตลัส หรือเล็บ) ขนาด 7 นิ้วความละเอียด 800 x 600 สองหน้าจอแบบฝาพับ ลักษณะคล้ายเน็ตบุ๊คแต่เล็กกว่า และดีไซน์คล้ายหนังสือ เล่ม นอกจากนี้ มันยังทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android 2.1 ECliar (กำลังพัฒนาให้ทำงานกับ Froyo) และใช้โพรเซสเซอร์ ARM Cortex A8 บนตัวเครื่องยังมาพร้อมกับพอร์ต USB 2.0 ลำโพง และระบบ GPS

ภายในมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง Accelerometer และกล้อง 3 ล้านพิกเซลที่ด้านหลังสามารถบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ 720p เชื่อมต่อเน็ตไร้สาย Wi-Fi และอุปกรณ์ Bluetooth (ภายในยังมีพื้นที่เหลือสำหรับการเพิ่มคุณสมบัติการเชื่อมต่อ 3G) ในส่วนของหน่วยความจำสามารถเพิ่มด้วยการ์ด SDHC สเป็กโดยรวมดูเหมือน NEC ต้องการเล่นตลาดแท็บเล็ตระดับล่างมากกว่าที่จะขึ้นไปชนในตลาดบนที่ค่อนข้าง จะเป็นสมรภูมิเดือดอยู่ในขณะนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: บัญชีผู้ใช้ iTunes ถูกแฮคขายในจีน!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 14:03:03
สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นลูกค้า iTunes แนะนำให้ตรวจสอบบัญชีผู้ใช้ของตัวเองว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือไม่? โดยเฉพาะผู้ใช้ที่มีข้อมูลการชำระค่าใช้จ่ายที่ผูกติดกับบัญชีผู้ใช้ในการ สั่งซื้อแอพฯ บน iTunes เนื่องจากรายงานข่าวล่าสุด พบบัญชีผู้ใช้ (พร้อมรหัสผ่าน) iTunes กว่า 50,000 รายจำหน่ายบนเว็บไซต์ TaoBao (อีเบย์เวอร์ชันก็อปปี้ในจีน) บางทีหนึ่งในนั้นอาจเป็นบัญชีผู้ใช้ iTunes ของคุณก็ได้!!!

Zou Le ผู้รายงานข่าวจาก Chinese Globa Times เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว โดย Le กล่าวว่า แค่ 5 เหรียญฯ (ประมาณ 150 บาท) ก็ได้บัญขีผู้ใช้ iTunes และพาสเวิร์ดที่ใช้งานได้แล้ว โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่ของลูกค้า iTunes ได้อีกด้วย ซึ่งผู้ขาย iTunes account ยังแนะนำผู้ซื้อใน TaoBao ให้รีบดาวน์โหลดแอพฯ ภาพยนต์ เกมส์ และเพลงจาก iTunes ภายใน 12 ชั่วโมง

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iTunes-accounts-sell-on-taobao-50000-acoount-2.jpg)

"ที่น่ากลัวก็คือ ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาจีนก็ได้ เพราะสามารถใช้บราวเซอร์อย่าง Chrome เพื่อแปลภาษาบนหน้าเว็บ TaoBao แล้วคลิกลิงค์รายชื่อของเหยื่อที่ต้องการซื้อได้ทันที" Graham Clueley ผู้เชี่ยวชาญจาก Sophos บริษัทแอนตีไวรัส กล่าวว่า เป็นไปได้ที่แอคเคาต์เหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ไม่หวังดีด้วยการใช้ ข้อมูลรายละเอียดจากบัตรเครดิตที่แฮคมาได้ เพื่อใช้ในการเข้าถึงข้อมูลบัญชีผู้ใช้ iTunes จากนั้นนำไปโพสต์ขายบนเว็บไซต์ TaoBao

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขโมยบัญชี ลูกค้า iTunes เนื่องจากเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว ผู้ใช้ iTunes แจ้งว่า ถูกชาร์จค่าใช้บริการ iTunes จาก PayPal เป็นเงินเกือบ 1,000 เหรียญฯ (ประมาณ 32,000 บาท) โดยที่ตนเองไม่รู้เรื่องเลย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Dell Streak 7 เปิดตัวแล้วในงาน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 15:23:56
งาน CES 2011 "แท็บเล็ต" เป็นพระเอกของงานจริงๆ Gadget อื่นๆ ดูจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่แนวโน้มของการเปิดตลาดแทบทุกเจ้าแบบนี้ คงต้องมาดูกันที่ความต้องการของผู้บริโภคด้วยว่าจะแรงสักแค่ไหน? และในงานครั้งนี้ Dell ที่เคยเปิดตลาดแท็บเล็ตไซส์เล็กพริกขี้หนูจนไม่แน่ใจว่า มันคือ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตกันแน่กับ Dell Streak รุ่นแรกที่หน้าจอ 5 นิ้ว ว่าแล้วก็เลยส่ง Streak 7 ที่เลข 7 ไม่ได้หมายถึง Windows 7 แต่เป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ชนผู้ท้าชิงอย่าง Galaxy Tab ของ Samsung ซะเลย

Dell Streak 7 แท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับหน้่าจอ WVGA ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แข็งแกร่งทนทานต่อรอยขีดข่วน และไม่แตกง่ายด้วย Gorilla glass ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 และใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Tegra 2 ของ Nvidia อีกแล้วครับท่าน โดยจะวางตลาดพร้อมกับแอพฯพรีโหลดให้มากมาย แต่ไฮไลท์ที่ดูเหมือนจะใช้ในการเปิดตัวครั้งนี้ที่งาน CES 2011 ก็คือ Dell Streak 7 จะได้รับการออกแบบให้สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานการรับส่งข้อมูลด้วยเครือ ข่าย 4G ของ T-Mobile อย่างสมบูรณ์แบบ

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/dell-streak-7-android-tablet-at-ces-2011-2.jpg)

นอกจาก Dell Streak 7 จะมีหน้าจะที่อใหญ่ และโพรเซสเซอร์ที่แรงแล้ว ฟังก์ชันที่"แท็บเล็ต"แทบทุกเจ้าชูโรงในความเหนือกว่า iPad ก็คือ กล้อง 2 ตัว โดยด้านหน้าจะมีกล้อง 1.3 ล้านพิกเซลใช้สำหรับ video chat ในขณะที่ด้าน 5 ล้านพิกเซลสำหรับการถ่ายรูป และบันทึกวิดีโอ หน่วยความจำภายในเครื่อง 16GB และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD เพิ่มเติมได้สูงสุด 32GB ตัวเครื่องดีไซน์ให้มีความบางแค่ 12.5 มิลลิเมตรเท่านั้น สนับสนุน GPS เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth งานนี้ Galaxy Tab ดูท่าจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้ ทาง Dell ยังยืนยันอีกด้วยว่า รุ่น 10 นิ้วจะตามมาในเร็วๆ นี้ (ล่าสุด Samsung ได้เปิดตัว Galaxy Tab เวอร์ชัน Wi-Fi อย่างเดียว โดยจะวางตลาดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: richly ที่ 07 มกราคม 2011, 15:40:35
ขอบคุณสำหรับข่าวสารครับ


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: kengointer ที่ 07 มกราคม 2011, 15:41:17
ไม่รู้ซื้อไปจะคุ้มหรือเปล่า เพราะยังไง 3G บ้านผมก็ยังไม่มา


หัวข้อ: SOC บนวินโดว์, Surface 2.0, เมาส์มัลติทัส สามสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากไมโครซอฟท์ในปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 15:55:29
ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายผู้ผลิตซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ได้รับความสนใจ จากผู้บริโภคและสื่อมวลชนในงาน CES 2011 ค่อนข้างมาก โดยในปีนี้ทางไมโครซอฟท์ได้ตั้งเป้าเปิดตัวเทคโนโลยีไปที่กล้อง Kinect สำหรับ XBOX360 เสียมากกว่า แต่ถึงอย่างไรในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์พีซีทางไมโครซอฟท์ก็มีไม้เด็ด ล้มคู่แข่งมานำเสนอในงานถึง 3 อย่างด้วยกัน แต่จะเป็นอะไรนั้น ลองติดตามกันต่อได้เลยครับ
      
      **วินโดว์ตัวต่อไปถูกโฟกัสไปที่ SoC**
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000194202.JPEG)      
วินโดว์ตัวต่อไปจากไมโครซอฟท์จะโฟกัสไปที่ SoC เป็นหลัก

      ในขณะที่วินโดว์ 7 กำลังทำยอดขายกอบกู้หน้าให้ไมโครซอฟท์อยู่ในปัจจุบัน ภายในงาน CES 2011 ทางไมโครซอฟท์ก็ได้เปิดตัววินโดว์ตัวต่อไปที่ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ โดย นาย Steven Sinofsky ประธานกลุ่ม Microsoft Windows และ Windows Live ประกาศว่า สำหรับวินโดว์ตัวต่อไปของทางไมโครซอฟท์จะถูกออกแบบมาให้รองรับกับ สถาปัตยกรรม x86 ประเภท System on a Chip (SoC) โดยตอนนี้่มีแบรนด์ผู้ผลิตซีพียูหลายราย ได้แก่ ARM ที่มาพร้อมพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA ใน Project Denver, Qualcomm Inc.Texas Instruments Inc. หรือแม้กระทั่ง Intel กำลังให้ความสนใจอย่างมาก
      
      อีกทั้งนาย Steven Sinofsky กล่าวต่อว่า ในวินโดว์ตัวต่อไปทางไมโครซอฟท์ยังพยายามเน้นจุดโฟกัสไปที่สถาปัตยกรรมอนาคต อย่าง SoC ที่จะมีจุดเด่นอยู่ที่ขนาดที่เล็กลง ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าในส่วนของประสิทธิภาพย่อมสูงขึ้น (รองรับ HD Content, 3D, 3D Games) ซึ่ง SoC น่าจะถูกใช้อย่างแพร่หลายในแท็บเล็ตหรือ All in One PC อย่างมาก โดย คุณสมบัติของวินโดว์ตัวต่อไปจะเน้นไปที่การใช้ฮาร์ดแวร์เร่งประสิทธิภาพผ่าน สถาปัตยกรรม SoC มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น Web Browser หรือ Media Player ต่างๆ
      
      **Surface 2.0 (Samsung SUR40 for Microsoft Surface) ขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น**
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000194203.JPEG)      
Surface 2.0 มาพร้อม Gorilla Glass 40 นิ้ว และขุมพลังจาก AMD

      Surface เวอร์ชั่นแรกเมืองไทยยังไม่มีให้เห็น ตอนนี้ไมโครซอฟท์ก็ประกาศเปิดตัว Surface รุ่น 2.0 ต่อแล้วในงาน CES 2011 โดย Surface 2.0 จะเป็นการร่วมกันพัฒนาระหว่างไมโครซอฟท์และซัมซุง โดย ในรุ่น 2.0 จะมาพร้อมหน้าจอ Gorilla Glass 40 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p 16:9 พร้อมซอฟท์แวร์ Microsoft Surface และที่สำคัญคือไมโครซอฟท์พัฒนาระบบ PixelSense ให้สามารถจับวัตถุและนิ้วมือได้ถึง 50 จุดในเวลาเดียวกัน โดยระบบดังกล่าวช่วยในเรื่องความแม่นยำที่สูงกว่าในรุ่นก่อนหน้าอย่างมาก
      
      สำหรับในส่วนของคุณสมบัติอื่นๆ Surface 2.0 ใช้ซีพียูและกราฟิกชิปจาก AMD ในรุ่น Athlon II X2 Dual Core ความเร็ว 2.9GHz และกราฟิกชิป Radeon HD 6700M ซึ่งรองรับชุดคำสั่งกราฟิก DirectX 11
      
      สุดท้ายในส่วนของการทำตลาด Surface 2.0 จะเริ่มเข้าทำตลาดใน 23 ประเทศในปลายปี 2011 โดยบริษัทที่ให้ความสนใจกับ Surface 2.0 ประกอบด้วย Dassault Aviation, Fujifilm Corp., Red Bull GmbH, Royal Bank of Canada และ Sheraton Hotels & Resorts Worldwide Inc.
      
      **เมาส์มัลติทัชตัวใหม่จากไมโครซอฟท์กำลังจะเป็นจริง**

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000194204.JPEG)      
ต้นแบบเมาส์มัลติทัชหลากหลายแบบในโครงการ Mouse 2.0 จาก Microsoft Research

      จากโครงการ Mouse 2.0 ของไมโครซอฟท์ ล่าสุดในงาน CES 2011 ทางไมโครซอฟท์นำโดยนาย Mark Relph ผู้นวยการอาวุโสกลุ่ม Windows Developer and Ecosystem Team จากไมโครซอฟท์กล่าวว่า ตอนนี้ทางทีมผู้พัฒนากำลังเร่งพัฒนาเมาส์มัลติทัชตัวใหม่ใกล้จะเสร็จสิ้น แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าทางทีมงานต้องการให้เมาส์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการ รุ่นล่าสุดอย่าง วินโดว์ 7 ให้สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมขึ้น
      
      ในส่วนของการใช้งานแบบมัลติทัช นาย Mark Relph กล่าวเสริมว่า นอก จากระบบ Point & Click เหมือนเมาส์ทั่วไปแล้วทางไมโครซอฟท์จะบรรจุระบบมัลติทัชพ่วงลงไปด้วย อย่างการนำนิ้วหนึ่งนิ้วมาสัมผัสที่ตัวเมาส์จะเป็นการสั่งงานให้ระบบเลื่อน สกอร์, แพนหน้ากระดาษหรือซูมหน้ากระดาษ หรือใช้สองนิ้วสัมผัสเพื่อย่อ-ขยายหน้าต่าง เป็นต้น
      
      ด้านราคาทางไมโครซอฟท์ตั้งไว้ที่ประมาณ 79.95 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,400-2,500 บาท) ด้านการเชื่อมต่อจะเป็นแบบไร้สายผ่าน Nano transceiver และสุดท้ายวันเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะอยู่ในช่วง มิถุนายน 2011
      
      **ตัวเลขชี้เป็นชี้ตาย**
      
      Steve Ballmer ผู้บริหารระดับสูงของไมโครซอฟท์รายงานตัวเลขชี้เป็นชี้ตาย ยอดขายของสินค้าแบรนด์ไมโครซอฟท์ในปี 2010 ที่ผ่านมา ในงาน CES 2011 ว่า ในปี 2010 ที่ผ่าน ไมโครซอฟท์เองพอใจกับยอดขายของซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์ในส่วนของเกมมิ่งอย่าง Xbox และ Kinect ที่สามารถทำยอดขายทะลุ 8 ล้านเครื่องใน 60 วันได้อย่างน่าพอใจ และใน ส่วนของซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัตการณ์อย่าง วินโดว์ 7 ทาง Ballmer ก็กล่าวแสดงความพอใจในเรื่องยอดขายอย่างมาก เพราะสามารถจำหน่ายระบบปฏิบัตการณ์ดังกล่าวได้ถึง 7 กล่องต่อวินาที
      
      สำหรับตัวเลขอื่นๆ อย่าง วินโดว์โฟน 7 ก็เปิดตัวด้วยยอดขาย 1.5 ล้านเครื่องในหนึ่งสัปดาห์ แม้ จะถือเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากแต่เมื่อมองถึงอนาคตแล้ว Ballmer มองว่าตัวเลขยอดขายจะโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมองได้จากส่วนของผู้พัฒนาซอฟท์แวร์บนวินโดว์ โฟน 7 ในปัจจุบันที่มีเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ราย อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลดใน วินโดว์ โฟน 7 มาร์เก็ต เพิ่มขึ้นเป็น 5,500 ตัว และมีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ให้ความสนใจจัดจำหน่าย วินโดว์ โฟน 7 เพิ่มขึ้นทั่วโลกเป็น 60 เจ้าแล้ว
      
      สุดท้ายในส่วนของยอดดาวน์โหลดเว็บบราวเซอร์ตัวสำคัญจากไมโครซอฟท์อย่าง Internet Explorer 9 Beta ที่ไมโครซอฟท์พยายามผลักดันเรื่องประสิทธิภาพและความเสถียรให้สูงขึ้นก็ สามารถทำยอดคลิกดาวน์โหลดได้ 20 ล้านครั้งในปัจจุบัน

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: khukiet ที่ 07 มกราคม 2011, 15:56:37
ติดตามอ่านนะตรับ


หัวข้อ: "มือถือ-อีคอมเมิร์ซ" เป้าหมายของ Facebook ปี 54
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 16:33:50
ปี 2553 ถือเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ของเฟซบุ๊ค เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิต ที่ได้รับการกล่าวถึงตามสื่อต่างๆ ตลอดทั้งปี และไม่ควรสบประมาทว่าตัวบริษัทหรือผู้ก่อตั้งอย่าง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก มีดีแค่การทำเว็บไซต์ให้ติดตลาด เพราะดวงรุ่งของเฟซบุ๊คเพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากทำรายได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370669_1.jpg)

เมื่อเร็วๆ นี้ ไมเคิล บราวน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาองค์กรของเฟซบุ๊ค บอกเป็นนัยถึงแผนการปี 2554 ว่า จะรุกด้านอีคอมเมิร์ซมากขึ้น ขยายการใช้งานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเพิ่มความสามารถมากขึ้น
 
นิตย สารฟอร์บส์รายงานเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า เฟซบุ๊ค พัฒนาสกุลเงินที่ใช้ชื่อว่า "เฟซบุ๊ค เครดิต" มาตั้งแต่ปี 2552 และประสบความสำเร็จในการใช้งานร่วมกับ ซิงกา ผู้ผลิตเกมยอดนิยม อย่าง ฟาร์มวิลล์ และหาก "เฟซบุ๊ค มาร์เก็ตเพลส" เผยโฉมออกมาก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการนำเงินใส่เข้าไปใน เฟซบุ๊ค เครดิต
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370669_2.jpg)

นอก จากนี้ ผู้ใช้ยังจะได้เห็น "เฟซบุ๊ค ดีลส์" สำหรับจัดการข้อตกลงต่างๆ รวมทั้งเครื่องมืออื่นๆ ที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น แม้ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเฟซบุ๊คจะตั้งร้านจำหน่ายแอพพลิเคชั่นเอง หรืออาศัยบุคคลที่สามเข้ามาจัดการ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเกิดศูนย์ชอปปิงผลิตภัณฑ์เฟซบุ๊คในอนาคต
 
ไม่ ว่าความเคลื่อนไหวต่อไปของเฟซบุ๊คจะเป็นอย่างไร ก็คาดได้ว่าน่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย บราวน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาองค์กรของเฟซบุ๊ค กล่าวในงานสัมมนาที่ซานฟรานซิสโกเมื่อต้นเดือน ธ.ค. ว่า บริษัทกำลังมองหาแฮคเกอร์ทั้งหญิงและชายที่สามารถทำงานอยู่ได้ตลอดคืน และสามารถแปลงไอเดียออกมาเป็นโปรแกรมต้นแบบหน้าตาน่าเกลียด แต่เรียกความสนใจจากระบบสืบค้นข้อมูลของกูเกิลได้ และทดสอบดูว่าผู้คนจะมีความเห็นอย่างไร
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370669_3.jpg)

"เรากำลังมองหาคนที่ใจร้อน ชอบเขียนโค้ด ต้องการผลิตผลงานจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และคิดว่าสังคมกำลังจะเปลี่ยนแปลงโลก ดังนั้น แฮคเกอร์ทั้งหลายจึงเป็นที่ต้องการตัว" บราวน์กล่าว
 
ที่สำคัญยิ่งไป กว่านั้น ความสนใจของเฟซบุ๊คพุ่งเป้าไปที่การขยายแพลตฟอร์มบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อน ที่ โดยมีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่พร้อมจะร่วมสร้างสรรค์และบริหารจัดการทีมงานคุณภาพสูง พัฒนาและยกระดับหุ้นส่วนที่ประสบความสำเร็จ และสร้างอิทธิพลต่อหุ้นส่วนภายในและภายนอก ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า บริษัทเล็งเห็นปัญหาของการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และรอที่จะเข้าไปจัดการ
 
ข่าวลือเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเฟซ บุ๊ค ก่อกระแสตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ย. แม้บริษัทออกมาสยบข่าวดังกล่าว แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่โลกจะได้เห็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเฟซบุ๊คใน อนาคตอันใกล้ เพราะการที่เว็บไซต์แห่งนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการท่องอินเทอร์เน็ต ในแต่ละวัน ก็ทำให้มีเหตุผลสมควรที่บริษัทจะผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่อัจฉริยะออกมารองรับ ซอฟต์แวร์ของตัวเอง เหมือนที่กูเกิลมีแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ ซึ่งการใช้อินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเฟซบุ๊ค จะช่วยให้บริษัทนำเสนอบริการต่างๆ แก่ผู้ใช้ได้โดยตรง
 
ขณะที่แผน การเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ และการค้าขายผ่านเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องลับของเฟซบุ๊ค แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่บริษัทอุบเงียบ นั่นคือ การทำธุรกิจกับจีน
 
มา ร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร เฟซบุ๊ค เดินทางไปพักผ่อนในจีนเมื่อเร็วๆ นี้ และได้พบกับผู้บริหารของ ไป่ตู้ เว็บไซต์สืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตอันดับหนึ่งของจีน ซินา เจ้าของบริการไมโครบล็อก เว่ยโป และอาลีบาบา เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่
 
รัฐบาล จีนขวางการเข้าถึงเฟซบุ๊คจากในประเทศมานาน ดังนั้น ประชากร 1,300 ล้านคนของจีน จึงเป็นตลาดที่ยังไม่ถูกเจาะเข้าไป หากเข้าถึงตลาดจีนได้ ซักเคอร์เบิร์ก จะได้ประโยชน์มหาศาล แต่อาจต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงแบบเดียวกับที่ Google ประสบอยู่
 
การ เข้าถึงตลาดจีน จะช่วยให้เฟซบุ๊ครักษาบัลลังก์เจ้าแห่งอินเทอร์เน็ตเอาไว้ได้ อีกทั้งยังหมายถึงโอกาสในการสร้างรายได้นับพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ เหรินเหริน เจ้าของฉายา "เฟซบุ๊คเมืองจีน" วางแผนเปิดตัวในสหรัฐเร็วๆ นี้
 
อย่าง ไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การเดินทางของซักเคอร์เบิร์กครั้งนี้คงไม่มีผลลัพธ์สำคัญเกิดขึ้น โดย แมตต์ มาร์แชล แห่งเว็บไซต์ข่าวสาร เวนเจอร์บีท กล่าวว่า เฟซบุ๊ค ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับเจ้าหน้าที่จีน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นช่องทางที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองใช้ต่อต้านรัฐบาล ดังนั้น จึงมีความหวังน้อยมากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้
 
คริส โอเบรียน คอลัมนิสต์แห่งเว็บไซต์ข่าวสาร เมอร์คิวรี นิวส์ ทำนายว่า เฟซบุ๊คจะมีจำนวนผู้ใช้ทะลุหลัก 1,000 ล้านคนในอนาคตอันใกล้ หากวัดจากสถิติ 550 ล้านคนเมื่อเดือน พ.ย. และเพิ่มขึ้นวันละ 700,000 คน จำนวนผู้ใช้จะมากกว่า 800 ล้านคนในปี 2554 แต่จำนวนผู้ใช้จริงอาจเพิ่มขึ้นในอัตรารวดเร็วปัจจุบัน โดยเฉพาะหากจีนยอมให้เฟซบุ๊คเข้าไปให้บริการ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: สมาร์ททีวีมาแน่ เบียดทีวี 3 มิติตกขอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 18:17:43
ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นปีฮอตและฮิตของทีวีสามมิติ เพราะผู้ประกอบการค่ายเอวีชั้นนำต่างพาเหรดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทีวีสามมิติ หวังตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ และปีนี้วงการตลาดทีวีสามมิติยังคึกคักต่อเนื่อง เพราะมีหลายแบรนด์รอจ่อคิวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่สำหรับ แอลจี ประเทศไทย กลับมองข้ามช็อต ขอรุกอีกสเตปกับตลาดสมาร์ททีวี
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000205001.JPEG)

      แม้ปัจจุบันทีวีสามมิติจะมีสัดส่วนตลาดมากกว่าสมาร์ททีวี แต่หากเปรียบเทียบชั้นเชิงความสามารถกันแล้ว ทีวีสามมิติที่มีความสามารถในการรับชมได้เสมือนสมจริง ขณะที่สมาร์ททีวี สามารถทำงานได้มากกว่าเครื่องรับสัญญาณภาพทั่วไป คือ เป็นทีวีที่สามารถนำเสนอรายการทีวีทั้งในรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์
      
      หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นทีวีที่มีความสามารถคล้ายคอมพิวเตอร์ สามารถเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทาง Web Browser และใช้งาน Widget แอปพลิเคชั่นขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาเฉพาะผ่านทางโปรแกรมต่างๆ ได้ และเมื่อได้ 3 ยักษ์ใหญ่วงการไอที ทั้ง Google แอปเปิล และไมโครซอฟท์ ลงมาเล่นในตลาดสมาร์ททีวีอย่างจริงจัง ก็ยิ่งเป็นการตอกหมุดย้ำกันชัดๆ อีกครั้งว่า สมาร์ททีวีน่าจะกลายเป็นเทรนด์ทีวีรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมในอนาคตแน่ นอน
      
      ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้แอลจีตัดสินใจเบนเข็มหันมาให้น้ำหนักกับตลาดสมาร์ททีวีเพิ่มมากขึ้นในปีนี้
      
      อำนาจ สิงหชาญ ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเน้นเทคโนโลยีสามมิติเป็นหลัก แต่สำหรับแอลจีจะเน้น 2 ตลาด ทั้งสามมิติและสมาร์ททีวี โดยจะให้น้ำหนักกับสมาร์ททีวีมากกว่า
      
      เพราะมองว่าในอีกไม่ช้า ฟังก์ชั่นของทีวีสามมิติจะกลายเป็นฟังก์ชั่นมาตรฐานของทีวี แต่ทีวีที่มีความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือสมาร์ททีวี จะเป็นเทรนด์ใหม่ของตลาดทีวี และเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สร้างรายได้แห่งใหม่
      
      ปีที่ผ่านมาแอลจีมีสัดส่วนตลาดสมาร์ททีวี เพียง 20% ของตลาดรวมทีวีของแอลจี การหันมาโฟกัสทำตลาดสมาร์ททีวีอย่างจริงจัง จะทำให้สัดส่วนสมาร์ททีวีเพิ่มเป็น 60% ในปีนี้ และ 80% ในปี 2555 โดยปีนี้แอลจีมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์สมาร์ททีวีออกสู่ตลาดทั้งหมด 11 รุ่น แบ่งเป็นพลาสม่าทีวี 4 รุ่น, แอลอีดีทีวี 5 รุ่น และแอลซีดีทีวี 2 รุ่น

      สำหรับแนวทางการทำตลาดสมาร์ททีวีของแอลจีในปีนี้ จะเป็นเชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นเรื่องเนื้อหา (Content) และความสะดวก (Convenience) ในส่วน Convenience จะเป็นการควบคุมระบบให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
      
      ขณะที่ Content นั้น มองว่า หัวใจสำคัญต้องอิงไปกับพฤติกรรมลูกค้า จึงจะทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์และหันมาใช้สมาร์ททีวีมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจพฤติกรรมลูกค้าในต่างประเทศ พบว่าจะนิยมสมาร์ททีวี เพื่อเชื่อมต่อเข้ายูทูบ โหลดทีวีชมย้อนหลัง แต่สำหรับเมืองไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดได้ผลมกราคมนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000205002.JPEG)

      อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ แอลจีได้จับมือกับพาร์ตเนอร์ 2 ราย ได้แก่ เว็บไซต์ Mthai และเนชั่น เพื่อนำเสนอเนื้อหาผ่านสมาร์ททีวี และในไตรมาส 1 มีแผนจะผนึกพันธมิตรเพิ่มอีก 7-10 ราย เพื่อขยายคอนเทนต์ให้หลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการเช็กรอบหนัง เช็กตารางเที่ยวบิน รวมถึงการชอปปิ้ง เดินทาง และการ Co-Promotion ไปกับอินเทอร์เน็ต โพรวายเดอร์ ซึ่งแอลจีมองว่าเป็นปัจจัยหลักของสมาร์ททีวีที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ได้ รวมไปถึงการโรดโชว์ตามหัวเมืองใหญ่ๆ เพื่อสร้างการรับรู้เพิ่มมากขึ้น โดยวางแผนโรดโชว์ในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน
      
      ด้าน จักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่ บริหารสินค้าเพาเวอร์มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป บอกว่า จากการศึกษาแนวโน้มหรือเทรนด์ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2553 ต่อเนื่องปี 2554 จะพบว่า จากนี้ไปสินค้าหมวดภาพและเสียง (เอวี) กลุ่มจอโทรทัศน์
      
      เทคโนโลยี 3 มิติ จะมีบทบาทมากขึ้นและมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงและตลาดเปิดรับยิ่งขึ้น
      
      ปัจจุบันทีวีสามมิติมีสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวม ขณะที่เพาเวอร์มอลล์ มีสัดส่วนยอดขาย 10% และคาดว่าจะขยับเพิ่มเป็น 30% ในปีหน้า ซึ่งนอกจากการทำตลาดของเพาเวอร์มอลล์แล้ว ต้องได้รับการผลักดันที่ดีทั้งจากแบรนด์ผู้ผลิตทีวีในการพัฒนาทีวีสามมิติ ที่หลากหลายออกสู่ตลาด และการมีแคมเปญส่งเสริมการขายที่โดนใจลูกค้า

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: สเตปใหม่ “HTC” จากแค่รู้จักสู่การชื่นชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 18:41:10
ลำพังการสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จักในหัวใจลูกค้า นับเป็นเรื่องยากเอาการสำหรับแบรนด์สินค้าบางแบรนด์ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเอชทีซี เพราะเอชทีซีต้องการมากกว่าการรับรู้ในแบรนด์ โดยต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ชื่นชอบ หรือที่ศัพท์ทางการตลาดเรียกว่า Preference Brand
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000205501.JPEG)

      ในแวดวงการตลาด การสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า อาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ โดยถือเป็นสเตปที่ 2 ถัดจากการสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จัก แต่ในยุคที่การแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดสมาร์ทโฟนยามนี้ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นทะเลสีเลือด การสร้างการรับรู้ในแบรนด์อย่างเดียวคงจะไม่เพียงพออีกต่อไปที่จะเข้าถึงและ กุมหัวใจลูกค้าให้อยู่หมัดมากพอ
      
      “ตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตสูงสุด และในปี 2554 คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตเพิ่มขึ้นในระดับ 2 หลัก และการแข่งขันจะสูงขึ้นตามไปด้วย” แจ๊ค ถง รองประธาน เอชทีซี เอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในเอเชียแปซิฟิก ปี 2554 และว่า “เอชทีซีจะเติบโตกว่าตลาด โดยจะให้ความสำคัญกับการสร้างความชื่นชอบในแบรนด์เพิ่มมากขึ้น”
      
      การเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟน อาจทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้งานมากขึ้น เอชทีซีเชื่อว่าตลาดจะไม่แข่งขันกันด้วยราคาเหมือนตลาดโทรศัพท์มือถือทั่วไป แต่ในแต่ละแบรนด์จะสู้กันด้วยฟังก์ชั่น หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่แตกต่างกันไป
      
      แนวทางการทำตลาดของเอชีทีซีจะใช้การสร้างความชื่นชอบในแบรนด์ เป็นยุทธวิธีในการทำตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เพราะเชื่อว่าวิธีนี้นอกจากจะทำให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ในแบรนด์ ยังกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดแรงจูงใจเลือกสมาร์ทโฟนแบรนด์เอชทีซีเมื่อคิดจะซื้อ สมาร์ทโฟนสักเครื่องด้วย
      
      แจ๊ค ถง มองว่า ความชื่นชอบในแบรนด์จะเกิดขึ้นได้จากการมีประสบการณ์ที่ดีเท่านั้น โดยประสบการณ์จะหลอมรวมให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อ ให้คนได้ลองสัมผัส และสร้างสิ่งที่เรียกว่า ประสบการณ์และความชอบในแบรนด์
      
      หัวใจสำคัญของการสร้างความชื่นชอบในแบรนด์ของเอชทีซี คือ การกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้สินค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี จากฟังก์ชั่นพิเศษที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นของเอชทีซี ด้วยการใช้สื่อใหม่แทนพนักงานขายเดิมๆ
      
      ปี 2554 เอชทีซีจะมีการลงทุนพัฒนาช่องทางการสื่อสารใหม่ เช่น สื่อสารผ่านสื่อต่างๆ ที่อยู่ในจุดที่มี HTC Shop เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็น และสามารถสร้างประสบการณ์ตรงให้ผู้บริโภคเข้าไปสัมผัสสินค้าได้มากขึ้น หรือการใช้ภาพดูล้ำสมัย ซึ่งเป็นภาพเขียนสร้างสรรค์เอกลักษณ์เฉพาะของเอชทีซี เพื่อสร้างความสนใจดึงดูดผู้บริโภคมาที่หน้าร้าน และทดลองผลิตภัณฑ์จากเครื่องสำหรับการสาธิต เพื่อเกิดความรู้สึกที่ดีในการใช้งาน
      
      นอกจากแนวทางการสร้างความชื่นชอบในแบรนด์แล้ว ปีนี้เอชทีซียังมีการลดจำนวนรุ่นของสินค้าแต่ละประเภทลง และเพิ่มอายุให้นานขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมถึงปรับระบบการทำงานให้ดีขึ้น และเน้นการบริการหลังการขายเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: แนวโน้มภัยคุกคาม 5 อันดับแรกในปี 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มกราคม 2011, 19:31:23
ฟอร์ติเน็ตทำนายแนวโน้มภัยคุกคาม 5 อันดับแรกในปี 2011 ว่าจะมี

(http://www.wardnep.com/wp-content/uploads/2010/07/network-security.jpg)

1. การประสานงานกันมากขึ้น เพื่อลดภัยคุกคามต่างๆ

ใน ปีคศ 2010 นี้ เราได้เห็นตัวอย่างมากมายที่ประเทศต่างๆ ทำงานร่วมกัน เช่น    Operation Bot Roast (นำโดย FBI) รวมทั้งกลุ่ม Conficker Working Group และล่าสุด  Mariposa/Pushdo/Zeus/Bredolab busts ในการช่วยกันลดภัยคุกคามต่างๆ   แต่ความร่วมมือในปัจจุบันมุ่งเพียงแค่ที่ภัยคุกคามที่เห็นได้ชัดเจนและบาง ครั้งก็มีผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น อาทิ ในเดือนพฤศจิกายนที่เจ้าหน้าที่เร่งกำจัด Koobface botnet แต่เพียงในสัปดาห์ต่อมาก็กลับมาเปิดเซิร์ฟเวอร์ใช้งานเต็มที่ใหม่อีกครั้ง หนึ่ง 

ในปีคศ 2011 นี้ เราคาดว่าผู้เกี่ยวข้องจะจับมือกันและทำงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัยใน ระดับโลกมากขึ้น เนื่องจากอาชญากรรมต้องการทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ ในการทำงาน เช่น ต้องการผู้ให้บริการ ผู้รับชำระเงินค่าบริการ ผู้จัดการแพร่ botnet ในอุปกรณ์ รวมทั้งผู้ช่วยกันผลิตภัณฑ์ ดังนั้น จึงต้องการความร่วมมือช่วยกันจากหลายๆ ด้านเพื่อปิดการปฏิบัติการด้านอาชญากรรมไซเบอร์ที่ขยายตัวอยู่ในปัจจุบันลง ได้ ถึงแม้ว่าในปี 2009 ที่ European Electronic Crime Task Force ในประเทศอเมริกาและอังกฤษได้ร่วมมือกันมาแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมได้ ทั่วถึง ซึ่งในปีคศ 2010 นี้ มีการช่วยกันยับหยั้งหนอน Zeus จากผู้เกี่ยวข้องในประเทศอเมริกาและอังกฤษจึงนับว่าเริ่มมีความก้าวหน้าที่ ดี จึงหวังว่าจะเห็นการประสานงานกันมากขึ้นต่อไปในปีหน้า

2. มูลค่าความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้น

ใน ทุกวันนี้ เราเห็นพวกอาชญากรสร้างอนาจักรมัลแวร์ของตนเองเนื่องจากสามารถสร้างรายได้ดี ในขณะที่การป้องกันการแพร่ระบาดของมัลแวร์ยังใช้เวลานานอยู่ ดังนั้น จึงมีการเพิ่มคุณสมบัติ “bot killers” ลงไปใน bots ใหม่ๆ เพื่อกำจัดภัยคุกคามที่อาจจะเกิดในระบบเดียวกันด้วย เช่น เพิ่ม Skynet กับ MyDoom/Bagle และ Storm กับ Warezov/Stration ตัวอย่างเช่น เราเคยเห็น bot เข้ามาในโพรเซสด้านเมมโมรี่เพื่อหาคำสั่งที่ใช้โดย IRC bots ที่แฝงตัวอยู่ และเมื่อเจอโพรเซสที่ใช้คำสั่งนั้นๆ มันจะฆ่าโพรเซสนั้นทันที่เนื่องจากมันเห็นว่าเป็นการคุกคามข้ามเข้ามาในเขต แดนของตน

ในปีคศ 2011 เมื่อภัยรุกรานแพร่เข้ามาในอุปกรณ์ มูลค่าความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจะคาดว่าอาจจะได้เห็นมูลค่าของธุรกิจด้านบริการปกป้องและแก้ไขภัยคุกคาม มีมากขึ้นเช่นกันไม่ว่าจะเป็นด้านการเช่า bot ที่โหลดมัลแวร์แปลกปลอมอื่นๆ เข้ามาในเครื่อง รวมทั้งด้านบริการดูแลอุปกรณ์ที่ติดภัยแล้วให้ยังสามารถใช้งานได้มี ประสิทธิภาพสูงสุด
   
3. มีการุกรานที่ข้ามผ่านระบบการป้องกันมากขึ้น

จะ การเริ่มใช้เทคโนโลยีที่ป้องกันการแพร่กระจายของซอฟท์แวร์ที่มีรูโหว่ในระบบ ปฏิบัติการใหม่ๆ เช่น (ASLR, DEP, sandboxing…) มากขึ้น และขณะเดียวกัน จะมีมัลแวร์ที่พยายามจะข้ามเทคโนโลยีนี้เช่นกัน เช่น ในปีคศ 2010 เราเคยเห็น rootkits พวก  Alureon ที่ข้ามเทคโนโลยีความปลอดภัยไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสร้างปัญหาในช่วง Start up ของระบบ ในปี 2011 นี้ เราอาจเห็น rootkits ที่ข้ามเทคโนโลยีความปลอดภัยในอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ มากขึ้นอีก และอาจมีภัยจู่โจมในรูปแบบใหม่ๆ ต่อระบบการป้องกันใหม่ เช่น  ASLR/DEP และ Sandboxing ที่ให้บริการโดย Google Chrome and Adobe ในปี 2010

4. มีงานด้านก่ออาชญากรรมไซเบอร์มากขึ้น

มี ความต้องการผู้เชี่ยวชาญก่ออาชญากรรมไซเบอร์ ที่เฉพาะด้าน หลากหลายด้านมากขึ้น เช่น นักพัฒนาสำหรับ Custom packers เฉพาะแพลทฟอร์ม เฉพาะบริการโฮสติ้งสำหรับข้อมูลและ drop-zones เฉพาะ CAPTCHA breakers เฉพาะ Quality assurance (anti-detection) และ Distributors (affiliates) ที่ส่งโค้ดแปลกๆ เป็นต้น เราเชื่อว่า น่าจะมีโปรแกรมรุกราน (Affiliate programs) ใหม่ๆ เช่น Alureon และ Hiloti botnets จ้างกลุ่มคน (ที่เรียกว่า Distributors หรือ affiliates) ให้กระหน่ำส่งโค้ดแปลกๆ มาที่ระบบ และด้วยการจ้างคนมากมายนี้ทำให้ผู้ให้บริการ botnets  ยังคงอยู่รอดต่อไป
 
5. อาชญากรรมไซเบอร์จะพยายามให้ใช้ซอร์สโค้ดเดิมมากขึ้น

มัลแวร์ ในปัจจุบันอาจใช้ชื่อแฝงมากมาย การดักตรวจร่วมกันระหว่างผู้ค้าอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ ก็อาจทำให้ยิ่งสับสนมากขึ้นได้ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของธุรกิจที่ขายมัลแว ร์ใหม่ๆ ที่ “ยืม” ซอร์สโค้ดเก่าๆ มาพัฒนาต่อยอด มัลแวร์ทั้งสองประเภทนี้ดูเผินๆ จะคล้ายๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันภายใน 

ในปี 2011 เราทำนายว่าอาชญากรรมไซเบอร์จะสร้างรายได้โดยพยายามใช้ซอร์สโค้ดเดิมมาใช้ ใหม่มากขึ้น (Recycled existing source code) ในขณะที่พวกพับบลิคซอร์สโค้ดยังอาจมีปัญหาด้านความปลอดภัย พวกไพรเวทซอร์สโค้ดกลับมีคุณค่า ช่วยสร้างงานให้กับนักพัฒนาเก่งๆ ต่อไป ในขณะเดียวกัน เราอาจจะเห็นการทำงานร่วมกันด้านสร้างการควบคุมซอร์สร่วมกัน เหมือนกับที่มีองค์กรพัฒนาซอฟท์แวร์ใหม่ๆ หรือโครงการ Open source project (SourceForge) ที่พยายามร่วมมือกันด้านการควบคุม

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: touk ที่ 07 มกราคม 2011, 21:09:42
ขอบคุณสำหรับข่าวดีๆ ครับ


หัวข้อ: แว่นตาไฮเทคฯ Lady Gaga
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มกราคม 2011, 13:18:20
ศิลปินนักร้องยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลกที่มีรูปแบบการแต่งตัวและผลงานการ แสดงคอนเสิร์ตตลอดจนมิวสิควิดีโอ"สุดเขต"อย่าง Lady Gaga ปรากฎตัวในงาน CES 2011 บนเวทีของ Polaroid ก่อนที่จะประกาศว่า "นี่คือกล้องแห่งอนาคต" Lady Gaga กล่าวในฐานนะผู้อำนวยการด้านความคิดสร้างสรรค์ของโพลารอยด์ พร้อมทั้งแนะนำ "แว่นตากันแดด"ทีมีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแต่ใส่กันแดดได้เท่านั้น แต่มันยังใช้ถ่ายรูปได้อีกด้วย...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/Polarez-GL20-Camera-Sun-Glasses-designed-by-Lady-Gaga-at-CES-2011-2.jpg)

ความลับของ PolarEZ GL20 แว่นตากันแดดพร้อมกล้องถ่ายรูปที่ออกแบบโดย Lady Gaga ก็คือ จอ OLED ขนาด 1.7 นิ้วที่อยู่ภายในแว่นตาแต่ละข้าง ซึ่่งสามารถแสดงภาพ และวิดีโอที่ต้องการบันทึกจากตัวกล้องจะซ่อนอยู่ในขาแว่น หรือจะใส่การ์ด หน่วยความจำ SD เพื่อเล่นไฟล์ภาพ และวิดีโอก็ได้ สำหรับที่มาของแนวคิดแว่นตา PolarEZ GL20 มาจากการที่เธอมีแว่นตาที่ใช้หน้าจอ iPod แทนเลนส์ ซึ่งเธอได้นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ instacam และนั่นคือจุดเริ่มต้นของแว่นตากันแดดที่สามารถเป็นทั้งกล้องบันทึก (และแสดง) ภาพ หรือวิดีโอได้นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/Polarez-GL20-Camera-Sun-Glasses-designed-by-Lady-Gaga-at-CES-2011-3.jpg)

นอกจาก Lady Gaga จะบรรเจิดกับแว่นตา Polarez GL20 แล้ว ทางบริษัทยังต่อยอดไลฟ์สไตล์ของเธอที่ใช้อุปกรณ์พกพาต่างๆ อย่าง สมาร์ทโฟน ถ่ายรูปแฟนๆ และพิมพ์มันออกมาทางเครื่องพิมพ์ ทางบริษัทจึงได้พัฒนา Polarprinter GL10 เครื่องพิมพ์ที่สามารถโหลดภาพจากมือถือด้วยบลูทูธ เพื่อพิมพ์ภาพออกมาได้ภายในอึดใจด้วยเทคโนโลยี Zero Ink (เทคโนโลยีการพิมพ์แบบไร้หมึก แต่ต้องใช้กระดาษทีทำมาโดยเฉพาะเท่านั้น) ของทางบริษัท

ซึ่ง Ldady Gaga โชว์สดการทำงานของเจ้าเครื่องพิมพ์นี้ด้วย และแก็ดเจ็ตชิ้นสุดท้ายของการนำเสนอก็จะเป็น GL30 Camera กล้องโพลารอยด์รุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติดิจิตอลครบถ้วนทั้งถ่าย และจัดเก็บไฟล์ภาพ ใครเป็นสาวก Lady Gaga อาจจะต้องเก็บตังค์เยอะหน่อยสำหรับแว่นตา Polarez GL20 เพราะเชื่อว่า ราคาไม่ถูกแน่ๆ

(http://i232.photobucket.com/albums/ee274/akapong99/ninn05/Lady_Gaga_8.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: RIM เปิดตัว PlayBook แท็บเล็ตในงาน CES 2011 เอาใจสาวก BB
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มกราคม 2011, 13:30:12
รายงานข่าวแก็ดเจ็ต (Gadget) ที่เป็น"แท็บเล็ต"มาให้ได้รู้จักกันหลายแบรนด์แล้ว ซึ่งหลายตัวมีความม่าสนใจ (แม้สเป็กจะคล้ายกันไปหมด) แต่มีอยู่ของค่ายหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะมีแฟนคลับในเมืองไทยน่าจะนับล้านได้เหมือนกันนั่นก็คือ PlayBook จาก RIM บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยอดฮิตอย่าง BlackBerry นั่นเอง

ในที่สุด RIM (Research In Motion) บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน BB ก็ไดเปิดตัว"แท็บเล็ต"ที่ทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคู่ชกกับ iPad อย่าง PlayBook ให้ผู้เช้าชมงาน CES 2011 ได้สัมผัสกันแล้ว โดย BlackBerry PlayBook แท็บเล็ต 7 นิ้วจะสามารถซิงค์การทำงานได้กับสมาร์ทโฟน BlackBerry (แว่วมาว่า มันอาจสามารถซิงค์กับ iPhone ได้ด้วย) แถมยังพยายามชูจุดขายเรื่องความเร็ซในการท่องเว็บ ตลอดจนความสามารถในการเล่นวิดีโอที่แค่สัมผัสบนหน้าจอเพียงครั้งเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/BlackBerry-PlayBook-WebOS-Tablet-iPad-Rival-from-RIM-at-CES-2011-2.jpg)

RIM หวังว่า PlayBook จะทำให้สาวก BB จะเลือกใช้แท็บเล็ตของทางบริษัท ด้วยความชื่นชอบในสมาร์ทโฟนที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองขณะนี้ PlayBook จะมีความบางไม่ถึง 1 เซนติเมตร คาดว่าจะวางตลาดช่วงปลายปีนี้ ในส่วนของราคาน่าจะถูกกว่า iPad (ยอดจำหน่ายทะลุ 7 ล้านเครื่องไปแล้วตั้งแต่เปิดตัว จุดเด่นที่ยังหาคู่แข่งเทียบไม่ได้อีกจุดหนึ่งก็คือ แบตฯใช้ได้นาน 9 - 10 ชม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง) ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ชื่นชมความเร็วในการทำงาน ของ PlayBook

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: แปลงเกษตรโซร์ลาเซลล์ ฝีมือนิสิตเกษตรฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มกราคม 2011, 15:36:24
แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าเ พื่อการพัฒนาชุมชนผ่านระบบแปลงเกษตรอัจฉริยะ คว้ารางวัลรองชนะเลิศจากการประกวด M-150 IDEOLOGY 2010

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370806_3.jpg)

นิสิตวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ทีม KU-SRCWIN นำแผงโซลาร์เซลล์มาผลิตพลังงานไฟ ฟ้าเ พื่อใช้ในการพัฒนาชุมชนผ่านระบบแปลงเกษตรอัจฉริยะ คว้ารางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดในโครงการ M-150 IDEOLOGY 2010 โซลาร์เซลล์เพื่อชุมชนพอเพียง : SOLAR CELL FOR SELF-SUFFICIENT COMMUNITY

ซึ่งจัดการแข่งขันโดย M-150 ร่วมกับ บริษัท โอสถสภา จำกัด และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ทีม KU-SRCWIN สามารถเข้าไปถึงรอบ 5 ทีมสุดท้ายที่จะได้เข้าร่วมในโครงการ M-150 Ideology 2010 และทั้ง 5 ทีมนี้จะได้เยี่ยมชม บริษัท โซล่า พาวเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าพลังงานแสง อาทิตย์ เพื่อเพิ่มเติมความรู้และประสบการณ์ และนำผลงานที่ผ่านการเข้ารอบลงพื้นที่จริง เพื่อจัดสร้างให้กับชุมชนได้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป

ทีม KU-SRCWIN เป็นนิสิตภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบด้วย นายฉัตรชัย วงศ์ชนะภัย นายยุวรัตน์ สุขตระกูล นายอัครพงศ์วงศ์อรุณ นายศราวุธ จันใด นายจุมพล วิชชุกรจิรภัค นายกระแส เตชะศรินทร์ นายนรินธร คณะมูล   นายชูเกียรติ มาลัยลอย นิสิตชั้นปีที่ 3 และ นายสุรกิจ เที่ยงพลับ นายธนภัทร ทองทรัพย์ นิสิตชั้นปีที่ 2   โดยมีอาจารย์ทวีชัย อวยพรกชกร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาทีม

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370806_1.jpg)

โครงงานของทีม KU-SRCWIN เป็นการนำพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซร์ลาเซลล์มา พัฒนาเ พื่อการสาธารณะประโยชน์ของชุมชนโดยลงพื้นที่ ณ โรงเรียนบ้านเก่าค้อ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา โดยเริ่มจากการสร้างระบบต่าง ๆ รองรับ ดังนี้

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370806_2.jpg)

ระบบแปลงเกษตรอัจฉริยะ คือการสร้างบ่อกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคและใช้ทำการ เกษตรกรรม โดยนำเทคโนโลยี Microcontroller เข้ามาใช้ในการควบคุมเปิด-ปิดน้ำที่ใช้รดแปลงผักโดยอัตโนมัติ ซึ่งขั้นตอนการทำงานจะใช้เวลาและเซนเซอร์วัดความชื้นในดินเป็นตัวกำหนด เงื่อนไขการจ่ายน้ำ

ระบบบ่อเก็บน้ำเพื่อการเกษตร ใช้เทคโนโลยี Microcontroller ในการวัดระดับปริมาณน้ำสำหรับเชื่อมต่อกับระบบสูบน้ำและระบบแสดงผลพลังงาน นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับโครงการระบายน้ำของทางโรงเรียน เพื่อนำน้ำส่วนที่เกินจากความต้องการนำมากักเก็บในบ่อไว้ใช้ในยามขาดแคลน และเป็นการผสานประโยชน์ระหว่างโครงการของทางโรงเรียนกับระบบ

อีกทั้งน้ำในบ่อน้ำจะสามารถเลี้ยงปลา เพื่อใช้เป็นการเพาะพันธุ์หรือใช้ในการประกอบอาหารกลางวันของทางโรงเรียน ซึ่งจะมีระบบป้องกันระดับน้ำในบ่อไม่ให้นำไปใช้ในส่วนอื่น จนระดับน้ำไม่พอแก่การเลี้ยงปลาอีกด้วย

ระบบประปาหมู่บ้าน โดยการนำไฟฟ้าที่เหลือใช้จากการใช้ไฟฟ้าโครงการหลักมาใช้กับเครื่องสูบน้ำ ขนาด 400 วัตต์จำนวน 2 เครื่อง   ให้ทำงานควบคู่กับระบบเดิมของทางประปาหมู่บ้าน จะช่วยลดระยะเวลาการทำงานของระบบสูบน้ำหลักคือระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3 แรงม้า ซึ่งปกติต้องเสียค่าไฟประมาณ 4,500 บาท ต่อเดือน เป็นผลให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานไฟฟ้าของระบบประปาหมู่บ้านและชาวบ้านจะได้มีน้ำประปาใช้ตลอดวัน

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/07/images/news_img_370806_4.jpg)

และระบบแสดงผลพลังงาน โดยการนำเทคโนโลยีระบบแสดงผลพลังงานไฟฟ้า ที่ผลิตได้จากโครงการและแสดงผลระดับน้ำจากแหล่งผลิตน้ำในรูปแบบที่ชาวบ้าน สามารถเข้าใจได้ง่าย ทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนและชาวบ้านมีทัศนคติที่ดีต่อการผลิตฟ้าจากเซลล์ แสงอาทิตย์

ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าในการมีอยู่อย่างจำกัดของพลังงาน และเกิดความภาคภูมิใจในพลังงาน ที่สามารถผลิตได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นแหล่งความรู้ของนักเรียนและชุมชนโดยรอบที่สามารถเข้ามาศึกษา เรียนรู้และนำไปประยุตต์ใช้ในชุมชนของตนเองตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ทีม KU-SRCWIN ได้รับของรางวัลเป็นโล่เกียรติยศ พร้อมทุนการศึกษา 20,000 บาท และคณะวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา มก. วิทยาเขตศรีราชา ยังได้รับเงินรางวัลเพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัยอีก 10,000  บาท

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: เปลี่ยน IPhone ให้เป็น "โรงหนัง"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มกราคม 2011, 18:10:08
Wowwee บริษัทผู้ผลิตของเล่นหุ่นยนต์บังคับฯ หลายๆ ตัวที่เอ่ยชื่อขึ้นมาก็เชื่อว่า คุณผู้อ่านต้องรู้จักอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น Robosapient, Roboraptor, etc. ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ทางบริษัทหันมาเอาดีทางด้านแก็ดเจ็ต (Gadget) ประเภทเครื่องฉายภาพจากอุปกรณ์โมบายรุ่นพกพาชื่อว่า Cinemin Swivel ที่สามารถปรับตำแหน่งโปรเจ็กเตอร์ได้ ในงาน CES 2011 ทางบริษัทได้นำ Cinemin Slide โปรเจ็กเตอร์รุ่นพี่มาสร้างสีสันให้กับตลาดนี้อีกครั้ง

Cinemin Slice เป็นการออกแบบเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ขนาดเล็ก (pico projector) เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ iOS ของ Apple โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น iPod, iPod Touch, iPod Nano รุ่นใหม่ iPone และ iPad ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องที่มาพร้อมกับแท่นรองรับ (docking) พร้อมคอนเน็คเตอร์ ซึ่งนอกจากจะใช้ฉายภาพจากอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว มันยังพอร์ต Mini-HDMI และ AV เพื่อสนับสนุนเครื่องเล่นมีเดียอื่นๆ ตลอดจนพอร์ต VGA สำหรับเชื่อมต่อกับพีซี โน้ตบุ๊ค และเน็ตบุ๊ค พร้อมกันนี้มันยังมาพร้อมกับลำโพงขนาดใหญ่ที่ให้เสียงดังกระหึ่ม (6 วัตต์) อีกด้วย งานนี้เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ความบันเทิงแทบทุกรูปแบบจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง อัลบั้มภาพถ่าย หรือแม้แต่เล่นเกมส์

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/cinemin-slide-projector-docking-from-wowwee-2.jpg)

Cinemin Slice ใช้เทคโนโลยี DLC ของ Texus Instruments โดยช่วยให้คุณสามารถฉาย หรือวิดีโอภาพขนาดใหญ่ 60 นิ้วที่ระยะ 3 เมตร ด้วยความละเอียด WVGA (854x480) อัตราส่วนภาพ 16:9 ที่ความส่องสว่าง 16 ANSI Lumens

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของดีไซน์ที่ผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งก้ม-เงยของโป รเจกเตอร์ที่ทำได้ถึง 90 องศา ทำให้คุณสามารถฉายวิดีโอขึ้นฝ้าเพดาน เพื่อนอนดูได้ และด้วยคุณภาพของภาพฉายที่ได้จากโพรเจกเตอร์ ประกอบกับลำโพงที่ให้เสียงกระหึ่ม iPhone ของคุณจะกลายเป็นโฮมเธียร์เตอร์ส่วนตัวภายในบัดดลด้วย Cinemin Slice สนนราคาอยู่ที่ 429.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 13,100 บาท คาดว่าจะเริ่มวางตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: Google พรีวิว Android 3.0 Honeycomb
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มกราคม 2011, 21:33:32
และแล้ว Google (Google) ก็ได้ใช้โอกาสในงาน CES 2011 เผยให้เห็นหน้าตาอินเตอร์เฟซการทำงานของระบบปฏิบัติการ Honeycomb หรือ Android 3.0 ที่ได้รับการปรับแต่งให้มีการทำงานเหมาะกับ"แท็บเล็ต"ในขณะเดียวกัน มันยังคงทำงานได้ดีบน "สมาร์ทโฟน" ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/android-3-honeycomb-preview-at-CES-2011-2.jpg)

แท็บเล็ตสายพันธุ์ Android ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นในงาน CES 2011 โดยเฉพาะแท็บเล็ตของ Motorola และ Toshiba ที่เคยบอกว่า "แท็บเล็ต" ของพวกเขาจะรอจนกว่า Honeycomb ออกมา ซึ่งดูเหมือนการรอคอยนั้นคงอีกไม่นาแล้ว เพราะในงานนี้ Google ได้พรีวิว Android 3.0 (Honeycomb) เผยให้เห็นส่วนติดต่อผู้ใช้ (user interface) ที่เรียกว่า Holographic ตลอดจนหน้าโฮมสกรีนที่ปรับแต่งได้มากขึ้น และการท่องเว็บบนเดสก์ทอป รวมถึงระบบมัลติทาสกิ้งที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม

(http://www.thaidroidupdate.com/wp-content/uploads/2010/12/honeycomb-android-e1292526310823.jpg)

Mike Cleron นักพัฒนา Android ผู้นำทีมสาธิต Honeycomb ในงาน CES 2011 กล่าวว่า การพัฒนา Honeycomb เน้นไปที่คุณสมบัติ และฟังก์ชันการใช้งานของ Android ที่ผู้ใช้ชื่นชอบ ซึ่งแท็บเล็ตที่ใช้ในการสาธิตครั้งนี้จะเป็น Motorola Xoom

โดยในการสาธิต Cleron ได้โชว์อินเตอร์เฟซในส่วนควบคุมเสมือน (virtual controls) ที่จะอยู่ด้านล่างของหน้าจอ แทนที่จะเป็นปุ่มจริงๆ นอกจากนี้ยังมี Gmail widget และ Google Map 5.0 โดยเฉพาะบราวเซอร์ที่มีการอัพเดตคุณสมบัติการทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเว็บแบบแท็บ ระบบกรอกข้อมูลในแพบบฟอร์มออนไลน์โดยอัตโนมัติ และบุ๊คมาร์คซิงค์ รวมถึงฟังก์ชันการท่องเว็บแบบ private (incognito mode) Honeycomb จะนำประสบการณ์ท่องเว็บบนเดสก์ทอปไปอยู่บนแท็บเล็ต

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)
เรียบเรียงโดย: Laptop Price (http://www.laptopprice.org/)


หัวข้อ: "ฟันบ็อกซ์" โชว์เพนต์ตัวสาวเอ็กซ์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 03:48:29
"ฟันบ็อกซ์" จัดแสดงโชว์เพนท์ลวดลายเรือนร่าง 2 สาวภายในงานไทยแลนด์เกมโชว์ 2011 ระหว่างการเปิดตัวเกมใหม่ "ไชนีสฮีโร่" ขณะที่ค่ายเกม "อินิทรี" เผยโฉม "สามก๊ก 2" เกมออนไลน์ลำดับที่ 9 ของบริษัทฯ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000243202.JPEG)

      ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานไทยแลนด์เกมโชว์ 2011 บริเวณบูธของบริษัท ฟันบ็อกซ์ จำกัด ได้มีการเปิดตัวเกมออนไลน์ "ไชนีส ฮีโร่" เกมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศใต้หวัน ด้วยยอดผู้ลงทะเบียนเล่นเกมกว่า 17 ล้านไอดี โดยจะเปิดให้ทดสอบโคลสเบต้าในประเทศไทยวันที่ 14 มกราคมนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000243203.JPEG)

      "ไชนีสฮีโร่ ออนไลน์" เป็นเกมออนไลน์ 3 มิติที่พัฒนาด้วย "อันเรียล เอนจิน" มีเนื้อหาที่ผสมผสานเอานวนิยายชื่อดัง 4 เรื่องเข้ามารวมไว้ด้วยกัน ประกอบด้วย ขี่พายุดาบเทวดา , สำนักพยัคฆ์มังกร , ฝ่ามือยูไล , ไอ้หนุ่มหมัดเมา ซึ่งหลังจากที่ทำการทดสอบโคลสเบต้าเสร็จสิ้น จะเริ่มเปิดให้บริการช่วงโอเพ่นเบต้าในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000243204.JPEG)

      อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการเปิดตัวเกม "ไชนีสฮีโร่ ออนไลน์" ทางบริษัท ฟันบ็อกซ์ จำกัด ได้นำหญิงสาว 2 คนมาแสดงโชว์เพนท์ลวดลายเรือนร่างบนเวที โดยหญิงสาวทั้งคู่มีเพียงแถบผ้าเกาะอกและกางเกงชั้นใน ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เนื่องจากงานไทยแลนด์เกมโชว์เป็นงานที่มีเยาวชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000243206.JPEG)

      อีกหนึ่งบริษัทที่มีการเปิดตัวเกมใหม่ภายในงานไทยแลนด์เกมโชว์เช่น กันคือบริษัทอินิทรี ดิจิตอล ที่ได้เปิดตัว "สามก๊ก 2" เกมลำดับที่ 9 ของบริษัท ที่หยิบยกเอาเนื้อหาจากพงศาวดารจีน "สามก๊ก" มาทำเป็นเกมออนไลน์ แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดเปิดให้บริการว่าจะมีขึ้นเมื่อใด

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: คาด iPad 2 เปิดตัว 1 กุมภาพันธ์ ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 13:28:08
รายงานข่าวล่าสุด ดูเหมือนว่า การเปิดตัวของ"แท็บเล็ต"จากบรรดาบริษัทผู้ผลิตพีซี และสมาร์ทโฟนในงาน CES 2011 จะกลายเป็นแรงกดดันให้ Apple ต้องตัดสินใจเปิดตัว iPad 2 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดย Kevin Rose ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Digg คาดว่า น่าจะมีการเปิดตัว iPad 2 ภายใน 3 - 4 สัปดาห์ข้างหน้า หรือประมาณวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ศกนี้

Kevin Rose ได้เปิดเผยว่า "Apple กำลังจะเปิดตัว iPad 2 ในอีก 3 - 4 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งอาจจะเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ศกนี้ โดย iPad 2 จะมาพร้อมกับ retina display (เทคโนโลยีเดียวกับจอของ iPhone 4) พร้อมกล้องทั้งด้านหน้า และหลัง" งานนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการแตะเบรคคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึง iPad เวอร์ชันปัจจุบันด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการข่าวว่า Apple ได้ชะลอการผลิต iPad รุ่นแรกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวส่วนใหญ่ยืนยันว่า iPad 2 จะเปิดตัวในช่วงเดือนมีนาคม โดยจะมาพร้อมกับพอร์ต USB, ลำโพงขนาดใหญ่ที่ให้เสียงดีกว่าเดิม และดีไซน์ที่บางลง ตลอดจนน้ำหน้กที่เบากกว่า

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iPad-2-will-launch-1-feb-2011-kevin-rose-digg-founder-said-2.jpg)

ข่าวลือที่ออกมาดูมีน้ำหนักพอสมควร เพราะ Apple ได้ประกาศจำกัดวันลาสำหรับพนักงานขายที่หน้าร้านสาขาต่างๆ ในช่วง 3 สัปดาห์ก่อนสิ้นเดือนมกราคม ซึ่งน่าจะเป็นการเตรียมการสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญมากๆ ของบริษัท โดยแม้แต่พนักงานขายเองก็ยังไม่ทราบ

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือที่ออกมาประกอบกับหลักฐานอ้างอิงต่างๆ ตลอดจนแรงกดดันทางตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงงาน CES 2011 น่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ Apple ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว iPad 2 ให้เร็วขึ้น เพราะต้องยอมรับเหมือนกันว่า "แท็บเล็ต" ที่โชว์ในงานฯ มีหลายตัวทีเดียวที่สเป็กดีกว่า และน่าใช้ไม่แพ้ iPad คงต้องติดตามกนต่อไปว่า นับจากนี้ไปอีก 3 - 4 สัปดาห์ iPad 2 จะโผล่ออกมาตามข่าว หรือไม่? ทางเว็บไซต์ arip จะติดตามอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: สแกน "หนังสือ" ให้เป็น "eBook"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 14:37:39
ในงาน CES 2011 นอกจาก"แท็บเล็ต"และเทคโนโลยี 3D จะครองพื้นที่สื่อไปแทบจะเบ็ดเสร็จแล้ว ยังมีแก็ดเจ็ต Gadget อื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันด้วย อย่างเช่น ION ที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า ION Book Scanner ซึ่งสามารถสแกนหนังสือล้ำค่าของคุณให้เข้าไปอยู่ในการ์ดหน่วยความจำ SD เพื่อใช้เปิดอ่านด้วยเครื่องอ่านอีรีดเดอร์ หรือจัดเก็บเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สัมผัสปุ่มเบาๆ เท่านั้น

ION Book Scanner จะมาพร้อมกับกล้อง 2 ตัว เพื่อใช้ในการบันทึกภาพของหน้าหนังสือได้พร้อม 2 หน้าในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละหน้าจะใช้เวลาแค่ 1 วินาทีในการบันทึก แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีระบบพลิกหน้าหนังสือให้โดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องจะ ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่สามารถจัดวางหนังสือขนาดต่างๆ เข้าไปในตำแหน่งที่กล้องทั้งสองตัวสามารถจับภาพได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสะดวกสบายในการสแกน เนื่องจากผู้ใช้ไม่ต้องถือหนังสือด้วยตนเอง และด้วยความที่กล้องทั้งสองตัวมาพร้อมกับแฟลชทำให้มั่นใจได้เรื่องความสว่าง สดใสของหน้าหนังสือที่สแกนเข้าไป

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/ION-Book-Scanner-digitise-books-for-ereader-CES-2011-2.jpg)

หน้าหนังสือทั้งหมดที่สแกนจะถูกบันทึกลงการ์ดหน่วยความจำ SD ที่สามารถใส่เข้าไปในเครื่อง โดยสามารถ export ออกมาเป็นฟอร์แมตต่างๆ ได้อย่างเช่น JPEG และ PDF ซึ่งสามารถนำไปเปิดอ่านในอีรีดเดอร์อย่าง Kindle ได้เลย ตัวอุปกรณ์ยังมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ OCR ทำให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขปรับแต่งข้อความที่สแกนจากหนังสือบนคอมพิวเตอร์ได้ ด้วย ION Book Scanner จะวางตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 นี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เกม Angry Birds ของจริง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 14:45:26
ทั้งก่อนหน้า และตลอดช่วง 4 วันที่มีการจัดงาน CES 2011 ทางกองบรรณาธิการ arip ได้ติดตาม Gadget ใหม่ๆ มานำเสนอคุณผู้อ่านตลอดเวลา ล่าสุดก็สะดุดไปเจอ Gadget ชิ้นหนึ่งที่มีแนวคิดย้อนศร จากเดิมที่เราจะเห็นการแปลงสิ่งของต่างๆ ในโลกแอนาล็อกไปเป็นดิจิตอล (digitise) แต่ของเล่นจาก Mattel ชิ้นนี้เป็นการเปลี่ยนจากดิจิตอลเป็นแอนาล็อก เพราะมันคือ เกมส์ "นกโกรธ" Angry Birds ที่กำลังฮอตบนสมาร์ทโฟน แต่ที่นำมาโชว์ในงานนี้มันเป็นเกมส์ที่ทำจาก"ไม้" แต่เล่นได้จริง...ว้าว!!!

ความฮอตของ Angry Birds ไม่อาจจะหยุดยั้งแต่ในโลกดิจิตอลเท่านั้น แต่มันได้เพิ่มความร้อนแรงบนโลกแอนาล็อก หรือโลกแห่งความเป็นจริงด้วย งานนี้ต้องขอบคุณ Mattel ที่ได้พัฒนาเกมส์ Angry Birds ในเวอร์ชันเกม"ไม้" (ใช้พลาสติกเลียนแบบ) ที่สามารถจับต้องชิ้นส่วนต่างๆ ได้จริง ตั้งแต่เหล่าบรรดานกขี้โมโห หมูตัวร้าย ไปจนถึงหนังสติ๊กที่ใช้ยิงถล่มที่กำบังหลบซ่อน โดยทั้งหมดสามารถนำมาจัดตั้ง วาง เพื่อเล่นแข่งกันบนโต๊ะได้อย่างง่ายดาย...แค่ฟังดูก็อยากจะลองเล่นแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/angry-birds-wood-game-from-mattel-at-CES-2011-2.jpg)

สำหรับกติกาการเล่น ผู้เล่นคนแรกจะต้องดึงแผ่นการ์ดภารกิจออกมา จากนั้นผู้เล่นคนที่สองจะต้องสร้างโครงสร้างกำบังจากชิ้นส่วนทีมีให้ในชุด เกมส์ตามแผ่นการ์ด เมื่อตั้งเสร็จแล้ว ผู้เล่นคนแรกจะนำ Angry Bird ใส่เข้าไปในที่ยิง แล้วเล็งไปยังเป้าหมาย จากนั้นปล่อยให้ Angry Bird พุ่งออกไปทำลายโครงสร้างที่ตั้งไว้ให้ราบเป็นหน้ากลอง ใครเก็บคะแนนได้ถึง 1,000 แต้มก่อนจะเป็นผู้ชนะ

Angry Birds เวอร์ชันเกมส์ไม้จะมีโครงสร้างให้ 14 ชิ้น การ์ดภารกิจ 56 ใบ Angry Bird 3 ตัว หมูตัวร้าย 4 ตัว และหนังสติ๊กสำหรับยิง สนนราคาชุดละ 14.99 เหรียญฯ (ประมาณ 500 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: รวมฮิต "Tomb Raider" ไตรภาค วางแผง 22 มี.ค.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 15:42:11
"Tomb Raider Trilogy" เกมรวมฮิตไตรภาคนักสู้สาว ลาร่า ครอฟ์ เตรียมออกวางจำหน่ายบนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ ภายในประกอบด้วยเกม 3 ภาคได้แก่ Tomb Raider: Underworld , Tomb Raider: Anniversary และ Tomb Raider: Legend ที่มีการรีมาสเตอร์ภาพให้เป็นแบบ HD
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000322701.JPEG)

      ก่อนหน้านี้สตูดิโอ Crystal Dynamics ได้ออกมาพูดถึงเกม "Tomb Raider" ภาคต่อไปว่าจะกลับไปเป็นเนื้อเรื่องในช่วงเริ่มต้น โดยไม่ระบุว่าเกมภาคใหม่จะออกวางจำหน่ายเมื่อใด สำหรับแฟนๆเกมที่ชื่นชอบการผจญภัยของนักสู้สาว "ลาร่า ครอฟต์" ก็สามารถหาเกมเก่าเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์มาเล่นแก้ขัดไปพลางๆก่อนได้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า
      
      โซนี่ ออกมายืนยันว่าเกมรวมฮิต Tomb Raider แบบไตรภาคจะออกวางจำหน่ายในวันที่ 22 มีนาคมนี้ภายใต้ชื่อแพคเกจ "Tomb Raider Trilogy" เป็นเอกซคลูซีฟเฉพาะเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 รวมเอา 3 ภาคไว้ได้แก่ Tomb Raider: Underworld รวมถึง Tomb Raider: Anniversary และ Tomb Raider: Legend ที่มีการรีมาสเตอร์เป็นภาพแบบไฮเดฟฟินิชั่น นอกจากนั้นในแพคเกจไตรภาคนี้จะแถมอวาตาร์ Lara Croft และ Viking Thrall ไว้ใช้ในเพลย์สเตชั่น โฮม รวมถึงมีธีม PS3 ที่เป็นลาร่า ครอฟต์อีกด้วย
      
      ในช่วงหลังมีเกมหลายตัวที่ทำแพคเกจรวมฮิตไตรภาคออกมา ยกตัวอย่าง Sly Collection ที่จะออกวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน , Splinter Cell trilogy เตรียมออกวางจำหน่ายในวันที่ 22 มีนาคม นอกจากนั้นยังมีข่าวลือเกี่ยวกับไตรภาคของซีรีส์ Prince of Persia อีกด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Laptop ยังแรงใน CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 16:34:31
แม้ว่าในปีนี้ จะเป็นปีของแท็บเลตคอมพิวเตอร์ แต่ภายในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ที่จัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ก็ยังมีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จำนวนไม่น้อย เลือกเปิดตัวแล็ปท็อปออกมามากมายหลายรุ่น อีกทั้งยังมีการงัดเทคโนโลยี และจุดขายใหม่ๆออกมาสู่ตลาด
   
   ต่อไปนี้คือควันหลงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่เปิดตัวภายในงาน CES 2011 ที่เพิ่งจะผ่านไป
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186904)   
   
   เริ่มกันที่เอชพี Pavilion dm1 โน๊ตบุ๊กที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Thin and Light” เหมาะสำหรับผู้ใช้งานโน๊ตบุ๊คนอกสถานที่ ด้วยความบางไม่ถึง 1 นิ้ว ใช้หน้าจอ BrightViewความละเอียดสูงขนาด 11.6 นิ้ว ชิปประมวลผล AMD FusionTM Accelerated Processing Unit ผนวกรวม Microsoft DirectX 11-capable GPU เข้าไว้ในหน่วยประมวลผลหลัก เพื่อให้การทำงานในระบบ HD 1080p ลื่นไหลมากขึ้น แบตเตอรีใช้งานได้สูงสุดถึง 10.75 ชม. ระบบเสียง Dolby Advanced Audio ฮาร์ดดิสก์สูงถึง750 กิกะไบต์ รองรับระบบ GPS และเครื่องเล่นบลูเรย์แบบ External
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186902)   
   
   ขณะที่ HP ENVY มาพร้อมกัน 2 รุ่นด้วย HP ENVY 17 และ HP ENVY 17 3D หน้า จอแสดงผล BrightView ความละเอียดสูง ขนาดใหญ่ 17.3 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080พิกเซล ใช้หน่วยประมวลผล Intel Core i7 และการ์ดจอ Mobility Radeon HD 6850M ฮาร์ดดิสก์ความจุ 2 เทราไบต์ สามารถใส่ได้ถึงสองลูก คีย์บอร์ดเรืองแสงและกล้องแบบ HD พร้อมกับระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ HP CoolSense Technology และเทคโนโลยีเสียงจาก BeatsTM Audio และ HP Triple Bass Reflex Subwoofer เพื่อคุณภาพเสียงดัง คมชัด
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186901)   
   
   โดยผู้ใช้งาน HP ENVY17 3D สามารถ แปลงคอนเทนต์แบบ 2 มิติ ทั้งเกม วิดีโอ หรือภาพถ่าย ให้เป็นภาพ 3 มิติด้วยเครื่องเล่น Dynamic Digital Depth (DDD) TriDef 3D Experience Ignition Game Player โน๊ตบุ๊ก HP Pavilion dv6 หน้าจอ 15.6 นิ้ว จอแสดงผล BrightView LED พลังประมวลผลอินเทล ซีพียูคอร์ i3 และ ATI Mobility Radeon HD 5650
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186905)   
   
   HP Pavilion dv6 แล็ปท็อปหน้าจอ 15.6นิ้ว, HP Pavilion dv7 หน้าจอ 17.3 นิ้ว แบบ BrightView ความละเอียดหน้าจอ 1600 x 900 พิกเซล ใช้หน่วยประมวลผล Intel Core i7 และ ATI Mobility Radeon HD 5650 ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ 7 ความจำภายในสูงสุด 6 กิกะไบต์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายด้วย Wireless และ Bluetooth มีช่องเสียบพอร์ต HDMI, USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำและระบบระบายความร้อน HP CoolSense Technology
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186903)   
   
   นอกจากนี้ยังมีเน็ตบุ๊ก HP mini 210 ที่มีความบาง ไม่ถึง 1 นิ้ว หน้าจอ 10.1 นิ้ว ความละเอียด 1024x600 พิกเซล ระบบประมวลผล Intel Atom, ฮาร์ดดิสก์ความจุ 160-250กิกะไบต์, RAM 1GB, ระบบปฏิบัติการ Windows 7 สามารถเล่นวิดีโอความละเอียด HD 720p และ 1080p ระบบเสียง Dolby Advanced Audio แบตเตอรี 6 เซลล์ ที่ใช้งานได้นานถึง 10.75 ชม.
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186909)   
   
   ด้านของเอเซอร์นั้น มีการเปิดตัวแล็ปท็อปด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่นคือ 5750, 5750G, 7750G,5253 ที่ ทำงานด้วยระบบประมวลผล Intel Core CPU รุ่นล่าสุด, รองรับ RAM ความจุสูงสุด 8GB มีหน้าจอให้เลือกทั้งแบบ 15.6 นิ้ว และ 17.3 นิ้ว มีการ์ดจอให้เลือกทั้ง Nvidia GeForce 540M หรือ ATI latest Mobility Radeon HD 6650Aspire 5253 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ใช้ซีพียู AMD Dual Core E350 และการ์ดจอ AMD Dual Core E350
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186907)   
   
   ในส่วนของค่ายจากแดนปลาดิบ Sony ที่ปีนี้งัดโน้ตบุ๊ก F ซีรีส์ ใช้ ชิป Intel Core i7, การ์ดจอ Nvidia GeForce GT540M รุ่นใหม่ และรองรับการเชื่อมต่อ USB 3.0 นอกจากนี้ยังใช้หน้าจอ Full HD 3D LED แบคไลท์ พร้อมตัวแปลงภาพ 3D และใช้เทคโนโลยี Nvidia 3D โดยจะสามารถแปลงไฟล์ภาพจาก 2มิติ ให้เป็น 3มิติ ได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่มเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมดีวีดี 2 มิติ หรือไฟล์บลูเรย์ ในรูปแบบ 3 มิติได้
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186908)   
   
   Sony Vaio S หน้าจอแอลอีดี แบคไลท์ขนาด 13.3นิ้ว มาพร้อมซีพียู Core i รุ่นที่ 2, Intel Wireless Display ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสตรีมมิ่ง วิดีโอความละเอียดสูงไปยังทีวีของคุณโดยไม่ต้องใช้สาย รวมถึงโน้ตบุ๊ก Y Series ที่ขับเคลื่อนด้วยซีพียู AMD FUSION series นอกจากนี้ยังมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบ All-In-One "Sony Vaio L" ที่มีหน้าจอแบบมัลติทัช ขนาด 24 นิ้ว ใช้ซีพียูอินเทล และการ์ดจอ Nvidia GeForce GT500M
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186910)   
   
   ปิดท้ายที่ฟูจิสึ ขอส่งโน๊ตบุ๊กมาโชว์ด้วยกัน 2 รุ่นคือ Lifebook AH572 มา พร้อมหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ชิปประมวลผล Intel Core i5-2410 รองรับการรับชมภาพในรูปแบบ 2 มิติ และ 3มิติ โดยสามารถเชื่อมต่อเข้ากับททีวี 3 มิติในแบบไร้สาย ผ่านเทคโนโลยีไวไฟ
   
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000186911)   
   
   (http://อีกรุ่นหนึ่งคือ Lifebook P771 โน๊ตบุ๊ก ประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา มีหน้าจอ 12 นิ้ว WXGA ใช้ชิปประมวลผล Core i7 รุ่นที่ 2 รองรับการชมภาพยนตร์ไฟล์ดีวีดี และบลูเรย์ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยการสแกนนิ้วมือ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลภายในเครื่อง รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wireless และ Bluetooth)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ตรวจสเปกพีซีตัวเอง รับมือเกม "Shogun 2: Total War"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 18:32:33
หากใครกำลังลังเลหรือไม่แน่ใจว่าประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ประจำบ้านเพียงพอต่อการเล่นเกมภาคใหม่ “โชกุน2:โทเทิล วอร์” (Shogun 2: Total War) ของทีม Creative Assemblyหรือเปล่า วันนี้ทุกท่านสามารถเตรียมไปตรวจสเปกเครื่องตัวเองได้จากข้อมูลทางด้านล่าง ก่อนเกมจะว่างจำหน่าย 15 มี.ค.นี้
     
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000320201.JPEG)

      ความต้องการของระบบ
      สเปคขั้นต่ำ
      •โปรเซสเซอร์:2 GHz Intel Dual Core processor หรือ 2.6 GHz Intel Single Core processor หรือAMDที่มีประสิทธิภาพเท่าๆที่บอกมา (รองรับSSE2)
      •RAM :1GB (สำหรับวินโดวส์ XP) และ 2GB (สำหรับวินโดวส์ วิสต้า/วินโดวส์7)
      •การ์ดจอ :มีหน่วยความจำภายใน256 MB รองรับDirectX 9.0c (shader model 3)
      •หน้าจอมอนิเตอร์แสดงภาพได้ต่ำสุดที่ 1024x768
      •พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 20GB
     
      สเปคแนะนำ
      •โปรเซสเซอร์:2nd Generation Intel Core i5 processor หรือ AMD ในประสิทธิภาพเท่าๆกัน
      •RAM: 2GB (สำหรับวินโดวส์ XP), 4GB (สำหรับวินโดวส์ วิสต้า/วินโดวส์7)
      •การ์ดจอ :AMD Radeon HD 5000 และซีรีส์ 6000 หรือที่เท่าเทียมกัน และรองรับ DirectX 11
      •หน้าจอมอนิเตอร์แสดงภาพได้ 1280x1024

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: kengointer ที่ 10 มกราคม 2011, 18:33:28
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: ไมโครซอฟท์รับมีแผนสนับสนุน "Kinect" บนพีซีอย่างเป็นทางการ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 18:51:01
ซีอีโอของไมโครซอฟท์ยอมรับว่าในท้ายที่สุดแล้วอุปกรณ์ "Kinect" จะถูกนำไปใช้กับเครื่องพีซี ส่วนจะทำอย่างเป็นทางการเมื่อไรนั้นจะต้องรอจังหวะเวลาที่ถูกต้อง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000317901.JPEG)

      "สตีฟ บอลล์เมอร์" ซีอีโอของไมโครซอฟท์ขึ้นพูดในงาน 2011 Consumer Electronics Show(CES 2011) โดยให้น้ำหนักความสำคัญของเนื้อหาไปที่อุปกรณ์กล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว ใหม่ที่ชื่อว่า "Kinect" ที่ทำยอดขายได้ถึง 8 ล้านชุดเมื่อปีที่แล้ว สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในครั้งแรกถึง 3 ล้านชุด(ตั้งเป้าไว้ที่ 5 ล้านชุด)
      
      Kinect เป็นอุปกรณ์สำหรับเครื่อง Xbox360 ที่ผู้เล่นเกมสามารถควบคุมเกมได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น ใช้การขยับร่างกายเป็นตัวควบคุม จากความน่าสนใจของเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ไมโครซอฟต์คิดจะนำ Kinect มาใช้กับระบบปฏิบัติการ วินโดว์ ที่ไมโครซอฟต์เป็นเจ้าของหรือไม่
      
      ข้อสงสัยดังกล่าวได้คำตอบเรียบร้อยแล้ว เมื่อ "บอลล์เมอร์" ให้สัมภาษณ์ผ่าน BBC ระบุว่าในท้ายที่สุดอุปกรณ์ Kinect ก็จะสามารถใช้งานได้กับเครื่องพีซี
      
      บอลล์เมอร์ถูกถามจากนักข่าวว่า "คุณคิดที่จะเชื่อมต่อ kinect เข้ากับพีซีหรือไม่" บอลล์เมอร์ตอบกลับว่า "เราจะสนับสนุน Kinect ให้เชื่อมต่อกับพีซีได้อย่างเป็นทางการในช่วงจังหวะเวลาที่ถูกต้อง และเมื่อเราประกาศมันออกมาแล้ว เราก็พร้อมจะทำมันอย่างจริงจัง"
      
      ก่อนหน้านี้มีการพัฒนาไดรฟ์เวอร์โอเพ่นซอร์สของอุปกรณ์ Kinect ออกมาเผยแพร่ และมีการนำไปต่อยอดเพื่อใช้ประโยชน์ในหลายลักษณะ อาทิ มินิเฮลิคอปเตอร์ที่ติด Kinect เข้าไปแล้วทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่ชนกับวัตถุที่ขวางหน้าได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมีข่าวว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่อย่าง "Asus" ได้จับมือกับ "Primesense" ผู้อยู่เบื้องหลังอุปกรณ์ Kinect ที่จะนำเทคโนโลยีกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหวไปใช้กับเครื่องพีซี ผ่านอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า "WAVI Xtion"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Razer อวดจอย "Hydra" แล็ปท็อปเกมคีย์บอร์ดเปลี่ยนได้ "Switchblade"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 19:00:48
ย้อนกลับไปในงานงานมหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (CES 2011) ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อน เราได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจสำหรับวงการเกมหลายๆชิ้นผ่านหูผ่านตากันมา บ้าง ในจำนวนนั้นน่าจะรวมถึงเจ้า 2อุปกรณ์เสริมสำหรับคอเกมตัวยงตัวเป็นๆจากแบรนด์เรเซอร์ (Razer)เข้าไปด้วย ทั้ง Razer Hydra และ Razer Switchblade
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000330902.JPEG)
Razer Hydra

      สำหรับคอนโทลเลอร์“เรเซอร์ ไฮดรา”(Razer Hydra/อาจยังไม่ใช่ชื่อจริงอย่างเป็นทางการ)นั้นดูเหมือนจะทำการตลาดร่วมกับ เกม “พอร์ทัล2”(Portal 2)จากค่ายวาล์ว เนื่องจากมีการโชว์การเล่นพอร์ทัล2ด้วยเจ้าไฮดรากันอย่างเป็นทางการ โดยได้รับการบอกว่ามันยังเป็นแค่อุปกรณ์ตัวต้นแบบเท่านั้น แต่ก็ทำงานได้แม่นยำไม่เบา และมีแผนจะทำแพคเกจพิเศษคู่กับเกมพอร์ทัล2ในเดือนเม.ย.นี้ด้วย
      
      เมื่อเทียบกับเพลย์สเตชัน มูฟของโซนี่ มันต้องมีกล้องเพลย์สเตชัน อายมาประกอบกันเพื่อยืนยันตำแหน่งของจอยหัวกลม ขณะที่ไฮดราจะมีอุปกรณ์รับสัญญาณรูปร่างกลมๆขนาดเล็กเพื่อสร้างสนามไฟฟ้าที่ มีรัศมีประมาณ 6 ฟุต ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Sixense TrueMotion” (พัฒนาขึ้นโดยSixense Entertainment )เอาไว้ใช้จับการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ จะมีการทำไฮดราทั้งแบบมีสายและไร้สายออกมาด้วย แต่ตอนแรกจะทำแบบมีสายมาก่อน สำหรับราคาอย่างเป็นทางการของไฮดรายังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000บาท เวลาเล่นต้องใช้ 2 ตัวในการบังคับ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000330903.JPEG)
Razer Switchblade

      อุปกรณ์อีกชั้นของเรเซอร์ก็คือ “เรเซอร์ สวิตช์เบลด”(Razer Switchblade) แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์แบบพกพาได้เพื่อสนองต่อการเล่นเกม ด้วยขนาดจอ LCD 7 นิ้ว ภายในมีระบบอัลตร้า-เซ็นซิทีฟ มัลติ-ทัชสกรีน พร้อมจุดเด่นตรงแป้นคีย์บอร์ดที่เปลี่ยนสัญลักษณ์ในการกดใช้งานได้ตามเกม ต่างๆที่กำหนดมาหรือผู้เล่นกำหนดเอง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000330904.JPEG)

      ตัวเครื่องควบคุมการทำงานด้วยโปรเซสเซอร์ Atom ของอินเทล ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์7 ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 172 x 115 x 25 มิลลิเมตร รองรับการเชื่อมต่อทั้ง WiFi และ 3G โดยจะมีพอร์ต MINI HDMI, USB3.0,ช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน และช่องเสียบไมโครโฟน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มันก็ยังเป็นแค่ตัวต้นแบบเท่านั้น และยังไม่ออกมาขายในเร็วๆนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000330906.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: The Lord of the Rings Online รายได้เพิ่ม 3 เท่าหลังเปิดเล่นฟรี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มกราคม 2011, 20:59:54
Turbine บริษัทผู้พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ Lord of the Rings Online เผยเกมดังกล่าวทำรายได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้โมเดลธุรกิจแบบให้เล่นฟรีแล้วขายไอเท็มภายในเกมแทน การขายกล่องเกมพร้อมเก็บค่าบริการรายเดือนจากผู้เล่น
      
(http://jedineka.com/wp-content/uploads/2010/10/Lord-of-the-Rings-Online-jedineka.jpg)

      เคท พาซ โปรดิวเซอร์ของเกม Lord of the Rings Online ระบุว่า การปรับโมเดลธุรกิจเป็นแบบให้เล่นฟรีแล้วขายไอเท็ม ช่วยให้จำนวนผู้เล่นของเกมรวมถึงการตอบสนองต่อกิจกรรมภายในเกมมีมากขึ้นกว่า เดิม นั่นทำให้ทีมงานทุกคนยินดีเป็นอย่างมากกับการตอบสนองของจากผู้เล่นมากมาย ขนาดนี้ ตอนนี้ตัวเกมมีจำนวนผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและนั่นช่วยทำให้บรรยากาศภาย ในเกมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
      
(http://www.thegamersmag.com/wp-content/uploads/2009/05/the-lord-of-the-rings-online-screenshot.jpg)

      เคท ระบุอีกว่า โมเดลธุรกิจแบบให้เล่นฟรีแล้วขายไอเท็มเป็นเหมือนกับการปล่อยให้ผู้เล่นได้ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะใช้จ่ายเงินหรือไม่ ซึ่งผู้คนมักจะชอบอยู่แล้วที่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง เขาพร้อมที่จะจ่ายเพียงแต่ต้องลองเล่นฟรีดูก่อนว่าเป็นเกมที่ดีพอสำหรับเขา หรือไม่
      
(http://www.wired.com/images_blogs/photos/uncategorized/2007/10/18/lotro03.jpg)

      เกมออนไลน์ Lord of the Rings Online ได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยขายกล่องเกมที่ราคา 50 สหรัฐฯ พร้อมเก็บค่าบริการเดือนละ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นเกมที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปเล่นได้ฟรี แล้วสร้างรายได้จากการขายไอเท็มภายในเกม ซึ่งเพียงแค่เดือนเดียวหลังจากปรับโมเดลธุรกิจก็สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิม จากนั้นก็สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็น 3 เท่าตัว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ซัมซุงโชว์ตู้เย็นทวิตเตอร์ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 03:10:02
ควันหลง CES 2011 ยังไม่จบ เนื่องจากในงานนี้ นอกจาก Samsung จะนำเสนอโน้ตบุ๊คบางเฉียบแล้ว ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะต้องทำให้หลายๆ คนได้หันมามองอีกครั้ง นั่นก็คือ ตู้เย็นที่สามารถเล่น"ทวิตเตอร์" (twitter) ได้ ว่าแต่ คุณผู้อ่านเคยคิดอยากจะใช้คุณสมบัตินี้กับตู้เย็นกันบ้างหรือเปล่าล่ะครับ?

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/samsung-rf4289-internet-refrigerator-Twitter-Calendar-Music-CES-2011-2.jpg)

Samsung RF4289 ตู้เย็นอินเทอร์เน็ตที่มาพร้อมกับจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วบนประตูเปิดด้านหน้า ซึ่งนอกจากเมนูที่อยู่ด้านล่างจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการ Twitter ได้แล้ว มันยังสามารถแสดง Google Calendar เพื่อดูนัดหมายต่างๆ หรือแม้แต่เล่นเพลงที่อยากฟังจากเน็ตได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถฝากข้อความเตือนจำ (แทนการใช้แม่เหล็ก) ให้กับสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนการแสดงอุณหภูมิภายนอกได้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของตู้เย็น ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสนี้ได้ อย่างเช่น การปรับอุณหภูมิระดับความเย็นของตู้เย็น หรือแม้แต่การเข้าถึงไอเดียสำหรับการทำอาหารในเมนูต่างๆ งานนี้นอกจากจะมี Smart TV แล้ว ยังมี Smart Refrigerator อีกต่างหาก โดยทางบริษัทจะวางตลาด RF4289 ในเดือนพฤษภาคม ด้วยสนนราคาอยู่ที่ 3,500 เหรียญฯ หรือประมาณ 110,000 บาท อุ๊ปส์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft Surface 2 เก่งขึ้น-ถูกลง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 13:20:35
ไม่ใช่แค่ Gadget ของ Apple เท่านั้นที่มีส่วนติดต่อผู้ใช้บนระบบหน้าจอสัมผัส (Touchscreen UI) ที่เป็นเลิศ เพราะความจริง Microsoft ก็มีดีในเรื่องนี้ไม่แพ้กัน เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่ใช้งานในลักษณะนี้น้อยกว่าเท่านั้น ซึ่งในงาน CES 2011 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวานนี้ ทางบริษัทได้นำ Microsoft Surface 2 โต๊ะคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ทำให้หลายคนที่เห็นต้องทึ่งกับความสามารถไปตามๆ กัน

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/microsoft-surface-2-tabletop-computer-samsung-sur-40-CES-2011-3.jpg)

คุณผู้อ่านที่ติดตามซีรียส์ทีวีอย่าง CSI อาจจะเคยผ่านตา Microsoft Surface กันมาบ้าง แต่สำหรับเวอร์ชัน 2 มันจะมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส LCD ขนาด 40 นิ้วความละเอียดที่ 1920x1080 พิกเซล (Full HD) สนับสนุนเทคโนโลยี PixelSense ของทางบริษัท ซึ่งทำให้ Surface สามารถรู้จำตำแหน่งของการสัมผัสบนหน้าจอได้พร้อมกัน 50 จุดได้ทันทีที่มีการเคลื่อนย้ายวัตถุที่วางบนหน้าจอ สำหรับผลิตภัณฑ์ Surface 2.0 ที่นำมาสาธิตในงานครั้งนี้คือ Samsung SUR 40 ซึ่งระบบทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ AMD Athlon II X2 Dual-Core Processor ความเร็ว 2.9GHz และชิปกราฟิก AMD Radeon HD 6700M GPU สนับสนุน DirectX 11 ส่วนระบบปฎิบัติการที่ใช้เป็น Windows 7 เวอร์ชัน 64 บิทที่ได้รับการปรับแต่งการทำงานเป็นพิเศษ เพื่อรองรับการใช้ระบบสัมผัสโดยเฉพาะ คุณสามารถใช้ SUR 40 เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ หรือแขวบนฝาผนังก็ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/microsoft-surface-2-tabletop-computer-samsung-sur-40-CES-2011-2.jpg)

Samsung SUR 40 จะวางตลาดในช่วงปลายปี 2011 สนนราคาอยู่ที่ 7,600 เหรียญฯ (ประมาณ 235,000 บาท) ฟังดูอาจจะตกใจกับราคาเล็กน้อย แต่หากเทียบกับ Surface ที่ออกมารุ่นแรกจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากว่าด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่าง ชัดเจน โดยราคาของ Surface ที่ออกมาในตอนนั้นอยู่ที่ 11,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 330,000 บาท อุ๊ปส์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 11 สีสันชีวิตไฮเทคควันหลง CES 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 13:37:48
หลายคนยกตำแหน่งดาวเด่นในงาน CES 2011 มหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่จัดในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาให้แก่แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน แต่แท้จริงแล้ว ยังมีอีกหลายอุปกรณ์ที่มีแนวโน้มเป็นสีสันให้แก่อุตสาหกรรมไอทีในอนาคต ทั้งหมดล้วนมีโอกาสเปลี่ยนโฉมชีวิตประจำวันของชาวไซเบอร์ในภายหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในปีต่อไป
      
      งาน CES 2011 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 ม.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าผู้ชมงานทะลุ 126,000 คน จาก 130 ประเทศ ท่ามกลางกองทัพนวัตกรรมจากบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 2,700 รายทั้งในและนอกสหรัฐฯ
      
      1. 3 มิติแบบ 360 องศา
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355201)      
      
      บริษัท Innovision Labs นำระบบแสดงภาพสามมิติที่สามารถชมได้ 360 องศามาแสดงในงาน CES 2011 โดยสาธิตระบบที่บริษัทให้ชื่อว่า "HoloAD" ด้วยการโชว์รูปแหวนซึ่งมีลักษณะเป็นภาพระบบโฮโลกราฟิก หรือการยิงแสงขึ้นมาแสดงภาพบนอากาศเพื่อจำลองภาพวัตถุที่สมจริง
      
      Innovision Labs วางแผนนำระบบ HoloAD มาประยุกต์ใช้ในการโฆษณา คาดหวังให้ภาพสมจริงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ดีกว่าภาพเคลื่อนไหวปกติ
      
      2. เทอร์โมมิเตอร์ยูเอสบี
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355202)      
      
      เทอร์โมมิเตอร์ไฮเทค USB Insta-scan Thermometer ของบริษัท Ion Health ถูกนำมาแสดงในฐานะส่วนหนึ่งของกองทัพเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพซึ่งถือเป็นอีก สีสันหลักในงาน CES ปีนี้ ข้อมูลระบุว่า USB Insta-scan Thermometer สามารถ วัดอุณหภูมิร่างกายได้ในขณะที่ตัวเครื่องอยู่ห่างจากผิวหนังไม่เกิน 1.2 นิ้ว และสามารถโอนถ่ายข้อมูลอุณหภูมิสู่คอมพิวเตอร์ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อยูเอสบี 2.0 เพื่อความแม่นยำในการประมวลผลบนซอฟต์แวร์สุขภาพของ Ion ซึ่งใช้ชื่อซอฟต์แวร์ว่า Ion Health Suite
      
      Ion Health Suite นั้นเป็นชุดซอฟต์แวร์เพื่อการคำนวณและวัดสมรรถภาพร่างกายมนุษย์แบบอัจริยะ ยังไม่มีรายงานค่าใช้จ่ายของ Ion Health Suite ในขณะนี้ มีเพียงราคา Ion Health Suite ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,700 บาท นอกจากเทอร์โมมิเตอร์ Ion ยังโชว์ตัวเครื่องวัดความดันโลหิตยูเอสบีในชื่อ USB Blood Pressure Monitor ด้วย ซึ่งมีลักษณะการทำงานแบบเดียวกัน
      
      3. ลูกบากศ์เกมไร้สาย
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355203)      
 
      Sifteo คืออุปกรณ์เล่นเกมทรงลูกบากศ์ที่สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวด้วยการแสดง ภาพบนหน้าจอสีได้แบบไร้สาย ตัว Sifteo แต่ละเครื่องสามารถสื่อสารข้อมูลดิจิตอลระหว่างกันได้โดยไร้สายเช่นกัน
      
      ข้อมูลระบุว่า Sifteo จะจำหน่ายเป็นชุด ผู้เล่นจะนำกล่องสี่เหลี่ยมขนาด 1.5 นิ้วนี้มาวางต่อกันสไตล์ Puzzle ขณะนี้มีเกมให้ดาวน์โหลดมาติดตั้งได้ 6 เกมในขณะนี้ ผู้เล่นสามารถต่อ Sifteo ได้สูงสุด 6 ตัว อายุการใช้งาน Sifteo คือ 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตเตอรี 1 ครั้ง ภายในใช้ CPU แบบ 32 บิต หน้าจอขนาด 128 x 128 พิกเซล น้ำหนัก 35 กรัม
      
      4. Angry Birds ตัวจริง
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355204)      
      
      จากเดิมที่เป็นเพียงจุดพิกเซลในแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ วันนี้นกโกรธหรือ Angry Birds ของบริษัท Mattel ได้แจ้งเกิดเป็น "board game" หรือของเล่นที่ผู้เล่นจะสามารถเหนี่ยวตุ๊กตานกพิโรธผ่านสลิงเส้นจิ๋วใส่หมู ขี้ขโมยได้ด้วยนิ้วมือ 2 ข้าง
      
      นี่คือ 1 ในความเคลื่อนไหวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ขยายตัวของโลกแอปพลิเคชัน เคลื่อนที่มาสู่โลกออฟไลน์ โดยตุ๊กตา Angry Birds ซึ่งมีดีกรีเป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดจะจำหน่ายในราคาเริ่ม 14.99 เหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มต้นทำตลาดในเดือนพฤษภาคม
      
      5. จุดชาร์จไฟรถไฟฟ้าจาก GE
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355205)      
      
      รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มได้รับความนิยมแน่นอนในอนาคต เพื่อตอบความต้องการที่จะเกิดขึ้น GE จึงโชว์ตัวจุดชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ยุคหน้าในชื่อ Residential WattStation โดยสาธิตกับรถยนต์ Chevrolet Volt เพื่อให้เห็นว่าผู้ขับขี่จะสามารถใช้งานรถคันนี้ได้ต่อเนื่อง 4-8 ชั่วโมง
      
      Resdient WattStation มีกำหนดทำตลาดช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแพร่หลายจริงจังในปี 2012
      
      6. การ์ดกล้องจุสมใจ
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355206)      
      
      อุปกรณ์คอมแพกต์แฟลชซึ่งใช้กันมากในกล้องดิจิตอลนั้นถูกพัฒนาอีกขั้นเมื่อ Sandisk เปิดตัว 128 GB Extreme Pro คอมแพกต์แฟลชที่มีความจุสูงถึง 128 กิกะไบต์ ความเร็วในการเขียนสูงสุด 100 mb/sec สนนราคาขายปลีก 1,499 เหรียญสหรัฐ
      
      7. กีตาร์ไร้เส้น
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355207)      
      
      เซียนกีตาร์อาจจะงงหากได้เจอ "Kitara" ผลงานจากบริษัท Misadigital Instruments เพราะนี่คือกีตาร์ ดิจิตอลที่ใช้หน้าจอสัมผัสแสดงภาพเส้นเอ็นกีตาร์ ตัวกีตาร์จะสามารถส่งเสียงได้ตามแรงหนักเบาที่ผู้เล่นลงน้ำหนักลงบนหน้าจอ ให้เสียงที่แตกต่างสไตล์เดียวกับกีต่าร์ตัวจริง
      
      Kitara มีกำหนดวางตลาดในเดือนเมษายน สนนราคาเครื่องละ 2,899 เหรียญ (สำหรับรุ่นที่ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม) และ 849 เหรียญสำหรับรุ่นโพลีเมอร์
      
      8. บลูทูธข้อมือ
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355208)      
      
      บริษัทสัญชาติออสเตรเลียนาม FishPhonic โชว์ตัว "Earzee" ชุดหูฟังบลูทูธแบบสวมข้อมือที่สามารถทำงานได้ไม่ต่างจากชุดหูฟังบลูทูธไร้สาย ผู้สวมใส่ Earzee ที่ข้อมือจะสามารถโทร.ออกหรือรับสายผ่านชิ้นส่วนที่เหน็บไว้ระหว่างนิ้วได้ อย่างสะดวก โดยเสียงพูดคุยจะสามารถส่งผ่านไปทางไมโครโฟนที่ฝังอยู่ในบริเวณข้อมือ
      
      Earzee มีกำหนดวางตลาดเดือนมีนาคม ราคาปลีกราว 29.95 เหรียญ
      
      9. นาฬิกาปลุกออนไลน์
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355209)      
      
      นาฬิกาปลุกปี 2011 ไม่ใช่ธรรมดาไก่กาเพราะ "Webby" คือนาฬิกาพันธุ์ใหม่ที่สามารถออนไลน์และแสดงภาพมัลติมีเดียได้ ผลงานการพัฒนาของบริษัทนาม Promelt สัญชาติอิตาเลียนสามารถแสดงภาพยนตร์ เพลง ข้อมูลพยากรณ์อากาศ รวมถึงรายการทีวี สนนราคาปลีกเริ่มที่ 99 เหรียญ มีคิวลงตลาดที่เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
      
      10. รถอนาคตจาก GM
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355210)      
      
      GM นำคอนเซ็ปต์รถไฟฟ้าเพื่อการขับขี่ในเมืองในชื่อ EN-V Jiao (Electric-Networked Vehicle - Pride) มาสาธิตในงาน CES 2011 ภายในมาพร้อม 2 ที่นั่ง ถูกออกแบบมาให้จอดได้ง่าย ใช้พลังงานน้อย และราคาประหยัด
      
      จุดเด่นของ EN-V คือความสามารถในการหมุนรอบได้ 360 องศา สามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ระหว่างอัตโนมัติ และการขับด้วยตนเอง ยังไม่มีกำหนดการจำหน่ายจริงในขณะนี้
      
      11. กล้องพร้อมรีโมตคอนโทรล
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000355211)      
      
      Casio Tryx คือชุดกล้องดิจิตอลที่มาพร้อมรีโมตคอนโทรล์สำหรับการสั่งงานระยะไกล ความ เก๋ไก๋ของ Tryx คือการติดล้อเลื่อนให้กล้องดิจิตอลสามารถกลับหลัง ห้อยตัว รวมถึงเคลื่อนไหวในหลายรูปแบบเพื่อการถ่ายภาพจากหลากมุมมององศา มาพร้อมกล้องดิจิตอลความละเอียด 12 ล้านพิกเซล หน้าจอสว่างพิเศษระบบสัมผัส 3 นิ้ว มีเทคโนโลยี High-Speed CS และ Speed Super Resolution Zoom เพื่อการถ่ายภาพที่คมชัด

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ยันข่าวปิด Facebook มั่ว คาดเข้าตลาดหุ้นปี 2012
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 13:48:52
ทีมผู้บริหารเฟซบุ๊ก (Facebook) ยืนยัน ข่าวการเตรียมปิดบริการเฟซบุ๊กวันที่ 15 มีนาคม 2011 ในรายงานของหนังสือแท็บลอยด์ Weekly World News นั้นไม่มีมูล ล่าสุด กฏของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯหรือ SEC ทำให้เฟซบุ๊กวางกำหนดเปิดเผยข้อมูลทางการเงินให้มากขึ้นตามกฏหมายภายในเดือน เมษายน 2012 หลายฝ่ายจึงคาดว่าการเข้าตลาดหุ้นอย่างเต็มตัวของเฟซบุ๊กมีโอกาสสูงมากที่จะ เกิดขึ้นในปีเดียวกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000367601.JPEG)
Mark Zuckerberg ซีอีโอเฟซบุ๊ก

      ข่าวลือสุดมั่ว

      
      แท็บลอยด์ Weekly World News ซึ่งเป็นต้นตอของข่าวลือว่าเฟซบุ๊กจะปิดตัวลงในวันที่ 15 มีนาคมนั้นเป็นแท็บลอยด์ที่ตีพิมพ์เนื้อหาเกี่ยวกับยานอวกาศ มนุษย์ต่างดาว และสิ่งลี้ลับอื่นๆเป็นประจำ โดยช่วงปลายสัปดาห์ 8-9 มกราคม 2011 ที่ผ่านมา แท็บลอยด์นี้อ้างคำพูดของมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ว่าได้ตัดใจเตรียมแผนปิดบริการเฟซบุ๊กเพราะแรงกดดันถาโถม ทั้งหมด นี้ ทีมงานเฟซบุ๊กระบุว่ายังไม่ได้รับ"บันทึกข้อความ"เกี่ยวกับการปิดบริการแต่ อย่างใด โดยยืนยันว่าทีมงานเฟซบุ๊กล้วนทำงานตามปกติ และเฟซบุ๊กเองก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
      
      ข่าวลือดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังการประกาศลงทุนของกลุ่ม Goldman Sachs และ Digital Sky Technologies ในเฟซบุ๊กเป็นมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งให้เฟซบุ๊กมีมูลค่าตลาดราว 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้วในขณะนี้
      
      คาดเข้าตลาดปีหน้า
      
      คณะกรรมการ SEC ของสหรัฐฯกำหนดไว้ว่าบริษัทที่มีจำนวนผู้ถือหุ้นเกิน 500 ราย และมีมูลค่าตลาดมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะต้องเปิดเผยงบประมาณและกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทอย่างละเอียด เมื่อพิจารณาจากนโยบายของเฟซบุ๊กที่หวังเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้นให้ทะลุ 500 รายในปีนี้ และรายงานจากเอพีที่ระบุว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นเฟซบุ๊กในขณะนี้ล้วนได้รับเอกสาร แจ้งว่าเฟซบุ๊กมีกำหนดเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและกลยุทธ์อย่างละเอียดใน เดือนเมษายน ปี 2012 ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่า การขายหุ้นครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์หรือ IPO ของเฟซบุ๊กนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดขึ้นในปี 2012
      
      ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กไม่เคยเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการอย่างเป็นทางการ แต่เอกสารลับซึ่งรั่วไหลเพราะการซื้อขายหุ้นในกลุ่มทุน Goldman Sachs ระบุว่า กำไรของเฟซบุ๊กตลอด 9 เดือนแรกของปี 2011 (3 ไตรมาส) นั้นมีมูลค่า 355 ล้านเหรียญจากยอดรายรับรวม 1,200 ล้านเหรียญ ถือเป็นตัวเลขที่มากเกินกว่าการคาดการณ์มากนัก
      
      Businessweek คาดว่ากำไรของเฟซบุ๊กในปี 2011 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญได้อย่างง่ายดาย
      
      กำหนดการขาย IPO ของเฟซบุ๊กในปี 2012 นี้คาดการณ์โดยอิงระยะเวลาที่กูเกิลเคยทำไว้ในปี 2004 ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นนั้นเข้าตลาดหลังจากมีผู้ถือหุ้นเกิน 500 รายเช่นกัน โดยเป็นการเข้าตลาดในขณะที่บริษัทมีอายุได้เพียง 6 ปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แพนด้าผุดโมเดล "เติมเงินฆ่าไวรัส"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 14:44:07
แพนด้ารุกหนักตลาดอินเทอร์เน็ตซีเคียวริตี้ไทย ผุดโมเดลการตลาดแนวใหม่ "พรีเพด ซีเคียวริตี้" จ่ายรายเดือน ไม่มีสัญญาทาส ได้คุณภาพบริการระดับเอนเตอร์ไพรส์ จับมือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ เพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน มั่นใจปีแรกลูกค้าทะลุแสนราย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000357001.JPEG)

      นายเอกรัตน์ เจริญพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แพนดา บิสซิเนส โซลูชั่น กล่าวว่า ปีนี้แพนด้าจะรุกกิจกรรมการตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มที่ หลังจากที่แพนด้าได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้สามารถตรวจสอบไวรัสได้รวด เร็วกว่าเดิม โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นบริการผ่านคลาวด์ คอมพิวติ้ง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของแพนด้าในตลาด เรียกได้กว่า แพนด้าป็นบริษัทแรกๆ ที่มีบริการผ่านคลาวด์คอมพิวติ้ง ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ใช้ในระดับเอนเตอร์ไพรส์หรือองค์กรขนาดใหญ่ ทางบริษัทฯ จึงมีแนวความคิดที่จะนำบริการดังกล่าวมาให้บริการแก่กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป และผู้ใช้ที่เป็นเอสเอ็มอีในราคาไม่แพงแต่ได้บริการคุณภาพระดับเอน เตอร์ไพรส์ ภายใต้บริการที่เรียกว่า "คลาวด์ ซีเคียว เซอร์วิส"
      
      "ปัญหาภัยคุกคามทางอินเทอร์ เน็ตเวลานี้ แตกต่างจากในอดีตที่จะเข้ามาทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ หรือทำลายข้อมูลภายในเครื่อง วันนี้ภัยคุกคามดังกล่าวจะเข้ามาฝังตัวอยู่ภายในคอมพิวเตอร์ คอยดักจับข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพาสเวิร์ด บัญชี ตลอดจนพฤติกรรมการใช้งาน แล้วส่งข้อมูลออกไป การดักจับไวรัสไม่เพียงพอกับความต้องการอีกต่อไป จำเป็นต้องมียามรักษาความปลอดภัย เพื่อตรวจการณ์ เฝ้าระวังถึงภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ นอกจากไวรัส"
      
      คลาวด์ ซีเคียว เซอร์วิส เป็นบริการใหม่ที่แพนด้า ประเทศไทย ประยุกต์รูปแบบให้บริการผ่านคลาวด์คอมพิวติ้งที่แพนด้าเปิดให้บริการตั้งแต่ ปีที่แล้วในประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะคิดค่าบริการเป็นรายปี แต่สำหรับในไทยได้มีการปรับโมเดลวิธีคิดค่าบริการจากรายปี มาเป็นค่าบริการรายเดือนแทน โดยผู้ใช้บริการสามารถบอกเลิกการใช้บริการได้ทุกเมื่อที่ต้องการ หรือจะขอใช้บริการก็สามารถทำได้ทันที เนื่องจากเป็นบริการผ่านทางคลาวด์คอมพิวติ้ง ไม่ต้องซื้อแพกเกจซอฟต์แวร์เพื่อมาติดตั้งแต่ประการใด
      
      เพียงแต่ติดตั้ง "เอเจนท์" ที่มีขนาดไม่ใหญ่นักลงไปในเครื่องที่ต้องการใช้บริการ เอเจนท์ดังกล่าวก็จะคอยอัปเดตและสกัดการโจมตีจากภัยคุกคามต่างๆ ที่น่าสงสัยแล้วส่งข้อมูลที่พบกลับมายังระบบคลาวด์ของแพนด้า เพื่อตรวจสอบว่าเป็นภัยคุกคามแบบใด ก็จะส่งแพ็ทช์ (patch) กลับมาเพื่อกำจัดหรือฆ่าภัยคุกคามดังกล่าวผ่านอินเทอร์เน็ต ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้การทำงานมีความรวดเร็วขึ้น ไม่ได้ทำให้คอมพิวเตอร์มีความเร็วลดลงแต่ประการใดแตกต่างจากการทำงาน ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสของแพนด้าในอดีตที่จะตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด ซึ่งทำให้ใช้เวลานานในการตรวจสอบ
      
      "หลังจากผู้ใช้เติมเงินเข้าสู่ระบบผ่านช่องทางเติมเงิน อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรูมันนี่ เพลย์สบาย หรือรวมอยู่ในบิลค่าใช้จ่ายบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ให้บริการบรอดแบนด์อยู่ 2 ราย คาดว่าจะเรียบร้อยภายในเดือนม.ค.นี้ หลังจากนั้นผู้ใช้บริการก็สามารถใช้บริการคลาวด์ ซีเคียว เซอร์วิสได้ทันที ได้ บริการครบถ้วนทุกอย่างของระบบซีเคียวริตี้ที่องค์กรขนาดใหญ่มี อาจจะเรียกบริการนี้ว่า เป็นพรีเพด ซีเคียวริตี้ก็ได้ ถ้าใช้บริการไปแล้วต้องการบอกเลิก ก็ไม่ต้องเติมเงิน บริการก็จะถูกยกเลิกให้ทันที ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดแต่ประการใด ซึ่งแตกต่างจากวิธีซื้อซอฟต์แวร์ที่เป็นแพกเกจราคาประมาณ 1,500-2,000 บาท ที่เป็นไลเซนส์ปีต่อปี"
      
      ทั้งนี้ในช่วงแรกจะมีโปรโมชันบริการนี้ที่ 89 บาทต่อเดือนในงานไทยแลนด์เกมโชว์ 2011 ที่ผ่านมาจากราคาปกติ 150 บาทต่อเดือน
      
      นายเอกรัตน์ กล่าวว่า คลาวด์ ซีเคียว เซอร์วิส เป็นโมเดลธุรกิจแนวใหม่ในตลาดซอฟต์แวร์แอนติไวรัสและซีเคียวริติ ที่คิดค่าบริการแบบรายเดือนโดยไม่มีข้อผูกมัดแต่ประการใด รวมไปถึงโมเดลค่าตอบแทนของช่องทางจำหน่ายที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่ขายเป็นแบบ ซอฟต์แวร์พร้อมกล่องก็จะได้ค่าคอมมิสชันครั้งเดียว
      
      แต่วิธีนี้ผู้ที่เป็นช่องทางจำหน่ายจะได้ค่าคอมมิสชันทุกครั้งที่มี การเติมเงินใช้บริการ โดยไทยเป็นประเทศแรกที่นำโมเดลใหม่นี้มาใช้ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดทางธุรกิจโดยใช้ทรัพยากรพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติ้งที่ แพนด้าได้ลงทุนไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการขยายตลาดผู้ที่สนใจแต่ไม่มีความรู้และไม่สะดวกที่จะซื้อ ซอฟต์แวร์มาติดตั้ง
      
      "คลาวด์ ซีเคียว เซอร์วิส เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยขยายตลาดแพนด้าในไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปรวมถึงกลุ่มเอสเอ็มอี ที่ต้องการความสะดวกในการใช้บริการไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกในการใช้ บริการ ความสะดวกในการชำระค่าบริการ รวมไปถึงค่าบริการที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของบริการระดับเอนเตอร์ไพรส์ ที่ได้รับ ซึ่งเชื่อว่า ปีแรกน่าจะมีผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "สปริง" สมาร์ทโฟนน้องใหม่ เน้นแพลตฟอร์มไม่เน้นขายเครื่อง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 14:51:57
เมื่อตลาดสมาร์ทโฟน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวเครื่องและระบบปฏิบัติการ แบรนด์ไทยน้องใหม่อย่าง สปริง (Spriiing) จึงหันมาพัฒนาแอปพลิเคชันสร้างคอมมูนิตี ให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กโฟน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารเข้าหากัน พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสารโปรโมชันต่างๆ โดยไม่จำกัดอยู่บนโอเอสใดโอเอสหนึ่ง หวังสร้างฐานลูกค้า 100,000 คนภายในสิ้นปี 2011 จากงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000354902.JPEG)
"Smile" สมาร์ทโฟนรุ่นแรกจาก Spriiing

      นายชวัล บุญประกอบศักดิ์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สปริง เทเลคอม ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนโลคัลแบรนด์น้องใหม่ 'สปริง (Spriiing)' รวมกับแอปพลิเคชันสปริงกล่าวถึงเป้า หมายของบริษัทว่า ต้องการเป็นพื้นที่ให้นักพัฒนาชาวไทย ได้แสดงฝีมือในการสร้างแอปฯ ร่วมกันภายในคอมมูนิตี ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนชาวไทยทุกคน
      
      'สปริงแพลตฟอร์ม ไม่ได้เป็นแค่แอปฯที่ใช้แชตเหมือนในแบล็กเบอรี แต่เราดึงจุดเด่นของแอปฯหลายๆชนิดมารวมกันไว้ภายในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างให้กลายเป็นคอมมูนิตีขนาดใหญ่ของคนไทย ซึ่งแนวทางในการพัฒนาจะเน้นไปที่การนำเทคโนโลยี เข้ามาผสานให้สามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มของเราได้'
      
      เบื้องต้นสปริงแพลตฟอร์ม จะถูกบันเดิลมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนในแบรนด์สปริงเท่านั้น แต่ภายในไตรมาส 1 ผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการอื่นๆ จะเริ่มเห็นแอปฯสปริงขึ้นไปให้ดาวน์โหลดกัน ทั้งภายในแอนดรอยด์ มาร์เก็ตเพลส, แบล็กเบอรี แอปเวิลด์ และแอปสโตร์ ของแอปเปิล ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนา
      
      ** เครื่องถูก สร้างประสบการณ์ให้คนใช้ **
      
      การเปิดตัวของสปริงแพ ลตฟอร์ม จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีอุปกรณ์รองรับ ทำให้สปริง เลือกที่จะนำเข้าเครื่องของหัวเว่ย ในดีไซน์ที่ดูเป็นเอกลักษณ์ ทันสมัยนิยม มาวางจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสมาร์ทโฟน ในราคาราวๆ 6 พันบาท ซึ่งถือว่าเป็นแอนดรอยด์ เวอร์ชัน 2.1 ที่มาพร้อมกับบริการของกูเกิล และราคาถูกที่สุดในปัจจุบัน
      
      'เราไม่ได้ต้องการขายโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก เพียงแต่ต้องการให้คนใช้มีประสบการณ์ใช้งานสปริงแพลตฟอร์ม ซึ่งจำเป็นต้องมีเครื่องราคาถูกกว่าแบรนด์อื่นๆในตลาด'
      
      สำหรับปีนี้ สปริงวางแผนทำตลาดโทรศัพท์มือถือทั้งหมด 3 รุ่น คือรุ่นสำหรับตลาดเอนทรี ที่ใช้ทำตลาดในปัจจุบัน รุ่นในกลุ่มมิดเทียร์ สเปกกลางๆราคากลางๆ และไฮเอนด์ สำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูง ซึ่งราคาของแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าจะทำราคาให้ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ ซึ่งอีก 2 รุ่นน่าจะมาในช่วงครึ่งปีหลัง
      
      โดยใช้ช่องทางจำหน่ายของบริษัท ไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย (WDS) ผ่านร้านเทเลวิซ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรทางด้านการตลาดมากนัก ซึ่งเมื่อมีการเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะมีแพกแกจสำหรับลูกค้าเอไอเอส ที่สามารถใช้งานสปริงแพลตฟอร์มได้ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน ในราคาประมาณ 30 บาทต่อสัปดาห์
      
      ขณะเดียวกันชวัล มองการเติบโตของสมาร์ทโฟนว่าจะเป็นโอกาสให้สปริงแพลตฟอร์ม สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นจำเป็นต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แพลตฟอร์ม รวมถึงให้ความรู้แก่ผู้ใช้ว่าตัวแพลตฟอร์มมีความสามารถอะไรเด่นๆ ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
      
      สปริง เทเลคอม เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่กลางปี 2010 ที่ผ่านมา วางงบในการพัฒนารวมกับการตลาดและประชาสัมพันธ์ไว้ที่ราวๆ 200 ล้านบาทถึงช่วงสิ้นปี 2011 โดยกว่าครึ่งเป็นงบในการพัฒนาสปริงแพลตฟอร์ม จากพนักงานกว่า 30 คนในปัจจุบัน ส่วนแนวทางการตลาด และประชาสัมพันธ์ จะเน้นไปที่ออนไลน์มีเดียเป็นหลัก
      
      'เราใช้สื่อออนไลน์มากถึง 70% ในการทำประชาสัมพันธ์ เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าโดยตรง ที่มีโอกาสมาใช้งานสปริงในอนาคต ขณะที่เราไม่สามารถทิ้งสื่อหลักได้ เพราะยังต้องสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูมีความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ บริโภค'
      
      นอกจากนี้ สปริงยังได้มีกิจกรรมการตลาดอย่างร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้การสนับสนุนในการนำสปริงแพลตฟอร์ม เข้าไปใช้ในงานกีฬามหาวิทยาลัย กิจกรรม'ภารกิจพิชิตเงินล้าน'ค้นหาบุคคลที่มีความสามารถทางด้านการขายชิง เงินรางวัลกว่า 1 ล้านบาท เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เป็นที่รับรู้มากขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: The Daily นสพ.บน iPad ใกล้คลอดแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 16:57:37
รายงานข่าวล่าสุด สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ซีอีโอของ Apple จะปรากฎตัวบนเวทีพร้อมกับเจ้าพ่อสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง News Corp นั่นก็คือ Rupert Murdoch ในซานฟรานซิสโก วันที 19 มกราคม ศกนี้ เพื่อเปิดตัวหนังสือฉบับ"แท็บเล็ต"(อย่างเดียว) ชื่อว่า The Daily for iPad

(http://www.digitaltrends.com/wp-content/uploads/2010/11/ipad-news-corp-the-daily-newspaper-subscription-rupert-murdoch.jpg)

ตามรายงานข่าวที่ออกมาระบุว่า ทั้งสองจะขึ้นเวทีร่วมกันที่ Museum of Modern Art ที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งตามกำหนดการณ์จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 19 มกราคม แต่ทั้งนี้กำหนดวันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ "The Daily ชื่อเรียกของหนังสือพิมพ์บน iPad ทีตกเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อสองสามเดือนก่อน โดยผู้บริหาร News Corp บอกว่า มันเป็นโครงการที่ตื่นเต้นมากที่สุด" ข้อความที่ปรากฎในรายงานข่าวของ Yahoo "โครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ที่สาขาแม่ที่แมนฮัตตัน แต่ก็จะมีพนักงานอยู่ที่ลอสแองเจลลีสด้วย"

Murdoch บอกว่า เขาทุ่มเม็ดเงินในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ถึง 30 ล้านเหรียญฯ เพื่อจ้างทีมงานนักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับการยอมรับจากสำนักพิมพ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น The New Yorker, The Daily Beast, Forbs และ Politico ข่าวการปรากฎตัวของสองผู้ยิ่งใหญ่ยังได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวของสำนัก ข่าวรอยเตอร์อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยจาก Forbes ว่า The Daily มีแผนจะเปิดตัวในวันที่ 19 ม.ค. ศกนี้ ทั้งนี้พนักงานของ The Daily ได้เริ่มทดลองผลิตนสพ.ตัวอย่างบน iPad มาหลายสัปดาห์แล้ว เพื่อให้ผู้อ่านที่ร่วมทดสอบประมาณ 1,000 ราย ซึ่งคาดว่า แอพฯของ The Daily จะเปิดตัวหลังจาก iOS เวอร์ชันใหม่จะออกมา จากนั้นผู้ใช้จะสามารถซื้อแอพฯได้จาก App Store

นอกจากนี้ ยังมีข่าวออกมาอีกว่า ค่าสมาชิกในการอ่านข่าวจาก The Daily จะอยู่ที่ 99 เซนต์ต่อสัปดาห์ (30 บาท) อีกทั้งใช้อินเตอร์เฟซของการโปรแกรมการทำงานของแอพพลิเคชันแบบใหม่ ซึ่งจะมีอยู่ใน iOS เวอร์ชันใหม่เท่านั้นอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ News Corp สามารถอัพเดตข่าวสารของ The Daily บน iPad ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องคอยดาวน์โหลดคอนเท็นต์ ข่าวสาร หรือบทความวิเคราะห์ใหม่ๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "Ice Cream" Android 2.4 พร้อมให้ชิมในหน้าร้อนนี้!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 18:31:26
กูเกิลประกาศเตรียมออกระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ตัวใหม่ล่าสุดสำหรับ สมาร์ทโฟนที่มีโค้ดเนมว่า "Ice Cream" หลังจากได้ส่ง "Honeycomb"แอนดรอยด์ 3.0 ให้กับแท็บแล็ตได้แจ้งเกิดไปแล้ว ภายในงาน CES 2011 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า "Ice Cream" จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในฤดูร้อนที่จะถึงนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000384201.JPEG)

      ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลผู้คิดค้นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เตรียมความพร้อมเปิดตัวแอ นดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า"Ice Cream" ประมาณเดือน มิถุนายน-กรกฎาคมปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการประกาศเปิดตัวภายในงานประชุมของทางบริษัทในเดือนพฤษภาคม ที่ ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
      
      โดยมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าสมาร์ทโฟนตัวแรกที่จะมารองรับระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยด์ตัวใหม่นี้คงจะหนี่ไม่พ้น Sony Ericsson Xperia Arc ที่เพิ่งเปิดตัวภายในงาน CESที่ผ่านมา แต่ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช้ระบบปฏิบัติการตัวใหม่ 2.4 นี้ โดย "Ice Cream" 2.4 นี้เป็นแอนดรอยด์ที่คลานตามออกมาจากฮันนี่โคม,จิงเจอร์เบรด, โฟรโย่, เอแคลร์,และพี่แก่สุดคือ โดนัท
      
      ในขณะที่ทางกูเกิลได้ชะลอระยะเวลาในการเปิดตัวแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ ให้ล่าช้าลง ซึ่งภายในปีที่แล้วได้มีการเปิดตัวแอนดรอยด์ไปแล้วด้วยกัน 2 รุ่นคือ จิงเจอร์เบรดในเดือนธันวาคม และฮันนี่ โคมในเดือนมกราคม ซึ่งภายในเดือนมิถุนายนคาดว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแถลงเปิด ตัว ไอศครีม 2.4
      
      ซึ่งนับว่าเป็นการดีอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดของระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่จะมีการเปิดตัว 3 เวอร์ชั่นภายใน 6 เดือน โดยผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวภายในงาน CES 2011 ไว้ว่า ระบบปฏิบัติการ ฮันนี่โคม ที่รองรับการทำงานสำหรับแท็บเล็ต มีโอกาสน้อยมากที่จะลงไปอยู่ในรูปแบบของสมาร์ทโฟน จึงเป็นไปได้ว่าทางกูเกิลจะออกระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Ice Cream 2.4 เพื่อรองรับการทำงานของสมาร์ทโฟน อย่างเต็มรูปแบบ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "Avatar Kinect" แปรใบหน้าผู้เล่นได้อย่างไร
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 19:45:37
เรามาดูกันอีกสักนิดหนึ่งว่า ลูกเล่นใหม่ “Avatar Kinect”ที่ทำมาเพื่อการตั้งวงสนทนากับผองเพื่อนผ่านตัวอวาตาร์ของเราแบบเรี ยล-ไทม์บน Xbox360 ด้วยกล้อง Kinect นั้น มันมีการจับการเคลื่อนไหวของใบหน้าเราได้อย่างไรและละเอียดมากน้อยแค่ไหน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000390301.JPEG)

      จากวิดีโอที่ไมโครซอฟท์แสดงให้เราเห็นก็เปิดเผยว่า ตัวระบบจะทำการกำหนดจุดสำคัญๆของโครงหน้าในลักษณะเป็นเส้นตาราง มันจึงสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นอารมณ์และแอนิเมชันง่ายๆผ่านตัวอวาตาร์ได้ อย่างที่เห็น ทั้งการขยับปาก,ยิ้ม ,ยักคิ้ว หรือขยับหัวไปมาได้เกือบจะเรียล-ไทม์
      
      สำหรับฉากสถานที่ให้เรานั่งคุยกันใน Avatar Kinect นั้นจะมีกว่า 15 ฉาก แชตกันได้ 7 คนพร้อมกัน เราสามารถบันทึกและอัปโหลดผ่าน Kinect Share หรือ YouTube เพื่อแบ่งปันไปให้คนอื่นได้เห็นกันผ่านเฟซบุ๊ก โดยจำกัดความยาวอยู่ที่ 10 นาที

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Acer Aspire โน้ตบุ๊ก-เน็ตบุ๊ก ผสานซีพียูใหม่พลังแรง "AMD Fusion"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 20:24:36
บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมในประเทศไทย ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยเอเซอร์โน้ตบุ๊ก Aspire 4253 Series และเน็ตบุ๊ก Aspire one 522 Series รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมซีพียู AMD Fusion ที่ผนวกการทำงานด้านกราฟิกและหน่วยประมวลผลเข้าไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิง และการใช้งานด้านมัลติมีเดียที่ต้องใช้ความละเอียดสูง ตอบสนองการทำงานได้อย่างรวดเร็วสมบูรณ์แบบ พร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ก่อนใคร

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2011/acer/Acer-Aspire-4253-Brown.jpg)

Acer Aspire 4253 Series


เปิดตัวครั้งแรกกับโน้ตบุ๊ก Acer Aspire 4253 Series ถูกออกแบบมาเพื่อความบันเทิงในครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งหัวใจสำคัญในการทำงานของโน้ตบุ๊กทั้ง 2 รุ่นนี้ มาพร้อมกับนวัตกรรมรุ่นใหม่จาก AMD E-350 - Series Accelerated Processing Unit (APU) และ VISION Engine รองรับการดูหนังระดับ HD หรือวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างไม่มีสะดุด พร้อมการทำงานกราฟิกบน DirectX® 11 และช่วยประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่ รองรับการทำงานในระดับสูง ทั้งการเล่นเกมที่มีความละเอียดสูง การปรับแต่งภาพ รวมไปถึงการสร้างงานมัลติมีเดียระดับ HD ซึ่ง Aspire 4253 Series เป็นโน้ตบุ๊กที่จะช่วยให้คุณปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ แบบ

Aspire 4253 Series เปิดตัวด้วยขนาดหน้าจอ14” แบบ Acer CineCrystal ™ HD LED16:9 ให้ภาพความละเอียดสูง คมชัด พร้อมรองรับหน่วยความจำ RAM DDR3 สูงถึง 8GB ทำให้สามารถตอบสนองการทำงานได้อย่างรวดเร็ว และให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับข้อมูลในรูปแบบดิจิตอล ให้คุณได้สัมผัสกับสุดยอดความบันเทิงเสมือนมีโรงภาพยนต์อยู่ในบ้านคุณ นอก จากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยีจาก Acer InviLinkTM 802.11a/b/g/n Wi-Fi CERTIFIED® สนับสนุนการทำงานด้านเทคโนโลยีไร้สายด้วย Acer SignalUPTM เพื่อให้มั่นใจในการเชื่อมต่อผ่านระบบไวเลส พร้อมด้วย Gigabit Ethernet การสื่อสารแบบมีสายด้วยความเร็วสูง และการถ่ายโอนระยะใกล้ที่รวดเร็วและปลอดภัยด้วยอุปกรณ์บลูทูธ 3.0 พร้อมติดตั้งไมโครโฟนและกล้องเว็บแคมแบบ Acer Crystal Eye มาพร้อมกับเครื่อง

สำหรับตัวเครื่องถูกออกแบบให้มีลวดลายในตัว พร้อมป้องกันรอยขีดข่วนและรอยนิ้วมือ เหมาะกับการจัดวางภายในบ้าน หรือที่ทำงานได้อย่างมีดีไซน์ โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Mesh Black), น้ำตาล (Mesh Brown) และสีแดง (Mesh Red) เพิ่มความสะดวกต่อการพิมพ์ด้วยแป้นพิมพ์ขนาดใหญ่แบบ Acer Fine Tip พร้อมทัชแพดที่ช่วยให้คุณควบคุมการทำงานเพียงปลายนิ้วสัมผัส

Aspire one 522 Series

เน็ตบุ๊กดีไซน์เพรียว บางเบา โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพการใช้งานด้านมัลติมีเดียที่เพิ่มขึ้น กับหน้าจอขนาด 10.1” Acer CrystalBrite ™ HD LED (16:9) ความละเอียดระดับ 1280 x 720(WXGA) เพลิดเพลินไปกับการรับข้อมูลข่าวสารได้ทุกที่ด้วยนวัตกรรม MD Fusion Accelerated Processing Unit (APU) พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับความบันเทิงและโลกดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม ชมภาพยนต์ หรือวิดีโอ และด้วยเทคโนโลยี AMD C-50 APU ที่จะส่งมอบความบันเทิงแบบไม่มีสะดุด ให้ภาพคมชัดเหมือนมีชีวิตจริง ยิ่งไปกว่านั้น Aspire one 522 ยังให้คุณสัมผัสกับภาพที่คมชัด ให้ความละเอียดสูงเต็มรูปแบบผ่านเว็บไซต์ รวมถึงการชมภาพยนต์ผ่านวิดีโอตรีมมิ่ง นอกจากนี้ยังทำงานด้านกราฟิกด้วยมาตรฐานล่าสุดจาก AMD Radeon TM HD 6250 รองรับ Microsoft DirectX 11® พร้อมสัญญาณภาพแบบ Hi-Definition ผ่าน HDMI® Port

(http://www.arip.co.th/images/news/pr2011/acer/Acer-Aspire-one522.jpg)

Aspire one 522 ผลิตออกมาให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Diamond Black) และสีเขียว (Green) รองรับการเชื่อมต่อด้วยระบบ Wi - Fi, LAN, 3G และบลูทูธ พร้อมติดตั้งเว็บแคม Acer Crystal Eye และไมโครโฟนแบบดิจิตอล ให้ทุกสัมผัสการพิมพ์ได้อย่างสะดวกสบายด้วยแป้นพิมพ์ขนาดใหญ่ และการเรียกดูข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์แบบเพียงปลายนิ้ว ทั้งนี้ เน็ตบุ๊ก รุ่นนี้ได้มาตรฐานการควบคุมการใช้และการกำจัดสารอันตรายในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ Energy Star ® และ WEEE RoHS ด้วยการผลิตจากวัสดุที่ปลอดสารปรอท และหน้าจอ HD LED ช่วยประหยัดพลังงาน 22.2% เมื่อเทียบกับมาตรฐานของเน็ตบุ๊ก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เอเซอร์ คอลล์ เซ็นเตอร์ ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2685 4311 หรือติดต่อสอบถามด้านเทคนิคที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2685 4355 หรือคลิกไปที่ www.acer.co.th (http://www.acer.co.th)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Sony ขอชิงเจ้าตลาด "Tablet" อันดับ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มกราคม 2011, 21:53:56
แม้ในงาน CES 2011 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปจะไม่ได้เห็นเงา"แท็บเล็ต" (tablet) จากโซนี่ (Sony) แต่ล่าสุดทางบริษัทได้ออกมาประกาศว่า Sony จะขอชิงตำแหน่งที่ 2 ของการเป็นเจ้าตลาด"แท็บเล็ต"ตามหลังแอปเปิ้ล (Apple) ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ นับเป็นการประกาศเข้าร่วมสมรภูมิ"แท็บเล็ต"อย่างจริงจังของเจ้าตลาดอุปกรณ์ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ และแก็ดเจ็ตชั้นนำของโลก

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/sony-want-to-be-NO-2-tablet-in-2011-2.jpg)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ผู้บริหาร Sony กล่าวว่า "จริงอยู่ที่ iPad เป็นเจ้าตลาดแท็บเล็ต แต่ใครล่ะที่เป็นที่สอง และที่สามของตลาด โดยเฉพาะอันดับที่สอง? ซึ่งนั่นคือ เป้าหมายของเรา และเราอยากจะเป็นที่สองให้ได้ภายในหนึ่งปี" Howard Stringer ซีอีโอของ Sony ยังคิดต่อไปอีกว่า จะเพิ่มความสามารถในมุมมองแบบ 3D เข้าไปใน"แท็บเล็ต"ของ Sony ด้วย หรือไม่?

ประเด็น ก็คือ ในงาน CES 2011 ที่เพิ่งผ่านมา กองทัพ"แท็บเล็ต" Android 2.x ที่พร้อมจะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก iPad โผล่ออกมาให้เห็นมากมายหลายรุ่นจนนับไม่ถ้วน แถมยังมีทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ งานนี้หาก Sony จะขอขึ้นแท่นผู้ค้า"แท็บเล็ต"อันดับ 2 ของตลาด อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และต้องถือว่าเป็นการประกาศที่ฟังดูกร้าวมากทีเดียว แม้จะยังไม่มีเครื่องต้นแบบออกมาให้เห็น แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า แท็บเล็ตของ Sony น่าจะใช้แบรนด์ XPERIA เพื่อล้อไปกับแบรนด์ของสมาร์ทโฟน โดยปรับแต่ง UI ให้เหมาะกับแท็บเล็ต อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนกันอีกที

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ชำแหละ!!! แท็บเล็ต Dell Streak 7
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 13:34:32
หลังจากได้มีการแนะนำ Dell Streak 7 "แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ที่มีขนาดหน้าจอ 7 นิ้วคู่ชกกับ Samsung Galaxy Tab ในงาน CES 2011 เพียงไม่กี่วัน ล่าสุดก็ได้มีการเผยแพร่คลิป และภาพการแยกชิ้นส่วนต่างๆ ของแท็บเล็ตรุ่นนี้แล้ว เพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในเครื่อง สังเกตได้ว่า Gadget เดี่ยวนี้ต้องโชว์กันให้เห็นใส้ในกันเลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/dell/dell-streak-7-android-froyo-tablet-torn-down.jpg)

Dell Streak 7 แท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวนี้ถูกแยกชิ้นส่วนโดยเว็บไซต์ในเวียตนาม Tinhte.vn ซึ่งคุณผู้อ่านจะได้ชมการแยกชิ้นส่วนตั้งแต่เริ่มจนเป็นดังรูป ข้างบนนี้ภายใน 4 นาทีกว่าๆ ทั้งนี้ Dell Streak 7 จะทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android 2.2 Froyo แทนที่จะเป็น Honeycomb แต่เชื่อว่าน่าจะมีการอัพเดตในอนาตคอันใกล้ สามารถเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับเครือข่าย 4G โพรเซสเซอร์ที่ใช้เป็นดูอัลคอร์ Nvidia Tegra 2 ความเร็ว 1 GHz กล้องด้านหน้า 1.3 ล้านพิกเซลสำหรับเล่น Qik Video Chat ส่วนกล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซลสามารถบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอความละเอียดสูง

(http://www.arip.co.th/images/news/dell/dell-streak-7-android-froyo-tablet-torn-down-2.jpg)

หน้าจอแสดงผลของ Dell Streak 7 จะใช้กระจก Gorilla Glass ที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วน และแตกร้าวเนื่องจากตกหล่น ความละเอียดของหน้าจอเท่ากับ Dell Streak 5 คือ 800 x 480 พิกเซล สตอเรจในเครื่อง 16GB (เพิ่มการ์ด SD ได้สูงสุด 32GB) สามารถเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงกับเครือข่าย 4G และ Wi-Fi b/g/n อย่างไรก็ตาม Dell Streak 7 ไม่มีฟังก์ชันการเป็นมือถือเหมือน Samsung Galaxy Tab รุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน (ล่าสุด Samsung Galaxy Tab มีรุ่น Wi-Fi อย่างเดียวออกมาแล้วด้วย) สนนราคายังไม่มีการเปิดเผย ส่วนกำหนดการวางตลาดน่าจะไม่เกินไตรมาสแรกของปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Firefox ขึ้นแท่น "แชมป์" ในยุโรป
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 13:56:19
คลื่นลูกใหม่แทนที่คลื่นลูกเก่า ล่าสุดไฟร์ฟ็อกซ์ (Firefox) ซอฟต์แวร์เปิดเว็บไซต์ดาวรุ่งของมูลนิธิมอสซิลาสามารถเขี่ยแชมป์เก่าจาก ไมโครซอฟท์อย่างไออี (Internet Explorer) ได้สำเร็จ ขึ้นแท่นเป็นเจ้าเว็บเบราว์เซอร์ยอดนิยมในยุโรปได้อย่างเป็นทางการ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000416701.JPEG)

      ข้อมูลจากบริษัทวิจัย StatCounter ชี้ว่าตลอดเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ปริมาณ การใช้ไฟร์ฟ็อกซ์ในพื้นที่แถบยุโรปนั้นคิดเป็นสัดส่วน 38.11% เหนือกว่าไออีที่มีสัดส่วนราว 37.52% ถือเป็นครั้งแรกที่ไออีมีส่วนแบ่งการใช้งานที่น้อยกว่า
      
      ซีอีโอ StatCounter นาม Aodhan Cullen เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นครั้งแรกที่ไออีถูกคู่แข่งเขี่ยกระเด็นออกจาก บัลลังก์ โดยวิเคราะห์ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไออีอ่อนกำลังลงเป็น เพราะแรงเสริมจากโครม (Chrome) เว็บเบราว์เซอร์จากกูเกิล ที่สามารถขโมยส่วนแบ่งจากไออีไปได้ส่วนหนึ่ง ทำให้ไฟร์ฟ็อกซ์สามารถแซงหน้าไออีได้ง่ายขึ้นทั้งที่ส่วนแบ่งการใช้งานไฟร์ฟ็อกซ์ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
      
      สำหรับอีกปัจจัยหนึ่ง StatCounter วิเคราะห์ว่าเป็นเพราะข้อตกลงระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรปกับไมโครซอฟท์ ในการเสนอทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้เบราว์เซอร์ได้อย่างเสรี ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553
      
      โครมนั้นสามารถครองตลาดส่วนแบ่งเว็บเบราว์เซอร์ยอดนิยมอันดับ 3 ในตลาดยุโรป สถิติคือ 14.58% เพิ่มขึ้นจาก 5.06% ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
      
      StatCounter ระบุว่ารวบรวมสถิติเหล่านี้มาจากการใช้งาน 15,000 ล้านเพจวิวต่อเดือนของประชากรยุโรปในเดือนธันวาคม (4,900 ล้านเพจวิวมาจากพื้นที่อเมริกาเหนือ) ทั้งหมดเป็นการรวบรวมโดย StatCounter Global Stats ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือเพื่อการวิจัยที่ StatCounter พัฒนาขึ้นเอง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: นินเทนโดเผย "3DS" ล็อคโซน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 14:29:58
"3DS" เครื่องเกมพกพารุ่นใหม่จากนินเทนโดเตรียมออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ ญี่ปุ่นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งก่อนที่ตัวเครื่องจะวางจำหน่ายก็มีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเครื่องเกมตัว นี้ออกมาเรื่อยๆ ล่าสุดเป็นข่าวที่ดูไม่ดีนักสำหรับเกมเมอร์ เมื่อนินเทนโดยืนยันชัดเจนว่า เครื่องเกมพกพาสามมิติตัวนี้จะมีระบบล็อคโซน ซึ่งหมายความว่าซอฟต์แวร์เกม และฮาร์ดแวร์เครื่องเกมจะต้องเป็นโซนเดียวกันถึงจะใช้งานกันได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000430601.JPEG)

      การที่เครื่องเกมล็อคโซน จะมีส่วนให้เกมเมอร์ต้องคิดไตร่ตรองมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อเครื่อง รวมถึงการตัดสินใจเลือกซื้อซอฟต์แวร์เกม
      
      เว็บไซต์ NeoGAF ได้แปลอีเมล์ที่ส่งมาจากนินเทนโดญี่ปุ่น ที่ยืนยันว่าเครื่อง 3DS จะมีระบบล็อคโซน
      
      ใจความในอีเมล์ระบุว่า "เครื่องเกม DS และ DS Lite ไม่มีระบบโค้ดโซนพื้นที่บรรจุเอาไว้ แต่เครื่อง DSi, DSi [XL] และ 3DS จะมีระบบโค้ดโซนพื้นที่บรรจุไว้ ซึ่งโค้ดโซนพื้นที่จะติดตั้งเอาไว้ในทุกเกมสำหรับเครื่อง 3DS รวมถึงตัวเครื่อง 3DS เอง คุณไม่สามารถเล่นเกมได้หากว่าโค้ดโซนพื้นที่แตกต่างกัน"
      
      ขณะนี้นินเทนโดเปิดเผยกำหนดวางจำหน่ายเครื่อง 3DS เฉพาะในญี่ปุ่น สำหรับการวางจำหน่ายในอเมริกาและยุโรปคาดว่าจะเปิดเผยในวันที่ 19 มกราคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากนินเทนโดจะจัดงานพิเศษขึ้นในนิวยอร์ก

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เพิ่มแฟนใน "Facebook Fanpage" แบบ..ก้าวกระโดด!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 14:46:53
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าโซเชียล เน็ตเวิร์ค ในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เฟซบุ๊ค" ได้เติบโตก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด โดยสถิติล่าสุดคนไทยเล่นเฟซบุ๊คทั้งหมด 6.9 ล้านคน และเติบโตสูงเป็นอันดับ 21 ของโลก จนได้แซงไฮไฟว์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/12/images/news_img_371471_1.jpg)

การทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจให้ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดนั้น ก่อนอื่นเลย ต้องเข้าใจความหมายของโซเชียล เน็ตเวิร์ค หรือ "เครือข่ายสังคม" ซะก่อน
 
ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ เฟซบุ๊ค ก็คือ บ้านของคุณ และคุณคงไม่ชอบใจแน่ถ้าอยู่ดีๆ มีเพื่อนบ้านมาเคาะประตูที่บ้านของคุณ เพื่อเชิญชวนให้คุณมาซื้อสินค้าทุกวัน แต่กลับกัน ถ้าเปลี่ยนจากการเคาะประตูเพื่อเชิญชวนให้ซื้อสินค้า มาเป็นถามสารทุกข์สุกดิบ มีของมาฝากบ้างเวลาไปเที่ยวกลับมา สุดท้ายเมื่อคุณเริ่มสนิทกับเพื่อนบ้านของคุณแล้ว เวลาเพื่อนบ้านคุณมาขายของกับคุณ คุณก็จะเต็มใจรับฟังและสุดท้ายอาจจะเป็นสินค้าที่คุณต้องซื้อมาใช้เป็นประจำ ก็เป็นไปได้
 
ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่างๆ มากมายทั้งไทย และต่างประเทศเข้ามาทำการตลาดผ่านทางเฟซบุ๊คกันอย่างคึกคัก บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว หลังจากที่ผมได้คลุกคลีกับการทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจมาพอสมควร ผมคิดว่าปัจจัยของการประสบความสำเร็จในการทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจช่วงแรก เช่น จำนวนแฟนที่เพิ่มขึ้นต่อวัน จำนวนคนที่มามีส่วนร่วมกับแบรนด์มากน้อยแค่ไหน ทำได้ไม่ยากอย่างที่คุณคิด และวันนี้ผมนำเคล็ด (ไม่) ลับนี้มาบอก โดยบทความนี้ผมจะพูดถึงภาพรวมและเป็นเทคนิคที่ใครก็สามารถทำได้ง่ายๆ !

1. เนื้อหา (Content) ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!
 
เนื้อหาของข้อมูล (Content) ที่เราจะสื่อสารหรือส่งข้อความไปถึงคนที่อยู่ในเฟซบุ๊ค หรือโซเชียล เน็ตเวิร์ค นั้น ข้อความที่ส่งออกไปควรที่จะเป็นข้อความที่มีความรู้สึกถึง "ความเป็นธรรมชาติ" "ความจริงใจ" และ "ใส่ใจ" ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการจะขายสินค้าในแฟนเพจของคุณ คุณควรจะใส่ความเป็นธรรมชาติลงไป และเข้าใจถึงกลุ่มคนที่คุณจะสื่อสารด้วย เช่น ช่วงนี้เป็นช่วงปีใหม่ และสินค้าของคุณเหมาะกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่เป็นผู้หญิงคอนเทนท์ที่จะส่ง ออกไปควรจะเป็น "สาวๆ คนไหนที่ยังหาของขวัญจับฉลากปีใหม่ยังไม่ได้ ต้องนี่เลย หมอนหมีน้อยสุดน่ารัก แถมลดราคาพิเศษเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น"!
 
จะเห็นได้ว่าเมื่อคุณอ่านแล้วคุณจะรู้สึกเกิดไอเดียว่าของชิ้นนี้น่าสนใจและ น่ารักมาก แถมถ้าคุณก็กำลังจะหาของจับฉลากในช่วงปีใหม่ และยิ่งมีลดราคาอีกทำให้การตัดสินใจในการซื้อนั้นง่าย ขึ้นกว่าที่คุณจะโพสต์สินค้าชิ้นนี้ในช่วงเวลาปกติอย่างที่คุณรู้สึกได้ ทันที
 
คอนเทนท์ที่ดีควรจะมีการบอกต่อให้มากที่สุด สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ "การแบ่งปัน" (Share) หรือ "การบอกต่อ" (Viral) ถ้าคุณทำให้คอนเทนท์ของคุณมีการ แบ่งปัน และบอกต่อ มากเท่าไรจำนวนแฟนของคุณจะเพิ่มแบบรวดเร็วเช่นกัน เทคนิคในการสร้างคอนเทนท์ให้เกิดการบอกต่อมากๆ นั้นเนื้อหาคอนเทนท์จะต้องกระตุ้นให้คนเกิดการ บอกต่อ มากที่สุด เช่น ตลกที่สุด เศร้าที่สุด แปลกใหม่ที่สุด ตื่นตาที่สุด ประทับใจที่สุด
 
ตัวอย่าง เช่น คลิปปาบีบีของอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีการ Share สู่วงกว้างกว่า 1 ล้านวิว ซึ่งสุดท้ายก็เป็นการสร้างคอนเทนท์จากแบรนด์ๆ หนึ่ง การพูดของ "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" ที่เวทีนาฏราช ที่วันเดียวมีการบอกต่อให้เข้ามาดูถึง 6 แสนวิวภายใน 1 วัน
 
และล่าสุด การร้องเพลงผ่านยูทูบของกลุ่มนักร้อง Room 39 ที่มีคนเข้ามาชมรวมกว่า 5 ล้านวิว จะเห็นได้ว่าการสร้างคอนเทนท์ที่มีคุณภาพ หรือการสร้างคอนเทนท์เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ เพียงแค่ 1-2 คอนเทนท์ก็สามารถทำให้แบรนด์ของคุณโด่งดังข้ามปีกันได้ง่ายๆ!

2. Suggest A Friends
 
ใช้วิธีการ "แนะนำเพื่อน หรือบอกเพื่อนๆ" ในเครือข่ายสังคมของเราให้รู้ว่าตอนนี้เรา (แบรนด์) เปิดเฟซบุ๊ค แฟนเพจแล้วนะ โดยผมจะแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ การแนะนำเพื่อนบนโลกไม่ออนไลน์ (Suggest A Offline Friends) วิธีนี้ก็บ้านๆ เลยครับคุณมีเพื่อนบนโลกออฟไลน์กี่คนที่คุณสนิมหรือคิดว่าเพื่อนคุณคนนี้ แอ็คทีฟทางโซเชียล เน็ตเวิร์คมากๆ ก็ทำการแนะนำเพื่อนคุณว่าตอนนี้คุณกำลังเปิดแฟนเพจ และเชิญชวนให้เพื่อนคุณมา Like พร้อมทั้งอาจจะมี Benefit เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับช่วงเวลาพิเศษ หรือมีเซอร์ไพรส์ กิฟท์ สำหรับคนที่เข้ามา Like Fanpage ลำดับที่ xxx
 
แนะนำเพื่อนบนโลกออนไลน์ (Suggest A Online Friends) บนโลกออนไลน์ วิธีนี้เป็นเทคนิคที่หลายคนจะ "มองข้าม" กัน วิธีง่ายๆ เลยครับเพียงแค่คุณคลิกคำว่า "Suggest A Friends" หรือแนะนำเพื่อนของคุณ บนเมนูด้านซ้ายมือของหน้าเฟซบุ๊ค แฟนเพจของคุณ หลังจากนั้น คุณก็ทำการเลือกเพื่อนที่คุณคิดว่าเพื่อนคนนี้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณ ต้องการ เมื่อคุณเลือกเสร็จคุณสามารถใส่ข้อความสั้นๆ เพื่อบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องส่ง Invite ไปหาเพื่อนของคุณ
 
ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ ถ้าคุณมีเพื่อนใน เฟซบุ๊คทั้ง หมด 1,000 คน เมื่อคุณสร้างแฟนเพจใหม่ขึ้นมา คุณสามารถเชิญชวนเพื่อนมา Like Fanpage ทั้ง 1,000 คนได้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น! และถ้าเพื่อนของคุณเข้ามาในแฟนเพจคุณแล้วเจอคอนเทนท์ที่ดี และมีคุณภาพเข้าไปอีก จากการเป็นเพื่อนธรรมดาบนโลกออนไลน์ อาจจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนพันธุ์แฟนของเฟซบุ๊ค แฟนเพจของคุณไปเลยทันทีก็ได้ใครจะไปรู้!
 
สุดท้ายในเบื้องต้นนี้ผมจะให้ความสำคัญของ "การเข้าใจคำว่า โซเชียล เน็ตเวิร์คให้ดีซะก่อน" ก่อนที่คุณจะเข้ามาสู่โลกนี้ และเมื่อคุณเข้ามาแล้วคุณควรที่จะเข้าใจพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้พร้อมทั้งคุณ ต้องพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด และวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ การสื่อสารออกไปว่าให้เขารับรู้ว่าเราเป็นเพื่อนคุณนะ และเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรก็จะง่ายไปอย่างถนัดตา

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: "Silent Hill: Downpour" ชื่อเกมสยองขวัญภาคใหม่จากโคนามิ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 16:02:07
หลังจากใช้ชื่อว่า "Silent Hill 8" มาสักพัก ล่าสุดโคนามิได้เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการของเกมสยองขวัญภาคใหม่ว่า "Silent Hill: Downpour" โดยจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบเกม
   
(http://files.g4tv.com/ImageDb3/241452_S/Konami-Announces-New-Silent-Hill.jpg)

   ย้อนกลับไปในงานมหกรรมเกม E3 เมื่อเดือนมิถุนายน 2010 "โคนามิ" อีกหนึ่งบริษัทเกมชื่อดังของโลก ได้เปิดเผยเกมภาคล่าสุดในซีรีส์สยองขวัญ "ไซเลนท์ ฮิลล์" โดยในช่วงเวลาดังกล่าวโคนามิ เรียกเกมภาคใหม่ว่า "Silent Hill 8" แต่ล่าสุดดูว่าโคนามิจะมีชื่ออย่างเป็นทางการของเกมภาคใหม่แล้ว
   
   ข้อมูลจากนิตยสาร "Game Informer" ระบุว่าเกม Silent Hill 8 จะใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Silent Hill: Downpour" พัฒนาโดย Vatra Games ทีมพัฒนาในสาธารณรัฐเช็ก เตรียมลงเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 และ Xbox360 ในปี 2011
   
(http://www.tomshw.it/files/2010/06/immagini/25829/silenthill031105-5_t.jpg)

   ในเกมผู้เล่นจะสวมบทเป็น "Murphy Pendleton" นักโทษในเรือนจำที่ต้องพบกับฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวทุกครั้งที่นอนหลับ รูปแบบเกมเป็นแนวสยองขวัญ ระหว่างการผจญภัยจะได้พบกับปริศนา รวมถึงสิ่งมีชีวิตแปลกๆ และจากชื่อภาคว่า "Downpour" ที่แปลว่า "ฝนตกหนัก" หรือ "ฝนห่าใหญ่" ทำให้เกมภาคนี้มีความเกี่ยวข้องกับน้ำค่อนข้างเยอะ เป้าหมายของการเล่นเกมคือการทำ side-quests มุมกล้องจะมีการผสมสานระหว่างมุมกล้องมุมสายตาปกติแบบเกมภาคดั้งเดิม รวมถึงมุมกล้องแบบใหม่ที่อยู่หลังตัวละครเหมือนกับเกมภาค Homecoming

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "อีเอ" เปิดเกมกอล์ฟพีจีเอทัวร์บนเฟซบุ๊ค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มกราคม 2011, 23:01:24
"อีเอ สปอร์ต" เปิดให้บริการ "พีจีเอ ทัวร์ กอล์ฟ ชาเลนจ์" เกมกอล์ฟที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้เล่นแคชวล เล่นฟรีบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ "เฟซบุ๊ค" โดยเกมนี้ถือเป็นเกมลำดับที่ 3 ของ "อีเอ สปอร์ต" ที่เปิดให้บริการบนเครือข่ายสังคมออนไลน์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000452901.JPEG)

      ก่อนหน้านี้ "อีเอ สปอร์ต" ได้เปิดให้บริการเกม "ฟีฟ่า ซูเปอร์สตาร์" และ "แมดเดน เอ็นเอฟแอล ซูเปอร์สตาร์" บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ "เฟซบุ๊ค" ไปแล้ว โดยในส่วนของเกม "ฟีฟ่า ซูเปอร์สตาร์" มีผู้เล่นในแต่ละเดือนเกือบ 3.4 ล้านราย ขณะที่เกม "แมดเดน เอ็นเอฟแอล ซูเปอร์สตาร์" มีผู้เล่นในแต่ละเดือนประมาณ 1.7 ล้านราย ถึงแม้ว่าในช่วงหลังจำนวนผู้เล่นของทั้งสองเกมจะลดลงไปบ้างก็ตาม แต่ด้วยกระแสความนิยมการเล่นเกมบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทำให้ "อีเอ สปอร์ต" เปิดให้บริการ "พีจีเอ ทัวร์ กอล์ฟ ชาเลนจ์" เป็นเกมลำดับที่ 3
      
      "พีจีเอ ทัวร์ กอล์ฟ ชาเลนจ์" ได้รับการพัฒนาโดยเน้นระบบการเล่นที่เข้าใจง่าย อย่างเช่นการหวดวงสวิงด้วยการคลิกที่เมาส์เพียงครั้งเดียว รองรับการเล็งเป้าหมายด้วยเมาส์และคีย์บอร์ด พร้อมด้วยวิธีตีลูกอีกหลายแบบ ผู้เล่นสามารถปลดล็อคสนามกอล์ฟชื่อดังอย่าง เพบเบิล บีช กอล์ฟลิงค์ , เซนต์ แอนดรูส์ , ทีพีซี ซอว์กราส , วูล์ฟ ครีก ฯลฯ เพื่อนำมาใช้เล่นได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000452902.JPEG)

      นอกจากการเล่นด้วยมุมมอง 3 มิติ ตัวเกมยังมีระบบค่าประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครนักกอล์ฟ ปลดล็อคสนามและไอเท็มที่ขายในร้านโปรช็อปภายในเกม อีกทั้งยังสามารถทำการแข่งขันกับเพื่อนๆได้ มีโหมดเกมการเล่นหลายชนิด การซื้อขายไอเท็มภายในเกม การปรับแต่งตัวละคร รวมถึงโหมดการเล่นแบบอาชีพ
      
      เป็นที่น่าสังเกตุว่าชื่อเกม "พีจีเอ ทัวร์ กอล์ฟ ชาเลนจ์" ไม่มีชื่อของยอดนักกอล์ฟ "ไทเกอร์ วูดส์" เหมือนที่เคยมีในภาคก่อนๆ ซึ่งโดยปกติแล้วนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 เกมกอล์ฟพีจีเอทัวร์ของ "อีเอ สปอร์ต" มักจะมีชื่อและรูปของ "ไทเกอร์ วูดส์" ด้วยเสมอมา ประเด็นนี้มีสื่อต่างชาติให้ความสนใจตั้งแต่ได้เห็นว่าปกของเกมกอล์ฟภาคใหม่ ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายอย่าง "ไทเกอร์ วูดส์ พีจีเอ ทัวร์ 12" ที่ถึงแม้จะมีชื่อแต่ก็ไม่มีรูปของยอดนักกอล์ฟ "ไทเกอร์ วูดส์" บนหน้าปกกล่องเกม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Facebook ซื้อโดเมน FB.com ทำไม?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 14:41:23
รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องของ Facebook ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือที่ไร้สาระมากทีเดียวนั่นก็คือ Facebook จะปิดดำเนินการในวันที่ 15 มีนาคม แต่สำหรับข่าวนี้เป็นเรื่องจริง นั่นก็คือ Facebook ยอมควักเงินในกระเป๋า 8.5 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 260 ล้านบาท) เพื่อซื้อโดเมนเนม fb.com ว่าแต่มันมีเหตุผลอันใดที่ทำให้ Mark Zuckerberg ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้?

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Facebook ได้ประกาศว่า ทางบริษัทกำลังปรับปรุงบริการ Messages ครั้งใหญ่ โดยจะรวมฟังก์ชันการสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น SMS, Messaging, Chat และ e-mail เข้าไปอยู่ในอินเตอร์เฟซเดียว อีกทั้ง Mark Zuckerberg ยังออกมาย้ำว่า "บริการที่ปรับปรุงใหม่ในครั้งนี้ไม่ใช่อีเมล์" แต่ Facebook Messages ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่จะมีการกำหนดให้ผู้ใช้มีอีเมล์แอดเดรสเป็น @facebook.com ด้วย โดยเมื่อเพื่อนส่งข้อความเข้าไปยังอีเมล์แอเดรส Facebook ของคุณ คุณก็จะได้รับมันใน Inbox ของ Facebook (มันไม่ใช่อีเมล์?) ประเด็นก็คือ เนื่องจากพนักงานของ Facebook ก็จะใช้อีเมล์ Facebook.com  อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น พวกเขาต้องเปลี่ยนไปใช้โดเมนอื่น และนี่คือเหตุผลว่า ทำไม Mark Zuckerberg ตัดสินใจแคะกระปุก 8.5 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อโดเมนเนม Fb.com มาให้ลูกน้องใช้

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-acquired-fb-com-domain-for-employees-2.jpg)

Facebook ได้ขอซื้อโดเมน Fb.com เมื่อวันที 15 พฤศจิกายนปีที่แล้วจากกองทุน American Farm Bureau Federation ซึ่งในงานประชุมประจำปีขององค์กรไม่แสวงผลกำไรแห่งนี้ ได้เปิดเผยตัวเลขมูลค่าของโดเมน Fb.com ที่ขายให้กับ Facebook ว่าเป็นเงิน 8.5 ล้านเหรียญฯ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 ทาง Facebook ที่แต่เดิมใช้โดเมน TheFacebook ได้ทุ่มเงินไป 200,000 เหรียญฯ (ประมาณ 6.2 ล้านบาท) เพื่อซื้อโดเมน Facebook.com ซึ่งการซื้อโดเมน Fb.com ตัวเลขสูงกว่าถึง 42.5 เท่าเลยทีเดียว ในขณะที่ชื่อ Facebook.com ได้ทำให้เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้ดังไปทั่วโลก หรือถือได้ว่า มันคืนทุนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่ากับการได้ชื่อนี้มา แล้ว Fb.com จะคืนทุนเมื่อไร? แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เราเข้าถึง Facebook.com ในบราวเซอร์ได้เร็วขึ้น แค่พิมพ์ fb แล้วกด Ctrl+Enter

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google Translate เพิ่มโหมด "สนทนา"?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 15:31:20
บล็อก Google Operateing System ได้โพสต์คลิปวิดีโอสาธิตการใช้บริการ Google Translation ด้วยโหมดการทำงานใหม่ที่เรียกว่า Conversation Mode ซึ่งทำงานบนมือถือ Android เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวานนี้ (12 ม.ค. 2554) ทาง Google ได้เปิดให้ผู้ใช้ได้ดาวน์โหลดแอพ Google Translate ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อใช้งานบนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตแล้ว

Google ประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทได้เริ่มทดลองให้ใช้ Conversation Mode กับ Google Translate app บนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android โดยโหมดการทำงานนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถพูดในภาษาของตนเองผ่านแอพฯ จากนั้นให้มันแปลเป็นภาษาปลายทางที่ต้องการ พร้อมทั้งอ่านออกเสียงข้อความที่แปลออกมาให้ได้ยินภายในอึดใจ (ไอเดียคล้ายๆ "วุ้นแปลภาษา" ของเจ้าแมวหุ่นยนต์ขวัญใจของคนทั่วโลก Doraemon) อย่างไรก็ตาม การทำงานของ Conversation Mode ยังอยู่ในช่วงแรก (แปลว่า มันยังไม่ยังอาจจะมีข้อผิดพลาดในการแปลอยู่พอสมควร) โดยมาพร้อมกับอินเตอร์ เฟซใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้สมาร์ทโฟน Android ในการสนทนากับเพื่อนต่างชาติที่เราไม่คุ้นเคยภาษาของเขาได้

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-translate-conversation-mode-on-android-phone-2.jpg)

หลังจากการสาธิตความสามารถในการแปลภาษาอังกฤษเป็นเยอรมันเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว (ในคลิปวิดีโอ) สำหรับเวอร์ชันที่ให้ทดลองใช้นี้จะเพิ่มการแปลภาษาระหว่างสเปน (spanish) กับภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม Google มีแผนที่จะเพิ่มความสามารถในการแปลภาษาต่างๆ ให้มากขึ้นในอนาคต ดังนั้น Conversation Mode ที่ปล่อยออกมานี้จึงถือได้ว่าเป็นเวอร์ชันทดสอบแรกๆ (alpha) เลยก็ว่าได้ สำหรับในการใช้งาน Conversation Mode ผู้ใช้จะต้องแตะไอคอนบนมือถือ Android เพื่อเลือกภาษาที่ต้องการให้แปล จากนั้นพูดด้วยภาษาของตนเองเข้าไปในมือถือ เมื่อยกนิ้วขึ้น แอพก็จะทำการแปลเสียงของคุณเป็นข้อความก่อนจากนั้นค่อยแปลเป็นภาษาปลายทาง ที่ต้องการ ก่อนที่จะส่งเสียงออกมาจากลำโพงของสมาร์ทโฟน

เพียงแค่นี้คุณก็สามารถพูดคุยกับเพื่อนสเปนได้รู้เรื่องแล้ว (แม้จะงงนิดๆ เพราะคุณภาพการแปลยังไม่สมบูรณ์นัก) ปัจจุบัน Google Translate สนับสนุนการแปลภาษาในรูปแบบของ "ข้อความ" ได้ 53 ภาษา และแปลจากเสียงเป็นข้อความ (voic-to-text) ได้ 15 ภาษา

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iPad พ่นพิษยอดขาย Notebook อืดปลายปี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 15:52:39
ยอดขายพีซีทั่วโลกเกิดการชะลตัวในช่วงปลายปี 2010 ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดยบริษัทวิจัย IDC ซึ่งนักวิเคราะห์อ้างว่า สาเหตุมาจาก iPad ที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายพีซีในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างชัดเจน แถมยังคาดอีกด้วยว่า การชะลอการเติบโตของพีซีจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2011 เนื่องจากการเกิดของ"แท็บเล็ต"ที่เป็นคู่แข่งของ iPad ได้รุกทำตลาดในประเทศแถบเอเซีย

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/pc-sales-slow-down-at-the-end-of-2010-cause-of-ipad-2.jpg)

สำหรับยอดจำหน่ายคอมิวเตอร์ทั่วโลกในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาเติบโตแค่ 2.7% เทียบกับที่จากเดิมตั้งไว้ 5.5% (หายไปกว่า 2.8%) ทั้งนี้ยอดส่งมอบพีซีในไตรมาสที่สี่จากโรงงานผลิตมีแค่ 92.1 ล้านเครื่อง สรุปจนถึงสิ้นปี 2010 มียอดรวมของพีซีเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคทั้งสิ้น 346.2 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2009 ประมาณ 13.6% ในส่วนของเหตุผลของการหดตัวของตลาดพีซีในช่วงปลายปีที่ผ่านมานั้น David Doud ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ IDC โทษว่าเป็นเพราะ iPad ของ Apple และยอดขายที่โตกว่าปกิตในช่วงปลายปี 2009 อันเป็นผลมาจากการเปิดตัว Windows 7

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/2/apple-ipad-delay-cause-of-production-problem-2.jpg)

"การเติบโตของพีซีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2010 เกิดจากความต้องการที่ลดลง และการแข่งขันจากอุปกรณ์ใหม่ที่มาแรงอย่าง iPad ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ทำให้ยอดพีซีตกลงไป นอกจากนี้ ประสบการณ์ในความรู้สึกพอเพียงสำหรับประสิทฺธิภาพของคอมพิวเตอร์ทีใช้ยังแผ่ ขยายไปในวงกว้าง อีกทั้งอุปกรณ์ที่เป็นคู่แข่ง (แม้จะใช้งานแทนไม่ได้ 100%) กลับตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าต่อเม็ดเงินที่จ่ายได้ สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2011 ด้วยสาเหตุสำคัญคือ มีเดียแท็บเล็ตกำลังจะกินตลาดพีซี" Doud กล่าวในรายงาน ความต้องการพีซีในประเทศแถบเอเซีย (ไม่รวมญ๊่ปุ่น) จะตกลงเหลือต่ำกว่าสิบเปอร์เซนต์  ในขณะที่ปีก่อนๆ มันมีสูงถึง 30% เลยทีเดียว เฉพาะในสหรัฐ การเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2010 ตกลงจากปีที่แล้ว 4.8%

อย่างไรก็ดี ในขณะที่อัตราการเติบโตของยอดขายพีซีในไตรมาสที่ 4 จะลดลง แต่ผู้ผลิตพีซีอย่าง Lenovo และ Toshiba สามารถเพิ่มทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ส่วน Dell, HP และ Acer มียอดขายที่ลดลง ข้อมูลจาก IDC สรุปได้ตามตารางข้างล่างนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/pc-sales-slow-down-at-the-end-of-2010-cause-of-ipad-4.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: อินเทลชู 'Connected Store' ร้านค้าปลีกแห่งอนาคต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 16:37:03
อินเทลร่วมกับพันธมิตรตัวเบ้งโชว์ "Connected Store" แนวคิดร้านค้าปลีกแห่งอนาคตในงานประชุมอุตสาหกรรมค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ National Retail Federation Convention เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มาในรูปหน้าร้านแห่งอนาคตที่ผสานเทคโนโลยีเกม การแสดงผลภาพสามมิติ การประมวลผล และส่วนติดต่อผู้ใช้ระบบสัมผัส ซึ่งจะทำให้ผู้ค้าสามารถแสดงผลแบบสินค้าได้หลากหลายหลักพันแบบ รวมถึงสามารถเสนอสินค้าที่ตรงบุคลิกและความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่าเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000458401.JPEG)

      คริส โอมัลเลย์ (Chris O'Malley) ประธานฝ่ายการตลาดค้าปลีกของอินเทล ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ InternetNews.com ว่าแนวคิด Connected Store ซึ่งอิน เทลร่วมมือสาธิตกับพันธมิตรรายใหญ่ในสหรัฐฯ นั้นเกิดขึ้นเพื่อแสดงให้อุตสาหกรรมค้าปลีกได้เห็นว่าประสบการณ์ดิจิตอลจะ ช่วยให้ธุรกิจมีลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อย่างไร โดยรายชื่อพันธมิตรที่อินเทลดึงมาร่วมแนวคิดร้านค้าปลีกแห่งอนาคตนั้นหลาก หลายและล้วนเป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลต่อตลาด ทั้งค่ายอุปกรณ์กีฬาอดิดา ส (Adidas) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่อย่างพีแอนด์จี (Proctor and Gamble) รวมถึงผู้ผลิตคลังอาหารอย่างคราฟท์ (Kraft Foods) ทำให้หลายคนมองว่านี่คือแนวคิดร้านค้าแห่งอนาคตที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
      
      ระบบ Connected Store ของอินเทลนั้นประกอบด้วยหน้าจอขนาดยักษ์ที่ทำให้สินค้าหลายแบบสามารถปรากฏ สู่สายตาผู้ใช้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยอินเทลนำเทคโนโลยี Intel Digital Signage Endcap ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับเพื่อวิเคราะห์และแสดงภาพสินค้าให้ตรงใจ กลุ่มเป้าหมาย มาใช้ร่วมกับระบบคีออสก์และจุดขายซึ่งทำให้ร้านค้าสามารถโต้ตอบกับผู้บริโภค ได้โดยตรง
      
      แม้ชิปคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกประกอบในระบบ Connected Store ของอินเทลบางรุ่นจะเป็นชิปที่ไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่อินเทลยืนยันว่าทั้งหมดมีความพร้อมในการติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริงในขณะ นี้ โดยอดิดาสนั้นมีแผนจะเสนอ"ผนังแสดงสินค้าดิจิตอล"แก่ตัวแทนจำหน่ายอดิดา สทั่วโลกในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
      
      รายงานชี้ว่า ผนังแสดงสินค้าดิจิตอลนั้นช่วยอุดจุดอ่อนที่อดิดาสเผชิญอยู่ได้ เพราะอดิดาสนั้นมีรองเท้าในมือมากกว่า 4,000 รุ่น แต่ร้านค้าปลีกทั่วไปมีความสามารถแสดงได้ 200-300 คู่เท่านั้น โดยในงานประชุม อดิดาสประกาศชื่อระบบค้นหารองเท้าของตัวเองว่า adiVERSE ซึ่งจะประกอบด้วยหน้าจอวิดีโอมากกว่า 12 จุดเพื่อให้ลูกค้าอดิดาสสามารถเข้าถึงรองเท้าทุกรุ่น
      
      อินเทลระบุว่า ระบบค้าปลีกแห่งอนาคตของอินเทลถูกออกแบบมาเพื่อการสั่งซื้อแบบส่งถึงบ้าน ด้วย ที่น่าสนใจคือ อินเทลได้ร่วมมือกับสถาบัน MIT Media Lab พัฒนาระบบวิดีโอที่ทำให้ลูกค้าสามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญจากทางไกลได้ผ่าน ระบบโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างสไกป์ (Skype) ด้วย
      
      นอกจากนี้ อินเทลยังโชว์เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพวิดีโอในชื่อ Intel AIM Suite เพื่อตรวจสอบอายุ และเพศ เพื่อการนำเสนอโฆษณาหรือเนื้อหาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแนวคิดนี้ถูกเริ่มนำมาใช้กันมากในกลุ่มธุรกิจโฆษณาแล้วในนาทีนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แอนดรอยด์อันตรายกว่าไอโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 17:05:07
เทรนด์ไมโคร ผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนติไวรัสชื่อดังเผย ระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนอนาคตไกลอย่างแอนดรอยด์นั้นมีช่องโหว่ด้าน ความปลอดภัยมากกว่าไอโฟน โดยแอนดรอยด์มีความเสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบและไวรัสมากกว่าแพลตฟอร์มของแอ ปเปิล เชื่อในอนาคต ผู้ใช้แอนดรอยด์จะหาซื้อหาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสมาใช้มากกว่ากลุ่มผู้ใช้ไอโฟน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000456901.JPEG)

      สตีฟ ชาง (Steve Chang) ประธานบริษัทเทรนด์ไมโคร ให้สัมภาษณ์ที่กรุงไทเป เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจการรักษาความปลอดภัย ดิจิตอลในอุปกรณ์สมาร์ทโฟน โดยกล่าวว่าความ เป็นระบบเปิดของแอนดรอยด์มีส่วนทำให้นักเจาะระบบสามารถทำความเข้าใจ สถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มและชุดคำสั่งได้อย่างละเอียด ทำให้แอนดรอยด์มีความเสี่ยงถูกคุกคามโดยไวรัสสูง ต่างจากแพลตฟอร์มไอโฟน
      
      "เราต้องให้เครดิตแอปเปิล เพราะแอปเปิลระมัดระวังตรงนี้มาก ทำให้ไม่มีความเป็นไปได้เลยสำหรับการแพร่กระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์"
      
      คำว่าระบบเปิดของแอนดรอยด์ที่ชางพูดถึง คือการที่ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นอย่างกูเกิลเปิดเสรีให้นักพัฒนาทั่วโลกร่วม กันพัฒนาชุดคำสั่ง เพื่อให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถนำแอนดรอยด์ไปใช้งานได้ฟรี ตรงกันข้ามกับแอปเปิลที่ซุ่มพัฒนาเอง และกำหนดให้แอปพลิเคชันทุกชิ้นต้องถูกตรวจสอบและอนุมัติก่อน จึงจะมีสิทธิ์เปิดให้ดาวน์โหลดบนร้านออนไลน์
      
      จุดนี้ทำให้ชางเชื่อว่าผู้ใช้แอนดรอยด์จะซื้อซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น
      
      "สมาร์ทโฟนคือคอมพิวเตอร์พีซียุคหน้า และเมื่อสมาร์ทโฟนเริ่มนำมาใช้ในวงการธุรกิจ อุบัติเหตุเรื่องข้อมูลสูญหายจะเป็นปัญหาใหญ่ที่น่าเป็นห่วง"
      
      เทรนด์ไมโครเชื่อในแนวคิดนี้จนออกผลิตภัณฑ์ชื่อ Mobile Security for Android แอปพลิเคชันล่าสุดซึ่งสร้างมาเพื่อให้ผู้ใช้อุปกรณ์แอนดรอยด์ติดตั้งใน เครื่องเพื่อป้องกันการติดไวรัส โปรแกรมร้าย และสายโทร.เข้าที่ไม่ต้องการ สนนราคา 3.99 เหรียญ คาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ใช้อุปกรณ์แอนดรอยด์ที่เชื่อว่าจะมีจำนวน ถึง 250 ล้านเครื่องในปี 2014 (ข้อมูลจาก Gartner)
      
      ภัยคุกคามเดียวที่น่าเป็นห่วงสำหรับไอโฟน เทรนด์ไมโครมองว่าคือการล่อลวงที่ใช้เหตุการณ์ทางสังคมเป็นเครื่องบังหน้า เช่นการใช้ข่าวหรือบุคคลที่เป็นกระแสเพื่อดึงความสนใจผู้บริโภค ซึ่งก็เชื่อกันว่าจะไม่ส่งผลในวงกว้าง
      
      ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มีสัดส่วนการใช้งานราว 26% ในตลาดโลกช่วงไตรมาส 3 ของปี 2010 ที่ผ่านมา ตามหลังซิมเบียน (Symbian) แต่นำหน้าไอโอเอส (iOS) ซึ่งมีสัดส่วน 17% คาดว่าปี 2014 สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จะมีจำนวน 259 ล้านเครื่อง หรือประมาณ 29.6% ของตลาดรวม เป็นรองซิมเบียนที่เชื่อว่าจะมีสัดส่วน 30.2% แซงไอโอเอสซึ่งคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 15%

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Pokemon Black/White" ทะลุ 5 ล้านสร้างสถิติใหม่ในญี่ปุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 18:59:17
เกมโปเกมอนภาคล่าสุดในภาค Black และ White ทำสถิติใหม่ในญี่ปุ่น หลังจากวางจำหน่ายไปได้ 17 สัปดาห์สามารถทำยอดขายรวมได้มากกว่า 5 ล้านชุด กลายเป็นเกมบนเครื่อง DS ที่ทำยอดขายถึง 5 ล้านชุดได้เร็วที่สุดในญี่ปุ่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000514101.JPEG)

      "Pokemon Black and White" เกมภาคล่าสุดในซีรีส์โปเกมอน ออกวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว หลังจากวางจำหน่ายไปได้สัปดาห์เดียวก็สามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 2.6 ล้านชุด ทำสถิติเป็นเกมโปเกมอนที่เปิดตัวร้อนแรงที่สุด ล่าสุดหลังจากวางจำหน่ายมาได้ร่วม 4 เดือนเกมภาคล่าสุดตัวนี้ก็ได้สร้างสถิติใหม่ที่ไม่ใช่เป็นเพียงการทำลาย สถิติซีรส์โปเกมอนของตัวเอง
      
      สถิติข้อมูลจากเอนเตอร์เบรน ระบุว่าตั้งแต่เกม "Pokemon" ภาค "Black" และ "White" เปิดวางจำหน่ายในญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 9 มกราคม มียอดขายรวมในญี่ปุ่นทั้งสิ้น 5,036,724 ชุด ทำสถิติใหม่เป็นเกมบนเครื่อง DS ที่ทำยอดขายถึง 5 ล้านชุดได้เร็วที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้มีเกมบน DS ถึง 4 ตัวที่ทำยอดขายได้ถึง 5 ล้านชุดแต่เกมภาค "Black" และ "White" ทำยอดถึง 5 ล้านชุดได้เร็วที่สุดด้วยสถิติ 17 สัปดาห์
      
      อย่างไรก็ตามในทางเทคนิคแล้วเกม Pokemon Black และ Pokemon White เป็นรายชื่อเกมที่แยกออกจากกัน แต่นินเทนโดมักจะสร้างเวอร์ชั่นเกมออกมาให้มีความใกล้เคียงกันมากภายใต้ชื่อ ที่แตกต่างกันเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เล่นมีการแลกเปลี่ยนมอนสเตอร์กันระหว่างเวอร์ชั่น
      
      "Pokemon Black and White" พัฒนาโดย Game Freak มีการเพิ่งฟังก์ชั่นการเล่นออนไลน์ผ่านหลายฟีเจอร์ อาทิ Game Freak ที่ผู้เล่นสามารถเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษได้ผ่านการอัพโหลดเซฟไฟล์เข้าไปยัง เว็บไซต์ นอกจากนั้นยังมีโปเกมอนใหม่มากกว่า 150 ตัว ที่ผู้เล่นสามารถใส่เพิ่มเข้ามาใน Pokedexes ได้
      
      สำหรับการวางจำหน่ายเกม "Pokemon Black and White" ในอเมริกา คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ในวันที่ 6 มีนาคมนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: นินเทนโดเผยความจริง "เกมคิวบ์" มีฟังก์ชั่นภาพสามมิติ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 19:23:30
ในช่วงที่ระบบภาพสามมิติเป็นกระแสที่ได้รับความนิยม นินเทนโดได้ออกมาเปิดเผยว่าเครื่องคอนโซลตัวเก่าอย่าง "เกมคิวบ์" มีฟังก์ชั่นภาพสามมิติ ที่ต้องเชื่อมต่อกับจอ LCD รุ่นพิเศษ แต่มีอันต้องล้มเลิกในส่วนของ LCD ไปเนื่องจากมีต้นทุนสูง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000502201.JPEG)

      ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบภาพสามมิติถูกพูดถึงกันอย่างมากจนกลายเป็นความบันเทิงรูปแบบใหม่ ในงาน "Consumer Electronic Show" ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "โซนี่" บริษัทอิเลคทรอนิคส์ยักษ์ใหญ่ ได้ขึ้นพรีเซนต์เทคโนโลยีโดยให้ความสำคัญไปี่ระบบภาพสามมิติที่จะใช้กับ ภาพยนตร์ , กล้อง และวิดีโอเกม
      
      นินเทนโด บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ก็ไม่น้อยหน้า จัดอีเวนท์พิเศษของตัวเองขึ้นในญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ "Nintendo World 2011" เพื่อจัดแสดง "3DS" เครื่องเกมพกพาตัวใหม่ ที่นำเสนอภาพสามมิติได้โดยที่ผู้เล่นไม่ต้องสวมแว่นอะไรเพิ่มเติม โดยเครื่องเกมดังกล่าวจะเปิดจำหน่ายที่ญี่ปุ่นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นอกจากนั้นในวันพุธหน้า(19 ม.ค.) นินเทนโดจะจัดอีเวนท์พิเศษขึ้นในนิวยอร์ก และอัมสเตอร์ดัมอีกด้วยเพื่อเปิดตัวเครื่อง 3DS อย่างเป็นทางการต่อเกมเมอร์ โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายที่อเมริกาและยุโรปได้ในช่วงเดือนมีนาคมนี้
      
      ล่าสุด "ซาโตรุ อิวาตะ" ประธานใหญ่นินเทนโด ได้เปิดเผยผ่านคอลัมน์ถาม-ตอบของ เขาเอง ระบุว่าความจริงแล้วนินเทนโดคิดและวางรากฐานเรื่องระบบภาพสามมิติมานานแล้ว พร้อมกับระบุว่า "เกมคิวบ์" เครื่องคอนโซลก่อนหน้าเครื่องวี ก็เกือบจะทำให้เป็นระบบภาพสามมิติได้สำเร็จ
      
      อิวาตะ ระบุว่า จริงๆแล้วเครื่องเกมคิวบ์มีระบบวงจรแบบบิ๊วอินที่สามารถนำเสนอภาพแบบสามมิติ ได้ เมื่อเครื่องเกมคิวบ์เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมที่ถูกต้องมันจะสามารถนำเสนอ ภาพแบบสามมิติได้ เครื่องเกมคิวบ์ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2001 คิดๆไปก็ร่วม 10 ปีแล้ว เราคิดเรื่องภาพสามมิติมาตั้งนานแล้ว
      
      ประธานใหญ่นินเทนโดให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การที่เครื่องเกมคิวบ์จะสามารถใช้งานฟังก์ชั่นภาพสามมิติได้ จะต้องต่อกับจอ LCD ชนิดพิเศษที่วางแผนจะขายแยกต่างหาก อย่างไรก็ตามจากราคาต้นทุนของจอ LCD ในขณะนั้นมีราคาที่สูงมากเกินไป ทำให้เรื่องของจอ LCD ที่จะเป็นอุปกรณ์เสริมนี้ไม่ผ่านขั้นตอนการทำตัวต้นแบบ
      
      อิวาตะเปิดเผยว่า หากทำจอ LCD พิเศษตัวนี้ออกมาจะต้องขายในราคาที่แพงกว่าตัวเครื่องเกมคิวบ์ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำจอ LCD ที่ว่าออกมา อย่างไรก็ตามอิวาตะยืนยันว่าในขณะนั้นได้ทำเกมสามมิติออกมารองรับแล้วได้แก่ เกม Luigi's Mansion ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมการเปิดตัวเครื่องเกมคิวบ์ ซึ่งเกมดังกล่าวได้บรรจุเอาฟังก์ชั่นสามมิติเอาไว้แล้ว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ไฮบริด “แท็บเลต” สไลด์ได้ ถอดร่างได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มกราคม 2011, 20:03:17
อุปกรณ์ไฮเทคที่ได้รับการวางให้เป็นพระเอกของปีนี้อย่าง “แท็บเลต” ได้โชว์รูปลักษณ์ใหม่ที่ทำให้กระดานชนวนอิเล็กทรอนิกส์ที่เราได้เห็นกัน ตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมา พลิกโฉมกลายพันธุ์ผสมผสานร่างไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของสไลด์ การถอดแยกประกอบร่าง บวกกับคีย์บอร์ดที่มีมาให้พร้อม คือนวัตกรรมที่บรรดาค่ายผู้ผลิตชั้นนำของโลกกำลังจะพาเหรดแท็บเลตพันทางมา ให้เป็นทางเลือกสำหรับปี 2554 นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000531101.JPEG)

      สิ่งที่ผู้บริโภคได้เห็นและสัมผัสจากงาน “International Consumer Electronics Show 2011” (CES) ณ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา งานที่ได้ชื่อว่าเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ ที่สุดในโลกและเป็นงานอันดับหนึ่งของโลก ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ “แท็บเลต” ที่นับจากนี้ไปจะไม่ได้มีเพียงแต่ “ไอแพด” ของแอปเปิล และ “ซัมซุงกาแล็คซี่แท็บ” เท่านั้นที่วาดลวดลายจนโด่งดังข้ามปี แต่จะมีผู้ผลิตทั้งรายใหญ่รายเล็กกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้
      
      การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเปิดตัว “แท็บเลต” รุ่นใหม่ออกสู่สายตาคนทั่วโลก คือการผสมผสานระหว่างแท็บเลตที่ถูกดีไซน์ให้ใช้งานได้แบบแท็บเลต และยังมีการเพิ่มในส่วนของคีย์บอร์ดในลักษณะเดียวกับโน้ตบุ๊ก แต่เป็นโน้ตบุ๊กที่สามารถถอดได้มาใช้งานในลักษณะของแท็บเลต และอีกหนึ่งการออกแบบคือในรูปลักษณ์ของสไลด์ ที่สามารถใช้งานแบบกระดานชนวนได้ และเมื่อสไลด์ขึ้น ผู้ใช้งานก็สามารถใช้คีย์บอร์ดที่ถูกทับอยู่ได้ทันที
      
      อย่างค่ายยักษ์ใหญ่ไต้หวัน “อัสซุส” ได้นำเสนอโน้ตบุ๊กไฮบริดลูกผสมอย่าง Eee Pad Slider ที่มีขนาดหน้าจอถึง 10.1 นิ้ว ซีพียู Dual-Core Tegra 2 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ฮันนีโคม โดยจุดเด่นคือสามารถสไลด์คีย์บอร์ด QWERTY เลื่อนออกมาจากด้านหลังได้ อีกทั้งยังสามารถตั้งแท็บเลตขึ้นมาเป็นจอแบบโน้ตบุ๊ก เพื่อใช้พิมพ์ได้อย่างสะดวกมือ เวลาที่ไม่ต้องการใช้ระบบหน้าจอสัมผัสทัชสกรีน โดยจะวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม ราคาอยู่ที่ 499-799 เหรียญฯ หรือประมาณ 15,000-24,000 บาท

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000531102.JPEG)

ขณะที่ Eee Pad Transformer แท็บเลตที่มีความโดนเด่นไม่แพ้กัน จากดีไซน์สุดล้ำที่สามารถแปลงร่างเป็นโน้ตบุ๊กได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เสียบกับคีย์บอร์ด QWERTY ที่มีลักษณะเหมือนแท่นรองรับ (docking station) พร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ขนาด 10.1 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ซีพียู Dual-Core Tegra 2 เช่นกัน และมีกล้อง 2 ตัว ด้านหน้า 1.2 ล้านพิกเซล และด้านหลัง 5 ล้านพิกเซล สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายด้วย Wireless และ Bluetooth มีช่องเสียบพอร์ต HDMI, USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ โดยจะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน สนนราคาของ “ASUS Transformer” อยู่ที่ประมาณ 399-699 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,000-21,000 บาท
      
      ค่ายเลอโนโวเปิดตัว IdeaPad U1 ไฮบริดกับสเลตพีซี LePad โน้ตบุ๊กลูกผสม (Hybrid) ที่ใช้งานได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊กกับแท็บเลตในตัว นับเป็นสุดยอดมัลติมีเดียพกพาแบบทู-อิน-วัน ที่มาพร้อมกับสเลตพีซีความละเอียดสูงที่สามารถเข้าใช้งานแอนดรอยด์แอปพลิเค ชั่น และแป้นคีย์บอร์ดสุดทันสมัยให้ประสบการณ์การใช้งาน Windows 7 อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ IdeaPad U1 ที่ไฮบริดกับสเลตพีซี LePad นั้นสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้เป็นอย่างดี หรือสามารถใช้งานแยกกันได้ตามวัตถุประสงค์ด้วยโหมด Hybrid Switch เพื่อสับเปลี่ยนการใช้งานระหว่างสองระบบปฏิบัติการ
      
      LePad สะดวกแก่การพกพาด้วยน้ำหนักเพียง 0.9 กิโลกรัมและขนาดบางเพียงครึ่งนิ้ว ใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon ของ Qualcomm สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานต่อเนื่องกว่า 8 ชั่วโมง มีให้เลือก 4 สีในแบบ 2 ผิวสัมผัส ได้แก่ สีแดงสด สีขาว พื้นหนังสีน้ำตาล และพื้นหนังสีดำ ทั้งนี้ สเลตพีซี LePad มาพร้อมกับหน้าจอความคมชัดสูง กว้าง 10.1 นิ้ว ที่ซึ่งสามารถแสดงผลได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน LePad สร้างบนระบบแอนดรอยด์ 2.2 พร้อมเทคโนโลยีเฉพาะของเลอโนโว
      
      ซัมซุงแนะนำคอมพิวเตอร์พกพาแบบสไลด์ รุ่น “สไลดิ้ง พีซี 7” (Samsung Sliding PC 7 Series)” นิยามใหม่ของคอมพิวเตอร์ลูกผสมที่รวมเอาจุดเด่นของเน็ตบุ๊กและแท็บเลตพีซี ไว้ด้วยกันพร้อมแป้นพิมพ์แบบสไลด์ ใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows® 7 และโปรเซสเซอร์ Intel® Atom

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000531103.JPEG)

ซัมซุงเชื่อว่าดีไซน์ของเน็ตบุ๊กในซีรีส์นี้มีความแตกต่าง และเหนือกว่าเน็ตบุ๊กทั่วไป ไมว่าจะเป็น การใช้จอสัมผัสสำหรับการใช้เป็นแท็บเลต ในขณะที่ด้านหลังสามารถเลื่อนสไลด์ คีย์บอร์ด QWERTY พร้อมทัชแพด ออกมาใช้งานเป็น “เน็ตบุ๊ก” ได้ด้วย อาจจะเรียกว่า มันเป็นการไฮบริด “แท็บเล็ต” กับ “เน็ตบุ๊ก” ก็ได้ “Samsung 7 Series” กำลังสร้างหมวดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาด้วยตัวมันเองด้วยความเพียบพร้อมสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ดีไซน์ที่ให้ความสะดวกสบายในการเปิดรับคอนเทนต์ต่างๆ เท่านั้น แต่มันยังตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์บนคอมพิวเตอร์อีกด้วย
      
      สำหรับความเคลื่อนไหวของการเปิดตัวแท็บเลตค่ายอื่นๆ นั้น อย่างค่ายโตชิบาเตรียมเปิดแท็บเลต ขนาด 10.1 นิ้ว มาพร้อม USB HDMI เชื่อมต่อทีวี เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ มีกล้องด้านหน้าและหลัง ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Honeycomb
      
      ส่วนค่ายเอชพีมีข่าวเตรียมเปิดแท็บเลตรองรับระบบปฏิบัติการ webOS หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว พร้อมกล้องด้านหน้าและหลัง มีพอร์ต USB 3.0 HDMI เชื่อมต่อไป HDTV รองรับการเชื่อมต่อไวแมกซ์ 4G
      
      นอกจากนี้ค่ายโทรศัพท์มือถืออย่างเอชทีซี เปิดตัว HTC Scribe ขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Honeycomb เช่นเดียวกับค่ายดังเกาหลีอย่าง “แอลจี” ที่ส่งแท็บเลต Optimus Pad บน Honeycomb หน้าจอขนาด 8.9 นิ้ว มาพร้อมซีพียูจาก NVDIA dual-core Tegra 2 พร้อมกล้องด้านหน้าและหลัง รวมถึงโมโตโรล่าที่เปิดตัวแท็บเลตบนระบบปฏิบัติการ Honeycomb เช่นกัน โดยใช้ชื่อว่า “Xoom”
      
      กูเกิลจะกินรวบ “แท็บเลต”
      Honeycomb เจาะทุกค่าย

      
      เมื่อกองทัพ “แท็บเลต” เตรียมทัพใหญ่ไว้อย่างพร้อมสรรพ ในภาคของระบบปฏิบัติการ มีส่วนสำคัญที่จะทำให้แท็บเลตติดลมบนยิ่งขึ้นไปอีก ล่าสุดทางกูเกิลก็ประกาศกลางงาน CES 2011 เปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 Honeycomb ชึ้นโชว์พร้อมแท็บเลต Motorola Xoom
      
      โมโตโรล่าถือเป็นแบรนด์แรกที่กูเกิลเลือกให้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 หรือในรหัส Honeycomb ขึ้นเปิดตัวบนแท็บเลต Motorola Xoom
      
      ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ตัวล่าสุดนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อแท็บเลตโดย เฉพาะ ซึ่งแตกต่างกับระบบปฏิบัติการรุ่นก่อนหน้าที่มีผู้ผลิตหลายเจ้าพยายามดัด แปลงตัวระบบให้รองรับกับแท็บเลตของตนจนอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการแสดงผลที่ ไม่สมบูรณ์
      
      Andy Rubin หัวเรือใหญ่ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ได้ชี้แจงถึงเรื่องระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สำหรับในเวอร์ชั่น 3.0 หรือในรหัส Honeycomb ได้มีการปรับปรุงในส่วนของการรองรับการแสดงผลสำหรับหน้าจอขนาดใหญ่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนระบบ User Interface ใหม่ทั้งหมด และที่สำคัญคือในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ตัวระบบจะรองรับการทำงาน Multi-Tasking ได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
      
      ในส่วนการพัฒนาระบบการทำงานอื่นๆ อย่างในแอนดรอยด์มาร์เกตจะมีการเพิ่มเติมแอปพลิเคชั่นให้มากกว่าเดิมถึง 100,000 ตัว และในส่วนของซอฟต์แวร์จากกูเกิลเองจะมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมในหลายส่วน เช่น แผนที่จะสามารถแสดงผลแบบ 3D interactions and offline reliability ได้ รวมถึงการเพิ่มคุณสมบัติ Video Call ข้ามแพลตฟอร์มบน Google Talk และในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์จะมีการเพิ่มระบบแท็บหน้าเพจ, Auto Fill, Bookmark, และหน้าเว็บเพจแบบส่วนตัว รวมถึงแอปพลิเคชั่นอย่าง Google eBook จะถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อจับตลาดสื่อสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเริ่มได้ รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน
      
      ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 Honeycomb ยังสามารถรองรับกับหน่วยประมวลผลจากอินเทลอย่างอะตอม หรือฟิวชั่นจากเอเอ็มดีได้ เพื่อในอนาคตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 จะขยายฐานตลาดไปจับกลุ่มแท็บเลตประสิทธิภาพสูง ตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือตลาดเน็ตบุ๊กได้ง่ายขึ้น
      
      จากการเปิดตัวของเหล่าผู้ผลิตแท็บเลต เห็นได้ชัดว่าวันนี้ทุกค่ายพร้อมใจที่จะดึงเอาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ ชั่นล่าสุดไปไว้บนผลิตภัณฑ์ของตนเอง งานกินรวบตลาดแท็บเลตมาไว้บนหน้าตักกูเกิลจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องยากสำหรับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ที่จะมาแย่งตลาดนี้จากกูเกิล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ลือ!!! Facebook Phone ใกล้คลอดแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มกราคม 2011, 14:34:44
แม้ Facebook จะยังไม่มีการเปิดตัว Facebook Phone อย่างเป็นทางการ แต่ข่าวลือเกี่ยวกับมือถือรุ่นดังกล่าว ยังคงมีออกมาให้ได้ติดตามกันเป็นระยะๆ ล่าสุดมีข้อมูลที่หลุดออกมา ซึ่งเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนว่า Facebook เตรียมออกมือถือที่สนับสนุนการใช้บริการโดยเฉพาะ โดยข้อมูลดังกล่าวได้ถูกลบออกไปอย่างรวดเร็ว

รายงานจากเว็บไซต์ Pock Now อ้างว่า สมาร์ทโฟน INQ Cloud Touch จริงๆ แล้วมันก็คือ Facebook Phone นั่นเอง ซึ่งเมื่อเร็วๆ ข้อมูลรับรองการทดสอบการทำงานของ Bluetooth ของ INQ Cloud Touch ได้เผยแพร่ออกมาบนเน็ต โดยส่วนหนึ่งของข้อความที่อธิบายคุณสมบัติการทำงานเบื้องต้นระบุว่า "INQ Cloud Touch เป็นสมาร์ทโฟน Android ที่มาพร้อมกับระบบการใช้งานเมสเสจที่เร็วกว่า และฉลาดกว่า โดยมันได้รับการออกแบบให้สอดรับกับรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้ได้อย่างกลม กลืนที่สุด และมีเอ็นจิ้นของ Facebook เป็นแกนหลักอยู่ภายใน คุณสมบัติการทำงานที่หน้าโฮมจะมีหลายตำแหน่งที่เข้าถึงฟังก์ชันการทำงาน ใหม่ๆ บน Facebook ในขณะที่ส่วนแสดงผลต่างๆ ของ Widget จะสามารถอัพเดตสถานะ อัลบั้ม วิดีโอ และภาพถ่ายดิจิตอล"

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-phone-INQ-Cloud-Touch-available-soon-2.jpg)

ข้อความที่หลุดออกมาค่อนข้างชัดเจนว่า INQ กำลังซุ่มพัฒนา Facebook Phone (INQ Cloud Touch) แถมยังมีพิรุธที่ชัดเจนตรงที่พยายามลบข้อความที่เกียวกับคำอธิบายตัว ผลิตภัณฑ์ออกไปภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่ง Mark Zuckerberg คงไม่ค่อยอยากให้ข่าวเกี่ยวกับ Facebook Phone เผยแพร่ออกไปในขณะนี้

อย่างไรก็ดี ตามรายงานข่าวอ้างว่า INQ Cloud Touch จะสามารถวางตลาดในยุโรปได้ในอีก 2 - 3 เดือนข้างหน้า แม้ Zuckerberg จะได้เคยบอกว่า ไม่มีแผนการที่จะออก Facebook Phone แต่บางทีหลังจากนั้นอาจเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เราอาจได้เห็น Zuckerberg ถือ Facebook Phone แบบเดียวกับที่เคยเห็น Steve Jobs ถือ iPhone ก็ได้...ใครจะไปรู้?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Galaxy S Mini ดูดีน่าใช้ไม่แพ้ iPhone 4
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มกราคม 2011, 15:23:22
หลังจากมีรายงานข่าวว่า สามาร์ทโฟน Samsung Galaxy S ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายถล่มทลายทะลุ 1.5 ล้านเครื่องไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ล่าสุดมีรายงข่าวที่คงจะสร้างกระแสให้กับซีรียส์ Galaxy S ได้อีกครั้ง เมื่อมีภาพหลุดของ S5830 สมาร์ทโฟนในซีรียส์เดียวกันที่มีดีไซน์น่าใช้กว่ารุ่นพี่ ในขณะที่สเป็กอยู่ระหว่าง Galaxy S กับ iPhone 4 (ด้านข้างของตัวเครื่องยังมีแถบโลหะที่ดูคล้ายเสาอากาศของ iPhone 4 อีกต่างหาก)

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-s-mini-leaked-image-show-off-at-mwc-2011-1.jpg)

ภาพหลุด พร้อมรายละเอียดของสเป็ก Samsung Galaxy S5830 สมาร์ทโฟนหัวใจ Android รุ่นใหม่อาจจะทำให้ใครหลายๆ คนทีกำลังต้องการ Galaxy S แต่ติดอยู่ที่ดีไซน์บางอย่างทีอาจจะไม่ตรงใจ เชื่อว่า S5830 น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณ ซึ่งสำหรับ S5830 จะมีขนาดของตัวเครื่องเล็กกว่ารุ่นแรก โดยมีหน้าจอขนาดประมาณ 3.5 นิ้ว ความละเอียด 320x480 พิกเซล (คาดว่าน่าจะยังเป็น Super AMOLED) ส่วนชื่อเรียกอาจจะเป็น Samsung Galaxy S Mini

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-s-mini-leaked-image-show-off-at-mwc-2011-2.jpg)

Samsung S5830 จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 Froyo (อัพเกรดเป็น Android 2.3 Gingerbread ได้) สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth 3.0 พร้อมด้วยพอร์ต microUSB กล้อง 5 ล้านพิกเซล แฟลช LED และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ MicroSD ส่วนโพรเซสเซอร์จะเป็น Qualcomm MSM 7227 ที่ีมีราคาถูกกว่า ส่วนดีไซน์ปุ่ม Home บนตัวเครื่องจะเรียบง่ายกว่า Galaxy S

ทั้งนี้ Samsung Galaxy S Mini น่าจะเปิดตัวในงาน Mibile World Congress 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ ณ.กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน นอกจากนี้ในงานเดียวกันทาง Samsung จะเปิดตัว Galaxy S2 อีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: AZPEN X1 แท็บเล็ต Win7+Android
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มกราคม 2011, 15:59:32
สรุปทั้งงาน CES 2011 มีสถิติที่น่าสนใจก็คือ มีการปรากฎตัวของ"แท็บเล็ต" (Tablet) ในงานนี้ทั้งสิ้นประมาณ 80 โมเดล ซึ่งในที่นี้จะรวมแท็บเล็ตไฮโซอย่าง Motorola XOOM และแท็บเล็ตจอมอึด Motion CL900 แต่มีแท็บเล็ตอีกรุ่นหนึ่งที่ต้องขอหยิบมาแนะนำกันอีกตัวจากบริษัท AXPEN Innovation โดยจุดเด่นที่เป็นหนึ่งเดียวก็คือ มันเป็นแท็บเล็ต"ดูอัลบู๊ต" สามารถเลือกใช้โอเอสเป็น Windows 7 หรือ Android 2.2 ได้ภายในเครื่องเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/azpen-x1-dual-boot-tablet-windows-7-and-android-2-2-froyo-CES-2011-2.jpg)

AXPEN X1 เป็นแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส TFT LCD ขนาด 10.1 นิ้ว ภายในใช้ขุมพลังประมวลผลเป็น Intel N455 1.66GHz หน่วยความจำ DDR3 1066MHz 2GB และใช้ชิปเซต Intel GMA3150 สนับสนุนการแสดงผลกราฟิก ขนาดของสตอเรจมีให้เลือกความจุ 8/16/32 GB พร้อมด้วยช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ microSD

ในส่วนของพอร์ตสนับสนุนการใช้งานก็จะมี USB ให้ 2 พอร์ต และ VGA สำหรับต่อจอภายนอก รวมถึงช่องต่อไมโครโฟน และหูฟัง สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth กล้องเว็บแคมความด้านหน้าความละเอียด 1.3M พร้อม G Sensor ตรวจจับการแสดงผลตามทิศทางการวางหน้าจอ (แนวนอน หรือแนวตั้ง) สนนราคา 500 เหรียญฯ (ประมาณ 16,000 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: TERA ทำลายสถิติผู้เล่นวันแรกของ Aion
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มกราคม 2011, 17:10:18
เกมออนไลน์สัญชาติเกาหลี TERA ทำสถิติยอดผู้เล่นในวันแรกที่เปิดให้บริการโอเพ่นเบต้า ด้วยตัวเลขผู้เข้าเล่นประมาณ 165,400 รายพร้อมกัน ทำลายสถิติเดิมของเกมออนไลน์ Aion ที่เคยมีผู้เข้าเล่นประมาณ 100,000 รายพร้อมกันในวันแรกของการเปิดโอเพ่นเบต้าที่ประเทศเกาหลีใต้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000526101.JPEG)

      หลังจากเริ่มเปิดให้บริการช่วงโอเพ่นเบต้าเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา เพียงแค่ 5 นาทีแรกก็มีผู้เข้าเล่นเกมออนไลน์ TERA มากกว่า 10,000 รายพร้อมกัน จากนั้นตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนตัวเลขสูงสุดของจำนวนผู้ที่เข้าเล่น พร้อมกันอยู่ที่ 165,400 รายในที่สุด ซึ่งในวันดังกล่าวได้มีการเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับจำนวนผู้เล่นอีก 7 เซิร์ฟเวอร์ ทำให้มีจำนวนเซิร์ฟเวอร์เปิดให้บริการในวันแรกถึง 36 เซิร์ฟเวอร์
      
      นอกจากการเปิดให้บริการในประเทศเกาหลีใต้ มีรายงานว่าเกมออนไลน์ TERA กำลังจะเปิดให้บริการที่ประเทศญี่ปุ่นภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้อีกด้วย ขณะที่ฝั่งอเมริกาเหนือและยุโรปจะเริ่มเปิดให้บริการหลังจากญี่ปุ่นประมาณ 1 เดือน ส่วนการเปิดให้บริการในเกาหลีใต้ขณะนี้ ช่วงแรกได้จำกัดเพดานเลเวลไว้ที่ 38 แต่ภายหลังได้เพิ่มเป็น 50 เพื่อรองรับการต่อสู้ภายในเกม
      
(http://game.sanook.com/story_picture/s/10186_002.jpg)

      รายงานจาก NHN Corporation ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ TERA ในประเทศเกาหลีใต้ ระบุว่า ค่าบริการรายเดือนที่จะต้องจ่ายเพื่อเข้าเล่นเกมออนไลน์ TERA เมื่อเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ จะถูกกว่าเกมอื่นๆของ NHN นอกจากนี้ยังจะมีหลายเงื่อนไขให้ผู้เล่นได้เลือกจ่ายตามความเหมาะสมของผู้ เล่นแต่ละราย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ยูทูบเฮ ยอดชมวิดีโอบนมือถือทะลุ 200 ล้านครั้งต่อวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มกราคม 2011, 18:49:22
ยูทูบ (YouTube) ประกาศชัยรับทิศทางการขยายตัวของธุรกิจในวงการอุปกรณ์พกพา ระบุว่ายอดการเรียกชมวิดีโอยูทูบบนอุปกรณ์พกพาในปัจจุบันมีจำนวนสูงเกิน 200 ล้านครั้งต่อวัน ทั้งในกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบพกพาอื่นๆ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000583001.JPEG)

      อองเดรย์ โดโรนิเชฟ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์พกพาของยูทูบ แสดงความเห็นไว้ในบล็อกของบริษัทว่า การขยายตัวของตลาดอุปกรณ์พกพาและความนิยมในการชมวิดีโอออนไลน์บนสมาร์ทโฟน ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยูทูบเชื่อว่าในอนาคต ยูทูบจะมีพันธมิตรด้านการโฆษณาออนไลน์มากขึ้น เพราะบริษัทเหล่านี้จะต้องการคว้าโอกาสในการทำให้คอนเทนต์ของตัวเองปรากฏสู่ อุปกรณ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น
      
      สถิติยอดชมวิดีโอออนไลน์บนอุปกรณ์มือถือ 200 ล้านครั้งต่อวัน ถูกมองเป็นหลักไมล์สำคัญหลังจากยูทูบเริ่มขยายความร่วมมือกับอุตสาหกรรมเพลง โดยล่าสุดยูทูบได้จับมือบริการเว็บไซต์เพลงนาม Vevo ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกูเกิล โซนีมิวสิคเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ยูนิเวอร์แซลมิวสิก และอาบูดาบีมีเดีย ในการทำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สามารถเข้าถึงรายการเพลงของ Vevo ได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันฟรีของยูทูบ
      
      แน่นอนว่า การใช้งานที่แพร่หลายแสดงถึงทิศทางรายได้สวยงามของยูทูบในอนาคต โดยเฉพาะรายได้จากการโฆษณา ซึ่งเชื่อว่าจะขยายตัวก้าวกระโดดต่อเนื่องไปอีกหลายปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โอลิมปัสออก XZ-1 คอมแพกต์โปร F1.8
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มกราคม 2011, 15:28:41
โอลิมปัสเปิดตัวกล้องดิจิตอล 2 รุ่นรับปีใหม่ หวังเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ใช้งาน "XZ-1" คอมแพกต์ระดับโปรคุณภาพสูง ที่มีขนาดเล็ก และ "PEN E-PL2" กล้องไร้กระจกตัวต่อยอด PEN E-PL1

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000605201)

XZ1 นั้นถือเป็นกล้องคอมแพกต์ระดับโปรจากโอลิมปัสที่มีขนาดเล็ก คุณภาพสูง ใช้เลนส์ i.ZUIKO DIGITAL ระยะ 6-24มม. เทียบเท่าเลน์ 28-112มม. มีรูรับแสงกว้างสุด F1.8-2.5 ซึ่งช่วยเรื่องของการถ่ายภาพในแสงน้อย พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/1.163 นิ้ว และหน่วยประมวลผลภาพ TruePic V
      
      นอกจากนี้ยังเป็นกล้องที่มีความละเอียด 10ล้านพิกเซล, ซูม 4 เท่าในแบบออปติคอล, ใช้หน้าจอแสดงผล OLED ขนาด 3 นิ้ว, ค่าความไวแสง (ISO) สูงสุด 3200, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว และรองรับการบันทึกภาพวิดีโอความละเอียดสูง 1280 × 720 (30fps)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000605202)

ในเวลาเดียวกัน โอลิมปัสยังได้มีการเปิดตัว PEN E-PL2 กล้องไร้กระจก ระบบ Micro 4/3 ที่ได้รับการพัฒนาจากรุ่น PEN E-PL1 โดยจะมาพร้อมเซ็นเซอร์ความละเอียด 12.3 ล้านพิกเซล มาพร้อมเลนส์คิท M.Zuiko 14.42 II F3.5-5.6 ตัวใหม่ ที่โฟกัสภาพได้ไว และเงียบกว่าเดิม
      
      ในส่วนของหน้าจอแสดงผล LCD ก็ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดใหญ่เป็น 3 นิ้ว ความละเอียด 460,000พิกเซล, มีค่าความไวแสง (ISO) 6400, มีค่าความเร็วชัตเตอร์เร็วสุด 1/4000 รวมถึงได้มีการเพิ่มช่องต่อสายรีโมตลงไป เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมการทำงาน และรองรับการบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่ความละเอียด 1280 x 720 (30 fps)
      
      สำหรับกล้องดิจิตอล Olympus ทั้ง 2 รุ่นจะวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2554 ในราคา 499.99เหรียญฯ หรือประมาณ 15,000 บาท สำหรับ XZ-1 และ 599.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 18,500 บาท สำหรับ PEN E-PL2

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เทคนิคสร้างภาพ 3D ที่พิลึกที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 13:00:48
แนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2011 อีกหนึ่งกระแสที่มีการพูดถึงไม่น้อย ถึงแม้จะไม่แรงอย่างที่คิดนั่นก็คือ เทคโนโลยีทีวี 3 มิติ ซึ่งโดยพื้นฐานการสร้างภาพลักษณะนี้จะใช้วิธีทำให้ตาทั้งสองข้างได้มองเห็น ภาพคนละมุมพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดการรวมภาพที่มีมิติขึ้นมา โดยทีวี 3D ที่มาพร้อมกับแว่นตาก็จะใช้การเปิดปิดชัตเตอร์บนแว่นตาทั้งสองข้างสลับไปมา ด้วยความเร็วสูงซิงค์กับภาพที่ต้องการให้ตาแต่ละข้างได้มองเห็น ซึ่งก็ทำให้สามารถมองเห็นภาพเป็นสามมิติได้ตามหลักการพื้นฐาน

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/glasses-free-3d-tv-solution-2.jpg)

อีกเทคนิคหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมาก และได้มีความพยายามพัฒนาเทคโนโลยี 3D ด้วยวิธีนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ 3DTV ที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องใส่แว่นตา ซึ่งเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันอยู่จะเป็นการติดแผ่นกรองภาพชนิดพิเศษบนหน้าจอ ทีวี เพื่อให้ตาแต่ละข้างของผู้ชมได้มองเห็นภาพที่แตกต่างกันทำให้เห็นเป็นมิติ ขึ้นมา เช้านี้ผมมีเทคนิคพิสดารพอสมควรในการทำให้ผู้ชมสามารถรับชมทีวี 3 มิติได้ โดยไม่ต้องสวมแว่นตา Francois Vogel นักสร้างหนังชาวฝรั่งเศสได้ใช้เทคนิคใหม่ที่สามารถใช้กับจอแสดงผลที่ มีความถี่ 120Hz เท่านั้น

โดยอุปกรณ์ที่ติดเข้ากับด้านข้างของตาทั้งสองของผู้ชมจะควบคุม กล้ามเนื้อให้เปลือกตาแต่ละข้างเปิดปิดการมองเห็นแทนชัตเตอร์ของแว่นตาสาม มิติ (3D Active Shutter Glasses) ซิงค์กับภาพที่ต้องการให้มองเห็นด้วยตาข้างซ้าย และข้างขวาบนหน้าจอแทน ซึ่งก็จะทำให้เห็นภาพ 3D จากทีวีได้เหมือนกัน โอ้ว...ฟังดูมันน่าจะทรมานมากกว่านะ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: ezcom ที่ 17 มกราคม 2011, 13:27:04
 :wanwan017:


หัวข้อ: ระวัง!!! อย่าเซฟ "พาสเวิร์ด" ในบราวเซอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 13:50:27
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยหลายรายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เพื่อความปลอดภัย ผู้ใช้ไม่ควรจัดเก็บ (save) รหัสผ่านที่ไม่ได้รับการเข้ารหัส (unencrypted passsword) ไว้ในบราวเซอร์บนคอมพิวเตอร์ เนื่องจากการกระทำในลักษณะดังกล่าว แฮคเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลบัญชีผู้ใช้ด้วยเครื่องมืออย่างเช่น โทรจัน (Torjans) ได้อย่างง่ายดาย

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า สำหรับผู้ใช้ที่ยืนกรานต้องการที่จะจัดเก็บ"พาสเวิร์ด"ไว้ในบราวเซอร์ เพื่อความปลอดภัยอย่างน้อยที่สุดควรใช้คุณสมบัติการทำงานที่เรียกว่า master password (รหัสผ่านหลัก) ซึ่งหมายถึงรหัสผ่านที่บราวเซอร์จัดเก็บไว้ทั้งหมดจะได้รับการเข้ารหัสอย่าง ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกดังกล่าวจะพบได้ในเฉพาะบราวเซอร์ Firefox และ Opera เท่านั้น สำหรับผู้ใช้ Firefox สามารถเข้าถึงคุณสมบัติการทำงานนี้ได้โดยคลิก Tools/Options/Security แล้วเลือกเช็คบ๊อกซ์ Use a master password ในขณะทีถ้าเป็น Opera จะมีการถามในครั้งแรกของการจัดเก็บพาสเวิร์ดโดยอัตโนมัติ

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/warning-dont-save-your-unencrypted-password-on-browser-2.gif)

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการป้องกันบัญชีผู้ใช้ของ ตนเองบนคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต พาสเวิร์ดยอดฮิตที่ยังคงเจาะได้อย่างง่ายดาย และพบเห็นกันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ก็คือ "123456" และ "password" ที่น่ากลัวกว่านั้น พาสเวิร์ดง่ายๆ เหล่านี้ยังถูกใชกับทุกบริการที่ผู้ใช้เข้าถึงอีกด้วย เรียกได้ว่า แฮคเกอร์สามารถใช้พาสเวิร์ดเดียวในการเจาะข้อมูลของผู้ใช้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น นอกจากจะไม่ควรเลือกใช้พาสเวิร์ดง่ายๆ (หรือสั้นเกินไป รวมถึงคำศัพท์ที่พบเห็นทั่วไป) แล้ว ผู้ใช้ยังไม่ควรใช้พาสเวิร์ดอันเดียวกับทุกๆ บริการอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: HP เล็งเปิดตัว "Tablet" ชน iPad ก.พ.นี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 14:07:32
หลังจาก HP เข้าซื้อกิจการของ Palm ด้วยเม็ดเงิน 1.2 พันล้านเหรียญฯ ร่วมปีมาแล้ว ล่าสุดทางบริษัทได้ประกาศความชัดเจนในจุดยืนในสมรภูมิฮาร์ดแวร์อย่าง"แท็บ เล็ต"ด้วยการประกาศว่า HP จะเปิดตัว"แท็บเล็ต"ที่ทำงานด้วย WebOS ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ (9 ก.พ. 2011) ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ

ในระหว่างการปรากฎตัวของ Todd Bradley รองประธานฝ่ายบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานส่วนบุคคลของเอชพีทาง สถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อเร็วๆ นี้ เขากล่าวว่า "HP มุ่งเน้นไปที่ตลาดแท็บเล็ตเต็มตัว โดยเฉพาะการใช้ระบบปฏิบัติการ WebOS (กับแท็บเล็ต)" หลังจากนั้น Bradley ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า HP ตั้งใจจะใช้เทคโนโลยีที่ได้มาจากการซื้อ Palm เพื่อพัฒนผลิตภัณฑ์ท้าชนกับ iPad พร้อมทั้งกล่าวอย่างมั่นใจอีกด้วยว่า "เราเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งตัวบริษัทเอง และลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์ในการท่องเว็บที่ดีที่สุด และด้วยประสบการณ์ในการรับชมคอนเท็นต์ที่ดีทีสุดเท่าที่เคยพบมา"

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/HP-focuses-on-WebOS-tablet-debuts-9-feb-2011-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม Bradley ไม่ได้ให้รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ตลอดจนคุณสมบัติ"แท็บเล็ต"ของ HP แม้จะบอกว่า มันถือเป็นปรากฎการณ์ในการบริโภคคอนเท็นต์ รวมถึงการสร้างคอนเท็นต์ โดยรวมจากการให้คำสัมภาษณ์ครั้งนีั้ จึงได้ข้อสรุปแค่ว่า HP เตรียมปักธงรบในสมรภูมิ"แท็บเล็ต"ที่ใช้ WebOS ระบบปฏิบัติการที่ได้มาพร้อมกับ Palm อย่างแน่นอน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเอาชนะคือ iPad และจะเปิดในงานที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2011 ด้วยคำขวัญประจำงานนี้ว่า "Think big. Think small. Think beyond..." ซึ่งแปลได้ว่า ไม่เฉพาะแต่"แท็บเล็ต"ที่ใช้ WebOS เท่านั้นที่จะเปิดตัวในงานนี้ แต่น่าจะรวมถึงสมาร์ทโฟนมากมายหลายรุ่นอีกด้วย HP กำลังจะมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง...

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: คาด iPad 2 แรงขึ้น 2x จอละเอียด 4x
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 14:26:08
ดูเหมือน Apple จะใช้กลยุทธ์ปล่อยข่าวให้เกิดเป็นกระแสบนเน็ต เพื่อยับยั้งคู่แข่งอย่าง"แท็บเล็ต" ซึ่งก็ดูเหมือนจะใช้ได้ผล ล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของทางบริษัทหลุดออกมาว่อนเน็ตอีกครั้งทั้ง iPad 2 แถมด้วย iPhone 5 เพื่อปกป้องตลาดสมาร์ทโฟนที่กำลังโดนถล่มอย่างหนักจากสมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/ipad-2-iphone-5-spec-leaked-again-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุดมีข่าวลือออกมาอีกแล้วว่า iPad 2 ของ Apple จะไม่วางตลาดจนกว่าจะถึงต้นเดือนเมษายน (วันที่ 2 หรือไม่ก็วันที่ 9 เมษายน 2554) แหล่งข่าวอ้างว่า นอกจาก iPad 2 จะมีตัวเครื่องที่บางเบา และมันวาวกว่ารุ่นแรกแล้ว ฮาร์ดแวร์ของมันยังฉลาดกว่าอีกด้วย โดยจะใช้ A5 ดูอัลคอร์โพรเซสเซอร์ อีกทั้งยังมีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าจาก 1024x768 ในรุ่นปัจจุบันเป็นน 2054x1536 พิกเซล พร้อมกันนี้จะมีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ microSD และมีกล้องด้านหน้าสำหรับวิดีโอคอลล์ และกล้องด้านหลังสำหรับการถ่ายรูป และบันทึกวิดีโอ

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/ipad-2-iphone-5-spec-leaked-again-3.jpg)

นอกจากนี้ iPad 2 ยังสามารถรองรับได้ทั้งเครือข่าย GSM และ CDMA เนื่องจากใช้ชิปเซตของ Qualcomm GSM/CDMA/UMTS (ลดความวุ่นวายในการที่จะต้องออกเป็น 2 รุ่น) นอกจากจะมีข่าวของสเป็ก iPad 2 แล้ว ยังในส่วนของ iPhone 5 อีกด้วย ซึ่งตามข่าวอ้างว่า ฮาร์ดแวร์ทั้งสองจะใช้ A5 ดูอัลคอร์โพรเซสเซอร์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพการทำงานเหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปในท้องตลาด อีกทั้ง ยังสนับสนุนการเล่นไฟล์วิดีโอฟูลไฮเดฟ 1080p อีกด้วย (ความจริง LG Optimus 2X ก็ใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Tegra 2 และสนับสุน FullHD 1080p)

โดย iPhone 5 จะได้รับการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะตำแหน่งของเสาสัญญาณ และคาดว่าจะเปิดตัว ประมาณกลางปีนี้ ได้เวลาสาวก Apple เตรียมอัพเกรดเป็น iPhone 5 กับถอย iPad รุุ่นใหม่กันอีกแล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: EA เชิญแม่มาการันตีความกลัว "Dead Space 2"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 16:17:28
ทีมฝ่ายการตลาดของบริษัทอิเล็กทรอนิก อาร์ตส์ หรือ EA นำเหล่าคุณแม่วัยกลางคน 200ท่านมานั่งชมผลงานเกมภาคใหม่ “เดด สเปซ2” (Dead Space 2) จากทีม Visceral Games ที่มีกำหนดวางจำหน่ายช่วงสัปดาห์หน้า(25 ม.ค.)เพื่อทำการศึกษาพฤติกรรมและให้วิจารณ์สิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า หลังจากได้ชมเกมระทึกขวัญสั่นประสาทคนเดียวในห้อง เกือบทุกคนต่างพูดตรงกันว่า “เกลียดเกมนี้”
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000689101.JPEG)

      นอกจากคุณแม่จะเกลียดเกมนี้กันถ้วนหน้าแล้ว บางท่านยังบอกว่ามันทำให้ตกใจกลัว ,มันน่าหวาดเสียว, เต็มไปด้วยเลือด ,น่าขยะแขยง ,อาจพาลนอนไม่หลับ ,เห็นว่ามันรุนแรงเกินไป และถามกลับไปว่าพวกคุณต้องการความสนุกจากการฆ่าไอ้พวกนี้เหรอ โดยทาง EA จึงตั้งหมวดหมู่วิดีโอที่ถ่ายอากัปกิริยาความกลัวของคุณแม่นี้ไว้ในชื่อ "Your Mom Hates Dead Space 2" หรือ แม่ของคุณเกลียดเดด สเปซ2
      
(http://gamernode.com/upload/manager///Dan%20Crabtree/Previews/deadspace2%20gorilla1277071999.jpg)

      ทั้งนี้ นับว่าเป็นการทำการตลาดที่ค่อนข้างท้าทาย เพื่อสื่อให้เห็นว่าเกมนี้มันน่ากลัว โดยพึ่งพาอาศัยคนแก่มาถ่ายทอดอารมณ์ แต่ก็อาจจะต้องเสี่ยงกับความรู้สึกของสังคมเช่นกัน แถมยังเปิดหน้าเว็บไซต์พิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะอีกต่างหาก

(http://3.bp.blogspot.com/_-T59_uPDgJs/S9mx0aCW1HI/AAAAAAAACXc/oE3kPB-SnKE/s1600/deadspace2.jpg)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แนวโน้มภัยคุกคามในโลกไซเบอร์สำหรับปีค.ศ. 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 16:55:33
เป็นที่แน่นอนว่าปี ค.ศ. 2011 เป็นปีทองของเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Network อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องมีกูรูที่ไหนมาฟันธง ดังนั้นการรู้เท่าทันถึงภัยคุกคามที่เกิดบนเครือข่ายสังคมออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ควรสนใจยิ่ง  มาลองดูกันครับว่าแนวโน้มภัยคุกคามที่ว่าจะเป็นอย่างไร

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/17/images/news_img_372291_1.jpg)

1. เครือข่ายสังคมจะตกเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีรูปแบบใหม่ ๆ

อินเทอร์เน็ต ไอเดนทิที (Internet Identity) บริษัทด้านความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตได้ทำนายไว้ในบล็อกของตนว่า

"ด้วยการเติบโตของเครือข่ายสังคม ธนาคารต่าง ๆ ได้สนับสนุนและใช้เครือข่ายนี้เพื่อให้บริการกับลูกค้าแต่ระวังไว้ว่า จะมีการปลอมแปลงซึ่งใช้ประโยชน์จากไซต์เครือข่ายสังคม เช่น ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คเพื่อพยายามทำให้ผู้ใช้ถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์และเปิด เผยข้อมูลสำคัญส่วนบุคคล เช่น ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ธนาคาร และหมายเลขประกันสังคม"

เดเซียน (Dasient) บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกันมัลแวร์บอกว่า เนื่องจากการใช้งานเครือข่ายสังคมเติบโตอย่างต่อเนื่อง จะพบว่ามีการใช้มัลแวร์ในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์มากขึ้นเห็นได้จากภัยคุกคามบอ ทเน็ตที่เรียกว่า คูบเฟซ (Koobface) ที่มุ่งเป้าโจมตีที่เฟซบุ๊ค และการโจมตีเมื่อเดือนกันยายนที่มุ่งเป้าไปที่ทวิตเตอร์ และเปลี่ยนเส้นทางของเว็บทวิตเตอร์ไปที่เว็บสื่อลามกและมัลแวร์แทน

2. ถ้าคนร้ายไม่มุ่งเป้าไปที่เครือข่ายสังคม พวกเขาก็จะหันไปสนใจอุปกรณ์พกพาของคุณแทน

ไอซีเอสเอ แลบส์ (ICSA Labs) ซึ่งทำด้านการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เผยในรายงานว่า ถึงแม้ว่าในปีค.ศ. 2010 แฮกเกอร์ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่โทรศัพท์มือถือโนเกีย แต่ต่อไปจะมีมัลแวร์สำหรับอุปกรณ์พกพาที่ไม่ใช่โนเกียมากขึ้น รวมถึงแอปเปิล แบล็คเบอรี่ แอนดรอย์และไมโครซอฟท์

ทั้งนี้มัลแวร์สำหรับอุปกรณ์พกพา ซึ่งปัจจุบันยังคงจำกัดวงอยู่ในรัสเซีย ซึ่งมีบริการ 'พรีเมียม เอสเอ็มเอส' (premium SMS) จะเริ่มแพร่หลายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ มัลแวร์จะขยายเป้าหมายไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ สมาร์ทโฟน ไอแพ็ด และแท็บเล็ต (tablet) ที่มีไวไฟในตัว

เมื่อเป็นเช่นนี้ระบบป้องกันภัยคุกคามบน เครือข่ายสารสนเทศแบบเดิมๆ จึงไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะไม่ใช่แค่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องแม่ข่าย หากแต่รวมไปถึงอุปกรณ์พกพาด้วยที่นำพาภัยคุกคามเข้ามายังเครือข่ายสารสนเทศภายในองค์กร

3. มัลแวร์จะมีความซับซ้อนมากขึ้น รวมการโจมตีและเทคนิคหลายรูปแบบ

เมื่อไม่นานมานี้เราได้ยินชื่อมัลแวร์ สตักซ์เน็ต (Stuxnet) ซึ่งโจมตีเครื่องควบคุมอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม (Programmable Logic Controller) จนเป็นข่าวครึกโครม และมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่ามันเกิดขึ้นจากรัฐบาลประเทศมหาอำนาจของโลก รายหนึ่งให้ทุนวิจัยเพื่อนำมาใช้ต่อต้านการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน

มัลแวร์ชนิดนี้เป็นมัลแวร์แบบพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และคาดกันว่าจะยังคงมีการแพร่ระบาดต่อไปในปีค.ศ. 2011 โดยมีแรงจูงใจแฮกเกอร์จากเงินค่าจ้างวานจำนวนมาก แต่ความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีตามกฏหมายมีน้อย การโจมตีเหล่านี้มีขอบเขตตั้งแต่เป้าหมายที่เห็นได้ชัด เช่น สมาร์ทโฟน ไปถึงเป้าหมายที่ชัดเจนน้อยกว่าแต่มีความจำเป็น เช่นระบบควบคุมโรงไฟฟ้า หรือระบบลงคะแนนแบบอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีใด ๆ ก็ตามที่สามารถโจมตีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินได้

4. อินไซเดอร์จะเผยแพร่ข้อมูลขององค์กรผ่านทางวิกิลีกส์มากขึ้น

พอล เฮนรี่ นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยจากลูเมนเชิน (Lumension) ให้ความเห็นว่า คาดว่าวิกิลีกส์จะขยายขอบเขตจากการทำให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ขายหน้า และเริ่มเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ชื่อเสียงของบริษัทใหญ่ ๆ เสียหายด้วยความรู้สึกกดดัน และความรู้สึกไม่ดีต่อนายจ้างในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ของพนักงาน อาจมีผลทำให้วิกิลีกส์เป็นตัวเลือกแรกในการปลดปล่อยความตึงเครียด

อย่างไรก็ตามถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสนอว่ากรณีของวิกิลีกส์ส่งผลดีต่อ เทคโนโลยีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล (data leak prevention - DLP) ในปีค.ศ. 2011 แต่แอนดรูว์ เจควิท ซีทีโอของ พะริมมิเทอร์ อีซิเคียวริที (Perimeter eSecurity) เห็นว่า ดีแอลพี (DLP) ไม่สามารถป้องกันข้อมูลรั่วไหลไปยังวิกิลีกส์ได้ "เครื่องมืออย่างดีแอลพีที่สามารถตรวจสอบเนื้อหา เหมาะสมสำหรับการกลั่นกรองข้อมูลอย่าง หมายเลขบัตรเครดิต แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการควบคุมการเผยแพร่ความลับ

"การเฝ้าดูการจราจรเครือข่ายและการตรวจสอบสิทธิ์การใช้งานมีประสิทธิภาพมากกว่า" นายเฮนรี่ กล่าว

5. เหตุผลทางการเมืองจะทำให้เงินเป็นแรงจูงใจหลักการในการโจมตี

ปี 2011 ในแวดวงสังเกตเห็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นของการโจมตี (DDoS) ที่มีเหตุผลทางการเมืองที่เรียกว่า Operation Payback ที่มุ่งแก้แค้นเว็บไซต์ที่วิจารณ์วิกิลีกส์

เนื่องด้วยปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่คนแปลกหน้าสามารถรวมตัวกัน ประสานงานและโจมตี และทำโดยใช้ชื่อแฝง จึงมีการรวมกลุ่มกันของแฮกเกอร์สมัครเล่นมากมายหลายกลุ่ม โดยแน่นอนกลุ่มคนเหล่านนี้ประสานงานกันผ่านสังคมออนไลน์ และหลายกลุ่มต้องการเพียงชื่อเสียที่อาจดังเพียงข้ามคืนเมื่อมีการ RT ใน Twitter อย่างแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่นกลุ่ม Jester [th3j35t3r] ที่โจมตีเวปไซต์วิกิลีกส์จนล่มมาแล้ว ก็กลายเป็นกลุ่มที่โด่งดังในปัจจุบัน

นายอะมาไฮ ชุลมาล ซีทีโอของอิมเพอวา บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยฐานข้อมูล บอกว่าประเทศต่าง ๆ จะลงมือโจมตีทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้นในปี 2011 การโจมตีที่ได้รับการสนับสนุนระดับประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตที่มีเป้าหมายแน่นอน จะใช้ความคิดและเทคนิคจากแวดวงแฮกเกอร์เชิงพาณิชย์มาใช้"

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ว้าว!!! ลำโพง "พกพา" พลังเสียงเต็มห้อง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มกราคม 2011, 18:31:34
ช่วงบ่ายๆ อย่างนี้ ขอแนะนำ Gadget เก็บตกในงาน CES 2011 อีกสักตัวก็แล้วกันนะครับ สำหรับชิ้นนี้ เอาใจผู้ใช้ iPhone, iPod Touch, iPad, Smartphone, MP3 Player หรือแม้แต่ Notebook ที่คุณชอบเอาไว้ฟังเพลง หรือดูหนัง หากรู้สึกว่า ระบบเสียงที่ใช้อยู่มันก๊องแก๊งเสียเหลือเกิน ครั้นจะไปต่อกับลำโพงเครื่องเสียงตัวเขื่องก็ใช่ที่ งานนี้ต้องนี่เลย WOWee One Slim ลำโพง"พกพา"ที่สามารถให้พลังเสียงไปทั่วทั้งห้องได้อย่างน่าอัศจรรย์

WOWee (ไม่ใช่ Wowwee บริษัทที่ทำของเล่นหุ่นยนต์ Robosapient นะครับ) ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดชื่อว่า WOWee One Slim เป็น"ลำโพง"ชนิดชาร์จแบตฯ (ใช้นาน 20 ชม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง) ที่มีดีไซน์คล้ายไอโฟนในงาน CES 2011 ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของมันนอกจากจะมีขนาดเล็ก-แบน พกพาสะดวกแล้ว ยังสามารถตอบสนองความถี่ของเสียงดนตรีตั้งแต่กลางไปจนถึงสูง (40Hz - 20KHz) อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อนำ WOWee One Slim ไปวางบนโต๊ะไม้ หรือกระจก ด้วย Gel พิเศษที่อยู่ด้านหลังจะสามารถส่งผ่านแรงสั่นสะเทือนจากลำโพงไปบนโต๊ะที่วาง เพื่อให้เกิดเสียงอันดังกังวานไปทั่วห้องได้อีกด้วย (ดังสุดได้ 90db) ซึ่งหากพิจารณาจากขนาดของมันแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/wowee-one-slim-portable-room-filling-audio-CES-2011-2.jpg)

WOWee One Slim ได้รับการออกแบบให้มีขนาดเท่าๆ กับสมาร์ทโฟน เพื่อให้สามารถพกพาได้สะดวก ในขณะที่สามารถส่งผ่านกระจายเสียงให้ดังขึ้นไปทั่วห้องของคุณได้ เมื่อวางบนพื้นผิวเรียบ อย่างเช่น โต๊ะไม้ หรือโต๊ะกระจก อย่างไรก็ตาม สนนราคาของมันสูงพอสมควรคือ 90 เหรียญฯ (ประมาณ 2,800 บาท) คลิปวิดีโอข้างล่างนี้เป็นการสาธิตการทำงาของ WOWee One Slim เมื่อต่อเข้ากับช่องหูฟังของ iPhone 4 แล้วนำไปวางบนโต๊ะไม้ พลังเสียงในเครื่องจะส่งผ่านไปยังโต๊ะ เพื่อสร้างเสียงเบสที่มีพลังออกมาจนกลายเป็นเสียงดนตรีที่สมบูรณ์ก้องกังวานไปทั่วห้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำ WOWee One Slim ไปติดกับกระจกในแนวตั้ง ปรากฎว่า Gel ที่อยู่ข้างหลังไม่เหนียวพอที่จะทำให้มันติดอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาใช้งานต้องเป็นการวางในแนวราบเท่าน้น มีสองสีให้เลือกคือ ขาวกับดำ โดยขอบจะเป็นสีเงินมันวาว จะว่าไปดูน่าสนใจดีเหมือนกัน ถ้ามันถูกกว่านี้หน่อยนะ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Angry Birds เสียแชมป์เกมเด็กวัย 14 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มกราคม 2011, 13:06:12
Angry Birds เกม"นกโกรธ"ยอดฮิตที่มักจะพบเห็นใน iPhone ของผู้ใช้ส่วนใหญ่ได้เสียแชมป์ให้กับหนุ่มน้อยวัย 14 ปีแห่งเมือง Spanish Fork รัฐยูท่าห์ สหรัฐฯ โดยเขาได้พัฒนาแอพเกมบน iPhone ที่มันอาจสร้างรายได้ให้อย่างน้อย 2 ล้านเหรียญฯ หากเกมดังกล่าวไม่ได้เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/angry-birds-knock-off-by-bubble-ball-from-14-years-old-kid-2.jpg)

Bubble Ball แอพที่ถูกดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 2 ล้านครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยยอดดาวน์โหลดเฉพาะวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาแค่วันเดียวสูงถึง 400,000 ครั้ง ซึ่งหาก Robert Nay นักเรียนเกรด 8 ผู้พัฒนาเกม Bubble Ball ขายแอพตัวนี้ในราคา 1 เหรียญฯ เขาคงรวยไปแล้ว Nay ตัดสินใจพัฒนา iPhone app หลังจากได้รับแรงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่ง ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ต้องการไปเที่ยว หรือเล่นวิดีโอเกมส์ แต่ Nay กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุดที่เมือง Spanish Fork เพื่อวิจัย และพัฒนาเกมส์บนมือถือ ซึ่งผลลัพธ์จากความพยายามทำให้ตอนนี้เขาเป็นซีอีโอของบริษัท Nay Games ไปเรียบร้อยแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/angry-birds-knock-off-by-bubble-ball-from-14-years-old-kid-3.jpg)

Nay ใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ ในการฝึกใช้ Corona SDK ของ Ansca Mobile เพื่อเขียนโค้ดของเกมส์ที่มีความยาวมากกว่า 4,000 บรรทัดจนได้เกมส์ฟิสิกส์ที่ชื่อว่า Bubble Ball ขึ้นมา โดยล่าสุดเกมส์ Bubble Ball สามารถโค่นแชมป์เกมส์ดาวน์โหลดยอดฮิตอย่าง Angry Birds บน iTunes ได้แล้วด้วยยอดดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งภายในระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์หลังจากที่ Apple ได้อนุมัติให้เกมส์ของ Nay ขึ้นไปเผยแพร่ใน iTunes App ได้ Nay กล่าวว่า app ตัวแรกของให้ดาวน์โหลดฟรี แต่ Nay กำลังพัฒนาอีกเกมหนึ่ง ซึ่งตั้งใจว่าจะขายที่่ 90 เซนต์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายละเอียดของเกมส์ Nay ขออุบไว้เป็นความลับก่อน สำหรับเกมส์ Bubble Ball ผู้เล่นจะต้องพาบอลจากจุด A ไปยังจุด B โดยใช้วัตถุที่เป็นไม้ และโลหะจัดวางให้ได้ตำแหน่ง เพื่อปล่อย Ball ลงมาให้ชน และกลิ้งไปยังเป้าหมาย (ธง) ได้สำเร็จ โดยมีทั้งหมด 21 ระดับ ไม่น่าเชื่อว่าไอเดียเกมส์ที่แสนจะธรรมดาจะได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ว้าว!!! รถของเล่นติดเว็บแคมและจอ LCD
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มกราคม 2011, 13:15:47
ก่อนหน้านี้ Mattel บริษัทผู้ผลิตของเล่นชั้นนำในสหรัฐฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์อย่าง Barbie Video Gril ที่สร้อยคอของเธอจะมีกล้องวิดีโอ ส่วนด้านหลังก็มีจอ LCD ขนาดเล็กซ่อนอยู่ สามารถบันทึกคลิปวิดีโอได้ หลังจากเอาใจเด็กผู้หญิงกันไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวเอาใจเด็กผู้ชายกันบ้าง ว่าแล้วในงาน CES 2011 ทางบริษัทก็ได้เปิดตัว Hot Wheels Video Racer รถซิ่งผาดโผนที่มาพร้อมกับกล้องหน้ารถ และจอ LCD ใต้ท้องรถ เพื่อบันทึกวิดีโอภาพความตื่นเต้นเอาไว้เล่นดูได้ทันที หรือจะโหลดเข้าพีซีทาง USB เพื่อนำไปตัดต่อเป็นภาพยนต์ก็ยังได้...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/hot-wheels-video-racer-toy-from-mattel-at-CES-2011-3.jpg)

Hot Wheels Video Racer เป็นชุดของเล่น"รถตีลังกาผาดโผน"ที่เปิดตัวในงาน CES 2011 ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นในของเล่นชุดใหม่นี้ก็คือ มันได้รับการติดตั้งกล้องบันทึกวิดีโอขนาดเล็กที่ด้านหน้า (ปุ่มบันทึกอยู่บนตัวรถ) เพื่อเก็บภาพในมุมมองของผู้ขับ และมีจอ LCD ที่ด้านล่างสำหรับการเล่นวิดีโอภาพหวาดเสียวจากด้านหน้าของรถ ตั้งแต่ปล่อยให้มันซิ่งลงมาจากที่สูง แล้ววิ่งตีลังกาไปตามเส้นทางผาดโผนให้ดูได้ทันที ช่างเป็นของเล่นเด็ก 5 ขวบที่ไฮเทคฯเสียเหลือเกิน

(http://www.arip.co.th/images/news/CES_Technology/2011/hot-wheels-video-racer-toy-from-mattel-at-CES-2011-2.jpg)

สำหรับคุณสมบัติของกล้องวิดีโอที่ติดตั้งอยู่ในรถซิ่ง Video Racer คันจิ๋วนี้ สามารถบันทึกวิดีโอด้วยอัตราเฟรม 30 - 60 เฟรมต่อวินาที โดยมันจะบันทึกภาพตลอดเส้นทางการวิ่งอันหวาดเสียวลุ้นระทึกตลอดเวลา แม้ยามหลุดร่วง หรือกระเด็นออกจากรางรถจำลอง ซึ่งวิดีโอที่บันทึกไว้สามารถเล่นกลับบนจอ LCD ใต้ท้องรถได้ทันที หรือจะดาวน์โหลดเข้าคอมพิวเตอร์ทางพอร์ต USB แล้วรันโปรแกรม Hot Wheels Video Editor เพื่อตัดต่อคลิปที่ได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

นอกจากจะซิ่งบนรางแล้ว Hot Wheels Video Racer ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างเคสที่สามารถใส่มันไว้ภายใน แล้วนำไปติดบนหมวกกันน็อค หรือด้านหน้า skateboard เพื่อบันทึกวิดีโอในมุมที่หวาดเสียวอีกรูปแบบหนึ่งได้อีกด้วย สนนราคาของ Hot Wheels Video Editor คันจ้อยพร้อมชุดรางตีลังกาอยู่ที่ 60 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,850 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เตือนภัยสาวกเฟซบุ๊ก ระวังถูก "ข่มขืนเสมือน"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มกราคม 2011, 15:17:23
ผู้ใช้เครือข่ายสังคมทั้งหลายระวังให้ดี หนุ่มแคลิฟอร์เนียใจโฉดรายหนึ่งรับสารภาพว่าได้ใช้เฟซบุ๊กเป็นแหล่งข้อมูลใน การแฮกอีเมลของเหยื่อสาวเซ็กซี่ การแฮกนี้นำไปสู่การข่มขู่ที่เกี่ยวข้องกับการส่งต่อรูปวาบหวามซึ่งเหยื่อ รายหนึ่งระบุว่ารู้สึกเหมือนถูก"ข่มขืนเสมือน" เพราะแม้จะไม่ถูกล่วงเกินทางร่างกาย แต่ก็ทำให้เหยื่อเจ็บช้ำน้ำใจไม่แพ้กัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000721901.JPEG)

      หนุ่มโฉดรายนี้มีชื่อว่าจอร์จ บรองก์ (George Bronk) วัย 23 ปี โดยศาลแคลิฟอร์เนียออกแถลงการณ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่านาย บรองก์ให้การยอมรับว่าได้ใช้ข้อมูลส่วนตัวจากเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ก ในการลักลอบเข้าสู่อีเมลของเหยื่อหลายสิบคนทั้งในสหรัฐฯและอังกฤษ สิ่งที่นายบรองก์ทำคือการสแกนกลุ่มอีเมลขาออกเพื่อค้นหาภาพและวิดีโอ เปลือย-กึ่งเปลือยของเจ้าของเมล ก่อนจะส่งต่อหรือฟอร์เวิร์ดไปตามอีเมลผู้ติดต่อทั้งหมดที่เจ้าของเมลมีอยู่
      
      เหยื่อรายหนึ่งบรรยายว่า เธอมีความรู้สึกเหมือนถูกข่มขืนเสมือน (virtual rape) เพราะว่าถูกนายบรองก์ข่มขู่ให้ส่งภาพที่"สยิว"ยิ่งกว่าภาพที่บรองก์มีอยู่ ไม่เช่นนั้นบรองก์จะส่งต่อภาพสยิวที่มีในมือให้แก่ทุกคนในรายการผู้ติดต่อ
      
      ทั้งหมดนี้ บรองก์ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานก่อคดีข่มขืนกระทำชำเราจำนวนทั้งสิ้น 7 กระทง ส่วนหนึ่งเป็นความผิดด้านการล่วงละเมิด การแอบอ้างเป็นผู้อื่นเพื่อเจตนาหลอกลวง และการมีสื่อลามกอนาจารเด็กในครอบครอง โดยบรองก์นั้นมีกำหนดฟังการพิพากษาครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 มีนาคมนี้ คาดว่าบรองก์อาจถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 6 ปี
      
      เรื่องนี้สามารถเป็นอุทาหรณ์ยอดเยี่ยมให้ชาวเฟซบุ๊กระวังการโพสต์ ข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์ให้ดี เพราะข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าหนุ่มบรองก์ใช้วิธีสำรวจและมองหาเหยื่อที่เป็น ผู้หญิงจากเฟซบุ๊ก โดยเลือกเฉพาะเหยื่อที่เปิดเผยอีเมลแอดเดรส จากนั้นบรองก์จะรวบรวมข้อมูลจากการโพสต์บนเฟซบุ๊กของเหยื่อเพื่อนำไปตอบคำ ถามรักษาความปลอดภัยหรือ Security Question เช่นข้อมูลสีที่ชื่นชอบ ชื่อกลางของบิดามารดา เป็นต้น
      
      เมื่อได้ข้อมูลแล้ว บรองก์จะเข้าไปยังเว็บไซต์ผู้ให้บริการอีเมลนั้น แล้วตอบคำถามเพื่อแอบอ้างเป็นเหยื่อแล้วเจาะเข้าสู่อีเมลของเหยื่อ ที่สำคัญ บรองก์ไม่ได้ปฏิบัติการโฉดแต่ในอีเมลตามที่ให้การสารภาพไว้ แต่ยังเข้ามาควบคุมเฟซบุ๊ก เปลี่ยนรหัสผ่าน และโพสต์ภาพเสื่อมเสียตามชอบใจ
      
      การจับกุมบรองก์เกิดขึ้นภายหลังจากเหยื่อรายหนึ่งเข้าแจ้งความต่อ ตำรวจ โดยพนักงานสอบสวนพบไฟล์อีเมลที่มีภาพสาวหวาบหวามมากกว่า 172 ไฟล์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของบรองก์ (การสอบสวนดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 53) ทั้งหมดเป็นภาพอนาจารของเหยื่อสาวที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ วอชิงตัน, ดี.ซี. และอีก 17 มลรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา
      
      สาวโชคร้ายวัย 22 ปีรายหนึ่งเล่าว่า ภาพเปลือยซึ่งเธอส่งให้สามีเป็นการส่วนตัวถูกบรองก์นำไปโพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อ ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ทำให้เครือข่ายที่เธอมีมากกว่า 1,500 คนมองเห็นภาพเปลือยนั้น โดยผลจากการกระทำของบรองก์สร้างความอับอายทั้งด้านสังคมและครอบครัว และเฟซบุ๊กได้ลบภาพดังกล่าวออกไปเมื่อไม่นานมานี้
      
      ทั้งเหยื่อ รวมถึงทนายของบรองก์ยกความผิดส่วนหนึ่งให้เฟซบุ๊กด้วย โดยให้ความเห็นว่าเฟซบุ๊กควรตรวจพบความผิดปกติให้เร็วกว่านี้ เพราะเหยื่อบางส่วนถูกโพสต์ภาพเปลือยมากกว่า 10 ภาพ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติที่เฟซบุ๊กควรเข้ามาตรวจสอบ โดยในรายงานล่าสุด ยังไม่ปรากฏความเห็นของโฆษกเฟซบุ๊กแต่อย่างใด
      
      การสอบสวนพบว่าบรองก์นั้นเริ่มปฏิบัติการเจาะอีเมลเหยื่อมาตั้งแต่ปี 2009 ก่อนจะถูกจับกุมในเดือนตุลาคม 2010
      
      คำแนะนำที่สาวกเครือข่ายสังคมควรจำให้ขึ้นใจ คือให้ระมัดระวังการใช้อีเมลบนเครือข่ายสังคม โดยนอกจากไม่ควรโพสต์คำตอบของคำถามรักษาความปลอดภัยแล้ว ผู้ใช้ควรแทรกตัวเลขลับหรือตัวอักขระเพิ่มเติมลงในคำตอบรักษาความปลอดภัย ด้วย นี่ถือเป็นเคล็ดเล็กน้อยที่จะสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้แก่รหัสผ่านบริการบน อินเทอร์เน็ตได้ในระดับหนึ่ง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Lenovo เลื่อนเปิดขาย "eBox" ไปหลังตรุษจีน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มกราคม 2011, 16:24:06
เลอโนโว ประกาศเลื่อนวางจำหน่าย "eBox" คอนโซลเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหวในจีนออกไปเป็นช่วงหลังเทศกาลตรุษจีน โดยให้เหตุผลว่าต้องการปรับปรุงในส่วนจำเป็นให้ดียิ่งขึ้นก่อนวางจำหน่าย จริง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000754401.JPEG)

      ก่อนหน้านี้ "Lenovo" ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและส่วนบุคคลรายใหญ่อันดับ 4ของโลกออกมาประกาศโครงการพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลออกมาวางจำหน่ายเฉพาะในตลาด จีน ด้วยเครื่องเกมที่ชื่อ “eBox”
      
      สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวว่า วิศวกรทางด้านซอฟต์แวร์ 40 ชีวิตจาก Lenovo ได้ผันตัวเองออกไปตั้งทีม “Beijing eedoo Technology” เพื่อพัฒนาเครื่องเล่นเกม “eBox”
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000754402.JPEG)

      โปรเจกต์เครื่อง eBox ได้รับการสนับสนุนจากวิศวกรซอฟต์แวร์จากเลอโนโว รวมถึงได้เม็ดเงินลงทุนจาก กลุ่มเลอโนโว , Legend Holdings และ Legend Capital โดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลขลงทุนที่ชัดเจนออกมา
      
      ลักษณะของเจ้าเครื่อง eBoxนั้น มีส่วนของการเล่นคล้ายคลึงกับ “Kinect” อุปกรณ์จับความเคลื่อนไหวด้วยกล้องแบบไม่ต้องกดปุ่มของเครื่อง Xbox360 จากบริษัทไมโครซอฟท์ เครื่องเกม eBoxจีนแดงตัวนี้ก็จะสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของผู้เล่นแล้วส่งเข้าไปแสดงผล ที่หน้าจอเช่นกัน โดยมีกำหนดวางจำหน่ายไว้ที่ช่วงต้นปี 2011 ส่วนราคาขายนั้นยังไม่มีการระบุออกมาอย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะแพงกว่าเครื่องวี ของนินเทนโด แต่จะราคาต่ำกว่าเครื่อง Xbox360
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000754403.JPEG)

      ล่าสุด "eedoo Technology" ผู้พัฒนาเครื่อง eBox ที่มีฐานการผลิตในประเทศจีน ออกมาเปิดเผยว่ากำหนดวางจำหน่ายเครื่องจะเลื่อนออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ โดยคาดว่าจะออกวางจำหน่ายได้หลังเทศกาลตรุษจีน พร้อมกับให้เหตุผลการเลื่อนวางจำหน่ายว่าต้องการปรับปรุงด้านเทคนิคของ เครื่องให้ดียิ่งขึ้น
      
      "Zhang Zhitong" โฆษกของ eedoo Technology ระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายเครื่อง eBox ที่ชัดเจน ไม่มีการระบุออกมาว่ามีการปรับปรุงในส่วนใด แต่มีรายงานออกมาว่าเป็นการปรับปรุงในส่วนที่จำเป็นก่อนที่เครื่อง eBox จะออกสู่ตลาด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000754404.JPEG)

      เครื่อง eBox มีโอกาสค่อนข้างดีในตลาดจีน เนื่องจากเครื่อง Xbox360 และ Kinect อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวใหม่ไม่สามารถวางจำหน่ายได้ในจีนเนื่อง จากกระทรวงวัฒนธรรมสั่งห้าม โดยให้เหตุผลว่าสำคัญว่าห้ามจำหน่ายเครื่องเกมและอุปกรณ์เสริมจากบริษัทต่าง ชาติ อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ก็พยายามต่อสู้ในเรื่องกฏหมายเพื่อให้สามารถนำอุปกรณ์และเครื่อง เกมไปจำหน่ายได้ในประเทศจีน
      
      ทาง eedoo Technology ในฐานะผู้ผลิตเครื่อง eBox แสดงความเห็นว่า ถ้าหากไมโครซอฟต์สามารถจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องเกมในประเทศจีนได้ก็ไม่มีผล กระทบต่อเครื่อง eBox พร้อมกับตั้งเป้าขายเครื่อง eBox ไว้ที่ 12 ล้านเครื่อง ปัจจุบันมีกลุ่มนักพัฒนาเกม 16 แห่งทั่วโลกได้เซ็นสัญญาเพื่อส่งคอนเทนต์เกมมาให้เล่นบน eBox และจะมีประมาณ 30 เกมฟรีแถมมาให้เมื่อตอนซื้อเครื่อง eBox ด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: สมาร์ตโฟนดัมพ์ราคาหมื่นเหลือ3พัน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มกราคม 2011, 22:12:40
ค่ายสมาร์ตโฟนระเบิดสงครามราคา พร้อมหั่นราคาเหลือ 3,000 บาทปีนี้

(http://www.saidaonline.com/en/newsgfx/smart%20phone1-saidaonline.jpg)

นายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย เปิดเผยว่า ปีนี้การแข่งขันของตลาดสมาร์ตโฟนจะเข้าสู่สงครามราคาอย่างแท้จริง คาดว่าจะทำให้ราคาขายสมาร์ตโฟนเหลือเครื่องละ 3,000-5,900 บาท จากปัจจุบันราคาหลักหมื่นบาท

เนื่องจากกระแสความนิยมใช้งานสมาร์ตโฟน เช่น แบล็คเบอร์รี่ หรือบีบี ไอโฟน รวมถึงสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้งานโทรศัพท์เข้าสู่ยุคสมาร์ตโฟนเต็มรูปแบบ สมาร์ตโฟนกลายเป็นตลาดแมส ไม่ใช่ตลาดเฉพาะกลุ่มเหมือนที่ผ่านมา และแต่ละค่ายหันมาให้ความสำคัญกับตลาดนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อเกิดการแข่งขันมากขึ้น สุดท้ายราคาจะเป็นกลยุทธ์หลักที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด

ทั้งนี้ ในส่วนของไอโมบายเองได้นำเสนอสมาร์ตโฟนที่มีฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกับ บีบี ราคาเครื่องละ 2,000 บาท เพื่อแข่งขันในตลาดนี้ และจะทยอยเปิดตัวรุ่นอื่นๆ ที่รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รวมทั้งซิมการ์ดที่รองรับการใช้งานสมาร์ตโฟนรุ่นต่างๆ โดยเฉพาะ

สำหรับผลประกอบการไอโมบายปีที่ผ่านมามีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท มียอดขาย 3.5 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นในประเทศ 3.2 ล้านเครื่อง และต่างประเทศ 3.5 แสนเครื่อง ครองส่วนแบ่งอันดับ 2 หรือ 30% ของตลาดรวม ตั้งเป้าอีก 2 ปี มีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของรายได้รวม 5 หมื่นล้านบาท

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ดีแทค กล่าวว่า ยอดขายสมาร์ตโฟนของดีแทคปีที่ผ่านมา ทั้งบีบี และ ไอโฟน 4 โต 9 แสนเครื่อง ซึ่งมีปัจจัยมาจากการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเชียล มีเดีย ที่เติบโตขึ้น 200% โดยเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ตโฟน 1 ล้านเครื่อง จากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ 11 ล้านเครื่อง

ขณะที่ทิศทางปีนี้ดีแทคมุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตดาตา ด้วยการนำเครื่องลูกข่ายและการบริการต่างๆ เข้าไปเจาะกลุ่มตลาดรากหญ้า เพื่อขยายกลุ่มผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น ตั้งเป้าเป็นผู้นำการให้บริการโมบายอินเทอร์เน็ตสู่สาธารณะ จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดบริการอินเทอร์เน็ต 35%

นอกจากนี้ ได้เปิดตัวซิมแฮปปี้สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือ 4 ซิม ประกอบด้วย แบล็คเบอร์รี่ซิม ให้ลูกค้าที่ใช้งานแบล็คเบอร์รี่ ซิมไอโฟนอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ใช้งานไอโฟน ซิมแฮปปี้อินเทอร์เน็ต สำหรับลูกค้าที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือทุกประเภท และซิมแอร์การ์ดอินเทอร์เน็ต สำหรับการใช้งานแอร์การ์ดโดยเฉพาะ

ข้อมูลจาก: โพต์ทูเดย์ (http://www.posttoday.com)


หัวข้อ: ซัมซุงเคาะราคา Wave II 11,900- รุกตลาดไฮเอนด์ราคาประหยัด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 03:55:41
ซัมซุง ผลักดัน เวฟ ทู เข้าชิงแชร์ในตลาด หลังวางแผนลุยตลาดสมาร์ทโฟนเต็มตัว ส่งถึงผู้บริโภคทุกระดับ เน้นใช้เทคโนโลยีนำ ปรับปรุงร้านค้าให้เข้าถึงผู้บริโภค หวังขึ้นแชร์เบอร์ 1 อย่างเต็มตัว จากกองทัพสินค้ากว่า 40 รุ่นภายในปีนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000763701.JPEG)

      นายวิชัย พรพระตั้ง ผู้อำนวยการธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ให้ข้อมูลถึงการทำตลาดของซัมซุงในปีนี้ ว่าใช้การนำเทคโนโลยีระดับสูง เข้ามาตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ในทุกระดับ ซึ่งจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังต่างจังหวัด
      
      "ก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่า ซัมซุงพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์การใช้งานให้กับผู้ใช้ในตลาด ในทุกระดับไล่ตั้งแต่ไฮเอนด์ จนถึงตลาดเอนทรี ซึ่งในปีนี้ก็จะมีสินค้าเข้ามาทำตลาดครบทุกไลน์ เพื่อส่งให้ซัมซุงขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างเต็มตัว"
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000763702.JPEG)

      ทางซัมซุงให้ความสำคัญกับทุกระบบปฏิบัตการ ไม่ว่าจะเป็นบาดา ที่ใช้ตระกูลเวฟทำตลาด ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ที่ใช้ตระกูลกาแลกซี และวินโดวส์ โฟน 7 ที่ทำตลาดบนตระกูลออมเนีย ซึ่งในแต่ละตระกูลก็จะมีผลิตภัณฑ์ออกมาทุกระดับตั้งแต่เอนทรีไปจนถึงไฮเอนด์
      
      "ตลาดที่ซัมซุงให้ความสำคัญในปีนี้จะเน้นไปที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากยังมีสัดส่วนผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ถ้ามองในช่วงราคาสินค้าก็จะอยู่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท ทำให้เครื่องไฮเอนด์ของซัมซุงต่อไปไม่จำเป็นต้องสูงถึงระดับ 2 หมื่น แต่ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่สุดของซัมซุงได้"
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000763703.JPEG)

      โดยซัมซุงให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันโทรศัพท์ราคาสูงกว่า 15,000 บาท มีสัดส่วนเพียง 1-2% ของตลาดรวมเท่านั้น ขณะที่ยอดรวมสมาร์ทโฟนของปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 9-10% ในแง่ของจำนวนเครื่อง จากยอดจำหน่ายโทรศัพท์รวม 1.2 ล้านเครื่องต่อเดือน
      
      ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของซัมซุงที่ยังไม่มีการยืนยันจากทางจีเอฟเค (GFK) พบว่าขึ้นเป็นอันดับ 1 ในเทอมของมูลค่า ด้วยสัดส่วนมากกว่า 30% แต่ยังสูสีกับแบรนด์คู่แข่งอยู่ ขณะที่ในเทอมของจำนวนเครื่องยังอยู่ในอันดับ 2 จากส่วนแบ่งประมาณ 27%
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000763704.JPEG)

      "ปัญหาสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนปีที่ผ่านมาคือเรื่องของจำหน่ายที่การ ผลิตไม่พอกับปริมาณความต้องการของผู้บริโภค ปีนี้จึงต้องมีการวางแผนสมาร์ทโฟนให้พอกับความต้องการของลูกค้าและเลือก ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความต้องการด้วย"
      
      นอกจากสมาร์ทโฟนแล้วอีกหนึ่งตลาดที่ซัมซุงคิดว่าจะมีการเติบโตเป็น อย่างมากในปีนี้คือแท็บเล็ต ที่ซัมซุงเป็นผู้นำตลาดในประเทศไปจากการเปิดตัวกาแลกซี แท็บ และมียอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 30,000 เครื่องแล้วในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก ยังไม่รวมกับในอนาคตที่จะมีรุ่นใหม่วางตลาดต่อไป
      
      "จากรายได้ในส่วนของโทรศัพท์มือถือปีที่ผ่านมาของซัมซุง มีรายได้ที่ 7,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องของการผลิตสินค้าไม่ทันจำหน่าย แต่เทียบแล้วมีอัตราการเติบโตถึง 26% ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 40-50% ถ้าตลาดของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง"
      
      ล่าสุดทางซัมซุงได้มีการเปิดตัว ซัมซุง เวฟ ทู (Wave 2) ที่เป็นรุ่นไฮเอนด์สำหรับระบบปฏิบัติการบาดา ที่เป็นรุ่นต่อยอดของ เวฟ มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 3.7 นิ้ว หน่วยประมวลผลความเร็ว 1 GHz พร้อมกับการเข้าถึง ซัมซุง แอปสโตร์ เพื่อดาวน์โหลดแอปฯเพิ่มเติม ในราคา 11,900 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Microsoft ใจดีแจกฟรี OneNote บน iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 13:23:56
ผู้ใช้ iPhone บอกลาแอพ Notes บน iPhone ได้แล้ว เมื่อ Microsoft Office ได้ตัดสินใจเพิ่มแอพฯที่อยู่ในชุดโปรแกรมดังกล่าว นั่นก็คือ OneNote บน iPhone ซึ่งมันจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อความต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และง่ายกว่าเดิมแม้ในขณะเดินทาง โดยผู้ใช้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด OneNote ได้ฟรีที่ App Store ของ Apple แล้ว

OneNote เป็นแอพสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการบันทึก จัดเก็บ และรีวิวข้อความต่างๆ โดยทำงานร่วมกับ Windows Live SkyDrive ซึ่งจะช่วยสำรองไฟล์ต่างๆ ของคุณไว้บนคลาวด์ (Cloud) โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงบันทึกข้อความทั้งหมดได้ไม่ว่าจะอยู่ใด และด้วยอุปกรณ์ใดก็ตามที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต นอกจาก OneNote จะมีฟังก์ชันบันทึกข้อความแล้ว มันยังมีวิธีจัดการ และจัดลำดับแผนงานต่างๆ ตลอดจนสร้างรายการสิ่งที่คุณต้องทำ (to-do-list) ได้อีกด้วย ผู้ใช้สามารถสร้างรายการของข้อมูลต่างๆ ตลอดจนแทรกคลิปวิดีโอ หรือคลิปเสียง ตลอดจนอัพโหลดภาพ จดข้อความสั้นๆ วาดรูป และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแอพฯ Notes ที่มากับ iPhone ทำไม่ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/microsoft-adds-onenote-app-for-iphone-2.jpg)

อธิบายง่ายๆ OneNote ก็คือ "สมุดจดบันทึกดิจิตอล" ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใส่ข้อมูลได้ทุกอย่างที่ต้องการจำ (แต่ไม่ต้องการใส่ไว้ในสมอง :D) เอาไว้ในที่เดียว แถมยังสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านั้นเมื่อยามต้องการได้อย่างง่ายดายอีกด้วย การเพิ่มแอพ OneNote บน iPhone เป็นอีกก้าวหนึ่งของไมโครซอฟท์ในการเข้าสู่ตลาดโมบาย หลังจากที่บริษัทได้เปิดตัว OneNote บน Windows Mobile (รวมถึง Windows Phone 7) มาก่อนหน้านี้แล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: รั่ว!!! HP ซุ่มพัฒนา "Tablet" ถึง 2 รุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 13:43:15
หลังจากที่มีข่าวว่า HP จะเปิดตัว"แท็บเล็ต" (tablet) ของทางบริษัทในวันที่ 9 ก.พ. ศกนี้ ล่าสุดทางเว็บไซต์ Engadget ได้เปิดเผยภาพกราฟิกที่จะใช้ในการทำสื่อการตลาด และแผนการเกี่ยวกับแท็บเล็ตของ HP ที่หลุดรั่วออกมาจากแหล่งข่าววงในที่เชื่อถือได้

เมื่อปีที่แล้ว HP ได้เข้าซื้อกิจการของ Palm ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศความชัดเจนว่า ทางบริษัทต้องการ WebOS มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มากกว่าสมาร์ทโฟน โดยหลังจากนั้นในเดือนกรกฎาคมปีที่่แล้ว HP ก็ได้ออกมายืนยันข่าวการพัฒนา"แท็บเล็ต"ของทางบริษัท ล่าสุดแหล่งข่าววงในที่เชื่อถือได้ของ Engadget ก็ได้ส่งมอบภาพกราฟิกของแท็บเล็ต HP พร้อมด้วยแผนการบางอย่างที่ยังไม่มีการเปิดเผยที่ใดมาก่อน โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า HP มีแผนการสำหรับผลิตภัณฑ์ "แท็บเล็ต" ถึง 2 รุ่นด้วยกัน โดยรุ่นแรกใช้โค้ดเนม Topaz มีขนาดหน้าจอ 9 นิ้ว ส่วนอีกรุ่นหนึ่งโค้ดเนม Opal จะเป็นแท็บเล็ต WebOS ที่มีหน้าจอขนาด 7 นิ้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/HP-webos-tablet-images-and-plan-leaked-2.jpg)

ภาพกราฟิกของแท็บเล็ตที่เห็นข้างบนนี้จะเป็น Topaz โดยดีไซน์จะเป็นการผสมผสานระหว่าง iPad และสมาร์ทโฟน Palm Pre ซึ่งสังเกตุในรูปดูเหมือนจะไม่มีปุ่ม Home ที่ด้านล่างของหน้าจอเหมือน iPad ในขณะเดียวกันมันเผยให้เห็นกล้องด้านหน้าบริเวณด้านบนของหน้าจออีกด้วย ส่วนอินเตอร์เฟซที่เห็นบนหน้าจอก็น่าจะเป็น WebOS ที่ได้รับการปรับปรุงการทำงานให้เหมาะกับแท็บเล็ต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องของราคา และสเป็กของเครื่องแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางเว็บไซต์ยังมีภาพสไลด์ภายในอีกชุดหนึ่งที่ระบุว่า จะมีการเปิดตัวแท็บเล็ตอีกรุ่นในเดือนกันยายน ซึ่งคาดว่าจะเป็น Opal (แท็บเล็ต 7 นิ้ว)

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/HP-webos-tablet-images-and-plan-leaked-3.jpg)

ประเด็นที่น่าจะเป็นกังวลสำหรับ HP ก็คือ การประกาศแผนการล่วงหน้านานกว่าครึ่งปี นั่นเท่ากับการเป็นการเผยไต้ให้คู่แข่งได้รู้ล่วงหน้า ซึ่งเมือถึงเวลาเปิดตัว อาจทำให้ทางบริษัทเสียเปรียบคู่แข่งที่อาจจะออกมารอต้อนรับกันเต็มไปหมดก็ได้

และถึงแม้ว่า WebOS จะเป็นโอเอสที่ได้รับการออกแบบให้รองรับอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดต่างๆ ได้หลากหลาย แต่หากเทียบชื่อชั้นของแบรนด์ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักในตลาดสมาร์ท โฟน เมื่อเทียบกับ iOS, Android หรือแม้แต่ BlackBerry ประเด็นนี้อาจจะทำให้การสร้างฐานลูกค้าทำได้ไม่ง่ายนัก

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Firefox 4 เวอร์ชันสมบูรณ์ใกล้คลอดแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 13:55:05
รายงานข่าวล่าสุด Mozilla ได้ออก Firefox 4 รุ่นทดสอบเป็นเวอร์ชันที่ 9 แล้ว ซึ่งในเวอร์ชันนี้ มันยังคงมีการพัฒนาคุณสมบัติ และประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยทางบริษัทหวังว่า Firefox 4 จะสามารถทวงส่วนแบ่งการตลาดคืนจาก Chrome รวมถึงการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติมจาก IE ด้วย ทั้งนี้ Mozilla คาดว่าจะสามารถออก Firefox 4 ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ศกนี้

สำหรับใครที่ได้มีโอกาสดาวน์โหลด Firefox 4 beta 9 มาทดลองใช้คงจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่ากันตั้งแต่ เวลาที่ใช้ในการเริ่มต้นการทำงาน (startup time) ที่เร็วขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของ Bookmark และส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Panorama และการสนับสนุน HTML5 อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหลายสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเมื่อผสานกับประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นทำ ให้ Firefox 4 น่าจะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาจาก Chrome ในขณะเดียวกันยังสามารถต่อกรกับ IE ที่มีการพัฒนาขึ้นมากมายได้อีกด้วย ถึงแม้การกลับมาครั้งนี้ของ Firefox จะช้าไปหน่อยก็ตาม

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-4-beta-9-full-version-issues-feb-2011-2.jpg)

ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีการเปิดเผยออกมาจากนักพัฒนาก็คือ เวอร์ชันสมบูรณ์ของ Firefox 4 น่าจะออกได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ที่เข้าร่วมทดสอบ บราวเซอร์ตัวนี้ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า มันมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอินเตอร์เฟซ และคุณสมบัติการจัดการต่างๆ และมุมมองแท็บแบบใหม่ที่เรียกว่า Panorama ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้

Mozilla คาดว่า Firefox 4 จะทำให้ผู้ใช้หันมาสนใจบราวเซอร์โอเพ่นซอร์สตัวนี้มากขึ้น หลังจาที่ส่วนแบ่งตลาดหยุดนิ่งไป งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า Firefox 4 จะประสบความสำเร็จดังที่คาด หรือไม่

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Nokia เลิกให้โหลดเพลงฟรี 27 ปท.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 17:00:15
โนเกียดึงปลั๊กบริการดาวน์โหลดเพลงฟรีในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากถอดใจเพราะได้รับเสียงตอบรับไม่คุ้มค่าหลังจากเริ่มโครงการต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2008 ยังมีเหตุผลเรื่องความไม่นิยมเพลงที่ติดระบบ DRM ของผู้บริโภค และการไม่รองรับระบบที่ดีพอในโทรศัพท์มือถือโนเกียรุ่นเก่า โดยโนเกียจะเปลี่ยนกลยุทธ์มาใช้วิธีจำหน่ายพร้อมสิทธิ์ดาวน์โหลดเพลงฟรี 6-12 เดือนในบางประเทศแทน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000790901.JPEG)

      บริการดาวน์โหลดเพลงออนไลน์ฟรีที่โน เกียถอดใจนี้คือบริการ Comes With Music หรือในบางประเทศใช้ชื่อเรียกว่า Ovi Music Unlimited เป็นบริการที่โนเกียแถมฟรีให้กับผู้ซื้อโทรศัพท์โนเกียตั้งแต่ปี 2008 แต่กลับไม่สามารถสร้างกระแสตื่นตัวในกลุ่มผู้บริโภคเท่าใดนัก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้โนเกียตัดสินใจหยุดให้บริการดังกล่าวใน 27 ประเทศ
      
      โนเกียระบุว่าจะเปลี่ยนมาใช้วิธีจำหน่ายโทรศัพท์มือถือโดยแถมสิทธิ์ การเป็นสมาชิกบริการดาวน์โหลดเพลงฟรีเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยในประเทศจีน อินเดีย และอินโดนีเซียจะเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีนาน 12 เดือน ขณะที่ในประเทศตุรกี บราซิล และแอฟริกาใต้ จะให้สิทธิ์ดาวน์โหลดฟรีนาน 6 เดือน ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความร่วมมือของ 4 ค่ายเพลงใหญ่ของโลกทั้ง Universal Music, EMI, Warner Music Group และ Sony Music
      
      ในช่วงแรก บริการเพลงฟรีของโนเกียนี้ถูกวิจารณ์ว่าจะเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไอจูนส์ (iTunes) จากแอปเปิล โดยโนเกียชูตลาดอังกฤษเป็นพื้นที่หลักในการจุดประกายรูปแบบบริการโมบายล์ ใหม่ในยุโรป ปรากฏว่าบริการดังกล่าวขาดแรงสนับสนุนจากโอเปอเรเตอร์ทำให้ไม่ประสบความ สำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้ สำนัก ข่าวต่างประเทศวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะโทรศัพท์มือถือของโนเกียช่วงปี 2008-2009 ยังเป็นแพลตฟอร์มเก่าที่ไม่รองรับระบบเต็มที่ รวมถึงข้อจำกัดเรื่องซอฟต์แวร์ป้องกันลิขสิทธิ์ดิจิตอลหรือ Digital Rights Management (DRM) ในเพลงที่โนเกียเปิดให้ดาวน์โหลด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถส่งต่อเพลงไปเล่นบนอุปกรณ์อื่นใด้
      
      ประชาสัมพันธ์โนเกียจึงสรุปว่าผู้บริโภคในนาทีนี้ต้องการ บริการเพลงที่ไม่มี DRM สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้โนเกียดำเนินการปลดระบบ DRM ออกจากเพลงทุกเพลงในร้าน Ovi Store ออกทั้งหมดแล้วในขณะนี้ โดยโนเกียจะยังคงให้บริการดาวน์โหลดเพลงแบบคิดค่าใช้จ่ายอยู่ต่อไปไม่ เปลี่ยนแปลงใน 38 ประเทศทั่วโลก

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: BosnoS ที่ 19 มกราคม 2011, 17:10:00
ว่างๆ มา post ที่เว็บผมบ้างซิครับ :D


หัวข้อ: ภาคต่อเนื่อง "ไฟนอล แฟนตาซี XIII-2" มาแน่ปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มกราคม 2011, 23:36:42
เจ้าพ่อ RPG ญี่ปุ่นประกาศสานต่อเกมไฟนอลฯ13 ภายใต้ชื่อ “ไฟนอล แฟนตาซี XIII-2” ยันทำเกม PS3-Xbox360 พร้อมกัน วางคิวขายปลายปีนี้ เผยตัวเอก“ไลต์นิง”รับบทนำพร้อมชายลึกลับ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000809401.JPEG)

      วานนี้ (18ม.ค.)บริษัทสแควร์ เอนิกซ์จัดงานแถลงข่าว “1st Production Department Premier” เกี่ยวกับผลงานเกมในเครือที่โรงภาพยนตร์โตโฮ ซีเนมา รปปงงิ ฮิลล์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เกือบทั้งหมดที่นำเสนออยู่ภายใต้ซีรีส์ Fabula Nova Crystallis ของไฟนอล แฟนตาซีนั่นเอง
      
      ประเด็นที่สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดาสื่อมวลชนที่ถูกเชิญไปร่วมงานก็คือ การยืนยันข่าวลือหนาหูในโลกไซเบอร์สำหรับภาคต่อเนื่องของไฟนอล แฟนตาซี 13 ในชื่อเกมว่า “ไฟนอล แฟนตาซี XIII-2”(Thirteen Two) บริษัทได้ลงมือพัฒนาเกมทั้งเวอร์ชันเพลย์สเตชัน 3 (PS3)และเอ็กซ์บ็อกซ์360(Xbox360)ไปพร้อมๆกัน จึงไม่ได้เป็นการพอร์ตเกม และวางแผนจะลงตลาดบ้านเกิดเร็วกว่าที่คาด ภายในปี 2011 ส่วนเวอร์ชันขายต่างแดนถูกกำหนดไว้ในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้ ผู้กำกับคนก่อน “โมโตมุ โทริยามะ” ก็ควงคู่โปรดิวเซอร์หน้าเก่า “โยชิโนริ คิตาเสะ”มาดูแลเกมนี้ตามเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000809402.JPEG)
Final Fantasy XIII-2

      สำหรับRPG ญี่ปุ่นชื่อดังFFXIII-2 จะนำตัวเอกสาวคนเดิม “ไลต์นิง”(Lightning)มาเป็นผู้ดำเนินเรื่องราวต่อไป จากวิดีโอของสแควร์ เอนิกซ์ยังพบตัวละครชายลึกลับคู่ปรับของเธอ ผมยาวสีม่วงให้เห็นกันด้วย แต่ก็ไม่มีการเผยรายละเอียดใดๆให้ทราบ อย่างไรก็ตาม วิดีโอที่กระจายอยู่ตาม YouTube ได้ถูกบริษัทสแควร์ เอนิกซ์ขอร้องให้มีการบล็อก โดยบริษัทจะนำเสนอด้วยตัวเองอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.ส่วนวิดีโอตัวอื่นจะปล่อยอีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค.
      
      ด้านผลงานเกมอื่นๆที่อัปเดตข่าวให้ทราบในคราวเดียวกันนี้ก็ยังมี “ไฟนอล แฟนตาซี ไทป์-0”(Final Fantasy Type-0 หรือ Final Fantasy Reishiki)บนเครื่องเกมพกพา PSP ซึ่งก่อนหน้านี้มีชื่อว่า “ Final Fantasy Agito XIII” เกมนี้จะวางขายที่ญี่ปุ่นช่วงซัมเมอร์แบบ 2 แผ่น UMD ส่วนเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อก็เพราะว่ามีคอนเซปต์ใหม่มานำเสนอ “ฮาจิเมะ ทาบาตะ” ผู้กำกับเกมเปิดเผยว่า เกมมี 14 ตัวละครหลัก และรวมแล้วจะมีตัวละครประมาณ 30-40 ตัว เกมมีตัวละครประมาณ 30 ตัว แต่ละตัวจะมีอาวุธที่แตกต่างกัน และยังสามารถเรียกสัตว์อสูรอย่าง Ifrit เข้ามาในฉากต่อสู้ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000809404.JPEG)
Final Fantasy Type-0

      ขณะที่เกม “ไฟนอล แฟนตาซี เวอร์ซัส 13”(Final Fantasy Versus XIII)ก็ยังหมายมั่นปั้นมือที่จะขายเฉพาะเวอร์ชัน PS3 ตามเดิม คราวนี้มาพร้อมวิดีโอตัวอย่างใหม่ความยาวเกือบ 7 นาที โช์ฉากเกมการเล่นจริงๆให้เห็น และเสียงภาคของตัวละครหลัก "เจ้าชาย น็อกติส" ซึ่งบิดาของเขาเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แต่น็อกติสโชคร้ายที่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์ เพราะพระบิดาประสงค์ที่จะมีชื่อเป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย นอกจากนี้ ในวิดีโอก็ยังมีตัวละครอื่นๆอย่างสเตลลาและ Ignis ปรากฏอยู่ด้วย
      
      ตามมาด้วยเกม “คิงดอม ฮาร์ตส์ 3D :ดรีม ดร็อป ดิสแทนซ์”(Kingdom Hearts 3D: Dream Drop Distance)บนเครื่อง 3DS ผู้เล่นสามารถเล่นได้ทั้งโซระและริกุ เกมจะเน้นการเล่นที่รวดเร็วว่องไว และเกมคอนเซ็ปต์เกมว่า "when darkness became light and light fell into darkness"
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000809407.JPEG)
Kingdom Hearts 3D: Dream Drop Distance

      เกมไฟนอล แฟนตาซี 13 วางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นในปี 2009 ปัจจุบันมียอดขายทั่วโลกราว 6 ล้านชุด ก่อนหน้านี้ สแควร์ เอนิกซ์เคยทำเกมไฟนอลฯที่มีชื่อในทำนองเดียวกันมาแล้วในปี 2003 ในชื่อ “ไฟนอล แฟนตาซี X-2” บนเครื่อง PS2 ที่ต่อยอดมาจากไฟนอล แฟนตาซี X ในปี 2001 เกมไฟนอล แฟนตาซีวางจำหน่ายภาคแรกเมื่อปี 1987 ปัจจุบันมียอดจำหน่ายรวมทั่วโลกกว่า 97 ล้านชุด (จากข้อมูลเดือน ก.ย.ปี 2010)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: สตาร์บัคส์เดินเครื่อง "ระบบจ่ายเงินผ่านมือถือ" ทั่วสหรัฐอเมริกา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 02:41:25
สตาร์บัคส์พร้อมเดินเครื่องระบบจ่ายเงินผ่านมือถือสมาร์ทโฟน (Mobile Payments) ไอโฟน และแบล็กเบอรี่ในสหรัฐอเมริกากว่า 7,500 สาขา ด้วยระบบ 2D Scan และ สตาร์บัคส์การ์ด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000823201.JPEG)

      โดยในส่วนของรายละเอียดทางสตาร์บัคส์เปิดเผยว่า ระบบ การจ่ายเงินผ่านมือถือของสตาร์บัคส์ ในตอนนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะร้านสตาร์บัคส์คอฟฟี่กว่า 7,500 สาขาในอเมริกา ผ่านแอปพลิเคชั่น "Starbucks Card Mobile" ที่ในปัจจุบันสามารถใช้งานได้บน ไอโฟน ไอพอด ทัชและแบล็กเบอรี่เฉพาะเขตสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ส่วนในอนาคตทางสตาร์บัคส์จะมีแผนจะขยายแอปพลิเคชันดังกล่าวเข้าสู่ แอนดรอนด์มาร์เก็ต และอาจมีการขยายระบบจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือไปสู่สาขาอื่นๆ ทั่วโลกก็เป็นได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000823202.JPEG)
หน้าตา Starbucks Card Mobile Scanner

      สำหรับในส่วนการทำงานผ่านแอปพลิเคชั่น "Starbucks Card Mobile" ผู้ใช้จำเป็นต้องมีบัตรสตาร์บัคส์ที่ออกในประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นเมื่อผู้ใช้กรอกรหัสบัตรลงไปในแอปพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเลือกเช็คยอดเงินคงเหลือ รวมถึงสามารถเติมเงินให้กับบัตรสตาร์บัคส์ผ่าน PayPal และบัตรเครดิตได้ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000823203.JPEG)
หน้าตาแอปพลิเคชัน Starbucks Card Mobile สำหรับ BlakckBerry

      ในส่วนการจ่ายเงินเมื่อซื้อสินค้าในร้านสตาร์บัคส์คอฟฟี่สามารถทำได้ อย่างรวดเร็วเพียงกดที่ Touch to Pay จากนั้นก็นำกล้องไปส่องโค้ดที่เครื่องอ่าน (Starbucks Card Mobile Scanner) เพียงเท่านี้ระบบจะทำการตัดเงินจาก PayPal หรือวงเงินในบัตรเครดิตทันที

ซึ่งด้วยระบบดังกล่าว Brady Brewer รองประธานกลุ่ม Starbucks Card และดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ กล่าวว่า ระบบการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์ มือถือจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้การจ่ายเงินซื้อสินค้าในสตาร์บัคส์คอฟฟี่ทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพราะในปัจจุบันนี้ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการ สตาร์บัคส์คอฟฟี่มักพกโทรศัพท์มือถือติดตัวมากกว่าพกกระเป๋าใส่เงิน อีกทั้งการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตจะมีขั้นตอนในการจ่ายที่ยุ่งยากกว่าการ จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือเสียอีก

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000823204.JPEG)
หน้าตาแอปพลิเคชัน Starbucks Card Mobile สำหรับ iPhone

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "บับเบิล บอลล์" เกมฟรีไอโฟนเด็ก 14 ปี ดีดนกพิโรธตกสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 02:59:33
“บับเบิล บอลล์” เกมพิซเซิลง่ายๆของเจ้าหนู 14 ขวบ ติดชาร์ตอันดับ 1 เกมฟรีไอโฟน ดีดแองกรีย์ เบิร์ดส์ลงจากบัลลังก์แชมป์ได้สำเร็จ ด้วยยอดดาวน์โหลดกว่า 2 ล้านครั้งไปแล้ว และเตรียมเพิ่มด่านเข้าไปใหม่ แม่เผยลูกชายเขียนเว็บไซต์ได้ตั้งแต่เกรด 3
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000835701.JPEG)

      วงการพัฒนาเกมโลกกำลังฮือฮากับความสำเร็จของหนุ่มน้อย “โรเบิร์ต เนย์” เด็กวัย 14 ปีที่สร้างเกม “บับเบิล บอลล์”(Bubble Ball)ออกไปให้ดาวน์โหลดเล่นฟรีบนไอโฟนผ่านทางแอปป์ สโตร์ของแอปเปิล ปัจจุบันเกมนี้มียอดโหลดสูงกว่า 2 ล้านครั้งแล้วภายในเวลา 2 สัปดาห์ แถมยังสามารถแซงหน้าเกมนกพิโรธไปอีกต่างหาก
      
      บับเบิล บอลล์เป็นเกมง่ายๆที่ผู้เล่นต้องวางแผนให้ลูกบอลกลิ้งไปตามเส้นทางที่มี ลักษณะแตกต่างกันออกไปจนสามารถเข้าเส้นชัยให้ได้ โดยต้องคิดวางวัตถุรูปทรงต่างๆภายใต้ระบบฟิสิกส์และแรงดึงดูดของโลกมาเป็น ปัจจัยร่วม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000835702.JPEG)

      เนย์เป็นเด็กจากสแปนนิช ฟอร์ก รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา เขาระบุว่า ใช้เวลาเขียนเกมเพียง 2 เดือน หลังจากส่งขึ้นไปบนแอปป์ สโตร์เมื่อช่วงปลายปีก่อน (29ธ.ค.และยังมีเวอร์ชันแอนดรอย์ด้วย) ล่าสุดเกมของพ่อหนูเนย์ก็โด่งดังจนสามารถขึ้นนำไปอยู่ในอันดับ 1 เกมฟรีของไอโฟนไปเรียบร้อย ส่งผลให้เกมแรงอย่าง “แองกรีย์ เบิร์ดส์” (Angry Birds)ที่ครองแชมป์มายาวนานหล่นไปอยู่ในอันดับ 2 ได้เสียที
      
      เนย์กล่าวว่า เขาค่อนข้างประหลาดใจมากถึงความสำเร็จดังกล่าว ตอนนี้ก็เลยคิดจะเพิ่มด่านต่างๆเข้าไปให้อีก(จากเดิม 21 เลเวล) แต่ก็ยังยืนยันจะให้เล่นฟรี รวมไปถึงการมีไอเดียอื่นๆอีกสำหรับเกมเขาที่อยากจะทำ อย่างไรก็ตาม หนุ่มเนย์ยังมีกิจกรรมสันทนาการอื่นที่สนใจนอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ อย่างการอ่าน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และเขาก็ยังชอบเล่นเปียโน,แมนโดลิน และทรัมเป็ตด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000835703.JPEG)

      เจ้าหนูวัย 14 เล่าถึงที่มาที่ไปของการเริ่มทำเกมว่า เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่า ถ้าเขาชอบไอพ็อด ทัชก็ให้ลองเขียนโปรแกรมมิ่งดูบ้างซิ ตอนแรกก็ลองเขียนด้วยภาษา C แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษาอีกพอสมควร จากนั้นจึงลองไปใช้โปรแกรมอื่นอย่าง GameSalad แต่ก็ได้ผลที่ไม่ปลื้มนัก ตอนหลังจึงลองชุดพัฒนา Corona จาก Ansca Mobile ก็พบว่ามันใช้งานง่ายทีเดียว เขียนทีเดียวก็ไปออกได้ทั้ง iOS และแอนดรอยด์
      
      แม่ของเนย์ บอกว่าตัวเธอคอยให้คำช่วยเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยในด้านการออกแบบฉากพัซเซิล แต่พวกคอนเซ็ปต์และการทำในส่วนอื่นๆก็ออกมาจากลูกทั้งหมด เนย์ใช้เวลาวันละ 2 ชั่วโมงในการทำเกม จนในที่สุดเขาก็เขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ได้กว่า 4,000 บรรทัด ทั้งนี้ เนย์สามารถเขียนเว็บไซต์เองได้ตั้งแต่อยู่เกรด 3 แล้ว (ปัจจุบันอยู่เกรด8)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000835704.JPEG)

      ด้าน “คาร์ลอส ไอคาซา” ผู้ก่อตั้ง Ansca Mobileที่ทำชุดพัฒนา Corona กล่าวถึงเกมบับเบิล บอลล์ว่า เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความเรียบง่าย มันยังมีกลวิธีง่ายๆที่สามารทำมันออกมาได้แจ่มแจ๋วจริงๆ เล่นเอาทีมงานของเขาถึงกับงุนงงไปตามๆกันที่เห็นเกมบับเบิล บอลล์ขึ้นอันดับหนึ่งเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ความจริงแล้วชุดพัฒนาของเขาเอาไว้ใช้พัฒนาแอปปลิเคชันง่ายๆสำหรับมือถือ มากกว่าเน้นไปที่กลุ่มฮาร์ดคอร์

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Facebook ออกเวอร์ชันบน "มือถือ" ทั่วไป
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 14:05:52
รายงานข่าวล่าสุด Facebook ประกาศแอพพลิเคชันบนมือถือตัวใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้งานบนมือถือทั่ว ไป (Feature Phone) ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน โดยแอพดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงบริการ ต่างๆ อย่างเช่น เมสเสจบน Facebook อีเวนต์ ภาพ ข่าวฟีด, โพรไฟล์ และอื่นๆ อีกมากมาย

Facebook app เวอร์ชันนี้จะช่วยให้ผู้ใช้มือถือรุ่นทั่วไปได้รับประสบการณ์ในการใช้บริการ คล้ายกับใช้งานด้วยสมาร์ทโฟน ว่ากันตั้งแต่การมีส่วนการใช้งานต่างๆ บนหน้าโฮม (homescreen navigation) การซิงค์คอนแท็ค และการเลื่อนหน้าจอสำหรับข้อความ และรูปภาพอัพเดทที่ค่อนข้างเร็ว (สะดวกต่อการเลื่อนดูสถานะต่างๆ) ผู้ใช้สามารถใช้ Facebook app ได้โดยไม่เสียค่าบริการข้อมูล อย่างไรก็ตาม แอพตัวนี้จะเปิดให้ใช้กับเครือข่ายผู้ให้บริการมือถือในบางประเทศเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ศรีลังกา ยูเครน โปแลนด์ สิงคโปร์ ซาอุดิอารเบีย ฮ่องกง ตูนีเซีย โดมินิกัน โรมาเนีย และที่จะตามมาเร็วๆ นี้ก็จะมี แคนาดา อินเดีย เม็กซิโก บราซิล และบัลแกเรีย

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-app-for-feature-phone-2.jpg)

ในบล็อกของ Facebook ผู้จัดการฝ่ายโปรแกรมบนมือถือ Mark Heynen โพสต์ไว้ว่า "เฟซบุ๊คสำหรับมือถือทั่วไปสามารถใช้งานได้กับมือถือมากกว่า 2,500 รุ่นในหลากหลายแบรนด์ตังแต่ Nokia, Sony Ericsson, LG และผู้ผลิตอื่นๆ" ข้อมูลที่คุณผู้อ่านอาจจะไม่ทราบ เพราะส่วนใหญ่คงจะเปลี่ยนใช้สมาร์ทโฟนกันแล้วก็คือ จากรายงานสถิติเมื่อมิถุนายน 2010 เจ้าของมือถือทั่วโลกมากถึง 79% ยังคงใช้ feature phone โดยเฉพาะในประเทศจีน และอินเดีย และด้วยเหตุนี้เอง Facebook จึงได้พัฒนาแอพสำหรับมือถือทั่วไปออกมาให้บริการ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: MrWebmonster ที่ 20 มกราคม 2011, 15:30:28
 :wanwan017:

แต่ละข่าวสุดยอด  ว่างๆ ขอตัวไปอัพเดทในบอร์ดผมได้ไหมเนี้ย อิอิ  :wanwan016:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 15:32:16
:wanwan017:

แต่ละข่าวสุดยอด  ว่างๆ ขอตัวไปอัพเดทในบอร์ดผมได้ไหมเนี้ย อิอิ  :wanwan016:


ให้บริการสำหรับบอร์ด SMF ตามรายละเอียดนี้เลยครับ
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,158434.0.html
 :wanwan019:


หัวข้อ: อินเทลพร้อมขาย คอร์ ไอ เจนเนอเรชัน 2
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 17:01:57
มาถึงแล้วเมืองไทยแล้ว อินเทล คอร์ป โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชัน 2 หรือที่อินเทลเรียกโค้ดเนมภายในบริษัทว่า “แซนดี้ บริดจ์” ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ที่อินเทลมั่นใจว่า จะตอบโจกย์พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของคนทั่วโลกยุคสมัยนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000855001.JPEG)

      เอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของการใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาความคึกคักของตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่มียอดขายเฉลี่ย 1 ล้านเครื่องต่อวัน เป็นผลมาจากพฤติกรรมการของยูสเซอร์ที่มีมุมมองต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนไป
      
      “พฤติกรรมการใช้งานของยูสเซอร์ที่เปลี่ยนไปมีส่วนทำให้ทิศทางการ พัฒนาของตลาดโปรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของคอมพิวเตอร์ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย เดิมการพัฒนาโปรเซสเซอร์จะใช้เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนพฤติกรรมยูสเซอร์”
      
      พฤติกรรมที่ทางผู้บริหารอินเท ลระบุว่า เปลี่ยนไปนั้น จะเห็นได้จากกระแสความนิยมแชร์คลิปวีดิโอผ่าน "ยูทูบ" ที่ในปีที่แวมีการอัปโหลดคลิปมากกว่า 20 ล้านไฟล์ต่อเดือน ขณะเดียวกัน ก็มีคนเข้าไปดูราว 12.2 พันล้านไฟล์ต่อเดือน ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 2557 การใช้งานของไอพีบนอินเทอร์เน็ตของยูสเซอร์ทั่วโลก 90% จะเป็นภาพเคลื่อนไหวทั้งหมด สอดคล้องกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกระแสโซเชียล เน็ตเวิร์ก อย่าง "เฟสบุ๊ก" ที่เติบโตอย่างมหาศาล ณ วันนี้ มีผู้ใช้งานเฟสบุ๊กทั่วโลกถึง 620 ล้านราย โดยผู้ใช้เฟสบุ๊กมีการอัปโหลดคอนเทนต์ที่เป็นภาพถึง 2,500 ล้านต่อเดือน
      
      “วันนี้ เฟสบุ๊กกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีบริการต่างๆ ตั้งแต่เกม อัปโหลดภาพ อีเมล์ แชท ไม่ใครคิดมาก่อนว่า เฟสบุ๊กจะได้ความนิยมขนาดนี้”
      
      อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชัน 2 เป็นไมโครอาร์คิเทคเจอร์รุ่นแรกที่ผสานเทคโนโลยีด้านภาพและกราฟิกสามมิติ เข้ากับประสิทธิภาพที่ล้ำหน้าของไมโครโปรเซสเซอร์ไว้ในชิปเพียงตัวเดียวว ารรวม Intel HD Graphics ไว้บนดาย (die) แต่ละตัว ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 32 นาโนเมตร ทำให้ประสิทธิภาพด้านกราฟิกเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับกราฟิกรุ่นก่อน หน้านี้ ทั้งในด้านการประมวลผลสื่อระดับ HD และการเล่นเกมส่วนใหญ่ นอกจากจะมีสมรรถนะการทำงานที่สูงขึ้นแล้ว ชิปรุ่นใหม่นี้ยังทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้นและทำให้การ ออกแบบคอมพิวเตอร์ทั้งโน้ตบุ๊กและพีซีแบบออล-อิน-วัน มีดีไซน์ที่เพรียวบาง น้ำหนักเบาละทันสมัยมากขึ้นอีกด้วย
      
      เทคโนโลยีกราฟิกของโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ จะมุ่งเน้นประสิทธิภาพในด้านที่คนส่วนใหญ่ต้องการใช้มากที่สุดในในปัจจุบัน เช่น การชมวิดีโอแบบไฮเดฟินิชั่น การชมภาพนิ่ง การเล่นเกมส์ของคนส่วนใหญ่ การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน และสังสรรค์ผ่านสังคมออนไลน์ ไปจนถึงการใช้สื่อมัลติมีเดีย เทคโนโลยีด้านภาพ อย่างเช่น Intel HD Graphics จะมีอยู่ในโปรเซสเซอร์เจนเนอเรชัน 2 นี้ทุกรุ่น เพราะสำหรับผู้บริโภคแล้ว นั่นหมายถึงประสบการณ์การใช้พีซี ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งประสิทธิภาพโดยรวมด้านการจัดการพลังงานที่สูงขึ้น สมรรถนะการทำงานที่เพิ่มขึ้น และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ดีกว่าเดิม
      
      เอกรัศมิ์ กล่าวว่า โปรเซสเซอร์นี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำในด้านประสิทธิภาพการคำนวณและ สมรรถนะระดับสูงเมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้านี้ สมรรถนะด้านการแสดงภาพในตัวที่ได้จากโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้สามารถทำได้ อย่างน่าทึ่ง และยิ่งเมื่อรวมกับประสิทธิภาพด้านการปรับภาพแล้ว จะยิ่งนับว่าเป็นการปฏิวัติประสบการณ์สำหรับการใช้พีซี ในระดับที่ผู้ใช้งานทุกคนจะต้องชื่นชอบกับความฉลาดล้ำของชิปตัวนี้ที่ส่งผล ต่อการชมภาพอย่างเห็นได้ชัด
      
      คุณสมบัติพิเศษใหม่ๆ ยังรวมถึง IntelQuick Sync Video และ Intel® Wireless Display (WiDi) เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอินเทลที่ผ่านการรับรางวัลมาแล้ว สามารถเพิ่มความคมชัดแบบไฮเดฟินิชั่นในระดับ 1080p และความสามารถในการการปกป้องคอนเทนต์ สำหรับผู้ที่ต้องการส่งคอนเทนต์แบบไฮเดฟินิชั่นระดับพรีเมี่ยมจากจอโน้ตบุ๊ก ไปยังโทรทัศน์
      
      คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่มาพร้อมกับชิปรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ยังประกอบด้วย Intel Advanced Vector Extensions (AVX), Intel InTru 3-D และ Intel Clear Video Technology HD โดยที่ Intel InTru 3D ช่วยให้การชมภาพสามมิติแบบสมจริงจาก HDTV หรือจอภาพ ผ่านสาย HDMI 1.4 ได้ จึงเพิ่มความตื่นตาตื่นใจในการชมภาพยนตร์ได้ราวกับว่าภาพสามารถทะลุออกจากจอ ได้
      
      สำหรับ Intel AVX นั้น ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในด้านแอพพลิเค ชั่นภาพที่ต้องการสมรรถนะการทำงานสูง เช่น การประมวลผลเสียงและการแก้ไขวิดีโอแบบมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อรูปภาพหลายๆ รูปเข้าด้วยกัน ส่วน Intel® Clear Video ช่วยทำให้ภาพและความแม่นยำของสีในการเล่นวิดีโอดียิ่งขึ้น เพื่อประสบการณ์การรับชมที่น่าประทับใจ
      
      ชิปรุ่นใหม่นี้ ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโลยีการผลิตแบบ 32 นาโนเมตร และใช้ทรานซิสเตอร์ชนิด High-k metal gate รุ่นที่ 2 ที่ล้ำหน้าของอินเทลล ข้อได้เปรียบต่างๆ นี้ ถือเป็นเอกลักษณ์ของอินเทลยังช่วยเพิ่มสมรรถนะการทำงานของคอมพิวเตอร์ ลดการใช้พลังงาน เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้นทำให้การการออกแบบเครื่องมี ขนาดเล็กลง และลดค่าใช้จ่ายการผลิตโดยรวมลงอีกด้วย
      
      เมื่อถามถึงสภาพตลาด คอมพิวเตอร์ในบ้านเราจะเป็นอย่างไร เอกรัศมิ์ มองว่า ภาพรวมตลาดพีซีในปีนี้มีแนวโน้มจะเติบโตได้ราว 15-20% จากปีก่อนหน้า แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่ได้มองคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการประมวลผลธรรมดาๆ แล้ว จะเห็นการบริโภควิดีโอที่มีคุณภาพของภาพ “ไฮเดฟินิชัน” ในระดับ 1080p มากขึ้น จากเดิมที่แทบจะมองเป็นเรื่องยากที่ยูสเซอร์ทั่วไปจะสามารถผลิตคอนเทนต์ คุณภาพสูงแบบนี้ผ่านทางคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือบนโน้ตบุ๊ก เพราะต้องใช้พลังของโปรเซสเซอร์ที่สูงในการประมวลผล
      
      “ภาพเหล่านี้ในบ้านเรา จะเห็นมากขึ้น เมื่อระดับราคาดีไวซ์ที่มีคุณภาพระดับไฮเดฟินิชันมีราคาที่ลดลง วันนี้เด็กรุ่นใหม่คุ้นเคยกับการคุณภาพแบบนี้แล้ว”
      
      เอกรัศมิ์ ระบุอีกว่า ทางอินเทลพร้อมวางตลาดซีพียูรุ่นใหม่นี้ในไทย 29 รุ่น โดยจะมีราคาที่เท่ากับซีพียูรุ่นเก่าสำหรับซีพียูตั้งโต๊ะ ส่วนราคาของอุปกรณ์อย่างเมนบอร์ดซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่จะต้อง เปลี่ยนไม่สามารถใช้กับเมนบอร์ดสำหรับซีพียู คอร์ ไอรุ่นแรกได้ คงขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตเมนบอร์ดว่า จะทำราคาลงมาได้เร็วแค่ไหน ซึ่งจากประสบการณ์ที่เปิดตัวคอร์ ไอ รุ่นแรก ใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีประมาณ 6 เดือน ราคาถึงจะลงมาอยู่ในอัตราปกติ
      
      “ส่วนตลาดโน้ตบุ๊ก คงต้องขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊กแต่ละยี่ห้อว่า จะปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเร็วเพียงใด ซึ่งเชื่อว่า จะใช้เวลาเร็วกว่าบนซีพียูแบบตั้งโต๊ะประมาณ 6 เดือน””
      
      จากการสอบถามบริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ อย่างเอเซอร์ เลอโนโว โตชิบา ต่างพร้อมที่จะวางโน้ตบุ๊กที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่แล้ว
      
      “จะเห็นซีพียูที่เป็น คอร์ ไอ7 รุ่นใหม่บางแล้วประมาณ 1-2 โมเดล และจะทยอยเปิดตัวคอร์ ไอ3 และ ไอ5 ออกมาหลังวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางอินเทลกำหนดเวลาการวางตลาดซีพียูเอาไว้อย่างนี้ ตอนนี้มีโปรดักส์พร้อมที่จะวางตลาดแล้ว” ถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เล่าให้ฟังถึงความพร้อมในการวางตลาดโน้ตบุ๊กโตชิบาในประเทศไทย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: มีอะไรใหม่ใน "Apple iOS 4.3 Beta"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 20:06:41
สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ของแอปเปิลอย่างไอแพด ไอโฟน หรือไอพอดทัช อยู่ คงได้ยินข่าวการมาถึงระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่จากแอปเปิลอย่าง iOS 4.3 กันแล้วแทบทุกคน ซึ่งในวันนี้ทางแอปเปิลก็ได้คลอดระบบปฏิบัติการดังกล่าวออกมาในรุ่น Beta 2 และได้มีบรรดาผู้พัฒนาแอปพลิเคชันดาวน์โหลดมาทดสอบและเปิดเผยคุณสมบัติใหม่ๆ ในระบบปฏิบัติการ iOS 4.3 Beta ต่อสาธารณะชนบางส่วนแล้ว
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000883008)

      สำหรับคุณสมบัติที่เพิ่มเติมเข้ามาใน iOS 4.3 Beta ที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดสำหรับผู้พัฒนา (ตัวจริงยังไม่มีกำหนดวันออกให้ดาวน์โหลด) ทางแอปเปิลได้เลือกให้สามารถอัปเดตได้ทั้งไอโฟน 4, 3Gs, ไอแพด, ไอพอด ทัช เจน 3 และ 4 โดยผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดตัว Beta ดังกล่าวจะต้องเป็นสมาชิก iOS Developer Program ในราคา 99$ (ประมาณ 3,000 บาท) ต่อปี โดย ไอโฟน 3G หรือต่ำกว่า รวมถึง ไอพอด ทัช ที่ต่ำกว่าเจน 3 ลงมาอาจไม่สามารถอัปเดตเป็น iOS 4.3 Beta ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883001.JPEG)
ไอคอน Facetime บน iPod Touch Gen 4 จะเปลี่ยนไป

      ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมใน iOS 4.3 Beta สำหรับไอแพด จะมีการเพิ่มการรองรับ Multi Gestures (ดูตัวอย่างได้จากวิดีโอด้านล่าง) ที่สามารถนำนิ้วมือ 4 และ 5 นิ้วในการสั่งปิดโปรแกรม หรือใช้ในการเลื่อนขึ้นเพื่อเปิดแถบ Multi Tasking ขึ้นแทนการกดปุ่ม Home รวมถึงมีการเพิ่มเติมคำสั่งของปุ่มล็อคด้านข้างให้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ เป็นปุ่มล็อคหน้าจอหรือปุ่มปิด-เปิดเสียงรวมถึงมีการเพิ่มฟอนต์ Noteworthy บนไอแพดด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883002.JPEG)
ในอนาคต Photobooth จากแม็ค จะมาลงให้ใช้งานบน ไอแพดและไอโฟน

      แต่ทั้งนี้มีประกาศจากแอ ปเปิลรายงานว่า สำหรับระบบ Multi Gestures จะไม่ถูกให้เปิดใช้ใน iOS 4.3 เวอร์ชั่นจริงที่จะปล่อยให้ดาวน์โหลดในอนาคต ซึ่งคาดว่าทางแอปเปิลอาจแอบเก็บฟังก์ชันนี้ไว้หรับ ไอแพด 2 หรือทางแอปเปิลอาจรอให้มีผู้พัฒนาแอปพลิเคชันมารองรับระบบดังกล่าวให้ สมบูรณ์กว่านี้ก่อน

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883003.JPEG)
ใน iOS 4.3 ไอโฟน 4 จะสามารถสร้าง WiFi Hotspot จากสัญญาณดาต้าได้

นอกจากนั้น จากการแกะโค้ด iOS 4.3 Beta โดยเหล่าแฮ็คเกอร์ต่างประเทศ ในส่วนของไอแพด ยังพบไอคอนของแอปพลิเคชัน FaceTime, PhotoBooth และ Camera apps สำหรับไอแพดด้วย ซึ่งคาดว่าแอปพลิเคชันทั้ง 3 ที่กล่าวไปข้างต้น คงจะมาพร้อมกับ ไอแพด 2 ที่จะมีการเปิดตัวในเร็ววันนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883004.JPEG)
Multitasking Gestures จะมีใน iOS 4.3 แต่อาจไม่ได้ใช้ในเวอร์ชันจริง

      มาที่ iOS 4.3 Beta บนไอโฟน 4 จะมีการเพิ่มฟังก์ชัน Personal Hotspot สำหรับ เปลี่ยนไอโฟน 4 เป็น WiFi Hotspot ในการนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตทั้ง 3G, Edge, GPRS แปลงเป็นสัญญาณ WiFi ส่งไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มัลติมีเดียที่มีตัวรับ WiFi ได้พร้อมกันสูงสุดจำนวน 5 เครื่อง นอกจากนั้นในไอโฟน 4 ยังอาจมีการเพิ่มระบบ Multi Gestures เฉกเช่นเดียวกับ ไอแพด รวมถึงมีการเปลี่ยนเสียงชัทเตอร์ตอนถ่ายภาพนิ่งใหม่

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883005.JPEG)
AirPlay ถูกปรับปรุงให้สามารถใช้งานกับแอปพลิเคชันอื่นได้นอกจาก iPod

ส่วนไอพอด ทัช เจน 4 จะไม่มีการเพิ่มเติมคุณสมบัติพิเศษใดๆ นอกจากการเปลี่ยนรูปไอคอนแอปพลิเคชัน Facetime ใหม่ เป็นรูปแบบคล้ายๆ ไอคอนบนเครื่องแม็คและเปลี่ยนชัทเตอร์ตอนถ่ายภาพนิ่งใหม่ และในส่วนของไอโฟน 3Gs และไอพอด ทัช เจน 3 จะไม่มีการเพิ่มระบบ Personal Hotspot เข้ามาแต่จะมีการปรับแต่งเสียงชัทเตอร์ตอนถ่ายภาพเช่นเดียวกับ ไอพอด ทัช เจน 4 เช่นกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883006.JPEG)
ในไอแพดจะสามารถเปลี่ยนคำสั่งปุ่มล็อคด้านข้างได้

      สำหรับการปรับแต่งและเพิ่มเติมในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ทั้งไอโฟน ไอพอด ทัช และ ไอแพด ได้แก่ การเพิ่มขอบเขตการรองรับระบบ AirPlay ให้สามารถใช้บนแอปพลิเคชันอื่นที่ไม่ใช่ของแอปเปิลได้ นอกจากนั้นจะมีการรองรับ iAd Full Screen Banner (ขนาดจอไอแพด) สำหรับแบนเนอร์โฆษณาขนาดใหญ่ นอกจากนั้นจะมีการเพิ่มเติมฟังก์ชัน Find my Friends และ Photo Stream โดย Find My Friend จะเป็นฟังก์ชันในการช่วยค้นหาเพื่อน ซึ่งคาดว่าการใช้งานจะเชื่อมต่อกับ Google Maps คล้าย Find My iPhone / iPad และ Photo Stream จะเป็นฟังก์ชันที่รองรับระบบคลาวด์ในการใช้แบ่งปันรูปภาพกับเพื่อนๆ ผ่านระบบ MobileMe ของแอปเปิล และสุดท้ายในส่วนของระบบข้อความจะมีการเพิ่มระบบเตือนข้อความแบบใหม่ด้วย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000883007.JPEG)
ไม่แน่ใน iOS 4.3 เวอร์ชันจริง ไอโฟน 4 อาจสามารถใช้ Multi Gestures แบบไอแพดได้ด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เกม TERA Online เริ่มเก็บค่าบริการ 25 ม.ค.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 20:40:00
"เอ็นเอชเอ็น คอร์ปอเรชั่น" ประกาศผ่านเว็บไซต์หลักของเกมออนไลน์ TERA เกี่ยวกับกำหนดการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในประเทศเกาหลี ใต้ พร้อมเริ่มเก็บค่าบริการในการเข้าเล่นเกมดังกล่าวในวันที่ 25 มกราคมนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000894501.JPEG)

      สำหรับค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากผู้เล่นเกมออนไลน์ TERA จะมีหลายตัวเลือกให้ตัดสินใจ อาทิ 3 ชั่วโมง/3,000 วอน , 30 ชั่วโมง/15,000 วอน , 1 เดือน/19,800 วอน , 3 เดือน/47,500 วอน ซึ่งราคาเหล่านี้ใกล้เคียงกับที่สื่อฯต่างชาติได้คาดเอาไว้
      
      จากตารางที่กำหนดไว้ เกมออนไลน์ TERA จะหยุดให้บริการช่วงโอเพ่นเบต้าพร้อมกับปิดเซิร์ฟเวอร์ในวันที่ 24 มกราคมนี้ จากนั้นจะทำการปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้พร้อมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ใน วันที่ 25 มกราคมนี้
      
      เมื่อเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ เกมออนไลน์ TERA จะเพิ่มระดับเลเวลสูงสุดไปอยู่ที่ 50 จากเดิมที่ในปัจจุบันสูงสุดแค่ 38 พร้อมกับเพิ่ม 15 พื้นที่ใหม่ในทวีปทางใต้ รวมถึงเพิ่มดันเจี้ยนระดับสูงอีก 2 แห่ง นอกจากนี้ระบบการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นในหลายพื้นที่จะสามารถใช้งานได้แล้ว โดยจะรองรับทั้งแบบ 5 vs 5 และ 10 vs 10
      
      นอกจากนี้ "เอ็นเอชเอ็น คอร์ปอเรชั่น" ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้เล่นเกมออนไลน์ TERA ด้วยการลดราคาค่าบริการแบบ 1 เดือนลงมาอยู่ที่ราคา 15,500 วอน ขณะที่ค่าบริการแบบ 3 เดือนจะไม่ลดราคาแต่แถมพาหนะให้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Game Review: Tom Clancy's H.A.W.X. 2 ฝูงบินสยบฟ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 21:48:43
เกมการรบโดยใช้เครื่องบินสำหรับเครื่องพีซีจะมีการเล่นที่เหมือน จริงแต่ก็ยังมีเกมอย่าง Tom Clancy's H.A.W.X. 2 ที่เน้นการเล่นที่สนุกตื่นเต้นมากกว่า จากภาคแรกได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจึงมีภาคสองตามมาพร้อมกับเครื่องบิน จำนวนมากและยังคงมีฉากการรบทางอากาศที่ดุเดือดและสนุกสนาน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861301.JPEG)

      หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกฝูงบิน H.A.W.X. ได้ถูกส่งไปประจำการที่ตะวันออกกลางในเขตที่มีการต่อสู้รุนแรง พันเอก David Crenshaw ได้ ขับเครื่องบินออกตรวจการประจำวัน หลังจากปฏิบัติภารกิจและกำลังจะลงจอดก็มีจรวดลึกลับยิงเข้ามาโจมตีที่สนาม บินและเครื่องบินของเขาก็ถูกยิงตก กองทัพเรือกับกองทัพอากาศของอเมริกาและหน่วย Ghost Recon จึงได้รวมเมือกันเข้าไปช่วยเหลือเขาออกมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861302.JPEG)

      หลังจากนั้น Crenshaw กลับมาประจำการบนเรือรบพร้อม ด้วยอาการบาดเจ็บแต่ว่ายังมีภารกิจที่หนักหนาต้องทำเมื่อหัวรบนิวเคลียร์ของ รัสเซียหายไป ภัยร้ายแรงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นและหน่วย H.A.W.X. จะต้องออกต่อสู้ สำหรับในภาคนี้ผู้เล่นจะได้ควบคุมตัวละครจากสามหน่วยบินคือจาก อเมริกา, อังกฤษและรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับภัยก่อการร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861303.JPEG)

      เกมการเล่นของเกมนี้ผู้เล่นจะได้บังคับเครื่องบินเข้าไปรบในฉากที่มี ภารกิจจำนวนมากให้ทำ นอกจากจะมีเครื่องบินหลายแบบแล้วยังมีอาวุธและเครื่องมือสมัยใหม่จำนวนมาก ให้ใช้ เราจะต้องต่อสู้กับเครื่องบินฝ่ายศัตรูโดยใช้อาวุธทั้งจรวดหลายแบบและปืนกล ยิงทำลายเครื่องบินฝ่ายศัตรูให้ได้ บางครั้งเราจะได้รับภารกิจทำลายภาคพื้นดินหรือสิ่งที่อยู่ในน้ำและภารกิจปก ป้องเป้าหมายต่างๆ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861304.JPEG)

      ฉากการรบทางอากาศนั้นดุเดือดเข้มข้น ผู้เล่นมีอิสระเต็มที่ในการที่จะบินฉวัดเฉวียนไปมาเพื่อหลบหลีกอาวุธที่ ศัตรูรุมโจมตีเข้าใส่เราทั้งปืนกลและจรวด ศัตรูก็มีทั้งยากและง่ายแตกต่างกันไปรวมถึงเครื่องบินที่เราใช้ก็มีผลกับการ เล่นด้วย เรายังสามารถบินขึ้นลงที่สนามบินหรือเรือบรรทุกเครื่องบินและเติมน้ำมันกลาง อากาศเพื่อเติมอาวุธและซ่อมแซมเครื่องบินได้ การลงจอดก็ท้าทายพอสมควรทำให้ผมนึกถึงเครื่องแฟมิคอมที่มีเกมซึ่งมักจะมีคน ชอบทำเครื่องบินตกเรือเวลาลงจอดบ่อยครั้ง นอกจากการบังคับเครื่องบินขับไล่แล้วยังมีการสลับฉากไปใช้เครื่องบินสอดแนม เพื่อทำตามภารกิจหรือบังคับป้อมปืนเพื่อโจมตีช่วยเหลือภาคพื้นดินด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861305.JPEG)

      ตัวเกมยังมีโหมดผู้เล่นหลายคนที่รองรับทั้งระบบ LAN และอินเตอร์เน็ตซึ่งมีหลายโหมดให้เล่นไม่ว่าจะเป็นการแบ่งทีมต่อสู้กัน การเล่นในโหมดภารกิจ การเล่นตามเนื้อเรื่องแบบช่วยเหลือกัน การเล่นแบบร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอด การเล่นกับเพื่อนก็จะทำให้เกมสนุกเพิ่มมากขึ้นเพราะบางครั้งตัวเกมมักจะให้ เราเล่นเป็นฮีโรคือเครื่องบินลำเดียวทำทุกอย่างแต่พอมีเพื่อนมาช่วยเหลือกัน จะรู้สึกดีขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ในตอนนี้เซิร์ฟเวอร์คนค่อนข้างร้าง ใครคิดจะเล่นเกมนี้กับเพื่อนก็ควรจะรวมกลุ่มกันเล่นดีที่สุด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861307.JPEG)

      ตัวเกมยังมีการปลดล็อคจำนวนมากโดยที่เราต้องเล่นให้ได้ค่าประสบการณ์ และนำแต้มไปปลดล็อคเครื่องบินและอาวุธ นอกจากนี้ก็ยังมีความท้าทายจำนวนมากให้เกมให้ทำ คนที่เล่นจบโหมดเนื้อเรื่องแล้วก็สามารถที่จะเพลิดเพลินกับการเล่นเพื่อปลด ล็อคสิ่งต่างๆ ในเกมได้อีกจำนวนมาก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861308.JPEG)

      การแสดงผลในเกมก็ทำออกมาได้ดี เครื่องบินรบแบบก็ทำออกมาได้สวยงามสมจริง ฉากแผนที่ทำออกมาได้ดีแต่ก็มีข้อเสียคือเมื่อเราบินเข้าไปใกล้ก็จะเห็น เท็กซ์เจอร์ที่หยาบไปหน่อย สำหรับคนที่มีการ์ดแสดงผลที่รองรับการแสดงผลโดยใช้ DirectX 11 ก็สามารถที่จะเปิดใช้งานเพื่อให้การแสดงผลงดงามขึ้นกว่าเดิมได้ เสียงในเกมทำออกมาได้ดีแต่ก็มีข้อเสียคือเสียงเบาเกินไปเมื่อเทียบกับเกม อื่นที่ปรับระดับเสียนงเท่ากันจนต้องเร่งเสียงให้ดังขึ้น สำหรับการบังคับก็ทำออกได้ดีไม่ว่าจะเป็นการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดหรือการใช้ จอยแพด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861309.JPEG)

      ตัวเกมภาคนี้เล่นได้สนุกครับมีหลายครั้งที่ทำให้ผมต้องลุ้นจนสบถเป็น คำหยาบแต่พอมาถึงคัตซีนระหว่างฉากกลับจืดชืดจนทำให้ผมแทบจะหลับคาเครื่อง คอมพิวเตอร์ การเล่าเรื่องที่เหมือนกับการบรรยายภารกิจทางการทหารที่แสนจะน่าเบื่อ ตัวละครที่มีการเคลื่อนไหวแข็งทื่อ คัตซีนหลายฉากที่ใช้ฉากแผนที่ในเกมเป็นพื้นหลังทำให้เห็นความหยาบของ เท็กซ์เจอร์และไม่สมจริงอย่างมาก ผมเชื่อว่าที่เขาทำแบบนี้เพื่อต้องการให้มันดูสมจริงเหมือนกับเราอยู่ใน หน่วยทหาร
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861310.JPEG)

      อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นกับการแนวการบินจำวนมากก็คือไม่สามารถทำราย ละเอียดของฉากแผนที่ให้มากมายได้ มีหลายครั้งที่ผมบินต่ำมากและคิดว่าน่าจะไม่เป็นไรพอรู้ตัวอีกทีก็โหม่งโลก เสียแล้วเนื่องจากชนพื้นหลังและมันจะมีปัญหามากเวลาบินผาดโผนลอดผ่านสิ่ง ต่างๆ เพราะมาตาราสวนไม่สมจริง เวลาที่จะเอาเครื่องบินลงจอดเราจะเห็นพื้นดินมันหลอกตาและแน่นอนเราไม่ สามารถบินเข้าไปลอดระหว่างอาคารในเมืองได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861312.JPEG)

      Tom Clancy's H.A.W.X. 2 เกมการบินแบบอาร์เคดที่หาได้ยากบนเครื่องพีซี เกมการเล่นทำออกมาได้ดีมีสิ่งต่างๆ จำนวนมากให้ท้าทายและปลดล็อคอาจจะต้องทนกับฉากคัตซีนที่น่าเบื่อนิดหนึ่งแต่ การเล่นกับเพื่อนจะเพิ่มความสนุกให้กับเกมนี้ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861313.JPEG)

      อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือตัวโปรแกรมป้องกันการ ก๊อบปี้ซึ่งหลายครั้งที่ผมถูกไล่ออกจากฉากเนื่องจากปัญหาอินเตอร์เน็ตไม่ สามารถติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บเซฟข้อมูลเกมและมันก็เป็นปัญหาที่ทำให้ หลายคนไม่อยากซื้อเกมที่มีระบบแบบนี้มาเล่น

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000861315.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แต่งตัว “โซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตติ้ง” เปลี่ยนช่องว่างเป็นกำไร
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 23:29:05
จำนวนสมาชิกเฟซบุ๊คทั่วโลก 600 ล้านราย ในไทยกว่า 7 ล้านราย คงอาจพอสรุปแบบไม่ต้องรอให้กูรูชื่อดังที่ไหนมาฟันธงว่าสังคมออนไลน์เติบโตและก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อวงการธุรกิจมากเท่าใด
 
(http://laurelpapworth.com/wp-content/uploads/2009/03/marketing-mix.jpg)

ประเด็น คือ เครื่องมือและวิธีการใดกันแน่ที่จะสามารถก่อให้เกิดผลกระทบ และพัฒนาสู่การเป็นเม็ดเงินได้แบบแท้จริง ในเมื่อทุกวันนี้ทุกคน ทุกแบรนด์ ต่างหันมาพึ่งพิง ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่ต้องเป็นทั้งการสร้างสรรค์และการอยู่รอดในสังคมดิจิทัล ทั้งขนาดของงานเริ่มเปลี่ยนจากเวทีใหญ่เป็นพื้นที่ขนาดกะทัดรัด แต่เน้นความชัดเจนของวิธีการที่พุ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
 
ใช่ แค่คำพูดเลื่อนลอย ความอยากประดามี และกระแสสังคมที่ถาโถมเข้ามาเพียงชั่วข้ามคืน “นิวมีเดีย” มีมุมมองนักการตลาดชื่อดังเมืองไทยในเวที “โซเชียลมีเดีย แอนด์ โมบาย มาร์เก็ตติ้ง ซัมมิต 2011” จัดโดย บริษัท เดอะ เอ็กเซกคิวทีฟ อลิอันซ์ จำกัด มานำเสนอ

มือถือแปลงกาย
 
ภา วุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการบริษัท ตลาด ดอท คอม ฟันธงว่า ช่องว่างการตลาดที่เขามองเห็นในยุคดิจิทัล รวมถึงเทรนด์ที่จะมาในปีนี้แน่ๆ คือ สมาร์ทโฟนซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ  คือ ไอโอเอสจาก แอ๊ปเปิ้ล อิงค์ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หลากหลายแบรนด์ และวินโดว์สโฟน 7 ของ ไมโครซอฟท์ แต่สำหรับแบล็คเบอร์รี ไม่อาจจัดเข้าพวกด้วยได้เพราะไม่ใช่มัลติมีเดียโฟนเต็มรูปแบบแม้ว่าริมจะ พยายามที่จะทำให้เป็นก็ตาม
 
อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลกำลังก้าวสู่ยุคของแอพพลิเคชั่น ที่คนจะใช้เว็บน้อยลง ใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น และผ่านทางโมบายดีไวซ์มากขึ้น จากข้อมูลเหล่านี้นักการตลาดมองเห็นช่องว่างทางการตลาดมากมาย แต่การพัฒนาแอพพลิเคชั่นในแต่ละระบบปฏิบัติการต้องใช้ทุนสูงมาก เช่น ของแอ๊ปเปิ้ลใช้ 2 แสนบาท แอนดรอยด์ 1-2 แสนบาท ทางเลือกใหม่ที่มีคือสร้างบนเว็บเบส
 
ผู้บริหารตลาดดอทคอม เสริมด้วยว่า ข้อมูลระบุเจน ประชากรเน็ตทั่วโลกที่ออนไลน์มีจำนวนกว่า 1,900  ล้านคน ในประเทศไทยมีอยู่ 22 ล้าน คิดเป็น 33% จากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน

ฟันธง "กูเกิลทีวี" มาแน่
 
นอก จากนั้นมีข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบัน มือถือเริ่มรวมเข้าโลเคชันเบสมากขึ้น ทำให้นักการตลาดมีลูกเล่นมากขึ้น แง่โมบายมีความหลากหลายมากขึ้น และนอกจากแทบเล็ตโอเอสแอนดรอยด์แล้วอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจคือกูเกิลทีวี ที่มีโซนี่ และโลจิเทคเริ่มเข้ามาในตลาด
 
เขาฟันธงว่า กูเกิลทีวีต้องมาแน่ๆ แต่เวลานี้หลายคนอาจยังสงสัยว่าจะมาไหม เหมือนตอนที่แอนดรอยด์มาใหม่ๆ ด้านแอ๊ปเปิ้ลเองพยายามทำอยู่แต่ได้รับความนิยมแค่ในระดับหนึ่ง
 
ทั้ง นี้ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เริ่มพัฒนาความเร็วมากขึ้น ขณะนี้ 4 จี เน็ตเวิร์คเริ่มเข้ามาขยับทับไลน์บรอดแบรนด์ 3 จี เน็ตเวิร์ค ในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว อุปกรณ์ต่างๆ ก็เริ่มพัฒนามารองรับ
 
สิ่งที่น่าสนใจการสื่อสารเริ่มไร้พรมแดนมาก ขึ้น เป็นยุคที่คลาวด์ คอมพิวติ้ง เริ่มเฟื่องฟูซึ่งหลายคนใช้ชีวิตอยู่บนนี้แต่อาจยังไม่รู้ตัว ทั้งอนาคตทุกอย่างจะราคาถูกลงเป็นเพลย์ เปอร์ยูส มากขึ้น จากเอ็นเตอร์ไพรซ์สู่เอสเอ็มบี ต่อไปอาจมีโมเดลธุรกิจแบบใหม่ใช้พนักงานคนเดียว ทำงานที่ไหนก็ได้

รอยต่อสู่ยุค 3.0
 
เขา บอกว่า กลางปีนี้ยุคเว็บ 2.0 จะเริ่มเข้าสู่เว็บ 3.0 แน่ๆ และจะเกิดการตลาดแบบ “พูล มาร์เก็ตติ้ง” ขึ้นที่ข้อมูลทุกอย่างมีความฉลาดมากขึ้น มีลักษณะเป็น “เมตะเดต้า” ที่บ่งบอกถึงที่มาที่ไปของ คน สิ่งของ ภาพ และบริการ ในลักษณะระบบเปิดซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ให้นักการตลาดดึงข้อมูลฟรีทั่วโลกมาต่อยอดสร้างโมเดลใหม่ๆ บริการใหม่ๆ ในแบบของตัวเอง
 
“ขณะนี้ทุกคนกำลังอยู่ระหว่าง รอยต่อขนาดใหญ่ของเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด คนทำธุรกิจต้องเริ่มจับตาเทรนด์ของอนาคตให้ทัน และทำให้เร็วก่อนที่คู่แข่งจะโดดมาใช้”
 
ภาวุธชี้ว่า ในยุคของ โซเชียล คอมเมิร์ซ พฤติกรรมที่การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ จะมาจากคนรอบข้าง ในระบบที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น ข้อเสียคือต้องมีอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ยังเป็นแค่ช่องทางการทำตลาดที่สามารถเชื่อมโยงคน ในช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ที่เมื่อรวมกันจะเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น นักการตลาดต้องมองหาคอนเทนท์ และบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มมูลค่าธุรกิจของตัวเอง
 
พร้อมระบุ พื้นที่ส่วนตัวจะยิ่งเหลือน้อยลง ข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างจะหลุดออกไปง่ายมากขึ้น แค่สมัครแอพพลิเคชั่นเพียงแอพเดียว ก็อาจถูกดึงข้อมูลไปหมด การใช้งานจึงต้องระมัดระวังมากขึ้นด้วย

จับตาโมบาย มาร์เก็ตติ้ง
 
มุม มองของ "วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง" กูรูนักการตลาดจากดีแทค ชี้ว่า เทรนด์ที่กำลังมาคือโมบาย มาร์เก็ตติ้งซึ่งเคยพูดมาหลายปีแต่ไม่เกิดสักทีเนื่องจากเทคโนโลยีไทยยังไป ไม่ถึง แต่ข้อดีคือมีความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นคือ ความเป็นส่วนตัวมีมากกว่า สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกว่า เพราะมือถือสามารถแยกได้ว่าลูกค้าเป็นคนประเภทไหน มีพฤติกรรมอย่างไร ใช้จ่ายแค่ไหน หรือแม้แต่ในพฤติกรรมการใช้งานระดับลึกๆ ของแต่ละคนก็นำมาวิเคราะห์ได้
 
ทั้งนี้สิ่งน่าตื่นเต้นซึ่งเป็นกุญแจ สำคัญในตลาดประเทศไทยคือ ปีที่แล้วเป็นปีทองของสมาร์โฟน ปัจจุบันมีผู้ใช้ บีบี 6 แสนคน ไอโฟน 6 แสนคน ซิมเบียนที่ดูเหมือนตายไปแล้วแต่มีผู้ใช้มากถึง 3 ล้านคน อุตสาหกรรมมือถือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อไอโฟนเปิดตัว
 
นอก จากนั้นจำนวนผู้ใช้โมบายอินเทอร์เน็ตในไทยมีมากถึง 12 ล้านคน มีการดาวโหลดแอพชันบนไอโฟนและแอนดรอยด์รวมกันเกิน 5 พันล้านครั้ง การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค เฟซบุ๊คมีสมาชิก 7 ล้านคน ทวิตเตอร์ 5 แสนคน และที่น่าจับตาอีกหนึ่งคือ ไอแอด หรือโฆษณาบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ

เข้ามาด่าในเฟซบุ๊คแทน
 
เขา กล่าวด้วยว่า พลังของโซเชียลมีเดียก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มหาศาล จากประสบการณ์ บนเฟซบุ๊คแฟนเพจใช้เวลา 3 เดือนจำนวนแฟน เติบโตจาก 3 หมื่นเป็น 2 แสนคน ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจีทีเอช แต่ละวันมีลูกค้าเข้ามาติชมหลักพันคน ย้ายจากด่าพันธุ์ทิพย์ มาด่าในเฟซบุ๊คแทน
 
“ตอนนั้นมีโจทย์ให้เลือกระหว่างการทำแอพพลิเค ชั่นบนเฟชบุ๊คกับบนไอโฟน สุดท้ายเลือกเฟซบุ๊คเพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นไวรอล ดีแทค ทำ “วัน ดีไอ วาย” ใช้คอนเซปต์คือ ง่าย และเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง เวลาเพียง 3-4 วันแรกคนใช้หลักแสน ทุกวันนี้คนใช้หลักล้าน แต่ลงทุนน้อยมาก"
 
ด้าน "ณัฐพัฒน์ วงษ์เหรียญทอง" นักกลยุทธ์การตลาด อาร์เอส บอกว่า นักการตลาดหลายคนพบและถูกบอกว่าการตลาดต้องเข้าหาโซเชียลมีเดีย คำถามคือ แล้วไงต่อ ตนมองว่า โซเชียลมีเดียเป็นแค่โลกออนไลน์ที่ทำให้พบเพื่อนง่ายขึ้น พฤติกรรมคนเราไม่ต่างจากเดิมแค่เปลี่ยนวิธี เครื่องมือใหม่ที่ช่วยทำให้ง่ายขึ้น
 
“วิธีคิดของสื่อเดิมคือยิ่ง ซื้อโฆษณามากเท่าไรยิ่งได้ลูกค้ามากขึ้น บนโซเชียลมีเดียต้องปฏิสัมพันธ์กับคนแล้วจะได้ช่องทาง ในอดีตวงจรการซื้อขายของมนุษย์เป็นอุโมงค์ที่ใหญ่มาก ลูกค้าจะค่อยๆ ตัดทีละแบรนด์ ไปเรื่อยๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ ยุคใหม่มีวงจรใหม่คือพอลูกค้าซื้อเสร็จ เขาจะทำตัวเป็นนายหน้าสินค้าแล้วการบอกต่อ พิเคราะห์ ประเมินผล แล้วกลับมาซื้ออีกครั้ง”

โซเชียลฯ ไม่ใช่ทุกอย่าง
 
เขา บอกว่า ธรรมชาติของคนต้องการสังคม ต้องการแบ่งปัน มีปฏิสัมพันธ์ กับผู้อื่น โซเชียลมีเดียแค่ถูกออกมาแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธรรมชาติของคนในสังคมเท่านั้น การทำตลาด ต้องถามตัวเองว่าจะนำมาทำอะไรกันแน่ ขอแนะว่ามี 6 ขั้นสำคัญคือ 1.ตั้งเป้า 2.ให้ใครทำ 3.ใช้อะไรดี 4.ทำไกด์ไลน์  5.ประเมินผล 6.ประยุกต์สิ่งที่เรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน
 
ทั้งนี้ ต้องสร้างไบเบิลของตัวเองเลือกเครื่องมือให้ถูก เมื่อเลือกถูกแล้ว ต่อมาคือทำไกด์ไลน์ สร้างคาแรคเตอร์ให้แก่แบรนด์ของตัวเอง นักการตลาดต้องวางแผนให้ได้ว่าจะส่งสารอะไรออกไป จากนั้นต้องประมวลผล ต้องสด ไว เร็ว เมื่อทุกแบรนด์เข้าหมด ถ้าช้าไปคนอื่นก็คว้าไปกิน ฉะนั้นต้องประเมินผลตลอดเวลา  คือว่าเดี๋ยวนี้ เมื่อลูกค้าพูดปุ๊บ 1 ชั่วโมงต้องโต้ตอบให้ได้ งานวิจัยระบุ ถ้าถามมาภายใน 24 ชั่วโมงไม่ตอบ ทัศนคติจะกลายเป็นลบทันที
 
"ณัฐพัฒน์" ทิ้งท้ายว่า โซเชียล มีเดียไม่ใช่ทุกอย่าง สื่อเก่ายังคงมีอยู่และได้ผล ท้ายที่สุดยังต้องกลับมาออฟไลน์เหมือนเดิม การทำโซเชียลมีเดียอย่ารีบเกินไป เพราะไม่ใช่ของฟรี ถึงแพลตฟอร์มฟรีจริง แต่ก็ต้องจ้างคนมาดูแล จ้างเอเยนซีทำโฆษณาให้ และอย่าคิดว่ามันจะบูมในหนึ่งวันหรือสองวันนี้ ต้องใช้เวลาสะสมชื่อเสียงตัวเอง กระจายไปยังคนอื่น วิธีคิดมันไม่เหมือนทีวีที่จะดังได้ตูมเดียว จะใช้วิธีลัดบ้างก็ได้คือใช้ผู้ทรงอิทธิพลช่วย อย่าโฟกัสแค่เทคโนโลยี และแพลตฟอร์ม ควรหันมาคิดนอกกรอบบ้าง

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ม.มหิดลเปิดหลักสูตรนิติวิทยาดิจิทัล 'ล่าโจรคอมพิวเตอร์'
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มกราคม 2011, 23:54:30
ความง่ายของการสืบ ค้นข้อมูล เชื่อมโยงเครือข่ายหลายกลุ่มให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น อีกมุมหนึ่งกลายเป็นดาบสองคมให้กับข้อมูลมหาศาลเสี่ยงต่อการถูกแฮ็ก

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/20/images/news_img_373055_1.jpg)

พัฒนาการที่ก้าวหน้าของ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในทุกสังคมทั่วโลก แม้จะเพิ่มความสะดวกสบายในการสืบค้นข้อมูลและเชื่อมโยงเครือข่ายหลายกลุ่ม ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นดาบสองคมให้กับข้อมูลมหาศาล ในด้านการสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กเกอร์มือดีฉกไปใช้ประโยชน์โดยไม่รับอนุญาต จนเป็นที่มาของการจัดทำหลักสูตรนิติวิทยาดิจิทัลเพื่อย้อนรอยหาผู้ทำผิดมาลงโทษ

ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงหลักสูตรนิติวิทยาดิจิทอลว่า จะทำหน้าที่ผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนิติวิศวกรรมให้กับภาครัฐ และเอกชน เพื่อทำหน้าที่ป้องกันและปราบปราม ย้อนรอยไปยังผู้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์และนำตัวมาดำเนินการทางกฎหมาย

“หลักสูตรนิติวิทยาดิจิทัลพร้อม จะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปีการศึกษา 2554 นี้ โดยตั้งเป้าจะผลิตมหาบัณฑิตรุ่นละ 40 คน ป้อนให้กับหน่วยงานของรัฐและเอกชน โดยแต่ละรุ่นที่จบจะถูกเชิญให้ทำวิจัยและพัฒนาบุคลากรด้านนิติวิศวกรรมร่วม กันในอนาคต”คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าว

หลักสูตรนิติวิทยาดิจิทัล เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์

ในความร่วมมือดังกล่าวมีแผนจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการนวัตกรรมและการเรียน รู้ด้านนิติวิศวกรรม หรือห้องปฏิบัติการการสืบค้นและกู้ข้อมูลบนคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์และหลักสูตรนิติวิทยาดิจิทัลด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท

นอกจากนี้ในปี 2555 ยังมีแผนทุ่มงบอีกประมาณ 20 ล้านบาทในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการการสืบค้นและกู้ข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือ และห้องปฏิบัติการความมั่นคงบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สำหรับทำวิจัยและพัฒนาบุคลากร รวมถึงเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานด้านการตัดสินคดีในอนาคต

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/20/images/news_img_373055_2.jpg)

“เป้าหมายของการจัดตั้งหลักสูตรและห้องปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อพัฒนาและผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านนิติวิศวกรรมให้กับกระบวน การยุติธรรมของภาครัฐและการรักษาความปลอดภัยให้กับระบบเน็ตเวิร์คในภาค เอกชน”คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวและว่า ที่ผ่านมาคนที่ทำงานในด้านนิติวิศวกรรมที่เรียนจบด้านนี้โดยตรงมีน้อยมากและ ถือว่าขาดแคลน ส่วนมากเรียนจากหลักสูตรระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อทำงานในองค์กรของตนเองโดยเฉพาะเท่านั้น

นิติวิทยาดิจิทัลเป็นหลักสูตรปริญญาโทในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ปีจบ ผู้ที่จะมาเรียนควรมีทักษะพื้นฐานด้านวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ รักที่จะแสวงหาความจริง พร้อมเปิดรับและสนุกกับการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ

ทั้งนี้คนที่มาสอนเป็นอาจารย์จากม.มหิดล และผู้เชี่ยวชาญจากด้านนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้คอมพิวเตอร์ในด้าน นิติวิทยาโดยตรง เพราะบางเรื่องอาจไม่ได้ต้องการแค่เพียงความรู้ด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ล้วนๆ แต่ต้องการคนที่มีประสบการณ์ตรงและทำงานจริงในด้านนิติวิศวกรรมมาช่วยถ่าย ทอดความรู้ด้วย

นายดล บุนนาค ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา บอกว่า ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้มีเยอะมากเท่าที่การขยายตัวของ คอมพิวเตอร์เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถไฟ ศูนย์ควบคุมการบิน เครื่องมือรักษาในโรงพยาบาล โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆอีกมากมายที่มีระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์สามารถเอาผิดได้แทบทั้งหมด

ยกตัวอย่างกรณีวิกิลีกส์ ที่นำข้อมูลลับออกมาเปิดโปงให้คนหมู่มากได้รับรู้ สามารถมองการกระทำดังกล่าวได้สองแง่สองมุม มุมหนึ่งในแง่ของความมั่นคงของรัฐซึ่งทุกประเทศตระหนักว่าความลับที่เป็น เรื่องสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงของประเทศ และมีผลกระทบต่อคนหมู่มาก ก็สามารถเอาผิดจากผู้เปิดเผยได้ โดยโทษที่รับขึ้นอยู่กับกฏหมายของแต่ละประเทศแต่อาจไม่รุนแรงมากนัก

“โทษของการล้วงข้อมูลของรัฐ ความรุนแรงในการลงโทษขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ประเทศ สำหรับประเทศไทยถือว่าหนักที่สุดแล้ว โดยความผิดการเปิดเผยข้อมูลด้านความมั่นคงของรัฐสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตที เดียว”ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา กล่าว

ที่ผ่านมาวิกิลีกส์มองการทำงานของตัวเองในแง่ของสิทธิเสรีภาพ ว่าประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ แต่บางข้อมูลหากได้ข้อมูลมาด้วยการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานอื่นโดย ตรงก็มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์โดยตรงอยู่แล้ว แต่หากเขาได้ข้อมูลจากการรวบรวมเองโดยชอบธรรม การเอาข้อมูลออกมาเปิดโปงซึ่งมีการพาดพิงถึงบุคคลอื่นมีผลกระทบต่อคนใดคน หนึ่งอย่างชัดเจนก็อาจผิดคดีหมิ่นประมาทได้เช่นกัน

ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2554 มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการดำเนินกิจกรรมบนระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อ พัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 23(23rd WUNCA) และการประชุมวิชาการทางคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Conference on Computer Information Technologies หรือ CIT2011) และ การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารและจัดการเครือข่ายยูนิเน็ต UniNet Network Operation and Management Workshop (UniNOMS2011) ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: กล้อง DSLR จิ๋ว "ถ่ายรูป-เปลี่ยนเลนส์" ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 13:13:37
เช้าวันศุกร์อย่างนี้ ขอเริ่มต้นด้วยข่าวแก็ดเจ็ต (Gadget) ชิลๆ กันบ้างดีกว่านะครับ ตอนนี้กระแสกล้องดิจิตอล DLSR ยังคงแรงอย่างต่อเนื่องสังเกตจากคนรอบข้างทั้งมือโปร และมือใหม่ต่างมีใช้กันถ้วนหน้า แถมรุ่นสูงๆ ยังสามารถถ่ายวิดีโอได้อย่างสวยงามกว่ากล้องวิดีโอทั่วไปอีกต่างหาก แต่สำหรับกล้อง DSLR ที่จะแนะนำกันวันนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นกล้องถ่ายรูป DSLR ขนาดจิ๋วที่ใช้งานได้ แม้จะเล็กกว่าก้อนยางลบเสียด้วยซ้ำ อุ๊ปส์!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/CHOBi-CAM-ONE-micro-DSLR-camera-1.jpg)

บริษัท JTT ในญี่ปุ่นได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ CHOBi CAM ONE กล้อง DSLR ที่ย่อส่วนเสียเล็กจนคุณไม่อยากจะเชื่อว่า มันทำงานได้จริงๆ ซึ่งในขณะที่ขนาดของตัวกล้องแค่ 2.5 x 2.5 x 2.6 ซม. และมีน้ำหนักเพียง 12 กรัม มันสามารถใช้ถ่ายรูปที่ความละเอียด 1600 x 1200 พิกเซล (ประมาณ 2 ล้านพิกเซล) ในขณะที่สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่อัตราเฟรม 30 เฟรมต่อวินาที สำหรับภาพ และวิดีโอจะถูกบันทึกลงในการ์ดหน่วยความจำ microSD ที่ขนาดของความจุสูงสุด 32GB

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/CHOBi-CAM-ONE-micro-DSLR-camera-2.jpg)

นอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว CHOBi CAM ONE ยังมาพร้อมกับ"เลนส์ไวด์"ขนาดเล็กที่ช่วยเพิ่มมุมมองของการถ่ายภาพ และบันทึกวิดีโอได้กว้างยิ่งขึ้น โดยเลนส์ที่ว่านี้สามารถเปลี่ยนได้อีก ด้วย แน่นอนว่า CHOBi CAM ONE คงไม่สามารถเทียบได้กับกล้อง DSLR จริงๆ แต่มันสามารถพกใส่กระเป๋าเสื้อ เพื่อนำไปใช้ถ่ายเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา สนนราคาอยู่ที่ 10,000 เยน หรือประมาณ 3,700 บาท เหมาะมากสำหรับให้เป็นของขวัญ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Lenovo ประเดิม Sandy Bridge เปิดตัวโน้ตบุ้กราคาเริ่มต้น 26,900บาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 14:15:50
เลอโนโวรับกระแสเทคโนโลยีใหม่เปิดตัวโน้ตบุ๊กซีพียู Intel Core Generation 2 (แซนดี้ บริดจ์) หลังอินเทลประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันพุธ (19 ม.ค.) ที่ผ่านมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000901301.JPEG)

      นายขจรเกียรติ อร่ามรัศมีกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) กล่าวว่า เลอโนโวพยายามขยายขอบข่ายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในราคาที่จับต้องได้
      
      "วันนี้เราส่งโน้ตบุ๊ก ideaPad Y460p และ V470 ซึ่งใช้ชิปประมวลผล Intel Core Generation 2 หรือแซนดี้ บริดจ์ ออกสู่ตลาด โดยจะมาพร้อมซอฟต์แวร์ Enhanced Experience 2.0 ที่ช่วยให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้ฟอร์ม แฟกเตอร์ที่ออกแบบมาสวยงาม และทันสมัย"
      
      สำหรับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดที่เลอโนโวเลือกใช้นั้น ในช่วงแรกจะมีเพียง Intel Core i7 ส่วน Intel Core i3 และ Core i5 จะเข้าสู่ตลาดช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
      
      ปี 2554 เลอโนโวมีแผนจะเปิดตลาดในกลุ่มธุรกิจ SMB มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการเติบโตของธุรกิจขนาดย่อยมีเพิ่มสูงขึ้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการโน้ตบุ๊กคุณภาพสูงเพื่อให้สามารถตอบสนองการใช้งาน ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในราคาที่สามารถจับต้องได้
      
      "สัดส่วนการนำเข้าสินค้าของ เลอโนโวในกลุ่มคอนซูเมอร์, SMB และองค์กรขนาดใหญ่ จะอยู่ที่ 65:15:20 โดยเราได้มีการเพิ่มไลน์สินค้าเข้าไปใหม่คือ V Series และ B Series"
      
      โดยโน้ตบุ๊กที่มีการนำมาเปิดตัวในครั้งนี้มีด้วยกัน 2 รุ่นคือ IdeaPad Y460 เน้นการใช้งานมัลติมีเดีย มาพร้อมหน้าจอ 14 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ความจุสูงสุด 750กิกะไบต์, RAM 8GB DDR3 1333 มี Rapid Drive ที่ช่วยเร่งการทำงานให้เร็วเป็น 2 เท่า พร้อมหน่วยความจำแบบ SSD ขนาด 32กิกะไบต์ และลำโพง JBL ที่ให้เสียงระบบ Dolby Home Theater 7.1 ชาแนล วางจำหน่ายในราคา 31,900 บาท (ไม่รวม Vat)
      
      Lenovo V470 ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในกลุ่ม SMB หรือโฮมออฟฟิศ ด้วยกรอบและฝาครอบที่ผลิตจากอลูมิเนียม มีตัวเครื่องบางเพียง 21มม. พร้อมหน้าจอ 14นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ความจุสูงสุด 1เทราไบต์, RAM 8GB DDR3 1333, เว็บแคม 2ล้านพิกเซล การเชื่อมต่อไวไฟและบลูทูธ และระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล, Rescue Suite ระบบสำรอง และกู้คืนข้อมูล วางจำหน่ายในราคา 26,900 บาท (ไม่รวม Vat)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: YouTube โฉมใหม่ ปรับหน้าตา พร้อมรองรับ HTML5 และภาษาไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 14:48:52
เพิ่งฉลองยอดชมวิดีโอบนมือถือทะลุ 200 ล้านครั้งต่อวันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน มาวันนี้เว็บวิดีโอยอดนิยมนาม "ยูทิวบ์ (YouTube)" ได้ปรับหน้าโฮมเพจใหม่พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มการรองรับ HTML 5 พร้อมภาษาไทยเต็มรูปแบบ
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000903101)

      ในส่วนการปรับเปลี่ยนหน้าโฮมเพจจากรายงานในยูทิวบ์บล็อก เปิดเผยว่า หน้า โฮมเพจใหม่ของยูทิวบ์จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของโมดูลใหม่ทั้งหมด โดยในส่วนของ "Spotlight" และ "Featured Videos" จะถูกย้ายตำแหน่งไปอยู่ด้านขวามือ และในส่วนตรงกลางจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นการดึงวิดีโออัพเดตล่าสุด หรือกิจกรรมล่าสุดของเพื่อนที่เรา Subscribe หรือเพิ่มเป็นเพื่อนไว้ขึ้นมาแสดง เพื่อที่เราจะได้เห็นการอัปเดตวิดีโอของเพื่อนๆ และทำให้เกิดการโต้ตอบสร้างสังคมมากขึ้นกว่ารูปแบบเก่า อีกทั้งใน หน้าแรกผู้ใช้ยังสามารถกรองวิดีโอของเพื่อนๆ ที่แสดงผลออกในหน้าของเราได้ และสำหรับสมาชิกยูทิวบ์ที่ได้ Log in เข้าใช้งาน เมื่อมีข้อความหรือคอมเมนต์วิดีโอเกิดขึ้น จะมีไอคอนแสดงที่หน้าแรกนี้ด้วย
      
      และสำหรับในส่วนของการแสดงด้านภาษา สำหรับยูทิวบ์โฉมใหม่จะรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ โดยผู้ใช้สามารถปรับเป็นภาษาอื่นๆ อีก 42 ภาษาได้ที่เมนูด้านล่างสุดเช่นกัน
      
      นอกจากนั้นในส่วนของคุณสมบัติเพิ่มเติม ยู ทิวบ์โฉมใหม่จะรองรับชุดคำสั่ง HTML5 ที่ในตอนนี้ยังใช้ได้เฉพาะยูทิวบ์รุ่น Desktop และเว็บบราวเซอร์ที่รองรับ HTML5 อย่าง Safari 5, Internet Explorer 9 Beta, Mozilla Firefox 4 Beta, Google Chrome, Opera 10.6+ เท่านั้น โดยวิธีการเรียกใช้งานก็เพียงพิมพ์ www.youtube.com/html5 (http://www.youtube.com/html5) จาก นั้นจะมีเงื่อนไขการใช้งานแสดงขึ้นมา ให้อ่านผ่านไปด้านล่างจะเห็นข้อความ Join the HTML5 Trial (เข้าร่วมการทดลองใช้ HTML5) ให้กดเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน และ ถ้าผู้ใช้ไม่ต้องการก็สามารถยกเลิกการแสดงผล HTML5 ได้โดยเข้ามากดที่ Leave the HTML5 Trial (ออกจากการทดลองใช้ HTML5) จากนั้นผู้ใช้ก็สามารถค้นหาวิดีโอที่ต้องการรับชมในรูปแบบ HTML5 ได้ทันที
      
      โดยวิดีโอที่สามารถรับชมในรูปแบบ HTML5 ได้จะต้องมีฟอร์แม็ตตอนอัปโหลดเป็น WebM (สำหรับ FireFox) หรือ H.264 (สำหรับ IE9, Safari 5) ซึ่งถ้าวิดีโอที่ผู้ใช้ค้นหา ไม่ได้เข้ารหัสมมาตามฟอร์แม็ตที่กล่าวไป หน้าแสดงวิดีโอก็จะเปลี่ยนเป็นการแสดงผลด้วย Adobe Flash โดยอัตโนมัติ
      
      สำหรับการแสดงวิดีโอในรูปแบบ HTML5 ในส่วนของหน้าตาวิดีโอเพลเยอร์จะไม่แตกต่างกับวิดีโอเพลเยอร์ที่เป็น Flash นัก แต่จะมีการเพิ่มเติมลูกเล่นในส่วนของการเร่งความเร็วคลิปวิดีโอตั้งแต่ช้า สุด 1/4 - 2x สำหรับวิดีโอที่เข้ารหัส H.264 และในส่วนของการขยายหน้าต่างเต็มจอบน Flash จะถูกปรับเปลี่ยนขยายเต็มหน้าเพจแทน
      
      สุดท้ายสำหรับยูทิวบ์แบบ HTML5 ในตอนนี้ยังถือเป็นรุ่นทดสอบอยู่ โดยในอนาคตทางยูทิวบ์มีแผนจะขยายการรองรับ HTML5 ไปยัง Mobile Site สำหรับสมาร์ทโฟนต่างๆ เพื่อขยายขีดความสามารถในการเล่นเว็บวิดีโอที่ดีขึ้น พร้อมลูกเล่นจากชุดคำสั่ง HTML5 ที่อาจมีการเพิ่มเติมในอนาคตนี้ด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "กินเนสส์ บุ๊ก" เปิดสถิติโลกเกมเล่มใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 16:07:19
กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์แจ้งข่าวว่าหนังสือ “Guinness World Records 2011 Gamer’s Edition”เล่มใหม่ได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนังสือที่จดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสถิติโลกของวงการเกมในแง่มุมต่างๆ พร้อมกับเปิดเผยบางสถิติมาให้ทราบกันด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000950501.JPEG)

      “Guinness World Records 2011 Gamer’s Edition”บันทึกไว้ว่าบุรุษคนเล่นเกมที่สูงวัยและยังมีไฟอยู่ก็คือคุณปู่ “จอห์น เบตส์” วัย 85 ปีจากวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ในตอนวัยเรียนคุณปู่ไม่เคยได้สัมผัสวิดีโอเกมมาก่อน จนเมื่อเดือนเม.ย.ปี 2009 หลังจากได้ลองเล่นเกม Wii Sports ปู่เบตส์ก็สามารถทำแต้มจากเกม Wii Sports Bowling ได้ถึง2,850 แต้มเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เคยโยนโบว์ลิ่งจริงๆมาก่อนนั่นเอง
      
      ขณะที่ “เรียวตะ วาดะ” เด็กอายุ 9 ขวบจากโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นถูกจดบันทึกให้เป็นเด็กที่มีอายุเยาว์วัยที่สุดที่สามารถทำ คะแนนได้ Perfect ‘AAA’ Score จากเกม Dance Dance Revolution ตามมาด้วยหนุ่ม “มิตซุงุ คิคาอิ” อายุ 25 ปี จากโตเกียวเช่นกัน เขาเป็นคนที่สะสมสิ่งต่างๆเกี่ยวกับเกมซูเปอร์ มาริโอมากที่สุด จำนวนถึง 5,400 ชิ้น ส่วน “แอนนี่ เหลียง” สาววัย 26 ปีจากซานฟรานซิสโกถือเป็นผู้เล่นหญิงที่ทำคะแนนจากเกมกีตาร์ ฮีโร่3 ได้มากที่สุด 789,349 แต้ม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000950502.JPEG)

      กินเนสส์ฯยังสำรวจตัวละครเกมยอดเยี่ยมตลอดกาล จากคะแนนโหวตของแฟนๆกว่า 13,000 คน พบว่า “มาริโอ” ยังครองใจมหาชนได้ตามความคาดหมาย รองลงมาเป็น “ลิงก์”จากเลจเจนด์ ออฟ เซลด้า และมาสเตอร์ ชีฟจากเฮโล สถิติอื่นๆก็มีอย่างRyan Hart เป็นคนที่เอาชนะคู่แข่งจากเกม Street Fighter IV ได้ติดต่อกัน 169 คน, Chris McGivern เล่นเกมเต้นนานที่สุด 13 ชั่วโมง 33 นาที 56 วินาที,คริสโตเฟอร์ ลี กลายมาเป็นดาราที่พากย์เสียงในเกมที่แก่ที่สุด ด้วยวัย 85 ปีในเกม Kingdom Hearts 358/2 Days,เกมที่ฮิตที่สุดบนเฟซบุ๊กก็คือ “ฟาร์มวิลล์”ของซิงกาด้วยยอดผู้เล่นต่อเดือน 60 ล้านคน
      
      ใครสนใจรายละเอียดมากกว่าต้องไปหาซื้อมาอ่านกัน....

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: การตลาดโซเชียลมีเดีย เจาะกลุ่มลูกค้าร้านอาหาร
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 16:49:54
ในขณะที่ร้านอาหาร และบาร์ เป็นธุรกิจที่ให้บริการแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน แต่บรรดาลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้ กลับมีความคาดหวังมากขึ้นว่าจะได้สิ่งอื่นๆ จากร้านค้าเหล่านี้ มากกว่าแค่บริการที่ดี อาหาร และเครื่องดื่มรสอร่อย
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/21/images/news_img_373090_1.jpg)

ความคาดหวังเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารบางราย ตัดสินใจหันเข้าหาสื่อโซเชียลมีเดียในท้องถิ่น เพื่อทำให้ลูกค้ามีความสุข และยังยึดมั่นกับแบรนด์ของตัวเองต่อไป
 
บัฟ ฟาโล ไวลด์ วิงส์ เครือข่ายร้านอาหารระดับชาติของสหรัฐ ที่ให้บริการอาหารเย็น พร้อมการดูกีฬาที่ถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์ เปิดตัวโครงการส่งเสริมการขายที่มีชื่อว่า "โฮม คอร์ท แอดแวนเทจ" เพื่อให้ลูกค้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของทางร้าน ไม่ใช่แค่เพียงใช้สมาร์ทโฟน "เช็คอิน" เมื่อมาถึงร้านเท่านั้น
 
เครือข่ายร้านอาหารแห่งนี้ ที่มีร้านสาขาทั้งหมด 730 แห่งทั่วสหรัฐ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ถึงการแข่งขันกินปีกไก่ และการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ ประเภทต่างๆ ซึ่งตั้งแต่เดือน ม.ค.นี้ บัฟฟาโล ไวลด์ วิงส์ จะทำงานร่วมกับ ชวิงร์ เครือข่ายโซเชียลมีเดียท้องถิ่น เพื่อแนะนำการแข่งขัน และให้รางวัลกับลูกค้าของทางร้าน
 
กลุ่มเป้าหมายของการร่วมมือดังกล่าว อยู่ที่แฟนกีฬาบาสเกตบอลผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญของบริษัท
 
ชวิงร์ก็เหมือนกับบริษัทโซเชียลมีเดียราย อื่นๆ ในสหรัฐ อย่าง โกวอลลา โฟร์สแควร์ และลูปท์ ที่สามารถเข้าถึงผู้คนช่วงอายุ 20 และ 30 ปี ได้เป็นวงกว้าง โดยคนกลุ่มนี้มักใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอง แสดงสถานที่อยู่เฉพาะเจาะจงของตัวเองตามเวลาต่างๆ และแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบพิกัดตัวเอง
 
แม้จะมีผู้คนหลายล้านคนลงทะเบียนใช้บริการเว็บไซต์ เหล่านี้ แต่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนในสหรัฐเพียง 4% เท่านั้น ที่ลองใช้บริการแจ้งสถานที่ดังกล่าว และมีไม่ถึง 1% ที่ใช้เกินสัปดาห์ละครั้ง โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และ 70% มีอายุระหว่าง 19-35 ปี ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ ถือเป็นกลุ่มลูกค้าในอุดมคติของบัฟฟาโล ไวลด์ วิงส์ เลยทีเดียว
 
"เรากำลังมองหาความผูกพันทางสังคม เราต้องการให้ลูกค้า สามารถเล่าเรื่องราวให้คนอื่นๆ ได้รู้ว่า ตัวเขาชื่นชอบอะไรบ้าง เป้าหมายของเรา คือ การสร้างความสม่ำเสมอ" เจเรมี เบิร์ค ผู้จัดการแบรนด์ ของเครือข่ายร้านอาหารชื่อดังรายนี้กล่าว
 
ร้านอาหารบางรายก็เริ่มทดลองใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกับบัฟฟาโล ไวลด์ วิงส์ เพื่อดึงดูดลูกค้า และเพิ่มธุรกิจ ผ่านทางช่องทางดิจิทัล ที่มีราคาถูกกว่าการแจกคูปองกระดาษ และโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/21/images/news_img_373090_2.jpg)

ตัวอย่างสำหรับเรื่องข้างต้น รวมถึงกรณีของแฟทเบอร์เกอร์ เครือข่ายร้านอาหาร ที่มีฐานการดำเนินงานอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยบริษัทแห่งนี้ ผูกติดตัวเองเข้ากับบริการโซเชียลมีเดียของ ลูปท์ และฟ็อกซ์ เทเลวิชั่น เพื่อโฆษณา "บ็อบส์ เบอร์เกอร์" การ์ตูนแอนิเมชันเรื่องใหม่ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวที่ทำธุรกิจขายแฮมเบอร์เกอร์
 
แผนการตลาดของร้านแฮมเบอร์เกอร์รายนี้ รวมถึงการปรับปรุงร้านสาขา 4 แห่งจากทั้งหมดที่มีอยู่มากกว่า 60 แห่ง ให้เหมือนกับร้านบ็อบส์ เบอร์เกอร์ ทั้งบางร้าน ยังมีวันที่แจกบ็อบส์ เบอร์เกอร์ ฟรี ทั้งบริษัทยังมีการส่ง "แฟทโมบายล์" ออกไปแจกแฮมเบอร์เกอร์ฟรี 1 วัน ในนครลอสแองเจลิสด้วย
 
อลิส แลงคาสเตอร์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด ของลูปท์ ชี้ว่า ผู้บริโภคบางกลุ่ม ที่กำลังตีตัวออกห่างจากแบรนด์ มีปฏิสัมพันธ์กับโซเชียลมีเดียมาก ขึ้น ซึ่งวิธีการทำตลาดดังกล่าว ช่วยทำให้ผู้คนอยากเข้าถึงแบรนด์มากขึ้น โดยในเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ก็มีคนมากถึง 1,300 คน ที่ตอบสนองต่อการทำตลาดผ่านทางโซเชียลมีเดีย
 
แม้ บัฟฟาโล ไวลด์ วิงส์ จะไม่ได้ออกไปตามท้องถนนเหมือนกับแฟทเบอร์เกอร์ แต่บริษัทก็พยายามที่จะเพิ่มลูกเล่นให้กับลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟน โดยลูกค้าอาจได้รับรางวัลต่างๆ อาทิเช่น ปีกไก่ หรือเครื่องดื่มฟรี ในแต่ละครั้ง ของการมาร้านอาหาร 3 ครั้งแรก หลังจากนั้น ก็จะเปิดทางให้ลูกค้าได้รับรางวัลกับการแข่งขันต่างๆ อย่าง การอัพโหลดภาพผู้คน ที่มีปฏิกิริยาต่อเกมการแข่งขันใหญ่ๆ
 
ขณะเดียว กัน ลูกค้าของบัฟฟาโล ไวลด์ วิงส์ ก็สามารถคิดเกมขึ้นมาแข่งขันด้วยตัวเองได้ ทั้งที่ร้าน หรือในโลกดิจิทัล เพื่อรับแต้มสะสมแลกของรางวัล ที่รวมถึง การเดินทางไปชมการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอ รอบชิงชนะเลิศ กับสก็อตตี พิพเพน นักเล่นหอเกียรติยศของเอ็นบีเอ ผู้มีส่วนช่วยให้ทีมชิคาโก บูลส์ คว้าแชมป์มาครองถึง 6 สมัย

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ทำนายเทรนด์โลกออนไลน์ มาร์เก็ตติ้งรับปีกระต่าย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 19:17:50
ทักทายคุณผู้อ่านสำหรับคอลัมน์โซเชียล เน็ตเวิร์คส์ ทอล์ค ในต้นปี 2554 กัน ณ ที่นี่เลยนะครับ ขอบคุณสำหรับของขวัญและ อีเมลส่งความสุขที่คุณผู้อ่านตัวจริงส่งมาให้เยอะแยะพอสมควรเลย เห็นแล้วก็ดีใจปนตกใจ และทำให้มีกำลังใจเขียนคอลัมน์ให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันต่อไป
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/21/images/news_img_373089_1.jpg)

ต้นปี อย่างนี้ หลายคนที่ต้องลงมือเรื่องการตลาด คงต้องเริ่มคิดเริ่มวางแผนกันแล้วครับว่าปีนี้ เราจะชกกันอย่างไรดี กติกาต่างๆ มีอะไรอัพเดทบ้างไหม เทรนด์เป็นอย่างไร
 
เมื่อพิจารณา จากจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊คในเมืองไทย ที่พุ่งขึ้นไปถึง  6-7 ล้านยูสเซอร์ ขณะประชากรอินเทอร์เน็ตทะลุไป 21 ล้านแบบสบายๆ ชิลๆ กันไปแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า ปีนี้เราก็น่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ กัน
 
เอาเป็นว่าผมขอทำตัวเป็นหมอดูทำนายเรื่องเทรนด์ของโลกออนไลน์ โซเชียล เน็ตเวิร์ค สำหรับปีกระต่ายให้ได้อ่านกันเลยก็แล้วกันครับ

3 จี กับโมบาย โซเชียล เน็ตเวิร์ค ในปีนี้จะได้เห็นกัน
 
หลัง จากมีความชัดเจนเรื่องไลเซ่นของ 3 จี แบบ HSDPA 2.1 Ghz. ว่า ต้องรอ กสทช. นั้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 ค่าย คงพัฒนา 3 จี บนคลื่นเดิม (HSPA) กันไปก่อน ก็ดีกว่าไปลุ้น กสทช. ที่ไม่รู้จะอีกนานเท่าใด
 
ดังนั้น ปีนี้ประชาชนโมบาย โซเชียล เน็ตเวิร์ค คงจะมาแบบช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มนี้  ก็จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วน และความเคลื่อนไหวน่าสนใจที่สุด
 
สื่อ ดั้งเดิมจะเกิดการหล่อหลอมเข้ากับสื่อใหม่ ทั้งโมบาย แทบเล็ต และสมาร์ทโฟน  อาทิเช่น นิตยสารจะเคลื่อนย้ายเนื้อหารูปแบบของตัวเองไปให้บริการบนสมาร์ทโฟน หรือไอแพด กันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งสื่อหลักอย่างโทรทัศน์ ก็จะปรับตัวเสริมบริการที่เป็นวีโอดี (Video On Demand) กันเป็นเรื่องปกติไปเลย

แอพ มาร์เก็ตติ้ง การสื่อสารผ่านโลกสมาร์ทโฟน
 
น่า จะถึงจุดเสื่อมของบราวเซอร์กันเสียทีครับคุณผู้อ่าน ปัจจุบันเราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บ วีดิโอ ข่าว หรือเฟซบุ๊คผ่านแอพในสมาร์ทโฟน (ไอโฟน และบีบี) กันมากกว่าเปิดบราวเซอร์ผ่านเว็บแล้ว
 
นักการตลาดที่ต้องสวมหัวใจดิ จิทัล คงต้องเริ่มคิดเริ่มทำการสื่อสารในรูปแบบแอพ คอมมูนิเคชั่น กันแล้วละครับว่าจะทำกันอย่างไรได้บ้าง ประเภทว่าคิดอะไรไม่ออกก็ไปซื้อแอดส์ แบนเนอร์ หรือไมโครไซต์ ก็คงจะไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครมานั่งเปิดนั่งคลิกกันแล้ว

เอฟบีเอ็มแอล มาแรงแซงไมโคร ไซต์ จะทำอย่างไรดี
 
จริงๆ จะว่าไป เอฟบีเอ็มแอล (FBML) ก็คล้ายๆ ไมโครไซต์นะครับ แต่ข้อดีมีเยอะกว่ามากในเชิงการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฐานข้อมูลบุคคลของเฟซบุ๊คได้ ทำให้การสื่อสารแม่นยำมาก การจะกระจายตัวแบบไวรัล (Viral) มีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่า เพราะถ้าแคมเปญไหนที่ถูกใจก็สามารถแชร์ไปยังหน้าจอ (Wall) ของบุคคลนั้นๆ ได้สะดวกมาก

ถ้าไม่ 'Like'  ก็หลบไปเลย
 
เดี๋ยว นี้เห็นอะไรก็อยากกด  "Like" ไปซะหมด ผมนั่งคิดเล่นๆ กับเพื่อนว่า ถ้าเราดูหนังจบแล้วเดินออกจากโรง แล้วมีปุ่มให้กด Like หน้าโรงหนังได้ก็คงจะดี
 
เรื่องนี้คิดเล่นๆ แต่เหมือนจะทำได้จริงๆ นะครับคุณผู้อ่าน เพราะว่าการทำให้ Like ได้นี่ ในเชิงการตลาด ก็คือ การเข้าถึงหน้าจอของยูสเซอร์ที่มีเพื่อนพ่วงอยู่เป็นร้อยคน
 
สถิติ บอกว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ค 1 คน จะมีเพื่อนประมาณ 200 คน ดังนั้น ถ้าเราหาคนมา 'Like' ได้สัก 10,000 ครั้ง ก็เท่ากับว่า 10,000 x 200 = 2,000,000 คน ที่รับรู้กิจกรรมต่างๆ ผ่านเจ้า Like นี้แล้ว นี่ยังไม่นับคอนเทนท์ที่จะไปปรากฏหน้าจอ ของคนที่ Like ในแต่ละวาระอัพเดทอีก เรียกว่าคุ้มเกินคุ้มเลยสำหรับนักการตลาด

โซเชียล เน็ตเวิร์ค เกม ผู้เล่นไม่เด็ก คนหน้าใหม่ คนวัยออฟฟิศ
 
ปัจจุบัน โซเชียล เน็ตเวิร์ค เกม อย่างฟาร์มวิลล์ หรือหลายๆ เกมที่อยู่ในเฟซบุ๊ค คงเป็นคำตอบได้ดีว่า แนวทางเกมนี้ จะเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพตัวหนึ่งในโลกโซเชียลเกม
 
เกมประเภทนี้ จะมีรูปแบบเกมที่มีความซับซ้อนน้อย เล่นได้ง่าย และเล่นได้ไม่จบ ที่สนุก คือ เวลาเจอประสบการณ์อะไรใหม่ก็แชร์ โชว์ แชท ได้สะดวก เรียกว่ายิ่งเล่นยิ่งโซเชียล ยิ่งมีเพื่อนยิ่งสนุก แบรนด์ดังหลายยี่ห้อเริ่มพัฒนาโซเชียล เน็ตเวิร์ค เกม ของตัวเองมากขึ้น
 
ล่าสุดผมเห็น เค-แบงก์ ก็พัฒนาเกมส์ในเฟซบุ๊คของตัวเองขึ้นมา มุ่งเน้นกลุ่มเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ ผมก็แอบชื่นชมในความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ช่องทางใหม่นี้ และต้องสารภาพว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมนั้นด้วย
 
เอาคร่าวๆ กันเท่านี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมก่อนนะครับคุณผู้อ่าน ในรายละเอียดผมคงค่อยๆ ทยอยเขียนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเป็นระยะๆ เพื่ออัพเดทกันอีกครั้งหนึ่งในฉบับต่อๆ ไป
 
อย่างไรก็ดี ภาพรวมของโซเชียล มีเดีย สำหรับปี 2554 นั้น ส่วนใหญ่ใจความก็คงจะเป็นความร้อนแรงต่อเนื่องของเฟซบุ๊ค และปีนี้ คือ ภาพสะท้อนการใช้จ่ายงบประมาณออนไลน์ ที่มีมากขึ้นด้วย เมื่อค่ายใหญ่ๆ แบรนด์ดังๆ ออกมาประกาศชัดๆ ว่า สัดส่วนงบประมาณทำตลาดออนไลน์ของตัวเอง จะขยับจาก 1-2 % เป็น 17% ในปีนี้
 
แบรนด์นำร่องที่ประกาศไปแล้วก็อย่าง ยูนิลีเวอร์ และอีกหลายๆ ค่าย คงเปิดตัวแผนการตลาดออนไลน์ของตัวเองออกมาในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน
 
แจ้งให้ทราบว่าโต๊ะเสวนา 10 ที่นั่งที่ผมชวนคุณผู้อ่านมาคุยกันเรื่อง ไอมาร์เก็ตติ้ง การวางแผนการตลาดออนไลน์ในครั้งที่แล้วสำเร็จไปด้วยดีครับ ขอบคุณหลายๆ ท่าน ที่ติดขนมนมเนยมาจิบกาแฟกันอย่างอารมณ์ดี หวังว่าความรู้ที่ได้แลกเปลี่ยนกันในวันนั้น คงได้ทำให้ท่านนำไปปรับแผนการตลาดให้ทันรับกับสมัยมากยิ่งขึ้น
 
แต่สำหรับใครที่พลาดก็อีเมลมาจับจองที่นั่งกันได้นะครับ ในครั้งต่อไปผมคิดไว้คร่าวๆ น่าจะกลางเดือนมีนาคมคงได้กระชับวงล้อมคุณผู้อ่านกันอีกสักรอบ ใครที่สนใจก็อีเมลมาจับจองที่นั่งได้ที่ [email protected] กันได้เนิ่นๆ ครับผม

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ซิสโก้ย้ำไทยรั้งท้ายเอเชีย เข้ายุคดิจิทัล บรอดแคสติ้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 20:09:11
"ซิสโก้" ชี้ผลกระทบดีเลย์ 3จี ส่งผลไทยรั้งท้ายเอเชียสู่ยุค "ดิจิทัล บรอดแคสติ้ง" คาดกระทบการเติบโตเศรษฐกิจ-แผนลงทุนบริษัทต่างชาติ

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/21/images/news_img_373133_1.jpg)

นายอนุพนธ์ เตจ๊ะวันโน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านการเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกเข้าสู่ดิจิ ทัลของไทยขณะนี้ถือว่าอยู่ลำดับสุดท้ายของเอเชีย เนื่องจากทุกประเทศเริ่มตื่นตัว และทดลองออกอากาศระบบดิจิทัลแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ประเทศใกล้เคียง เช่น กัมพูชา, มาเลเซีย, ลาว และพม่า
 
ทั้ง นี้ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการที่ประเทศไม่มีเทคโนโลยี 3จี ทำให้การใช้สื่อใหม่ (นิว มีเดีย) โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังต้องพึ่งพาสายโทรศัพท์พื้นฐาน
 
เขา ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกเป็นดิจิทัลจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในแง่ของแพ ลตฟอร์มการรับสื่อ ซึ่งปัจจุบันมี 4 กลุ่มหลักคือ ดูผ่านดาวเทียม, เสาอากาศ, เคเบิล ทีวี และนิว มีเดีย เช่น อินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่ 80-90% คนไทยยังใช้เสาอากาศเป็นหลัก
 
"ทางเลือกของเราตอนนี้มีแค่เอ ดีเอสแอล แต่ถ้ามี 3จีเข้ามาก็จะเป็นอีกออพชั่นที่ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงบรอดแบนด์ ซึ่งตอนนี้อัตราการใช้งานบรอดแบนด์ในไทยเฉลี่ยแล้วยังต่ำมาก หรือต่ำกว่า 3% ของจำนวนประชากรเท่านั้น" นายอนุพนธ์กล่าว
 
พร้อมเผยว่า อุปสรรคสำคัญขณะนี้คือ ขาดความชัดเจนในการผลักดันดิจิทัล ทีวีของภาครัฐในไทย โดยเฉพาะนโยบายของ กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
 
นอก จากนี้จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศล้าหลังแล้ว การไม่มีระบบการออกอากาศแบบดิจิทัลยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ และแผนการลงทุนของบริษัทต่างชาติ เช่นกลุ่มผู้ผลิตทีวี เซ็ตที่อาจจะตัดสินใจใช้ประเทศอื่นๆ เป็นฐานผลิตแทน รวมทั้งยังส่งผลต่อธุรกิจผู้พัฒนาคอนเทนท์ และโฆษณา
 
ข้อมูล จากบริษัทสำรวจตลาดนีลสันพบว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจนิว มีเดียในไทยเฉลี่ยราว 16% ต่อปี ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกลุ่มธุรกิจดาวเทียม และเคเบิล ทีวี ในเชิงจำนวนผู้ใช้งานมีสูงถึง 140%
 
ขณะเดียวกัน ความไม่ชัดเจนของนโยบายภาครัฐ ยังอาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีให้ยิ่งช้ามากขึ้นไปอีก เนื่องจากโดยเฉลี่ยในประเทศต่างๆ จะใช้เวลาเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจิทัลราว 5-15 ปี แต่พันธสัญญาของกลุ่มเอเชีย ดิจิทัล บรอดแคสต์ กรุ๊ป ทำข้อตกลงร่วมกันว่าประเทศเอเชียจะต้องออกออกอากาศระบบดิจิทัลภายในปี 2558
 
อย่างไรก็ตามเขาระบุว่า ซิสโก้ได้ วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นแพลตฟอร์ม และรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารให้สามารถเผยแพร่ได้ในทุกอุปกรณ์ รวมทั้งการเข้าไปให้คำแนะนำกับภาครัฐ และประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในประเทศต่างๆ และเข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษาให้อุตสาหกรรมต่างๆ ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: HP ติดเน็ตเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง แนวโน้มพรินท์ผ่านคลาวด์มาแรง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 22:35:19
เอชพีระบุแนวโน้มการใช้ดิจิตอลคอนเทนต์ผ่านคลาวด์เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนเอเชียจะใช้พรินท์ข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนสูงถึง 35% พร้อมใส่เทคโนโลยี ePrint บนเครื่องพิมพ์หน้ากว้างเป็นรายแรกของตลาด เชื่อรักษาแชมป์ในตลาดไทย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000828001.JPEG)
มาร์กาเล็ต ออง (คนกลาง) รองประธานกลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ เอชพี ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

      มาร์กาเล็ต ออง รองประธานกลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ เอชพี ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ไอดีซีประเมินว่า ดิจิตอลคอนเทนต์ในภูมิภาคเอเชียยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนระบบคลาวด์จะเติบโตประมาณ 33% ในปี 2555 ซึ่ง เอชพีมองว่า เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในแง่ของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ของการให้บริการ และการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะการสร้างแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานบนคลาวด์ ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อีกมหาศาลเพื่อรองรับกับแนวโน้มดังกล่าว
      
      ผลสำรวจของเอชพียังพบว่า จำนวน ดิจิตอลคอนเทนต์ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกใน 2 ปีข้างหน้าจะเติบโตถึง 10 เท่า โดยจะมีการนำคอนเทนต์มาพรินท์ถึง 3 เท่า โดยเฉพาะการเติบโตของอุปกรณ์ดิจิตอลที่เชื่อว่าจะมีถึง 10 ล้านเครื่อง ซึ่งมาจากตลาดเอเชียประมาณ 35%
      
      "แนวโน้มความต้องการพรินต์คอนเทนต์หรือข้อมูลต่างๆ ทั้งจากสมาร์ทโฟนและจากเว็บไซต์สำหรับกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนในเอเชียมีถึง 85%"
      
      เอชพีเล็งเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น จึงได้กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อสนับสนุนแนวโน้วดังกล่าว โดยเปลี่ยนจากเทคโนโลยีเดิมๆ ที่เป็นพีซีเบสมาสู่เว็บเบสมากขึ้น เอชพีจึงได้พัฒนาเทคโนโลยี ePrint ขึ้นเพียงผู้เดียว โดยจะอยู่ในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาโซลูชันสำหรับงานพิมพ์ เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าในทุกๆ เซกเมนต์
      
      ล่าสุด เอชพีได้นำเทคโนโลยี ePrint มาใช้ในเครื่องพิมพ์หน้ากว้างสำหรับอุตสาหกรรมและวิศวกรรมเป็นรายแรก ในตระกูล ดีไซน์เจ็ต ที ซีรี่ส์ จำนวน 3 รุ่น คือดีไซน์เจ็ต ที 2300 อีเอ็มเอฟพี ที่เป็นทั้งเครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ รวมถึงการอัปโหลดข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานในแวดวงสถาปัตยกรรม วิศวกรรม รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่ ดีไซน์เจ็ต ที2300 และ ที 7100 ที่มาพร้อมกับนวัตกรรม ePrint & Share ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้จากสถานที่ต่างๆ กัน ช่วยลดความซับซ้อนของขั้นตอนการพิมพ์
      
      พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวโซลูชันซอฟต์แวร์ที่เข้ามาสร้างนิยามใหม่ ให้กับความสะดวกในการใช้งานร่วมกับ แอสเซสเซอรี HP Instant Printing Pro ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถพรีวิว แก้ไข และพิมพ์ไฟล์งานได้โดยไม่ต้องเปิดแอปพลิเคชันหรือปรับแต่งการตั้งค่า ไดรฟ์เวอร์
      
      มาร์กาเร็ต กล่าวถึงตลาดเครื่องพิมพ์หน้ากว้างในประเทศไทยว่า ปัจจุบัน เอชพีมีส่วนแบ่ง 77% ถือเป็นเบอร์หนึ่งในตลาด ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดดังกล่าวต่อถึงแม้ว่าสภาพตลาดโดยรวม จะคงที่ มีอัตราการเติบโตเล็กน้อย โดยในปีนี้จะขยายตลาดในส่วนดีไซน์และตลาดโฟโต้เพิ่มขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ที่จะใช้จะเน้นไปที่การให้ความรู้กับกลุ่มนักออกแบบเป็นหลัก โดยเฉพาะการทำโชว์เคสซึ่งเป็นผลงานที่จะได้จากเครื่องพิมพ์ของเอชพี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: หนอน Twitter กระจายลิงค์ AV ปลอม
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มกราคม 2011, 22:43:35
รายงานข่าวล่าสุด พบหนอนกำลังโจมตีผู้ใช้"ทวิตเตอร์" (Twitter) ด้วยการกระจายลิงค์ให้ดาวน์โหลดแอนตี้ไวรัส (Antivirus) ปลอม โดยผู้ใช้ Twitter หลายพันรายที่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อ และคลิกลิงค์ด้งกล่าวที่เชื่อมไปยังแอนตี้ไวรัสปลอม ก็จะติด และแพร่กระจายไวรัสตัวนี้ผ่านบัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์ของเหยื่อทันที

สำหรับการแพร่กระจายไวรัสของหนอนบน Twitter จะส่งผ่านบริการลิงค์ย่อ goo.gl โดยทาง Kaspersky Lab ได้เปิดเผยว่า เมื่อผู้ใช้คลิกลิงค์ มัลแวร์จะรีไดเร็กต์ไปยังโดเมนต่างๆ ด้วยหน้าเว็บ "m28sx.html" จากนั้นหน้าเว็บ HTML จะรีไดเร็กต์ผู้ใช้ไปยังหน้าโดเมนของ Ukrain จากที่หน้าเว็บดังกล่าว โดเมนจะรีไดเร็กผู้ใช้ไปยัง IP address เพื่อโหลดแอนตี้ไวรัสปลอม ด้วยเทคนิคการรีไดเร็กต์หลายครั้งทำให้บริการย่อของ goo.gl ไม่สามารถตรวจสอบไปจนถึงปลายทางที่เป็นไฟล์แอนตี้ไวรัสปลอมได้นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-worm-hits-user-with-fake-anti-virus-link-2.jpg)

เมื่อผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์ดังกล่าว มันจะมีข้อความแจ้งเตือนว่า คอมพิวเตอร์ของคุณกำลังรันแอพพลิเคชันต้องสงสัย พร้อมทั้งโน้มน้าวให้สแกน เพื่อกำจัดภัยคุกคามของออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และดาวน์โหลดแอนตี้ไวรัสปลอมชื่อว่า Security Shield เราเตือนท่านแล้ว ระวังตัวให้ดีนะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: แท็บเล็ต HTC Flyer เปิดตัวมี.ค.ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มกราคม 2011, 16:19:16
HTC คงไม่ต้องการปล่อยให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ตลอดจนคอมพิวเตอร์หลายๆ เจ้า ยึดครองส่วนแบ่งตลาด"แท็บเล็ต" (tablet) จนไม่เหลือที่ว่างให้กับทางบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Samsung, LG, Motorola และ RIM ต่างก็มีแท็บเล็ตของตนเองกันหมดแล้ว ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า HTC เตรียมเปิดตัวแท็บเล็ตชื่อว่า HTC Flyer ในงาน Mobile World Congress 2011 กับเขาด้วยเหมือนกัน ซึ่งนอกจาก HTC แล้ว บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายๆ รายก็น่าจะใช้เวทีนี้ในการเปิดตัวแท็บเล็ตของตน โดยอาจรวมถึง MeeGo Slate ของ Nokia ด้วย

(http://mp4nation.net/blog/wp-content/uploads/2010/09/htc-android-tablet-mockup.jpg)

HTC Flyer แท็บเล็ตสายพันธุ์ Android 2.3 Gingerbread ที่กำลังจะเปิดตัวในงาน MWC 2011 จะมีขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว (ขนาดของหน้าจอที่จอบส์บอกว่าไม่เวิร์ก) โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่า มันจะมีคุณสมบัติการทำงานไฮบริดกับสมาร์ทโฟน (ใช้โทรได้ด้วย) เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy Tab ซึ่งก็คงต้องรอดูความชัดเจนในงานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะวางตลาด HTC Flyer ในสหรัฐฯ เดือนมีนาคม ส่วนในยุโรปจะเป็นช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้

(http://pinoytutorial.com/techtorial/wp-content/uploads/2010/12/htc_tablet.jpg)

นอกจากนี้ ทาง HTC ยังมีแผนที่จะเปิดตัวแท็บเล็ตอีก 2 รุ่นหลังจากนี้ด้วย โดยจะทำงานด้วย Honeycomb และจะวางตลาดช่วงกลางปีนี้ อย่างไรก็ดี คงต้องมาดูกันว่า หลังจากที่ HTC ประสบความสำเร็จในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์กันไปแล้ว จะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก Motorola XOOM และ BlackBerry Playbook รวมถึง iPad 2 ได้สักแค่ไหน? ที่สำคัญ Samsung Galaxy Tab 2 ยังรอต้อนรับน้องใหม่อย่าง HTC Flyer อีกด้วย สงครามแท็บเล็ตนี้มันดุเดือดจริงๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Game Review: "Mario Sports Mix" มาริโอรวมกีฬา (Wii)
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มกราคม 2011, 16:38:59
ถ้าจะให้คอเกมนึกถึงเกมกีฬาสนุกๆฮาๆแล้ว ชื่อของมาริโอกับเกมกีฬา คงอยู่ในใจของคอเกมไม่มากก็น้อย เพราะลุงหนวดของเราเล่นกีฬามาแล้วเกือบทุกชนิด อย่างไรก็ตามในยุคที่เกมกีฬาบน Kinect กับ PSmove มาแรงแซง วี อาจจะทำให้การมาของ Mario Sports Mix อาจดูเงียบไปสักหน่อย
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896701.JPEG)

   แต่ถ้าดูชื่อของผู้สร้างนับว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะได้ทีมงานจากค่าย สแควร์เอนิกซ์ ที่เคยสร้างเกมบาสเกตบอล Mario Hoops 3-on-3 บนเครื่อง NDS มาเมื่อหลายปีก่อนมาสร้างเกมกีฬาอีกครั้ง และคราวนี้ยกมาให้เล่นกันถึง 4 เกมกีฬายอดฮิต ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับซีรีย์มาริโอ อาจเพราะคราวนี้ มาริโอต้องพบศึกหนักเพราะรูปแบบของเกมที่ใช้การจับการเคลื่อนไหวตอนนี้ ถูก PS move และ Kinect แย่งซีนไปหมด จึงต้องมาแบบรวมฮิตลดแลกแจกแถมกันเต็มที่
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896702.JPEG)

   รูปแบบการเล่นก็ยังคงรูปแบบของเกมมาริโอกีฬาไว้ครบถ้วน ตั้งแต่การเล่นที่ไม่สมจริง เน้นฮาๆมากกว่า การมีไอเท็มไว้เพิ่มพลัง และไว้แกล้งกัน รวมถึงท่าไม้ตายสุดโอเวอร์ ก็ยังอยู่ครบ ส่วนเกมกีฬาที่นำมาให้มาริโอเล่นจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ วอลเลย์บอล , บาสเกตบอล ,ฮอกกี้ (ทั้งแบบสนามหญ้าธรรมดาและ สนามน้ำแข็ง) และ ดอจบอล ที่กฎกติกาหลักๆจะเหมือนเกมกีฬาชนิดนั้นๆ แต่ได้เพิ่มความพิเศษของ ด่าน ที่มีอุปสรรค ทั้ง คลื่นจากทะเล ด่านบ้านผีสิง ที่มีผีคอยแกล้งผู้เล่น หรือกับดักฮาๆตามแนวทางเกมมาริโอ โดยเกมยังคงแบ่งความยากตามสนามเหมือนมาริโอคาร์ต
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896703.JPEG)

   ส่วนตัวละคร ก็ยกมาทั้งขาประจำจากซีรีย์มาริโอที่มารายงานตัวกันครบ แต่ที่โดดเด่นมากคือ เหล่าตัวละครจากค่าย สแควร์เอนิกซ์ ที่ขนมาจาก Final Fantasy ทั้ง อาชีพสุดฮิต นินจา , มนต์ขาว ,มนต์ดำ และมอนสเตอร์ อย่าง ม็อก กับ ซาโบเทนเดอร์ และยังมี สไลม์ จาก Dragon quest รวมทั้งเรายังใช้ Mii ของเรามาเล่นได้ด้วย โดยมีตัวละครทั้งหมด 19 ตัวละคร และในแต่ละตัวละครจะมี ค่าพลังและความสามารถที่แตกต่างกัน
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896704.JPEG)

   แต่ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ผู้เล่นประหลาดใจ คือการควบคุมบังคับ ที่ยังคงใช้ วีโมต แทนการทำท่าทาง ส่วนนันชักใช้บังคับตัวละครให้เดิน และการตีลูก หรือเคลื่อนไหวของมาริโอใช้การสะบัดจอยตามจังหวะเท่านั้น ซึ่งในยุคนี้มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ผู้เล่นได้แปลกใจหรือสนุกไปกับมันอีก แล้ว แต่มันก็บังคับได้อย่างง่ายดายไม่ซับซ้อน แต่ถ้าคุณไม่ชอบการนั่งสะบัดจอย คุณยังสามารถใช้ วีโมตอย่างเดียวเล่นก็ได้ โดยการจับแนวนอนแล้วกดปุ่มเล่นแบบเกมทั่วไป แต่ก็มีการใช้การเขย่าจอยร่วมด้วย
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896705.JPEG)

   แม้รูปแบบการเล่นที่ไม่ได้แปลกใหม่ แต่เกมได้อัพเกรด กราฟิกขึ้นมาจากเกมมาริโอกีฬา ทั่วไปเล็กน้อย แม้ก็ไม่ได้เทียบเท่า มาริโอ แกแล็กซี่ แต่ก็พอดูได้ในระดับหนึ่ง แต่เพลงและเสียงประกอบของเกมกลับทำได้เรียบๆ ดูธรรมดาไปหน่อย แต่อย่างน้อย เราก็ยังเล่นกับเพื่อนได้มากถึง 4 คนพร้อมกัน แล้วยังมี ระบบออนไลน์ได้ทั่วโลกอีกแถมระบบก็ลื่นไหลไม่มีหลุด อีกทั้งยังหาเพื่อนเล่นด้วยง่าย และจุดนี้ทำให้คะแนนเกมตีตื้นขึ้นมาเพราะกรเล่นกับเพื่อนสร้างความสนุกให้ กับเกมมากขึ้นหลายเท่า และนอกจากระบบออนไลน์แล้ว เกมยังได้ใส่ มินิเกม มาให้ 4 เกม โดยจะเอาเกมกีฬา 4 แบบมาดัดแปลงเป็นมินิเกมฮาๆให้เล่นกันขำๆแม้จะไม่ได้สนุกมากเท่าไร
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896706.JPEG)

   โดยรวมแล้ว การเล่น Mario Sports Mix กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนได้เล่นเกม Wii Sports แต่เหมือนได้นั่งเล่น มาริโอ ปาร์ตี้ เสียมากกว่า เพราะเกมมีอารมณ์ มินิเกมฮาๆ มากกว่าจะเป็นเกมกีฬาที่จริงจัง แม้จะไม่ได้สมจริงเท่าเครื่องเกมยุคใหม่อย่างจอย Psmove หรือกล้อง Kinect แต่ในเรื่องความสนุกเกมนี้ก็พอมีให้คุณไม่แพ้เกมกีฬาของมาริโอเกมอื่นๆ แม้จะไม่ได้สดใหม่แล้วก็ตาม อย่างน้อยการเล่นเกมนี้ก็ทำให้เล่นสนุกจนลืมเวลา ไปกับตัวละครที่เราคุ้นเคย ยิ่งถ้าได้เล่นเป็นหมู่คณะหรือออนไลน์ความสนุกจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว Mario Sports Mix จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเล่นในช่วงวันพักผ่อนกับเพื่อนๆหรือเล่นกับทุกคนใน ครอบครัว

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000896708.JPEG)

ข้อดี : มีตัวละครให้เลือกเยอะ , ระบบออนไลน์ที่ลื่นไหลมาก
ข้อเสีย : รูปแบบการเล่นไม่มีอะไรใหม่
ข้อแนะนำ : เล่นกับเพื่อนเกมจะสนุกขึ้น
   
Darth.Vader (วงศกร ปฐมชัยวัฒน์)
สนับสนุน บทความโดย ร้านเกม NADZproject


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Acer เปลี่ยนแนว เบอร์หนึ่ง โมบิลิตีคอมพานี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มกราคม 2011, 13:45:31
เอเซอร์ประกาศชัด ขอเป็นเบอร์หนึ่ง “โมบิลิตี โซลูชัน” สร้างจุดขายใหม่ หวังลบภาพเอเซอร์ไม่แต่ฮาร์ดแวร์ หลังไล่กวดเบอร์หนึ่ง “เอชพี” ในตลาดรวมคอมพิวเตอร์มาติดๆ ใช้แนวคิด “แชร์” สร้างฝันให้เป็นจริง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001007301.JPEG)

      นายแฮรี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ใน ปีที่ผ่านมาเรายังคงโดดเด่นด้วยความเป็นอันดับ 1 ในตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งการตลาดของเอเซอร์หลังจากปิดไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา โดยไอดีซีระบุว่าเอเซอร์มีส่วนแบ่งการตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมอยู่ที่ 26% ส่วนโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เอเซอร์ยังคงเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 36% สำหรับปีนี้เอเซอร์ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20 % ในขณะที่ตลาดไอทีโดยรวมคาดว่าจะเติบโตประมาณ 15%
      
      “ทิศทางการทำตลาดของเอเซอร์ทั่วโลกในปีนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนไปจาก เดิม รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเอเซอร์จะไม่ได้เป็นแค่บริษัทที่ขายพีซีอีกต่อไป เอเซอร์จะเป็นผู้นำทางด้านโมบิลิตี โซลูชัน”
      
      การที่เอเซอร์กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการที่เอเซอร์มีดีไวซ์.ใหม่อย่าง แท็บเลต โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนเข้ามาเสริม ซึ่งเติมเต็มช่องว่างทางด้านผลิตภัณฑ์ทางด้านมือถือซึ่งถือเป็นดีไวซ์ที่ตอบ โจทย์เรื่องของโมบิลิตี้ได้เป็นอย่างดี
      
      “แชร์เป็นจิกซอร์ตัวสำคัญที่ทำให้เอเซอร์ขยายขอบข่ายการเชื่อมต่อการ สื่อสาร โดยเพิ่มแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มด้านเนื้อหาเข้ามาผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเอเซอร์”
      
      นิธิพันธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมถึงกลยุทธ์ใหม่ของเอเซอร์ให้ฟังว่า แชร์ จะเป็นลักษณะของการแบ่งปันคอนเทนต์และประสบการณ์แบบเรียลไทม์ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องอุปกรณ์ในการสื่อสาร และนั่นคือเป้าหมายของเอเซอร์ในฐานะผู้นำทางด้านอุปกรณ์โมบิลิตี้ คอมพิวติง เอเซอร์จึงสร้างความต่างในการเข้าถึงคอนเทนต์ โดยสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่หลากหลายได้อย่างง่ายดาย
      
      ทางเอเซอร์ได้พัฒนาแอปพลิเค ชันสำหรับส่งผ่านข้อมูลขึ้นมาเองโดยใช้ชื่อว่า “Clear.fi” ซึ่งเป็นระบบแชร์คอนเทนต์ผ่านดีไวซ์รูปแบบต่างๆ ทำให้ผู้ใช้งานที่มีดีไวซ์แตกต่างกันสามารถส่งผ่านไฟล์ข้อมูลที่เป็นรูปภาพ วิดีโอ และข้อความ
      
      Clear.fi จะทำงานตรงจากกล่องอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณอัตโนมัติ เมื่อมีการใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายไร้สาย ภายในบ้าน ก็จะสามารถเปิดเนื้อหาดิจิตอลที่เก็บไว้บนอุปกรณ์ต่างๆ และเปิดใช้งานร่วมกันได้ผ่านการอินเตอร์เฟซข้อมูลของ Clear.fi โดยไม่มีข้อจำกัดในการขยายระบบการทำงาน เพราะอุปกรณ์ของเอเซอร์ทุกชิ้นจะติดตั้ง Clear.fi เอาไว้และทันทีที่มีการเชื่อมต่อระบบไวเลสภายในบ้าน ก็จะสามารถแบ่งปันข้อมูลมัลติมีเดียที่จัดเก็บไว้ โดยสามารถเรียกดูข้อมูลจากอุปกรณ์ชิ้นใดก็ได้
      
      “ภายในเดือนกุมภาพันธุ์จะเห็นการนำเสนอ Clear.fi ในผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์ชัดเจนขึ้น”
      
      นายหยางกล่าวอีกว่า ดิจิตอลคอนเทนต์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 60% และคาดการณ์ว่าการเติบโตจะเป็น 2 เท่าทุกๆ 18 เดือน ทั้งในส่วนของข้อมูลและการผลิตเนื้อหาของดิจิตอลคอนเทนท์ส่งผลให้จำนวนและ ความหลากหลายของอุปกรณ์ที่สามารถใช้เนื้อหาเหล่านี้เติบโตไปในทิศทางเดียว กัน
      
      อุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อเป้าหมายอย่างเดียวกันคือ เสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์เพื่อกระจายเนื้อหาไปยัง ผู้รับปลายทางในรูปแบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการใช้งานที่หลากหลายและต้องการที่จะแบ่งปัน ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและสามารถทำได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมและปรับรูปแบบมีเดียที่ตรงกับชีวิต ประจำวันด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการทุกเมื่อที่ต้องการ รวมถึงการบริโภคเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับอุปกรณ์สื่อสารเพื่อให้สามารถผสมผสานหรือจัดสรรคอนเทนท์ตามที่ต้องการ
      
      นอกจากจะมีการเปิด Clear.fi แล้ว ทาง เอเซอร์เตรียมที่จะเปิดแพลตฟอร์มบริการรูปแบบใหม่ “alive” ที่เป็นการนำเสนอคอนเทนต์ผ่านเอเซอร์สโตร์มีทั้งคอนเทนต์ที่ฟรีและเสียค่า ใช้จ่าย เปิดให้บริการแล้วที่ประเทศอังกฤษ ส่วนในเมืองไทยจะมีการเปิดตัวในประเทศไทยประมาณไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยเอเซอร์ระบุว่า เอเซอร์ไม่ต้องการที่เป็นผู้สร้างคอนเทนต์ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมีลักษณะการใช้คอนเทนต์ในรูปแบบของการสร้าง ขึ้นเองและมีการดาวน์โหลดในลักษณะเรียลไทม์ถึง 90%
      
      นายหยางกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ เอ เซอร์ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ โน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน สองหน้าจอ ในนาม "ไอโคเนีย" เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จากที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ แต่วันนี้เราจะได้สัมผัสของจริงแล้วกับความสามารถรอบตัวที่อัดแน่นมากับขนาด เพียง 14 นิ้ว หน้าจอคู่ที่สามารถทำงานผสานกันและแยกส่วนกันได้ตามต้องการ พร้อมด้วยการใช้งานฟังก์ชั่นการใช้งานที่ง่ายมากด้วยระบบ all-point multi-touch หมายถึงการใช้นิ้วมือสั่งงานบน ICONIA เพื่อเข้าสู่การใช้งานได้ทุกรูปแบบ ทั้งมัลติมีเดีย บันเทิง ท่องเว็บไซต์ หรืองานเอกสาร ผ่านหน้าจอสัมผัส
      
      ในส่วนของแท็บเล็ต ซึ่งจะมีการนำเข้ามาทำตลาดไตรมาสสองของปีนี้ ที่มาพร้อมกับดีไซน์ล้ำสมัยกับหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว และรุ่นหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มีทั้งระบบปฏิบัติการณ์ “แอนดรอยด์” และ ระบบปฏิบัติการ “วินโดวส์ 7” มาพร้อมคุณสมบัติการใช้งานอันทรงพลัง ทำให้การสร้างคอนเทนต์ ถ่ายภาพ บันทึกวิดีโอ และส่งข้อความ ผ่านระบบไวไฟ และ 3G
      
      “จากผลสำรวจยอดจำหน่ายแทบเลตทั่วโลกในปี 2553 ปิดยอดที่ประมาณ 19 ล้านเครื่อง และคาดว่าในปี 2554 จะมียอดจำหน่ายทั่วโลก 54.8 ล้านเครื่อง และในปี 2557 จะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 208 ล้านเครื่อง นั่นหมายถึงว่า ตลาดมีความต้องการแทบเลตแน่นอน”
      
      นายบุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล ผู้จัดการอาวุโส กลุ่มคอนซูเมอร์ ซิสเต็มส์ โปรดักส์ บริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ขนาดตลาดคอมพิวเตอร์พีซีปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 3 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ 1.6 ล้านเครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1.4 ล้านเครื่อง โดยปีในนี้เชื่อตลาดยังจะเติบโตประมาณ 20% สำหรับรายได้ของเอเซอร์ในปีที่ผ่านมายอดขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ยังคงมีสัดส่วนสูงถึง 65% ซึ่งปีนี้สัดส่วนก็จะยังคงเป็นเหมือนปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า กระแสแทบเลตและสมาร์ทโฟนที่คาดว่าปีนี้จะเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูงที่สุด แตก็มีสัดส่วนไม่ถึง 10% โดยเอเซอร์มีแผนจะปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัยขึ้น รวมทั้งปรับช่องทางการขายเพื่อรองรับสินค้าใหม่ๆ เช่นแท็บเลต และสมาร์ทโฟน โดยจะใช้ความได้เปรียบของความพร้อมทางด้านช่องทางจัดหน่ายโดยเฉพาะช่องทางไอ ที ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเอเซอร์ ขณะที่คู่แข่งบางรายไม่มี
      
      “ปีนี้เอเซอร์ตั้งเป้ามีรายได้เติบโตรวม 20% จากปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโตจากปีก่อนหน้า 18%”


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เอ็มเทคโชว์ซอฟต์แวร์วัดก๊าซเรือนกระจก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มกราคม 2011, 14:00:13
อังคารที่ 25 นี้เอ็มเทคเปิดตัว ซอฟต์แวร์ LCA ใช้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครั้งแรกของอาเซียน ตอบสนองสินค้ากว่า 65 ชนิด

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/22/images/news_img_373294_1.jpg)

เอ็มเทค/สวทช. ร่วมญี่ปุ่น พัฒนา “ ซอฟต์แวร์ LCA” สำเร็จ ใช้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครั้งแรกของอาเซียน ตอบสนองสินค้ากว่า 65 ชนิด พร้อมยื่นขอฉลากคาร์บอนฟุตปริ้นต์ได้ทันที

         ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดการใช้งานซอฟต์แวร์ LCA   ใน วันอังคารที่ 25 มกราคม 2554 เวลา 10.00 น. ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์คกรุงเทพฯ

 ในงานดังกล่าวยังมีกิจกรรมการบรรยายถึงทิศทางกระแสโลกที่เกี่ยวกับ LCA/LCI และการประยุกต์ใช้หลักการประเมินวัฏจักรชีวิตหรือ LCA ของอุตสาหกรรมทั่วโลก และแสดงวิธีการคำนวณโดยใช้ซอฟแวร์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยครั้งแรกของเมือง ไทย รวมถึงการให้ความรู้วิธีการประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตที่เหมาะสมกับประเทศไทย พร้อมชมนิทรรศการภาครัฐและอุตสาหกรรมที่มีการใช้หลักการนี้

      ทั้งนี้ ตามที่ อียู มีมาตรการตรวจสอบสินค้าและบริการที่จะส่งออก จำเป็นต้องมีฉลากที่บ่งบอกปริมาณการก๊าซหรือคาร์บอนฟุตปริ้นต์ ภายในเดือนกรกฎาคม 2554 ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงร่วมกับ Japan External Trade Organization (JETRO), Bangkok เปิดตัวระบบการจัดการฐานข้อมูล ที่ใช้ซอฟแวร์คำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก ครั้งแรกของเมืองไทยและภูมิภาคอาเซียน

  เพื่อคำนวณและประเมินเชิงปริมาณของการใช้ทรัพยากร ที่ส่งผลกระทบในการเพิ่มปริมาณ ก๊าซเรือนกระจก อันเนื่องมาจากการผลิต ผลิตภัณฑ์และบริการ โดยพิจารณาตลอดวัฎจักรชีวิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค รวมทั้งการนำไปกำจัดทิ้ง

 ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถที่จะใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเทียบเคียงกับ ประเภทสินค้าบริการ เพื่อขอรับรองการใช้ฉลากคาร์บอนฟุตปริ้นต์ ตามหลักสากลที่กำหนดไว้

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: “ลบและเลือก” 2 วิธีง่ายๆ เพื่อเลี่ยงการถูกแฮกข้อมูลบน Facebook
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มกราคม 2011, 22:39:26
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระแสความร้อนแรงของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ก มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นถึง 320.5% เมื่อเทียบกับปี 2009 แม้จะมีความคิดเห็นออกมามากมาย เกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับจากการใช้งานเฟซบุ๊ก แต่ตามความเป็นจริง หากผู้ใช้งานไม่ระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเหมือนดาบสองคมที่สร้างภัยอันตรายต่อผู้ใช้ได้เช่นกัน
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743308)

      อย่างล่าสุดที่ทีมงานได้นำเสนอข่าวไปเรื่องของหนุ่มโฉดที่เข้าไปดู ข้อมูลส่วนตัวของหญิงสาวบนเฟซบุ๊ก และลักลอบเข้าสู่อีเมลของเหยื่อผู้เสียหาย จากนั้นทำการสแกนกลุ่มอีเมลขาออกเพื่อค้นหาภาพและวิดีโอเปลือย-กึ่งเปลือย ของเจ้าของเมล ก่อนจะส่งต่อหรือฟอร์เวิร์ดไปตามอีเมลผู้ติดต่อทั้งหมดที่เจ้าของเมลมีอยู่ จนเป็นคดีใหญ่โตขึ้นมา
      
      ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้งาน หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ ไปโพสลงในเฟซบุ๊ก
      
      วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซ ขอแนะนำวิธีลบข้อมูลส่วนตัว หรือการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่เผลอใส่ข้อมูลดัง กล่าวลงไป แล้วไม่ทราบวิธีลบข้อมูล สำหรับใครที่ทราบวิธีแล้วก็อย่าลืมนำความรู้ไปบอกต่อเพื่อนๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาจากแฮกเกอร์ตัวดีที่จ้องจะทำลายพวกเราโดยไม่รู้ ตัว
      
      1. พิมพ์ Username และ Password เพื่อเข้าสู่ระบบ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743301)

      2. คลิก "Edit My Profile (แก้ไขข้อมูลส่วนตัว)" ที่มุมซ้ายด้านบน ในหน้า “Home”

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743302)

      3. คลิก “Contact Information (ข้อมูลการติดต่อ)” ด้านซ้ายมือ
      
      4. จัดการลบข้อมูลส่วนตัว เช่น เบอร์โทรศัพท์, เว็บไซต์ส่วนตัว, ที่อยู่ออก แล้วกด “Save Change (บันทึกการเปลี่ยนแปลง)” เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743303)

      5. ถ้าต้องการลบอีเมล ให้คลิกเลือก Add/Remove email addresses (เพิ่ม / ลบอีเมล) เพื่อเข้าสู่หน้า My Account

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743304)

      6. คลิก “Remove (ลบ)” ด้านหลังอีเมลที่ต้องการลบ แต่ทั้งนี้การจะลบอีเมล์ได้ ต้องมีเมล์อย่างน้อย 2 Account คำสั่ง Remove ถึงจะปรากฏขึ้น
      
      7. พิมพ์พาสเวิร์ดเฟซบุ๊กเพื่อยืนยันการลบข้อมูล
      
      แต่หากจำเป็นต้องใส่ข้อมูลดังกล่าวจริง ผู้ใช้สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ในการมองเห็นข้อมูลได้ เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลภายนอกที่จะลักลอบเข้ามาดูข้อมูลส่วน ตัวของคุณ โดย


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743305)

      1. คลิกที่ “manage” ตรง Privacy ในหน้าของ My account (บัญชีผู้ใช้ มุมขวาบน) เพื่อเข้าสู่หน้า Choose your privacy settings (ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743306)

      2. คลิก “Custom (ปรับปรุงให้เหมาะสม)” แล้วเลือก “Customise settings (ปรับปรุงการตั้งค่า)” ตรงกลางหน้าจอ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000000743307)

      3. เลือกการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ในส่วนของข้อมูลที่ไม่ต้องการเปิดเผย โดยอาจจะเลือก “Friends only (เพื่อนเท่านั้น)” เพื่อจำกัดการมองเห็นข้อมูล เฉพาะเพื่อนในเฟซบุ้กของคุณ หรือหากเป็นไปได้ให้เลือก “Customise (ปรับแต่ง)” แล้วระบุเฉพาะชื่อเพื่อนที่คุณต้องการให้เห็นข้อมูล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ICT จัดสัมมนา ดัน "บรอดแบนด์แห่งชาติ" เป็นรูปธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มกราคม 2011, 23:00:31
กระทรวงไอซีทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หวังให้เกิดการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ในการผลักดันยุธศาสตร์บรอดแบนด์แห่งชาติ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000000972801.JPEG)

      นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า กระทรวงไอซีทีได้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับนโยบายบรอดแบนด์แห่ง ชาติ เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นรูปธรรม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และผลักดันแผนยุทธศาสตร์บรอดแบนด์แห่งชาติให้เกิดขึ้น หลังจากนโยบายดังกล่าวผ่านคณะรัฐมนตรีมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2553
      
      นโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติเชื่อว่าจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ โดยการริเริ่มจากกระทรวงไอซีที และมีอีก 4 กระทรวง นำร่องคือ กระทรวงการคลังกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ มีนายแอนดริว ทอมสัน อดีตรัฐมนตรีประเทศแคนาดา มาให้ความรู้เรื่องการศึกษา สาธารณสุข และการจัดการภาครัฐในยุคดิจิตอล
      
      นางจีราวรรณกล่าวว่า หากเปรียบเทียบกับประเทศแคนาดา ไทยน่าจะดำเนินการบรอดแบนด์ได้เร็วกว่า เนื่องจากประชากรแคนาดามีจำนวนน้อยกว่าไทย ทำให้การลงทุนสูงกว่าไทย นอกจากนี้ ระบบการปกครองที่ต้องอาศัยงบประมาณจากภาครัฐด้วย ขณะเดียวกันปัญหาสัมปทานในประเทศไทย ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน และต้องให้ส่วนที่รับผิดชอบการแก้สัมปทานดำเนินการต่อไป พร้อมกับส่วนที่ดำเนินการบรอดแบนด์ เพราะถ้าแก้ไขเสร็จก็จะต่อยอดกับโครงการบรอดแบนด์ได้
      
      พร้อมกันนี้ ยังจะเป็นการบูรณาการให้ใช้งานโครงข่ายร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากเดิมที่ทั้งภาครัฐ และเอกชนเคยแยกกันดำเนินการ โดยแผนยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมี 3 เรื่อง คือ 1.ข้อตกลงสำหรับแผนโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อเป็นฐานของบรอดแบนด์ซึ่งแต่ละกระทรวงสามารถนำไปใช้เพื่อให้บรรลุนโยบาย 2.โครงการประเภทควิกวิน (quick-win) ของแต่ละกระทรวง รวมถึงงบประมาณ และเวลาที่ชัดเจน โดยโครงการเหล่านี้จะช่วยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของบรอดแบนด์แห่งชาติ และ 3.การจัดตั้งทีมงานระหว่างกระทรวงเพื่อศึกษาวิธีการที่จะใช้บรอดแบนด์เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของบรัฐบาลในการให้บริการ และติดต่อกับประชาชน เพื่อความสงบสุขและความเจริญของประเทศในอนาคต
      
      ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 (ปี 2552-2556) กระทรวงไอซีทีได้เร่งดำเนินการให้เข้าถึงแหล่งชุมชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะสถานศึกษา สถานีอนามัย และภาคการเกษตร โดยตั้งเป้าไว้ว่า ปี2556 หรือ อีก 2 ข้างหน้า จะเข้าถึงระดับอำเภอ และปี 2558 หรือ อีก 4 ปีข้างหน้า จะเข้าถึงระดับตำบล
      
      นอกจากนี้ ยังวางแผนกระจายลงสู่สถานีอนามัย จำนวน 1.5 หมื่นแห่ง ใช้งบประมาณ 8 พันล้านบาทด้วย
      
      ปลัดกระทรวงไอซีทีกล่าวว่า เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ได้ศึกษางานวิจัยในประเทศกำลังพัฒนาพบว่า หากบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น 10% จะมีผลทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ของกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นเกือบ 1% และผลผลิตเพิ่มขึ้น 0.8% หมายความว่า หากมีจำนวนสมาชิกบรอดแบนด์รายใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทยมากกว่า 1 แสนคน จะทำให้จีดีพี ของประเทศเพิ่มขึ้น 1% หรือคิดเป็นมูลค่า 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ปัจจุบันประเทศไทยเข้าถึงบรอดแบนด์ยังไม่ถึง 5%
      
      ด้านนายแอนดรู ทอมป์สัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและกระทรวงเทคโนโลยี รัฐซัสแอคตเอชวัน ประเทศแคนาดา กล่าวว่า การขยายบรอดแบนด์ ในรัฐซัสแอคตเอชวัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 - 2547 สามารถทำได้ครอบคลุม 90 % จากจำนวนประชากรในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมามีการลงทุนค่อนข้างสูงสำหรับการขยายบริการดังกล่าว ใช้งบประมาณ 217 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากรัฐซัสแอคตเอชวันมีปัญหาพื้นที่ใหญ่ ประชากรกระจายนอกเมืองถึง 60% มีอัตราความหนาแน่เพียง 1.6 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลและเอกชนในรัฐนี้ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 126 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
      แอนดรูมองว่าการขยายบรอดแบนด์เอกชนมีส่วนสำคัญในการเข้ามา ช่วยลงทุนโครงข่าย ซึ่งจะทำให้ภาครัฐใช้งบประมาณลงทุนเรื่องดังกล่าวน้อยลง ซึ่งภาครัฐเองต้องกระตุ้นให้ประชากรเกิดการใช้งานให้มากขึ้นเพื่อทำให้เอกชน เห็นช่องทางในการเข้ามาทำตลาดและเกิดการลงทุนของภาคเอกชนต่อไป
      
      สำหรับรัฐซัสแอคตเอชวัน ถ้าเมืองใดมีประชากรมากกว่า 800 คน เอกชนจะเข้าไปช่วยลงทุน โดนการลงทุนในช่วง 7 ปี ของรัฐในระยะแรกใช้งบลงทุนสร้างสถานีฐานสำหรับบรอดแบนด์ที่ใช้สาย 71 ล้านเหรียญสหรัฐ ครอบคลุม 75 % ของจำนวนประชากร ต่อมาลงทุน อินเทอร์เน็ตไร้สาย 55 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าถึงชุมชนได้ 86 % จากจำนวนประชากร และได้ลงทุน 91 ล้านเหรียญสหรัฐเปิดให้บริการไว-ไฟ ครอบคลุม 90 % จำนวนประชากร

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Yahoo ให้เล่น "วิดีโอเกมส์" ขณะรอรถเมล์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มกราคม 2011, 19:03:54
เมื่อเร็วๆ นี้ทาง Yahoo ได้ติดตั้งจอสัมผัสขนาดเท่ากับโปสเตอร์ไว้ตามป้ายรถเมล์ต่างๆ ในซานฟรานซิสโกถึง 20 แห่ง วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้บริการที่กำลังรอรถเมล์ หรือใครก็ตามที่สัญจรไปมาสามารถเล่นเกมส์ออนไลน์แข่งทำแต้มสูงสุดกับผู้เล่น เกมส์คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ได้ ไอเดียเวิร์กมากๆ

สำหรับจอสัมผัสที่ติดตั้งตามป้ายรถเมล์ดังกล่าวจะมีเกมส์ให้เลือกเล่นมากมาย เพื่อแก้เซ็งให้กับผู้ที่กำลังรอใช้บริการรถเมล์ โดยเกมส์ที่ให้เล่นก็จะมีตั้งแต่แก้ปริศนาไปจนถึงเกมส์ง่ายๆ ซึ่งผู้เล่นสามารถแข่งขันทำแต้มกับคนอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งหากใครก็ตามที่สามารถทำแต้มได้สุงสุดเมื่อถึงสิ้นสัปดาห์หน้า ผู้เล่นคนนั้นก็จะได้เป็นแขกรับเชิญร่วมงาน block party กับวง OK Go

(http://www.arip.co.th/images/news/2009/news/gadgets/bus-stop-video-games-in-sanfrancisco-2.jpg)

กิจกรรมทางการตลาดนี้จะเป็นการร่วมกันระหว่าง Yahoo กับ SF Municipal Transportation Agency และ Clear Channel ซึ่งคาดว่า จอพวกนี้น่าจะไดรับความสนใจจากคนรอรถเมล์อยู่พอสมควร เพราะนอกจากจะแก้เบื่อได้แล้ว ยังอาจจะได้ร่วมกิจกรรมดีๆ อีกด้วย นี่ถ้าในบ้านเราทำดูบ้าง เด็กๆ คงยืนเล่นกันตรึม และปล่อยรถเมล์ให้ผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว ก่อนที่จะพบว่าในวันต่อมาจอสัมผัสเหล่านั้นได้หายไปจากที่ๆ มันเคยอยู่...อุ๊ปส์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 7 ข่าวลือเรียกน้ำย่อยงาน MWC2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มกราคม 2011, 20:36:13
หลังจากผ่านงาน CES 2011 ไปหมาดๆ ในเดือนหน้าตั้งแต่วันที่ 14-17 กุมภาพันธ์ ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปนจะมีการจัดงาน Mobile World Congress ประจำปี 2011 หรือ MWC2011 โดย GSM Association เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งในวันนี้่ทางทีมงานผู้จัดการไซเบอร์ก็ขอรวมข่าวลือเรียกน้ำย่อยจากแหล่ง ข่าวต่างๆ ทั่วโลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริงภายในงาน MWC2011 มาให้พ่อแม่พี่น้องชาวผู้จัดการไซเบอร์ได้รับชมกันครับ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054304.JPEG)
Nokia N9 คาดว่าจะมีการเปิดตัวในงาน

      **โนเกียเตรียมส่ง N9 เข้าประตูงานด้วยพลังอะตอม**

      
      หลังจากมีภาพและคลิปหลุดของสมาร์ทโฟน Nokia N9 ไปเมื่อกลางปีที่แล้ว มาในวันนี้ก็มีข่าวอัปเดตเกี่ยวกับสเปกคร่าวๆ ของตัวเครื่องว่า ใน Nokia N9 อาจมาพร้อมหน่วยประมวลผลอะตอมตัวล่าสุดจากอินเทลในรหัส Moorestown ที่ความเร็ว 1.2GHz (ก่อนหน้ามีข่าวว่า N9 จะใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon QSD8250 1GHz) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก โดยในส่วนของหล้องถ่ายภาพจะมีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล และอาจรองรับเครือข่าย LTE และสุดท้ายในส่วนของระบบปฏิบัติการอาจถูกเลือกใช้เป็น MeeGo ที่ทางโนเกียและอินเทลร่วมกันพัฒนา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054305.JPEG)
NVIDIA Tegra 3 จะมาพร้อม CUDA และกราฟิกการ์ดเทียบเท่าเครื่องเกมคอนโซล

      **เอ็นวิเดียพร้อมเปิดตัว Tegra 3**
      
      หลังจากเอ็นวิเดียวเปิดตัว Tegra 2 SOC (System on a chip) และ Project Denver ที่พัฒนาร่วมกับ ARM ไปแล้วในงาน CES2011 ล่าสุดในงาน MWC2011 ทางเอ็นวิเดียก็พร้อมเปิดตัวหน่วยประมวลผลตัวล่าสุดในชื่อ "Tegra 3" ซึ่งสเปกคร่าวๆ ของหน่วยประมวลผลดังกล่าว Tegra 3 อาจมาพร้อมคอร์ประมวลผลจำนวน 4 คอร์ (Quadcore) ในส่วนของสถาปัตยกรรมในการผลิตจะอยู่ที่ 28 นาโนเมตร และสุดท้ายในส่วนของกราฟิกชิปจะรองรับ CUDA และมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากราฟิกการ์ด GeForce ตระกูล 8 และ 9 โดยทางเอ็นวิเดียพยายามพัฒนาในส่วนของกราฟิกชิปของ Tegra 3 ให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องเล่นเกมคอนโซลอย่าง XBox 360 หรือ PlayStation 3
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054306.JPEG)
ต้นแบบจอภาพ กาแล็กซี่ แท็บ 2

      **ซัมซุงอาจนำ "กาแล็กซี่ แท็บ 2" และ "กาแล็กซี่ เอส 2" มาโชว์ในงาน**
      
      เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่พยายามเข้ามาทำตลาดสมาร์โฟนและแท็บเล็ตอย่าง จริงจัง และก็ประสบความสำเร็จไปได้ดีกับสมาร์ทโฟน "กาแล็กซี่ เอส" และแท็บเล็ต "กาแล็กซี่ แท็บ" ซึ่งภายในงาน MWC2011 จากการคาดการณ์ทางซัมซุงก็เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ 2 ตัวในชื่อ "กาแล็กซี่ แท็บ 2" และ "กาแล็กซี่ เอส 2"
      
      ซึ่งสำหรับสเปกของ "กาแล็กซี่ แท็บ 2" จากข่าวที่หลุดออกมาตัวเครื่องจะมาพร้อมซีพียู Dual-Core Tegra 2 ในส่วนของระบบปฏิบัติการจะใช้เป็นแอนดรอยด์ 3.0 Honeycomb และในส่วนของหน้าจออาจมีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 7 นิ้วและ 10 นิ้ว
      
      ในขณะที่สเปกสมาร์ทโฟนที่คาดว่าจะได้เปิดตัวในงานอย่างแน่นอนกับ "กาแล็กซี่ เอส 2" ตามข่าวที่หลุดออกมาสเปกของ กาแล็กซี่ เอส 2 จะมาพร้อทซีพียูดูอัลคอร์ ARM Cortex A9 กล้องมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล หน้าจอ Super AMOLED 4.3 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล สามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ หน่วยความจำในตัวเครื่องจะมี 1GB มีพอร์ต HDMI1.3a และ GPS ส่วนระบบปฏิบัติการที่เลือกใช้จะเป็นแอนดรอยด์ 2.3 Gingerbread
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054308.JPEG)
หน้าตา HTC Scribe จะเป็นอย่างนี้หรือไม่

      **เอชทีซีพร้อมนำแท็บเล็ตนาม "Scribe" ขึ้นโชว์**
      
      และแล้วแบรนด์เอชทีซี (HTC) ก็ขอโดดเข้ามาตลาดแท็บเล็ตด้วยการพัฒนาแท็บเล็ตนาม "Scribe" ขึ้น โดยแท็บเล็ตตัวนี้จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 และใช้หน่วยประมวลผลยอดฮิตอย่าง NVIDIA Tegra 2 ที่รองรับการแสดงผลภาพความละเอียดสูงในการขับเคลื่อนพร้อมฮาร์ดไดร์ฟภายใน ขนาด 2GB อีกทั้งยังรองรับการ์ด microSD ขนาดสูงสุด 32GB ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054303.JPEG)
Motorola XOOM เตรียมขายหลังงาน MWC2011

      **โมโตโรล่า ซูม (Xoom) พร้อมขายหลังงาน MWC2011**
      
      หลังจากที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วในงาน CES2011 สำหรับแท็บเล็ต โมโตโรล่า ซูม (Xoom) ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 โดยในวันนี้จากเอกสารประชาสัมพันธ์ของโมโตโรล่าพบว่า โมโตโรล่า ซูม มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ อีกทั้งเมื่อไปเช็คข้อมูลกับเว็บขายของอย่าง Best Buy แล้วยังพบว่า โมโตโรล่า ซูม มีอัปเดตอยู่ในลิสต์สินค้าพร้อมสั่งจองแล้ว โดยกำหนดราคาในรุ่น 32GB จะอยู่ที่ 700$ (ประมาณ 21,000 บาท)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054301.JPEG)
ASUS E600

      **มือถือวินโดว์โฟน 7 หลากแบรนด์จะบุก MWC2011**
      
      ก่อนหน้านี้ทางไมโครซอฟท์ได้ลองตลาดระบบปฏิบัติการ "วินโดว์โฟน 7" ไปแล้วกับแบรนด์ HTC มาในงาน MWC2011 จากข่าววงในของไมโครซอฟท์พบว่า ทางไมโครซอฟท์และเหล่าบรรดาผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลากหลายแบรนด์อาทิ อัสซุส, เอเซอร์, เลอโนโว, ZTE, หัวเหว่ย กำลังนำ "วินโดว์โฟน 7" มาเปิดตัวภายในงาน MWC2011 โดยแบรนด์ที่พร้อมเปิดตัวแน่นอน ได้แก่ อัสซุส E600 อีกทั้งภายในงานทางไมโครซอฟท์และแบรนด์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออาจพร้อมเปิด ตัว "วินโดว์โฟน 7" เวอร์ชัน CDMA ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001054307.JPEG)
รูปร่าง Sony Ericson XPERIA Play (ด้่านซ้ายมือ) จะจริงหรือหลอกต้องติดตามในงาน

      **โซนี่ อิริคสันจะเซอร์ไพรส์ด้วย XPERIA Play (PlayStation Phone)**
      
      หลังจากมีข่าวหลุดทั้งจริงและไม่จริงมากมายเกี่ยวกับโซนี่ อิริคสัน XPERIA Play หรือในชื่ออย่างไม่เป็นทางการคือ เพลย์สเตชัน โฟน ล่าสุดทางประธานบริษัทโซนี่ อิริคสัน "Bert Nordber" ก็ออกมายืนยันแล้วว่า โซนี่ อิริคสัน XPERIA Play จะพร้อมเปิดตัวในงาน MWC 2011 แน่นอน
      
      สำหรับสเปกของ โซนี่ อิริคสัน XPERIA Play ที่น่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดคือ ตัวเครื่องจะมาพร้อมหน่วยประมวลผลความเร็ว 1GHz พร้อมกราฟิกชิป Adreno 205 และมาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.3 Gingerbread ในส่วนของรายละเอียดอื่นๆ คงต้องติดตามในงาน MWC2011 ครับ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Chiz ที่ 24 มกราคม 2011, 20:52:58
Oh


หัวข้อ: เกมออนไลน์ "World of Tanks" เริ่มโอเพ่นเบต้า 27 ม.ค.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มกราคม 2011, 21:49:12
Wargaming.net ผู้พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ World of Tanks ประกาศกำหนดเปิดให้บริการช่วงโอเพ่นเบต้าของเกมดังกล่าวที่อเมริกาเหนือและ ยุโรปในวันที่ 27 มกราคมนี้ โดยจะมีการเพิ่มแผนที่และรถถังแบบใหม่เข้าไปในเกม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001076601.JPEG)

      เกมออนไลน์ World of Tanks ที่เปิดให้ทดสอบโคลสเบต้าที่อเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงที่ผ่านมานั้น มีรถถังประมาณ 60 แบบของเยอรมันและสหภาพโซเวียตให้เลือกเล่น แต่เมื่อเปิดให้บริการช่วงโอเพ่นเบต้าจำนวนรถถังจะเพิ่มขึ้นเป็น 150 แบบ ซึ่งส่วนที่เพิ่มมานั้นจะเป็นรถถังของอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ
      
      ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมทดสอบโคลสเบต้าเซิร์ฟเวอร์อเมริกาและยุโรปกว่า 260,000 ราย มีการต่อสู้ภายในเกมกว่า 2 ล้านครั้ง มีรถถังที่ถูกทำลายในเกมกว่า 40 ล้านคัน ขณะที่ยอดผู้เข้าเล่นพร้อมกันสูงสุดกว่า 20,000 ราย ข้อมูลและกระแสตอบรับทั้งหมดจากผู้ทดสอบจะถูกนำไปปรับปรุงตัวเกมให้สมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น
      
      วิคเตอร์ คีสลี่ย์ ประธานผู้บริหารของ Wargaming.net ระบุว่า ยินดีเป็นอย่างมากกับกระแสตอบรับที่ได้มา เพราะนั่นหมายความว่าเราอยู่ในสายตาของคนเล่นเกม เราอยากจะขอบคุณผู้เล่นที่ให้การสนับสนุนเรา รวมถึงอยากจะบอกว่าในช่วงโอเพ่นเบต้าจะมีการเพิ่มอะไรใหม่ๆให้เล่นกัน มากกว่าเดิม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: สื่อยุ่นตีข่าว PSP2 รองรับ 3G จอ OLED?!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มกราคม 2011, 22:56:42
สื่อญี่ปุ่น “นิกเคอิ”รายงานข่าวเสริมถึงความเป็นไปได้ของเครื่องเกมพกพาโฉมใหม่ “เพลย์สเตชัน พอร์ตเทเบิล”(PSP)ที่มีข่าวร่ำลือว่าบริษัทโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์เตรียมจะงัดมาดึงดูดให้คอเกมได้ติดอกติดใจกันก่อนจะนำมาวาง จำหน่ายในอนาคต สื่อดังกล่าวอ้างถึงข้อมูลใหม่ที่โซนี่จะใส่ระบบการเชื่อมต่อแบบ 3G เข้ามาในตัวเครื่อง PSP โดยในประเทศญี่ปุ่นจะให้บริการผ่านเครือข่ายของ NTT DoCoMo
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001057101.JPEG)

      สำหรับการใช้ 3G บน PSP นั้น ถูกติดตั้งเข้ามาก็เพื่อให้เกมเมอร์สามารถเล่นเกมออนไลน์,ดาวน์โหลด ซอฟต์แวร์ และภาพยนตร์ได้อย่างสะดวกสะบายยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีลูกเล่นให้เราสามารถ“โทรศัพท์”ได้ เข้ามาข้องเกี่ยวด้วยแต่ประการใด ทั้งนี้ ตามปกติตัวเครื่องจะมีการเชื่อมต่อแบบไร้สายพื้นฐานทั่วไปอยู่แล้ว แต่การที่ทำให้รองรับ 3G ได้ก็เพราะจะช่วยให้ผู้เล่นง่ายต่อเชื่อมต่อออนไลน์กับจุดรับสัญญาณของ DoCoMo บริษัทผู้ให้บริการมือถือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของแดนอาทิตย์อุทัย
      
      นิกเคอิรายงานต่อไปอีกว่า PSP จะใช้จอ OLED ระบบทัชสกรีนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ และโซนี่ยังมีการพัฒนาชิปโปรเซสเซอร์ใหม่เพื่อรองรับการแสดงภาพที่มีความ ละเอียดสูง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาเครื่องยังไม่มีการตั้งไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงสัดส่วนของราคาค่าบริการ 3Gที่ยังไม่ถูกกล่าวถึง และอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีรุ่นรองรับ Wi-Fi อย่างเดียวมาด้วยก็ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001057102.JPEG)

      สื่อญี่ปุ่นฉบับนี้ยังพูดถึงเครื่อง "Playstation Phone”สมาร์ตโฟนที่เล่นเกมได้ว่ามันจะมีปุ่มที่ใช้ให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น และมันก็จะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ทั้งนี้ มีข่าวว่าโซนี่จะเปิดตัว PSP ตัวใหม่ให้ทราบในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ขณะที่โทรศัพท์เล่นเกมนั้นคาดว่าจะเปิดให้ทราบอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า
      
      ด้านสื่อญี่ปุ่นอีกฉบับ “ยุกัง ฟูจิ” รายงานข่าวในทำนองเดียวกันว่า ในวันที่ 27 ม.ค.นี้โซนี่จะเปิดรายละเอียดทั้ง PSP2และPSP Phone ให้ทราบ เพื่อปักหลักเปิดหน้าชนกับ 3DS ของนินเทนโดที่เตรียมจะลงตลาดช่วงเดือนหน้า โดยวิเคราะห์กันว่าเครื่องนี้ก็จะชูในเรื่องภาพกราฟิกของเกมที่เหนือกว่า แม้จะเล่นภาพ 3D ไม่ได้ก็ตาม และคาดว่าจะออกมาช่วงเดือน ธ.ค.นี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: MSI ผุดแท็บเล็ต Win7 พ่วงโปรเจ็กเตอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มกราคม 2011, 13:59:21
ในงาน CES 2011 ที่ผ่านมา MSI บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ผู้นำตลาดหลายๆ ราย ได้เปิดตัว"แท็บเล็ต"ของทางบริษัทด้วยเหมือนกัน โดยแท็บเล็ตของทางบริษัทจะทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Windows 7 แต่สำหรับต้นแบบแท็บเล็ตของ MSI ที่ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็เนื่องจากว่า มันมาพร้อมกับ"เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์"ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/msi/msi-windows-7-tablet-built-in-projector-2.jpg)

MSI เป็นบริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คชั้นนำอีกรายที่ขอเข้าร่วมสังเวียนเดือดในตลาด แท็บเล็ตด้วย แต่แทนที่จะเป็นแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาด 10 นิ้ว (ใหญ่เต็มตากว่า iPad) อย่างที่พบเห็นกันทั่วไป ทางบริษัทยังมีไอเดียในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการออกแบบแท็บ เล็ตที่มาพร้อมกับ"โปรเจ็กเตอร์"ในตัว สามารถฉายภาพหน้าจอลงบนฉาก หรือพื้นผิวเรียบได้ นอกจากนี้โปรเจกเตอร์ที่มาด้วยกันยังได้รับการออกแบบให้สามารถปรับมุมก้มเงย ได้เกือบ 360 อีกต่างหาก เรียกได้ว่าจะหันให้มันฉายลงบนพื้นด้านหน้า เงยขึ้นฉายเพดานที่ 90 องศา หรือหมุนอ้อมกลับไปฉายด้านหลังก็ได้ (ดูรูปประกอบ)

(http://www.arip.co.th/images/news/msi/msi-windows-7-tablet-built-in-projector-3.jpg)

แม้เครื่องต้นแบบที่นำมาโชว์จะเป็นแท็บเล็ตที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 และใช้โพรเซสเซอร์ Intel Atom แต่ทางบริษัทยังคงมีแผนที่จะบุกตลาดแท็บเล็ตสายพันธ์ Android และใช้โพรเซสเซอร์ ARM ด้วยเช่นกัน ในส่วนของแท็บเล็ต"โปรเจ็กเตอร์"ที่ด้านหลังของมันจะมีขาตั้ง (สามารถพับเก็บเข้าด้านหลังเครื่องได้) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้แท็บเล็ตสามารถนำเสนอแผนงาน หรือแม้แต่ฉายภาพยนต์บนฉาก หรือฝาผนังได้

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถพัฒนาเครื่องฉายให้ทำหน้าที่เป็น"คีย์บอร์ดเสมือน" (virtual keyboard) ได้อีกด้วย โดยให้ระบบฉายภาพแป้นคีย์บอร์ดลงบนพื้นเรียบให้ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วพิมพ์ข้อ ความที่ต้องการเข้าไปในโปรแกรมบนแท็บเล็ตได้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อ และราคาของแท็บเล็ตต้นแบบนี้อย่างใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Motorola XOOM วางตลาด ก.พ. ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มกราคม 2011, 14:19:23
แท็บเล็ตที่ได้รับการจับตามองจากผู้เข้าชมงาน CES 2011 มากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น Motorola XOOM ด้วยดีไซน์ และคุณสมบัติการทำงาน ตลอดจนสเป็กที่อยู่ภายใน โดยเฉพาะการเป็น"แท็บเล็ต"รุ่นแรกที่ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android "Honeycomb" ซึ่งเป็นโอเอสที่ Google พัฒนาให้มีความสามารถในการทำงานบนแท็บเล็ตโดยเฉพาะ

(http://www.arip.co.th/images/news/motolora/motorola-xoom-at-best-buy-17-feb-2011-699-usd-2.jpg)

ตามรายงานข่าวล่าสุดที่มีการเปิดเผยออกมาระบุว่า Motorola XOOM "แท็บเล็ต"หน้าจอ 10 นิ้วจะวางตลาดที่ Best Buy ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ด้วยสนนราคาอยู่ที่ 699 เหรียญฯ หรือประมาณ 22,000 บาท โดยสามารถเชื่อมต่อไร้สาย 3G (อัพเกรดเป็น 4G ได้) หากสังเกตตารางเปรียบเทียบระหว่าง Motorola XOOM กับ iPad จะเห็นได้ว่า ราคาของเครื่องสูสีกับ iPad 3G ที่มีความจุ 32GB แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่าถึง 30 เหรียญฯ (ประมาณ 1,000 บาท) อย่างไรก็ดี สตอเรจ 32GB ของ XOOM จะติดตั้งบนแผงวงจรทำงาน ในขณะที่มันยังมีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มเติมได้อีกด้วย ในส่วนของน้ำหนักเครื่องจะเท่าๆ กัน (ข้อมูลเปรียบเทียบจาก Droid Life)

(http://www.arip.co.th/images/news/motolora/motorola-xoom-at-best-buy-17-feb-2011-699-usd-3.jpg)

แต่หากเทียบกันเฉพาะฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เนื่องจากโลกของอุปกรณ์โมบายในปัจจุบันจะต้องเปรียบเทียบกันในส่วนของ แอพพลิเคชันด้วย ซึ่งแน่นอนว่า iPad มีแอพฯไว้รองรับการใช้งานมากกว่าถึง 300,000 แอพฯ ในขณะที่ Android มีอยู่มากกว่า 100,000 แอพฯ นอกจากนี้ iPad รุ่นใหม่ที่กำลังจะออกมา (ถ้าไม่ติดโรคเลื่อนเนื่องจากอาการป่วยของจอบส์) ก็อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้คู่แข่งที่สูสีอย่าง XOOM ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของราคา งานนี้ Motorola ขอชิงตัดหน้า iPad 2 ด้วยการวางตลาด XOOM ในช่วงวันดังกล่าว งานนี้ Apple คงไม่ยอมแน่ๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลุ้นกูเกิลขายคูปองส่วนลด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มกราคม 2011, 15:05:23
ในเมื่อซื้อบริษัท Groupon ไม่ได้ กูเกิลจึงสร้างบริการใหม่ขึ้นมาแข่งขันเสียเลย ล่าสุดวอลล์สตรีทเจอร์นอลรายงานว่ากูเกิลกำลังจับมือกับธุรกิจขนาดย่อมจำนวน หนึ่งเพื่อเตรียมการทดสอบธุรกิจจำหน่ายคูปองหรือส่วนลดแบบจ่ายก่อนค่อยนำไป ใช้ในร้านค้า (prepaid) ตามสไลต์เดียวกับบริษัท Groupon เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิตอล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001098701.JPEG)

      บริการจำหน่ายคูปองของกูเกิลจะใช้ชื่อว่า Google Offers โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดบริการเต็มรูปแบบ มีเพียงการยืนยันว่ากูเกิลจะทดสอบ Google Offers เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกิจสู่ผู้บริโภคในแบบที่กู เกิลไม่เคยทำมาก่อน บนจุดประสงค์คือการติดอาวุธให้กูเกิลสามารถแข่งขันในธุรกิจโฆษณาออนไลน์ได้ ดีกว่าเดิม
      
      ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้กูเกิลถูกมองว่าจะกลายเป็นคู่แข่งขันกับบริษัท Groupon เต็มตัว เนื่องจากราย ละเอียดเบื้องต้นของบริการใหม่กูเกิลมีลักษณะคล้ายกับบริการของ Groupon โดย Google Offers จะใช้วิธีหาพันธมิตรในท้องถิ่นเช่น ร้านอาหาร สปา โรงแรม ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าซื้อส่วนลดพิเศษที่สนใจ (แบบเดียวกับ Groupon) แต่ ในขณะนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าบริการของกูเกิลจะมีข้อแม้ว่าลูกค้าจะต้องรวมตัวกันเพื่อให้ ได้จำนวนผู้ซื้อมากพอตามที่กำหนดไว้แบบ Groupon หรือไม่
      
      แผนการให้บริการนี้ทำให้ข่าวการเสนอซื้อบริษัท Groupon ของกูเกิลเป็นเรื่องที่มีเหตุผลเข้าใจได้ เนื่องจากหากกูเกิลสามารถควบรวม Groupon ได้ กูเกิลก็จะสามารถเพิ่มจำนวนพันธมิตรมากมายทั้งในสหรัฐฯและประเทศอื่นๆอย่าง รวดเร็วแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากกูเกิลสามารถยืนหยัดในธุรกิจจำหน่ายคูปองได้เร็วขึ้นเท่าไร โอกาสการยกระดับรูปแบบธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของกูเกิลก็จะยิ่งเป็นจริงเร็วเท่า นั้น
      
      ปี 2010 ที่ผ่านมา กูเกิลถูกรายงานว่าพร้อมจ่ายเงินมูลค่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อกิจการ Groupon ตัวเลขนี้ถือเป็นสถิติคำเสนอซื้อกิจการที่สูงที่สุดของกูเกิล อย่างไรก็ตาม กรรมการบริหาร Groupon กลับปฏิเสธข้อเสนอเพราะเชื่อว่าตัวเองจะสามารถขยายบริษัทด้วยตัวเองได้แบบ เฟซบุ๊ก ที่ปฏิเสธข้อเสนอซื้อบริษัทหลายพันล้านเหรียญเช่นกัน
      
      Groupon เป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2008 สถิติรายรับรวมคือมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2010 ฐานสมาชิกปี 2010 คือ 13 ล้านคน คาดว่าจะเพิ่มเป็น 25 ล้านคนได้ในปี 2011
      
      นักวิเคราะห์เชื่อว่าหากกูเกิลโชคดี ธุรกิจจำหน่ายคูปองจะสามารถทำเงินให้กูเกิลได้อีกมหาศาล โดยรายงานจากวอลสตรีทเจอร์นอลชี้ว่าธุรกิจนี้จะทำให้กูเกิลสามารถเข้าถึง ตลาดโฆษณาในท้องถิ่นได้ ซึ่งมูลค่าตลาดเฉพาะในสหรัฐฯก็มีมูลค่าสูงถึง 91,000 ล้านเหรียญ
      
      นี่ถือเป็นอีกความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายต่างจับตามองหลังจาก กูเกิลประกาศกำหนดการเปลี่ยนตัวซีอีโอในเดือนเมษายนนี้ โดยผู้ก่อตั้งอย่าง Larry Page จะขึ้นดำรงตำแหน่งแทน Eric Schmidt ซึ่งครองเก้าอี้ยาวนานตั้งแต่ปี 2001

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โมโตโรล่า คัมแบค! พร้อม 3 แอนดรอยด์โฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มกราคม 2011, 15:56:13
โมโตโรล่า ร่อนจดหมายเชิญนักข่าวเข้าร่วมงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด หลังซุ่มเก็บตัวนานกว่า 1 ปี พร้อมส่ง 3 สมาร์ทโฟนลงตลาดครั้งแรกรับการกลับมาในงานไทยแลนด์ โมบายล์ เอ็กซ์โป 2011 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 กุมภาพันธ์ศกนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001126301.JPEG)

      เนื้อความในจดหมายระบุว่า "Are You Ready for a Lift-proof Smartphone โมโตโรล่า ร่วมกับเอสไอเอส และคูล ขอเชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่เหนือใครกับสมาร์ทโฟนที่คุณไม่เคยพบเห็นมา ก่อน" โดยงานแถลงข่าวจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2554
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001126302.JPEG)
Motorola Defy

      การส่งจดหมายเชิญสื่อมวลชน เข้าร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศย้ำชัดว่าโมโตโรล่าจะกลับมาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปตั้งแต่ปลายปี 2552 ซึ่งในครั้งนี้โมโตโรล่าจะจับมือกับตัวแทนจำหน่ายชั้นนำอย่างเอสไอเอส และคูล ดิสทิบิวชัน เปิดตัวสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 2.1 (Eclair) 3 รุ่นด้วยกันคือ "Defy" ที่มาพร้อมหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 3.7 นิ้ว ใช้ซีพียู Qualcomm 7227 ความเร็ว 600MHz กล้อง 5 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลช รวมถึงการเชื่อมต่อ 3G HSDPA 7.2 Mbps, ไวไฟ, บลูทูธ และ A-GPS
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001126303.JPEG)
Motorola QUENCH XT502

      Motorola Charm ที่มา พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส และแป้นพิมพ์แบบ QWERTY กล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซล รองรับการเชื่อมต่อ 3G-HSDPA 3.6 Mbps, ไวไฟ, บลูทูธ และ A-GPS และ Motorola QUENCH XT502 ที่ ใช้ซีพียู Qualcomm ความเร็ว 600 MHz มีหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 3.2 นิ้ว กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช รองรับการเชื่อมต่อ HSDPA 7.2 Mbps, ไวไฟ, บลูทูธ และ A-GPS
      
      โดยก่อนหน้านี้ช่วงเดือนกันยายน 2552 โมโตโรล่าได้จับมือร่วมกับเจมาร์ทในการทำตลาด MotoAURA โทรศัพท์มือถือจอแสดงผลรูปวงกลมหรูหรา ครอบแซฟไฟร์คริสตัลเลนส์ 62 กะรัต, MotoSurf A3100 สมาร์ทโฟน 3G ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมบายล์ และ MotoZine ZN5 โทรศัพท์พร้อมซอฟต์แวร์ถ่ายและแบ่งปันภาพจาก Kodak

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: (O_o) นอทซ่าาO ที่ 25 มกราคม 2011, 15:58:40
เห็นผ่านตามานานล่ะ ไม่เคยคลิ๊กมาอ่านสักที พอเข้ามาอ่าน โอ้ แจ่มเสียนี่กระไร


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มกราคม 2011, 16:00:12
เห็นผ่านตามานานล่ะ ไม่เคยคลิ๊กมาอ่านสักที พอเข้ามาอ่าน โอ้ แจ่มเสียนี่กระไร

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
 :wanwan017:


หัวข้อ: Apple เล็งใช้ iPhone 5 ชำระเงินได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 14:16:21
รายงานข่าวล่าสุด ในอนาคตอันใกล้ผู้บริโภคจะสามารถซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆ ได้โดยชำระเงินผ่าน iPhone หรือ iPad ได้โดยตรง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตของ Apple กำลังจะสามารถทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิสก์ (e-wallet) แทนกระเป๋าเงินจริงๆ ของคุณได้นั่นเอง

ตามรายงานข่าวระบุว่า Apple กำลังพัฒนาให้ iPhone 5 และ iPad 2 สนับสนุนเทคโนโลยีสื่อสารด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าระยะใกล้ (NFC: Near-Field Communication) ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้อุปกรณ์ทั้งสองในการชำระค่าสินค้า และบริการได้แทนการใช้เงินสดจริงๆ หรือบัตรเครดิต Richard Doherty ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีจาก Envisioneering Group กล่าวว่า "iPhone 5 จาก AT&T และ iPad 2 จะมีชิป NFC ติดมาด้วย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมาจากวิศวกรที่อ้างว่ากำลังดำเนินงานในโครงการนี้"

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iphone-5-ipad-2-use-NFC-technology-for-mobile-payment-as-e-wallet-1.jpg)

สำหรับเทคโนโลยี NFC จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันในระยะใกล้ๆ ได้ (ปกติไม่เกิน 4 นิ้ว) ตัวอย่างการใช้งานก็เช่น การทำให้อุปกรณ์มือถือที่ติดตั้ง NFC สามารถส่งข้อมูลการชำระค่าสินค้า หรือบริการไปยังบัญชีธนาคาร เพียงแค่นำมือถือไปไว้ใกล้ๆ กับเครื่องรับสัญญาณ ด้วยวิธีนี้ผู้ใช้ iPhone 5 และ iPad 2 จะสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้า หรือชำระค่าอาหารในภัตตาคาร ตลอดจนธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ซึ่งคุณสมบัติการทำงานใหม่นี้จะทำให้ iPhone 5 และ iPad 2 กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของบัตรเครดิตทันที ความจริง Apple สนใจเทคโนโลยี NFC มาตั้งแต่ปีทีแล้ว

คำถามคือ การใช้เทคโนโลยี NFC นอกจากผู้บริโภคจะได้รับความสะดวกสบายแล้ว ในวงจรธุรกิจมีใครได้ใครเสียอะไรกันบ้าง? ซึ่งในทางธุรกิจ Apple ก็เหมือนกับบริษัททั่วไปที่ใช้บริการบัตรเครดิตในการรับชำระค่าบริการ อย่างเช่น การซื้อเพลงตลอดจนแอพฯต่างๆ จากบริการของ iTunes ก็จะมีการชำระผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับบัญชีผู้ใช้ ซึ่งการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจ่ายค่าคอนเท็นต์บน iTunes ด้วย iPhones ของพวกเขาผ่าน NFC นั่นก็จะทำให้ Apple สามารถตัดส่วนแบ่งของรายได้ที่ต้องแบ่งให้กับ Visa หรือ MasterCard ได้นั่นเอง ในส่วนของผู้ใช้ที่เป็นนักเทคโนโลยีสักหน่อย NFC จะช่วยให้พวกเขาสามารถถ่ายโอน และแชร์ไฟล์ต่างๆ ตลอดจนการตั้งค่าระหว่างสมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง NFC หรือกับพีซีได้อย่างง่ายดาย

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iphone-5-ipad-2-use-NFC-technology-for-mobile-payment-as-e-wallet-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวเปิดเผยว่า Google จะใช้เทคโนโลยีนี้กับสมาร์ทโฟน Nexus S มือถือแอนดรอยด์รุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน โดยในระบบปฏิบัติการอย่าง Android 2.3 หรือ Gingerbread จะสนับสนุนการทำงานร่วมกับชิป NFC ได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ทาง Apple กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการเปิดให้บริการชำระค่าบริการผ่านอุปกรณ์โมบาย (mobile payment) ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวในช่วงกลางปีนี้ ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ แต่ประเด็นที่น่ากังวลก็คือ ต่อไปเวลามือถือหายก็จะหมายถึงกระเป๋าตังค์หายไปด้วยน่ะสิ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: อินเทลเตรียมส่ง CPU "Ivy Bridge" ลงตลาดปีหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 14:53:57
ในขณะที่หน่วยประมวลผลตระกูล "แซนดี้ บริดจ์" ได้ออกสู่สายตาประชาชนไปแล้วและบรรดาแบรนด์ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กกำลังเตรียมเข็น โน้ตบุ๊กกลุ่มแซนดี้ บริดจ์ลงตลาดภายในปีนี้ ล่าสุดทางอินเทลก็เผยโรดแมปการพัฒนาหน่วยประมวลผลตัวต่อไปแล้วในชื่อ "ไอวี่ บริดจ์" (Ivy Bridge)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001137601.JPEG)

      สำหรับซีพียูตระกูลไอวี่ บริดจ์ตามโรดแมปที่ทางอินเทลนำมาเปิดเผยจะเห็นว่าอยู่ในช่วง Tick ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมใหม่ ในที่นี้คือ 22 นาโนเมตร และจะมาพร้อมชิปเซ็ทตัวใหม่ในชื่อ Maho Bay และ Panther Point PCH (Platform Controller Hub) ซึ่งถึงแม้ทางอินเทลจะเปลี่ยน PCH ใหม่แต่ก็สามารถใช้ร่วมกับ Cougar Point PCH ของหน่วยประมวลผลตระกูลแซนดี้ บริดจ์ได้อย่างไม่มีปัญหา
      
      ในส่วนของ iGFX (Intel Integrated Graphics) ที่ถูกลดสถาปัตยกรรมเป็น 22 นาโนเมตร จะถูกปรับปรุงในส่วนของ Shaders Core เป็น 24 ยูนิต (Intel HD Graphics 3000 บนแซนดี้ บริดจ์จะมี 12 ยูนิต) อีกทั้ง iGFX ตัวใหม่จะรองรับชุดคำสั่ง DirectX 11 และมีประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
      
      สำหรับในเรื่องของระบบแพลตฟอร์มจะรองรับพอร์ต USB 3.0 เต็มรูปแบบ และในส่วนของซ็อกเก็ตที่รองรับ ตามข่าวลือที่หลุดออกมาพบว่าจะยังรองรับซ็อกเก็ต LGA 1155 เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดแซนดี้ บริดจ์ได้ โดยในส่วนของกำหนดการเปิดตัวน่าจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2555

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เบราว์เซอร์รุ่นใหม่ติดอาวุธ "ห้ามตามรอย"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 15:14:39
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์พร้อมใจกันติดเครื่องมือเพื่อให้ชาวเน็ต ป้องกันตัวเองจากนักโฆษณาออนไลน์ ที่ใช้วิธีลักลอบสอดแนม สะสม และติดตามข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเสนอโฆษณาเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่เลือกไว้ เป็นไปตามนโยบายป้องกันการตามรอยของชาวออนไลน์ที่ทางการสหรัฐฯประกาศไว้ เมื่อปลายปี 2010 ที่ผ่านมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001170101.JPEG)

      เว็บเบราว์เซอร์คือโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ที่ชาวออนไลน์ทุกคนต้องใช้ เป็นประตูเพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยอเล็กซ์ ฟาวเลอร์ ประธานฝ่ายเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยของมอสซิลา (Mozilla) ผู้สร้างไฟร์ฟ็อกซ์ (Firefox) เบราว์เซอร์ยอดนิยมอันดับ 2 ของโลก ให้ ข้อมูลว่าเครื่องมือป้องกันการตามรอยหรือ "Do Not Track" จะเป็นส่วนแรกของนานาคุณสมบัติเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของชาวออนไลน์ที่ ไฟร์ฟ็อกซ์จะพัฒนาเพิ่มเติมในอนาคต แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเครื่องมือป้องกันการตามรอยของไฟร์ฟ็อกซ์จะเปิด ใช้งานเต็มตัวเมื่อใดในขณะนี้ แม้ข่าวลือจะระบุว่าไฟร์ฟ็อกซ์จะดำเนินการเสร็จในครึ่งแรกของปี 2011
      
      สำหรับกูเกิลโครม (Google Chrome) ผู้ใช้เบราว์เซอร์จากกูเกิลสามารถดาวน์โหลดคุณสมบัติเพิ่ม เติมเพื่อปิดกั้นนักโฆษณาได้แล้วในขณะนี้ แต่ยังจำกัดเฉพาะเครือข่ายโฆษณาออนไลน์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ตั้งค่าส่วนตัว เพื่อกำหนดโฆษณาออนไลน์ที่ต้องการได้เท่านั้น เช่น เครือข่ายของเอโอแอล (AOL), ยาฮู (Yahoo) และกูเกิล (Google) ซึ่งคาดว่าจะมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
      
      ไม่เพียงเบราว์เซอร์น้องใหม่ แต่พี่ใหญ่อย่างไออี (Internet Explorer) เบราว์เซอร์จากไมโครซอฟท์ซึ่งชาวออนไลน์ทั่วโลกใช้งานมากที่สุดในขณะนี้ ก็ถูกยืนยันว่าจะมีเครื่องมือป้องกันการตามรอยมาให้บริการในเวอร์ชันหน้า (IE9) ด้วย โดย จุดต่างคือเครื่องมือในไฟร์ฟ็อกซ์และโครมจะทำงานโดยอัตโนมัติ แต่ในไออี 9 ชาวออนไลน์จะสามารถกำหนดชื่อหรือค้นหาเว็บไซต์ที่ต้องการปิดกั้นได้เอง
      
      การติดเครื่องมือป้องกันการตามรอยในเว็บเบราว์เซอร์เหล่านี้เกิดขึ้น เพราะนโยบาย "Do Not Track" ที่คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ หรือ FTC เสนอไว้ จุด ประสงค์คือเพื่อหาทางออกให้ผู้บริโภคอเมริกันสามารถปกป้องตัวเองให้พ้นจาก การตามรอย ซึ่งนักการตลาดส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักใช้การรวบรวมข้อมูลการใช้งานอิน เทอร์เน็ต ทั้งข้อมูลประวัติการเข้าเว็บไซต์ การคลิกลิงก์ คำที่ค้นหาบ่อย และการซื้อสินค้าออนไลน์ มาเป็นข้อมูลในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ก่อนจะนำเสนอโฆษณาออนไลน์โดยไม่สอบถามผู้บริโภคว่าต้องการหรือไม่
      
      จุดนี้ทำให้กรมพาณิชย์สหรัฐฯออกมาประกาศเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มีการกำหนดแนวทางดำเนินการที่ชัดเจนเพื่อให้นักโฆษณาออ นไลน์ชี้แจงแก่ผู้บริโภคว่าได้ลงมือเก็บข้อมูลการใช้งานใดไปและมีแผนจะนำไป ใช้งานอะไร โดยควรเปิดทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถปิดการเก็บข้อมูลได้ รวมถึงการเลือกไม่อนุญาตให้เก็บข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ซึ่งบริษัทที่ต้องการเก็บข้อมูล ก็จะต้องดำเนินการอย่างปลอดภัยด้วย
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการยกระดับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต แต่ก็เป็นความหวาดหวั่นของวงการโฆษณาออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะสูญเสียรายได้มหาศาลจากการปิดกั้นที่เกิดขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: nineaom ที่ 26 มกราคม 2011, 15:16:40
ขยันโพสจังเลยนะครับ อยากให้ไปโพส เว็บผมบ้างจัง พอจะรับโพสไหมเอ๋ย


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 15:17:46
ขยันโพสจังเลยนะครับ อยากให้ไปโพส เว็บผมบ้างจัง พอจะรับโพสไหมเอ๋ย


ดูตามนี้เลยครับ
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,158434.0.html
 :wanwan019:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมส์ ❤
เริ่มหัวข้อโดย: nineaom ที่ 26 มกราคม 2011, 15:26:03
อดเลยของผมไม่ใช่ smf เอิกๆ


หัวข้อ: "เครือข่ายสังคม" ทำคู่รักใหม่ขึ้นเตียงเร็วขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 15:40:19
ผลสำรวจผู้บริโภคชาวอเมริกันพบ ผู้หญิง 80% และผู้ชาย 58% ยอมรับว่ามีความเชื่อมั่นในการรับส่งข้อความ เฟซบุ๊ก และเครื่องมือเครือข่ายสังคมอื่นๆ จนทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ชิดสนิทกันตลอดเวลา นำไปสู่การตัดสินใจร่วมเตียงมีเพศสัมพันธ์ที่เร็วขึ้นกว่าในอดีตที่การสื่อ สารส่วนใหญ่อยู่ที่การโทรศัพท์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001169901.JPEG)

      อย่างไรก็ตาม แม้สัดส่วน 80% จะเทียบเคียงได้กับกลุ่มตัวอย่าง 4 ใน 5 แต่ผู้หญิงเพียง 38% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้นที่ระบุว่า "ความใกล้ชิดดิจิตอล"ทำให้ตัดสินใจหลับนอนกับคู่เดตหลังเริ่มคบหาเพียงไม่นานแบบสม่ำเสมอ
      
      การสำรวจนี้จัดทำโดยนิตยสาร Shape and Men's Fitness ในกลุ่มตัวอย่างชายหญิง 1,200 คน ผลการสำรวจสามารถสรุปได้ว่า การ ส่งข้อความหรือ Texting คือหนทางอันดับ 1 ที่ทำให้คู่รักใกล้ชิดกันมากขึ้น แถมยังเป็นช่องทางและเครื่องมือนัดหมายอันดับ 1 ของหนุ่มสาวยุคดิจิตอล ที่สำคัญ เครือข่ายสังคมยังเป็นแหล่งข้อมูลชั้นยอดของคู่รักระหว่างการศึกษาหัวใจ
      
      ** ข้อความส่งได้บ่อยกว่า **
      
      การสำรวจพบว่าความถี่ในการส่งข้อความของคู่รักนั้นสูงกว่าเมื่อเทียบ กับการโทรศัพท์ ทำให้การ Texting ถูกจัดอันดับเป็นหนทางอันดับ 1 ที่ทำให้คู่รักใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยพบว่าหนุ่มอเมริกันส่งข้อความบ่อยกว่าการโทรศัพท์ถึง 39% ขณะที่หญิงทุบสถิติ 150%
      
      สำหรับการใช้เครื่องมือออนไลน์ การ สำรวจพบว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างหญิง และ 63% ของกลุ่มตัวอย่างชายใช้กูเกิลและเครื่องมือออนไลน์ในการ"สกรีน"หรือตรวจสอบ คร่าวๆก่อนการเดต ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันการข้อความและหน้าเฟซบุ๊กกลายเป็นช่องทางสำคัญในการนัดเดตของ ชาวอเมริกัน โดย 65% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยได้รับและส่งข้อความนัดหมาย ขณะที่ 49% ถูกนัดหมายผ่านหน้าเฟซบุ๊ก
      
      นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่าเมื่อคู่รักใหม่ตกลงใจคบกัน 72% ของกลุ่มตัวอย่างหญิงจะเริ่มแกะรอยเพจเฟซบุ๊กของแฟนเก่าคู่เดต
      
      ** เลิกกันก็ยังดูเฟซบุ๊ก **
      
      สำหรับกรณีอกหัก การสำรวจพบ ว่า 81% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่าจะไม่เลิกเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊ก โดย 75% ยอมรับว่าจะยังตรวจตราความเคลื่อนไหวเฟซบุ๊กของแฟนเก่าอย่างต่อเนื่อง
      
      อีกสิ่งที่พิสูจน์ว่าเครือข่ายสังคมได้ทวีบทบาทต่อคู่รักในสังคม ปัจจุบัน คือการได้รับข้อความบอกเลิกของกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้หญิง 43% และผู้ชาย 27% ของกลุ่มตัวอย่างเคยได้รับข้อความบอกเลิกแบบชัดเจน หากมีสายโทร.เข้าหรือข้อความใหม่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่าง 5% ระบุว่าจะหยุดพักเพื่อตรวจสอบว่าใครโทร.มา โดย 1% ระบุว่าจะหยุดกิจกรรมชั่วคราวเพื่อไปคุยโทรศัพท์

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Severed" คอนเทนต์ดาวน์โหลดแรกสำหรับเกม "Dead Space 2"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 16:00:11
"Severed" คอนเทนต์ดาวน์โหลดแรกสำหรับ "Dead Space 2" เพิ่มสองภารกิจที่ใช้ตัวละครจากเกมภาคเก่า Dead Space: Extraction อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ระบุกำหนดวางจำหน่ายและราคาออกมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001185201.JPEG)

      เกมชูตติ้งไซไฟ "Dead Space 2" ผลงานการพัฒนาของ Visceral Games เปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ บนเครื่องพีซี , เพลยสเตชั่น 3 และ Xbox360
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001185202.JPEG)

      ล่าสุดสตูดิโอ Visceral Games ออกมาประกาศว่าจะมีคอนเทนต์ดาวน์โหลดแรกสำหรับเกม Dead Space 2 ออกมาในชื่อ "Severed" แพคเพิ่มสองภารกิจที่จะนำสองตัวละครอย่าง Gabe Weller และ Lexine Murdock จากเกม Dead Space: Extraction มาผจญภัยในโลกของ Dead Space 2 ผู้เล่นจะสวมบทเป็น Gabe เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ต้องต่อสู้กับเหล่าร้าย เพื่อปกป้องตัวเองและ Lexine
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001185204.JPEG)

      คอนเทนต์ Severed จะออกบนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 และ Xbox360 ในปีนี้โดยยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับราคาเปิดเผยออกมา ทางด้านคอนเทนต์เดียวกันในเวอร์ชั่นพีซีก็ยังไม่มีการเปิดเผยราคารวมถึงถึง กำหนดเปิดจำหน่าย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001185206.JPEG)

      นอกจากการประกาศเกี่ยวกับคอนเทนต์ดาวน์โหลดแรกแล้ว ทางอีเอ ในฐานะผู้จัดจำหน่ายเกมได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าเกม Dead Space 2 แบบใหม่แกะกล่องจะมาพร้อมกับโค้ด Online pass ที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงทุกฟังก์ชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ที่ไม่มีโค้ดสามารถหาซื้อได้ผ่าน Xbox live และเพลย์สเตชั่น เน็ตเวิร์ค ที่ราคา 800 ไมโครซอฟต์พอยต์ หรือ 10 เหรียญสหรัฐ

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001185207.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: IBM จับมือมจธ. เปิดศูนย์บ่มเพาะความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 มกราคม 2011, 19:28:10
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิด ศูนย์บ่มเพาะความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี (Center of Excellence) หวังใช้เป็นที่ผลิตผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับประกาศนียบัตรอย่างเป็นทางการจากไอบีเอ็ม
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001203601.JPEG)

   ผศ.ดร.นิพนธ์ เจริญกิจการ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่าทางมหาวิทยาลัยมีแผนพัฒนาศักยภาพทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและการวิจัย เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก ในส่วนของคณะเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญหลักและเป็นสาขาหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ มหาวิทยาลัย ขณะนี้ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างทักษะและความเชี่ยวด้านไอทีของนักศึกษาให้ทันกับเทคโนโลยี ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
   
   "ไอบีเอ็มเป็นหนึ่งใน พันธมิตรที่ร่วมทำงานกับทางคณะฯ มาอย่างยาวนาน โดยได้นำทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านไอทีระดับโลกมาถ่ายทอดให้กับ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยอย่างต่อเนื่องการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี ในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของความร่วมมือระหว่างสององค์กรที่จะมุ่ง สร้างมืออาชีพด้านไอทีผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ที่เน้นความร่วมมือกันการ ปฏิบัติจริง”
   
   นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ไอบีเอ็มมีความยินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่มีความโดด เด่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมจธ. ในโครงการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นแหล่งผลิต ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอทีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ นอก จากนี้เราจะเดินหน้าในความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งอื่น ๆ อีกเพื่อขยายขอบข่ายการเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัดเช่นนี้ไปในวงกว้างขึ้น นับเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและส่งเสริมให้ผู้เกี่ยวข้องพัฒนา นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป
   
   โดยหนึ่งในเทคโนโลยีจากไอบีเอ็มที่ มจธ. นำมาใช้เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยขณะนี้ คือ เซิร์ฟเวอร์ ไอบีเอ็ม ซิสเต็ม ซี (IBM System z) หรือเมนเฟรมที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ “โลกฉลาด” (Smarter Planet) ของไอบีเอ็มได้อย่างครบครัน โดยผสานรวมความยืดหยุ่นของระบบประมวลผลขั้นสูงเข้ากับเสถียรภาพและความ สามารถในการปรับขนาดของระบบเมนเฟรมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
   
   นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในแง่ความเสถียรในการประมวลผล เอื้อต่อการลดค่าใช้จ่ายและการประหยัดพลังงานต่อการใช้งานในองค์กรชั้นนำ ทั้งนี้ นับถึงปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่ได้นำเมนเฟรมหรือ ไอบีเอ็ม ซิสเต็ม ซี ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนด้านไอทีแล้วกว่า 500 แห่ง โดยมีนักศึกษากว่า 50,000 คนที่ได้เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีฯ ดังกล่าว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Microsoft ชี้จุดอ่อน iPad กับการใช้ในธุรกิจ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 13:08:19
รายงานข่าวล่าสุด จู่ๆ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็จัดทำข้อมูลตอกย้ำว่า ไอแพด (iPad) ไม่เหมาะกับการใช้งานในภาคธุรกิจ หลังจากที่ iPad ของ Apple ทำยอดทิ้งห่าง"แท็บเล็ต"ไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคใช้งานทั่วไป

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/ms-said-ipad-not-for-enterprise-2.jpg)

ในงาน CES 2011 ที่ผ่านมา จะสังเกตได้ว่า มันมี"แท็บเล็ต"มากมายหลายรุ่นนอกจาก iPad ที่จะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ แม้จะมีอยู่หลายรุ่นอยู่พอสมควรที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ของ Microsoft แต่การที่จะเอาชนะ iPad ที่ล่วงหน้าไปไกลแล้วไม่ใช่เรื่อยง่ายเลย แถมเมื่อเร็วๆ นี้ ทาง Apple อ้างว่า 80% ของบริษัทต่างๆ ใน Fortune 500 กำลังอยู่ในระหว่างการนำร่องใช้งาน iPad ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้ Microsoft คงไม่ปล่อยให้ Apple มาล้วงคองูเห่าได้โดยง่าย (MS ครองตลาดเดสก์ทอปในองค์กรมานานนับ 20 ปีแล้ว) ล่าสุด Microsoft ได้ออกมาชี้จุดอ่อนถึงความไม่เหมาะสมของ iPad สำหรับการใช้งานในองค์กรธุรกิจ เนื่องด้วยมันไม่ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับงานธุรกิจโดยเฉพาะดังสไลด์ข้าง ล่าง

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/ms-said-ipad-not-for-enterprise-4.jpg)

สไลด์ของ Microsoft ข้างบนนี้จะเป็นการเปรียบเทียบความเหมาะสมของ"แท็บเล็ต" Windows 7 กับ iPad สำหรับการใช้ในองค์กรธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องของอินเตอร์เฟซที่คุ้นเคยของ Windows 7 แอพพลิเคชันวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในองค์กร ระบบไฟล์ที่เสิร์ชง่าย ตลอดจนสนับสนุน SharePoint 2010 และอื่นๆ อีกมากมายที่ iPad ไม่สามารถทำงานเข้ากันกับระบบเดิมที่องค์กรใช้ ไม่รู้เหมือนกันว่า วิธีนี้จะทำให้ผู้ใข้ในภาคธุรกิจคิดเหมือน หรือคิดต่างนะ?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ด่วน!!! แฟนเพจ Zuckerberg ถูก"แฮค"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 13:33:10
รายงานข่าวล่าสุด วันนี้แฟนเพจ (fan page) ของ Mark Zuckerberg บนเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (Facebook) ถูกโจมตีโดยแฮคเกอร์ ซึ่งเข้ายึดเพจของผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊ค พร้อมทั้งโพสต์ข้อความปลอมเป็นตัวเขาว่า "เริ่มแฮคกันได้แล้ว หากเฟซบุ๊คต้องการเงิน แทนที่จะไปธนาคาร ทำไมเราไม่ให้ผู้ใช้บริการมาลงทุนในเฟซบุ๊คด้วยวิถีของสังคมเครือข่ายเสีย เลยล่ะ? ทำไมเราไม่เปลี่ยน Facebook ให้กลายเป็น ธุรกิจสังคม (social business) แบบเดียวกับที่ Muhammad Yunus ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลได้กล่าวไว้ล่ะ?http://bit.ly/fs6rT3 แล้วคุณคิดอย่างไร? #hackercup2011"

หลังจากเมสเสจดังกล่าวถูกเผยแพร่ขึ้นไปบนหน้าแฟนเพจของ Zuckerberg เป็นช่วงเวลาสั้นๆ มันก็ถูก "Like" มากกว่า 1,800 ครั้ง แถมยังได้รับการคอมเมนต์เกือบ 500 ข้อความเลยทีเดียว "ผู้ใช้ Facebook ไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง หรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องดูแลระบบรักษาความปลอดภัยของตัวเองด้วย" Graham Cluley ที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีจากบริษัทโซฟอส กล่าว "Mark Zuckerberg อาจจะต้องดูแลระบบความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดหลังจากเกิดเรื่องน่าอายนี้ ขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า มันเป็นเพราะเขาไม่ได้ระมัดระวังพาสเวิร์ด หรือโดนฟิชชิ่ง หรือโดนแฮคขณะใช้ Wi-Fi ที่ไม่มีการเข้ารหัสในร้านกาแฟสตาร์บัค แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็เกิดขึ้นแล้ว" งานนี้ Facebook ต้องทำให้ผู้ใช้มั่นใจอีกครั้งว่า ระบบรักษาความปลอดภัย และการดูแลข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มีความแข็งแรงดี

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/mark-zuckerberg-facebook-fan-page-was-hacked-today-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ทาง Facebook ลบ fan page ของ Zuckerberg ออกจากเว็บไซต์ ก็ปฏิเสธที่จะให้คอมเมนต์เกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย หรือสาเหตุที่ทำให้แฟนเพจของผู้ก่อตั้ง Facebook โดนเล่นงานเสียเอง ทั้งนี้ แฮคเกอร์ที่เข้าโจมตีแฟนเพจของเขาเกิดขึ้นหลังจากบัญชีผู้ใช้ Facebook ของ Nicolas Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศสโดนแฮค และการยกเลิกคุณสมบัติใหม่ที่อนุญาตให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ งานนี้คงต้องติดตามข่าวกันต่อไปว่า Zuckerberg และทีมงานของ Facebook จะแก้เกมที่เกิดขึ้นด้วยวิธีใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Voyager Pro UC หูฟังบลูทูธ+สไกป์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 14:19:12
เช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยรายงานข่าว Gadget ที่น่าสนใจกันก่อนนะครับ ในวาระที่ Plantronics บริษัทผู้นำทางด้านผลิตภัณฑ์ชุดหูฟัง (headset) ครบรอบ 50 ปี ทางบริษัทได้ออกชุดหูฟังบลูทูธรุ่นใหม่ล่าสุดชื่อว่า Voyager Pro UC ที่นอกจากจะมีดีไซน์สวยงามน่าใช้แล้ว มันยังสามารถเชื่อมโยงการทำงานกับ PC เพื่อใช้สนทนาผ่านโปรแกรม Skype และเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Smart Sensor ที่ทำให้ Voyager Pro ฉลาดกว่าชุดหูฟังทั่วไป

Platronics กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยี Smart Sensors ผู้ใช้สามารถรับสายจากสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ได้ทันทีที่ใส่ชุดหูฟังเข้า โดยไม่ต้องกดปุ่ม เรียกใช้แอพฯ หรือใช้คำสั่งเสียงแต่อย่างใด  Voyager Pro สามารถรับรู้ด้วยเซ็นเซอร์ที่สัมผัสกับด้านหลังของหูผู้ใช้ได้ทันทีที่คุณ สวมใส่มัน พร้อมทั้งเปลี่ยนเส้นทางการรับสายจากมือถือ หรือพีซีมายังหูฟังได้เองโดยอัตโนมัติ และในทางกลับกัน เมื่อถอดหูฟังออกมันก็จะโอนเสียงกลับไปที่สมาร์ทโฟน หรือพีซี นอกจากจะมีความฉลาดในการทำงานลักษณะดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถสตรีมเพลงจากลำโพงเข้าไปยังหูฟังได้ทันทีที่สวมมันได้อีก ด้วย และเมื่อถอดออก เพลงก็จะถูกเล่นออกทางลำโพงของมือถือ หรือพีซีทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/platronics-voyager-pro-uc-bluetooth-headset-and-work-with-skype-2.jpg)

Platronics Voyager Pro UC จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมสื่อสารบนพีซียอด ฮิตอย่างเช่น Skype, Microsoft Lync  ซึ่งในขณะที่คุณกำลังติดสายบนมือถือ Voyager Pro UC จะเปลี่ยนสถานะบน apps อย่าง Skype เป็นสายไม่ว่างให้โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการเรียกสายซ้อนขัดจังหวะการสนทนาของคุณ

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเปลี่ยนจากการแชตด้วยโปรแกรมสื่อสารเป็นการสนทนาด้วยเสียงได้ ด้วยการสวมหูฟัง Voyager Pro UC ได้ทันที แหม...ช่างฉลาดล้ำจริงๆ สำหรับชุดอุปกรณ์จะประกอบด้วย ชุดหูฟังพร้อมไมค์ที่สามารถหมุนพับสลับด้านสำหรับใช้งานกับหูข้างไหนก็ไดตาม แต่ความถนัดของผู้ใช้ และอุปกรณ์  USB สำหรับเชื่อมต่อการทำงานไร้สายกับชุดหูฟัง สนนราคาของ Plantronics Voyager Pro UC อยู่ที่ 199.95 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,200 บาท วางตลาดเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: แท็บเล็ตแอนดรอยด์ส่อแวว "แอปฯกระฉูด" !!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 16:42:03
บริษัทวิจัยไอดีซี (IDC) เผยผลสำรวจล่าสุด พบนักพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มีความสนใจในตลาดแอปพลิเคชันสำหรับทำงานบน แท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เพิ่มขึ้นสูงสุด ทำให้คาดว่าแอปพลิเคชันในแท็บเล็ตแอนดรอยด์จะเพิ่มจำนวนอย่างก้าวกระโดดในปี นี้ โดยเป็นไปตามคาด แพลตฟอร์มแท็บเล็ตในดวงใจ 4 อันดับแรกของนักพัฒนายังอยู่ที่ไอแพด, แอนดรอยด์, เพลย์บุ๊กของแบล็กเบอร์รี และเว็บโอเอสของปาล์ม และเอชพีตามลำดับ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001225101.JPEG)

      ไอดีซีรวบรวมผลการวิจัยมาจากนักพัฒนาแอปฯทั่วโลกมากกว่า 2,235 คน ดำเนินการสำรวจถึงแพลตฟอร์ม คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตที่นักพัฒนาให้ความสนใจในการพัฒนาแอปฯมากที่สุด โดยผลการสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ อย่างเดียว แต่ยังแสดงถึงกระแสสนับสนุนอุปกรณ์แอนดรอยด์ของกูเกิลในปีนี้
      
      ความสนใจในแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่เพิ่มขึ้นนั้น ไอ ดีซีเทียบวัดจากการสำรวจช่วงก่อนงานมหกรรม CES 2011 ซึ่งมีแท็บเล็ตแอนดรอยด์มาโชว์ตัวมากกว่า 85 รุ่นจากผู้ผลิตทั่วโลกที่คาดว่าจะลงตลาดในปีนี้ โดยการสำรวจช่วงเดือนกันยายน 2010 พบว่า 84% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่าสนใจพัฒนาแอปฯบนไอแพด และ 62% สนใจพัฒนาบนแท็บเล็ตแอนดรอยด์ แต่หลังงาน CES ผู้สนใจแพลตฟอร์มไอแพดนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 3% เทียบกับแอนดรอยด์แท็บเล็ต ที่เพิ่มขึ้นสูงเป็น 74%
      
      แบล็กเบอร์รีเพลย์บุ๊กสามารถโกยคะแนน 28% จากกลุ่มตัวอย่าง ขณะที่เว็บโอเอสทำได้ 16%
      
      คะแนนความสนใจในแพลตฟอร์มแท็บเล็ตของนักพัฒนานั้นมีนัยยะสำคัญ เพราะแพลตฟอร์มที่ได้รับความสนใจมาก ก็จะหมายถึงจำนวนแอปฯที่มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในที่สุด
      
      สาเหตุที่ทำให้แอนดรอยด์ แท็บเล็ตได้รับความสนใจจากนักพัฒนาเพิ่มขึ้นในช่วงหลังงาน CES 2011 คือปัจจัยด้านราคา โดย 57% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาจะทำให้แอนดรอยด์แท็บเล็ตประสบความสำเร็จในปี นี้ ขณะที่ 33% เชื่อมั่นในความพร้อมของคุณสมบัติระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb ซึ่งกูเกิลจะเป็นแม่งานพัฒนาเพื่ออุปกรณ์แท็บเล็ตในอนาคตโดยเฉพาะ
      
      ที่สำคัญ นักพัฒนาเชื่อว่าค่ายใหญ่ที่พัฒนาแท็บเล็ตแอนดรอยด์อย่างซัมซุง โมโตโรลา เอชทีซี และแอลจี จะแข่งขันจนทำให้ราคาแท็บเล็ตลดลงเหลือต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์แพร่หลายในตลาดแมส ถือเป็นทิศทางความเชื่อมั่นที่กูเกิลน่าจะดีใจ
      
      หากนับรวมสมาร์ทโฟน นักพัฒนามากกว่า 92% ระบุว่ายังคงสนใจในไอโฟนต่อเนื่อง โดย 87% ระบุว่าสนใจพัฒนาแอนดรอยด์คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 5 จุด
      
      สำหรับวินโดวส์โฟนเซเว่น (Windows Phone 7) ได้รับคะแนนจากนักพัฒนาเพิ่มขึ้น 8 จุดเป็น 36% ดีกว่าการคาดหมาย
      
      ในส่วนร้านค้าแอปฯนักพัฒนาเทคะแนนให้แอนดรอยด์มาร์เกตเพลส (Android Marketplace) ราว 82% สูงกว่า 37% ของอเมซอนแอปสโตร์ (Amazon Appstore) มากนัก
      
      ที่น่าสนใจคือ การสำรวจพบว่าจำนวนแอปฯเฉลี่ยที่นักพัฒนาคาดว่าจะสร้างขึ้นในปีนี้คือ 6.5 แอปฯ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 185% เทียบกับปีที่แล้ว แปลว่าปีนี้ผู้บริโภคจะได้เห็นกองทัพแอปฯยกพลโกยเงินจากกระเป๋าผู้บริโภค เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เดโมเกม "Killzone 3" เปิดโหลด 15 ก.พ.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 20:00:18
โซนี่ ส่งเดโม "Killzone 3" ให้โหลดลงเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เป็นแบบซิงเกิลเพลเยอร์เล่นคนเดียวในสมรภูมิรบอันหนาวเหน็บ มีสองเวอร์ชั่นให้เลือกระหว่างสองมิติ กับสามมิติ ด้านสมาชิกเพลย์สเตชั่น พลัส ได้สิทธิ์โหลดล่วงหน้า 1 สัปดาห์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247801.JPEG)

      เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "โซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์" ออกมาประกาศว่าจะเปิดเบต้ามัลติเพลเยอร์ของเกม "Killzone 3" ให้เล่นระหว่างวันที่ 2 ถึง 14 กุมภาพันธ์ ก่อนกำหนดวางจำหน่ายจริงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ล่าสุดโซนี่ออกมาเปิดเผยข้อมูลใหม่เป็นข่าวดีของเหล่าเกมเมอร์เกี่ยวกับเดโม เกมที่จะออกมาให้เล่นกันก่อนการวางจำหน่าย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247802.JPEG)

      โซนี่ ระบุว่าเดโมแบบเล่นคนเดียวของเกม Killzone 3 จะเปิดให้โหลดบนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ที่อเมริกาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ส่วนที่ยุโรปจะเปิดโหลดในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก "เพลย์สเตชั่น พลัส" จะได้สิทธิ์ดาวน์โหลดก่อนล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ โดยเดโมจะมีให้เลือกทั้งแบบเวอร์ชั่นสองมิติ และสามมิติ ซึ่งทั้งสองเวอร์ชั่นสามารถใช้งานกับ "เพลย์สเตชั่น มูฟ" ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247803.JPEG)

      เดโมจะมีเพียงด่านเดียวให้เล่นคือ "Icy Incursion" ผู้เล่นจะกลับไปสู่การขัดแย้งกันระหว่าง Interplanetary Strategic Alliance(ISA) กับ Helghan ฉากของเกมจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ ท่ามกลางความหนาวเย็น ผู้เล่นจะได้ใช้อุปกรณ์เจ็ตแพค การต่อสู้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบตะลุมบอน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247804.JPEG)

      เกม Killzone 3 ผู้เล่นยังคงสวมบทเป็นทหารจากหน่วย Interplanetary Strategic Alliance(ISA) ที่ต้องต่อสู้ทำสงครามกับพวก Helghan โดยภาค 3 จะมีประเภทของศัตรูมากขึ้น มีฉากแวดล้อมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีเจ็ตแพคติดหลัง นอกจากนั้นผู้เล่นยังมียานพาหนะสมัยใหม่ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเคลื่อนที่ได้ ในอากาศได้ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการมียานพาหนะทางอากาศแบบนี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงจุดบางจุดที่ ไม่สามารถเข้าถึงได้ และยังเป็นการทำให้เกมน่าสนใจมากขึ้นด้วยการดวลกันกลางอากาศ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในเกม Killzone 3 ที่น่าสนใจก็คือการรองรับโทรทัศน์สามมิติ และรองรับเพลย์สเตชั่น มูฟ อุปกรณ์จับการเคลื่อนไหวใหม่จากโซนี่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247805.JPEG)

      วันที่ 22 กุมภาพันธ์เป็นกำหนดวางจำหน่ายของเกม Killzone 3 นอจากจะมีเกมเวอร์ชั่นปกติในราคา 60 เหรียญสหรัฐแล้วยังมีเกมเวอร์ชั่นพิเศษในชื่อ "Helghast Edition" อีกด้วย จุดเด่นของแพคเกจ Helghast อยู่ที่หน้ากากและหมวกกันกระแทกจำลองจากกองทัพ Helghast นอกจากนั้นจะมีหุ่นฟิกเกอร์ Cloaking Helghast Marksman และ อาร์ตบุ๊ก เท่านั้นยังไม่พอยังมีบัตรกำนัลพิเศษเพื่อใช้สำหรับดาวน์โหลดซาวด์แทรกซ์และ ไดนามิค ธีมจากเพลย์สเตชั่นสโตร์ พร้อมด้วยการฉากแผนที่มัลติเพลเยอร์จากเกม "Killzone 2" รวมถึงการได้อัตราแต้มโบนัสเพิ่มเป็นสองเท่า และการได้สิทธิ์เข้าถึงอาวุธและความสามารถทุกชนิด อย่างไรก็ตามในส่วนการเข้าถึงฉากแผนที่ ผู้ที่สั่งซื้อเกม "Killzone 3" ล่วงหน้าแม้จะเป็นเวอร์ชั่นธรรมดาก็มีสิทธิ์ แต่ต้องสั่งซื้อล่วงหน้ากับร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001247806.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เกม "MotoGP 10/11" บิดคันเร่ง 15 มี.ค.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 20:11:09
การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ "MotoGP" ฤดูกาล 2011 จะเริ่มขึ้นที่กาต้าร์ในวันที่ 20 มีนาคมนี้ ในส่วนของเวอร์ชั่นเกมทาง "แคปคอม" ก็ได้ออกมาประกาศว่าเกม "MotoGP 10/11" จะออกวางจำหน่ายบนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ที่อเมริกาในวันที่ 15 มีนาคม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001267801.JPEG)

      แคปคอมไม่ได้กล่าวถึงเกม "MotoGP 10/11" เวอร์ชั่น Xbox360 ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าจะวางจำหน่ายได้ในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเมื่อติดต่อสอบถามไปก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากแคปคอม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001267802.JPEG)

      เกม "MotoGP 10/11" ภาคล่าสุดนี้พัฒนาโดย Monumental มีการพัฒนาเพิ่มเติมในหลายๆส่วน อาทิ ระบบการบังคับ และระบบพิสิกส์ รวมถึงฟังก์ชั่นช่วยเหลือผู้เล่นที่สามารถเลือกปรับแต่งได้ว่าต้องการให้สม จริงมาก หรือต้องการให้ประสบการณ์แบบเกมอาร์เคด ซึ่งทางแคปคอมย้ำว่าฟังก์ชั่นช่วยเหลือนี้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งได้ในหลาย รูปแบบ หรือเลือกที่จะปิดการช่วยเหลือทั้งหมดเพื่อให้มีความสมจริงสูงสุด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001267803.JPEG)

      หลายๆโหมดเกมที่มีใน MotoGP 09/10 จะมีอยู่ในเกมภาค MotoGP 10/11 แต่บางฟังก์ชั่นจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่างโหมดอาชีพจะมีฟังก์ชั่นเล่นร่วมกันได้ ผ่านการแบ่งหน้าจอ นอกจากนั้นยังสามารถเล่นผ่านระบบออนไลน์กับเพื่อนได้สูงสุด 20 คน ทิ้งท้ายทางแคปคอมยืนยันว่าจะมีการอัปเดตเพิ่มเติมหลังจากที่ฤดูกาลแข่งขัน โมโตจีพีเริ่มต้นขึ้น

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001267804.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Sony แจ้งเกิด "NGP" เกมพกพา3G จิ้มถูจอหน้า-หลังโฉมใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 20:54:55
หลังจากในโลกไซเบอร์มีภาพข่าวลือใหม่ๆมาโดยตลอดเกี่ยวกับเครื่องเกมพกพา โมเดลใหม่ของบริษัทโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ที่ว่ากันว่าซุ่มทำกันมานาน ล่าสุดพวกเขาก็ตัดสินใจเปิดหน้าเปิดตาให้สื่อได้เห็นแล้ววันนี้(27ม.ค.)ใน ชื่อ"Next Generation Portable" หรือ NGP จอ 5 นิ้วรองรับ 3G มี GPS กล้องและทัชแพดหน้าหลัง ขายปลายปีนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254408.JPEG)
ประธานโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ยิ้มหน้าบานพร้อมลูกคนใหม่

      คาซุโอะ ฮิไร ประธานบริษัทโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์เปิดเผยข่าวให้สื่อมวลชนทราบเมื่อช่วงบ่ายโมงที่ผ่านมมาใน งาน PlayStation Meeting 2011 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นว่า ปัจจุบันบริการเพลย์สเตชัน เน็ตเวิร์ก (PSN)มีคอนเทนต์อยู่กว่า 1,400 ล้านดาวน์โหลด และมีผู้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกอยู่ 69 ล้านรายชื่อบน PSN (สถิติตัวเลขเมื่อ 25 ม.ค.) ทางโซนี่กำลังปรับทิศทางของตัวเองเพื่อให้ความสำคัญกับการเล่นเกมแบบข้ามแพ ลตฟอร์มมากขึ้นด้วย “PlayStation Suite” เพื่อขยายเพลย์สเตชันออกไปยังระบบปฏิบติการแอนดรอยด์ โดยจะมีโปรแกรมใหม่ที่ชื่อ "PlayStation Certified”มาใช้ในการพอร์ตเกมไปยังเครื่องอื่นๆ และยืนยันชัดเจนว่าร้านเพลย์สเตชัน สโตร์จะไปเปิดให้บริการในแอนดรอยด์ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254401.JPEG)

      ไฮไลต์หลักในครั้งนี้อยู่ที่การประกาศตัวของเครื่องเกมพกติดตัวโฉมใหม่ “Next Generation Portable Entertainment System" หรือโค้ดเนมว่า "NGP" (ด้านล่างของจอเขียนกำกับไว้ว่า "PlayStation") ตัวเครื่องใหม่ไม่มีหน้าจอสไลด์ได้ตามข่าวลือใดๆที่ปรากฏออกมา รูปทรงเครื่องจะเป็นรูปไข่ มี 2แกนไมโครแอนนาล็อกซ้าย-ขวาของเครื่อง การบังคับจะมีลูกเล่น Sixaxis เพื่อขยับเอียงเครื่องจับความเคลื่อนไหวไปมาได้ ส่วนปุ่มพิ้นฐานอื่นๆแบบเดิมก็ยังอยู่อย่างครบครัน พร้อมกับมีแฟลช เมมโมรี การ์ดแบบใหม่มาใช้งานแทน UMD โซนี่เรียกมันว่า “นิว เกม มีเดีย” และภายในตัวเครื่องจะมีกล้องถ่ายรูป 2 ตัว ติดที่อยู่ที่ด้านหน้าและหลังเครื่อง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254403.JPEG)

      ขนาดเครื่องอยู่ที่ 182x18.6x83.5 มิลลิเมตร มีลำโพงแบบสเตอริโอและไมโครโฟนในตัว จอเครื่องจะเป็น OLED ขนาด 5 นิ้ว(16:9) 960x544 พิกเซล 16 ล้านสี เป็นแบบมัลติทัชจิ้มลากถูไถสัมผัสจอได้ แถมยังมีทัชแพดขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังเครื่องเสริมเข้าไปอีก กราฟิกจึงอยู่ในระดับเดียวกับเครื่อง PS3 ขณะที่ตัวเครื่องจะบวกการเชื่อมต่อแบบ 3G ควบคู่กับ Wi-Fi IEEE 802.11b/g/n (Infrastructure mode/Ad-hoc mode) แต่ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ มันยังมีระบบ GPS ในการระบุตำแหน่งเครื่อง และบลูทูธ2.1+EDR(A2DP/AVRCP/HSP)
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254404.JPEG)

      โปรเซสเซอร์ของ NGPคือ ARM Cortex-A9 core (4 คอร์) ใช้ชิปการ์ดจอ (GPU)SGX543MP4+เพื่อรองรับการแสดงภาพที่มีความละเอียดสูง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาเครื่องยังไม่มีการตั้งไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงสัดส่วนของราคาค่าบริการ 3Gที่ยังไม่ถูกกล่าวถึง และมีกำหนดออกขายช่วงปลายปีนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254405.JPEG)

      นอกจากนี้ NGP ยังมีระบบ “LiveArea” เรียกง่ายๆว่ามันคือตัวเมนูหลักในการใช้งานแบบใหม่สำหรับเครื่องที่มาแทน XMB (XrossMediaBar)ตัวเดิม ผู้ใช้สามารถใช้นิ้มจิ้มเข้าไปยังแอปป์ต่างๆได้ อาทิ เพลย์สเตชัน สโตร์,เบราเซอร์ อินเทอร์เน็ต,ถ้วยโทรฟี่,รายชื่อเพื่อน,ข้อความ,อีเมล,เพลง,วิดีโอ,รูปถ่าย และเกมต่างๆ ภายในมีแอปป์ “Near”เอาไว้ค้นหาเพื่อนที่อยู่ในละแวกใกล้ๆกันว่ากำลังเล่นเกมอะไรกันบ้าง หรือเกมที่เพิ่งเล่นไป เพื่อนำพาไปสู่การหาเพื่อนเล่นเกมหน้าใหม่ๆ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254413.JPEG)

      เครื่องเกมใหม่ดังกล่าวสามารถเล่นเกมได้ทั้ง PSP , minis และPS1 รวมไปถึงไฟล์วิดีโอและการ์ตูนจากเพลย์สเตชัน สโตร์ ด้านผลงานเกมที่จะมีให้เล่นแน่ๆใน NGP ประกอบด้วย Hots Shots Golf,Killzone,Little Big Planet,Wipeout,Resistance,Little Deviants ,Monster Hunter Portable,Reality Fighters ,Gravity Daze,Smart As,Broken,Hustle Kings และ Uncharted
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254409.JPEG)

      ด้านค่ายเกมอื่นมาร่วมแสดงว่าผลงานเกมของตัวเองสามารถทำงานได้บน NGP อย่าง แคปคอมก็ส่ง “จุน ทาเกะอุจิ” มาโชว์เกมเก่า Monster Hunter Portable 3rd และ Lost Planet 2 โดยไม่ได้ประกาศเกมใหม่ ตามมาด้วย “โทชิฮิโระ นาโงชิ”จากเซก้าขึ้นมาอวดวิดีโอ Yakuza: Of the End ขณะที่เทคโม โคเอะมายืนยันเกมใหม่จากซีรีส์ Dynasty Warriors ที่ผู้เล่นสามารถใช้นิ้วแตะจอเพื่อฆ่าศัตรู ด้าน “ฮิเดโอะ โคจิมะ”ตัวแทนค่ายโคนามิขึ้นมาแสดงฉาก Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots แต่ไม่ได้ระบุว่ามันจะมีใน NGP เขาบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างเกม PS3 สักตัวแล้วผู้เล่นสามารถย้ายมันไปเล่นใน NGP ได้ พร้อมบอกว่ากำลังมีโปรเจกต์ใหม่จะประกาศในงาน E3 เดือนมิ.ย.นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254410.JPEG)

      Tim Sweeney จากเอปปิก เกมส์ ผู้พัฒนาอันเรียล เอนจิน3 ขึ้นมาแสดงเดโม Citadel ที่เคยเห็นกันใน iOS และยังแสดงDungeon Defenders ให้ชมอีกตัว ซึ่งบอกเป็นนัยว่าอันเรียล3จะทำเกมใน NGP ได้ ปิดท้ายด้วยPhilip Earl จากแอ็กติวิชันมายืนยันว่ากำลังทำเกม Call of Duty ให้กับ NGP อยู่ แต่ไม่ได้เผยภาพใดๆให้เห็นแม้แต่น้อย นอกเหนือจากนี้ ยังมีค่ายย่อยๆตอบรับการพัฒนาเกมให้แล้ว อาทิ Grasshopper, IREM, เลเวล- 5,นัมโค บันได,สแควร์ เอนิกซ์,ยูบิซอฟต์, 2K เกมส์ ,ร็อกสตาร์ เกมส์,โค้ดมาสเตอร์,เกมลอฟต์,วอรเนอร์ บราเธอร์ อินเตอร์แอ็กทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์,ป็อปแคป เกมส์,Q เอนเตอร์เทนเมนต์,Arc System Works,Marvelous Entertainment,SNK Playmore และ Spike เป็นต้น

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254411.JPEG)

ด้านบริษัท“โซนี่ อิริคสัน” คู่กิจการร่วมค้ากับ“โซนี่ คอร์ป”ก็ได้ส่งสมาร์ตโฟนตัวต้นแบบเพื่อการเล่นเกม “Xperia Play”ไปให้กับทางเว็บไซต์ Engadget ได้ลองกันตัวเป็นๆแล้ว ลักษณะของเครื่องก็จะเหมือนกับที่เราเคยเห็นกันไปแล้วในอินเทอร์เน็ตทุก ประการ หน้าจอจะสไลด์ขึ้นเหมือนPSP goเพื่อแสดงปุ่มกดที่มีสัญลักษณ์แบบเดียวกับเพลย์สเตชัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001254412.JPEG)

      Engadget ระบุว่าตัวเครื่องมันทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ภายในเครื่องมี RAM 512MB, ROM 1 GB ,หน้าจอ LCD 4 นิ้ว 854x480 พิกเซล แบบมัลติทัช,มี 2ทัชแพดเอาไว้ใช้แทนแกนแอนนาล็อก,กล้องถ่ายรูป และปุ่มโชว์เดอร์ R กับ L
      
      โซนี่ไม่ได้บรรจุซอฟต์แวร์เกมลงไปในเครื่องให้ แต่ก็มีแอปปลิเคชันที่เรียกว่า “เพลย์สเตชัน พ็อกเก็ต”(PlayStation Pocket)อยู่ภายในเครื่องเพื่อใช้สำหรับบริหารจัดการดาวน์โหลดเกมต่างๆเข้ามา เล่น อย่างไรก็ตามEngadget ก็ได้ทดลองใช้โปรแกรมอีมูเลเตอร์เพื่อลองนำเกมจากเครื่อง PS1 และเกมบอยแอดวานซ์มาลองเล่นให้ชม อย่างเกมโทนี่ ฮอร์ก โปร สเก็ตเตอร์4 และซูเปอร์ มาริโอ บราเธอร์3

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Wiki World
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 มกราคม 2011, 21:20:48
สมัยก่อนการที่ครอบ ครัวใดจะมีสารานุกรมดีๆ สักชุดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีราคาแพง ผมยังจำความตื่นเต้นวัยเด็กเมื่อได้สารานุกรม Americana ได้ดี แค่ได้เปิดดูเรื่องราวที่เราสนใจในนั้นเพียงบางหน้าก็มีความสุขมากแล้ว
 
(http://1.bp.blogspot.com/_e0x2VQAIE60/TISILo9AUKI/AAAAAAAAAAM/n5v8lhvO27M/s1600/wikipedia-logo.jpg)

แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความจำเป็นที่ต้องซื้อสารานุกรมดีๆ อย่าง Britainica, Americana หรือสารานุกรมไทย กลับลดน้อยลงไป เมื่อเราสามารถสืบค้นเกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือเรื่องราวต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำได้สะดวก รวดเร็ว และให้ข้อมูลที่ถูกต้องไม่น้อยกว่าสารานุกรมดังๆ แถมยังอัพเดทได้อย่างรวดเร็วทันสถานการณ์กว่าด้วย
 
ทั้งหมดนี้ ต้องยกความดีให้สารานุกรมออนไลน์ที่ชื่อว่า วิกิพีเดีย (Wikipedia) ซึ่งคงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก วิกิพีเดียที่ก่อตั้งขึ้นวันที่ 15 ม.ค. 2544 นับได้ 10 ปีเศษๆ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างแท้จริง เพราะต้องถือว่า วิกิพีเดีย เป็นสารานุกรมของ ประชาชน มีคนที่ช่วยกันอัพเดทข้อมูลกว่า 1 แสนคนทั่วโลก มีข้อมูลให้สืบค้นกว่า 250 ภาษา และมีข้อมูลทั้งหมดรวมกันกว่า 17 ล้านรายการ จึงนับว่าเป็นสารานุกรมที่ใหญ่ และครอบคลุมเรื่องราวต่างๆ มากที่สุดในโลกไปแล้วครับ
 
ถึง แม้ความถูกต้องของข้อมูลจะเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ้าง แต่ในแง่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่นั้นต้องถือว่าความถูกต้องสูงมาก และมีรายละเอียดที่ครอบคลุม เช่น ถ้าเราสืบค้นคำว่า Bangkok ก็จะได้ข้อมูล ทั้งชื่อภาษาไทย รูปภาพ ประวัติศาสตร์ สถานที่ตั้ง ประชากร การขนส่ง และมิติอื่นๆ ครบทุกด้าน เนื่องจากผู้ใช้สารานุกรมจะ ตรวจสอบกันเอง ข้อมูลจึงผิดพลาดน้อยและแม่นยำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้ใช้ และจำนวนผู้ปรับปรุงข้อมูล ซึ่งนับเป็นตัวอย่างของการใช้พลังของฝูงชน (Crowdsourcing) มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
 
หากเทียบกันสารานุกรมของเอกชนบางรายที่ให้คำจำกัดความของ Bangkok ว่า เป็นศูนย์กลางของการค้าบริการทางเพศ ที่เคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว นับว่าวิกิพีเดียให้ ข้อมูลที่รอบด้านเพราะการมีส่วนร่วมของคนจำนวนมาก แทนที่จะเป็นคนไม่กี่คนซึ่งอาจจะเกิดความเอนเอียง (bias) ได้ เข้าทำนองหลายหัวดีกว่าหัวเดียวนั่นล่ะครับ
 
อย่างไรก็ตาม การให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล หรือเหตุการณ์สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ การเมือง ที่ยังไม่ได้รับการชำระให้เรียบร้อยอาจมีข้อโต้แย้งอยู่บ้าง เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ละฝ่าย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในโลกของอินเทอร์เน็ตที่เป็นโลกของข้อมูลข่าวสารนั้น การจะบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากจริงๆ ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด ก็ต้องถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ไปสืบค้นกันต่อได้ครับ
 
หากเราลองสืบค้นคำว่า Wikipedia ในวิกิพีเดียเอง ก็จะได้คำนิยามว่า "Wikipedia is a free, web-based, collaborative, multilingual encyclopedia project supported by the non-profit Wikimedia Foundation." หรือวิกิพีเดีย คือ โครงการสารานุกรมหลายภาษาที่อาศัยความร่วมมือกันให้บริการฟรีในเว็บ ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิวิกิมีเดียที่ไม่แสวงหาผลกำไรนั่นเองครับ
 
วิกิพีเดียเพิ่ง จะประสบความสำเร็จในการระดมทุนกว่า 16 ล้านดอลลาร์ จากผู้บริจาคกว่า 5 แสนคนทั่วโลก จาก 140 ประเทศ โดยจะนำเงินทุนที่ได้ไปปรับปรุงเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทีมงาน และพัฒนาการให้บริการต่อไป โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกรวมถึงในประเทศที่กำลังพัฒนา เข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระ ทั่วถึง และเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้วิกิพีเดียจึงจะเปิดสำนักงานสาขาที่อินเดีย นับเป็นแห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา
 
...ใน โลกของวิกิ ซึ่งเป็นภาษาฮาวายแปลว่า "รวดเร็ว" นั้น การสืบค้นข้อมูลทำได้อย่างทันใจ ทุกที่ทุกเวลาเพียงมีอุปกรณ์เล็กๆ อย่าง สมาร์ทโฟนอยู่ติดมือ แต่รวดเร็วอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องอาศัยความถูกต้อง แม่นยำ และเป็นกลาง จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนได้อย่างแท้จริงครับ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: The Daily นสพ. iPad เปิดตัว 2 ก.พ.นี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 12:15:09
รายงานข่าวล่าสุด นิวส์คอร์ป (News Corp) ประกาศว่า ทางบริษัทจะเปิดตัว"หนังสือพิมพ์ดิจิตอล"ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้งานบนไอแพด (iPad) ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ศกนี้ โดยในงานเปิดตัวแม้จะไร้เงา สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) เนื่องจากลาป่วย แต่ก็จะมี Eddy Cue รองประธานฝ่ายบริการอินเทอร์เน็ตนำเสนอร่วมกับ Rupert Murdoch ประธานบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง News Corp

ทั้งสองจะแนะนำ The Daily หนังสือพิมพ์ดิจิตอลบน iPad ที่พิพิธภัณฑ์ Solomon Guggenheim ที่มหานครนิวยอร์ก โดยบัตรเชิญร่วมงานเปิดตัวได้ถูกส่งทางอีเมล์ให้กับนักข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ Murdoch และ Jobs ได้มีกำหนดการเปิดตัว The Daily ในวันที่ 19 มกราคม ในซานฟรานซิสโก แต่งานดังกล่าวต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ตามมาด้วยการลาป่วยของจอบส์

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/the-daily-ipad-newspaper-launches-2-feb-2011-2.jpg)

"สำหรับข้อมูลในเบื้องต้น The Daily จะเป็นหนังสือพิมพ์ดิจิตอลบน iPad ที่ให้บริการกับลูกค้าในราคา 99 เซนต์ (ประมาณ 30 บาท) ต่อสัปดาห์" James Murdoch ผู้บริหาร News Corp กล่าว The Daily ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของหนังสือพิมพ์ในการเข้าสู่โลกดิจิตอลผ่านทาง อุปกรณ์ที่เรียกว่า"แท็บเล็ต" เพื่อช่วยให้ธุรกิจข่าวได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ในส่วนของความคาดหวังที่มีต่อการเปิดสำนักพิมพ์ดิจิตอลเพียงอย่างเดียว ในสหรัฐฯ ถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดในการที่จะทำให้ผู้บริโภคซื้อข่าวออ นไลน์ และการสนับสนุนการลงทุนจ้างผู้สื่อข่าวระดับหัวกะทิของ News Corp ซึ่งการย่างก้าวครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

หนังสือพิมพ์ และนิตยสารกำลังหวังว่า อุปกรณ์"แท็บเล็ต"อย่างเช่น iPad และ Galaxy Tab ของ Samsung จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ และช่วยให้ธุรกิจที่กำลังแย่เนื่องจากการหดตัวของยอดจำหน่าย และรายได้จากโฆษณา ซึ่งความจริง นสพ.หลายรายได้ทดลองโมเดลต่างๆ ที่จะได้เงินจากการเข้าถึงข่าวออนไลน์ เพื่อเป็นรายได้เพิมจากโฆษณาที่ลดลง ทั้งนี้โฆษณาบนเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ สามารถทำได้แค่เพียง 11% ของรายได้โฆษณาของนสพ.จริงๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Gmail แจ้งเตือน "อีเมล์ใหม่" บนเดสก์ทอป
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 12:48:35
Google (Google) ประกาศว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ใช้ Chrome สามารถกำหนดให้มีการ"แจ้งเตือน" เวลาทีมีอีเมล์ใหม่เข้ามาใน Inbox ของ Gmail หรือการข้อความสนทนาใน GChat บนเดสก์ทอป เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-adds-gmail-HTML5-desktop-notificaiton-for-chrome-user-2.jpg)

ข้อ ความในบล็อกของ Google วันนี้ได้มีการเปิดเผยว่า ผู้ใช้ Gmail ที่กำลังใช้บราวเซอร์ Chrome สามารถกำหนดให้ระบบมีการ"แจ้งเตือน"บนเดสก์ทอป เมื่อเวลาที่ได้รับอีเมล์ หรือมีข้อความ chat จากเพื่อนๆ "พวกเรารู้สึกผิดที่ทำให้ผู้ใช้ต้องสวิทช์กลับไปดู Gmail อยู่เป็นประจำ เพื่อเช็คว่า มีอีเมล์ใหม่เข้ามา หรือไม่? ซึ่งถ้าพวกคุณเหมือนผม คุณอาจจะพลาดข้อความสำคัญๆ ใน Chat อีกด้วย เนื่องจากไม่ได้กำลังดูหน้าต่าง Gmail ในขณะที่มีการส่งข้อความเข้ามา" Andrew Wilson จาก Google กล่าว "ถ้า คุณใช้ Google Chrome ปัญหาในอดีตจะหมดไป เนื่องจากเราได้พัฒนา และเปิดใช้งาน Desktop Notification ของ HTML ที่สามารถแสดงข้อความป๊อปอัพขึ้นมาบนเดสก์ทอป (แยกออกจากบราวเซอร์) เวลาที่มีข้อความ หรืออีเมล์ใหม่เข้ามาได้ทันที"

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-adds-gmail-HTML5-desktop-notificaiton-for-chrome-user-3.jpg)

สำหรับขั้นตอนการเปิดใช้งานคุณสมบัติ ใหม่นี้ ผู้ใช้จะต้องเข้าไปตั้งค่า (Settings) ใน Gmail แล้วเปิดสวิทช์การทำงานของ Desktop Notification (แท็บ General) โดยสามารถเลือกว่าจะให้แจ้งเตือนเฉพาะข้อความที่ได้รับใน Gmail หรือ GCat หรืออีเมล์ที่ได้รับการกำหนดระดับความสำคัญ (priority inbox) อ้อ...ที่สำคัญ คุณต้องเปิดแท็บ Gmail ทิ้งไว้ในบราวเซอร์ Google Chrome ด้วยนะ ทั้งนี้ ทาง Google ไม่ได้บอกว่า คุณสมบัติใหม่นี้จะพัฒนาให้สามารถใช้กับบราวเซอร์ตัวอื่นด้วยหรือไม่? หรือ ไม่ก็ต้องเปลี่ยนใจมาใช้ Chrome แทน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "สามารถ-ล็อกซเล่ย์" คว้า 3G TOT เคาะราคาที่ 16,290 ล้านบาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 16:46:19
กิจการร่วมค้าเอสแอลที่มีกลุ่มสามารถและล็อกซเล่ย์ร่วมด้วย คว้างานสร้างโครงข่ายมือถือ 3G TOT หลังเคาะด้วยระบบอี-ออกชัน 17 ครั้ง ทำราคาต่ำสุดที่ 16,290 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 1,150 ล้านบาท หรือ 6.59% พร้อมเสนอกรรมการผู้จัดการใหญ่ 31 ม.ค.นี้ ก่อนให้บอร์ดเห็นชอบ คาดเซ็นสัญญาได้กลาง ก.พ. 54 ตามแผนที่วางไว้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001289801.JPEG)

      งานประมูลโครงการสร้างโครงข่ายมือถือ 3G TOT มูลค่า 17,440 ล้านบาทเริ่มขึ้นวันที่ 28 มกราคม 54 โดยการเสนอราคาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออกชัน) ตามกำหนดการตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. เริ่มเคาะราคากันเวลาประมาณ 9.45 น. สิ้นสุดเวลาประมาณ 10.45 น. สู้ราคากันทั้งหมด 17 ครั้ง จากผู้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาทางเทคนิค 2 กลุ่ม คือกิจการร่วมค้า (คอนซอร์เตียม) เอสแอล ซึ่งประกอบด้วย บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น บริษัท ล็อกซเล่ย์ บริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี และบริษัท โนเกีย-ซีเมนส์ อีกกลุ่มคือ เอยู คอนซอร์เตียม ประกอบด้วย บริษัท ยูคอม อินดัสเตรียล (ยูเทล) บริษัท แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (เอไอที) และบริษัท อัลคาเทล-ลูเซ่น
      
      การเสนอราคาแข่งกันครั้งนี้ เอสแอล คอนซอร์เตียม ใช้รหัส GGG 222 ขณะที่ เอยู คอนซอร์เตียม ใช้รหัส GGG 333 มีการเคาะราคากันทั้งหมด 17 ครั้ง และจบที่ GGG 222 เสนอราคาต่ำสุด 16,290 ล้านบาท ขณะที่ GGG 333 เสนอราคา 16,777 ล้านบาท ซึ่งราคาต่ำสุดที่ได้อย่างไม่เป็นทางการต่ำกว่าราคากลาง 1,150 ล้านบาท หรือประมาณ 6.59%
      
      “ราคาที่ได้อย่างไม่อย่างเป็นส่วนตัวแล้วพอใจ เพราะทุกอย่างทำตามขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย และจากนี้อีก 1-2 วันจะมีการต่อรองราคา หากไม่ได้ต่ำกว่า 16,290 ล้านบาทคนที่เสนอราคานี้ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาทำถูกต้องตามกระบวนการทุกอย่าง” นายอานนท์ ทับเที่ยง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานโครงข่าย บริษัท ทีโอที ในฐานะประธานคณะทำงานประมูล 3G TOT กล่าว
      
      ทั้งนี้ ตัวเลขที่ได้จากการทำอี-ออกชันจะมีการนำเสนอกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที ซึ่งขณะนี้มีนายนพณัฏฐ์ หุตะเจริญ ทำหน้าที่รักษาการ ในวันจันทร์ที่ 31 ม.ค.นี้ ก่อนจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที เห็นชอบก่อนกลางเดือน ก.พ. และจะมีการลงนามในสัญญาได้ภายในวันที่ 15-18 ก.พ. 54 ซึ่งจะทำให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้คือ เดือน เม.ย.54 สามารถเปิดให้บริการได้บางส่วน และจะครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศภายใน 365 วัน
      
      “พอถึงเดือนเม.ย.จะทำให้พื้นที่การให้บริการ 3G ในกรุงเทพฯที่มีอยู่ขณะนี้ 548 สถานีฐานครอบคุลมพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการให้บริการสูงขึ้น”
      
      ด้านนายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่าการประมูลครั้งนี้ ต้องเตรียมการอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (พาร์ตเนอร์) รวมถึงงานเกี่ยวกับการติดตั้ง
      
      “ที่ผ่านมาถือว่าโชคดีด้วยที่ไม่มีการประมูล 3G ทั่วไปของเอกชนทำให้ซัปคอนแทกต์หรือผู้ที่รับการติดตั้งยังมีอยู่อีกมาก ซึ่งจะช่วยให้การติดตั้งโครงข่ายกว่า 5,000 สถานีฐานได้ทันตามระยะเวลา 1 ปี ตามทีโออาร์กำหนด”
      
      ส่วนการแบ่งความรับผิดชอบเกี่ยวกับการติดตั้ง ล็อกเลย์จะรับผิดชอบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มสามารถจะรับผิดชอบกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคตะวันออก และภาคใต้ เพื่อให้งานติดตั้งเสร็จเร็วที่สุด
      
      ผู้บริหารสามารถเชื่อว่า หากบริษัทดำเนินการ 3G จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท 1 หมื่นล้านบาท ส่วนล็อกซเลย์ อยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยเสริมกลุ่มสามารถให้เติบโตขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการประมูลครั้งนี้โปร่งใส และดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องหลังจากวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้พิจารณายกเลิกคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราว 3G TOT ของอีริคสัน (ประเทศไทย) กับแซดทีอี ประเทศไทย
      
      “ช่วงเวลา 1 ปี หลังมีการเซ็นสัญญาต้องรีบดำเนินการอย่างเร็วที่สุด และต้องโค-ไซต์ กับบริษัทเอกชนรายอื่นด้วย เพื่อประหยัดงบในการลงทุน ขณะเดียวกัน ก็ต้องรีบดำเนินการติดตั้งสถานีฐานกว่า 5 พันสถานีฐานทั่วประเทศ ซึ่งเวลา 365 วัน ต้องติดตั้งให้ได้วันละ 10 กว่าสถานีฐาน” นายวัฒน์ชัยกล่าว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เปิดภาพแรก เกม "Max Anarchy" ซัดตะลุมบอนออนไลน์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 16:57:45
เมื่อหลายวันก่อนเราคงได้เห็นชื่อเกมใหม่ที่เน้นการต่อสู้แบบออนไลน์ของ แพลตตินัม เกมส์ สตูดิโอผู้สร้างเกมเบโยเน็ตต้า(Bayonetta)และแมด เวิลด์(Mad World)กันไปแล้วกับ“แม็กซ์ แอนนาคี”(Max Anarchy)บน เครื่องเพลย์สเตชัน3 และเอ็กซ์บ็อกซ์360 โดยเกมนี้จะมีชื่อในประเทศตะวันตกที่แตกต่างไปเล็กน้อยว่า “Anarchy Reigns” พร้อมกับโชว์วิดีโอโปรโมตตัวแรกมาให้ได้เห็นด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001311501.JPEG)

      จากข้อมูลใหม่ๆเปิดเผยว่า “มาซากิ ยามานากะ” จะมาเป็นผู้กำกับเกมเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาเคยมีส่วนร่วมในเกมแมด เวิลด์,ก็อด แฮนด์และเรสซิเดนต์ อีวิล 4 ขณะที่ “อัตซึชิ อินาบะ”ดำรงตำแหน่งโปรดิวเซอร์คุมการผลิต เขาเคยผ่านงานเกมดังมาแล้วอย่าง โอกามิ, แวงควิชและแมด เวิลด์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001311502.JPEG)

      ยามานากะระบุว่า เกมของพวกเขามีความพิเศษตรงที่การเปิดให้ผู้เล่นมากหน้าหลายตาเข้ามา ตะลุมบอนอัดกันผ่านออนไลน์ มันจะสร้างความตื่นเต้นทั้งฝ่ายที่ชนะและพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำอาจจะได้อารมณ์เหนือกว่าที่คุณเล่นเกมแนวชูตเตอร์ก็ได้ ที่เขาทำเกมนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าตัวเขาเองอยากจะเล่น และจะไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย เขาหวังว่าผู้เล่นจะตั้งตารอรุมอัดกันผ่านออนไลน์ ด้านอินาบะบอกว่า เกมนี้ได้เริ่มพัฒนาแบบลองผิดลองถูกมาราวๆ2 ปีมาแล้ว ตัวเกมจึงมีความต่างกันจากเวอร์ชันแรกๆพอสมควร เกมมีแบบเนื้อเรื่องด้วย แต่ไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้
      
      จากภาพเกมที่เปิดมานอกจากจะมี “แจ็ก”จากแมด เวิลด์แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีตัวละครสาวคล้ายๆที่เห็นจากเบโยเน็ตต้าโผล่มาให้เห็น รวมไปถึงตัวละครในสไตล์เดียวกับแวงควิข แต่ดีไซน์อาจไม่เหมือนเป๊ะซะทีเดียว บางตัวก็ใส่ฮูดและสวมหน้ากากแบบฮ็อกกีย์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001311503.JPEG)

      แม็กซ์ แอนนาคีจะมีมุมมองบุคคลที่สาม ขณะที่ระบบการเล่นมัลติเพลเยอร์จะมีแบบ Tag Team และ Battle Royal ทั้งนี้ ก็ไม่มีการกล่าวอ้างถึงจำนวนผู้เล่นในฉากต่างๆว่ามีสัดส่วนมากน้อยขนาดไหน ไม่รู้ว่าตอนเกมออกจริงแล้วจะเข้าท่าหรือไม่ คงต้องรอเล่นกันช่วงปลายปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โนเกียกำไรฮวบ-ส่วนแบ่งตลาดตก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 21:51:18
ค่ายมือถือประกาศผลประกอบการคึกคัก โนเกียระบุยอดขายเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2010 เพิ่มขึ้นแต่กำไรลดลง ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดประจำปี 2010 ก็ลดลงจากปี 2009
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001317701.JPEG)

      ในเวลา 3 เดือนปลายปี 2010 โนเกียระบุว่าสามารถทำกำไรสุทธิ 745 ล้านยูโร ลดลงจาก 948 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า แม้ยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้น 6% รวมมูลค่าเป็น 12,700 ล้านยูโร หรือราว 543,560 ล้านบาท
      
      กำไรที่ลดลงของโนเกียเกิดขึ้นท่ามกลางคำยืนยันว่า ยอดขายสินค้ากลุ่มอุปกรณ์สื่อสารคอนเวอร์เจนซ์ (สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่) ของโนเกียอยู่ที่ 28.3 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 โดยยอดขายสุทธิของอุปกรณ์และบริการอยู่ที่ 8,500 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 และเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
      
      งานนี้โนเกียระบุว่า ยอดขายจากธุรกิจบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 201 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 และเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
      
      สตีเฟน อีลอป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โนเกีย ยอมรับว่าโนเกียกำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ทั้งในด้านการแข่งขันและการดำเนินงาน ทำให้โนเกียรู้ตัวว่าจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น
      
      "เมื่ออุตสาหกรรมเปลี่ยน ก็ถึงเวลาที่โนเกียจะเปลี่ยนให้เร็วขึ้น”
      
      สำหรับทั้งปี 2010 โนเกียมีกำไรสุทธิทั้งปี 1,850 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 891 ล้านยูโร บนยอดขายรวม 42,400 ยูโร เพิ่มขึ้นจากเดิม 4%
      
      อีกสิ่งที่น่าเป็นห่วงของโนเกียคือส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือรวมที่ลดลงเหลือ 32% ในปี 2010 จากเดิมที่มีอยู่ 34% ในปี 2009

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Nintendo" ยกให้เกมเมอร์ตัดสิน 3DS vs NGP
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 22:43:10
"นินเทนโด" จัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในวันนี้ที่กรุง โตเกียว หลังจากที่ได้แถลงที่โอซาก้าไปเมื่อวานนี้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจตรงที่ประธานของนินเทนโดได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ NGP เครื่องเกมพกพาตัวใหม่ของ "โซนี่" ที่ถือเป็นคู่แข่งทางการค้าในธุรกิจอุตสาหกรรมเกม
   
(http://sonybrands.com/wp-content/uploads/2008/09/sony_psp.jpg)

   ซาโตรุ อิวาตะ ประธานบริษัทนินเทนโด ระบุว่า โซนี่ได้พยายามสร้างจุดดึงดูดลูกค้าที่แตกต่างกับนินเทนโด ดังนั้นจึงมีเพียงลูกค้าเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินว่าวิธีของใครกันแน่ที่ เป็นฝ่ายถูก เมื่อถูกถามถึงกลยุทธในการต่อสู้กับ NGP ประธานนินเทนโดก็ยืนยันว่า นินเทนโดไม่ใช่บริษัทประเภทที่จะมานั่งคิดหาวิธีต่อสู้กับผลิตภัณฑ์ของคู่ แข่ง
   
(http://www.wiinintendo.net/wp-content/uploads/2010/04/f697d2f9.jpg)

   ด้านเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ของนินเทนโดที่มีชื่อว่า Nintendo 3DS มีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ โดยเริ่มเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าได้แล้ว ซึ่งทางประธานนินเทนโดก็เปิดเผยว่า ยอดการสั่งซื้อล่วงหน้าอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งทางนินเทนโดจะให้ความสำคัญกับการขายต่อเนื่องมากกว่าการขายดีแค่ช่วง เปิดตัว
   
   ซาโตรุ อิวาตะ ระบุอีกว่า ขณะนี้กำลังมีแผนปรับปรุงเฟิร์มแวร์ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะเกี่ยวกับการทำงานแบบไร้สายของ 3DS รวมถึงยังจะทำให้เจ้าของเครื่อง DS ในปัจจุบันสามารถถ่ายโอนซอฟท์แวร์ในเครื่องไปยัง 3DS ได้ด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ล้วงลึกเครื่อง"Sony NGP" ชี้มีทั้ง 3G/Wi-Fi แยกขาย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 22:54:25
หลังจากบริษัทโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์นำเสนอเครื่องเล่นเกมพกประจำกายตัวใหม่ที่ใช้ชื่อโค้ดเนม ว่า “NGP” หรือ Next Generation Portable เมื่อวานนี้ (27ม.ค.)ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นไปหมาดๆ แน่นอนว่ามันย่อมมีประเด็นรายละเอียดอื่นๆที่ตกหล่นหรือชวนให้สงสัยกัน เราไปลองตามเก็บกันเลยดีกว่า

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001304101.JPEG)

หนึ่งในช่องทางที่จะทราบข้อมูลเพิ่มเติมลึกๆของเจ้า NGP จอทัชสกรีน OLED ขนาด5 นิ้ว คงหนีไม่พ้นการไปตามสัมภาษณ์เหล่าผู้บริหารใหญ่จากค่ายโซนี่ เริ่มกันที่ “ชูเฮย์ โยชิดะ”หัวหน้าผู้คุมสตูดิโอพัฒนาเกมทั่วโลกของโซนี่ที่มาเปิดเผยว่า NGP มีความใกล้เคียงกับเครื่องเกมรุ่นใหญ่อย่าง PS3 มากขึ้น ระยะห่างมันมากกว่า PSP กับ PS2 เสียอีก เนื่องจากต้องการจะช่วยเพิ่มความง่ายในทางเทคนิคให้กับนักพัฒนาเกมที่จะนำ เกมจาก PS3 มายัง NGP
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001304102.JPEG)

      สำหรับสาเหตุที่หันมาใช้จอ OLED หรือ Organic light emitting diode แทนการใช้จอ LCD ก็เพราะว่ามันช่วยทำให้สีสันปรากฏบนจอได้ไม่ผิดเพี้ยน และลดการบริโภคพลังงานลงเพื่อยืดเวลาการใช้แบตเตอรี่ออกไปทั้งนี้ แม้ว่าโซนี่จะไม่บอกรายละเอียดเรื่องพลังของแบตเตอรี NGPอย่างเป็นทางการ แต่จากการรายงานของหลายๆเว็บต่างก็บอกว่ามันจะใช้งานได้พอๆกับแบตฯของ เครื่อง PSP-3000 ราวๆ3-6 ชั่วโมง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001304103.JPEG)

      ส่วนประเด็นเรื่องซอฟต์แวร์เกมของ NGP จะมีในฟอร์แมตใดบ้าง โยชิดะตอบว่า มีทั้งในรูปแบบของการ์ดเกมแบบใหม่ที่เห็นกัน และแบบดิจิตอลที่ต้องซื้อด้วยการดาวน์โหลดผ่านเพลย์สเตชัน สโตร์ โดยมีความเป็นไปได้ที่เกมหนึ่งจะมีทั้ง 2 แบบให้เลือก โยชิดะบอกอย่างชัดเจนว่า NGP จะมี 2 สลอตในตัวเครื่อง อันหนึ่งจะเอาไว้เสียบเกม การ์ด และอีกช่องหนึ่งเอาไว้เสียบเมมโมรี การ์ด (โซนี่เรียกว่า “มีเดีย การ์ด”)ซึ่งในตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผยให้ทราบ นั่นก็หมายความคุณจะสามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปภายในมีเดียการ์ ดอย่างพวกวิดีโอ,ภาพ และสิ่งที่ดาวน์โหลดมา แต่หากจะเล่นเกมก็ต้องใช้เกมการ์ดใส่เข้าไป กรณีที่มีคอนเทนต์ให้ดาวน์โหลดพิเศษสำหรับซอฟต์แวร์เกมใดเกมหนึ่งออกมา เราสามารถบันทึกมันลงไปในเกมการ์ดได้เลย เนื่องจากมันจะมีพื้นที่เพิเศษสำรองไว้ให้ ส่วนราคาทั้งคู่ก็ยังไม่ขอบอกเช่นกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001304104.JPEG)

      ผู้เล่นสามารถเล่นเกมเก่าของ PSP ได้จากเวอร์ชันดิจิตอลที่โหลดมาจากเพลย์สเตชัน สโตร์ แต่มันไม่สามารถเล่นเกมจากแผ่น UMD เก่าได้ เนื่องจาก NGP ไม่มีไดรฟ์เล่น UMDในตัว ส่วนระบบสัมผัสจอหน้า-แผ่นหลังเครื่องนั้น บางเกมผู้เล่นสามารถใช้นิ้วมือรูดดึงพร้อมกันทั้งหน้า-หลังในคราวเดียวกัน ได้เลย (อย่างเกมLittle Deviants ที่นำมาโชว์ในงานแถลง)

ด้านระบบการเชื่อมต่อของ NGP นั้น จากบทสัมภาษณ์ของแอนดรูว์ เฮาส์ ประธานโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ยุโรประบุว่า นอกเหนือจากNGP มีเครื่องที่ใช้ ทั้ง3Gและ Wi-Fi ได้แล้ว มันจะมีเครื่องเวอร์ชันที่มีเฉพาะ Wi-Fi ออกมาให้เลือกด้วย คล้ายๆไอแพด แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงพื้นที่ในการวางจำหน่าย ปัจจุบันกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ผู้ให้บริการ 3G มาจับมือร่วมกันอยู่ สำหรับราคาขาย NGP นั้น บรรดานักวิเคราะห์ได้ลองนั่งเดาว่ามันอาจจะอยู่ระหว่าง 300-350 เหรียญสหรัฐ (9,300-10,900บาท)
      
      แผนหนึ่งที่โซนี่หมายมั่นว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้เกมตัวเองน่าจะเป็น "PlayStation Suite" (PS Suite) เพื่อนำเกมของเพลย์สเตชันไปโผล่บนเครื่องต่างๆที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดร อยด์ 2.3 จะเห็นได้ว่าสอดรับเครื่อง“Xperia Play”ของบริษัท“โซนี่ อิริคสัน”ที่ใช้ระบบนี้เหมือนกัน โซนี่จะเปิดร้านเพลย์สเชัน สโตร์เพื่อขายเกมทั้งเก่าและใหม่ป้อนให้แอนดรอยด์ พร้อมกับให้สิทธิ์ในโปรแกรม"PlayStation Certified" กับนักพัฒนาเกมที่สนใจ โดยมีสิทธิ์จะได้ใช้โลโก้เพลย์สเตชันและเครื่องหมายปุ่มกด อีกทั้ง NGP ก็ยังสามารถเล่นเกมของ PS Suite ได้ด้วย เชื่อว่าคงจะมีเหล่าเกมแคชวลทยอยออกมาให้เล่นกันเพียบแน่นอน
      
      เมื่อถามว่าทำไมถึงไม่นำ 3D มาบวกเพิ่มใน NGP โยชิดะบอกว่า มันเกี่ยวข้องกับราคาของจอด้วย และพวกเขาก็ค่อนข้างพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงความสำคัญที่จะเพิ่มลงไป ความจริงพวกเขาก็ได้ลองศึกษาถึงความเป็นไปได้เหมือนกัน สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ใส่ลูกเล่น 3D เข้าไปใน NGP โดยโซนี่จะเน้นไปที่ 3D บนทีวีจอใหญ่มากกว่า
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001304105.JPEG)

      ปิดท้ายด้วยประเด็นการโทรศัพท์ได้อย่างพวก Skype ที่เคยเห็นมีใน PSP โยชิดะบอกว่า ตอนนี้บริษัทมุ่งไปที่การพัฒนาเกมให้เยอะๆและพวกบริการทางเน็ตเวิร์กก่อน จึงไม่ขอกล่าวถึงมันในตอนนี้ และเปิดเผยอีกว่าขณะนี้ตัวเครื่องยังไม่ถูกผลิตในโรงงานในเร็ววันนี้ แต่จะเริ่มลงมือทำมันในช่วงปลายปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: “เน็ตบุ๊ก” ไม่สูญพันธุ์ แท็บเลตฆ่าไม่ตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 มกราคม 2011, 23:48:36
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีเมื่ออุปกรณ์พกพาแนวใหม่ที่เรียกขานกันว่า แท็บเลต ส่งสัญญาณความแรงแบบฉุดไม่อยู่ จนกลายเป็นพระเอกแห่งปี แถมความแรงยังส่งผลว่าจะเข้าไปกินตลาดเน็ตบุ๊กที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วให้แคบ ลงยิ่งขึ้นไปอีก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001319001.JPEG)

      จากข้อมูลของไอดีซีและการ์ตเนอร์ สองสำนักบริษัทวิจัย ที่คาดการณ์ว่าอุปกรณ์ที่สร้างกระแสนิยมไปทั่วโลกอย่าง “แท็บเลต” จะสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก รวมถึงเน็ตบุ๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตลาด “เน็ตบุ๊ก” ที่เคยเป็นพระเอกเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จะต้องม้วนเสื่อกลับบ้านเก่าหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่หลายคนเฝ้าติดตาม
      
      อย่างไรก็ตาม ทั้งไอดีซีและการ์ตเนอร์ ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้บริโภคจำนวนมากแค่ไหนที่เปลี่ยนใจจากการซื้อโน้ตบุ๊กหรือเน็ตบุ๊กมา เป็นแท็บเลต
      
      ปัจจุบันในเมืองไทย เน็ตบุ๊กมีสัดส่วนตลาดประมาณ 10% ของตลาดรวมโน้ตบุ๊ก 1.8 ล้านเครื่อง แต่หลังจากการเข้ามาของแท็บเลต ทำให้คนในแวดวงโน้ตบุ๊กมองว่า เน็ตบุ๊กดูจะอ่อนแรงลงและอาจจะถูกกลืนสัดส่วนในตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
      
      “เน็ตบุ๊กก็ไม่ตาย”
      
      เป็นคำกล่าวของ บุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล ผู้จัดการอาวุโส กลุ่มคอนซูเมอร์ ซิสเต็มส์ โปรดักส์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด
      
      เอเซอร์เชื่อว่าปีนี้เน็ตบุ๊กยังคงสามารถรักษาการเติบโตในสัดส่วน 10% ของตลาดรวมโน้ตบุ๊กเช่นเดิม
      
      ทว่าขณะเดียวกัน บุญชัย ก็ยอมรับด้วยว่า กระแสความแรงของแท็บเลตอาจส่งผลระยะสั้นกับเน็ตบุ๊กในแง่ความคลุมเครือด้านการใช้งาน
      
      “หลายคนเห็นว่าเน็ตบุ๊กมีขนาดเล็กและมองเป็นคอมพิวเตอร์พกพาเครื่อง ที่สอง แต่ในอินโดนีเซีย มองเน็ตบุ๊กคือโน้ตบุ๊กที่มีขนาดเล็ก เบา สัดส่วนตลาดเน็ตบุ๊กจึงสูงถึงครึ่งหนึ่งของตลาดโน้ตบุ๊กแล้วในขณะนี้”
      
      เอเซอร์ ยังมองว่ายิ่งเมื่อถูกแท็บเลตเข้ามาทำตลาดในเวลาไล่เลี่ยกัน แถมผนวกคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกันอีก ก็ยิ่งทำให้การรับรู้ของตลาดเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น
      
      แต่ท้ายที่สุด บุญชัย เชื่อว่า ตลาดจะแบ่งแยกเซกเมนต์กันอย่างชัดเจน เป็น 4 เซกเมนต์ ได้แก่ โน้ตบุ๊ก ตอบโจทย์เรื่องประสิทธิภาพการทำงานสมบูรณ์แบบ, เน็ตบุ๊ก ตอบโจทย์เรื่องขนาด พกพาสะดวก และคีย์บอร์ดสามารถพิมพ์ได้, แท็บเลต แม้จะสามารถพิมพ์ได้แต่ไม่สะดวก จึงเน้นตอบโจทย์เรื่องการอ่านเป็นหลัก และสมาร์ทโฟน ได้ทั้งวอยซ์และเชื่อมต่อโลกอินเทอร์เน็ต
      
      ดังนั้น เอเซอร์ จึงประกาศชัดเจนที่จะเดินหน้าทำตลาดเน็ตบุ๊กต่อไป โดยจะเน้นให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานที่แตกต่าง ของแต่ละอุปกรณ์มากขึ้นผ่านพนักงานและเครื่องสาธิตในร้าน เพราะมองว่าหากลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในคุณสมบัติที่แตกต่างของแต่ละ อุปกรณ์อย่างถูกต้อง สภาพตลาดเน็ตบุ๊กจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม
      
      สอดคล้องกับที่ ถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด มองว่า ต่อไปการใช้งานจะแบ่งเป็นเซกเมนต์ชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ เน็ตบุ๊ก เน้นเจาะกลุ่มการใช้งานเครื่องที่ 2, แท็บเลต เน้นเจาะกลุ่มที่ชื่นชอบความบางและสามารถอ่านข้อมูลได้ และสมาร์ทโฟน เจาะกลุ่มที่ใช้งานด้านอินเทอร์เน็ตและการโทร.
      
      ถกล มองว่า วันนี้นอกจากเน็ตบุ๊กจะยังอยู่และมีตลาดที่ชัดเจนแล้ว ส่วนที่จะเสริมให้เน็ตบุ๊กมีการเติบโตเพิ่มขึ้นก็คือ คลาวด์ คอมพิวเตอร์ รูปแบบจะเป็นลักษณะการบันเดิลชั่วโมงอินเทอร์เน็ตไปกับเครื่อง โดยลูกค้าสามารถโหลดอินเทอร์เน็ตมาใช้ได้เมื่อต้องการ ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเน็ตบุ๊กมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสำหรับการทำตลาดในกลุ่มการศึกษา หรือกลุ่มธุรกิจ
      
      สำหรับแนวทางการทำตลาดของโตชิบาในปีนี้ ถกล บอกว่า จะเน้นโฟกัสกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการศึกษา และกลุ่มที่เด็กเน้นใช้งานเป็นเครื่องที่สอง รวมถึงสร้างประสบการณ์การใช้งานเพื่อให้ผู้บริโภคสัมผัสถึงความแตกต่างของ เน็ตบุ๊กจากอุปกรณ์ไฮเทคอื่นๆ และมีการปรับตกแต่งหน้าร้านใหม่
      
      “เชื่อว่าแนวทางการทำตลาดดังกล่าวจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดเน็ตบุ๊กของโตชิบาเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 3% ในสิ้นปีนี้”
      
      ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเอชพี ยังเป็นอีกหนึ่งค่ายที่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดเน็ตบุ๊ก โดยมองกลุ่มที่ต้องการเน็ตบุ๊ก คือกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่ 2 โดยต้องการโน้ตบุ๊กที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้อย่างสะดวก และกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมถึงกลุ่มที่ต้องการเครื่องบางเบาแต่มีแป้นพิมพ์สะดวกสบาย
      
      ส่วนค่ายอัสซุส ก็ยังมุ่งที่จะทำตลาดเน็ตบุ๊กด้วยการออกผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่อัสซุสคือค่ายแรกที่ทำตลาดเน็ตบุ๊กจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001319002.JPEG)

      เทียบฟอร์ม “เน็ตบุ๊ก”
      ชิงกันปลุกกระแสด้วยสีสัน

      
      สำรวจตรวจตลาด “เน็ตบุ๊ก” วันนี้กับ 4 ค่ายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เอชพี เอเซอร์ อัสซุส และโตชิบา ที่ช่วงชิงกันปลุกกระแสเน็ตบุ๊กด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ว่าใครจะแน่กว่ากัน
      
      จากการที่เอชพีประกาศเดินหน้ารุกตลาดคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กในปี 2554 นี้ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เอชพีให้น้ำหนักในการทำตลาดคือเน็ตบุ๊ก หรือที่เอชพีเรียกว่า “มินิโน้ตบุ๊ก” ล่าสุดได้ส่งเอชพีมินิ 110 เข้ามาทำตลาด เน้นดีไซน์และเทคโนโลยีล้ำสมัยเป็นดิจิตอลแอกเซสซอรีชิ้นใหม่ มีให้เลือกถึง 4 สี ไม่ว่าจะเป็น สีดำ Glossy Black สีแดง Sonoma Red สีน้ำเงิน Pacific Blue และสีขาว Moonlight White
      
      เอชพีมินิ 110 บางเฉียบเพียง 0.9 นิ้ว น้ำหนักเริ่มต้น 1.26 กิโลกรัม ออกมาให้ใช้งานได้ครบครัน ทั้งการเชื่อมต่อพอร์ตที่หลากหลาย สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 8.5 ชั่วโมง รวมทั้งชุดซอฟต์แวร์ใหม่ที่เอชพีนำมาเป็นจุดขาย ประกอบด้วย HP QuickWeb ช่วยให้เข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงการใช้งานผ่านทางโปรแกรมอินสแตนด์เมสเซจ เว็บเมล หรือการเข้าถึงข้อมูลรูปภาพและคลังเพลงได้อย่างง่ายดายในไม่กี่วินาที แม้ยังปิดเครื่อง HP CloudDrive คลังเก็บไฟล์ออนไลน์ความจุ 100GB และ HP Media Suite ช่วยให้จัดเก็บไฟล์มัลติมีเดียไว้ในจุดเดียว
      
      ด้านโตชิบาได้เปิดตัวเน็ตบุ๊ก ซีรีส์ เอ็นบี 500 สองรุ่น คือ เอ็นบี 520 และเอ็นบี 505 ซึ่งเป็นเน็ตบุ๊กที่มีจุดเด่นในเรื่องภาพและเสียง โดยเฉพาะในรุ่นเอ็นบี 520 โดยได้ติดตั้งลำโพงของ ฮาร์แมน คาร์ดอน (Harman/Kardon) พร้อมระบบดอลบี้ แอดวานซ์ ออดิโอ ที่ให้เสียงไพเราะด้วยลำโพงคุณภาพสูง ส่วนภาพระดับเอชดีและมีรูปทรงบางน้ำหนัก 1.32 กิโลกรัม หน่วยประมวลผล อินเทล อะตอม ดูอัลคอร์
      
      ขณะที่เอเซอร์ได้ส่ง Aspire one 522 Series เน็ตบุ๊กดีไซน์บางเบา โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพการใช้มัลติมีเดียที่เพิ่มขึ้น หน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว Acer CrystalBrite HD LED นวัตกรรม MD Fusion Accelerated Processing Unit (APU) พร้อมความบันเทิงและโลกดิจิตอล ทั้งการเล่นเกม ชมภาพยนตร์ หรือวิดีโอ นอกจากนี้ เทคโนโลยี AMD C-50 APU ยังช่วยส่งมอบความบันเทิงแบบไม่มีสะดุด ให้ภาพคมชัด ความละเอียดสูงเต็มรูปแบบ ทำงานด้านกราฟิกด้วยมาตรฐานล่าสุดจาก AMD Radeon TM HD 6250 รองรับ Microsoft DirectX 11 พร้อมสัญญาณภาพแบบ HD ผ่าน HDMI Port
      
      สำหรับค่ายอัสซุสนำเสนออัสซุส Eee PC รุ่น 1015PW ในแฟชั่นสไตล์สู่ตลาด เป็นเน็ตบุ๊กที่เน้นดีไซน์หวานไม่ซ้ำใคร ด้วยพื้นผิวฝาครอบตัวเครื่องแบบ Stremelined บางเบา พกพาสะดวก ด้วยน้ำหนักเบาสุดเพียง 1.25 กิโลกรัม มาพร้อมเทคโนโลยี Super Hybrid Engine เพื่อการใช้งานต่อเนื่องยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง มี 3 สีให้เลือก ทั้งชมพู ม่วง และน้ำตาล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Microsoft แนะ Intel พัฒนาชิป Atom 16 คอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 มกราคม 2011, 13:18:47
นอกจาก Intel จะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่าง ARM ที่กำลังร่าเริงกับตลาดอุปกรณ์โมบายแล้ว ยังต้องเจอกับแรงกดดันจากพันธมิตรอย่าง Microsoft อีกต่างหาก โดยล่าสุด Microsoft ได้ร้องขอให้ Intel พัฒนาชิป Atom ที่ใช้พลังงานน้อยกว่าให้มีแกนการทำงานหลัก (Processor Core) เป็น 16 แกน เพื่อใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากมันจะช่วยประหยัดพลังงานให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างมหาศาล

(http://www.notebookspec.com/web/wp-content/uploads/2009/08/intel-atom-logo.jpg)

ผู้บริหาร Microsoft กล่าวว่า ทางบริษัทกำลังพยายามที่จะลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล (data center) ของ Microsoft ลงไปให้ได้มากกว่านี้ โดย Dileep Bhandarkar วิศวกรจาก Global Foundation Services ที่ Microsoft ใช้รันศูนย์ข้อมูลของบริษัทกล่าวว่า โอกาสในการที่จะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพ การใช้พลังงานที่เป็นไปได้ก็คือ การใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยชิปที่ได้รับการออกแบบให้ใช้พลังงานต่ำ และมีขนาดเล็ก อย่างเช่น Atom ของ Intel และ Bobcat ของ AMD

สำหรับ ศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ส่วนใหญ่จะให้บริการแอพพลิเคชันบนเว็บ และโฮสติ้งของแอพพลิเคชันธุรกิจต่างๆ ล่าสุด Dell ก็เริ่มจำหน่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Nano ของ Via ที่ใช้พลังงานน้อยกว่าแล้ว Microsoft ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า บริษัทได้ย้าย Windows 8 ขึ้นไปทำงานบนโพรเซสเซอร์ ARM เพื่อใช้กับอุปกรณ์โมบาย อย่างเช่น แท็บเล็ต แต่ Bhandarkar แย้งว่า มันต่างจากพีซี และเซิร์ฟเวอร์ ทีมีความคาดหวังให้รันซอฟต์แวร์ทีมีอยู่มากมาย และหลากหลายกว่า ซึ่งหนทางเดียวที่เซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูลของ Microsoft จะลดการใช้พลังงานลงได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นก็คือ การพัฒนาชิป Atom ให้มีแกนการทำงาน 16 แกน แทนการใช้โพรเซสเซอร์เดิมอย่าง Intel Xeon ที่ตัวใหญ่ ใช้พลังงานมากกว่า อีกทั้งยังร้อนกว่าด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Game Review: Kingdom Hearts -Re:coded(NDS) ถอดรหัส อาณาจักรหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 มกราคม 2011, 16:13:04
หลายปีที่ผ่านมาแฟนเกม Kingdom Hearts อาจจะเซ็งกันเล็กน้อย เพราะภาคหลักอย่างภาค 3 กลับไม่ถูกประกาศเสียทีว่าจะออกเมื่อไร ยังดีที่ ผู้สร้างอย่างคุณ Tetsuya Nomura ได้ส่งภาคที่เป็นเนื้อเรื่องเสริมจากภาคหลักมาตลอด ทำให้คอเกมยังไม่ลืมความสนุกของเกมลูกผสมระหว่าง ตัวละครเกมจากฝั่งญี่ปุ่นและตัวการ์ตูนดิสนีย์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306601.JPEG)

      โดยในภาค Kingdom Hearts Re-coded ไม่ใช่เกมใหม่แต่เป็นการรีเมคเกมบนโทรศัพท์มือถือที่เล่นได้เฉพาะในญี่ปุ่น ที่ออกในปี 2008 มาทำลง NDS โดยให้ทีมงานที่เคยทำภาค 358/2 Days มาเป็นผู้สร้าง และเกมก็ยังคงเป็นแอ็คชั่น RPG แบบ 3 มิติที่เราจะท่องไปยังโลกของดิสนีย์ ซึ่งภาคนี้เราจะรับบทเป็น โซระ อีกครั้ง โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากข้อความปริศนา ที่ทำให้เราต้องค้นหาความลับ และต้องตามแก้ไขบั๊ก ที่เกิดขึ้นในโลกดิจิตอลของ Kingdom Hearts
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306603.JPEG)

      และที่ทำให้เกมภาค Re-coded ยังคงสร้างความสนุกได้แม้จะเป็นเกมรีเมค คือรูปแบบการเล่นที่เป็นเกมแอ็คชั่นที่รวดเร็ว มีการทำค่าคอมโบต่อเนื่องที่มีแถบเวลาแบบ ATB (active time battle) ที่เมื่อใช้ท่าไม้ตายไปแล้วต้องรอเวลาให้แถบพลังเต็มอีกครั้งถึงจะใช้ใหม่ ได้ ที่โดดเด่นมากคือระบบ Command Matrix ที่ทำให้เราสามารถผสมท่าไม้ตายได้หลากหลายมาก โดยแค่นำท่าไม้ตายหรือเวทมาประสานกันเพื่อเก็บเลเวล โดยเมื่อผสมกันแล้วท่าไม้ตายหรือเวทจะทรงพลังมากขึ้น และเรายังสามารถตั้งค่าได้อิสระตามใจผู้เล่นเพื่อให้เกิดท่าคอมโบที่หลาก หลายได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306604.JPEG)

      ในส่วนของการพัฒนาความสามารถของตัวละครยิ่งทำได้โดดเด่น เพราะเกมใช้ระบบ Status Matrix ที่เป็นการใส่ชิป ลงบนเมนบอร์ดวงจรคอมพิวเตอร์ เพื่ออัพค่าพลังของตัวละคร โดยผู้เล่นสามารถเลือกเดินสายว่าจะพัฒนาตัวละครไปในทางไหนได้อย่างอิสระ (แต่มันจะค่อยๆปลดล็อก)โดยการตั้งค่านี้สามารถปรับได้ละเอียดถึงระดับความ ยากของเกม ซึ่งเราจะเลือกได้ว่าต้องการความโหดแค่ไหน และสุดท้าย Gear Matrix ที่เป็นการตั้งค่าอาวุธกับเครื่องป้องกัน ที่จะทำให้เกิดคุณสมบัติและท่าไม้ตายพิเศษได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306605.JPEG)

      การออกแบบด่านยังคงเป็นการท่องไปในโลกของดิสนีย์ ทั้ง อาราเบี้ยนของ อาลาดิน Colosseum ของ เฮอร์คิวลิส , วันเดอร์แลนด์ จากเรื่อง อลิซ อินวันเดอร์แลนด์ และอีกมากมายตามโลกของ Kingdom Hearts และที่สำคัญ ในแต่ละด่านนอกจากรูปแบบการเล่นแบบเดิมๆของซีรีย์แล้วเกมได้ใส่รูปแบบการ เล่นที่หลากหลายลงไปในแต่ละด่าน ทั้งเกม RPG แบบเทิร์นเบส พลัดกันตีที่ต้องกดปุ่มหลบหลีกและทำคอมโบแบบ มาริโอ RPG หรือบางด่านก็ใส่การเล่นแบบ แอ็คชั่น 2 มิติมุมมองด้านข้างมาให้เล่น หรือบางด่านก็กลายเป็นเกมยานยิง แม้โดยรวมมันจะไม่ได้สนุกสุดยอดแต่ความหลากหลายก็พอที่จะทำให้ผู้เล่นสนุกไป กับเกมได้บ้าง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306606.JPEG)

      เสียดายที่รูปแบบการเล่นที่หลากหลาย กลับมาเสียที่การออกแบบฉากที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่ แถมมุมกล้องก็ยังมีปัญหาอีกเพราะมันส่งผู้เล่นไปยังมุมอับตลอด แม้เราจะสามารถปรับเปลี่ยนเองได้ด้วยจอสัมผัส และปรับอัตโนมัติด้วยปุ่ม R แต่การเล่นในบางจุดก็เป็นด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะฉากที่ต้องกระโดดไปตามพื้นผิว หรือต้องกระโดดหลบกับดัก ที่แม้เกมจะมีระบบกระโดดแบบอัตโนมัติ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักเพราะในบางจุดเราก็ต้องกระโดดเองอยู่ดี และการที่ต้องพลาดบ่อยๆมันน่าหงุดหงิดมาก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306607.JPEG)

      ยังดีที่เกมถูกสร้างสรรค์ด้วยกราฟิกที่ดูดีในระดับหนึ่งสำหรับ เครื่อง NDS เรียกว่าแค่ได้นั่งดูคัทซีนที่เป็น CG งามๆก็คุ้มค่าแล้ว เสียดายที่คัทซีนส่วนใหญ่เกมจะเป็นเพียงแค่ภาพนิ่ง ส่วนส่วนดนตรีประกอบแม้จะเป็นการนำธีมเดิมๆมาใส่ แต่มันก็มีคุณภาพ โดยยังคงประพันธ์โดย Yoko Shimomura เจ้าเดิม และเพลงประกอบยังคงเป็นของนักร้องสาว อุทาดะ ฮิคารุ ขาประจำเพลงของซีรีย์ Kingdom Hearts เช่นเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306608.JPEG)

      สรุปแล้วแม้เกมจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ความสนุกของรูปแบบการเล่นที่ใส่มาหลายรูปแบบ ,เกมเพลย์ที่ลื่นไหล อีกทั้งการตั้งค่าตัวละครได้หลากหลาย ก็พอที่จะทำให้ลืม มุมกล้องแย่ๆไปได้บ้าง และอย่างน้อยถือว่า Kingdom Hearts Re-coded ยังคงสร้างได้อยู่ในมาตรฐานเกมในซีรีย์นี้ ไม่ได้แย่ขนาดทำให้เสียชื่อ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นจนต้องชม ถือว่าเอาไว้เล่นให้หายคิดถึงระหว่างรอภาคหลักประกาศได้ แต่ถ้าคุณไม่ใช่แฟนของเกมซีรีย์อาณาจักรหัวใจ จะพลาดเกมนี้ไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306609.JPEG)

      ข้อดี : การตั้งค่าตัวละครได้หลากหลาย คัทซีนคุณภาพดี
      ข้อเสีย : มุมกล้องชวนมึนโฮ , การเล่นไม่มีอะไรแปลกใหม่
      ข้อแนะนำ : เล่นไว้รอเล่นภาคต่อไป บน 3DS
      
      Darth.Vader (วงศกร ปฐมชัยวัฒน์)
      สนับสนุน บทความโดย ร้านเกม NADZproject


(http://pics.manager.co.th/Images/554000001306610.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: HTC Flyer ดีไซน์-สเป็กชน Galaxy Tab
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มกราคม 2011, 14:30:33
แม้ HTC จะยังไม่ได้เปิดตัว"แท็บเล็ต"ตัวแรกอย่างเป็นทางการ แค่ภาพหลุด HTC Flyer หลุดออกมาบนเน็ตก็เป็นข่าวไปทั่วแล้ว และด้วยขนาดของหน้าจอ 7 นิ้ว ทำให้เดาไม่ยากนักว่า เป้าหมายของ HTC Flyer ก็คือ การช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก Samsung Galaxy Tab ซึ่งเปิดตัวแค่ 3 เดือน แต่ยอดจำหน่ายผ่าน 2 ล้านเครื่องแล้ว

ภาพหลุดของ HTC Flyer แท็บเล็ตหน้าจอขนาด 7 นิ้วถูกเปิดเผยโดยเว็บไซต์ Amobil ในนอร์เวย์ แต่ประเด็นที่น่าแปลกใจคือ มันทำงานด้วย Android 2.3 Gingerbread แทนที่จะเป็น Android 3.0 Honeycomb ซึ่งเป็นโอเอสที่ Google พัฒนาให้ทำงานกับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ นอกจากนี้สเป็กที่เผยออกมายังใช้โพรเซสเซอร์ Qualcomm Snapdragon 1GHz แทนที่จะเป็นดูอัลคอร์ ในขณะที่ความละเอียดเท่ากับ Galaxy Tab คือ 1024x600 พิกเซล

(http://www.arip.co.th/images/news/HTC/htc-flyer-tablet-samsung-galaxy-tab-rival-2.jpg)

อย่างไรก็ดี HTC Flyer มาพร้อมกับพอร์ต HDMI เทคโนโลยีการสตรีมมีเดียไร้สายด้วย DLNA และมีกล้องทั้งด้านหน้าและหลัง แถมยังมีแฟลช LED และเทคโนโลยีรู้จำใบหน้า (Face Recognition) โดยทั้งหมดทำงานด้วยอินเตอร์เฟซ HTC Sense UI ที่ได้รับการปรับแต่งให้ใช้งานกับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ แต่ด้วยสเป็กที่ไม่ได้ใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ งานนี้ HTC Flyer อาจจะมีราคาที่ถูกกว่า Samsung Galaxy Tab ก็ได้ ว่าแต่วิธีนี้จะทำให้วิ่งตามทัน หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป ทางเว็บไซต์ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า HTC กำลังพัฒนาแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 10 นิ้วไว้ชน iPad ด้วย โดยจะวางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2011

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: โปรแกรมคำนวณค่าไฟ ช่วยพ่อบ้านสบายกระเป๋า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มกราคม 2011, 15:00:04
ทีมนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ช่วยกันพัฒนาโปรแกรมคำนวณค่าไฟฟ้า รู้ผลภายใน 5 นาที สำหรับวางแผนประหยัดค่าไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/28/images/news_img_374494_1.jpg)

แต่ละเดือนต้องควักเงินในกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่า เครื่องไฟฟ้าตัวไหนสวาปามกระแสไฟฟ้ากันมากน้อยแค่ไหน ทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จึงช่วยกันพัฒนาโปรแกรมคำนวณค่าไฟฟ้ารู้ผลภายใน 5 นาที สามารถวางแผนประหยัดค่าไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง

 ผศ.ดร.นิตย์ เพ็ชรรักษ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงที่มาของโปรแกรมคำนวณค่าไฟฟ้าว่า เนื่องจากค่าไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า ถ้ายิ่งใช้มาก ค่าไฟฟ้ายิ่งสูงขึ้น

 ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละเครื่องกินไฟ กี่วัตต์ และไม่ทราบสัดส่วนของค่าไฟที่เกิดจากอุปกรณ์แต่ละชิ้น ทำให้ประชาชนที่พยายามลดการใช้ไฟฟ้าไม่ทราบว่ากิจกรรมที่ตนเองทำการประหยัด นั้นจะมีประสิทธิภาพในการลดค่าไฟได้จริงหรือไม่

 ประเด็นดังกล่าว ทำให้นายศรชัย บัวแก้ว และนายจาตุรงค์ ปุริสาร นักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พัฒนา “โปรแกรมสำเร็จรูปคำนวณค่าไฟฟ้าแก่ ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทผู้อยู่อาศัย” (Program for Electricity Bill Computation) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายพลังงาน ปี 2550

 ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจถึงรูปแบบการคิดค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกันก่อน นายศรชัยอธิบายว่า อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับประเภทบ้านอยู่อาศัยประกอบด้วย 4 ส่วนได้แก่ 1.ค่าบริการ (บาท/เดือน) 2.ค่าไฟฟ้าฐาน ที่คิดจากพลังงานไฟฟ้า (บาท/หน่วย) 3.ค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟที (บาท/หน่วย) 4.ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาษีมูลค่าเพิ่มโดยคิดจากค่าไฟฟ้าฐานรวมกับค่าเอฟที

 “คำศัพท์เฉพาะและความซับซ้อนต่างๆ ทำให้หลายคนไม่เคยคำนวณค่าไฟ รอดูอย่างเดียวว่า แต่ละเดือนบิลค่าไฟจะมา เราจึงพัฒนาโปรแกรมคำนวณค่าไฟฟ้าที่นำค่าบริการ ค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นตัวแปรในการคำนวณค่าไฟฟ้ามาเป็นสูตร โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องจำให้ยุ่งยาก เพียงแค่เปิดโปรแกรมผ่าน www.dpu.ac.th/eng/ee/cal/index.php (http://www.dpu.ac.th/eng/ee/cal/index.php) “ นายศรชัยกล่าว
 เมื่อ เปิดหน้าจอไปยังโปรแกรม ผู้ใช้จะต้องลงรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตนใช้อยู่ ว่ามีอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ ปริมาณการใช้กี่ชั่วโมงต่อวัน และใช้กี่วันต่อเดือน ในเวลาไม่ถึง 5 นาที ระบบจะคำนวณค่าไฟฟ้าที่ประมาณการจากการใช้งานจริง และมีข้อแนะนำการประหยัดไฟฟ้าแนบมาด้วย

 อย่างไรก็ตามโปรแกรมดังกล่าวยังมีข้อจำกัดตรงที่สามารถใช้คำนวณค่าไฟได้ เฉพาะในครัวเรือนเท่านั้น ยังไม่สามารถคำนวณที่เป็นสถานประกอบการ หรือในภาคธุรกิจได้ โดยทีมนักศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กำลังศึกษาข้อมูลและพัฒนาเพื่อใช้คิดคำนวณได้ในภาคธุรกิจ

 “โปรแกรมคำนวณค่าไฟฟ้าฟ้า นี้ ต้องการให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็นและใช้อย่างประหยัด โดยจะสามารถวางแผนการใช้ไฟฟ้าในระยะยาวได้” ผศ.ดร.นิตย์กล่าว ก่อนเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหน่วยงานรัฐรณรงค์ให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด และรู้จักคุณค่าของพลังงาน ซึ่งประชาชนก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Angry Birds Rio "นกโกรธ" เวอร์ชันใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 13:11:31
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า Angry Birds เป็นเกมส์บนมือถือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปี 2010 ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่า Rovio บริษัทผู้พัฒนาเกมส์นกโกรธกำลังจะออก Angry Birds เวอร์ชันใหม่ในเดือนมีนาคม ศกนี้ ใครอยากเล่นบ้างยกมือขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ Rovio ได้ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เกมส์ใหม่ที่มีชื่อว่า Angry Birds Rio ซึ่งพัฒนาร่วมกับ 20th Century Fox ด้วยการดึงเอาตัวละครต่างๆ จากภาพยนต์การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง Rio มาใส่ในเกมส์นกโกรธเวอรชันใหม่นี้ด้วย โดยภาพยนต์แอนิเมชั่นดังกล่าวมีกำหนดฉายเดือนเมษายน ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/angry-birds-rio-is-coming-on-iphone-android-nokia-ovi-store-2.jpg)

Rovio ยังกล่าวอีกด้วยว่า เกมส์ Angry Birds Rio จะคล้ายกับเวอร์ชันแรก แต่จะมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไป และจะเปิดให้ดาวน์โหลดใน App Store เดือนมีนาคม รายงานข่าวในเบื้องต้นไม่ได้ระบุว่า มันจะมีเวอร์ชันบน Windows Phone 7 หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ มันจะมีอยู่บน App Store ของ Apple, Android Market ของ Google และ Ovi Store ของ Nokia สำหรับ Angry Birds Rio จะมีให้เล่น 45 เลเวล และมีรายละเอียดของกราฟิกมากขึ้น ดังนั้นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพต่ำอาจจะไม่สามารถให้อรรถรสของการเล่นที่ สนุกมากนัก

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Honeycomb บนอีรีดเดอร์ Nook Color
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 13:28:39
Google จะมีการจัดงานในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ศกนี้ เพื่อโชว์ศักยภาพการทำงานของระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (โค้ดเมน Honeycomb) ที่ได้รับการพัฒนาออกมาให้รองรับการทำงานบน"แท็บเล็ต" (tablet) โดยเฉพาะ แต่ก่อนที่จะถึงวันงาน แฮคเกอร์มือดีได้ทดลองย้ายระบบปฏิบัติการเวอร์ชันพรีวิวให้ทำงานบน Nook Color เครื่องอ่านอีบุ๊คจอสีของ Barnes & Noble และโพสต์มันขึ้นไปบน YouTube เรียบร้อยแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/honeycomb-android-3-0-ported-to-nook-color-2.jpg)

สำหรับเฟิร์มแวร์ของ Android Honeycomb ที่ได้รับการดัดแปลงดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยน Nook Color ให้กลายเป็นแท็บเล็ต Android ได้ ซึ่งความจริง B&N ไม่อนุญาติให้ผู้ใช้ root เครื่องอ่านอีบุ๊คของทางบริษัท แต่ก็ดูเหมือนคำห้ามจะไม่เป็นผล

อย่างไรก็ตาม การย้าย Honeycomb ระบบปฏิบัติการทีได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานบนแท็บเล็ตโดยเฉพาะลงบน Nook ดูเหมือนจะเป็นการจับคู่ที่ลงตัวทีเดียว โดยเฉพาะราคาของ Nook Color ที่ 250 เหรียญฯ กับการทำให้มันกลายเป็นแท็บ Android ได้ อาจจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกว่า มันเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Android 3.0 ที่ติดตั้งเข้าไปในเครื่องยังเป็นเวอร์ชันพรีวิว แต่ทีมแฮคเกอร์คาดว่า จะสามารถพอร์ตเวอร์ชันสมบูรณ์ลงมาทำงานบน Nook Color ได้เหมือนกัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: กระเป๋าเงินไฮเทคไม่ใช่เจ้าของเปิดไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 13:46:02
ใครที่ขี้ลืม หรือค่อนข้างรู้สึกกังวลเกี่ยวกับกระเป๋าสตางค์ของตนเองอยู่บ่อยๆ ว่า จะถูกล้วง หรือลืมทิ้งไว้ที่ไหนเข้าสักวัน บางที Dunhill Biometric Wallet กระเป๋าเงินไฮเทคฯรุ่นนี้อาจจะเหมาะกับคุณ เนื่องจากมันมาพร้อมกับคุณสมบัติในการ"ล็อค" โดยไม่ยอมให้ใครเปิดช่องเก็บใส่เงินสด และบัตรเครดิต หากคนๆ นั้นไม่ใช่คุณ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/dunhill-biometric-wallet-fingerprint-reader-bluetooth-alarm-2.jpg)

Dunhill Biometric Wallet กระเป๋าสตางค์ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีความทนทาน มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องอ่านลายนิ้วมือ (biometric finger reader) และระบบแจ้งเตือนสัญญาณไร้สายบลูทูธ (bluetooth alarm) ซึ่งทางผู้ผลิตรับประกันว่า ขโมย หรือโจรจะไม่สามารถเปิดเอาเงิน หรือบัตรเครดิตของคุณออกจากกระเป๋าได้นอกจากทำลายมันซะ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/dunhill-biometric-wallet-fingerprint-reader-bluetooth-alarm-3.jpg)

คุณสมบัติการทำงานของมันก็คือ เจ้าของกระเป๋าสตางค์จะต้องใช้นิ้วมือสัมผัสกับเครื่องอ่านขนาดเล็ก ซึ่งทำหน้าที่"ล็อค"ช่องเปิดใส่เงิน หรือบัตรเครดิตในกระเป๋าสตางค์ ในขณะที่หากเป็นคนอื่นจะไม่สามารถเปิดได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่เจ้าของลืมกระเป๋าสตางค์ทิ้งไว้ห่างตัวเกินกว่า 5 ฟุต (ประมาณ 1.5 เมตร) ระบบแจ้งเตือนไร้สายด้วย bluetooth จะส่งสัญญาณไปยังมือถือ เพื่อเตือนให้คุณกลับไปเอากระเป๋าสตางค์ที่ลืมเอาไว้ สำหรับใครที่รู้สึกตัวว่าขี้ลืม และขี้กังวล ก็สามารถจับจอง Dunhill Biometric Wallet ได้ด้วยสนนราคาแค่ 825 เหรียญฯ หรือประมาณ 26,000 บาทเท่านั้น อุ๊ปส!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: นกอารมณ์บูดผูกมิตรหนัง ปั้นเกมใหม่ "Angry Birds Rio"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 15:26:22
โรวิโอ-ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ประสานมือทำเกมนกพิโรธตัวใหม่ “แองกรีย์ เบิร์ดส์ ริโอ” ประยุกต์หนังแอนิเมชัน“ริโอ”เข้ามาสร้างความสนุกในทิศทางที่หลากหลายขึ้น พร้อมให้ดีดนกต่อเนื่องเบื้องต้น 45 ด่านราว มี.ค.นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001404701.JPEG)

      บริษัทโรวิโอและทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ประกาศจับมือกันในการผสานสิ่งต่างๆจากภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง “ริโอ”(Rio)ลงไปในเกมนกขี้โมโหเวอร์ชันใหม่ “แองกรีย์ เบิร์ดส์ ริโอ”( Angry Birds Rio) สำหรับหนังแอนิเมชัน “ริโอ”นั้น สร้างขึ้นด้วยฝีมือของ “บลู สกาย สตูดิโอส์”ผู้ที่เคยฝากผลงานไว้อย่างซีรีส์ไอซ์ เอจและโรบอตส์ กำกับโดย Carlos Saldanha และDon Rhyme เป็นผู้เขียนบท ตัวเอกของหนังเรื่องนี้ก็คือเจ้านกมาคอว์สีฟ้าพันธุ์หายากที่ชื่อ “บลู”ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบายจาก “ลินดา”เจ้าของที่มูส เลค เมืองเล็กๆในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา
      
      ทั้งลินดาและบลูก็คิดว่านกที่ครอบครองอยู่และตัวมันเองเป็นตัวสุดท้ายของ พันธุ์นี้แล้ว จนได้ค้นพบว่ายังมีนกมาคอว์อื่นๆที่อาศัยในนครริโอเดอจาเนโร บราซิลอีก จึงได้เดินทางไปเพื่อตามหา“Jewel”นกมาคอว์สาวอีกตัว แต่เรื่องวุ่นๆก็บังเกิดขึ้นตามมา เพราะทั้งคู่ถูกพวกค้าสัตว์ป่าจับตัวไป และที่สำคัญ เจ้าบลูบินไม่เป็น เนื่องจากไม่เคยผ่านการฝึกบินมาก่อนด้วย หนังจะเข้าฉายในโรง 15 เม.ย.นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001404702.JPEG)

      เกม“แองกรีย์ เบิร์ดส์ ริโอ”จะหยิบเอาฉากการที่บลูถูกจับไปในบราซิลมาเป็นเกม เพื่อให้เราช่วยเหลือมันให้เป็นอิสระ ความสนุกน่าจะอยู่ที่พวกนกสายพันธุ์ขี้โมโหดันถูกจับตัวไปยังที่เดียวกัน เข้าให้ เกมนี้จะใช้ระบบฟิสิกส์ในการดีดตัวแก๊งนกพิโรธไปถล่มฉากและสิ่งต่างๆที่มา จากหนังดังกล่าว เกมจะมีทั้งหมด 45 ด่านในช่วงแรก ที่เปิดให้บริการในเดือน มี.ค.ทั้งพวกสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต พร้อมกับจะอัปเดตด่านเพิ่มเติมในภายหลัง
      
      ปีเตอร์ เวสเตอร์แบ็คกา หรือ Mighty Eagle จากโรวิโอ โมบายในฟินแลนด์บอกว่า การร่วมกันทำการตลาดควบคู่กันไปกับหนังนกจากทีมสร้างไอซ์ เอจถือว่าเหมาะเหม็งเข้ากันได้ดีกับเกมแองกรีย์ เบิร์ดส์ของเขาแล้ว เพราะมีนกเป็นจุดขายเหมือนกัน หากทำหนังของตัวเองก็คงต้องทำแบบนี้เพื่อทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้ ประโยชน์กลับมาแน่นอนจากการโปรโมตหนัง และคุยว่าแองกรีย์ เบิร์ดส์ได้รับความนิยมในการค้นหาผ่านกูเกิลมากกว่ามิคกี้ เมาส์ไปแล้ว อย่างมาริโอก็เป็นหนึ่งในตัวละครเกมที่ยืนยงเป็นที่รู้จักมากว่า 25 ปี ตอนนี้รู้สึกว่าเกมนกอารมณ์บูดเพิ่งจะเริ่มตามรอยนั้นแล้ว
      
      เวสเตอร์แบ็คกาเปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทเจรจาทางธุรกิจเพื่อของเล่นและเสื้อผ้าของแองกรีย์ เบิร์ดส์อยู่ รวมไปถึงเกมกระดานที่จะออกมาในเดือน พ.ค.นี้ นอกเหนือจากนี้ก็จะมีรายการทีวี และหนังด้วย แต่คิดว่าคงต้องใช้เวลาสัก 4 ปีเพื่อทำ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ปรากฏการณ์โลกไอทีหมุนเร็ว ส่งสัญญาณชีพจรอุตฯไอซีทีไทยเต้นแรง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 15:55:16
"9.2%" คือ ตัวเลขที่ "ไอดีซี" บริษัทวิจัยที่ได้รับการยอมรับกันในอุตสาหกรรมไอทีไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโตในปี 2554 แม้จะยังไต่ระดับการโต เป็นตัวเลขหลักเดียว แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะทำให้บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไอทีไทยยังคงชื่น ใจ คือ "ปีนี้ตลาดไอซีทีไทยยังเติบโตเป็นบวก"

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/31/images/news_img_374642_1.jpg)

10 คาดการณ์ที่ต้องจับตา  

นายอรรถพล สาธิตคณิตกุล ผู้จัดการฝ่ายงานวิจัยและที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของไอดีซี ระบุว่า ภาพรวมตลาดไอทีรวมถึงกลุ่มสื่อสารยังคงเติบโต โดยมีปัจจัยที่น่าจับตา 3 สิ่งหลัก คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย การใช้จ่ายเงินในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ภาครัฐ และอุตสาหกรรมสื่อสาร/โรงงานอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคทั่วไป

ทั้งนี้ แม้จะเติบโตไม่เท่ากับช่วงก่อนที่ประเทศไทยจะเริ่มเผชิญกับมรสุมปัจจัยลบที่ เริ่มถึงจุดดำดิ่งในปี 2552 ซึ่งไอดีซีเชื่อว่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นในปีนี้ หากไม่มีปัจจัยลบที่คาดเดาไม่ได้มาแทรกกลาง โดยต่อไปนี้ คือ 10 คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมไอซีทีไทยปี 2554 ที่ต้องจับตา !

บริการเสียงโตติดลบปีแรก

เขาระบุว่า มูลค่ารวมการเติบโตในปีนี้คาดว่าในกลุ่มสื่อสารจะอยู่ที่ราว 6.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าตลาดไอทีในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 6.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 9.2% จากปีก่อนหน้าโตเพียง 6.2%

หากแต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่รายได้จากบริการด้าน "เสียง" เติบโตลดลงเป็นปีแรก และกำลังเป็นขาลงของรายได้จากการให้บริการ "ฟิกซ์ไลน์" โดยแนวโน้มรายได้จะเริ่มเทไปหา "โมบาย ดาต้า เซอร์วิส" มากขึ้นถึง 2 ใน 3 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด

นอกจากนี้ ตลาด "มินิ โน้ตบุ๊ค" หรือเน็ตบุ๊ค ก็กำลังเริ่มเติบโตลดลง และถูกแทนที่ด้วยกระแสของ "มีเดีย แทบเล็ต" หรืออุปกรณ์ประมวลผลที่มีจอขนาด 6-12 นิ้ว และใช้ระบบปฏิบัติการขนาดเล็ก

นายอรรถพล ระบุว่า ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ไอดีซีจะเริ่มเก็บข้อมูลตลาดมีเดีย แทบเล็ต แยกจากกลุ่มมินิ โน้ตบุ๊คชัดเจน

"ดราม่า" อุตฯ พีซี

 อย่างไรก็ตาม สำหรับอนาคตของมินิ โน้ตบุ๊ค และพีซีใน ภาพรวมปีนี้ นักวิเคราะห์จากไอดีซียอมรับว่า "น่าจะ" เริ่มดีขึ้นหลังจากปีที่ผ่านมา ผู้ค้าบางรายถึงกับปาดน้ำตา เนื่องจาก "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ที่เคยเป็นของพีซี หรือโน้ตบุ๊ค เริ่มเปลี่ยนเป็นการพูดถึง "แทบเล็ต" มากขึ้น

นายจาริตร์ สิทธุ นักวิเคราะห์จากไอดีซี ประจำประเทศไทย บอกว่า กระแสของแทบเล็ตทำให้งบประมาณที่เคยมีไว้สำหรับซื้อพีซีเครื่องใหม่กลายเป็นแทบเล็ตมากขึ้น และก็ยังมีกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ซึ่งส่งผลให้เกิดการชะลอการซื้อพีซีอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนในกลุ่มผู้ให้บริการด้านไอทีก็จะเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์การทำตลาดแบบ "กลยุทธ์เชิงลึก" มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม

ปัจจัยบวกใหม่มาแรง

ขณะที่กระแสของ "คลาวด์ คอมพิวติ้ง" แม้ในปีที่ผ่านมา จะไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คาด แต่ไอดีซีก็เชื่อว่า ปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรเริ่มลงทุนกับการทำธุรกิจคลาวด์ แพลตฟอร์มมากขึ้น

นอกจากนี้ ความแรงของ "โซเชียล มีเดีย" ก็กำลังเริ่มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่สำคัญ โดยองค์กรต่างๆ จะเริ่มหันมาใช้ข้อมูลจากเครือข่ายสังคมในการทำตลาดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตามากขึ้นไปอีก คือ การเติบโตของ "โมบาย โอเอส" ซึ่งในไทยมีแอนดรอยด์ และไอ โอเอสเป็นตัวชูโรง

"ปีนี้สมาร์ทโฟน ประเภทดาต้า เซนทริค คาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 2 ล้านเครื่องเป็นครั้งแรก จากตลาดรวมราว 19 ล้านเครื่อง จากการเก็บข้อมูลผ่านเวนเดอร์หลัก" นายอรรถพลเสริม

นอกจากนี้ ก็ยังมีแรงส่งจากการใช้งานซอฟต์แวร์ไลเซ่นของกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป โดยเฉพาะ "แอนตี้ไวรัส" ที่ราคาถูกลง และการใช้ "โมบาย ดาต้า เซอร์วิส" ที่มีแพ็คเกจให้เลือกในตลาดมากกว่า 30 แพ็คเกจ ซึ่งมีผลให้ราคาในการใช้งานลดลง 30%

อย่างไรก็ตาม การเก็บข้อมูลของไอดีซีในครั้งนี้ยังไม่นับรวมถึง การลงทุนเครือข่ายไร้สาย 3 จี ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนี้ ส่งผลให้มูลค่าการใช้จ่ายในฝั่งสื่อสารคาดว่าจะเติบโตเพียง 4.6% จากปีที่ผ่านมา 7.6% เนื่องจากปีนี้การลงทุนในฝั่งของไวร์เลสวอยซ์เริ่มถึงจุดอิ่มตัว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: SumoBooth app เปลี่ยนคุณเป็น "ซูโม่"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 22:13:34
หากคุณอยากเห็นตัวเอง หรือเพื่อนของคุณอ้วนฉุแบบซูโม่ (Sumo) ภายในพริบตา คำตอบของคุณอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะเพียงแค่มีแอพฯที่ชื่อว่า SumoBooth ของบริษัท MotionPortrait คุณก็สามารถแปลงร่างเป็นซูโม่ได้ภายในพริบตา แถมยังใช้นิ้วของคุณชกหน้าต่อยตีจนหน้าตาปากสั่นแก้มสั่นได้อย่างสะใจอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/sumobooth-app-motionportrait-1.jpg)

SumoBooth เป็นแอพฯที่พัฒนาโดยบริษัท MotionPortrait ซึ่งเคยสร้างกราฟิกของหน้าหญิงสาวที่สามารถแสดงสีหน้าได้เสมือนจริง ซ้ำยังกรอกตาไปมาตามพอยน์เตอร์ของเมาส์ได้อีกด้วย โดย SumoBooth จะใช้เทคโนโลยีของทางบริษัทในการสร้างภาพที่"พูดได้"จากภาพถ่ายของคุณ (หรือเพื่อนที่คุณทั้งรักทั้งชัง :D) SumoBooth จะเปลี่ยนภาพถ่ายใบหน้าให้กลายเป็นตัวละคร Sumo 3D ที่มีใบหน้าอ้วนฉุ และพูดได้ตามเสียงของคุณ แถมยังโต้ตอบได้ด้วยการใช้นิ้วของคุณกวาดไปมาบนใบหน้าเหมือนกับว่าชกหน้า เข้าให้ยังไงยังงั้น SumoBooth จะบันทึกเสียงของคุณ และใส่โทนเสียงซูโม่เข้าไป โดยให้ตัวละคร Sumo 3D ที่สร้างขึ้นพูดออกมา มันข่างเป็นแอพฯที่มีการทำงานน่าอัศจรรย์จริงๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/sumobooth-app-motionportrait-2.jpg)

โดยพื้นฐานเทคโนโลยีของ MotionPortrait (รูปคนเคลื่อนไหวได้) ก็คือ ความสามารถในการสร้างโมเดลใบหน้า 3 มิติโดยอัตโนมัติจากภาพถ่ายใบหน้าเพียงภาพเดียว แถมยังสามารถเคลื่อนไหวใบหน้า และแสดงอารมณ์ต่างๆ ได้ด้วยการอินพุทต่างๆ ซึ่งรวมถึงการใช้นิ้วมือกวาด หรือแตะลงบน iPhone หรือ iPad นอกจาก SumoBooth แล้ว เทคโนโลยีของ MotionPortrait ยังใช้กับแอพฯตัวอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น HauntedFace, AlienAvatar: 3D Alienizer, ZombieBooth 3D Zmobifier และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับการเคลื่อนไหวที่โต้ตอบได้นี้จะสามารถบันทึกเป็นวิดีโอ เพื่อแชร์ผ่านอีเมล์ ยูทูบ หรือเฟซบุ๊ค นอกจากนี้ยังสามารถจัดเก็บเป็นภาพนิ่ง เพื่อแชร์ด้วยวิธีเดียวกัน รวมถึงการแชร์ผ่าน Twitter ได้อีกด้วย SumoBooth มีให้เล่นทั้งบน iPhone, iPod Touch และ iPad โดยจำหน่ายในราคา 2.99 เหรียญฯ (ประมาณ 90 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft เตือนผู้ใช้พบ "ช่องโหว่" ร้ายแรงใน IE
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 22:40:40
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศแจ้งเตือนพบช่องโหว่ร้ายแรง (critical) ใหม่ล่าสุดในบราวเซอร์ IE ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows โดยบริการแนะนำทางด้านระบบรักษาความปลอดภัย (security advisory) ของทางบริษัทระบุว่า ช่องโหว่ที่พบนี้จะเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์ที่ไม่หวังดีสามารถโขมยข้อมูลส่วน ตัว หรือแม้กระทั่งเข้าควบคุมคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้อีกด้วย

(http://blogs.sitepointstatic.com/images/tech/242-german-govt-ie.jpg)

ข้อผิดพลาดที่พบล่าสุดอาจส่งผลกระทบกับผู้ใช้ทุกคนที่ใช้เว็บบราวเซอร์ IE ซึ่งมีอยู่ประมาณ 900 ล้านคนทั่วโลก ไมโครซอฟท์ได้ออกซอฟต์แวร์แพตช์ เพื่อป้องกันการโจมตีเท่านั้น โดยในขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนาซอฟต์แวร์แก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าว ซึ่งคำแนะนำเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยของ MS ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ให้รายละเอียดเกียวกับช่องโหว่ดังกล่าวว่า สามารถนำไปใช้ในการโจมตี และเข้าควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้อย่างไร แม้ว่าจริงๆ แล้วช่องโหว่ดังกล่าวจะอยู่ใน Windows แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อ Internet Explorer จัดการกับหน้าเว็บ และเอกสารบางอย่าง

Microsoft ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันหมายถึงการที่ผู้ใช้อาจถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์อันตราย ได้อย่างง่ายดายด้วยการคลิกบนลิงค์ในเว็บเท่านั้น "เมื่อผู้ใช้คลิกบนลิงค์ของผู้ไม่หวังดี สคริปท์อันตรายจะทำงานบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บนเซสชั่นการทำงานของ IE" ข้อความประกาศบน เว็บไซต์แนะนำเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย เมื่อ คอมพิวเตอร์ถูกเข้าควบคุม แฮคเกอร์จะสามารถโขมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือส่งผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์ปลอมที่มีกลลวงต่างๆ ได้ "สคริปท์อันครายสามารถรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้" แม้ว่าในขณะนี้จะไม่สามารถกำจัดบั๊กออกไปได้ แต่ทางบริษัทได้ออกแพตช์ชั่วคราว "fix it" เพื่อป้องกันความพยายามในการที่จะใช้ช่องโหว่ดังกล่าวจากผู้ไมห่วังดี

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Phase One คลอดกล้องเทพ "IQ180" กล้องถ่ายภาพ 80 ล้านพิกเซล
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 31 มกราคม 2011, 22:59:35
ถ้ายังจำกันได้ถึงกล้อง Medium Format 120 มิลลิเมตรที่เคยโด่งดังในหมู่ช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการความละเอียดระดับสูง ในช่วงยุคปี '90 มาวันนี้แบรนด์ผลิตกล้องดิจิตัลระดับมืออาชีพเพื่องานในสตูดิโออย่าง Phase One ได้ฤกษ์คลอดกล้อง "IQ180" ด้วยจุดเด่นที่สามารถถ่ายรูปความละเอียดสูงสุดที่ 80 ล้านพิกเซล ลงตลาดกล้องระดับมืออาชีพ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001402301.JPEG)

      โดย IQ180 จะใช้เซนเซอร์ภาพ Full Frame CCD ขนาด 53.9x40.4 มิลลิเมตร บนความละเอียด 10,320x7,752 พิกเซล ในอัตราความกว้างของภาพแบบ 4:3 และมีความละเอียดให้เลือก 2 ความละเอียด ได้แก่ 80 ล้านพิกเซล และ 20 ล้านพิกเซล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001402302.JPEG)

      ในส่วนของความกว้างพิกเซลจะอยู่ที่ 5.2x5.2 ไมครอน สำหรับความละเอียด 80 ล้านพิกเซล ส่วน 20 ล้านพิกเซลจะอยู่ที่ 10.4x10.4 ไมครอน ในส่วนขนาดความจุของ RAW File หนึ่งไฟล์จะอยู่ที่ประมาณ 54-80MB สำหรับความละเอียด 80 ล้านพิกเซล ส่วน 20 ล้านพิกเซลจะอยู่ที่ประมาณ 13.5-20MB และสุดท้ายสำหรับค่าความไวแสง (ISO) จะให้มาตั้งแต่ 50, 100, 200, 400 และ 800 สำหรับความละเอียด 80 ล้านพิกเซล ส่วน 20 ล้านจะเป็นการทำงานแบบ Sensor+ ทำให้ค่าความไวแสงเปลี่ยนไปอยู่ที่ 200, 400, 800, 1,600 และ 3,200
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001402303.JPEG)

      สำหรับความลึกของเม็ดสีที่รองรับจะอยู่ที่ 16 บิต และฟอร์แม็ตไฟล์ที่รองรับ ได้แก่ TIFF-RGB, TIFF-CMYK และ JPEG ส่วนโปรไฟล์สีจะรองรับ RGB, Embedded ICC profile และ CMYK โดย หน้าจอ LCD ที่ติดตั้งมาให้ด้านหลังจะมีขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 1.15 ล้านพิกเซล โดยหน้าจอที่ติดตั้งมาจะเป็น Retina Display เฉกเช่นเดียวกับหน้าจอไอโฟน 4 พร้อมระบบมัลติ-ทัชสกรีนที่สามารถสั่งงานซูมภาพและสัมผัสเลือกเมนูต่างๆ ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001402305.JPEG)

      มาที่ Image Buffer จะมีขนาด 1GB และมีความเร็วชัทเตอร์สูงสุดที่ 1/4,000s ส่วนเมื่อซิงค์กับแฟลชจะสามารถถ่ายภาพที่ความเร็วชัทเตอร์ 1/1,600s ได้ และในส่วนของเลนส์ที่รองรับได้แก่ Phase One Digital focal plane lenses, Schneider Kreutznach left shutter lenses, Mamiya 645 AFD Lens และ Hasselblad V Lenses สุดท้าย Phase One "IQ180" จะรองรับพอร์ตเชื่อมต่อ USB3.0 และ FireWire 800 ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001402306.JPEG)

      สุดท้ายในส่วนของราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านบาท ($43,990) และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเดือนเมษายนนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แจ็คเก็ตที่ให้คุณใช้ iPad โดยไม่ต้องถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2011, 08:03:02
ในงาน Macworld Expo 2011 ที่ผ่านมา ไร้เงา Apple และไม่ค่อยจะมีสีสันของข่าวให้ได้ติดตามกันสักเท่าไร อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ arip มีแก็ดเจ็ต (Gadget) เก็บตกจากงานนี้มาฝากกันครับ นั่นก็คือ PADX-1 LEDGE Wearcom คู่หู iPad ใหม่ล่าสุด เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถใช้ iPad ได้อย่างสะดวกสบายทุกที่ทุกเวลา

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/PADX-1-LEDGE-Wearcom-iPad-Jacket-Macworld-Expo-2011-2.jpg)

ความจริง PADX-1 LEDGE Wearcom ก็คือ ชุดแจ็คเก็ตที่ได้รับการออกแบบให้มีช่องใส่ iPad แบบรูดซิปเปิดปิดได้ คล้ายๆ กับกระเป๋าด้านหน้าของเสื้อกันหนาว ความพิเศษของมันไม่ได้มีแค่ช่องใส่ iPad เท่านั้น แต่เมื่อรูดซิปออกมา ด้านในจะมีสายรั้งที่สามารถยึดให้ iPad สามารถวางตัวในแนวนอนตั้งฉากกับลำตัวผู้ใช้ ในระดับที่สามารถใช้นิ้วสัมผัส iPad ได้โดยไม่ต้องถือ (iPad handfree stand) ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน iPad ได้อย่างสะดวกสบาย แม้ขณะกำลังเดิน (ระวังตกท่อด้วยล่ะ) อีกทั้งยังสามารถเก็บใส่เข้าไปในเสื้อ แล้วรูดซิปปิดได้อย่างแนบเนียน ดีไซน์ที่ไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนเสื้อ iPad รุ่นอื่นๆ อีกทั้งยังสะดวกสบายในการใช้งาน ทำให้ PADX-1 LEDGE Wearcom ในงาน Macworld Expo 2011 ได้รับการกล่าวถึงพอสมควร

ทางบริษัทผู้ผลิต PADX-1 LEDGE Wearcom ยังกล่าวอีกด้วยว่า กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบแจ็คเก็ตใส่ Samsung Galaxy Tab และ Toshiba Smartpad รวมถึง ViewSonic ViewPad ซึ่งนอกจากแจ็คเก็ตสำหรับแท็บเล็ตแล้ว ทางบริษัทยังได้ดีไซน์ชุดที่มาพร้อมกับซองใสใส่ iPhone บริเวณข้อมือ โดยสามารถยกมือขึ้นมา และใช้อีกมือสัมผัสหน้าจอ เพื่อใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวอุปกรณ์จะเลอะเทอะ หรือเปียกน้ำหากฝนตก แถมส่วนที่เป็นผ้าปิดให้มองไม่เห็นประเจิดประเจ้ออีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ย้อนรำลึกภาพจังหวะนำเสนอผลิตภัณฑ์เกมใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2011, 09:31:02
เราลองย้อนไปดู ภาพลีลาการงัดเครื่องเกมและคอนโทรลเลอร์ของเหล่าผู้บริหารระดับสูงจากทั้งนิ นเทนโด ,โซนี่,ไมโครซอฟท์ และเซก้าขึ้นมาให้สื่อมวลชนได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นครั้งแรก ก่อนจะถูกลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพไปเผยแพร่ผ่านสำนักพิมพ์ต่างๆ สังเกตได้ว่าท่าทางแต่ละคนโพสต์ท่าต่างกันอยู่บ้าง และบางคนก็มีพัฒนาการในด้านหน้าตาให้เห็นอยู่บ้าง ภาพที่รวบรวมมาคงไม่ครบถ้วนแน่นอน แต่ก็ทำให้ชวนคิดถึงได้ไม่น้อย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431602.JPEG)

      -15 พ.ค. 1996 ชิเงรุ มิยาโมโตะ แสดงเครื่องเกมใหม่ Nintendo 64

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431603.JPEG)

      -27 พ.ค. 1998 Bernie Stolar จากเซก้าอวดคอนโทรลเลอร์ Dreamcast และ VMU

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431604.JPEG)

      -11 พ.ย. 2001 Seamus Blackley ของไมโครซอฟท์เอา Xbox รุ่นแรกมาโชว์ เห็นบิล เกตส์อยู่ข้างๆด้วย

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431605.JPEG)

      -21 พ.ค. 2002 คาซึโอะ ฮิไร จากโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ชู PlayStation 2 Network Adapter ให้เห็นกัน

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431606.JPEG)

      -11 พ.ค.2004 ซาโตรุ อิวาตะ มาพร้อมเครื่องต้นแบบนินเทนโด DS

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431607.JPEG)

      -21 ก.ย.2004 เคน คุตารางิ เปิดเผยเครื่อง PS2 รุ่นบาง

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431608.JPEG)

      -21 ก.ย.2004 เคน คุตารางิ หน้าบานกับเครื่องเกมพกพาประจำกาย PSP

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431609.JPEG)

      -7 ต.ค. 2004 ซาโตรุ อิวาตะแสดงเครื่อง DS ที่จะวางขายจริงๆ

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431610.JPEG)

      -16พ.ค.2005 คาซึโอะ ฮิไร และเคน คุตารางิ ยิ้มรับการเปิดตัว PS3

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431611.JPEG)

      -17 พ.ค.2005 ซาโตรุ อิวาตะยกเครื่องเกมคอนโซลใหม่ Revolution (ตอนหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Wii)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431612.JPEG)

      -16 ก.ย.2005 ซาโตรุ อิวาตะเผยโฉมคอนโทรลเลอร์จับความเคลื่อนไหว Wii รีโมต

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431613.JPEG)

      -8พ.ค.2006 เคน คุตารางิ แสดงคอนโทรลเลอร์สำหรับ PS3 ที่หน้าตาคล้ายรุ่นก่อน(ก่อนหน้านั้นเคยนำรูปร่างคล้ายๆบูมเมอแรงออกมาโชว์ แล้ว)

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431614.JPEG)

      -11 มิ.ย.Chewbacca จากสตาร์ วอร์พรีเซ็นต์ Star Wars PSP

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431615.JPEG)

      -2มิ.ย.2009 คาซึโอะ ฮิไร แสดงเครื่องเกมจอสไลด์ PSP go แต่ดูเหมือนว่าเครื่องนี้จะขายไม่ค่อยออก

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431616.JPEG)

      -มิ.ย.2010 ซาโตรุ อิวาตะเปิดตัวเครื่องเกมพกพา 3DS แสดงภาพ 3 มิติได้โดยไม่ต้องใช้แว่น

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001431617.JPEG)

      -27 ม.ค.2011 คาซึโอะ ฮิไร นำเสนอเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ NGP จอหน้าระบบทัชสกรีน หลังเครื่องก็มีทัชแพด

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: BestBooks ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2011, 09:55:03
อเมซอนเปิดแอปฯ Windowshop ลุย iPad

([url]http://pics.manager.co.th/Images/553000016108201.JPEG[/url])

อเมซอน (Amazon) เปิดตัว Windowshop แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดเอาใจผู้ใช้ iPad คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตของแอปเปิล นำ Amazon.com มาจัดเรียงใหม่เพื่อเปิดทางให้ชาว iPad สามารถซื้อสินค้าจากอเมซอนได้เหมือนช่องทางปกติ
      
       Jeff Bezos ซีอีโออเมซอนระบุว่า Windowshop ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเอนหลังและใช้งานบนแท็บเล็ตได้อย่างสะดวก สบายกว่าหน้าเว็บไซต์ดั้งเดิม ลูกค้าอเมซอนสามารถเข้าถึงสินค้ามากกว่า 40 ประเภทได้ตามปกติ สามารถขยายภาพผลิตภัณฑ์ และเพิ่มสินค้าลงในตระกร้าได้เพียงสัมผัสหน้าจอครั้งเดียว ถือเป็นการรุกคืบกลุ่มตลาด iPad ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผลิตภัณฑ์เครื่องอ่านหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ของอเมซอนอย่าง Kindle
      
       มีการตั้งข้อสังเกกตว่า Windowshop มีกระบวนการซื้อ e-book หรือไฟล์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์บน iPad ที่ยากกว่าการซื้อหนังสือในแอปพลิเคชันอย่าง Kindle เนื่องจากลูกค้าจะต้องลงชื่อใช้งานที่เว็บไซต์ Amazon.com อีกครั้งจึงจะสามารถอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ซื้อมาได้ ต่างจากบน Kindle ที่สามารถอ่านหนังสือได้ทันทีหลังจากซื้อ

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz

ติดตามอ่านความคืบหน้า


หัวข้อ: LG Optimus 3D สมาร์ทโฟน 3D ตัวจริง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2011, 12:11:18
รายงานข่าวล่าสุด ภาพหลุดของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ LG Optimus 3D ที่กำลังว่อนเน็ตอยู่ในขณะนี้ คาดว่าจะเปิดตัวในงาน MWC 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ 2011 ที่กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน โดยคุณสมบัติเด่นของมันก็คือ สามารถเล่น และบันทึกคอนเท็นต์ 3D ที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา

LG Optimus 3D สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่สามารถให้ประสบการณ์ 3 มิติกับผู้ใช้ โดยไม่ต้องสวมแว่นตาพิเศษแต่อย่างใด ซึ่งนอกจากจะเล่นคอนเท็นต์ 3D ได้แล้ว LG Optimus 3D ยังมาพร้อมกับกล้องคู่ที่สามารถบันทึกวิดีโอในรูปแบบ 3D ได้อีกด้วย แม้จะยังไม่มีของจริงให้เห็นสำหรับคุณภาพของการแสดงผล 3 มิติ แต่การที่สมาร์ทโฟนจากบริษัทชั้นนำกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้ ก็น่าจะทำให้ผู้บริโภคได้ตื่นเต้นกันพอสมควร

(http://www.arip.co.th/images/news/lg/LG-Optimus-3D-will-launch-at-MWC-2011-2.jpg)

LG Optimus 3D เกิดจากความต้องการแก้ปัญหาอุปกรณ์เครื่องเล่น 3 มิติที่พบว่า ไม่ค่อยมีคอนเท็นต์ 3D ให้ได้เล่นสักเท่าไร การที่สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์เรื่องของความสามารถในการบันทึกคอนเท็นต์ 3D ด้วย จึงอาจจะเป็นการตอบโจทย์ที่สมบูรณ์ ถึงเวลาคอนเท็นต์ 3 มิติออกอาละวาดแล้ว ในส่วนของสเป็กเบื้องต้น ใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Nvidia Tegra 2 จอ 4.3 นิ้ว หน่วยความจำ multi-channel RAM กล้องหน้าหลัง พร้อมพอร์ต HDMI 1.4 และการแชร์คอนเท็นไร้สายด้วยเทคโนโลยี DLNA อย่างไรก็ตาม คงต้องพิสูจน์ความแรงของมันอีกทีในงาน Mobile World Congress 2011 ว่าจะได้รับความสนใจมากน้อยเพียงใด คอยติดตามได้จากรายงานข่าวในเว็บไซต์ arip นะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: โมโตโรล่า ให้ SIS ลุยตลาดสมาร์ทโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2011, 14:36:31
โมโตโรล่า หวังหวนคืนตลาดมือถือไทยอีกรอบ ตั้งเอสไอเอสรับหน้าเสื่อขายสมาร์ทโฟนแต่ผู้เดียว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001449201.JPEG)
นายโรเบิร์ต แวน ทิลเบิร์ก ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ โมโตโรล่า โมบิลิตี้ ในงานเปิดตัว สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ XT502 , CHARM, และ DEFY

      นายโรเบิร์ต แวน ทิลเบิร์ก ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ โม โตโรล่า โมบิลิตี้ กล่าวว่า โมโตโรล่าได้แต่งตั้งให้บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) และบริษัท คูล ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนของโมโตฯ โดยเฉพาะเนื่องจากต้องการกระจายสมาร์ทโฟนเข้าไปยังช่องทางไอทีมากขึ้น ส่วนตลาดฟีเจอร์โฟน ยังคงให้เจมาร์ททำตลาดเหมือนเดิม
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000001449202)

      'ตลาดฟีเจอร์โฟนนั้น ผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากนัก แต่สำหรับสมาร์ทโฟนไม่ใช่ ผู้ขายจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่จะให้ข้อมูลกับผู้บริโภคได้'
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000001449203)

      ส่วนการสร้างแบรนด์โมโตฯ ในไทย หลังจากที่ห่างหายจากตลาดไปพอสมควรนั้น นายโรเบิร์ต กล่าวอย่างมั่นใจว่า ด้วย ชื่อเสียงของโมโตฯ ที่ยาวนานกว่า 80 ปี และการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มักจะออกสู่ตลาดก่อนใครน่าจะทำให้โมโตฯประสบความสำเร็จในตลาดเมืองไทยได้
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000001449204)

      นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ เอสไอเอส กล่าวว่า แนวทางทำตลาดโมโตฯนั้น จะดำเนินการในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งล่าสุดได้นำสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดแล้ว 3 รุ่น แต่ละรุ่นก็จะมีจุดขายของตัวเอง โดยคาดว่า ปีนี้จะทำตลาดสมาร์ทโฟนประมาณ 11-12 รุ่นจากแผนโมโตฯที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนปีละประมาณ 23 รุ่น
      
      'เราคุยกับโมโตฯเรื่องการนำเครื่องเข้าตลาดให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดกับหลายๆแบรนด์ที่บริษัททำตลาดอยู่ ไม่ใช่เฉพาะโมโตฯ รวมทั้งเรื่อง ราคาซึ่งจะต้องมีระดับราคาที่พิเศษสำหรับการเข้าสู่ตลาดเมืองไทยอีกครั้ง ซึ่งรุ่น DEFY โมโตฯ ให้ราคามาค่อนข้างดีประมาณ 12,900 บาท'
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000001449205)

      ส่วนเรื่องช่องทางจำหน่ายนั้น เอสไอเอส ได้เตรียมช่องทางจำหน่ายโดยเฉพาะช่องทางขายไอที ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทอยู่แล้วจึงไม่ค่อยห่วงเรื่องนี้ คาด ว่าภายในไตรมาสนี้จะมีจุดขายประมาณ 200-300 จุด ส่วนจุดบริการซ่อมบำรุงสินค้านั้นก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะโมโตฯ ได้ตั้งบริษัท ล็อกซ์บิท ในเครือล็อกซ์เล่ย์ ให้เป็นศูนย์บริการอย่างเป็นทางการในเมืองไทย
      
      'สมาร์ทโฟนของโมโตฯ มีจุดขายที่แตกต่างจาก 4 แบรนด์ที่เอสไอเอสขายอยู่ ซึ่งคงจะใช้เวลาสักพัก แบรนด์โมโตฯ น่าจะกลับสู่ตลาดเมืองไทยได้'
      
      นายสมชัย กล่าวถึงตลาดสมาร์ทโฟนโดยรวมในเมืองไทยว่า ปีนี้น่าจะมีสัดส่วนประมาณ 15-20% ของตลาดรวมที่มียอดขายอยู่ประมาณ 1 ล้านเครื่องต่อเดือน โดยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือการใช้งานจะต้องง่าย และราคา จะสามารถลดลงมาได้ต่ำเท่าไร ซึ่งถ้าราคาลดลงมาระดับราคา 5 พันกว่าบาท ตลาดอาจจะโตถึง 20% เพราะตอนนี้มือถือทั่วๆ ไป ราคาที่ตลาดยอมรับอยู่ที่ประมาณ 2 พันบาท
      
      'สัดส่วนตลาดแอนดรอยด์ในไทยปีนี้รวมกันทุกแบรนด์น่าจะมีถึง 1 ใน 3 ของตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งเชื่อว่า 2-3 ปีสัดส่วนจะขยับเป็น 50% ส่วนวินโดวส์โฟนนั้นยังคาดการณ์ได้ยากเพราะเพิ่งกลับเข้ามาตลาดใหม่'
      
      สำหรับสมาร์ทโฟนที่เปิดตัว 3 รุ่น คือ XT502 , CHARM, และ DEFY เป็นสมาร์ทโฟนที่มีลักษณะเพรียวบาง ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ จอทัชสกรีนขนาด 3.7 นิ้วแสดงผลหน้าจอแบบไร้ขอบ ทนทานต่อรอยขีดข่วน กันน้ำ กันฝุ่น จอภาพทำจาก Corning Gorilla Glass ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วน ราคา 12,900 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Intel เรียกคืนชิปทั่วโลก คาดสูญเงิน1พันล้านดอลล์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 15:32:36
อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ยืดอกรับว่าเกิดความผิดพลาดในการออกแบบชิปเซตแพลตฟอร์ม Sandy Bridge รุ่นหนึ่งของบริษัท ทำให้อินเทลตัดสินใจเรียกคืนชิปทั้งหมด เบื้องต้นคาดว่าความผิดพลาดครั้งนี้จะทำให้อินเทลสูญเงินทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท โดย 700 ล้านเหรียญจะเป็นค่าใช้จ่ายในกระบวนการเปลี่ยนคืนชิป อีก 300 ล้านเหรียญเป็นรายรับซึ่งจะหายไปในไตรมาสแรกของปีนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001508001.JPEG)

      อินเทลแถลงว่า ชิปที่เกิดปัญหามีชื่อว่า Cougar Point เป็นชิปเซตหรือชุดชิปสนับสนุนที่ใช้แพลตฟอร์ม Sandy Bridge ซึ่งอินเทลเพิ่งวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 มกราคม 54 ในฐานะชิปที่สามารถยกระดับการพัฒนาภาพกราฟิกบนคอมพิวเตอร์พีซี การสำรวจพบว่าปัญหา เกิดขึ้นในการออกแบบส่วนควบคุม SATA มีผลให้ความเร็วของชิปลดลงเมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และดีวีดีไดรฟ์
      
      อินเทลระบุว่าได้ดำเนินการ แก้ปัญหาข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการผลิตชิปเวอร์ชันใหม่ที่แก้ปัญหาเรียบร้อย โดยบริษัทได้ตัดสินใจเรียกคืนชิปเซตที่มีปัญหาทั้งหมด คาดว่าชิปใหม่จะทยอยส่งมอบในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 54 และสายผลิตโดยรวมจะกลับมาเป็นปกติในเดือนมีนาคมนี้
      
      อินเทลประเมินว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะทำให้รายได้อินเทลในไตรมาส แรกของปี 54 ลดลงไป 300 ล้านเหรียญ (ราว 9,000 ล้านบาท) คาดว่าจะไม่มีผลใดๆต่อยอดรายรับรวมทั้งปี 54 แต่จะมีผลกับสัดส่วนกำไรที่อาจลดลง 4% โดยข้อมูลจากแถลงการณ์อินเทลระบุว่า บริษัทเตรียมงบประมาณราว 700 ล้านเหรียญสำหรับกระบวนการแก้ไขและเรียกคืนชุดชิปเซตที่มีปัญหา
      
      Sandy Bridge นั้นเป็นแพลตฟอร์มชิปใหม่ซึ่งอินเทลเชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถทิ้งห่างคู่ แข่งตลอดกาลอย่างเอเอ็มดี (AMD) ได้มากขึ้น การเกิดปัญหาในชิปเซตแพลตฟอร์ม Sandy Bridge ถูกมองว่าจะทำให้อินเทลสูญเสียความเชื่อมั่นทั้งจากนักลงทุนและผู้บริโภคใน ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความที่ Sandy Bridge เพิ่งวางตลาดได้ไม่นาน ทำให้มีโอกาสสูงที่อินเทลยังไม่ได้จัดส่งชิปเซตสู่ผู้บริโภคในวงกว้างนัก ซึ่งจะช่วยให้อินเทลได้รับความสูญเสียน้อยลง
      
      สเตซี สมิท (Stacy Smith) ประธานฝ่ายการเงินของอินเทลเปิดเผยว่า บริษัทได้จัดส่งชิปเซต Cougar Point สู่ตลาดราว 8 ล้านชุด โดยไม่เปิดเผยว่าเป็นยอดจัดส่วนในตลาดใดเป็นหลัก กล่าวเพียงว่ามีความมั่นใจเต็มที่ว่าอินเทลจะสามารถกู้สถานการณ์ความผิดพลาด ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
      
      ชิปเซตนั้นเป็นส่วนสนับสนุนการทำงานของชิปประมวลผลซึ่งเป็นมันสมอง ของคอมพิวเตอร์พีซี ชิปเซตนี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อการทำงานกับส่วนประกอบต่างๆของเครื่อง โดยความผิดพลาดในชิปเซต Cougar Point ที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ทำให้อินเทลไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นได้ยกเว้นแต่ต้องเรียกคืนชิปทั้ง หมดแล้วเปลี่ยนให้ใหม่
      
      ความล่าช้าจากการเรียกคืนชิ ปของอินเทลถูกมองว่าจะมีผลต่อตำแหน่งผู้นำในตลาดชิป โดยเฉพาะในแง่การแข่งขันกับชิป Llano ซึ่งเอเอ็มดีกำลังจะเปิดตัวสู่ตลาดในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนปัญหาจากผู้บริโภค โดยความผิดพลาดถูกพบระหว่างการทดลองในแล็บของอินเทล
      
      ความคืบหน้าล่าสุดของอินเทลคือการควบรวมกับบริษัทชิปนามว่าอินฟี นีออน (Infineon Technologies) ซึ่งดำเนินการในชื่อ Intel Mobile Communications แล้ว และการซื้อกิจการบริษัทรักษาความปลอดภัยแมคอาฟี่ (McAfee) ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายไตรมาสแรกของปี 54
      
      แม้จะมีวิกฤติชิปบกพร่อง อินเทลเชื่อว่าจะสามารถทำรายได้ในไตรมาสปัจจุบันราว 11,700 ล้านเหรียญ (บวกลบ 400 ล้านเหรียญ) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 11,500 ล้านเหรียญ โดยล่าสุดอินเทลประกาศเพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 8,200 ล้านเหรียญ จากเดิม 7,300 ล้านเหรียญต่อปี

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โนเกียส่ง 'X2 QWERTY' เจาะนักแชต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 16:09:57
เอไอเอสอุ้มสมโนเกีย ลุยทำตลาดโทรศัพท์แนวคีย์บอร์ด ส่ง "X2 QWERTY" ลุยตลาดวัยรุ่น หลังประสบความสำเร็จกับโนเกีย C3 พร้อมผุดแคมเปญผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างกิจกรรมให้แก่กลุ่มผู้บริโภค
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001510201.JPEG)

      นายชูมิท คาพูร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) กล่าวว่าผู้ใช้โทรศัพท์จะเริ่มหันไปหาสมาร์ทโฟนมากขึ้น ประกอบกับราคาของสมาร์ทโฟนมีราคาลดลง ทำให้เป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของสมาร์ทโฟนในปีนี้
      
      'ผู้ใช้แต่ละรายมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน ทำให้โนเกียต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของกลุ่มนั้นๆ ซึ่งการที่โนเกียออกสินค้าจะไม่เน้นกลยุทธ์ราคา เพราะในแต่ละกลุ่มสินค้าของโนเกียจะอยู่ในระดับพรีเมียมเช่นเดิม'
      
      นางสาวนนทวัน สินธวานนท์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด โนเกีย กล่าวว่าโทรศัพท์ QWERTY จะมีการเติบโตอีกหลายเท่าตัว เครื่องมีราคาถูกลง โอเปอเรเตอร์มีการออกแพกเกจสำหรับใช้บริการที่เหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญให้ตลาดโทรศัพท์แบบ QWERTY มีอัตราการเติบโตสูง
      
      "กลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่ม ผู้ใช้วัยรุ่น ที่เน้นการแชต ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ ฟังเพลง ซึ่ง X2 QWERTY เป็นเครื่องที่รองรับการใช้งานทุกอย่างข้างต้น ในราคาไม่แพง และยังมาพร้อมกับแพกเกจพิเศษจากเอไอเอส ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย"
      
      นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด เอไอเอส กล่าวว่า ทั้งเอไอเอส และโนเกียมีจุดที่เหมือนกันคือความเป็นผู้นำในตลาด ความร่วมมือที่เกิดขึ้นมีการสานต่อไปเรื่อยๆ
      
      "การใช้งานโทรศัพท์ มีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้น ทำให้เอไอเอสจำเป็นต้องหาอุปกรณ์ที่จะมาใช้งานบนเครือข่ายได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ตาม Quality DNAs ที่เอไอเอสยึดถือมาตลอด"
      
      โนเกีย X2 QWERTY เป็นมือถือซีรีส์ S40 กล้องความละเอียดระดับ VGA วิทยุเอฟเอ็ม ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. บลูทูธ และรองรับการ์ดไมโครเอสดี 8 GB มีทั้งหมด 5 สี ในราคา 3,190 บาท รับฟรีซิม 1-2-Call พร้อมแพกเกจโนเกีย คูลแพกนาน 2 เดือน นอกจากนี้โนเกียยังมีแคมเปญ "Funaholic" เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อค้นหาผู้ใช้ผ่านเกม 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ อัปเดตสถานะตลอดเวลา กล้าเล่นเกมใหม่ และมีความคิดสร้างสรรค์ ลุ้นรับโนเกีย X2 QWERTY ทุกสัปดาห์ ผู้ที่ทำคะแนนสูงสุดตลอดรายการรับทุนการศึกษาสูงสุด 50,000 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เจาะ 5 แนวโน้มการค้าออนไลน์ของไทยปี 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 16:40:10
ปีนี้เอง (2011) เป็นปีที่การค้าขายออนไลน์ของเมืองไทย กำลังจะเริ่มต้นทะยานขึ้นอย่างมาก โดยจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำให้วงการอีคอมเมิร์ซไทยเติบโต อย่างก้าวกระโดด โดยพฤติกรรมของคนออนไลน์เปลี่ยนไป กล้าซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสินค้าและบริการต่างๆ ของธุรกิจ เริ่มเดินหน้าเข้าสู่ตลาดการค้าออนไลน์ ระบบชำระเงินออนไลน์ของไทยที่พัฒนาความสามารถมากขึ้น โดยคนสามารถซื้อของและจ่ายเงินออนไลน์ได้ง่ายๆ เพียงแค่กดไม่กี่ทีก็จ่ายเงินได้แล้ว ดังนั้นเรามาดูกันว่าแนวโน้มของปี 2011 จะมีอะไรน่าสนใจที่คุณสามารถเติบโตไปกับช่องทางนี้ได้

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/02/images/news_img_375099_1.jpg)

แนวโน้มการค้าออนไลน์ปี 2011

 
จาก ตัวเลขผลสำรวจของ เนคเทค ปี 2010 พบคนไทยนิยมช้อปออนไลน์ 57.2% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมาก ทำให้เห็นว่าตอนนี้ คนไทยกล้าซื้อของออนไลน์มากขึ้น และจำนวนผู้ประกอบการและธุรกิจ ก็เริ่มมีการนำสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในปี 2011 จะมีปัจจัยอะไรที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้การค้าบนโลกออนไลน์ของไทยเติบโตมาก ยิ่งขึ้น

1. ระบบชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนามากขึ้น
 
ระบบ การชำระเงินออนไลน์ที่มีอยู่ในไทยตอนนี้มีมากหลายรูปแบบ เช่น ผ่านบัตรเครดิต ตอนนี้ก็มีหลายธนาคารรองรับ, ชำระผ่านระบบอีแบงกิ้งที่เกือบทุกธนาคารมี, ตัวกลางกลางชำระเงินอย่าง Paysbuy, PayPal และ TARADpay หรือ ชำระเงินผ่านมือถืออย่าง mPay, True Money จะได้ว่าตอนนี้เอง เมืองไทยมีความพร้อมการชำระเงินออนไลน์อย่างมาก จะทำให้การค้าขายผ่านออนไลน์เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นสำหรับธุรกิจที่อยาก เข้ามาเปิดตลาดใหม่

2. เว็บไซต์จะสามารถสร้างได้ง่ายมากๆ
 
ตอน นี้ธุรกิจผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป เริ่มมีมากมายทั้งรายเล็กรายใหญ่ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะระบบเปิด (OpenSource) ที่มีเปิดให้ดาวน์โหลดกันมากมาย ทำให้การสร้างเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ เพียงไม่กี่คลิก ก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นแนวโน้มปีนี้จะเห็นความหลากหลายของผู้ให้บริการเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น จนเกิดการแข่งขันทางด้านราคา นี้คือโอกาสดีของผู้ประกอบการที่อยากจะมีเว็บไซต์ของตนเอง หรือมีธุรกิจบนโลกออนไลน์ จะสามารถทำและสร้างเว็บตัวเองได้ง่ายมากขึ้น

3. โปรโมชั่นสินค้าลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลในโลกออนไลน์
 
เมื่อ ก่อนร้านค้าออนไลน์และเว็บไซต์ขายของต่างๆ ในเมืองไทย ต่างขายของกันโดยไม่มีการลดราคาสินค้า แต่พบว่ายอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หลังจากที่ TARAD.com ร่วมมือกับทางญี่ปุ่น มีการนำเทคนิคการค้าออนไลน์ รวมถึงโปรโมชั่นแคมเปญลดราคาต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการค้าออนไลน์อย่างมาก โดยหลายๆ เว็บไซต์ที่ค้าขายออนไลน์ต่าง เริ่มจัดแคมเปญลดราคา เพื่อกระตุ้นยอดขายตาม ซึ่งทำให้เกิดยอดขายและผู้ซื้อเริ่มสนุกที่จะซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น จากเมื่อก่อน

4. ร่วมกันซื้อแล้วลด (Group Buying) การค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ
 
การ เข้ามาของโมเดล "ร่วมกันซื้อ" แบบเดียวกับ Groupon ทำให้เกิดนำส่วนลดราคาบริการต่างๆ ออกมาขายกันอย่างมาก ซึ่งเว็บ "ร่วมกันซื้อ" จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้คนกล้าซื้อสินค้าผ่านเว็บเหล่านั้น เพราะด้วยการลดราคาเป็นจำนวนมาก และต้องซื้อร่วมกันหลายๆ คน ทำให้เกิดการบอกต่อผ่าน โซเชียลเน็ตเวิร์ค ไปอย่างรวดเร็ว เว็บรูปแบบนี้ในไทยเริ่มต้นจากผู้ให้บริการอย่าง Ensogo และตามมาด้วย Dealdidi และเจ้าอื่นๆ อีกมากมายมากกว่า 20 เว็บไซต์แล้วในตอนนี้ ยิ่งเกิดเว็บอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นคนให้ซื้อออนไลน์มากขึ้นตาม

5. การเข้าสู่โลกออนไลน์ของห้างออฟไลน์
 
ปลาย ปีทีแล้ว เป็นช่วงที่บรรดาห้างใหญ่ หลายๆ แห่งต่างเริ่มยกพาเหรดเข้ามาเปิดธุรกิจในโลกออนไลน์ อย่างเช่นยักษ์ใหญ่อย่างเซนทรัล และเดอะมอลล์ต่างก็เริ่มเข้ามาสร้างห้างออนไลน์ กันแล้ว นอกจากนี้ บรรดาห้างไฮเปอร์มาร์ทอย่าง ท็อปส์ หรือ บิ๊กซี ก็เริ่มเปิดให้คนเข้ามาช้อปและจับจ่ายทางออนไลน์ได้แล้วเช่นกัน
 
ผมได้จับประเด็นสำคัญๆ ของแนวโน้นการค้าขายออนไลน์ของไทยปีนี้ เห็นได้ชัดเลยครับว่า ปี 2011 นี้จะเป็นปีที่ประเทศไทยมีความพร้อมกับการค้าขายออนไลน์อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ ดังนั้นหากคนที่มีธุรกิจ และยังไม่ได้เข้ามาสู่การค้าขายออนไลน์ ปีนี้ดูจะเป็นที่เหมาะสมและควรนำธุรกิจคุณเข้าสู่โลกออกไลน์ได้แล้วครับ เพราะองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมมาก หากคุณยิ่งช้าไป โอกาสการแข่งขันของธุรกิจคุณในโลกออนไลน์จะยิ่งต่ำลง เพราะในธุรกิจการค้าในโลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่คู่แข่งในประเทศเท่านั้น คุณกำลังอาจจะต้องเจอกับคู่แข่งต่างประเทศที่เริ่มยกพลมาขายในเมืองไทยผ่าน เว็บไซต์กันมากขึ้น ดังนั้นลงมือเริ่มตั้งแต่วันนี้ครับ คือคำแนะนำของผม ที่คุณต้องทำ.!

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Dell Streak 7 จอใหญ่ขึ้น ซีพียูแรงขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 19:52:10
ยังไม่ทันได้ฤกษ์เปิดตัว (2 ก.พ.) อย่างเป็นทางการในประเทศไทยสำหรับสตรีค 5 (Streak 5) แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนด์ หน้าจอขนาด 5 นิ้วจากเดลล์ ค่ายทีโมบายล์ (T-Mobile) จากเมืองผู้ดีก็เปิดตัวสตรีครุ่นที่ 2 หรือ Streak7 ออกมาให้เราได้ยลโฉมกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001533701.JPEG)

      โดยจุดเด่นของแท็บเล็ตรุ่นที่ 2 จากเดลล์อยู่ที่การเปิดตัวบนผู้ให้บริการเครือข่ายทีโมบายล์ นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อความเร็วสูง HSPA + บนคลื่นความถี่ 2100/1900/850) ได้ รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi b/g/n และบลูทูธ 2.1 นอกจากนี้เดลล์ยังได้มีการอัปเกรดซีพียูให้เร็วขึ้นด้วยการใช้ ระบบประมวลผลดูอัลคอร์ Nvidia Tegra 2 ความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ต ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 (โฟรโย่) และรองรับการใช้งานโปรแกรม Flash 10.1 เต็มรูปแบบ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001533702.JPEG)

      ในส่วนของหน้าจอแสดงผลนั้น เดลล์ยังคงใช้หน้าจอแบบสัมผัสที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนอย่าง Gorilla Glass ความละเอียด 800x480 พิกเซล เหมือนเดิม เพียงแต่มีการเพิ่มขนาดให้กว้างขึ้นจาก 5 นิ้วเป็น 7 นิ้ว มาพร้อมกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 720p กล้องตัวหน้าความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล สำหรับใช้งาน Qik Viedeo Chat และมีหน่วยความจำในตัวเครื่องขนาด 16 กิกะไบต์ ที่สามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 32 กิกะไบต์ด้วย SD, MMC, SDHC การ์ด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001533703.JPEG)

      เดลล์ สตรีค 7 วางจำหน่ายกับผู้ให้บริการเครือข่าย T-Mobile ในราคา 199 เหรียญพร้อมสัญญา 2 ปี และ 399 เหรียญ สำหรับเครื่องเปล่า ในส่วนของประเทศไทยนั้นคาดว่าจะวางจำหน่ายช่วงเดือนเมษายนปีนี้ หรือประมาณต้นไตรมาสที่ 2 ขึ้นอยู่กับทางกทช. ที่จะออกใบอนุญาตในการจำหน่ายสินค้าด้วยเช่นกัน

(http://pics.manager.co.th/Images/554000001533704.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: 'เอ็นคูปอง'..ดีลพลังผู้บริโภค โซเชียล คอมเมิร์ซจากเนชั่นฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 20:30:46
เนชั่น กรุ๊ปเปิดแนวรุกการตลาดดิจิทัลครั้งใหม่ และเป็นก้าวสำคัญกับธุรกิจ "โซเชียล คอมเมิร์ซ" ซึ่งยังใหม่มากสำหรับผู้บริโภคชาวไทย การขยับของเนชั่นครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงการรับรู้ใหม่ของผู้บริโภค ที่มีต่อการซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตและวงการสื่อ
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/01/images/news_img_374884_2.jpg)

ธนา ชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้รุกขยายสู่โลกดิจิทัลเต็มตัว ล่าสุดได้แนะนำบริการใหม่ในชื่อ “เอ็นคูปอง” (NCoupon) ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ไนน์ ในเครือเนชั่น กรุ๊ป เป็นแหล่งชอปปิงออนไลน์ ในรูปแบบโซเชียล คอมเมิร์ซ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและชื่นชอบการแชร์ประสบการณ์ดีๆ แก่เพื่อนในโซเชียล มีเดีย
 
เอ็นคูปอง จะนำดีลที่ให้ส่วนลดสูงเมื่อเกิดการซื้อแบบ "ร่วมกันซื้อ" (Group Buying) ในจำนวนที่กำหนดและในเวลาที่เหมาะสม ทุกคนก็จะได้ส่วนลดสินค้าและบริการไป เป็นการรวมพลังผู้บริโภคเพื่อต่อรองส่วนลด และผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาจัดโปรโมชั่นก็จะได้ขายในครั้งละมากๆ
 
ที่ ผ่านมาคนไทยอาจจะยังไม่คุ้นกับการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หรืออีคอมเมิร์ซ แต่เมื่อเนชั่น กรุ๊ป กระโดดเข้ามาในโลกดิจิทัลเต็มตัว จึงเสนอตัวเป็นคนกลางในการเปิดเวทีให้ผู้ประกอบการ ได้เจอกับผู้บริโภคโดยตรง และเมื่อไม่ต้องมีต้นทุนในการทำการตลาดหรือซื้อสื่อ ก็สามารถนำมาเป็นส่วนลดเพื่อจูงใจให้เกิดซื้อครั้งละจำนวนมากๆ บางดีลลดกว่า 50% และผู้ประกอบการที่ใช้บริการเอ็นคูปอง ยังจะได้รับการโปรโมทดีลผ่านสื่ออื่นๆ ในเครือเนชั่นด้วย ทั้งสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ
 
ธนาชัย เผยว่า เอ็นคูปองมี จุดแข็งที่แตกต่างจากโซเชียล คอมเมิร์ซอื่นๆ ที่กำลังทำตลาดอยู่ในเมืองไทย 4 ประการ คือ 1.ทีมงานไนน์จะคัดเลือกดีลคุณภาพมานำเสนอทุกวัน 2.ส่วนลดสูงระดับ 50-70% บางดีลอาจลดได้ถึง 80-90% หรือซื้อ 1 แถม 1 ก็มี 3.การซื้อสินค้าทำได้ง่าย ผ่านบริการทางการเงินบนอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียรสูงอย่างเพย์สบาย และตัดบัตรเครดิต 4.สามารถเชื่อใจได้ด้วยชื่อเสียงของเนชั่น ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 40 ปี คลายความกังวลในการซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตไปได้มาก
 
"โซเชียล คอมเมิร์ซเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย เนชั่นในฐานะที่มีสื่อในมือครบถ้วน และได้การยอมรับในความน่าเชื่อถือ จึงอาสาเป็นตัวกลางทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง" ธนาชัย ระบุ
 
เก ษรี กาญจนะวณิชย์ ผู้บริหารระดับสูงไนน์ กล่าวว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมากตามกระแสของโซเชียล มีเดีย ผู้บริโภคใช้เวลาออนไลน์มากขึ้น พูดคุยกันเรื่องไลฟ์สไตล์ ช้อป กิน เที่ยว ดังนั้น ชอปปิงเว็บไซต์ www.ncoupon.co.th (http://www.ncoupon.co.th) จะเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์สินค้าและแบรนด์ไปยังผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ โดยตรง สร้างกระแสให้เกิดการบอกต่อกระจายไปในวงกว้าง หรือ Viral Marketing เมื่อคนในโซเชียล มีเดียที่มีความสนใจในดีลที่ทางเอ็นคูปองคัดเลือกมาแล้ว ก็จะเข้ามาช่วยกันคลิกซื้อ เมื่อถึงจำนวนที่มากพอทุกคนก็จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟนั้นไป
 
ไนน์มีทีมงานการตลาดดิจิทัล เพื่อดูแลสื่อสารการตลาดให้แก่เอ็นคูปองโดย ตรง โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และเว็บบอร์ดต่างๆ สามารถพูดคุยกับทีมงานได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างการรับรู้และแสดงให้เห็นความพร้อมของระบบเอ็นคูปอง เพราะโซเชียล คอมเมิร์ซ ยังเป็นเรื่องใหม่ในเมืองไทย การพูดคุยอย่างเป็นกันเองจะช่วยลดความประหม่า และกระตุ้นให้เกิดการทดลองซื้อในครั้งแรก หรือซื้อซ้ำในครั้งต่อไป
 
ขณะที่ผู้ประกอบการสินค้าทุกประเภท สามารถนำสินค้าเข้ามาทำโปรโมชั่นในเอ็นคูปองได้ โดยบริษัทจะมีทีมงานให้คำแนะนำ ส่วนผู้บริโภคที่จะเข้ามาใช้บริการ ก็ทำได้ง่ายมากด้วยการลงทะเบียน
 
ในเฟซบุ๊คของ เอ็นคูปอง จะคอยอัพเดทดีลใหม่แต่เช้า แล้วมีเจ้าหน้าที่คอยพูดคุยกับแฟนๆ ตลอดเวลา ทำได้ดีในการตอบสนองข้อสงสัยของลูกค้าบนโซเชียล มีเดีย ที่ต้องการคำอธิบายทันที หรือแม้จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็ต้องออกมารับทราบว่ารับรู้ข้อร้องเรียนแล้ว และจะนำไปปรับปรุงแก้ไข โดยเรื่องที่พูดคุยกันมากที่สุด คือการชำระเงิน การพิมพ์คูปอง และวิธีนำคูปองไปใช้ เป็นต้น ในวันนี้มีสมาชิกในหน้าเฟซบุ๊ค เพจของเอ็นคูปองเฉียด 3 พันคนแล้วหลังจากเปิดตัวเอ็นคูปองเพียง 1 สัปดาห์

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: โลกไซเบอร์วุ่น!! วิกฤตไอพีแอดเดรสขาดแคลน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2011, 14:36:38
นาทีนี้โลกอินเทอร์เน็ตกำลังนับถอยหลังสู่ยุคแห่งการขาดแคลนหมายเลข ไอพีแอดเดรสใหม่อย่างแท้จริง ทำให้ไอพีแอดเดรสระบบใหม่อย่าง IPv6 ถูกหยิบยกขึ้นมาจุดกระแสอย่างต่อเนื่อง โดยเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) Google (Google) รวมถึงผู้ให้บริการออนไลน์รายอื่น ควงแขนนำทีมพัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชันใหม่พร้อมกับร่วมมือกับผู้ให้บริการอิน เทอร์เน็ตในการอัปเกรดเครือข่ายแล้วในขณะนี้ ก่อนที่ไอพีแอดเดรสระบบเก่าอย่าง IPv4 ชุดสุดท้ายจะถูกส่งออกมาใช้งานภายในสัปดาห์นี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001563401.JPEG)

      สิ่งที่โลกต้องเผชิญหากไอพีแอดเดรสระบบเก่าหมดลง คือบริษัท น้อยใหญ่ที่มีเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องเสียเงินงบประมาณมากมายไปกับการอัปเกรดเว็บไซต์เพื่อให้รองรับระบบไอ พีแอดเดรสเวอร์ชันใหม่ ซึ่งคาดว่าทิศทางนี้กำลังจะเกิดขึ้นต่อเนื่องนับแต่ปีนี้เป็นต้นไป
      
      ไอพีแอดเดรสหรือ Internet protocol addresses นั้นเป็นชุดตัวเลขที่ใช้ระบุที่อยู่ของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่นหากผู้ใช้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ www.facebook.com (http://www.facebook.com) ระบบจะเชื่อมต่อไปยังไอพีแอดเดรส 66.220.149.32 โดยตรง ปัญหา อยู่ที่ระบบไอพีแอดเดรสดั้งเดิมเวอร์ชัน 4 หรือ IPv4 นั้นถูกออกแบบมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว (ยุคปี 70) เพื่อใช้งานเฉพาะในวงการศึกษาและนักวิจัยเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบเพื่อการใช้งานในวงกว้างและแพร่หลายเช่นทุกวันนี้ ไอพีแอดเดรสในระบบ IPv4 ซึ่งสามารถจัดสรรได้เต็มที่ 4,300 ล้านแอดเดรส จึงกำลังจะหมดลงท่ามกลางการใช้งานไอพีแอดเดรสมหาศาลในทุกวันนี้
      
      โลกไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาแอดเดรสขาดแคลน เพราะก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนมาใช้ IPv6 ระบบไอพีแอดเดรสเวอร์ชันใหม่ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขเดียวได้ถูกนำเสนอต่อสื่อ มวลชนในวงกว้าง บนหลักการที่ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนระบบหมายเลขโทรศัพท์มาเป็น 10 หลัก เพื่อแก้ปัญหาเลขหมายขาดแคลน โดยยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล เฟซบุ๊ก ยาฮู (Yahoo) รวมถึงรายอื่นต่างเริ่มกระบวนการทดสอบการเชื่อมต่อแอดเดรสใหม่บน IPv6 แล้ว แต่การทดสอบก็ยังไม่ขยายตัวในวงกว้าง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบนั้นมีแนวโน้มทำให้ธุรกิจสิ้นเปลืองงบประมาณสูง เพราะอุปกรณ์เครือข่ายทั้งเราท์เตอร์และเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรทั้งหลาย ซึ่งทำหน้าที่เข้ารหัสอิเล็กทรอนิกส์นั้นล้วนใช้งานระบบแอดเดรส IPv4 เป็นส่วนมาก
      
      สถานการณ์ขาดแคลนแอดเดรสในระบบ IPv4 ขณะนี้ คือจำนวนแอดเดรสว่างนั้นลดลงจาก 1,000 ล้านเลขหมายในเดือนมิถุนายน ปี 2006 เหลือ 117 ล้านเลขหมายในเดือนธันวาคม ปี 2010 ตามข้อมูลจากหน่วยงาน American Registry for Internet Numbers ซึ่งดูแลการจัดสรรไอพีแอดเดรสในสหรัฐฯ ถือเป็นตัวเลขที่น้อยจนคาดว่าแอดเดรสในระบบดั้งเดิมจะหมดลงก่อนกลางปีนี้แน่ นอน
      
      ที่น่าสนใจคือ ประชากรอินเทอร์เน็ตโลกน้อยกว่า 0.25% เท่านั้นที่ใช้ IPv6 ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในขณะนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะยังไม่มีการตื่นตัวที่จริงจัง เพราะการเปลี่ยนถ่ายสู่ IPv6 นั้นส่งผลมหาศาลในมุมของผู้บริโภค เนื่องจากระบบปฏิบัติการยุคเก่า เราท์เตอร์สำหรับใช้ในบ้าน รวมถึงอุปกรณ์เครือข่ายในบ้านอื่นๆอาจไม่รองรับระบบแอดเดรส IPv6 อนาคตที่ผู้บริโภคทั่วโลกต้องควักกระเป๋าจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
      
      ความแตกต่างระหว่างผู้ใช้ IPv6 และ IPv4 ในขณะนี้อยู่ที่การพิมพ์ยูอาร์แอลเว็บไซต์ เช่นผู้ใช้ IPv6 ที่ต้องการใช้เฟซบุ๊กจะต้องพิมพ์ว่า www.v6.facebook.com (http://www.v6.facebook.com) แทน โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 99% ที่ยังใช้ไอพีแอดเดรสระบบเก่าจะได้รับข้อความแจ้งผิดพลาดหรือ error message แทน
      
      ขณะนี้ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต่างขานรับด้วยการเปิดเผยว่าได้ลงทุนเป็นมูลค่า หลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐในการปรับปรุงโครงข่าย มีเพียงบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายเท่านั้นที่ยิ้มกริ่มเพราะมั่นใจว่าจะ ได้รับอานิสงส์เต็มที่จากวิกฤตินี้
      
      แม้ความตื่นตัวใน IPv6 ในนาทีนี้จะเพิ่มขึ้น เช่น รัฐบาลสหรัฐฯที่กำหนดให้เว็บไซต์หน่วยงานรัฐต้องใช้งานระบบ IPv6 ภายในปี 2012 หรือการเสนอความช่วยเหลือด้านภาษีเพื่อลดภาระให้ธุรกิจในการเปลี่ยนถ่าย เทคโนโลยีสู่ IPv6 แต่กระแส IPv6 ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร จนขณะนี้มีการเสนอให้วันที่ 8 มิถุนายน 2011 เป็นวัน World IPv6 Day เพื่อให้เป็นวันเปิดทดสอบ IPv6 อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฟซบุ๊ก Google และยาฮูจะเข้าร่วมเพื่อรณรงค์ให้ชาวเน็ตทั่วโลกหันมาสนใจ IPv6 อย่างเต็มตัว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: CAT CDMA เปิดตัว IDEOS Android 3G
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2011, 14:49:37
CAT CDMA เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ IDEOS Android ตอบสนองชีวิต 3G อย่างเต็มรูปแบบด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 2.2 พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มเล่นเน็ตฟรีไม่อั้น 3 รอบบิล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001563502.JPEG)

      นายวงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจสื่อสารไร้สาย บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่าจากความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยที่ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ผู้ใช้งานต้องการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ทุกที่ ทุกเวลาเพื่อเช็คอีเมล Social network หรือค้นหาข้อมูลต่างๆ ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนที่มีระบบรับข้อมูลและแสดงผลด้านกราฟิกที่ดี ใช้งานอินเทอร์เน็ตง่าย และรองรับการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงระดับ 3G เติบโตสูงขึ้นตามไปด้วย IDEOS Android เป็นทางเลือกใหม่ของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนซึ่งสามารถใช้งานได้บนโครงข่าย 3G ของ CAT CDMA ที่มีความครอบคลุมพร้อมใช้งานมากที่สุดในพื้นที่ภูมิภาค 52 จังหวัด
      
      IDEOS Android เป็นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android 2.2 รองรับเทคโนโลยีระบบ 3G ของ CAT CDMA ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุดถึง 3.1 Mbps และเป็น Wi-Fi ฮอตสปอตในตัว สามารถกระจายสัญญาณได้ทุกที่ ทุกเวลา สามารถแบ่งปันความสนุกบนโลกออนไลน์ให้คนรอบข้างได้อย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ ยังมีระบบนำทาง GPS ให้ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ และช่วยเป็นเพื่อนนำทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ตลอดเส้นทาง
      
      IDEOS Android ช่วยให้ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว ด้วยโปรแกรม Chat จาก MSN, Google talk พร้อม Facebook, Twitter อีกทั้งยังสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ที่ต้องการได้ผ่าน Android Market Place หลากหลายความบันเทิงทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเพลง บันทึกวิดีโอภาพเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดอารมณ์ด้วยกล้องความ ละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล
      
      สำหรับช่วงแรกของการเปิดตัว CAT CDMA จัดโปรโมชันพิเศษให้กับลูกค้า แถมฟรี MicroSD Card 2 GB พร้อมรับสิทธิ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดชั่วโมงฟรีนาน 3 รอบบิล ตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2554 ราคาเพียง 6,900 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Google เปลี่ยนฐานตีตลาดสมาร์ทโฟน ดึงร้านขายแอปฯขึ้นเว็บ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2011, 19:23:28
ในที่สุด กูเกิลได้ฤกษ์เปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต Android 3.0 Honeycomb อย่างเป็นทางการเสียทีหลังจากเป็นข่าวมานาน ปรากฏว่าสิ่งที่ผู้ร่วมงานฮือฮาไม่ใช่ Honeycomb แต่เป็น Android Market Webstore เว็บไซต์ขายแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ที่สาวกกูเกิลจะสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้สะดวกยิ่งขึ้นไม่ว่าจะนำไปติดตั้งบนอุปกรณ์ใด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001599601.JPEG)
Android Market Webstore เว็บไซต์ขายแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ที่ถูกมองว่าเป็นการท้าชนแอปสโตร์ไอจูนส์ (iTunes) ของกูเกิล

      งานนี้หลายฝ่ายไม่เพียงยกตำแหน่ง"คู่แข่ง iTunes App Store" ให้เว็บไซต์ร้านแอปพลิเคชันออนไลน์ของกูเกิล แต่ Android Market Webstore ยังถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนฐานที่มั่นเพื่อรบกับข้าศึกในสังเวียนสมาร์ทโฟน ของกูเกิล มาเป็นการยึดหัวหาดบนเว็บไซต์แทน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001599602.JPEG)

      แต่เดิม ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้จาก Android Market แอปพลิเคชันที่จะมาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทุกเครื่อง แต่ Android Market Webstore เป็นการยกร้านขึ้นเว็บไซต์ และถูกการันตีว่าผู้ใช้จะสามารถซื้อแอปพลิเคชันแอนดรอยด์เพื่อใช้บนสมาร์ท โฟนและแท็บเล็ตได้จากเว็บเบราว์เซอร์ จุดประสงค์หลักคือการทำให้การค้นหา ดาวน์โหลด และซื้อแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ทำได้ง่ายกว่าเดิม โดยผู้ใช้สามารถเปิดหน้าเว็บไซต์ที่ http://market.android.com/ แล้วในขณะนี้
      
      หากผู้บริโภคตัดสินใจเลือกโปรแกรมใด เพียงกรอกข้อมูลชำระเงินผ่านหน้าเว็บไซต์ โปรแกรมจะถูกโหลดเข้าสมาร์ทโฟนทันทีที่มีการกดปุ่มติดตั้งหรือ install นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถจัดการโปรแกรมที่ซื้อไปแล้วผ่านหน้าเว็บไซต์เพื่อเลือกว่าจะ ติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่องใดได้
      
      ที่น่าสนใจคือ กูเกิลใช้เว็บไซต์นี้เพื่อเปิดทางให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถฝังวิดีโอลงใน หน้าเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชันได้ ขณะเดียวกันก็ประกาศสนับสนุนให้นักพัฒนาสามารถขายสินค้าในแอปพลิเคชันของตัว เองได้เต็มที่ รวมถึงการเปิดเสรีให้นักพัฒนาฯสามารถตั้งราคาแอปพลิเคชันตามสกุลเงินที่ต่าง กัน โดยความสามารถนี้ยังต้องรอเวลาก่อนจะมีผลใช้ได้กับนักพัฒนาทั่วโลก
      
      นัยสำคัญของ Android Market Webstore หนีไม่พ้นการเป็นผู้ท้าชิงในสังเวียนแอปพลิเคชันออนไลน์ เพื่อล้มแชมป์อย่าง iTunes App Store ของแอปเปิล โดยคุณสมบัติใหม่ที่กูเกิลเพิ่มเข้ามาในร้าน Android Market Webstore ล้วนสะท้อนว่ากูเกิลต้องการเพิ่มข้อมูล เพื่อส่งเสริมให้แฟนแอนดรอยด์สามารถตัดสินใจซื้อแอปพลิเคชันได้เร็วกว่าการ เลือกจากหน้าจอจิ๋วบนโทรศัพท์เคลื่อนที่
      
      นอกจาก Android Market Webstore กูเกิลยังเปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต Android 3.0 Honeycomb อย่างเป็นทางการ โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ที่สุดในแอนดรอยด์เวอร์ชันนี้ต้องยกให้การยกเครื่องรูปแบบโปรแกรมใหม่เพื่อ ให้รองรับการแสดงผลบนหน้าจอแท็บเล็ต อุปกรณ์หน้าจอสัมผัสซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปที่แอนดรอยด์เคยรอง รับมาตลอด รวมถึงการปรับรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมกับประสบการณ์ใช้งานบนแท็บเล็ต
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001599603.JPEG)
หน้าจอหลักของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต Android 3.0 Honeycomb

      สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้กูเกิลเน้นพัฒนาความสามารถด้านการแสดงผลกราฟิก บน Honeycomb เป็นพิเศษ มีทั้งการเพิ่มความสามารถการแสดงผล 3 มิติ และการปรับรูปแบบการแจ้งเตือนให้เหมาะกับการแสดงผลบนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มลูกเล่นอินเทอร์เฟสหรือหน้าตาโปรแกรมกล้องถ่ายภาพให้มี ความน่าสนใจ และมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น
      
      สำหรับคำถามว่าเมื่อไร Honeycomb จะวางตลาด โฆษกกูเกิลให้คำตอบว่า กำหนดการวางตลาด Honeycomb นั้นเป็นไปตามกำหนดการเปิดตัวคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเช่น Motorola Xoom และ LG G-Slate รวมถึงผู้ผลิตอื่นๆที่เลือกติดตั้ง Honeycomb ลงในแท็บเล็ตของตัวเอง คาดว่าสาวกกูเกิลจะได้ใช้ Honeycomb ใน Motorola Xoom ก่อนเนื่องจาก T-Mobile ตัวแทนของโมโตโรลาระบุว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในปลายเดือนมีนาคมนี้ ขณะที่ LG ระบุว่าแท็บเล็ต G-Slate จะเริ่มวางตลาดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปีนี้
      
      การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ คือสัญญาณบอกว่าชุดคำสั่ง Honeycomb นั้นพร้อมจัดส่งสู่มือผู้ผลิตแท็บเล็ตอย่างเป็นทางการ รวมถึงการเผยแพร่ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์แก่นักพัฒนาในวงกว้างเท่านั้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: TME 2011 : ไอ-โมบาย ยุบตลาด 3 ประเทศ เหตุยอดหด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2011, 21:14:12
สามารถ ไอ-โมบาย ถอนการทำตลาดใน 3 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม บังกลาเทศ และอินเดีย เนื่องจากยอดขายไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เหลือทำตลาดในต่างประเทศเพียง ลาว กัมพูชา อินโดเนเขีย และมาเลเซียเท่านั้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001602001.JPEG)

      นายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เปิดเผยว่าปีนี้บริษัท ลดเป้าหมายเครื่องที่วางจำหน่ายในต่างประเทศเหลือเพียง 4-5 แสนเครื่อง จากที่เคยจำหน่ายได้เฉลี่ยถึง 1 ล้านเครื่องต่อปี
      
      "การทำตลาดในต่างประเทศมีค่า ใช้จ่ายค่อยข้างสูง รวมถึงกำไรที่ได้รับมีมาจิ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศไทย ส่งผลให้มีการเลิกทำตลาดในบางประเทศ และหันมาโฟกัสการทำตลาดในประเทศไทยมายิ่งขึ้น"
      
      ผลักดันบริการลูกค้าผ่าน ไอ-โมบาย เซอร์วิส เซ็นเตอร์ และจุดให้บริการมากกว่า 700 แห่ง ครบทุก 77 จังหวัด วางเป้ายอดขายโทรศัพท์ภายในประเทศ 3.5 ล้านเครื่อง หรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 31%
      
      โดยมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งกลุ่ม ฮิตส์ ซีรีส์ มือถือใช้ง่าย ราคาสุดคุ้ม กลุ่ม คอมมูนิตี โฟน มือถือ แชต โซเชียล เน็ตเวิร์ก ที่มีดีไซน์ และสีสันหลากหลาย แอปพลิเคชัน โฟน หรือสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รองรับการใช้งานแอปฯ เชื่อมต่อ 3G ในช่วงราคา 4 - 6 พันบาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Like ... Marketing !เทรนด์การตลาดยุค Social Network 2554
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2011, 15:43:11
เปิดเข้าสู่โหมดการทำงานกันเต็มที่แล้วนะครับสำหรับต้นเดือนกุมภาพันธ์อย่างนี้ ใครที่ยังติดอยู่กับช่วงวันหยุดอันแสนหอมหวาน ก็ต้องรีบสตาร์ทเข้าสู้ศึกการตลาดยุคใหม่กันให้เร็วไวยิ่งขึ้น
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375476_2.jpg)

ในปีนี้ มีข่าวน่าสนใจว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งแบรนด์ไทย แบรนด์เทศ ต่างทุ่มงบการตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้นชนิดผิดหูผิดตา จากเดิมกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักพอประมาณกับงบออนไลน์ไม่เกิน 1% สำหรับงบรวมทั้งปี มาในปีนี้เปิดตัวกันคึกคัก มีค่ายใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์ ที่ชิงแถลงข่าวไปก่อนแล้วที่งบออนไลน์เพิ่มเป็น 16-20% เรียกว่าแบรนด์ดังหลายค่ายต้องรีบหันมาดูกันทีเดียวครับ
 
ตัวเลขดัง กล่าวอ้างอิงกับกลุ่มประชากรอินเทอร์เน็ตบ้านเราที่เพิ่มเป็น 22 ล้านคน และในนั้นก็เป็นกลุ่ม เฟซบุ๊คเกอร์ กว่า 7 ล้านยูสเซอร์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดูมีอนาคตเลยทีเดียวสำหรับเมืองไทยในยุคที่ 3จี ยังไม่มีแบบเป็นเรื่องเป็นราว (นี่ถ้าเรามี 3จี จริงๆ จะขนาดไหน)
 
ดาว เด่นในตลาดออนไลน์ปีนี้คงหนีไม่พ้นเฟซบุ๊คละครับ มีคำแซวกันเล่นๆ เลยว่า ถ้าเราเห็นอะไรแล้วชอบอยากกด Like ได้จริงๆ เหมือนใน เฟซบุ๊คได้จริงคงจะดี  อย่างเช่น เห็นสาวสวยเดินผ่านแล้วถูกใจจะวิ่งเข้าไปกด Like สักดีจะได้มั้ยหนอ
 
ได้นะครับ !! ... ทำเป็นเล่นไป !!
 
ด้วย การใช้เทคโนโลยี FBML ร่วมกับ RFID เราสามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ แล้วละครับคุณผู้อ่าน ผมขอข้ามเรื่องเทคนิคไปก่อนนะครับ เอาเป็นถ้าใครสนใจก็อีเมลมาคุยกันส่วนตัวไปจะสะดวกกว่า เพราะรายละเอียดเยอะมาก
 
แต่ในเชิงการตลาดนั้น ถือว่านี่เป็นยุคที่เราจะเชื่อมโยงเฟซบุ๊คด้วยการ Like  ซึ่งเมื่อก่อนทำได้เพียงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น มาสู่โลกออฟไลน์ได้จริงๆ ด้วย และทันทีที่ Like ไปแล้วก็จะ Feed เอาไปโชว์ที่ Activity Wall ของคนนั้นๆ ด้วย เรียกว่าเพื่อนทุกคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนเฟซบุ๊คของเรา ก็จะรู้ไปด้วยว่าเราไป Like อะไรมา Like ที่ไหน อย่างไร
 
พอนึกภาพทางการตลาดออกไหมครับคุณผู้อ่าน
 
หลักการนี้ก็คือ การสร้างไวรัล (Viral) จากเรื่องจริงให้กระจายสู่ Page ของยูสเซอร์นั้นๆ ในเฟซบุ๊คครับ
 
ผม ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมติงานเปิดตัวคอนโด หรือหมู่บ้านจัดสรรสักโครงการหนึ่ง มีจัดแสดงห้องตัวอย่างไว้สัก 10 มุมสวยๆ แล้วเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายที่ Target เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกเฟซบุ๊คอยู่แล้ว มาเยี่ยมชมมุมสวยที่เราจัดไว้ และถ้าถูกใจเค้าสามารถ “เอามือจริงๆ ไปกด Like” ที่ห้องตัวอย่างจริงๆ นั้นเลยจะดีมั้ย
 
ใช่แล้วครับ ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการตลาดอย่าง RFID ทำสิ่งที่ผมว่านี้ได้แล้ว
 
สมมติ ว่าเราเชิญคนที่มาสัก 100 คน ใน 100 คนนั้นมีเพื่อนออนไลน์สัก 300 คน ก็เท่ากับว่าในวันนั้นๆ  มีไวรัลคอนเทนท์ ที่ถูกแชร์ไปยัง Wall ของ เฟซบุ๊คกระจายตัวกว่า 30,000 ครั้งต่อหนึ่งห้องตัวอย่าง ถ้ามีจัดสัก 10 มุมสวยก็คูณ 10 ไปสิครับ จะได้เท่ากับ 300,000 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว
 
ข้าง ต้นเป็นไอเดียในการทำ Like ... Marketing ควบคู่กับเทคโนโลยี RFID นะครับ ซึ่งก็ถือเป็นอีกยุคหนึ่งที่เราจะก้าวเข้าสู่ ไวรัลคอนเทนท์ที่แท้จริงเสียที และคอนเทนท์เหล่านี้ ก็ถูกเชื่อมโยงกันผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่แข่งแรงในตัวเองในทันทีและได้ผล
 
ในงานเปิดบ้านที่ Index Creative Village : ผ่ากะโหลก ชะโงกดูงาน Episode IV ที่ผ่านมา ผมเองก็ได้แนะนำเทคนิคนี้ไปใช้ในอีเวนท์ดังกล่าวด้วย ก็เรียกว่าผลตอบรับที่ได้คุ้มเกินการลงทุนเลยทีเดียว
 
ผมเก็บภาพและ เรียบเรียงกลยุทธ์ Like ... Marketing ! นี้ไว้เป็นเรื่องราวพร้อมคำอธิบายอย่างละเอียดไว้แล้วละครับ ถ้าคุณผู้อ่านท่านไหนสนใจอีเมล มาทิ้งไว้ที่ [email protected] นะครับ แล้วผมจะส่งไฟล์ไปให้อ่านกันเป็นไอเดีย
 
ใน เคส Like ... Marketing นี้ผมจะไปขยายความในเสวนาจิบกาแฟกับผมในครั้งที่ 3 ด้วย ใครสนใจก็ลงชื่อไว้ล่วงหน้าที่อีเมลข้างบนนี้เช่นเคยครับ แล้วเจอกันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถึงเทคนิคการทำและแผนการตลาด ที่เราจะไปประยุกต์ใช้งานอย่างละเอียด ในโต๊ะกาแฟเสวนาส่วนตัวครั้งหน้านะครับ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Extra Normal แอพเสริมการตลาดแบบไวรัส
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2011, 15:58:43
ภาพของตัวการ์ตูนหมีหน้าตาเซื่องๆ พูดถึงการวางแผนฆาตกรรมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ดูเป็นเรื่องน่าขำในสายตาของนักท่องอินเทอร์เน็ต และนี่คือหนึ่งในผลงานของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล (http://www.xtranormal.com/) ผู้ผลิตการ์ตูนแอนิเมชันออนไลน์ในสหรัฐ ที่ช่วยให้ผู้ใช้แปลงร่างเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ภายในพริบตา
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_1.jpg)

เอ็กซ์ตรานอร์มอล ซึ่งมีสโลแกนว่า "หากคุณพิมพ์ได้ คุณก็สร้างหนังได้" เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างสรรค์ผลงานบนเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดโปรแกรมลงในคอมพิวเตอร์
 
ขั้นแรก เลือกฉากและตัวการ์ตูน จากนั้นก็พิมพ์บทสนทนา และส่งออกเผยแพร่บนเว็บไซต์ โดยตัวการ์ตูนจะแสดงไปตามบทบาทและคำพูดที่กำหนด เสียงที่ออกมาจะเป็นโมโนโทน เนื่องจากเป็นเสียงสังเคราะห์
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_2.jpg)

ตัวการ์ตูนของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่คนธรรมดา สัตว์ ซูเปอร์ฮีโร่ หุ่นยนต์ ตัวต่อเลโก้ รถแข่ง และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่างเช่น บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ หรือ ซาราห์ เพ-ลิน อดีตผู้ว่าการรัฐอะแลสกา
 
ภาพยนตร์ การ์ตูนที่ได้รับความนิยมมักกระตุ้นให้เกิดวีดิโอตอบโต้หรือล้อเลียนตามมา โดย ซิลวิโอ ดรูอิน หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี กล่าวว่า คนที่เข้ามาในเว็บไซต์เพื่อผลิตภาพยนตร์ ส่วนมากเป็นเพราะได้ดูผลงานของคนอื่นมาก่อน บริษัทไม่เคยลงทุนด้านการตลาดแม้แต่ดอลลาร์เดียว
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_3.jpg)

คลิปวีดิโอชิ้นแรกของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ที่แพร่กระจายบนอินเทอร์เน็ต และสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัท ได้แก่ คลิปที่สร้างสรรค์โดย ไบรอัน มอพิน พนักงานร้านเบสต์บาย เป็นภาพตัวการ์ตูนหมี 2 ตัว พูดคุยเกี่ยวกับโทรศัพท์อัจฉริยะ ไอโฟน4 และ เอชทีซี อีโว ในสไตล์จิกกัด
 
คลิปนี้มีผู้ชมกว่า 11 ล้านครั้งบนเว็บไซต์ยูทูบ และสร้างปรากฏการณ์การผลิตคลิปล้อเลียนตามมาอีกนับไม่ถ้วน กลายเป็นเครื่องมือการตลาดแบบไวรัสไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_4.jpg)

การตลาด แบบไวรัส ก็คือ การทำตลาดที่ให้เนื้อหาเป้าหมาย กระจายตัวต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากผู้รับชมกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับไวรัสคอมพิวเตอร์นั่นเอง
 
แกรห์ม ชาร์ป หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เอ็กซ์ตรานอร์มอล กล่าวว่า เมื่อคลิปวีดิโอของ มอพิน โด่งดังขึ้นมา บริษัทใหญ่ๆ หลายรายก็หันมาสนใจ และคลิปทำนองเดียวกันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในแวดวงโฆษณา จนกระทั่ง เกโค บริษัทประกันภัยรถยนต์ นำเอาแอพพลิเคชั่นแจกฟรีของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ไปใช้ผลิตภาพยนตร์โฆษณาขนาดสั้นหลายชิ้น
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_5.jpg)

ความนิยมที่ได้รับถือเป็นเรื่องเหนือคาดสำหรับ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2548 ที่มอนทรีออล แคนาดา โดย ริชาร์ด ซาลวินสกี นักเขียนบทและผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชัน เนื่องจากเป้าหมายในการผลิตแอพพลิเคชั่นนี้ขึ้นมา ก็เพื่อช่วยให้สตูดิโอภาพยนตร์มีเครื่องมือสร้างสตอรี่บอร์ดก่อนลงมือถ่ายทำ ซึ่งฮอลลีวูดก็ชอบไอเดียนี้ แต่เห็นว่าตัวการ์ตูนและอุปกรณ์ต่างๆ ธรรมดาไปหน่อย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีความเห็นแตกต่างจากฮอลลีวู้ด โปรแกรมของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล กลายเป็นที่โปรดปรานของผู้ที่ชอบของฟรี และสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง
 
ดา ร์รอล ลอว์สัน หนึ่งในผู้ใช้บริการ เจ้าของวีดิโอการถกเถียงเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างคนอเมริกันผิวสี ให้ความเห็นว่า การทำภาพยนตร์ออกมาในแบบการ์ตูน ช่วยให้ประเด็นตึงเครียดผ่อนคลายลงได้ และเสียงสังเคราะห์ของ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ก็ช่วยสร้างอารมณ์ขันได้ดี แม้ว่าบางทีอาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจให้ขำ
 
ทาง ด้าน เลสลี อัลลิสัน เลือกสร้างวีดิโอแทนการเขียนบล็อก เพื่อแสดงความไม่พอใจในวิชามานุษยวิทยาที่เธอเรียนอยู่ เนื่องจากเห็นว่าการเขียนบล็อก ก็เหมือนการบ่นให้คนอื่นฟัง แต่การสร้างวีดิโอทำให้เรื่องที่เธอไม่พอใจกลายเป็นเรื่องน่าขัน และคนที่ได้ดูวีดิโอของเธอก็จะได้รับสารในเชิงบวก
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/04/images/news_img_375471_6.jpg)

กระนั้นก็ดี การเปลี่ยนแปลงทีมบริหารเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ ซาลวินสกี ต้องลาออกไป และ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ก็เคลื่อนไปในทิศทางใหม่ บริษัทประกาศจัดเก็บค่าบริการเมื่อเดือนธ.ค. เนื่องจากแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว เมื่อยอดผู้ใช้พุ่งแตะระดับ 2 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 500,000 รายเมื่อเดือนมิ.ย. และมีการผลิตวีดิโอออกมาแล้วประมาณ 9.3 ล้านชิ้น บางชิ้นมียอดเข้าชมนับล้าน
 
เดิม เอ็กซ์ตรานอร์มอล จัดเก็บค่าบริการเฉพาะตัวละครพิเศษ หรือฉากพิเศษ แต่ปัจจุบัน ผู้ใช้ต้องจ่ายค่าตัวละครและฉากทั้งหมด รวมทั้งการนำวีดิโอออกเผยแพร่บนเว็บไซต์
 
ผู้ใช้ต้องซื้อแต้มขั้น ต่ำ 1,200 แต้ม ในราคา 10 ดอลลาร์ สมาชิกใหม่จะได้แต้มฟรี 300 แต้ม และอาจได้คะแนนเพิ่มหากชักชวนเพื่อนมาสมัครด้วย ตัวละครและฉากหลังมีราคาระหว่าง 37-150 แต้ม ส่วนค่าเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 100 แต้ม
 
แม้ว่าขณะนี้ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ยังไม่มีกำไรจากการดำเนินการ แต่ ชาร์ป คาดว่าบริษัทจะคืนทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ด้วยการจัดเก็บค่าบริการดังกล่าว และการสร้างแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์อัจฉริยะ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่าง เฟซบุ๊ค
 
แอพพลิเคชั่นใหม่ จะช่วยให้ผู้ใช้สร้างและส่งวีดิโอสะดวกสบายขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ถ่ายรูปประกอบฉากได้ด้วย
 
นอกจากนี้ เอ็กซ์ตรานอร์มอล ยังซุ่มพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับ เฟซบุ๊ค ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถส่งคำอวยพรวันเกิด หรือแสดงความเห็น ในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชัน ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่รายนี้

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: อัลคาเทล-ลูเซ่นรุกตลาดองค์กร สร้างตลาดใหม่สวิตช์อีเธอร์เน็ต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 14:29:49
อัลคาเทล-ลูเซ่น รุกตลาดเครือข่ายเอนเตอร์ไพรซ์ ส่งสวิตช์อีเธอร์เน็ตความเร็ว 100 กิกะบิตเข้าตลาดก่อนหน้าคู่แข่ง หลังพบแนวโน้มพฤติกรรมการใช้แอปพลิเคชันในองค์กรโลกกินแบนด์วิดธ์สูง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001732401.JPEG)
โจเซฟ รากูโกเลีย (Joseph Raccuglia) ผู้อำนวยการการตลาดผลิตภัณฑ์และโซลูชันดาต้าและซีเคียวริตี้ กลุ่มแอปพลิเคชัน อัลคาเทล-ลูเซ่น

      นายโจเซฟ รากูโกเลีย (Joseph Raccuglia) ผู้อำนวยการการตลาดผลิตภัณฑ์และโซลูชันดาต้าและซีเคียวริตี้ กลุ่มแอปพลิเคชัน อัลคาเทล-ลูเซ่น กล่าวว่า มีการประเมินมูลค่าตลาดรวมของโซลูชันการสื่อสารข้อมูล ประกอบไปด้วยตลาดอุปกรณ์สวิตชิ่ง แลนไร้สาย เราเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์ทางด้านรักษาความปลอดภัย ในปี 2554 ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 28.82 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโตจากปี 2553 ประมาณ 19.9% โดยตลาด เอเชียแปซิฟิกเป็นอีกตลาดหนึ่งที่จะมีการลงทุนโซลูชันเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ คลาวด์คอมพิวติ้ง เวอร์ชัวร์ไลเซชัน มาใช้ส่งผลให้ความต้องการอุปกรณ์สวิตช์ที่สามารถรองรับแบนด์วิดธ์จำนวนมาก รวมไปถึงความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ ได้ง่าย และมีขั้นตอนการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก ซึ่งเป็นจังหวะดีที่อัลคาเทล-ลูเซ่นได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สวิตช์อีเธอร์เน็ต 10 กิกะไบต์ (10GigE) OmniSwitch 10K สำหรับตลาดเอนเตอร์ไพรซ์รุ่นใหม่ล่าสุด
      
      'อัลคาเทล-ลูเช่นเป็นรายแรกที่มีอุปกรณ์สวิทตช์อีเธอร์เน็ตรองรับการ สื่อสารข้อมูลที่ความเร็ว 100 กิกะบิต ในตลาดเวลานี้ ขณะที่คู่แข่งยังไม่มี'
      
      OmniSwitch 10K เป็นผลิตภัณฑ์ยุทธศาสตร์ของอัลคาเทล-ลูเซ่นภายหลังจากที่ประกาศกลยุทธ์ที่จะ เป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานใหม่การสื่อสารข้อมูลระดับ 100 กิกะบิต ภายใต้แนวคิดสถาปัตยกรรมเครือข่าย “Application Fluent Network” ที่อัลคาเทล-ลูเซ่นประกาศเอาไว้เมื่อปี 2552 ทำ ให้โซลูชันของอัลคาเทล-ลูเซ่นรองรับบริการบรอดแบนด์ขนาดใหญ่ที่ต้องการทั้ง ความเร็ว บริการที่หลากหลายและจัดขนาดได้ตามความต้องการในการบริหารจัดการเครือข่าย สื่อสารสำหรับบริการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ บริการวีพีเอ็น บริการไอพีทีวี พร้อมๆ กับบริการวิดีโอประเภทเว็บเบสวิดีโอ
      
      'ขณะที่ทราฟฟิกการใช้งานสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับเป้าหมายของผู้ให้บริการที่ต้องเพิ่มรายได้ ผู้ให้บริการจึงไม่เพียงแต่ต้องการความเร็วที่สูงขึ้นแต่ยังต้องการความ ยืดหยุ่นในการจัดขนาดเครือข่ายด้วย'
      
      OmniSwitch 10K เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับระบบเครือข่ายหลักขององค์กรที่ช่วยทำให้เครือ ข่ายมีประสิทธิภาพสูงขึ้น 4 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเครือข่ายเดิม ที่สำคัญยังทำลายข้อจำกัดการขยายเครือข่ายในอดีตเมื่อมีความต้องการแบนด์ วิดธ์ที่สูงขึ้น โดย OmniSwitch 10K รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายความเร็วสูงระดับ 100 กิกะบิตได้ถึง 256 พอร์ต อีกทั้งยังกินไฟต่ำที่สุดในตลาดปัจจุบันเพียง 1.5 วัตต์
      
      'เวลานี้ เอนเตอร์ไพรซ์ กำลังเผชิญกับความต้องการที่หลากหลายทั้งรูปแบบไฟล์ข้อมูลรวมไปถึงการให้ บริการกับดีไวซ์ใหม่ ทำให้เกิดความซับซ้อนของการให้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ บนเครือข่าย ซึ่งต้องการอุปกรณ์บริหารจัดการความต้องการดังกล่าวบนเครือข่ายให้มีความ ยืดหยุ่นเพียงพอ ซึ่ง OmniSwitch 10K มีความสามารถในการบริหารจัดการเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ มีการใช้งานง่าย และยังช่วยลดขั้นตอนการบริหารจัดการให้น้อยลง'
      
      สำหรับรูปแบบการทำตลาด OmniSwitch 10K นั้น อัลคาเทล-ลูเซ่น ยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรเป็นหลัก โดยมีตลาด เป้าหมายอยู่ที่ตลาดองค์กร ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนผลดำเนินการในประเทศไทย ยังถือว่า อยู่ในระดับคงตัว มีการเสริมพันธมิตรในการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่า บริษัทในไทยจะยังคงมีการลงทุนเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
      
      ก่อนหน้านี้ อัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) ได้มีการทดสอบเราเตอร์ 7750 Service รวมทั้ง 7450 Ethernet Service Switches และซอฟต์แวร์ 5620 Service Aware Manager ร่วมกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ว่า สามารถให้ความเร็วสูงถึง 100 กิกะบิตต่อวินาทีในการให้บริการรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการไร้สายและมีสาย ประกอบไปด้วยบริการไร้สาย 3Gและ LTE บริการบรอดแบนด์ตามสาย ระบการบริหารสมาชิก บริการอีเธอร์เน็ตสำหรับธุรกิจและการใช้งานวีพีเอ็น
      
      นายเบนจามิน คาร์ลาเกียน กรรมการผู้จัดการ อัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในการวางแผนรองรับความต้องการของแอปพลิเคชันและคอนเทนต์ที่ใช้แบนด์วิดธ์สูง นั้น ผู้ให้บริการต่างๆ มักเลือกใช้โครงข่ายยุคใหม่ประเภท Next-generation all-IP multiservice ที่สามารถปรับขยายให้รองรับการความต้องการได้ ซึ่งอัลคาเทล-ลูเซ่นเรียกการพัฒนาสร้างโครงข่ายยุคใหม่ประเภทนี้ว่า High Leverage Network ทั้งนี้ หากทรูเลือกเครือข่ายเดียวที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับทั้งบริการเดิมต่างๆ ที่มีอยู่แล้วกับบริการ 3G ใหม่ได้ จะยิ่งทำให้ทรูมีศักยภาพที่จะเตรียมตัวรับกับความต้องการใช้แบนด์วิดธ์สูง ที่นับวันจะมีมากขึ้นได้ดี จะเห็นได้ว่าวิธีการพัฒนาศักยภาพบนแพลตฟอร์มไอพีเราท์ติ้งของอัลคาเทล-ลู เซ่นที่ลูกค้าใช้อยู่แล้วนี้ จะเป็นการพัฒนาที่ราบรื่น อีกทั้งจะช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถเสนอบริการอีเธอร์เน็ตในรูปแบบใหม่ๆ ได้มากขึ้น รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: สร้างพลังแฟนให้แน่นแฟ้นกับแบรนด์ด้วย Fanpage
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 16:50:34
จริงหรือไม่ ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยกด "Like" ให้กับแฟนเพจบางอัน แต่สุดท้ายแล้ว ทุกวันนี้ คุณแทบไม่เคยเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของแฟนเพจนั้นเลย

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/07/images/news_img_375754_1.jpg)

เนื่องจากทุกวันนี้ สื่อดิจิทัล Social Networking อย่างเฟซบุ๊ค ที่มีความสามารถในการแชร์หรือกระจายข้อมูลไปยังผู้บริโภคในวงกว้าง และสร้างการส่งต่อข้อมูลระหว่างผู้บริโภคกันเอง โดยที่นักการตลาดสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิผล ทำให้นับวันจำนวนแฟนเพจของแบรนด์ต่างๆ ผุดขึ้นมาในเฟซบุ๊คไวยิ่งกว่าดอกเห็ดหวังเกาะกระแสดังตามกันไปด้วย แต่ไม่ง่ายเลยที่จะสร้างกระแสฮิตติดลมบนให้เกิดขึ้นได้ถึงขนาดเป็นที่พูดถึง ในวงกว้างและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ของเรา เพราะไม่ใช่เพียงเชื้อเชิญคนมายังแฟนเพจของเราแล้วมีการอัพเดทข้อมูลให้ใหม่ สดเสมอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงขอนำเสนอสูตรลับ 3 วิธีตีซี้กับผู้บริโภคสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว ของแบรนด์เราผ่านทางแฟนเพจมากขึ้นดังต่อไปนี้
 
1. ดึงจำนวนคนในแฟนเพจของคุณให้ถึงขีดสุด ด้วยการมอบสิทธิพิเศษเฉพาะคนในแฟนเพจของคุณเท่านั้น
 
ไม่ จำเป็นว่าต้องอยู่ในช่วงโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมเท่านั้น การนำเสนอรางวัลยั่วตา ยั่วใจเพื่อดึงจำนวนคนในแฟนเพจของคุณให้ถึงขีดสุดสามารถทำได้ไม่ว่าเวลาไหนๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้คนมากขึ้น และรองรับแผนกลยุทธ์การสื่อสารของคุณในช่วงเวลาต่อๆ ไป เช่น Sears หนึ่งในเว็บไซต์ E-Commerce ในอเมริกาที่มีบริการส่งสินค้าไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด ในช่วงแรกที่ Sears ขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นผ่านแฟนเพจในเฟซบุ๊คนั้น ได้มีการนำเสนอสิทธิพิเศษสำหรับคนในแฟนเพจเท่านั้น ด้วยการนำเสนอบริการส่งสินค้าฟรีสำหรับแฟนๆ ในเฟซบุ๊ค หรือคูปองพิเศษสำหรับแฟนๆ หรือโปรโมชั่นพิเศษผ่านทางแฟนเพจทุกๆ สัปดาห์ จนทำให้ปัจจุบัน Sears มีจำนวนแฟนๆ มากเกือบ 4 แสนคนเลยทีเดียว
 
2. สร้างเสน่ห์ให้กับแฟนเพจของคุณด้วย Interactive
 
Social Networking เป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่แฟนเพจของคุณก็ควรจะเป็นเช่นกัน การเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ กับแฟนๆ ของคุณย่อมเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและเปิดใจกับแบรนด์ ของคุณมากขึ้น จนเกิดการแชร์หรือบอกต่อไปยังเพื่อนฝูงของแฟนๆ ของคุณอย่างกว้างขวาง เช่น SNCF รถไฟความเร็วสูงในฝรั่งเศสที่เพิ่งฉลองครบรอบ 1 ปีระบบวิทยุออนไลน์กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการสร้างแฟนเพจในเฟซบุ๊ค และได้คลอด "My Vocal Status" ลูกเล่นใหม่ในการอัพเดทสถานะของผู้ใช้ด้วยระบบเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงของคุณเองหรือว่าผ่านระบบแปลงเสียงเป็นเสียงผู้ชายหรือ ผู้หญิง ซึ่งสามารถโพสต์ลงในกระดานข้อความของเพื่อนคุณได้อย่างสนุกสนาน
 
นอก จากนี้ การต้อนรับผู้ที่เข้ามายังแฟนเพจด้วยการหน้าต่างต้อนรับที่อธิบายภาพรวมของ แฟนเพจอย่างมีสีสันแตกต่างจากทั่วไป แทนการต้อนรับด้วยหน้าต่างกระดานข้อความที่มักเห็นกันบ่อยๆ มักสร้างเสน่ห์ให้แฟนเพจดูน่าค้นหามากขึ้น เช่น แบรนด์รถหรูชื่อดัง Porsche ที่มีจำนวนแฟนๆ มากกว่า 1.3 ล้านคน ด้วยการดีไซน์แฟนเพจของตัวเองอย่างมีสไตล์ ด้วยการสร้าง Catalog รถยนต์ที่เราสามารถเลือกดูสีและรายละเอียดบางส่วนของรถ Porsche ได้อย่างเพลิดเพลินและกิจกรรมเกี่ยวกับ Porsche ด้วยวิธีต่างจากวิธีทั่วๆ ไป จากการเสริม Interactive ภาพเคลื่อนไหวให้แฟนๆ ได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนย่อเว็บไซต์หลักมาไว้ในเฟซบุ๊คเลยทีเดียว
 
3. ติดแม่เหล็กให้แฟนเพจคุณ ดึงดูดให้ผู้คนคอยติดตามความเคลื่อนไหวตลอดเวลาด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจ
 
เฟซ บุ๊คมีฟังก์ชันที่บางครั้งเอื้ออำนวยในการทำกิจกรรมการตลาดได้อย่างน่าสนใจ และไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตลอดจนสามารถสร้างการบอกต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น IKEA แบรนด์ร้านเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านที่มีการใช้ความสามารถที่มีอยู่ของเฟซบุ๊ค อย่างชาญฉลาด ด้วยการสร้างโปรโมชั่นผ่าน Catalog รูปภาพสินค้าในอัลบั้มที่มีอยู่แล้ว โดยเงื่อนไขที่ทำให้เหล่าแฟนๆ ตาโต คือ ผู้ใดที่เข้ามา Tag ชื่อตัวเองในสินค้าชิ้นใดๆ ใน Catalog ได้ก่อน จะได้รับสินค้านั้นไปเลย!! ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เมื่อคนที่ Tag ตัวเองในรูปใดๆ ก็ตาม จะปรากฏในหน้าต่างเฟซบุ๊คของตัวเองและเพื่อนๆ ผ่านทางกระดานข้อความ แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างเหลือล้น จนมีแฟนๆ คอยติดตามตลอดทุกนาทีว่า IKEA มีการอัพรูปใหม่ใน Catalog อีกหรือไม่
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/07/images/news_img_375754_2.jpg)

จาก แนวคิดทั้ง 3 ข้อนี้และกรณีศึกษาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นกรรมวิธีในการทวีจำนวนผู้คนในแฟนเพจของเราให้มากขึ้น ด้วยการให้เหตุผลกับผู้บริโภคว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ควรพลาดที่จะเป็นส่วน หนึ่งของแฟนเพจของเรา ด้วยกิจกรรมและสิ่งกระตุ้นที่จะนำพาเขาเข้าสู่แฟนเพจของคุณ และมัดใจเขาให้อยู่หมัดจนต้องค่อยติดตามความเคลื่อนไหวของแฟนเพจคุณด้วย Surprise ที่เขาตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จนนำแบรนด์ของคุณไปสู่จุดสูงสุดผ่านทางแฟนเพจที่เหนือกว่าใครๆ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: YourBest ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 17:33:34
ขอบคุณงับ


หัวข้อ: Speedtest.or.th พบคนไทยได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตใช้งานเพียง 71% จากคำโฆษณา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 01:56:44
สบท. และ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทยเผย ผู้บริโภคชาวไทยได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตใช้งานเพียง 71% จากคำโฆษณา ชี้ทิศทางการใช้งานอินเทอร์เน็ตควมเร็วสูงมีมากขึ้น ผู้เข้าร่วมทดสอบส่วนใหญ่ความเร็วอยู่ที่ 4 Mbps ขณะที่อัตราการอัปโหลดยังอยู่ที่ 512 Kbps เช่นเดิม
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001761201.JPEG)

   จากการเก็บผลสำรวจและทดสอบคุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ต หรือ Speedtest ใน ช่วงปี 2553 ที่เป็นโครงการร่วมกันระหว่าง สถานบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) และสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ถึงปลายธันวาคม
   
   พตอ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดี ดีเอสไอ และ นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กล่าวว่า มีผู้เข้ามาร่วมทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตมากถึง 5,286,196 ครั้ง หรือเฉลี่ย 14,483 ครั้งต่อวัน โดยมาจากผู้ใช้ทีโอที 26.5% ทรู 25.96% และ 3BB 13.09% หรือคิดเป็นจำนวนครั้งที่ 1,400,655 ครั้ง 1,372,101 ครั้ง และ 691,764 ครั้งตามลำดับ
   
   "การที่มีจำนวนผู้ใช้ ISP อื่นๆ เป็นจำนวนถึง 27.89% หรือ 1,474,300 ครั้ง เกิดขึ้นจากการที่ตัวเลขไอพีที่ผู้ให้บริการใช้ของทาง กสท และ 3BB ใช้เลขไอพีที่ไม่ได้ลงทะเบียน ทำให้ไม่สามารถแสดงผลได้ จึงต้องมีการประสานงานให้นำเลขไอพีมาลงทะเบียนต่อไป"
   
   ส่วนจังหวัดที่มีผู้เข้าร่วมทดสอบมากที่สุดคือ กรุงเทพฯ 16.78% ชลบุรี 2.47% เชียงใหม่ 2.31% และ 2.19% ตามลำดับ และมีข้อมูลที่ไม่ระบุจังหวัดมากถึง 43.29% ส่วนจังหวัดที่มีผู้เข้าทดสอบน้อยสุดคืออำนาจเจริญ
   
   ขณะที่แนวโน้มการใช้งานบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่ม มากขึ้น จากการที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็ว 4 Mbps เข้าทดสอบมากถึง 15% รองลงมาเป็น 3 Mbps ที่ 8% และ 6 Mbps ที่ 7% ส่วนความเร็วมาตรฐานเดิมที่ 2 Mbps มีผู้เข้าทดสอบเพียง 2% แต่ทั้งนี้ยังมีจำนวนข้อมูลที่ไม่มีการระบุความเร็วถึง 55%
   
   "ความเร็วในการดาวน์โหลด สามารถทำได้เฉลี่ยที่ 71% จากค่าดาวน์โหลดที่โฆษณากัน ขณะที่ค่าอัปโหลดทำได้เพียง 10% จากที่โฆษณาไว้เท่านั้น"
   
   การวิเคราะห์ความเร็วดาวน์โหลดในช่วง 4 Mbps ของ 3 เจ้าใหญ่ ไล่ตั้งแต่ทรูมีผู้ใช้ที่ทดสอบได้ในช่วง 4 Mbps ถึง 38% และมีมากกว่า 3.5 Mbps ถึง 48% ส่วนทีโอที ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดของผู้ใช้บริการ 4 Mbps อยู่ที่ 3.5 Mbps ซึ่งถ้ารวมผู้ใช้ที่มีความเร็วสูงกว่า 3.5 Mbps มีเพียง 15% เท่านั้น ขณะที่ 3BB มีผลทดสอบใกล้เคียงกับของทรู ถ้านับค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.5 Mbps ขึ้นไปมีถึง 48%
   
   ส่วนความเร็วอัปโหลดส่วนใหญ่ทั้ง 3 รายหลัก จะอยู่ที่ประมาณ 512 Kbps เป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีความเร็วในการดาวน์โหลด 2, 3, 4 และ 6 Mbps ก็ตาม ส่วนภาพรวมในปี 2554 คาดว่าจะมีการปรับค่าอัปโหลดให้ขึ้นมาอยู่ที่ 1 Mbps มากขึ้น
   
   ผู้ใช้งานส่วนใหญ่รู้จัก Speedtest.or.th มากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาส่วนเสริมของเว็บเบราว์เซอร์ทุกราย ไม่ว่าจะเป็น Internet Explorer, Firefox, Chrome และ Safari และมีการเปิดระบบสมาชิก ให้สามารถย้อนดูผลการทดสอบย้อนหลัง เพื่อช่วยวิเคราะห์ประมวลผล หรือนำไปใช้เป็นหลักฐานในการร้องเรียน จากความเร็วอินเทอร์เน็ตได้
   
   "สำหรับคนที่สมัครเป็นสมาชิก ทางสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย จะมีการนำสมาชิกมาจับฉลากแจกไอแพด เป็นการตอบแทนผู้ที่เข้ามาใช้งาน ขณะเดียวกันผู้ทำเว็บไซต์ ที่ต้องการนำระบบไปติดตั้งที่เซิร์ฟเวอร์ก็สามารถติดต่อเข้ามาเพื่อร่วม โครงการลุ้นรับไอแพดด้วยเช่นเดียวกัน"
   
   อัตราส่วนการใช้งานเว็บไซต์ Speedtest.or.th มีผู้เข้าใช้จากหน้าเว็บ 40% ขณะที่มากกว่า 50% ที่เหลือเข้าจากเว็บไซต์พอร์ทัลที่เข้าร่วมติดตั้งระบบทดสอบในหน้าเว็บไซต์


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: HP ผุด All-In-One PC รุ่น "เอนหลัง" ได้?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 19:31:58
ในขณะที่ Apple ยังคงใช้การโต้ตอบกับ iMac (All-In-One PC) ด้วยระบบสัมผัสหน้าจอในลักษณะเกือบตั้งฉาก ซึ่งเวลาใช้งานนานๆ จะเกิดอาการเมื่อยแขน และมือได้ เนื่องจากต้องยกแขนและข้อมือขึ้นขนานกับหน้าจอ ล่าสุด HP กำลังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับตลาดด้วยการออก TouchSmart PC ที่แก้ปัญหาดังกล่าวได้

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/hp-touchsmart-610-9300-all-in-one-pc-lean-back-reclining-2.jpg)

HP TouchSmart 610 และ 9300 เดสก์ทอปแบบ All-In-One รุ่นใหม่ที่ตอบสนองการใช้งาน และความบันเทิงได้อย่างครบครัน โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม ด้วยขนาดหน้าจอสัมผัส 23 นิ้ว สนับสนุนการแสดงผลวิดีโอ Full HD 1080p (1920 x 1080) ซึ่งสำหรับ TouchSmart PC รุ่นใหม่นี้ แทนที่ผู้ใช้จะต้องยกแขนขึ้นสัมผัสหน้าจอ ด้วยดีไซน์ใหม่ หน้าจอของมันจะสามารถเลื่อนให้เอนลงให้ทำมุมกับพื้น 60 องศา ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องยกแขน แถมยังสามารถใช้ระบบมัลติทัชของหน้าจอได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนเรื่องของมุมมองบนหน้าจอ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเห็นไม่ถนัด เนื่องจาก TouchSmart PC รุ่นนี้จะมาพร้อมกับ LED (ด้านหลังของหน้าจอ LCD) ทีสามารถให้แสงสว่างในมุมทีกว้างขึ้นกว่าเดิม

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/hp-touchsmart-610-9300-all-in-one-pc-lean-back-reclining-3.jpg)

HP TouchSmart 610 จะมีสนนราคาอยู่ที่ 900 เหรียญฯ (ประมาณ 28,000 บาท) และจะเริ่มวางตลาดในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ศกนี้ โดยมีซีพียูให้เลือกจากทั้งสองค่ายคือ Intel และ AMD หน่วยความจำเพิ่มได้สูงสุด 16GB สตอเรจ 1TB ไดรฟ์ Blu-Ray และลำโพง Beats Audio ส่วนรุ่น 9300 จะวางตลาดในเดือนพฤษภาคม โดยใช้โพรเซสเซอร์ Intel Sandybridge สตอเรจจะเป็น SSD 160GB และเว็บแคม 2 ล้านพิกเซล ส่วนเรื่องของราคายังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "โปรไฟล์ - เพจ - กรุ๊ป" เลือกให้โดนการตลาด Facebook
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 21:53:45
องค์กรและธุรกิจจำนวนไม่น้อย ที่ยังลองผิดลองถูกในการสื่อสารผ่านโซเชียล มีเดียฮอตฮิตอย่าง ..เฟซบุ๊ค แม้จะเห็นตัวอย่างทั้งของเมืองนอกและไทยที่ประสบความสำเร็จมากมายแล้ว แต่เมื่อถึงคราวลองทำบ้างกลับไม่เปรี้ยง ไลค์ไม่ขึ้น..เมนท์ไม่วิ่ง!

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/08/images/news_img_375982_1.jpg)

วันนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" อยากชวนเวิร์คชอปง่ายๆ เริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานที่จำเป็น และแนวคิดในการกำหนดกลยุทธ์ สื่อสารการตลาดบนเฟซบุ๊ค มาเริ่มกันตั้งแต่การเลือกว่าจะใช้ โปรไฟล์ - เพจ หรือกรุ๊ป

เฟซบุ๊ค โปรไฟล์ (Facebook Profile) เป็นที่คุ้นเคยกันดีทุกคน (อนุมานว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่มีเฟซบุ๊คส่วนตัว) เมื่อมีแนวคิดใช้เฟซบุ๊คสื่อสารการตลาด ธุรกิจก็ทำการสร้างโปรไฟล์ของแบรนด์หรือสินค้าขึ้นมา ตั้งชื่อแบบตรงที่สุดเพื่อให้การสืบคุ้นของเฟซบุ๊คและกูเกิลหาเจอได้ง่าย แล้วมอบหมายให้ฝ่ายการตลาด หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ดูแลการรับเพื่อน และพูดคุยสร้างประโยคสนทนา และนำไปสู่การบริหารลูกค้าสัมพันธ์

แน่นอนว่า ก่อนจะมีเฟซบุ๊คของ แบรนด์หรือองค์กรในรูปแบบอื่น ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการสร้างโปรไฟล์มาแล้วทั้งสิ้น เพราะหลายๆ ท่านมารู้ที่หลังว่ารับเพื่อนได้เพียง 5,000 คน สำหรับแบรนด์สินค้า จำนวนเพื่อนที่จำกัดเพียงนี้ก็ดูเหมือนกำลังดี แต่จะว่าน้อยก็ดูจะน้อยมากเลยทีเดียว และหากประเมินตามสูตรของฝรั่งที่ว่า เพื่อนจริงๆ ไม่รวมคนในองค์กรหรือกลุ่มคนใกล้ตัว ที่แอดเพราะความเกรงใจและหน้าที่แล้ว คนที่อยากเป็นเพื่อนกับโปรไฟล์นั้นจริงๆ มีการให้ค่าไว้ที่ประมาณ 40% จากจำนวนเพื่อนที่ปรากฏอยู่

ข้อดีที่ชัดที่สุดของโปรไฟล์ คือ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (privacy settiing) คือ ถ้าแบรนด์มีแผล หรือเคยมีดราม่าเยอะ แต่ก็รู้ว่าปล่อยให้แบรนด์อยู่แบบโลว์โปรไฟล์ในยุคนี้มีแต่ผลเสีย สามารถลองใช้ตัวนี้ไปสักพักก่อน ศึกษาวิธีการพูดคุย การสร้างตัวตน วิธีการใช้ชีวิตออนไลน์กลมกลืนไปกับคนบนโซเชียล มีเดีย ...แต่เมื่อปลายทาง แบรนด์ก็ต้องพัฒนาไปใช้รูปแบบการสื่อสารอื่น เพราะข้อเสียของโปรไฟล์ ที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ

ที่ สำคัญคือ ผู้ไม่ได้เป็นเพื่อนหรือเมื่อโปรไฟล์รับเพื่อนเพิ่มไม่ได้ คนที่มาทีหลังจึงไม่สามารถเข้าถึงหรือพูดคุยกับแบรนด์ได้ ซึ่งไม่ต่างจากการสื่อสารทางเดียว (One-way) ในแบบข้อความสั้น (SMS) หรือจดหมายข่าว (Newsletter) ถูกมองว่าเป็นสแปม สร้างความเบื่อหน่ายให้กับคนมาทีหลัง และพาลให้ยกเลิกการขอเป็นเพื่อนไปเลย

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/08/images/news_img_375982_2.jpg)

เฟซบุ๊ค เพจ (Facebook Page)
ที่แต่เดิมเรียกว่าแฟนเพจ ชัดเจนที่สุดสำหรับโปรโมทองค์กร แบรนด์สินค้า หรือแม้แต่บุคคลสำคัญ ถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกเฟซบุ๊คคนใดคนหนึ่ง ซึ่งได้เป็นผู้บริหาร (admin) โดยอัตโนมัติ คนทั่วไปสามารถเข้าไปเป็นสมาชิกหน้าเฟซบุ๊ค เพจได้ด้วยการกดชื่นชอบ (Like) ไม่จำกัดจำนวน แล้วข่าวสารที่ถูกโพสต์ลงบนเพจจะถูกฟีด (Feed) ไปที่หน้าหลักของสมาชิกทุกคน ธุรกิจไทยที่มีเพจโดดเด่น เช่น ไทยแอร์เอเชีย โซนี่ เครื่องดื่มโค้ก และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า

มีข้อดีมากมายเหมาะกับธุรกิจและแบรนด์ คือหน้าเฟซบุ๊ค เพจ จะเปิดเผยแบบสาธารณะ แม้แต่ผู้ไม่ได้เป็นสมาชิกเฟซบุ๊คก็ เข้าไปชมข้อมูลได้ สามารถค้นหาได้จากกูเกิลและเสิร์ช เอ็นจินทั่วไปด้วย แค่เงื่อนไขนี้ ก็เห็นวัตถุประสงค์ในการสร้างขึ้นมาไว้เพื่อพีอาร์ธุรกิจโดยเฉพาะ และที่สำคัญ หากมีสมาชิกมากกว่า 25 คน จะสามารถตั้งชื่อ จะมีข้อมูล Insights เกี่ยวกับสถิติต่างๆ ที่แสดงในรูปกราฟสวยงาม อาทิ ผู้ที่เข้ามาไลค์ ความถี่และสัดส่วนการตอบสนองของสมาชิก จำนวนครั้งเข้าชม ซึ่งเฟซบุ๊ค โปรไฟล์จะไม่สามารถทำได้

ส่วนข้อเสียของเฟซบุ๊ค เพจ นั้นไม่ชัดเสียทีเดียว แล้วแต่มุมมองของแบรนด์และนักการตลาดแต่ละคน อย่างเรื่องการเปิดให้สมาชิกโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค เพจได้อย่างเสรี แน่นอนว่าต้องมีการร้องเรียนสินค้าผ่านหน้าเฟซบุ๊ค ถ้าเจ้าของแบรนด์หัวโบราณหน่อยก็คงเต้นผาง เพราะลูกค้าเอาสินค้ามาประจานต่อที่สาธารณะ คล้ายกับการทุบรถยนต์ต่อหน้าสื่อในสมัยก่อน แต่นี่ประจานต่อหน้าลูกค้าท่านอื่นจำนวนมากๆ แล้วแนวร่วมก็ยังเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเมามัน เพราะพูดผ่านหน้าจอคออมพิวเตอร์ ไม่ต้องเผชิญหน้าก็สามารถร้องเรียนได้เต็มที่ในแบบจัดหนัก แอดมินจะมาตามลบก็คงไม่ได้ เพราะพิสูจน์มาหลายกรณีแล้วว่า ยิ่งลบยิ่งเดือด แล้วลูกค้าคนอื่น ที่เริ่มอารมณ์เสียกับการด่าทอของลูกค้าบางกลุ่มก็จะเริ่มหายไปด้วย

ใน มุมกลับกัน การร้องเรียนเป็นโอกาสให้แบรนด์ได้ทำคะแนน เพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์สำหรับลูกค้าปัจจุบัน แต่แสดงให้ลูกค้าใหม่ผู้คาดหวังได้เห็นความจริงใจและใส่ใจในการเข้าช่วย เหลือแก้ปัญหาให้กับลูกค้า ลูกค้าที่มีปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่แสดงตัวเพื่อรอดูการตอบสนองของแบรนด์ก็เกิดความประทับใจ และจะออกมาให้กำลังใจแบรนด์ในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยอีกทางหนึ่ง ... แบรนด์ต้องจำไว้ว่า ลูกค้าไม่ได้อยากได้เงินทองจากแบรนด์ที่ตนเองยอมจ่ายเงินซื้อสินค้ามา เพราะลูกค้าสมัยนี้ กว่าจะตัดสินใจซื้อสินค้านั้นหาข้อมูลนานพอ ทั้งจากคนรอบข้างและอินเทอร์เน็ต

ฉะนั้น เมื่อมีปัญหา ลูกค้าอาจจะอยากแค่รู้เบอร์โทรศัพท์ที่มีคนรับสายแน่นอน เพื่อจะได้นัดวันเอาสินค้าเข้าไปส่งซ่อมตามระยะรับประกัน หรือหากสินค้าเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี จะได้สั่งอะไหล่และซ่อมให้สามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิม แบรนด์อย่าหนีหน้าและหลบปัญหาเมื่อมายืนบนโซเชียล มีเดีย อย่าคิดว่าคู่แข่งจัดตั้งให้มาโจมตี เพราะถ้ามีธุรกิจคิดสั้นเช่นนั้นจริงก็คงอยู่ได้อย่างไม่ยั่งยืน

เฟซบุ๊ค กรุ๊ป (Facebook Group)
เป็นการตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อให้ผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันพูดคุยกันได้ เหมาะกับการสื่อสารภายในองค์กร สมาคม ชมรม หรือกลุ่มศิษย์เก่าสถาบันต่างๆ ผู้ที่ตกลงเข้ากลุ่มสามารถตั้งค่าการเตือนการอัพเดทภายในกลุ่มได้ ฟังก์ชันที่เพิ่มให้สำหรับกรุ๊ปแบบใหม่ คือ การแชทรวมเป็นหมู่คณะ แต่สำหรับกรุ๊ปแบบเดิมก่อนเดือนตุลาคม 2553 ที่เฟซบุ๊คได้ ทำการปรับปรุง จะสามารถส่งข้อความถึงคนในกรุ๊ปได้คราวละ 5 พันคน ถ้ากรุ๊ปที่คนเกินฟังก์ชันนี้จะถูกยกเลิก ส่วนกรุ๊ปใหม่ๆ ไม่ต้องหาเพราะไม่มีมาให้

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Intel แก้ไขบั๊ก"ชิปเซต"เรียบร้อยแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2011, 14:12:12
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานข่าวว่า พบข้อผิดพลาดใน"ชิปเซต" (chipset) ที่ใช้กับโพรเซสเซอร์แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Snady Bridge ล่าสุดทาง Intel ได้ออกมาประกาศว่า Cougar Point โค้ดเนมของ"ชิปเซต"ที่พบข้อผิดพลาดได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันทางบริษัทได้เริ่มผลิตชิปเซตรุ่นใหม่แล้วด้วย

Cougar Point เป็นชิปเซตที่สนับสนุนการทำงานของโพรเซส Intel Core รุ่นที่สองที่มีโค้ดเนมว่า Sandy Bridge โดยทางบริษัทกล่าวว่า ปัญหาที่พบในชิปเซตจะเป็นในส่วนของพอร์ต SATA (Serial-ATA) ที่ลดประสิทธิภาพการทำงานเมื่อใช้ไปนานๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพการทำงาน หรือฟังก์ชันของการเชื่อมต่อระหว่างพอร์ต SATA กับอุปกรณ์อย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ และไดรฟ์ DVD

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/cougar-point-chipset-for-intel-sandy-bridge-fixed-already-2.jpg)

ขณะนี้ทาง Intel ได้เริ่มดำเนินการผลิตชิปเซตเวอร์ชันที่ได้รับการแก้ไขแล้ว และคาดว่าจะสามารถส่งมอบชิปเซตใหม่ให้กับบรรดาบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ได้ ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งเร็วกกว่ากำหนดที่คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงปลายเดือนนี้ ในส่วนของบริษัทต่างๆ รวมถึงแบรนด์ชั้นนำอย่าง HP และ Samsung ที่ได้มีการผลิตคอมพิวเตอร์ทีใช้ชิปเซตที่มีข้อผิดพลาดไปแล้วก่อนหน้านี้จะ ขอคืนเงินแลกกับพีซีทีมีปัญหาจากลูกค้าที่ซื้อไปแล้วด้วย ผลกระทบของข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้การออกคอมพิวเตอร์ทีใช้โพรเซ สเซอร์ Sandy Bridge ล่าช้าออกไป 2-3 สัปดาห์

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple ให้โรงงานเริ่มผลิต iPad 2 แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2011, 14:32:38
รายงานข่าวจาก The Wall Street Journal เผยแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ระบุว่า Apple ได้สั่งให้โรงงานในจีนเริ่มผลิต iPad 2 แล้ว โดยไอแพดรุ่นใหม่จะมีความบาง และเบากว่ารุ่นแรก พร้อมทั้งฟันธงว่า iPad 2 จะมาพร้อมกับกล้องด้านหน้า (fron-facing camera) รวมถึงการใช้โพรเซสเซอร์ที่เร็วกว่าเดิม มีหน่วยความจำมากขึ้น ตลอดจนหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาจะมีการพูดถึงคุณสมบัติบางอย่างที่แตกต่าง กัน โดย WSJ กล่าวว่า ความละเอียดของหน้าจอแสดงผล iPad 2 จะเท่าๆ กับรุ่นแรกคือที่ 1024 x 768 ในขณะที่เว็บไซต์ DgiTimes รายงานข่าวเมื่อเดือนมกราคมทีผ่านมาว่า iPad 2 จะมีความละเอียดมากกว่า 4 เท่าคือ 2046 x 1536 พิกเซล แม้จะมีรายงานข่าวว่า ทาง Apple ได้เริ่มผลิต iPad 2 แล้ว แต่สิ่งที่ทาง WSJ ไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาก็คือ กำหนดการวางตลาดของ iPad รุ่นใหม่

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/apple-ipad-2-in-production-2.jpg)

Apple แนะนำ iPad รุ่นแรกในเดือนเมษายน 2010 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า iPad 2 น่าจะวางตลาดในช่วงเดือนเมษายนเช่นเดียวกัน เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับรอบการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง iPhone 5 ด้วย อย่างไรก็ตาม Apple อาจจะมีการเปลี่ยนรอบการออกผลิตภัณฑ์ให้เร็วขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ของปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะการเปิดตัวของแท็บเล็ตสายพันธุ์ Android จากบรรดาผู้ผลิตพีซี รวมถึงการที่ Google เร่งเครื่องพัฒนา Android 3.0 Honeycomb โอเอสสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่ Apple ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว ผุ้เชียวชาญ และนักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า Apple น่าจะวางตลาด iPad 2 ให้เร็วขึ้น เพื่อแตะเบรคแท็บเล็ต Android โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มีรายงานข่าวการเปิดสายการผลิต iPad 2 แล้ว ยิ่งสร้างความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ iPad รุ่นใหม่ในเดือนหน้านี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ arip จะเกาะติดความคืบหน้าของ iPad 2 มาให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันอีกทีหนึ่ง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google VS Bing เบื้องลึกสงครามเสิร์ชเอนจิน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2011, 23:03:39
ได้แต่โต้ตอบกันไปมาระยะหนึ่งแล้ว สำหรับบิง (Bing) เว็บไซต์บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์หรือเสิร์ชเอนจินของไมโครซอฟท์ และกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่โลกออนไลน์ที่ทุกคนรู้จักกันดี งานนี้กูเกิลกล่าวหาว่าบิงนั้นขี้โกงเพราะ"คัดลอก"ผลลัพธ์การสืบค้นของกู เกิลไป ท่ามกลางคำปฏิเสธเสียงแข็งของบิงที่ประกาศสู่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะที่บิงลอกหรือไม่ลอก แต่อยู่ที่เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งเป็นเบื้องลึกที่ทำให้กูเกิลต้องออกมาเต้นเพื่อขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001850401.JPEG)

      สื่อมวลชนอเมริกันวิเคราะห์ว่า เพราะปีที่ผ่านมา บิงสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในโลกเสิร์ชเอนจินได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้บิงสามารถจรัสแสงในฐานะคู่แข่งที่สมตัวของกูเกิล โดยยกให้บิงเป็นภัยคุกคามเดียวที่กูเกิลมีในอุตสาหกรรมเสิร์ชเอนจิน
      
      สิ่งที่ทำให้บิงมีวันนี้คือผลลัพธ์การค้นหาที่ผู้ใช้มองว่าทำได้ดีพอ จะเป็นตัวเลือกหากคิดจะนอกใจกูเกิล แถมเมื่อหันไปมอง"คู่เคยแข่ง"อย่างยาฮู (Yahoo!) ก็ละทิ้งการพัฒนาเทคโนโลยีเสิร์ชเอนจินของตัวเองไปแล้วในวันนี้ ขณะที่ AlltheWeb, Inktomi และ AltaVista หรือเสิร์ชเอนจินรายอื่นๆล้วนยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะประมือกับกูเกิล ฉะนั้นผู้เล่นเดียวที่กลายเป็นคู่แข่งหลักของกูเกิลในขณะนี้ก็คือไมโครซอฟท์ และเสิร์ชเอนจินของตัวเองนามว่าบิง
      
      การหยิบผลการสืบค้นของบิงมาทดสอบ จนทำให้กูเกิลกล่าวหาว่าบิงคัดลอกผลการค้นหา ยิ่งเป็นสิ่งสะท้อนว่ากูเกิลมองบิงเป็นคู่แข่งตัวจริง เพราะ เห็นได้ชัดว่ากูเกิลมีข้อสังเกตว่าการค้นหาของบิงมีคุณภาพสูง (จนน่าสงสัย) จนได้ออกมาป่าวประกาศอย่างแข็งกร้าวเพื่อประณามบิง ก่อนที่ผู้บริโภคจะหมดความประทับใจด้วยความรู้สึก"ดีใจจัง เสิร์ชแล้วเจอเลย"ในเว็บไซต์Google ซึ่งจะทำให้บิงสามารถดึงลูกค้ากูเกิลไปได้มากขึ้นในอนาคต
      
      ความรู้สึก "ดีใจจัง เสิร์ชแล้วเจอเลย" นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในวงการเสิร์ชเอนจิน เพราะนี่คือวิธีที่กูเกิลสามารถเอาชนะผู้เล่นในตลาดเสิร์ชเอนจินรายอื่นมา แล้วอย่างอยู่หมัด จุดนี้ทำให้สื่ออเมริกันวิเคราะห์ว่า การ ประณามบิงของกูเกิลมีแนวโน้มเป็น "สงครามPR" หรือสงครามข้อมูลเพื่อบอกให้สาธารณชนรู้ว่า เหตุผลที่ผลการค้นหาของบิงดูดีถูกใจผู้บริโภคนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการขโมยเทคโนโลยีมาจากกูเกิล ซึ่งบิงก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาไม่ว่ากูเกิลจะบีบคั้นอย่างไร
      
      การบีบคั้นบิงของกูเกิลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทีมงานกูเกิลประเดิมกล่าวหาบิงว่าขโมยผลการค้นหาไว้บนเว็บล็อกของบริษัท ไม่ นาน ทีมไมโครซอฟท์จึงชี้แจงตอบโต้กูเกิลว่าไม่ได้ขโมยหรือลอกเลียนแบบ แต่มีการนำข้อมูลจากผู้ใช้มาปรับปรุงระบบ ทำให้ผลการค้นหามีความคล้ายคลึงกับที่กูเกิลทำได้
      
      เมื่อไมโครซอฟท์กล่าวหากลับบ้างว่า "กูเกิลขี้โกง" เพื่อหวังทำให้บิงเสื่อมเสีย แมตต์ คัตต์ส (Matt Cutts) วิศวกรซอฟต์แวร์ฝ่ายป้องกันการแสดงผลการค้นหาที่ไม่ต้องการ (spam) ของกูเกิล จึงชี้แจงลงบล็อกส่วนตัวโดยดึงภาพผลการค้นหาที่เหมือนกันมาวางเทียบ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปก็สามารถตัดสินได้ไม่ยากเย็น
      
      การ "แฉ" ของกูเกิลเกิดขึ้นหลังจากทีม งานกูเกิลนำระบบการค้นหาของบิงมาทดสอบ โดยการสร้างหลุมพรางหรือ Honeypot ด้วยการพิมพ์ค้นหาข้อความที่ไม่มีความหมาย และไม่เคยมีอยู่ในผลการค้นหาใดๆทั้งในหน้าของกูเกิลและบิง ตัวอย่างเช่น mksofpodfk, sfdjopfdsfe หรือ indoswiftjobinproduction และอื่นๆ มากกว่า 100 คิวรี่ เมื่อพนักงานกูเกิล 20 คนเสิร์ชคำเหล่านี้ตลอด 2 สัปดาห์บนเว็บไซต์กูเกิลผ่านเบราว์เซอร์ไออี 8 (Internet Explorer 8) โดยเปิดคุณสมบัติการทำงานแบบ default ที่ไมโครซอฟท์จัดมาให้อัตโนมัติ (ไม่มีการตั้งค่าใหม่ใดๆ) ปรากฏว่าผลการค้นหา 7-9 ใน 100 ลำดับแรกของกูเกิล ถูกไปแสดงผลบนเพจของบิงไม่มีผิดเพี้ยน
      
      กูเกิลตั้งข้อสังเกตว่า เบราว์เซอร์ไออี 8 ที่ใช้ในการทดสอบนั้นมีการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Suggested Sites และ Bing Toolbar ไปพร้อมกัน ทำให้เห็นชัดเจนว่า ไมโครซอฟท์ใช้ Bing Toolbar และฟีเจอร์ Suggest Sites เป็นเครื่องมือในการเก็บประวัติการคลิกของผู้ใช้ เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาผลการค้นหา โดยไม่เว้นแม้แต่ผลการสืบค้นของกูเกิล ทำให้ผลลัพท์กูเกิลและบิงมีความคล้ายคลึงกันในที่สุด
      
      เรื่องนี้ ทีมพัฒนาบิงออกมาเขียนบล็อกตอบโต้ว่าบิ งนั้นใช้เงื่อนไขมากกว่า 1,000 จุดในการแสดงผลการค้นหา และหนึ่งในเงื่อนไขก็คือข้อมูลประวัติการค้นหาของผู้ใช้ที่ยินดีส่งให้ ไมโครซอฟท์ (opt-in) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงผลการค้นหาให้ดีขึ้น การที่บิงมีผลการค้นหาเหมือนกูเกิลจึงเป็นเพราะเหตุนี้ แถมยังย้ำว่าไมโครซอฟท์ไม่มีความผิดเพราะไม่ได้ปิดบังใคร เนื่องจากได้ประกาศนโยบายนี้มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2009
      
      กูเกิลฟังแล้วเลือดขึ้นหน้า ตอบโต้ว่าหากบิงใช้เงื่อนไขมากกว่า 1,000 จุดในการแสดงผลการค้นหา เหตุใดจึงไม่หยุดการเก็บข้อมูลประวัติการค้นหาของผู้ใช้Google ซึ่งเป็นเพียง 1 เงื่อนไขที่ช่วยในการปรับปรุงผลการค้นหาเท่านั้น โดยประณามคุณสมบัติ Suggested Sites ซึ่งจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ (default options) ใน Bing Toolbar บนไออีเวอร์ชัน 8 ว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ประกาศต่อผู้ใช้ให้ชัดเจนว่า จะนำข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ไปวิเคราะห์ต่อ ถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
      
      ไมโครซอฟท์ได้แต่ยืนยันว่าตัวเองทำถูกแล้ว โดยโจมตีกูเกิลที่สร้างหลุมพรางล่อให้บิงนำผลการค้นหาปลอมไปวิเคราะห์ต่อ ด้วยว่า เป็นพฤติกรรมเลวร้ายแบบเดียวกับที่สแปมเมอร์ทำเพื่อลวงให้ผู้ใช้คลิกเว็บไซ ต์ปลอม (click fraud)
      
      ประเด็นที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือความก้ำกึ่งไม่ชัดเจนว่านี่คือการคัด ลอกผลการสืบค้นที่แท้จริงหรือไม่ เพราะข้อมูลการคลิกของผู้บริโภคนั้นไม่ได้เป็นสมบัติของกูเกิล การใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำไปคำนวณในระบบอัลกอริธึมของบิงจึงไม่ใช่เรื่อง ผิด แต่ขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็มองเห็นว่า การที่กูเกิลออกมาเรียกร้องก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล และกูเกิลย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรมหากบิงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ
      
      ฉะนั้น ในนาทีที่กูเกิลเหนี่ยวไกไปแล้ว และบิงเองก็ยังไม่มีทีท่ารับผิด สิ่งเดียวที่ผู้บริโภคอย่างเราจะทำได้ก็คือ การถามตัวเองว่านิยามคำว่า"ลอก"นั้นคืออะไร และกรณีนี้เป็นการลอกของแท้หรือของเทียม ส่วนการลุ้นว่ามหากาพย์เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรนั้น หลายสำนักฟันธงว่าจะต้องใช้เวลาอีกนาน

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Windows 7 SP1 ดาวน์โหลด 22 ก.พ.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2011, 15:02:05
รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศเมื่อวานนี้ว่า Service Pack 1 สำหรับ Windows Server 2008 R2 และ Windows 7 ได้ถูกส่งให้กับบรรดาบริษัทผู้ผลิตพีซีเรียบร้อยแล้ว ข้อแตกต่างของ SP1 ที่ไม่เหมือนเซอร์วิสแพคของโอเอสรุ่นก่อนหน้านี้ก็คือ มันไม่ค่อยมีการแก้ไขฟังก์ชันสักเท่าไร โดยจะมุ่งเน้นไปที่ชุดระบบรักษาความปลอดภัย และสเถียรภาพของการทำงาน

(http://techgenie.com/wp-content/uploads/Windows7.jpg)

สำหรับคุณสมบัติใหม่ของ SP1 ที่เห็นได้ชัดจะมุ่งเน้นไปที่การทำ Vertualization บน Windows Server 2008 R2 โดยเฉพาะ Dynamic Memory และ RemoteFX โดย Dynamic Memory จะทำให้เวอร์ชวลแมชีนที่สร้างขึ้นมองเห็นหน่วยความจำมากกว่าที่ติดตั้งเข้า ไปในเซิร์ฟเวอร์จริงๆ ส่วน RemoteFX จะเปิดโอกาสให้เครื่องลูกข่าย (Clients) ใช้ทรัพยากรระบบโดยเฉพาะ GPU บนเซิร์ฟเวอร์ เพื่อเร่งกราฟิกให้กับการทำงานของแอพพลิเคชันที่มีการใช้ Direct3D และ OpenGL การทำงานของ Virtualization จะมีทั้งในส่วนของ Remote Desktop ที่ทำให้เครื่องลูกข่ายจะสามารถเชื่อมต่อ และรันแอพพลิเคชันจากบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง และVirtual Desktop Infrastructure (VDI) ที่เปิดโอกาสให้เครื่องลูกข่ายสามารถเชื่อมต่อการทำงานกับ virtual machine ที่โฮสต์อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ได้ด้วย ผลลัพธ์ที่ได้จากคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้เครื่องลูกข่ายทั้ง เดสก์ทอป โน้ตบุ๊ค และธินไคลเอ็นต์ (Thin-Client) สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง (ไมโครซอฟท์ได้ประกาศเปิดตัว Windows Thin PC (WinTPC) ซอฟต์แวร์ที่กำลังจะออกมา เพื่อให้องค์กรธุรกิจสามารถใช้พีซีเก่าเป็น Thin Client ได้อีกด้วย)

สำหรับ Windows 7 SP1 จะเป็นการรวบรวมอัพเดต ซึ่งมีทั้งของใหม่ และที่เคยให้บริการผ่านทาง Windows Update ไปแล้ว นอกจากนี้ก็จะมีในส่วนของการสนับสนุนการทำงาน Virtualization ฝั่งไคลเอ็นต์อย่าง RemoteFX (ใช้ GPU บน Server) และ Dynamicc Memory (มองเห็นหน่วยความจำได้มากกว่าที่ติดตั้งจริง) ส่วนยูสเซอร์อินเตอร์เฟซไม่ ได้มีอะไรใหม่ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานที่ไม่ได้เร่งให้เร็วกว่าเดิม สรุปโดยรวมจะเป็นการรวบรวมชุดแก้ไขบั๊กให้ระบบปลอดภัย และมีสเถียรภาพในการทำงานมากขึ้นเท่านั้น ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด SP1 ได้ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ. 2554

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้กำลังพัฒนา Microsoft BitLocker Administration and Monitoring (MBAM) เครื่องมือชุดใหม่สำหรับการบริหารจัดการคุณสมบัติของระบบรักษาความปลอดภัย BitLocker โดย MBAM พัฒนาขึ้นจากความต้องการของลูกค้าที่ตองการใช้ฟังก์ชันนี้ได้ง่ายสะดวกยิ่ง ขึ้น โดย MBAM จะออกในเดือนมีนาคม ศกนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลือ!!! Apple จะออก iPad 3 ปลายปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2011, 14:28:23
ดูเหมือนการประกาศเปิดตัว"แท็บเล็ต"จากบรรดาบริษัทผู้ผลิตพีซีหลายๆ ราย ไม่ว่าจะเป็น HP ที่เพิ่งเปิดตัว TouchPad ไปเมื่อสองวันก่อน หรือที่เปิดตัวก่อนหน้านี้อย่าง Motorola XOOM, Dell Streak 7 และ G-Slate ของ LG ตลอดจนผู้นำตลาดอย่าง Galaxy Tab ของ Samsung ตามด้วย Folio 100 ของ Toshiba และ Iconis A500 ของ Acer ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ Apple แม้จะครองส่วนแบ่งตลาดด้วย iPad อยู่ในขณะนี้ อาจจะต้องมีการเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก

นั่นก็คือ การเปิดตัว iPad 2 ที่เร็วขึ้น โดยขยับขึ้นเป็นเดือนมีนาคม เพื่อวางจำหน่ายในเดือนเมษายน และเพื่อปิดกั้นไม่ให้คู่แข่งในตลาดฝั่งพีซี สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากเกินไป Apple น่าจะเปิดตัว iPad 3 ในเดือนกันยายน เพื่อจำหน่ายในช่วงวันหยุดปลายปี ซึ่งหมายความว่า ในปีนี้ เราอาจจะได้เห็น iPad ออกมาถึง 2 รุ่น สำหรับข่าวลือที่ออกมาล่าสุดนี้ถูกปล่อยโดย Joh Gruber บล็อกเกอร์ Daring Fireball ที่มีชื่อเสียงในด้านการฟันธงเทคโนโลยีต่างๆ ว่าจะเกิด หรือไม่ 

Gruber โพสต์ข้อความที่จุดกระแสความสนใจดังกล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยระบุว่า HP TouchPad อาจจะถูกสกัดจากการออก iPad 3 ของ Apple ซึ่งจากการแถลงข่าวของ HP ระบุว่า TouchPad จะวางตลาดในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยจากข้อมูลต่างๆ ที่ Gruber ได้เก็บรวบรวมมา ทำให้เขาเชื่อว่า Apple น่าจะมีการเปิดตัว iPad 3 ในช่วงเดือนกันยายน "ผมค่อนข้างมั่นใจว่า Apple จะมีการเลื่อนกำหนดการออก iPad (3) เป็นในเดือนกันยายนของปีนี้หลังจาก iPod รุ่นใหม่ เพราะ Apple ไม่อยากจะรอนานเกินไป"

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iPad-3-will-launch-in-september-2011-rumour-from-john-gruber-2.jpg)

Gruber ก็คาดอีกว่า Apple จะเปิดตัว ipad 2 เร็วขึ้น โดยอาจจะเป็นเดือนมีนาคม เพื่อส่งมอบเครื่องให้กับลูกค้าได้ภายในเดือนเมษายน ซึ่งสเป็กของ iPad 2 จะเร็วขึ้น หน่วยความจำมากขึ้น สตอเรจก็อาจจะมากขึ้นด้วย ที่แน่ๆ มันบาง และเบากว่า iPad รุ่นแรก รวมถึงการมีกล้องด้านหน้า เขายังเชื่ออีกด้วย iOS 5 จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม และเปิดให้อัพเดตในเดือนมิถุนายน

"iPad 3 จะวางตลาดในเดือนกันยาน ในงานเปิดตัวของ iPod และจะทำงานด้วย iOS 5.1 เช่นเดียวกับ iPod Touch รุ่นต่อไป" Gruber ทำนาย สำหรับความเป็นไปได้ของ iPad 3 ว่าจะมีจุดขายอะไรที่แตกต่างจาก 2 รุ่นแรก Gruber คาดว่า มันอาจเป็นไปได้ตั้งแต่ iPad 2.5, iPad 2 HD หรือ iPad Pro โดยจะเป็น iPad รุ่นไฮเอ็นด์ แต่ไม่ใช่รุ่นที่มาแทนที่ iPad 2 คำทำนายของ Gruber มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อ MG Sigler บล็อกเกอร์TechCrunch ออกมาบอกว่า Apple มีแผนเซอร์ไพรส์ช่วงปลายปีนี้ ซึ่งน่าจะหมายถึง iPad 3 โดยให้คอมเมนต์เพิ่มเติมว่า iPad 3 น่าจะเป็นรุ่นที่ใช้ retina display หรืออาจจะเป็น iPad ที่มีขนาดเล็ก (iPad Mini) งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า Gruber จะแม่นแค่ไหน? แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดเห็นอย่างไรบ้าง?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลือ Playbook ใช้แอนดรอยด์แอปฯได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2011, 15:10:28
แหล่งข่าวจากต่างประเทศมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ แบล็กเบอรี เพลยบุ๊ก (Palybook) แท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จากบริษัท QNX ว่าบริษัทกำลังพัฒนาให้สามารถนำแอปฯจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มาใช้งานได้ โดยขณะนี้กำลังเปิดรับพัฒนาจำนวนมากมาช่วยโครงการภายใน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001977501.JPEG)

      หลังจากนั้น อดีตพนักงานของ ริม (RIM) ออกมาให้ข้อมูลเสริมว่า การที่มีจำนวนแอปฯน้อยจะเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของเพลยบุ๊ก ที่ไม่ได้เลือกใช้ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี แต่เลือกที่จะนำ QNX ที่รองรับการใช้งานแฟลชและยืดหยุ่นต่อการดีไซน์และพัฒนามากกว่า
      
      แน่นอนว่าเมื่อทาง ริม ประกาศชัดเจนว่าจะนำ QNX มาใช้ในแท็บเล็ต ทำให้มีนักพัฒนากลุ่มหนึ่งพร้อมที่จะเข้าไปพัฒนาแอปฯเพื่อวางจำหน่าย แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกับแอนดรอยด์ได้ ทำให้การพัฒนาเพื่อนำแอปฯจากแอนดรอยด์มาใช้เป็นการอุดช่องว่างดังกล่าว
      
      เมื่อปีที่ผ่านมา Jim Balsillie ประธานบริหารร่วมของริม เคยกล่าวโจมตีถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน ไว้ในงานสัมมนา Web 2.0 ว่า ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแอปฯเพื่อใช้ท่องเว็บ แต่เว็บต้องการแพลตฟอร์มที่สามารถแสดงคอนเทนต์ทุกอย่างภายในเว็บได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งหมดความสนใจกับเพลยบุ๊ก
      
      การที่จะทำให้สิ่งที่พูดเป็นจริงนั้น ขึ้นอยู่กับนักพัฒนาของริม และทำให้การที่บริษัทดังกล่าวสามารถทำให้เพลยบุ๊กมานำแอนดรอดย์แอปฯมาใช้ จะถือเป็นการปฏิวัติวงการแท็บเล็ต ที่รวมจุดเด่นเรื่องการรักษาความปลอดภัยของแบล็กเบอรี และความหลากหลายของแอปฯที่สามารถนำมาใช้งานได้ ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีการเปิดเผยถึงซอฟต์แวร์ดังกล่าวในช่วงครึ่งปีหลัง
      
      ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า BlackBerry PlayBook มีหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ใช้หน่วยประมวลผล (ซีพียู) ดูอัลคอร์ Cortex-A9 1GHz ทำให้สามารถประมวลผลงานหลายงานได้พร้อมกัน หน่วยความจำสำรอง RAM 1GB รองรับเครือข่ายไร้สาย 802.11 a/b/g/n Wi-Fi และบลูทูธ 2.1 สามารถแสดงผลเว็บไซต์มาตรฐาน HTML5 และวิดีโอโปรแกรม Flash ได้ รวมถึงการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเต็มขั้น HD 1080p

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: วาเลนไทน์นี้ ระวังอีเมลรักเคลือบยาพิษ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2011, 16:37:48
ไซแมนเทคแนะนำให้ผู้ใช้งานเพิ่มความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน เวลาที่ได้รับอีเมลจากคนแปลกหน้าช่วงวาเลนไทน์ พบปีนี้สแปมเมอร์จะเตรียมอีเมลมอบความรักเคลือบยาพิษไว้ต้อนรับ"เหยื่อ"คน พิเศษในหลากรูปแบบมากขึ้น โดยเฉพาะเมลเสนอของขวัญวันแห่งความรักราคาพิเศษ ซึ่งจะเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคถูกหลอกเอารายละเอียดส่วนตัวไปได้
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001978601.JPEG)
ภาพประกอบสินค้าราคาพิเศษปลอมที่สแปมเมอร์มักจะใช้ล่อลวงชาวออนไลน์ให้หลงเชื่อ

   วันวาเลนไทน์ ไม่ได้เป็นเพียงการฉลองความรักและความผูกพันระหว่างคนที่รักกันเท่านั้น แต่ยังเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับสแปมเมอร์ ล่าสุดไซแมนเทคประกาศเตือนภัยชาวออนไลน์ให้ระวังสแปมเมอร์ที่ใช้วันวาเลนไท น์ล่อเป้า โดยนำเสนออีเมลขยะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรของขวัญ การ์ดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเทศกาล รวมถึงอีเมลขยะด้านการเงิน
   
   "ไซแมนเทคได้พบอีเมลขยะที่เกี่ยวข้องกับวันแห่งความรักเริ่ม ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เป็นต้นมา โดยเฉพาะ อีเมลขยะที่ขายผลิตภัณฑ์สำหรับเทศกาลอันพิเศษนี้ โดยตัวอย่างหัวข้ออีเมลขยะที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ เช่น ของขวัญพิเศษเฉพาะสำหรับคุณในวาเลนไทน์, ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับวาเลนไทน์ และนาฬิกาที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชั้นนำ เป็นต้น" ตามข้อมูลจากไซแมนเทค
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000001978602.JPEG)
โฆษณานาฬิกาลดราคาปลอม

   ยังมีสแปมเมอร์จำนวนไม่น้อยใช้วิธีโปรโมทผลิตภัณฑ์ปลอมลดราคา ซึ่งจะแนบลิงก์ URL เพื่อนำผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บไซต์ปลอม พร้อมทั้งขอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัวลงไป หากผู้ใช้หลงเชื่อและกรอกข้อมูล ข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ก็จะถูกส่งถึงผู้ประสงค์ร้าย ซึ่งอาจนำไปสู่อาชญากรรมออนไลน์อื่นๆต่อไป
   
   ไซแมนเทคจึงแนะนำให้ผู้ใช้งานเพิ่มความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่ได้รับอีเมลแปลกหน้า โดยย้ำว่าข้อปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ การอัปเดทโปรแกรมป้องกันอีเมลขยะเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวต้องตกอยู่ ในความเสี่ยง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ปูนอินทรี เปิดตัวเว็บไซต์ของคนหัวใจสีเขียว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011, 12:25:50
เว็บไซต์ www.iamgreenheart.com (http://www.iamgreenheart.com) พื้นที่สีเขียวบนสังคมออนไลน์โดยปูนอินทรี พร้อมนำเสนอแอพลิเคชั่นออกแบบเสื้อยืดกรีนทีเชิร์ต

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/12/images/news_img_376900_1.jpg)

นางสาว จันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหาร ( การตลาดและงานขาย )  บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปูนอินทรี ตระหนักดีว่าการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต้อง ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  จึงได้ปลูกฝังนโยบายสีเขียว ภายใต้แนวคิด Green Heart โลกน่าอยู่ สู่หัวใจสีเขียว  ให้กับทุกหน่วยงานธุรกิจภายใต้ปูนอินทรีและพร้อมจะนำไปสู่การปฏิบัติงานจริง

โดยได้นำหลัก 5R ซึ่งเป็นหลักการในการจัดการสิ่งแวดล้อม ได้แก่   Reuse  Reduce  Recycle  Reinvent  Replace ให้ทุกคนเข้าใจและนำไปปฏิบัติจริง เพื่อสร้างหัวใจสีเขียว ให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม…อย่างยั่งยืน   

 นอกจากนี้ยังได้สร้างภาพยนตร์โฆษณา  ที่เพิ่มความน่าติดตามด้วยบทเพลงและมิวสิควิดีโอกรีนฮาร์ตของว่าน-เอเอฟ  ภายใต้แนวคิด  เรารักโลก โลกรักเรา ติดตามชมได้ที่ www.facebook.com/iamgreenheart (http://www.facebook.com/iamgreenheart) และ  www.twitter.com/iamgreenheart (http://www.twitter.com/iamgreenheart)

 และเพื่อเป็นการเข้าถึงสาธารณชนคนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว และเป็นการเชิญชวนให้มาเป็นแนวร่วมสำคัญในการรักษ์โลก ปูนอินทรีจึงได้เปิดเวบไซต์  www.iamgreenheart.com (http://www.iamgreenheart.com)  ขึ้นเพื่อ เป็นพื้นที่สีเขียวบนสังคมออนไลน์  หลากหลายโครงการเพื่อโลกน่าอยู่ คู่หัวใจสีเขียว โดยปูนอินทรี ครั้งแรกกับ แหล่งรวบรวมผลิตภัณฑ์สีเขียว และกิจกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น โครงการโรงเรียนสีเขียว  พร้อมกับจัดประกวดออกแบบเสื้อยืด ทีเชิร์ตบนเวบไซต์กรีนฮาร์ต

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/12/images/news_img_376900_2.jpg)

 ผู้เล่นร่วมสนุกกับเกมส์ง่าย ๆ ดังนี้ • เลือกลายกราฟฟิคพื้นฐานที่มีให้ นำมาแต่งเสื้อยืดหัวใจสีเขียว (สามารถ upload ลวดลาย กราฟฟิคเพิ่มเติมจากลายที่มีให้ได้ด้วยตัวเอง) • ใส่ copy คำพูดเกี่ยวกับกรีนเพื่อตกแต่งเสื้อ  • upload ลายเสื้อที่ดีไซน์เสร็จแล้วขึ้น facebook เพื่อโชว์ให้เพื่อนหรือคนทั่วไปได้เห็น  ทั้งนี้สามารถดีไซน์เสื้อทีเชิร์ตและโหวต ลงคะแนน ภายใน วันที่15 มีนาคม 2554   • 5 ตัวที่เป็น Popular vote จะมีการผลิตจริงออกจำหน่าย ในงาน Auction Day  ที่เมเจอร์ รัชโยธิน  ในวันที่ 31 มีนาคม 2554

 นอกจากนี้ เหล่าดารานักแสดงดีเจผู้มีหัวใจสีเขียวอีก 11 ท่านประกอบด้วย เจนสุดา-ปานโต  วีเจ เอก-เอกชัย  นานา-โรบีน่า  อั๋น-ภูวนาท  ตุ๊ย ตุ่ย-พุทธชาด ดีเจ ดาด้า วีเจ วุ้นเส้น แอน อลิชา ดีเจ เชา เชา โอปอล์และ ดร.สิงห์ อินทรชูโต  ได้มาร่วมออกแบบเสื้อเพื่อประมูลสมทบทุนร่วมซ่อมแซมพัฒนา โรงเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม อีกด้วย

 น.ส.จันทนา กล่าวว่า “เราจะไปบอกคนอื่นให้เขามีหัวใจสีเขียวไม่ได้เลย หากเราไม่เริ่มที่เราก่อน ภายในองค์กรของเรารณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วก็ทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมภาย นอกให้ชุมชนด้วย เรามีธนาคารขยะ Green Bank เอาขยะมาแลกแต้ม แล้วแต้มนี้ก็จะเอาไปแลกไข่ แลกปิ่นโต พนักงานในองค์กรร่วมกิจกรรมเยอะ ส่วนตัวเองก็แยกขยะจากที่บ้านเอามาให้ธนาคารขยะเหมือนกัน พอเราแยกเอง ดูเอง มันทำให้เกิดความตระหนักเหมือนกัน อะไรที่ใช้ซ้ำ แปรรูป หรือเอากลับมาใช้ใหม่ได้ มันสร้างสำนึกให้เรา ทีนี้พอเรารู้สึกว่าหัวใจเรา Green แล้ว เราจึงอยากบอกต่อ อยากเชิญชวนให้ทุกคนสร้างสีเขียวให้แก่โลกของเรา”

“ขณะนี้เราหมดเวลาคิดไตร่ตรองอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องประเมินผลกระทบจากการกระทำของเรา ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ และเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเราทุกคน และปูนอินทรีหวัง ว่าแนวคิดนี้จะสร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติอย่าง สอดคล้อง และสมดุลยิ่งขึ้น เพื่อให้โลกดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน”   น.ส.จันทนา กล่าว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: LG Optimus Pad โผล่งาน MWC 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 15:20:07
ในงาน Mobile World Congress 2011 นอกจากจะเน้นเรื่องของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่แล้ว ผู้ผลิตหลายๆ เจ้ายังอาศัยงานนี้เป็นที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่าง "แท็บเล็ต" ที่กำลังมาแรงอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะมี Samsung ที่เปิดตัว Galaxy Tab 10.1 แล้ว ในงานนี้ LG ยังได้เปิดตัว LG Optimus Pad ด้วยเช่นกัน

(http://www.arip.co.th/images/news/lg/LG-Optimus-Pad-LG-Optimus-3D-at-WMC-2011-2.jpg)

LG Optimus Pad เป็น"แท็บเล็ต"จากบริษัทผู้ผลิตแดนกิมจิที่มาทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) เช่นเดียวกับ Motorola XOOM และ Samsung Galaxy Tab 10.1 หลังจากที่มีนำออกมาโชว์อย่างไม่เป็นทางการด้วยนิคเนมว่า G-Slate ในส่วนของคุณสมบัติภายใน LG Optimus Pad จะมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ dual-core Tegra 2 ความเร็ว 1GHz หน้าจอแสดงผล 8.9 นิ้ว (1280 x 768 พิกเซล) สามารถเข้ารหัสวิดีโอ Full HD 1080p จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครก็คือ มันมีกล้องด้านหลังเป็น 3D สามารถบันทึกวิดีโอ 3D เพื่อใช้เล่นบนทีวีสามมิติระบบไฮเดฟฯ ผ่านทางช่องต่อ HDMI หรืออัพโหลดขึ้นไปเล่นบน YouTube 3D นอกจากนี้ยังมีกล้องด้านหน้าสำหรับการใช้บริการวิดีโอคอลล์ได้อีกด้วย ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับสตอเรจภายใน 32GB สนับสนุนการใช้ Flash นับเป็นแท็บเล็ตอีกตัวหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กัน

(http://www.arip.co.th/images/news/lg/LG-Optimus-Pad-LG-Optimus-3D-at-WMC-2011-3.jpg)

ไม่เพียงแต่ LG จะเปิดตัว Optimus Pad เท่านั้น แต่ทางบริษัทยังได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ชื่อว่า Optimus 3D ในงาน MWC 2011 ด้วย โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.3 นิ้วความละเอียดระดับ WVGA สามารถแสดงผลเป็น 3D ได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตาเวลารับชม ส่วนด้านหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์คู่สามารถบันทึกภาพ และวิดีโอ 3D เพื่อแสดงบนทีวี 3D ได้ LG Optimus 3D ทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ OMAP4 ความเร็ว 1GHz พร้อมช่องต่อ HDMI

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ส่วนแบ่งตลาด Bing โต Google ตก!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 15:32:38
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) วางตำแหน่งทางการตลาดให้กับ Bing เป็น decision engine แทนที่จะเป็น search engine แบบเดียวกับ Google ด้วยเหตุผลทีว่า Bing สามารถให้ผลลัพธ์ของการค้นหาที่ดีกว่าด้วยวิธีที่ง่ายกว่า แนวคิดของนักการตลาดของไมโครซอฟท์อาจจะถูกต้องก็ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-market-share-up-google-down-experian-hitwise-report-2.jpg)

Experian Hitwise รายงานว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อัตราการค้นพบผลลัพธ์ที่น่าพอใจของ Bing อยู่ที่ 81.5% ในขณะที่ Google อยู่ที 65.6% เท่านั้น ซึ่งน่าตกใจไม่น้อยที่ความแตกต่างของเปอร์เซนต์ดังกล่าวสูงมากทีเดียว ข้อมูลจากทาง Experian มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้ 10 ล้านรายในสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จในการใช้เสิร์ชแล้วคลิกลิงค์จากหน้า ผลลัพธ์ไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการ โดยข้อมูลการค้นจากผู้ใช้ Bing ในเดือนมกราคม 81.5% ได้ผลลัพธ์ทีต้องการ

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-market-share-up-google-down-experian-hitwise-report-3.jpg)

นอกจากนี้ เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการค้นหาด้วย Yahoo ต่ำกว่า Bing เล็กน้อยคือ 81.4% ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เนื่องจากว่า ผลลัพธ์การค้นของ Yahoo ในสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจาก Bing นอกจากเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการใช้ Bing จะสูงมากแล้ว ส่วนแบ่งตลาดการใช้ Bing ในสหรัฐฯ ยังมีการเติบโตอย่างน่าสนใจอีกด้วย โดยโดขึ้น 21% จาก 10.6% ในเดือนธ.ค. 2010 เป็น 12.81% ในเดือนมกราคม 2011 ขณะเดียวกัน Google กลับมีส่วนแบ่งตลาดตกลง 2% จาก 69.67% เป็น 67.95%

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Nokia ผนึก MS ดันสมาร์ทโฟน WP7
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 19:08:03
หลังจากที่มีข่าวออกมาสักระยะหนึ่งแล้วว่า โนเกีย (Nokia) บริษัทผู้ผลิตมือถือจากฟินแลนด์ได้จับมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์ และโมบาย ล่าสุด Stephen Elop ซีอีโอของ Nokia กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ผลจากความรร่วมมือดังกล่าว จะทำให้ทั้งสองบริษัทมีโอกาสในทางธุรกิจมากมาย

ประการแรกคือ การเลือกใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ Windows Phone 7 กับสมาร์ทโฟนของ Nokia ช่วยให้บริษัทผู้ผลิตมือถือลดต้นทุนในส่วนนี้ไปได้ ในขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงบริการต่างๆ ของไมโครซอฟท์อย่างเช่น Bing ด้วยมือถือ Nokia ซีอีโอของ Nokia กล่าวให้สัมภาษณ์ในงาน Mobile World Congress 2011 ที่เริ่มแล้ววันนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-join-microsoft-to-hit-rival-google-and-apple-2.jpg)

ประเด็นต่อมาก็คือ ความร่วมมือกันระหว่าง Nokia กับ MS ทำให้ Windows Phone สามารถต่อสู้กับแพลตฟอร์ม Android ของ Google และ iPhone ของ Apple ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม นอกจากนี้ ความร่วมมือกันดังกล่าวยังได้รับแรงสนับสนุนจากโอเปอเรเตอร์โทรคมนาคมหลายๆ รายอีกด้วย ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Nokia กล่าวว่า ทางบริษัทจะใช้ Windows Phone 7 บนแพลตฟอร์มสามาร์ทโฟนรุ่นพื้นฐาน เพื่อสร้างฐานผู้ใช้ WP7 ให้กว้างขวางมากขึ้น "Nokia ตัดสินใจใช้แพลตฟอร์ม Windows ในขณะเดียวกัน Microsoft ก็กำลังเดิมพันครั้งสำคัญกับ Nokia ด้วย" Elop กล่าว

แต่ Nokia ก็ยังคงลงทุนในแพลตฟอร์ม Symbian ต่อไป และมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวอุปกรณ์ Symbian ใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีนี้ ทาง Nokia จะเปิดตัวอุปกรณ์ตัวแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม MeeGo ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Intel และคาดว่าอาจจะใช้แพลตฟอร์มดังกล่าาวกับอุปกรณ์ต่างๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม Nokia ก็ยินดีที่จะมีผู้ค้าเจ้าอื่นๆ ที่ใช้ WP7 ด้วยเหมือนกัน งานนี้จึงดูเหมือนว่า เป็นการจับมือชั่วคราวเพื่อศึก ใหญ่ ข้อมูลจาก Gartner ระบุว่า ปัจจุบัน Nokia มีส่วนแบ่งตลาดมือถือตกลงเหลือ 27.1% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2010 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 36.6%

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: คลอดแล้ว!! "มือถือเพลย์สเตชั่น"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 20:18:38
โซนี่อีริกสัน (Sony Ericsson) โชว์ตัวโทรศัพท์มือถือที่ได้ชื่อว่าเป็น "มือถือเพลย์สเตชัน (PlayStation phone)" กลางงานแสดงเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่โลก Mobile World Congress 2011 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ให้ชื่อเรียกว่าเอ็กซ์พีเรียเพลย์ (Xperia Play) ปั้นมาเพื่อเอาใจกลุ่มเป้าหมายคือแฟนเครื่องเล่นเกมเพลย์ของโซนี่อันลือลั่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091202.JPEG)
การสาธิต "เกมแพด" บน Xperia Play

      เอ็กซ์พีเรียเพลย์เป็นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) มีกำหนดการชิมลางในตลาดสหรัฐฯช่วงเดือนมีนาคมนี้ ก่อนจะวางจำหน่ายผ่านโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกต่อไป
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091203.JPEG)
Xperia Play สามารถแสดงภาพวิดีโอได้ในความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที

      สตีฟ วอล์เกอร์ (Steve Walker) ประธานฝ่ายการตลาดของโซนี่อีริกสัน ให้คำจำกัดความเอ็กซ์พีเรียเพลย์ว่าเป็น"เครื่องเล่นเกมพกพาคุณภาพสูงใน ฝัน"ของแท้ มาในรูปสไลด์ที่ซ่อนแผงควบคุมเกมหรือเกมแพดซึ่งใช้การสัมผัสในการสั่งการ โดย 4 ปุ่มเอกลักษณ์ในเพลย์สเตชันทั้งที่มีรูปวงกลม กากบาท สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยมนั้นยังมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091204.JPEG)
ปุ่มเอกลักษณ์เพลย์สเตชัน วงกลม สี่เหลี่ยม กากบาท และสามเหลี่ยม ยังมีเหมือนเดิม

      ในช่วงแรกของการวางจำหน่ายเอ็กซ์พีเรียเพลย์ โซนี่ระบุว่าจะมีเกมให้ผู้บริโภคได้เลือกเล่นมากกว่า 50 เกม ได้แก่ Guitar Hero, Assassin's Creed, Dungeon Defenders: Second Wave second wave and Dead Space เป็นต้น โดยนอกจากเอ็กซ์พีเรียเพลย์จะถูกจำหน่ายพร้อมเกมหลากหลายตระกูลเพลย์สเตชัน โซนี่อีริกสันยังประกาศเป็นพันธมิตรกับค่ายเกมอย่าง Electronic Arts, Gameloft, Digital Chocolate, Fishlabs และ GLU Mobile/Activision ผล คือเกมบอล FIFA ยอดฮิตจะสามารถเล่นบนเอ็กซ์พีเรียเพลย์ได้ โดยโซนี่อีริกสันการันตีว่าจะเป็นเกม FIFA เวอร์ชันแรกในอุปกรณ์พกพาที่คอเกมสามารถร่วมกันเล่นได้หลายคน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091205.JPEG)
เมื่อปิดฝาสไลด์ Xperia Play ก็กลายเป็นสมาร์ทโฟนปกติ

      โซนี่อีริกสันระบุว่ามีแผนเปิดร้านเกมออนไลน์ในปีนี้ภายใต้ชื่อ PlayStation Network วาง จุดยืนให้เป็นตลาดเกมซึ่งได้รับการรับรองจากโซนี่ว่าสามารถทำงานได้ดีบน สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ทั้งหมดนี้เป็นแผนต่อจากการเปิดตัวชุดเครื่องมือพัฒนาเกม PlayStation Suite ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักพัฒนาช่วยกันยกเกมอมตะมารองรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091201.JPEG)
Xperia Play

      เอ็กซ์พีเรียเพลย์ใช้หน่วยประมวลผล 1Ghz Snapdragon จากค่าย Qualcomm ฝังชิปกราฟิก Adreno GPU เพื่อแสดงภาพเคลื่อนไหวในความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที หน้าจอสัมผัสใหญ่เต็มตา 4 นิ้ว กล้องดิจิตอลในตัว 5 ล้านพิกเซล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091206.JPEG)
Xperia ARC

      มีการวิเคราะห์ว่า เอ็กซ์พีเรียเพลย์จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติ การวินโดวส์โฟน 7 (Windows Phone 7) ของไมโครซอฟท์ ซึ่งจะมีการนำเกมแพลตฟอร์มเอ็กซ์บ็อกซ์ (Xbox Live) มาติดไว้ในสมาร์ทโฟนเช่นกัน ทั้งหมดนี้ ผู้บริหารโซนี่อีริกสันเชื่อว่าตลาดจะให้การตอบรับ โดยมั่นใจว่าตัวเลขกำไรและยอดขายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยในปี 2011
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091207.JPEG)
Xperia Neo

      นอกจากเอ็กซ์พีเรียเพลย์ โซนี่อีริกสันยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูลเอ็กซ์พีเรียอีก 3 รุ่น ได้แก่ อาร์ค (Arc), นีโอ (Neo) และโปร (Pro) ทั้งหมดใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.3 หรือ Gingerbread สอดคล้องกับนโยบายที่โซนี่อีริกสันประกาศมาตลอดว่าต้องการเป็นผู้นำในตลาด สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์
      
      เอ็กซ์พีเรียอาร์คใช้หน้าจอขนาด 4.2 นิ้วภายใต้แบรนด์ Mobile Bravia พร้อมเครื่องเครากราฟิกครบชุด กำหนดการวางตลาดคือเดือนมีนาคม ขณะที่เอ็กซ์พีเรียนีโอ มา พร้อมกล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกภาพวิดีโอความละเอียดสูงโดยมีพอร์ต HDMI เพื่อให้ผู้ใช้นำวิดีโอไปฉายบนทีวีความละเอียดสูงเครื่องใหญ่ได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002091208.JPEG)
Xperia Pro

      ขณะที่เอ็กซ์พีเรียโปรถูกวางตัวให้เป็นสมาร์ทโฟน สำหรับนักธุรกิจ เด่นที่ระบบอีเมลซึ่งมีหน้าอินเทอร์เฟสออกแบบพิเศษให้ผู้ใช้สามารถเรียกดู เนื้อหาข้อความอีเมลแบบพรีวิวที่ด้านซ้ายมือของหน้าจอ โดยรุ่นโปรถูกออกแบบให้มีคีย์บอร์ดสไลด์ QWERTY เพื่อความคล่องตัวในการพิมพ์

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ไมโครซอฟท์ชี้ "อีเมล" ยังเป็นสื่อรักออนไลน์ยอดฮิต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011, 22:47:45
ผลสำรวจจากไมโครซอฟท์พบชาวเอเชียส่วนใหญ่ชอบบอกรัก แสดง ความรัก หยอกล้อผ่านอีเมล ถึงแม้วันวาเลนไทน์ในปีนี้จะตรงกับวันจันทร์ แต่เราก็สามารถเพิ่มสีสันให้วันแห่งความรักได้ด้วยสื่อยุคใหม่อย่างอีเมล ผลสำรวจล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ในภูมิภาคเอเชียและยุโรป โดยวินโดว์ส ไลฟ์ ฮอตเมล์ พบว่า ชาวเอเชียส่วนใหญ่ชื่นชอบการบอกรัก แสดง ความรัก หยอกล้อ หรือแม้แต่ถกเถียงกันเกี่ยวความสัมพันธ์ของตนผ่านทางอีเมลเป็นพิเศษ ซึ่งนับเป็นจำนวนที่มากกว่าชาวยุโรปเสียอีก

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/02/13/images/news_img_376956_1.jpg)

ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นใน 6 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งหมดกว่า 9 , 000 คน โดยร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าเคยส่งอีเมลให้กับคนรู้ใจของตนเพื่อเพิ่มความหวาน และความซาบซ่าให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น สำหรับในประเทศไทยพบว่า ร้อยละ 36 ของผู้ร่วมตอบแบบสำรวจชื่นชอบการแชร์รูปถ่ายของตนกับคนรักผ่านทางอีเมล ซึ่งนับเป็นจำนวนที่มากที่สุดในภูมิภาค อันที่จริงแล้ว คนไทยยังเป็นชาติที่รับ/ส่งอีเมลเพื่อบอกรักเพื่อนร่วมงานของตนมากที่สุดถึง ร้อยละ 26

ที่น่าสนใจคือว่า ร้อยละ 73 ของคู่รักชาวไทยเคยถกเถียงกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตน หรือ แม้แต่โกหกกันโดยใช้อีเมลเป็นสื่อ ซึ่งนับว่ามากกว่าอัตราโดยเฉลี่ยของภูมิภาคถึงร้อยละ 15 นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 57 กล่าวว่าตนยังคงเก็บอีเมลสุดโรแมนติคที่เคยได้รับจากคนรักเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ร้อยละ 45 ก็ยอมรับว่าตนยังคงเก็บอีเมลจากคนรักเก่าเอาไว้เช่นกัน ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาคเช่นกัน

“แม้ว่าการติดต่อสื่อสารผ่านทางอีเม ลอาจจะให้ความรู้สึกห่างเหินมากกว่าการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ หรือ การเขียนโน้ตให้กัน แต่อีเมลก็กลายมาเป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญในยุคดิจิตอลที่ช่วยทำให้เรา ใกล้กันมากกว่าเดิม ” นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการธุรกิจออนไลน์ประจำประเทศไทย บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ ด้วยรูปแบบและฟีเจอร์ใหม่ๆ ในฮอตเมล์ ทำให้การส่งไฟล์ ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่เพียงใด ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เราจึงสามารถส่งไฟล์รูปภาพ หรือแม้แต่วีดีโอ เพื่อส่งผ่านความโรแมนติคไปให้กับคู่รักของคุณในวันวาเลนไทน์ หรือในทุกๆ วันที่คุณรู้สึกพิเศษ ”

ทิปส์เด็ดๆใช้งานอีเมลเพิ่มความหวาน
วินโดวส์ ไลฟ์ ฮอตเมล์ มีฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมายที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อสื่อสารกับคนรู้ใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ทิปส์เด็ดๆ ดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

เก็บเรื่องส่วนตัวไว้ อย่าบอกให้ใครรู้ วันวาเลนไทน์ปีนี้ อย่าเผลอส่งอีเมลบอกรักให้คนรู้ใจโดยใช้อีเมลของที่ทำงาน เลือกใช้ฮ็อตเมล์เพื่อความสบายใจ ไฟรักของคุณจะได้คุกรุ่นไปไม่รู้ลืม

เติมน้ำตาล เพิ่มความหวานให้อีเมลอย่างง่ายๆ ด้วยฮ็อตเมล์เจเนเรชั่นใหม่ ผู้ใช้งานสามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวีดีโอไปกับอีเมลได้โดยไม่มีปัญหา ผู้รับจะได้ดีใจที่ได้รับอีเมลพิเศษจากคุณ

กล่องเก็บความทรงจำขนาดใหญ่ ผู้ใช้งานฮอตเมล์ทุกคนจะได้รับพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ที่เรียกว่า สกายไดร์ฟ (SkyDrive) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 25 กิกะไบต์ ทั้งยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครสามารถดาวน์โหลดไฟล์ดังกล่าวได้บ้าง หรือทำได้เฉพาะการเยี่ยมชมข้อมูลเท่านั้น

ออกแบบการ์ดวาเลนไทน์
ออกแบบวาเลน ไทน์การ์ดในแบบของคุณเอง คุณสามารถดาวน์โหลด MicrosoftWord  และ PowerPoint เวอร์ชั่นพิเศษได้ผ่านทางฮ็อตเมล์ (Office Web Apps) เพื่อสร้างสรรค์การ์ดสุดพิเศษให้คนรู้ใจได้อย่างง่ายๆ ประกาศรักของเราให้โลกรู้ได้หลายวิธี คุณสามารถส่งผ่านความรักไปให้กับเพื่อนและคนรู้ใจได้หลากหลายวิธี ทั้งทาง Instant Messenger หรือ SMS ด้วยฮ็อตเมล์รูปแบบใหม่ คุณสามารถรู้ได้ทันทีว่าใครกำลังออนไลน์อยู่ และสามารถส่งข้อความไปทาง Instant Messenger ได้ทันที

หรือจะเลือกส่ง sms ผ่านไปยังโทรศัพท์มือถือให้กับคนสำคัญได้โดยที่คุณไม่ต้องปิดอินบ็อกซ์ รื้อฟื้นและค้นหาความทรงจำดีๆในอดีตได้ ผู้ใช้งานสามารถค้นหาอีเมลในอดีตได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่วางเมาส์ไปบนชื่อผู้ส่งที่คุณต้องการแล้วเลือกคำสั่ง

แล้วปีนี้คุณได้ส่งฮอตเมล์บอกรักและความในใจของคุณให้ใครๆ หรือยัง

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ลือ!!! Apple ซุ่มพัฒนา iPhone Nano
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2011, 12:37:17
หลังจากประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายอย่างถล่มทลายสำหรับ iPhone ของ Apple ล่าสุดเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ระบุว่า ทางบริษัทกำลังซุ่มพัฒนา iPhone รุ่นใหม่ที่มีราคาถูกกว่า และมีขนาดเล็กแค่ครึ่งหนึ่งของ iPhone 4

เว็บไซต์ WSJ รายงานเมื่อวานนี้ว่า Apple กำลังยกเครื่องบริการซอฟต์แวร์ เพื่อเร่งยอดขายสามาร์ทโฟนของบริษัทที่กำลังตกอยู่ท่ามกลางการแข่งขัน ปัจจุบันยอดขาย iPhone คิดเป็น 36% ของรายได้ทั้งหมด (26.7 พันล้านเหรียญฯ) และด้วยยอดจำหน่าย iPhone 4 ทั้งหมดในไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้วประมาณ 16.2 ล้านเครื่อง ทำให้ Apple ติด 5 อันดับสมาร์ทโฟนที่ขายดี

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/Apple-cheaper-iphone-is-coming-2.jpg)

ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ได้มีโอกาสพบเห็นเครื่องต้นแบบกล่าวกับทางเว็บไซต์ wsj ว่า iPhone รุ่นใหม่ใช้โค้ดเนม N97 และมีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของ iPhone 4 โดยเมื่อวางจำหน่ายผ่านโอเปอเรเตอร์ มันอาจจะมีราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟนคู่แข่งในตลาดแมสเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นหมายความว่า iPhone รุ่นใหม่จะสามารถเข้าข่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ Apple กำลังปรับปรุง MobileMe บริการสตอเรจออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บ และซิงค์ข้อมูลอย่างคอนแท็ค และปฏิธินจากสตอเรจกลางร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ปัจจุบัน MobileMe เก็บค่าบริการ 99 เหรียญฯต่อปี (ประมาณ 3,200 บาท) แต่ Apple จะให้บริการพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลอย่าง ภาพถ่าย เพลง และวิดีโอ เพื่อลดความจำเป็นที่อุปกรณ์จะต้องมีหน่วยความจำมากมาย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft เชื่อมมือถือ WP7 กับ XBOX 360
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2011, 14:41:03
และแล้วไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็งัดไม้เด็ดออกมาให้ผู้บริโภคได้เห็นอีกครั้งในงาน Mobile World Congress 2011 นั่นก็คือ การเชื่อมความสามารถของสมาร์ทโฟน Windows Phone 7 เข้ากับเครื่องเล่นเกมส์ XBOX 360 โดยเฉพาะเมื่อนำไปเล่นกับ Kinect ซึ่งทำให้ผู้เล่นเกมส์คอนโซลสามารถสนุกร่วมกันกับเพื่อนๆ ทีใช้สมาร์ทโฟน WP7 ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/2009/news/microsoft/windows-phone-7-smart-phone-works-with-XBOX-360-kinect-game-console-2.jpg)

แนวคิดของการผสานประสบการณ์ในการเล่นเกมส์คอนโซลกับสมาร์ทโฟนร่วมกันนั้น ตอบโจทย์ผู้เล่นเกมส์ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟน WP7 สามารถร่วมแจมในเกมส์คอนโซล XBOX 360 ที่ผู้เล่นกำลังสนุกได้พร้อมกัน เล่าให้ฟังอย่างนี้อาจจะไม่เห็นภาพชัดเจนนัก ลองชมตัวอย่างสาธิตที่นำมาฝากในคลิปวิดีโอข้างล่างนี้ดีกว่าครับ ซึ่งเป็นการเล่นเกมส์ Rally Ball เวอร์ชันที่ได้รับการปรับแต่ง โดยอยู่ในชุด Kinect Adventures ลูกเล่นของเกมส์นี้ก็คือ ผู้ใช้ WP7 จะสามารถกำหนดให้ลูกบอลที่พุ่งเข้ามายังตัวผู้เล่นเกมส์ในทิศทางต่างๆ ได้ รวมถึงจำนวนลูกบอลด้วย

งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า การที่ไมโครซอฟท์เปลี่ยนสมาร์ทโฟน WP7 ให้กลายเป็นอุปกรณ์ควบคุมเกมส์ในระบบสัมผัส เพื่อเล่นกับเกมส์คอนโซล XBOX 360 จะสามารถโน้มน้าวเกมเมอร์ให้หันมาใช้สมาร์ทโฟนของทางบริษัทมากขึ้น หรือไม่?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Acer เผยโฉม "แท็บเล็ต" Iconia A100
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2011, 15:06:45
รายงานข่าวล่าสุด Acer ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำโชว์"แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะทำงานด้วยระบบ ปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) โดยมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วในงาน Mobile World Congress 2011 ที่กรุงบาเซโรน่า ประเทศสเปน อย่างไรก็ตาม Acer Iconia A100 ที่นำเสนออยู่ในงานขณะนี้ยังคงทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 เราเลยยังไม่มีโอกาสได้เห็น Honeycomb บนจอ 7 นิ้วว่าจะน่าใช้ขนาดไหน

สำหรับ ICONIA TAB A100 แท็บเล็ตรุ่นใหม่จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ที่ทาง Google เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหน้าจอแสดงผลจะมีขนาด 7 นิ้ว ความละเอียดระดับ WSVGA (1024x600 พิกเซล) สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับเครือข่าย 3G สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth นอกจากนี้ มันยังมาพร้อมกับพอร์ต microUSB เพื่อถ่ายโอนข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/2009/news/acer/acer-iconia-tab-a100-android-3-honeycomb-7-inches-tablet-MWC-2011-2.jpg)

ACER ICONIA TAB A100 จะมาพร้อมกับกล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพ และบันทึกวิดีโอได้ ส่วนกล้องด้านหน้าจะมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ใช้สำหรับการแชตผ่านวิดีโอ (บริการ video calling) นอกจากนี้ยังมีพอร์ต HDMI เพื่อเล่นคอนเท็นต์ไฮเดฟฯบน HDTV ด้วยคุณภาพระดับ Full HD 1080p หัวใจในการทำงานของ ACER ICONIA TAB A100 คือโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 ความเร็ว 1GHz คาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ในช่วงไตมาสแรกของปีนี้

นอกจาก Acer จะมีแท็บเล็ตรุ่นหน้าจอขนาด 7 นิ้วแล้ว ทางบริษัทก็ยังมีรุ่นหน้าจอ 10.1 นิ้วด้วยนั่นคือ Acer Iconia A500 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 เช่นเดียวกัน ส่วนคุณสมบัติต่างๆ จะคล้ายๆ กับ A100 ซึ่งสำหรับ ICONIA A500 เคยมีการนำออกแสดงในงาน CES 2011 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/2009/news/acer/acer-iconia-tab-a100-android-3-honeycomb-7-inches-tablet-MWC-2011-3.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: HTC Flyer "แท็บเล็ต" แรงล้ำผู้นำตลาด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2011, 21:45:11
รายงานข่าวล่าสุด ในงาน Mobile Wolrd Congress 2011 ที่จัดขึ้น ณ.กรุงบาเซโรน่า ประเทศสเปน HTC บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำได้เปิดตัว"แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว และที่ำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.4 ของ Google

(http://www.arip.co.th/images/news/HTC/HTC-Flyer-7-inches-android-2-4-tablet-ipad-2-rival-2.jpg)

HTC Flyer เป็น"แท็บเล็ต"ทีมาพร้อมกับอินเตอร์เฟซที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนคุ้นเคยอย่าง HTC Sense บนหน้าจอสัมผัส Super LCD ขนาด 7 นิ้ว (ความละเอียด 1024x600 พิกเซล) มีอุปกรณ์เสริมการใช้งานอย่าง"สไตลัส"ด้วย และที่เหนือกว่าแท็บเล็ต คู่แข่งในท้องตลาดก็คือ การเลือกใช้โพรเซสเซอร์ 1.5GHz อีกทั้งยังสนับสนุนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สาย HSPA+ และสนับสนุนคอนเท็นต์ Flash 10 และ HTML 5 นอกจากนี้ คุณสมบัติการทำงานที่เรียกว่า HTC Watch ยังทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อบริการสตรีมมิ่งวิดีโอภาพยนต์ไฮเดฟฯ จากสตูดิโอหลักๆ และ HTC Scribe คุณสมบัติที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อความบนหน้าจอ และ Timenote ที่สามารถบันทึกเสียงการประชุมขณะจดบันทึกข้อความ ข้อความที่บันทึกยังสามารถเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน calendar ได้โดยอัตโนมัติ

นอกจากคุณสมบัติการทำงานข้างต้นแล้ว HTC Flyer ยังมาพร้อมกับกล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซลที่สามารถบันทึกวิดีโอ HD และกล้องด้านหน้า 1.3 ล้านพิกเซลสำหรับ video calling ส่วนหน่วยความจำเครื่อง 1GB สตอเรจ 32GB สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สายพื้้นฐานอย่าง 802.11n Wi-Fi, Bluetooth 3, GPS และเซ็นเซอร์ accelerometer น้ำหนักเครื่องแค่ 415 กรัม HTC Flyer ยังมีคุณสมบัติที่เอาใจคอเกมส์อย่าง OnLive ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสตรีมเกมส์ยอดนิยมลงบนแท็บเล็ตผ่านการเชื่อมต่อ เครือข่ายบรอดแบนด์ ด้วยคุณสมบัตินี้ผู้ใช้สามารถสตรีมเกมส์ เพื่อเล่นบนแท็บเล็ต หรือต่อออกไปยัง HDTV ตัวอย่างเกมส์จากบริการนี้ก็เช่น Assassin's Creed II, NBA SK1 และ Lego Batman ทาง HTC ยังไม่ได้เปิดเผยราคาออกมาแต่อย่างใด แต่คาดว่าจะสามารถวางตลาดแท็บเล็ต Flyer ได้ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ดูเหมือน iPad 2 จะมีคู่แข่งเพิ่มอีกรายแล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google Chrome 10 beta ปรับใหญ่ชน IE9
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 14:29:00
เมื่อวานนี้ Google อัพเดตเว็บบราวเซอร์รุ่นทดสอบเวอร์ชันล่าสุดของบริษัท นั่นคือ Chrome 10 Beta ซึ่งได้รับการปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพเร็วขึ้นทั้งส่วนของ JavaScript และ Video อีกทั้งยังได้ปรับปรุงอินเตอร์เฟซในส่วนของ Settings ใหม่ที่ดูคล้ายของ Chrome OS ตลอดจนคุณสมบัติการซิงค์ password โดยทาง Google มั่นใจว่า Chrome 10 Beta มีคุณสมบัติการทำงานที่เหนือกว่า IE9 เวอร์ชัน RC อย่างแน่นอน

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/chrome-10-beta-faster-and-adds-new-setting-pane-google-Chrome-OS-1.jpg)

รายงานในบล็อกของ Google เปิดเผยว่า เอ็นจิ้น V8 ของ JavaScript ที่มาพร้อมกับ Chrome 10 Beta ได้รับการปรับปรุงให้สามารถรัน JavaScript ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 66% ในขณะเดียวกันยังพัฒนาให้สามารถเล่น video ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีเร่งการแสดงผลกราฟิกกับ GPU โดยตรง ผู้ใช้ที่ใช้การ์ดแสดงผลกราฟิกไฮเอ็นด์จะเห็นประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือ กว่าการประมวลผลด้วย CPU เพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งในขณะที่เล่นวิดีโอ หรือกราฟิกเต็มหน้าจอ CPU จะถูกใช้พลังประมวลผลน้อยลงมากถึง 80% หาก Chrome 10 Beta ตรวจพบว่า ระบบมีการใช้การ์ดแสดงผลกราฟิกที่เหมาะสม

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/chrome-10-beta-faster-and-adds-new-setting-pane-google-Chrome-OS-2.jpg)

นอกจากประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถซิงค์พาสเวิร์ดบนคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ ที่ใช้ Chrome 10 Beta ตลอดจนบุ๊คมาร์ค และค่า settings ต่างๆ ได้อีกด้วย โดยจะให้เข้ารหัส password หรือไม่ก็ได้ และในการซิงค์จะสามารถทำได้ผ่านทางแถบ Settings ของ Chrome โดยใน Chrome 10 Beta จะไม่ใช้การป๊อปอัพอีกต่อไป แต่จะแสดงเป็นแท็บในบราวเซอร์ คล้ายกับการเปิดหน้าเว็บหนึ่งๆ การปรับ UI ของ Settings ทำให้ Chrome 10 Beta มีรูปแบบคล้าย Chrome OS มากขึ้น นัยว่า Google คงต้องการสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึง Settings ผ่านทาง chrome://settings/browser ได้อีกด้วย Google กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้การตั้งค่าใช้งานต่างๆ ง่ายขึ้นกว่าเดิม ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวแก้ปัญหาการใช้งานได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Facebook Messenger แชท+ฮัลโหลฟรี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 15:10:17
Facebook Messenger แอพพลิเคชัน iOS ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกสายเพื่อนๆ ผ่านทางเน็ต (VoIP) และคุณสมบัติการใช้งานเมสเสจที่สนุกกว่าบน iPhone และ iPod คราวนี้คุณก็สามารถเลือกได้ว่าจะแชท หรือคุยกับเพื่อนๆ บน Facebook ได้แล้ว...ว้าว!!!

Facebook Messenger จะมีฟังก์ชันการทำงานครอบอยู่บนไคลเอ็นต์ Chat ของ Facebook อีกทีหนึ่ง โดยผู้ใช้สามารถแชร์ภาพถ่ายจากอัลบั้ม สืบค้นข้อความในอดีต ดูโพรไฟล์เพื่อนๆ และใช้อีโมติคอนได้ โดย Facebook Messenger จะใช้คุณสมบัติ push-notification ในการอัพเดทรายชื่อเพื่อนๆ แบบเรียลไทม์ ดังนั้นคุณสามารถรู้ได้ทันทีทีว่าขณะน้ั้น เพื่อนของคุณในเฟซบุ๊คกำลังลอกออน หรือลอกออฟ อีกทั้งยังสามารถส่งเสียงแจ้งเตือนให้คุณทราบได้ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-messenger-chat-and-free-call-to-friend-2.jpg)

Facebook Messenger พัฒนาโดยบริษัท CrispApp โดยใช้ Facebook API คอนเน็คกับบัญชีผู้ใช้ของคุณ เพื่อใช้พังก์ชันแชท และเรียกสายเพื่อพูดคุย โดยไม่ต้องมีการให้ยืนยันยอมรับการเปิดเผยข้อมูลล็อกอินของคุณแต่อย่างใด การใช้งาน Facebook Messenger ก็ง่ายมาก หลังจากดาวน์โหลดมาแล้ว เพียงแค่แตะปุ่ม Facebook Connect เพื่อเชื่อมเปิดให้แอพฯได้รับสิทธิ์ในการคอนเน็คกับบัญชีผู้ใช้ของคุณ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว แอพพลิเคชันจะแสดงรายชื่อของเพื่อนๆ ใน Facebookของคุณ และรวมกลุ่มไว้ เพื่อให้คุณได้จัดการ ซี่งรายชื่อที่แสดงจะมีทั้งที่ Online และ Offiline อยู่ในขณะนั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-messenger-chat-and-free-call-to-friend-3.jpg)

หากต้องการแชทก็เพียงแค่แตะบนรายชื่อ หน้าต่างแชทก็จะโผล่ขึ้นมา เพื่อให้เลือกว่าจะ chat หรือ call หากแตะที่ chat แอพก็จะแสดงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ และหากแตะที่ call แอพฯก็จะเปิดโอกาสให้คุณสามารถพูดคุยกับเพื่อนได้ โดยไม่ว่าเพื่อนคนนั้นจะใช้ iPhone, iPod Touch หรืออยู่บนเว็บไซต์ Facebook ซึ่งการพูดคุยที่เกิดขึ้นจะเป็นการสนทนาผ่านเน็ตแบบเดียวกับ Skype โดยคุณภาพของการสื่อสารทั้งความชัด และการหน่วงของสัญญาณเสียงที่ได้ยินจะขึ้นอยู่ความเร็วของการเชื่อมต่อขณะ นั้น Facebook Messenger จะมีราคาอยู่ที่ 2.99 เหรียญฯ (ประมาณ 100 บาท) ดาวน์โหลดบน iTunes App Store ได้แล้วตั้งแต่วันนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: รถยนต์แห่งอนาคตซิ่งได้แค่ใช้สมองคิด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 14:54:44
รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมัน เชื่อหรือไม่ว่า วันนี้คุณสามารถควบคุมรถยนต์ให้วิ่งได้ดังใจ เพียงแค่ใช้"ความคิด"ของคุณเท่านั้น โดยล่าสุดทีมวิจัยฯได้พัฒนาระบบที่ทำให้ผู้ทดสอบสามารถขับรถยนต์ได้โดยไม่ ต้องใช้มือควบคุมพวงมาลัยอีกต่อไป แต่ใช้"สมอง"ของเขาสั่งการแทน...ว้าว!!!

Raul Rojas ศาสตราจารย์ทางด้าน AI ที่มหาวิทยาลัย Freie Universitat Berlin และทีมวิจัยได้สาธิตวิธีใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับสมอง เพื่อควบคุมพวงมาลัยรถยนต์ให้หมุนซ้าย หรือขวาได้ตามต้องการ โดยเขาเรียกงานวิจัยนี้ว่า BrainDriver ซึ่งทีมวิจัยได้ใช้ Neuroheadset อุปกรณ์อินเตอร์เฟซที่สามารถบันทึกสัญญาณจากสมองของบริษัท Emotiv ที่ออกมาแบบมาให้นักเล่นเกมส์สามารถควบคุมเกมส์ผ่านทางสมอง โดยหลังจากพัฒนาระบบควบคุมการทำงานร่วมกับอินเตอร์เฟซดังกล่าวได้แล้ว ทางทีมวิจัยได้ฝึกหัดการใช้กับผู้ทดสอบ ซึ่งจะต้องฝึกบังคับวัตถุบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนที่ไปทางซ้าย หรือขวาได้ด้วยการใช้ความคิดเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/2009/news/gadgets/brain-driver-mind-controlled-car-made-in-germany-2.jpg)

สำหรับการตอบสนองที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์อินเตอร์เฟซจะแตกต่างกันไปตามแพ ทเทิร์นของกิจกรรมการทำงานของสมอง (หรือสิ่งที่ผู้ทดสอบคิด) ซอฟต์แวร์ BrainDriver จะเชื่อมกับแพทเทิร์นดังกล่าว เพื่อกำหนดเป็นคำสั่งอย่างเช่น เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เร่งเครื่อง หรือเบรค เป็นต้น หลังจากนั้น คำสั่งดังกล่าวจะถูกส่งไปยังระบบขับเคลื่อนรถยนต์โดยอัตโนมัติที่ทางทีม วิจัยดัดแปลงเข้าไปในรถยนต์ Volkswagen Passat Variant 3C และถูกตั้งชื่อว่า MadeInGermany เพียงแค่นี้ ผู้ขับก็สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ คันเร่ง เบรค และพวงมาลัยผ่านทางความนึกคิดได้แล้ว ในส่วนของเส้นทางที่ใช้ทดสอบเป็นถนนทีใช้มุ่งไปสู่สนามบินเก่าที่ชื่อว่า Berlin Tempelhog

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft เร่งดัน IE9 ออกกลางเดือนมี.ค.ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011, 13:59:39
หลังจาก Microsoft เปิดให้ดาวน์โหลด Internet Explorer 9 (IE9) เวอร์ชัน RC (Release Candidate) ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยยอดการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุด Microsoft ร่อนบัตรเชิญนักข่าว เพื่อแถลงเปิดตัว IE9 เวอร์ชันสมบูรณ์ในวันที่ 14 มีนาคม ศกนี้

จากสภาพการแข่งขันในสมรภูมิบราวเซอร์ที่ดุเดือดอยู่ในปัจจุบัน โดยมีผู้ท้าชิงใหม่อย่าง Chrome ที่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Firefox ไม่ขยับ แต่กำลังเตรียมส่ง Firefox 4 ออกมาฟาดฟันในเดือนหน้าเช่นเดียวกัน แน่นอนว่า Microsoft คงไม่ยอมปล่อยให้ส่วนแบ่งตลาดของ IE ลดลงไปเรื่อยๆ ว่าแล้วทางบริษัทจึงเร่งผลักดัน IE9 ให้ออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด ซึ่งสำหรับ IE9 RC ทางบริษัทอ้างว่า มันมีเอ็นจิ้น JavaScript ที่เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับบราวเซอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (ทดสอบด้วย SunSpider) ในขณะที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/ie9/IE-9-launches-mid-march-2011-2.jpg)

ไม่เพียงแต่ Microsoft จะมุ่งหวังให้ IE9 เป็นบราวเซอร์ที่กลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดคืนจากคู่แข่งเท่านั้น แต่ทางบริษัทได้ยืนยันออกมาด้วยว่า IE9 จะเป็นบราวเซอร์มาตรฐานบน Windows Phone 7 ส่วนกำหนดการเปิดตัวนั้นยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด สำหรับรายงานข่าวล่าสุดก็คือ Microsoft ได้ร่อนบัตรเชิญทางอีเมล์ เพื่อเปิดตัว IE9 เวอร์ชันสมบูรณ์ในงาน SXSW วันที่ 14 มีนาคม ศกนี้ คงต้องรอดูกันว่า ในงานดังกล่าว Microsoft จะนำมีอะไรเซอร์ไพรซ์เกี่ยวกับ IE9 ออกมานำเสนอ หรือไม่? แต่ที่แน่ Mozilla สบประมาท IE9 RC ทันทีที่ออกมา โดยกล่าวว่า มันไม่ได้มีอะไรทันสมัย ล้าหลังไป 2 ปี อืม...ดุเดือดจริงๆ ข้างล่างเป็นคลิปแนะนำคุณสมบัติใหม่ใน IE9 RC

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft เปิดให้ดาวน์โหลด Windows7 SP1 แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 15:19:47
เมื่อวานนี้ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศว่า ทางบริษัทได้เปิดเให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถดาวน์โหลด Windows 7 Service Pack 1 จากทาง Microsoft Download Center ได้แล้ว ซึ่งผู้ใช้ที่อัพเดตพีซีของตนเองทาง Microsoft แนะนำให้ใช้ช่องทาง Windows Update แทนการดาวน์โหลดตัวติดตั้ง Windows 7 SP1 จะสะดวกกว่า

"พึงระลึกว่า สำหรับ Windows 7 SP1 จะเป็นชุดอัพเดตส่วนการทำงานต่างๆ ของพีซี โดยอัพเดตส่วนใหญ่จะรวบรวมจาก Windows Updates ที่ให้บริการก่อนหน้านี้" ไมโครซอฟท์ย้ำในบล็อก "อย่างไรก็ก็ตาม มันได้มีการเพิ่มส่วนสนับสนุนการทำงานในฝั่งไคลเอ็นต์อย่างเช่น RemoteFX และ Dynamic Memory ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่สำหรับการทำงานร่วมกับระบบ Virtualizatin (เหมาะสำหรับองค์กร) บน Windows Server 2008 R2 SP1" หากพิจารณาภาพรวมของ SP1 แล้ว ประโยชน์สำหรับผู้ใช้พีซีตามบ้านดูอาจจะมีไม่มากนัก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ได้อัพเดตระบบอยู่เป็นประจำ

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-7/2/windows-7-sp1-ready-to-download-2.gif)

ในส่วนของ Dynamic Memory จะเปิดโอกาสให้ระบบแอดมินของ Windows Server Hyper-V สามารถเพิ่มจำนวน VM ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อสมรรถนะการทำงาน ตลอดจนการขยายระบบ และความปลอดภัย ส่วน RemoteFX จะเป็นการใช้ประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU บนเซิร์ฟเวอร์ให้สามารถส่งคอนเท็นต์มัลติมีเดีย และ 3D ไปบนไคลเอ็นต์ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพการทำงานทางด้านกราฟิกสูงมากได้ ขนาดไฟล์ของ SP1 ประาณ 537.8MB (เวอร์ชัน 32 บิต) และ 903.2MB (เวอร์ชัน 64 บิต) สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ใช้ Windows Update แล้วไม่พบ Service Pack 1 ปรากฎในรายการ อาจเป็นเพราะว่า คุณยังไม่ได้ติดตั้งอัพเดตบางตัวก่อนหน้านี้ ทาง MS แนะนำให้ติดตั้งอัพเดตเหล่านั้นก่อน แล้วคลิกปุ่ม Check for updates อีกที

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลือ!!! Apple เปิดตัว iPad 2 2 มี.ค. ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 15:43:14
รายงานข่าวล่าสุด เว็บไซต์ AllThingsD อ้างว่า แอปเปิ้ล (Appple) กำลังเตรียมแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษัทนั่นก็คือ iPad 2 ในวันที่ 2 มีนาคม โดยสถานที่จัดงานดังกล่าวน่าจะเป็นศูนย์การแสดงผลงานศิลปะ Yerba Buena Center for the Arts ในซานฟรานซิสโก

แหล่งข่าวอ้างว่า iPad 2 จะมีความบางกว่ารุ่นแรก อีกทั้งยังมีหน้าจอแสดงผลที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และมาพร้อมกับกล้องด้านหน้า นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเร่งเปิดตัว iPad 2 ถือเป็นวาระสำคัญมากสำหรับ Apple เนื่องจากสภาพการแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด ทั้งจำนวนของ"แท็บเล็ต" (tablet) ที่มีทั้งฟังก์ชัน และดีไซน์น่าสนใจผุดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกันกระแสแความสนใจใน"แท็บเล็ต"สายพันธุ์ Android Honeycomb ก็กำลังมาแรงอีกด้วย (สังเกตจากงาน Mobile World Congress 2011 ที่ผ่านมา Android และ Tablet ได้รับการกล่าวขวัญมากกว่าสมาร์ทโฟนในงานเสียอีก)

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/Apple-launches-iPad-2-on-2-march-2011-2.jpg)

แม้ว่าช่วงนี้จะยังไม่เกิดกระแสการซื้อ"แท็บเล็ต"ที่รุนแรงมากนัก แต่หาก iPad 2 เปิดตัวช้าออกไปกว่านี้ แน่นอนว่า โอกาสจะตกเป็นของ Motorola, RIM, Dell และ HP ที่กำลังจ้องตลาดนี้ ล่าสุด Motorola XOOM เปิดให้สั่งจองแล้ว ด้วยเหตุนี้ ในฐานะผู้นำตลาด Apple คงจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไป ทางด้านเว็บไซต์ Apple Insider ได้รายงานเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยระบุว่า iPad 2 จะบางเบา และใช้โพรเซสเซอร์ที่แรงกว่ารุ่นแรก หน่วยความจำมากขึ้น พร้อมมีกล้องด้านหน้าสำหรับบริการวิดีโอแชท Face Time แถมยังคาดอีกด้วยว่า มันมีความสามารถในการแสดงผลกราฟิกที่เร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเล่นวิดีโอ HD ตลอดจนกราฟิก 3D หลังจากเปิดตัว iPad 2 แล้ว Appple ยังมีแผน iPad 3 ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งแผนการเหล่านี้ทางบริษัทต้องการปิดโอกาสของ"แท็บเล็ต"เจ้าอื่นๆ นั่นเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Intel ผุด Light Peak แรงกว่า USB 3.0
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 16:03:19
พรุ่งนี้ อินเทล (Intel) จะเปิดตัว "ไลท์พีค" (Light Peak) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูง ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทาง Apple จะปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ การแถลงข่าวความพร้อมของเทคโนโลยี Light Peak ในช่วงนี้ยังสอดคล้องกับข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วยว่า iPad 2 จะมาพร้อมกับ Light Peak ด้วยเช่นกัน

รายงานข่าวล่าสุด Intel ได้ร่อนเมล์เชิญสื่อเข้าร่วมการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ โดยทางบริษัทจะแนะนำเทคโนโลยีใหม่ที่พร้อมสำหรับตลาดแล้ว ขณะเดียวกัน ทาง Apple ก็จะเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ (และอาจจะมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ) ในวันดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ Intel ได้ซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Light Peak มาหลายปีแล้ว โดยเมื่อเร็วๆ นี้ยังได้มีการเปิดเผยด้วยว่า เวอร์ชันแรกๆ ของเทคโนโลยีนี้จะใช้ทองแดงเป็นตัวนำสัญญาณ

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/intel-launches-light-peak-technology-2.jpg)

Light Peak เป็นเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพเหนือ กว่า USB 3.0 (ความเร็วสูงสุด 5Gbps) โดยสามารถถ่ายโอนข้อมูลกับอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งไป และกลับได้พร้อมกันด้วยความเร็วถึง 10 กิกะบิทต่อวินาที ทาง Intel อ้างว่า ความเร็วในการเชื่อมต่อจะไม่ลดลงแม้จะถูกส่งผ่านไปยังตัวนำที่เป็นทองแดง สำหรับหลักฐานของข่าวลือที่ว่า Intel พยายามพัฒนาเทคโนโลยี Light Peak เพื่อเพิ่มโอกาสในผลิตภัณฑ์ของ Apple ดังจะได้เห็นในการสาธิตเทคโนโลยีดังกล่าวที่ในงาน IDF 2009 เครื่องที่ใช้ในการสาธิตยังใช้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วย Mac OS X อีกด้วย ซึ่งนั่นจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมอีกขั้นหนึ่ง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple ไม่ได้เปิดตัว iPad 2 แค่รุ่นเดียว?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 14:48:14
หลังจากที่มีข่าวลือออกมาว่า Apple จะเปิดตัว iPad 2 ในวันพุธที่ 2 มีนาคม ล่าสุดทางบริษัทได้ส่งบัตรเชิญของงานเปิดตัวดังกล่าวให้กับสื่อมวลชนเรียบ ร้อยแล้ว โดยทำเป็นรูปไอคอนของแอพ calendar ที่เป็นเดือน March และมีเลข 2 ตัวใหญ่ที่หมายถึงวันที และรุ่นที่ 2 ของ iPad ที่เผยให้เห็นแพลมๆ ตรงมุมบนขวาของบัตรเชิญ

เมื่อคืนนี้ ทาง Apple ได้ส่งบัตรเชิญให้สื่อมวลชนได้ร่วมงานที่จะจัดขึ้นในซานฟรานซิสโก โดยในบัตรเชิญจะเผยให้เห็นรูปของ iPad ซ่อนอยู่ด้านหลังแอพฯ Calendar ซึ่งนอกจากจะตีความได้ว่า ในงานดังกล่าวจะเป็นการเปิดตัว iPad 2 แล้ว การใช้ไอคอนแอพฯ เป็นสัญลักษณ์ยังอาจหมายถึงการเปิดตัว iOS เวอร์ชันใหม่ด้วย โดยสถานที่จัดงานจะเป็นที่ Yerba Buena Center for the Arts อย่างที่เป็นข่าวออกมาก่อนหน้านี้จริงๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/apple-invites-media-to-join-iPad-2-launch-event-on-2-march-2011-2.jpg)

และแล้ว iPad 2 ที่หลายคนรอคอยก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที ซึ่งเราคงได้เห็นตัวเต็มๆ ของมันในวันพุธหน้า เพื่อพิสูจน์ข่าวลือต่างๆ ที่ว่า มันทั้งบางกว่า และเบากว่ารุ่นปัจจุบันจริงหรือไม่? อีกทั้งยังมีข่าวลือออกมาด้วยว่า Apple จะเปิดตัว iPad 2 ถึง 2 รุ่นด้วยกัน นั่นคือ รุ่นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว และ 10 นิ้ว เพื่อปิดทางคู่แข่ง"แท็บเล็ต"ทุกเจ้า นอกจากนี้ ยังคงต้องมาลุ้นกันอีกว่า หน้าจอของมันจะมีความละเอียดมากขึ้นตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ หรือไม่? และพอร์ตใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มเติม ตลอดจน USB (และ Light Peak) จะมาพร้อมกับ iPad 2 หรือเปล่า? เรียกได้ว่า ถ้า iPad 2 ยังไม่เปิดตัวเดือนหน้า เราก็คงได้ติดตามข่าวลือของมันอีกเพียบเลยทีเดียว เอาเป็นว่า อดใจรออีกนิด เพราะวันพุธหน้าเราทุกคนก็คงได้ทราบกันแน่นอนครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: AMD โว "Fusion" มา ลืมเน็ตบุ๊กไปได้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 15:56:09
เอเอ็มดี มั่นใจหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด ภายใต้นวัตกรรม "AMD Fusion APU" จะเข้ามาผลักดันตลาดโน้ตบุ๊กขนาดเล็กและแท็บเล็ต ที่ต้องการประสิทธิภาพและระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002598001.JPEG)

      นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอเอ็มดี ให้ข้อมูลว่า ราคาโน้ตบุ๊กในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมาลดลงค่อนข้างมาก รวมกับความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนเป็นต้องการอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่มี ประสิทธิภาพสูง
      
      "2-3 ปีที่ผ่านมาหลายคนอาจผิดหวังกับเน็ตบุ๊ก แต่จากชิปรุ่นใหม่ของเอเอ็มดีจะช่วยให้ผู้ใช้ลืมภาพสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า เน็ตบุ๊ก เพราะจากชิปนี้จะช่วยให้โน้ตบุ๊กเครื่องเล็กมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากโน้ต บุ๊กเครื่องใหญ่ และยังคงความสามารถในด้านการประหยัดพลังงาน ช่วยให้รับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงได้ติดต่อกันมากกว่า 10 ชั่วโมง"
      
      ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานอ้างอิงจากการเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในประเทศไทยในปัจจุบันที่มีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 26.3% แบ่งเป็นผู้ที่มีคอมพิวเตอร์ใช้งาน 14% จากจำนวนประชากร ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการคอมพิวเตอร์ในตลาดอีกเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ทางไอดีซีคาดการณ์ไว้ว่าอัตราการเติบโตของ คอมพิวเตอร์ในปี 2010-2014 จะอยู่ที่ 11%
      
      สำหรับ 'AMD Fusion APU' ถือเป็นนวัตกรรมหน่วยประมวลผลล่าสุดที่ทางเอเอ็มดีออกแบบให้รวมซีพียู และชิปกราฟิกเข้าด้วยกัน บนเทคโนโลยีประมวลผลแบบมัลติ-คอร์ ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่มากยิ่งขึ้น
      
      เบน วิลเลียมส์ รองประธานองค์กร และผู้จัดการทั่วไป เอเอ็มดี แปซิฟิก กล่าวว่า การพัฒนาของหน่วยประมวลผลนั้น เริ่มจากการเพิ่มความเร็วของเมกะเฮิรตซ์ ต่อมาคือการเพิ่มจำนวนคอร์ในการประมวลผลแบบคู่ขนานที่ปัจจุบันขึ้นไปอยู่สูง สุดที่ 12 คอร์ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนำหน่วยประมวลผลมารวมกับกราฟิก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น
      
      "การเติบโตของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตส่งผลให้คอนเทนต์ในโลกอินเทอร์เน็ต เริ่มมีคุณภาพสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ความละเอียดสูง ที่ต้องการหน่วยประมวลผลความเร็วสูงขึ้น เป็นปัจจัยต่อเนื่องที่ทำให้เกิดการพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย เช่นกัน"
      
      ทั้งนี้ภายในครึ่งแรกของปี 2554 จะมีผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดมากกว่า 35 รุ่น จากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้ง เอเซอร์ เอซุส เดลล์ ฟูจิตสึ เอชพี เลอโนโว เอ็มเอสไอ ซัมซุง โซนี และโตชิบา แบ่งช่วงผลิตภัณฑ์ในตระกูล C ซีรีส์ (Ontario) สำหรับทำตลาดเน็ตบุ๊กความละเอียดสูง และแท็บเล็ต ถัดมาเป็น E ซีรีส์ (Zacate) ที่เข้ามาในช่วงครึ่งปีแรก ส่วน A ซีรีส์ (Llano) กำหนดเปิดตัวช่วงเมษายน สำหรับการประมวลผลขั้นสูงกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Google ซิงค์ Office กับ Google Apps
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 15:10:34
รายงานข่าวล่าสุด Google (Google) ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนไฟล์เอกสารของ Microsoft Office จากในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ขึ้นไปใช้งาน (เปิดอ่าน แก้ไข และจัดเก็บ) ร่วมกันบนออนไลน์ด้วยปลั๊กอินที่เรียกว่า Google Cloud Connect

เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา Google ได้แนะนำ Google Cloud Connect for Microsoft Office เวอร์ชันทดสอบ โดยเครื่องมือดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นปลั๊กอินที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถ ใช้ไฟล์เอกสารของ Microsoft Office ร่วมกันบนระบบโครงสร้างพื้นฐานของบริการคราวด์คอมพิวติ้งของ Google ซึ่งตอนนี้ทาง Google ได้เปิดให้ใช้บริการได้ทั่วโลกแล้ว เกมนี้ชัดเจนว่า Google กำลังพยายามเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรของ Microsoft Office

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/Google-Cloud-Connect-for-Microsoft-Office-2.jpg)

"คุณสามารถแก้ไขหน้าสารบัญในไฟล์เอกสาร Word จาก Dublin ในขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังปรับแต่งรูปแบบจาก Denver" ข้อความที่โพสต์ในบล็อก "มันเป็นการทำงานกับไฟล์เอกสารเดิมๆ ของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แทนที่จะส่งไฟล์เอกสารแนบไปกับอีเมล์ให้กับทีมงานหลายๆ คน จากนั้นทุกคนก็ต้องมาสาละวนกับการไล่ตรวจสอบเอกสารของแต่ละคนที่มีการแก้ไข และอัพเดต ซึ่งด้วยวิธีการทำงานแบบใหม่นี้ ทีมงานทั้งหมดจะสามารถโฟกัสบนหน้าที่ของตน ในขณะที่เห็นภาพรวมของการแก้ไขเอกสารรวมกัน"

ปลั๊กอินของ Google จะก็อปปี้ไฟล์เอกสาร Office ไปทำงานบน Google Apps (เว็บแอพฯที่ทำงานแบบเดียวกับ MS office) เมื่อก็อปปี้เสร็จแล้ว ผู้ใช้จะสามารถแก้ไขไฟล์เอกสารเหล่านั้นได้จากทั้งบนโปรแกรม MS Office ในเครื่องและจากใน Google Apps โดยไฟล์เอกสารทั้งในเครื่องและบนเน็ตจะได้รับการซิงค์ให้ตรงกัน "เมื่อซิงค์เสร็จแล้ว ไฟล์เอกสารต่างๆ จะถูกแบ็คอัพ พร้อมทั้งให้ URL เฉพาะที่ทำให้สามารถแก้ไขไฟล์เอกสารเหล่านั้นจากที่ใด (รวมถึงแก้ไขผ่านอุปกรณ์โมบาย) หรือเวลาใดก็ได้ผ่านทาง Google Docs และเนื่องจากไฟล์เอกสารต่างๆ จัดเก็บอยู่บน Cloud ดังนั้นผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงไฟล์เอกสารที่อัพเดตล่าสุดเสมอ" Google กล่าว ปลั๊กอิน Google Cloud Connect สามารถใช้งานได้กับ Microsoft Office 2003, 2007 และ 2010 บนพีซีที่รัน Windows สำหรับสาเหตุที่ไม่มีเวอร์ชัน Mac เนื่องจากไม่มีการสนับสนุนส่วนของการเขียนโปรแกรมเสริมการทำงานเข้าไป

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: amchee2000 ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 15:14:56
ตามมาเรื่อยๆ  :wanwan017:


หัวข้อ: Angry Birds บน WP7 ใกล้คลอดแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 15:28:41
เจ้าของสมาร์ทโฟน Windows Phone 7 เตรียมเฮได้แล้ว เมื่อเกมส์สุดฮอตบน iPhone อย่าง Angry Birds กำลังจะมีเวอร์ชันที่ใช้เล่นบนมือถือ WP7 โดยล่าสุดมีการเปิดเผยจากรายงานข่าวบนเน็ตว่า เกมส์นกโกรธเวอร์ชัน WP7 มีกำหนดการวางตลาดในวันที่ 6 เมษายน ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/wp7/angry-birds-for-windows-phone-7-release-on-6-april-2011-2.jpg)

ในที่สุด บริษัทผู้พัฒนาเกมส์ Angry Birds ก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดผู้ใช้สมาร์ทโฟน Windows Phone 7 ซึ่งปัจจุบันยอดผู้ใช้ทั่วโลกคาดอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านเครื่อง และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้จะไม่หวือหวามากนัก โดยกำหนดการวางตลาดสำหรับ Angry Birds for Windows Phone 7 จะเป็นวันที่ 6 เมษายน นอกจากเกมส์นี้แล้วยังจะมีเกมส์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก 5 เกมส์ได้แก่ Doodle Jump, Plants Vs Zombies, Hydro Thunder Go, Sonic the Hedgehog Episode I และ geoDefense สำหรับเจ้าของ WP7 ที่อยากเล่น Angry Birds แต่อดใจรอไม่ไหว ลองหา Chicks"n"Vixens เกมส์เลียนแบบมาเล่นดูก่อนก็ได้นะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ผลลัพธ์ Bing เพิ่ม Like จาก Facebook
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 15:34:05
รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ในหน้าผลลัพธ์การค้นของ Bing ด้วยข้อมูลที่ได้จากกิจกรรมยอดฮิตของเฟซบุ๊ค (Facebook) นั่นก็คือ การแสดงความชื่นชอบ (Like) ต่อสิ่งต่างๆ ของผู้ใช้ถัดจากลิงค์ผลลัพธ์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน

ทั้งนี้บล็อกของ Bing ได้แจ้งเรื่องราวการเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าวเมื่อคืนนี้ พร้อมทั้งกล่าวว่า การเชื่อมโยงผลลัพธ์ค้นกับ Like ของ Facebook เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น การเสริมข้อมูลดังกล่าวเข้าไปเป็นความพยายามของ Bing ที่จะเพิ่มจุดแข็งของโซเชียลเข้าไปในผลลัพธ์การค้น เช่นเดียวกับที่ทำกับทวิตเตอร์ (Twitter) "นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ผู้คนกำลังทิ้งร่อง รอยทางสังคม เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่าน และเรียนรู้จากมัน แล้วกลับมานำเสนอด้วยประสบการณ์ที่อ้างอิงจากร่องรอย เหล่านั้น" Lawence Kim ผู้จัดการโปรแกรมส่วนของ Social Search กล่าว "เมื่อผู้คนใช้เวลาออนไลน์มากขึ้น และเชื่อมโยงโลกออนไลน์กับออฟไลน์เข้า ด้วยกัน พวกเขาจะต้องการร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ และข้อมูลที่ได้จากโซเชียลจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้ดีกว่า (จากการวิเคราะห์โดยคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว น่าจะหมายถึง Google)"

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-expands-facebook-liked-results-2.jpg)

จุดเริ่มต้นของการเชื่อมข้อมูลจากเฟซบุ๊คเข้ากับผลลัพธ์การค้นหาของ Bing เริ่มต้นมาตั้งแต่ในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยผู้บริหาร Bing และ Mark Zuckerberg ซีอีโอของเฟซบุ๊ค อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Google ก็ได้แนะนำคุณสมบัติการทำงานร่วมกับ Social ที่คล้ายๆ กันนี้ โดยเป็นการประยุกต์ผลลัพธ์การค้นด้วยการอ้างอิงข้อมูลจากเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ เพื่อแสดงลิงค์ที่เคยถูกแชร์โดยผู้ใช้คนอื่นๆ การเพิ่ม Like เข้าไปในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Bing จะทำให้ผู้ใช้ได้ทราบว่า ลิงค์ใดที่เพื่อนๆ ของเราในเฟซบุ๊คชอบ ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเชื่อเพื่อนอยู่แล้ว ลิงค์นั้นก็จะมีโอกาสถูกคลิก และมีโอกาสถูกต้องตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากกว่าไปด้วย อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติใหม่นี้ช่วงแรกจะเปิดให้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: SnapKeys พิมพ์ได้แม้ไม่เห็นคีย์บอร์ด?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 23:38:53
รายงานข่าวนี้เก็บตกเทคโนโลยีที่น่าประทับใจมากๆ ในงาน Mobile World Congress 2011 นอกจากจะเวิร์กมากๆ แล้ว มันยังใช้งานง่ายที่สุดอีกด้วย SnapKeys แอพฯคีย์บอร์ดบนหน้าจอ (onscreen keyboard) สำหรับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสอย่าง iPhone, iPad และ Tablet โดยมันใช้แป้นพิมพ์สัมผัสแค่ 6 คีย์เท่านั้นในการพิมพ์แต่ละคำที่ต้องการ แถมยังสามารถพิมพ์สัมผัส (รู้จำแป้นพิมพ์) ได้โดยไม่ต้องมองเห็นคีย์บอร์ด ใช้แค่จินตนาการก็ยังได้

(http://www.arip.co.th/images/news/mobile/1/snapkeys-2i-iPhone-iPad-app-let-you-type-without-keyboard-2.jpg)

หลักการทำงานคือ SnapKeys 2i จะยุบรวมแป้นพิมพ์ตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์ทั้งหมด 4 คีย์ รวมกับแป้นวรรค (space) และลบ (backspace) เพียงแค่นี้ คุณก็สามารถพิมพ์คำต่างๆ ที่ต้องการได้แล้ว "มันมีคอนเซปต์การใช้งานที่ง่ายมากอยู่เบื้องหลัง" ตัวแทนบริษัทกล่าว "แค่คุณรู้ว่าตัวอักษรที่ต้องการพิมพ์อยู่ตรงไหน คุณก็สามารถรู้แล้วว่าจะกดอย่างไรให้ได้ตัวอักษรตัวที่ต้องการ เมื่อคล่องแล้วคุณจะพบว่า สามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ที่ต้องการได้ง่ายมากๆ แถมยังไม่มีคีย์บอร์ดให้มาเกะกะลูกตาอีกด้วย"

(http://www.arip.co.th/images/news/mobile/1/snapkeys-2i-iPhone-iPad-app-let-you-type-without-keyboard-3.jpg)

ซอฟต์แวร์ SnapKeys 2i มีภาษาให้เลือก 15 ภาษา และดิกชันนารีที่บรรจุคำศัพท์ไว้มากกว่า 100,000 คำ เพื่อให้สามารถเดาคำที่คุณกำลังพิมพ์ได้ทันที ซึ่งเมื่อผนวกความง่ายของคีย์บอร์ดที่มีจำนวนแป้นพิมพ์แค่ 6 คีย์เข้ากับความฉลาดในการเดาศัพท์ที่คุณกำลังพิมพ์ คุณจะพบว่า SnapKeys 2i ช่วยให้การพิมพ์สัมผัสบนหน้าจอทำได้ง่าย และเร็วมาก หรือจะถึงกาลอวสานของ QWERTY Keyboard แล้ว SnapKeys 2i จะเปิดตัวในงาน CTIA 2011 ที่จะมีขึ้นเดือนมีนาคมศกนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ว้าว!!! เครื่องเล่น+บันทึกจานเสียง USB
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011, 16:44:19
แม้เทคโนโลยีออดิโอวันนี้จะก้าวไปสู่โลกดิจิตอลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของผู้ที่โหยหาอดีตนั่นก็คือ เครื่องเล่นจานเสียง (turntable) ซึ่งต้องถือว่า มันเป็นต้นตำรับของเครื่องเสียงเลยก็ว่าได้ มนต์ขลังของการเกิดเสียงเพลงที่มาจากการหมุนของแผ่นบันทึกเสียงไวนิลยากที่ จะหาสิ่งใดเลียนแบบได้อารมณ์เท่า และยากที่จะลืมเลือน

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/USB-record-player-turntable-2.jpg)

สำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ที่อาจจะมีแผ่นเสียงไวนิลไว้ครอบครอง(จะของตัวเอง หรือตกทอดกันมาก็ตาม) แต่หาเครื่องเล่นไม่ได้ เนื่องจากเครื่องเก่าเสียไปแล้ว บางทีแก็ดเจ็ตที่นำมาฝากกันในวันนี้ อาจจะย้อนเวลา และบันทึกอดีตของคุณกลับมาได้ เพราะมันคือ USB Record Player Turntable (DN-USB-TP01) เครื่องเล่น และบันทึกจากแผ่นเสียงไวนิลที่เชือมต่อการทำงานผ่านทางพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/USB-record-player-turntable-3.jpg)

โดยเสียงเพลงที่เล่นจากแผ่นจะออกมาทางคอมพิวเตอร์ของคุณ หรือจะต่อไปยังลำโพงภายนอกผ่านทางช่อง AUX ก็ได้ ในขณะเดียวกันคุณสามารถบันทึกเสียงจากแผ่นที่กำลังเล่นจากเครื่องเล่นเก็บ เป็นไฟล์ดิจิตอลได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสวิทช์สำหรับการเลิกเล่นเมื่อจบแผ่น (Auto-Stop) หรือจะปล่อยให้เล่นวนไปเรื่อยๆ ก็ได้ อีกทั้งยังมีสวิทช์ปรับความเร็วรอบให้เข้ากับขนาดของแผ่นเสียงทีใช้เล่นได้ อีกด้วย สนนราคาของ USB Record Player Turntable อยู่ที่ 49 เหรียญฯ (ประมาณ 1,600 บาท)

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/USB-record-player-turntable-4.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Sega ผุด "ตู้เกมส์ 3D" ลุ้นระทึกทะลุมิติ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011, 17:14:03
เทคโนโลยีจอ 3 มิติแบบไม่ใส่แว่นกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีผู้ผลิตรายใดที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีจอ 3D แบบไม่ง้อแว่นที่ให้ผลลัพธ์การรับชมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากเทียบกับในอดีต วันนี้เราจะเห็นได้ว่า จอแสดง 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นได้ก้าวไปอยู่ที่จุดที่หลายคนเริ่มยอมรับแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/sega-3d-glasses-free-arcade-game-lets-go-island-3d-2.jpg)

ล่าสุด SEGA บริษัทผู้ผลิตเกมส์ได้ออกตู้เกมส์ที่มาพร้อมกับจอ 3D ที่สามารถรับชมภาพทะลุมิติได้โดยไม่ตองสวมแว่น โดยมีขนาดของหน้าจอใหญ่ 52 นิ้ว ซึ่งในงาน AOU 2011 Expo ที่จัดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทาง SEGA ได้นำเกมส์ Let's Go Island 3D เกมส์ยิงเวอร์ชันสามมิติที่จะให้บริการกับลูกค้าอย่างเป็นทางการในช่วงไตร มาสที่สองนี้ ผู้เล่นจะได้สนุกกับเกมส์ยิงที่ตื่นเต้นกว่าเดิม เมื่อสัตว์ประหลาดต่างๆ สามารถพุ่งเข้าหาผู้เล่นได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น แถมยังไม่ต้องรำคาญว่าต้องใส่แว่นตาขณะเล่นอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/sega-3d-glasses-free-arcade-game-lets-go-island-3d-3.jpg)

อย่างไรก็ตาม เกมส์ 3D อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นนานๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 3D ในปัจจุบันที่ใช้เทคนิคในการหลอกให้สมองสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความว่า สมองและสายตาของผู้เล่นจะต้องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ เมื่อเทียบกับการมองวัตถุจริง อย่างไรก็ดี คาดว่าในอนาคตเทคโนโลยี 3D จะได้รับการพัฒนาวิธีใหม่ๆ ที่ดีกว่า และไม่ทำให้รู้สึกเมื่อยล้าสายตาอย่างเช่นในปัจจุบัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ภาพหลุด iPhone 5 หน้าจอใหญ่ขึ้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 14:30:53
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาว่า iPhone 5 จะมีขนาดของหน้าจอ 4 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 3.5 นิ้ว ล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพกรอบหน้าจอของ iPhone 5 จากตัวแทนจำหน่ายของ Apple ในประเทศจีนที่ยืนยันข่าวลือดังกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า iPhone 5 จะมีขนาดของหน้าจอใหญ่กว่าเดิมจริงๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iphone-5-have-larger-screen-iPad-2-available-next-week-2.jpg)

นอกจากภาพหลุดของชิ้นส่วน iPhone 5 แล้ว ยังมีข่าวลือที่น่าจะทำให้หลายคนได้ตื่นเต้นกันอีกนั่นก็คือ iPad 2 อาจจะพร้อมวางตลาดทันทีหลัังจากที่มีการประกาศเปิดตัวในสัปดาห์หน้า แทนที่จะเป็นเดือนเมษายนอย่างที่ได้เคยมีรายงานข่าวจากเว็บไซต์ต่างๆ ได้คาดการณ์กันไว้ กลับมาที่ข่าวคราวของ iPhone 5 สืบเนื่องจาก iDealsChina ตัวแทนจำหน่ายในจีนได้ภาพกรอบหน้าจอที่เข้าใจว่าเป็น iPhone 4 แต่พอสังเกตรายละเอียดก็พบว่ามันมีพื้นที่ของหน้าจอใหญ่กว่ามาก แถมยังมีขอบด้านข้างของหน้าจอเหลือน้อยมากอีกด้วย นอกจากนี้ระยะห่างของขอบหน้าจอด้านล่างกับปุ่ม Home และขอบหน้าจอด้านบนกับหูฟังยังอยู่ใกล้ชิดกว่า iPhone 4 อีกต่างหาก ซึ่งคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip จะสามารถเห็นความแตกต่างเหล่านี้ได้จากภาพที่จำลองขึ้นมาข้างล่างนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iphone-5-have-larger-screen-iPad-2-available-next-week-3.jpg)

ณ.จุดนี้มันชัดเจนว่า iPhone 5 จะมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงมีคำถามว่า มันไม่สอดคล้องกับไอเดียในการออกแบบ iPhone ล่าสุดที่ Apple ได้เคยเปิดเผอยออกมา โดยเฉพาะการที่ Apple กำลังพิจารณาที่จะเอาปุ่ม Home ออกจาก iPhone และ ipad ซึ่งวิธีดังกล่าวจะทำให้สามารถเพิ่มขนาดของหน้าจอได้ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของตัวอุปกรณ์ ส่วนข่าวลือของ iPad 2 จะวางตลาดได้ในสัปดาห์หน้านั้น แม้ Apple จะเปิดตัวในงานแถลงข่าวที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม (พฤหัสหน้า) แต่รายงานข่าวที่ออกมาจาก Apple ก่อนหน้านี้ก็คือ ทางบริษัทเริ่มผลิต iPad 2 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นมันคงเร็วเกินไปที่จะสามารถวางตลาด iPad 2 ได้ทันที แต่ทั้งนี้คงต้องรอดูกันอีกทีในวันที่ 2 มีนาคม บางที Apple อาจจะเตรียมเซอร์ไพรส์อะไรให้กับสาวกทั่วโลกอยู่ก็ได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: eiidear ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 15:22:22
ติดตามอีก  :wanwan023:


หัวข้อ: เจาะคุณสมบัติเด่นของ Google Android 3.0 Honeycomb
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2011, 13:11:51
จากรายงานข่าวต่างๆ ที่มีออกมาต่างให้ความเห็นทีสอดคล้องกันว่า Google Android 3.0 หรือ Honeycomb ทำให้แท็บเล็ต Android มีความน่าสนใจไม่แพ้ iPad ของ Apple ซึ่งแท็บเล็ต Honeycomb ตัวแรกก็คือ Motorola XOOM ประเด็นก็คือ Honeycomb มีดีอะไร? ถึงทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นคู่แข่งที่โดดเด่นในตลาดอุปกรณ์โมบายที่กำลังบูม สุดขีดอยู่ในขณะนี้

คุณสมบัติเด่นประการแรกเลย Android Honeycomb ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้กับแท็บเล็ตโดยเฉพาะดังนั้นดีไซน์การใช้ งานจึงตอบโจทย์อุปกรณ์ทีใช้งาน 2 มือ (double hands device) ได้อย่างสมบูรณ์ ว่ากันตั้งแต่ เว็บบราวเซอร์ที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น ตั้งแต่การมีอินเตอร์เฟซ"แท็บ" (tabbed interface) ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับหน้าต่างของเว็บไปมาได้อย่างง่ายดาย คุณไม่จำเป็นต้องออกจากหน้าจอหนึ่ง เพื่อเลือกธัมบ์เนลล์เหมือนแต่ก่อน ขณะเดียวกัน ผู้ใช้ยังสามารถเลื่อนแท็บด้านบนของบราวเซอร์ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเมนูใช้งานบราวเซอร์ให้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-honeycomb-hi-light-features.jpg)

นอกจากเว็บบราวเซอร์แล้ว Honeycomb ยังเอาใจผู้ใช้ด้วยคุณสมบัติการแก้ไขข้อความ (Text editing) ที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยตอนนี้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความที่ต้องการแก้ไขด้วยแตะนิ้วค้างไว้เหนือ ข้อความนั้นๆ เพียงอีดใจเมนูก็จะโผล่ขึ้นมา จากนั้นคุณสามารถลาก และเลือกข้อความ ตลอดจนตัวเลือกอื่นๆ จากเมนูที่อยู่ด้านบนของหน้าจอ

สรุปโดยรวมการพัฒนาการทำงานของ Honycomb ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ส่วนติดต่อผู้ใช้ User Interface ที่ผู้ใช้สามารถแตะบริเวณ notification bar (มุมล่างซ้าย) หน้าจอเพียงคร้งเดียว รายงานข้อมูลสำคัญๆ ที่จะต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบก็จะปรากฎขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นพลังงานในแบตเตอรี่ สัญญาณของเครือข่ายต่างๆ เวลา และวันที เมื่อแตะอีกทีคุณจะเห็นชอร์ทคัตสำหรับการตั้งค่า Wi-Fi สลับการทำงานเป็น airplane-mode ปุ่มล็อคการหมุนของหน้าจอ ปรับระดับความสว่าง เรียกได้ว่า มันได้รับการออกแบบให้ฟังก์ชันเหล่านี้เข้าถึงได้ง่ายอย่างแท้จริง ประเด็นสุดท้ายก็คือ คีย์บอร์ดของ Honeycomb ที่มีการจัดวางเลย์เอาต์ และตอบสนองการใช้งานที่ดีขึ้นกว่าเวอร์ชันก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ซัมซุงส่ง Notebook 9 ชน MacBook Air
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2011, 13:33:26
ซัมซุง (Samsung) เตรียมบุกตลาดโน้ตบุ๊คเต็มสูบอีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่แนะนำ Notebook 9 โน้ตบุ๊คบางเฉียบรุ่นหน้าจอ 13.3 นิ้วในงาน CES 2011 เมื่อต้นปี ล่าสุดทางบริษัทได้เริ่มวางจำหน่ายโน้ตบุ๊ครุ่นดังกล่าวในเกาหลีแล้ว และมีแผนการที่จะเปิดตัวโน้ตบุ๊คซีรียส์เดียวกันนี้ แต่เป็นรุ่นหน้าจอ 11 นิ้วในเดือนมีนาคมอีกด้วย จุดเด่นของ Notebook 9 ก็คือ ดีไซน์ที่มีความบางบางเป็นพิเศษจน MacBook Air ของ Apple ต้องรู้สึกหวั่นไหวกันเลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-notebook-9-competes-apple-macbook-air-2.jpg)

Samsung Notebook 9 เป็นโน้ตบุ๊คซีรียส์ใหม่ที่ทางบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ Samsung มียอดขายโนตบุ๊คของบริษัทเติบโต 80% ภายในปี 2011 โดยเฉพาะการออกแบบให้มีความบางไม่แพ้ MacBook Air ซึ่ง Notebook 9 จะมาพร้อมกับหน้าจอ HD LED-backlit SuperBright Plus (400nits) ขนาด 13.3 นิ้ว (1366 x 768) โพรเซสเซอร์ Intel Core i5/i7 หน่วยความจำ DDR3 4GB สตอเรจ SSD 128GB กราฟิกการ์ดเป็น Intel HD GT2 สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย WiMax, Wi-Fi และ Bluetooth แถมยังมาพร้อมกับ USB 3.0 อีกด้วย Notebook 9 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 7 ชม. ดีไซน์บางเฉียบ (15.9 มม.) น้ำหนักแค่ 1.3 ก.ก. สนนราคาอยู่ที่ 1,370 เหรียญฯ หรือประมาณ 42,000 บาท

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-notebook-9-competes-apple-macbook-air-3.jpg)

และเนื่องจาก Notebook 9 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางบริษัทต้องการชนกับ MacBook Air โดยตรง Samsung จึงคงไม่ปล่อยให้ MacBook Air ครองตลาดแลปทอป 11 นิ้วไปคนเดียว ดังนั้นในเดือนมีนาคมนี้ ทางบริษัทจึงมีแผนที่จะเปิดตัว Notebook 9 รุ่นหน้าจอขนาด 11 นิ้วออกมาเขย่าตลาดด้วยพร้อมกัน นอกจากจะมีดีไซน์บางเบา แต่พลังประมวลผลเป็นเลิศ และประหยัดแบตฯแล้ว ตัวถังของ Notebook 9 ยังทำจาก duralumin ที่มีความแข็งแรงมากกว่าอะลูมิเนียมถึง 2 เท่าอีกด้วย งานนี้ Samsung ท่าจะรุกหนักอีกตลาดหนึ่งแล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ยอดขายแท็บเล็ตกระฉูด 3 เดือนทะลุ 4.5 ล้านเครื่อง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2011, 14:41:28
การสำรวจล่าสุดพบ ยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์พกพาหน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนหรือแท็บเล็ตทั่วโลกทะลุ หลัก 4.5 ล้านเครื่องเฉพาะในช่วง 3 เดือนไตรมาส 3 ของปี 2010 ที่ผ่านมา ตามคาด"ไอแพด (iPad)" แท็บเล็ตจากค่ายแอปเปิลครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 93% โดยยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ได้สร้างผลกระทบกับตลาดอีบุ๊ก (e-book) และเน็ตบุ๊ก เพราะอุปกรณ์ทั้ง 2 ยังมีทิศทางที่ดีตลอดปี 2010
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000002769201.JPEG)

      บริษัทวิจัยเอบีไอรีเสิร์ช (ABI Research) เผยผลการศึกษาตลาดคอมพิวเตอร์พกพาล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อนำสัดส่วนตลาด 93% ที่เอบี ไอรีเสิร์ชพบว่าเป็นยอดจำหน่ายไอแพดมาพิจารณา จะพบว่าในยอดรวมแท็บเล็ต 4.5 ล้านเครื่องที่ถูกจำหน่ายในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2010 มากกว่า 4.2 ล้านเครื่องคือไอแพด อย่างไรก็ตาม เอบีไอรีเสิร์ชมองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากไอแพดนั้นไม่มีคู่แข่งจนกระทั่งค่ายอื่นเริ่มเปิดตัวแท็บเล็ตตามมา ในช่วง ปลายปี
      
      สำหรับตลาดอีบุ๊ก เอบีไอรีเสิร์ชระบุว่าอีบุ๊กได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดโลกเพราะการเปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้ง"นุ๊ก (Nook)"เครื่องอ่านอีบุ๊กสีของบาร์เนสแอนด์โนเบิล รวมถึง"คินเดิล (Kindle)"เครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นใหม่ของอเมซอน ซึ่งมีผลทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ลดลง โดยขณะนี้ สหรัฐอเมริกาคือตลาดจำหน่ายเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ใหญ่ที่สุด และผู้ค้าอีบุ๊กรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้คืออเมซอน บาร์เนสแอนด์โนเบิล และโซนี่
      
      เอบีไอรีเสิร์ชย้ำว่า เน็ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กซึ่งมีขนาด ราคา และความสามารถต่ำกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทั่วไป เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากตลาดชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 โดยไตรมาส 3 ของปี 2010 ผู้ผลิตพีซีเริ่มเปิดตัวเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ทำให้ตลาดถูกกระตุ้นหลังจากซึมเซามานาน
      
      จุดนี้เอบีไอรีเสิร์ชชี้ว่า ไตรมาสสามที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีพยายามเปิดตัวเน็ตบุ๊กที่มีความสามารถมากขึ้น เช่นการใช้ชิปดูอัลคอร์ พัฒนาอุปกรณ์ให้มีความบางและเบาขึ้น สวยงามและน่าดึงดูุดยิ่งขึ้น
      
      ผลสำรวจของเอบีไอรีเสิร์ชถือเป็นการตอกย้ำความนิยมของไอแพด ซึ่งล่าสุดแอปเปิลได้ระบุว่าสามารถจำหน่ายไอแพดได้ถึง 7.3 ล้านเครื่องช่วงไตรมาสแรกของปี 2010 โดยการสำรวจครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของมอร์แกนสแตนเลย์ (Morgan Stanley) บริษัทวิจัยอเมริกันที่คาดว่าตลาดแท็บเล็ตโลกจะทะลุ 100 ล้านเครื่องในปี 2012 คาดว่าภายใน 12 เดือน จีนจะเป็นตลาดที่กินสัดส่วน 41% ของตลาดแท็บเล็ตโลก นำหน้าทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปซึ่งอาจกินสัดส่วนเพียง 11% ในแต่ละตลาดเท่านั้น
      
      นอกจากแท็บเล็ต ยังมีการเปิดเผยรายงานผลการสำรวจตลาดที่น่าสนใจอื่นในวงการไอที โดยการ์ตเนอร์ (Gartner) ประกาศว่า ตลาด คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2010 ที่ผ่านมานั้นมีการเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่จะยังมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 2011
      
      การ์ตเนอร์พบว่ารายได้รวมในตลาดเซิร์ฟเวอร์ทุกประเภทนั้นเพิ่มขึ้น ราว 16.4% ทั่วโลก บนอัตราเติบโตแง่จำนวนเครื่องคือ 6.5% ผลจากการอัปเกรดระบบให้เป็นไปตามสถาปัตยกรรมใหม่ของผู้ผลิตชิปอย่างอินเท ลและเอเอ็มดี โดยแชมป์เบอร์หนึ่งเป็นของไอบีเอ็ม (IBM) เบื้องต้นคาดว่าไอบีเอ็มสามารถทำรายได้มากกว่า 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 35.5% ของตลาดรวม
      
      เบอร์สองคือเอชพี (HP) สัดส่วนตลาดแง่ยอดขายคือ 30.4% น้อยกว่าไอบีเอ็มแต่เอชพีมียอดจัดส่งมากกว่า โดยการสำรวจพบว่าเอชพีสามารถจำหน่ายเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้ 767,026 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 32.2%
      
      เดลล์ (Dell) คือเบอร์สามที่สามารถจำหน่ายเซิร์ฟเวอร์ได้ 515,274 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 21.6%
      
      การ์ทเนอร์ย้ำว่ารายได้จากธุรกิจคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ในทุกภูมิภาค นั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยกเว้นในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวที่มีอัตราลดลงราว 4.4% ในช่วงไตรมาสปลายปีที่ผ่านมา โดยอเมริกาเหนือเป็นพื้นที่ที่ตลาดเซิร์ฟเวอร์มีอัตราการเติบโตสูงสุดคือ 24.5% ตามมาด้วยเอเชียแปซิฟิก 22.4% ละตินอเมริกา 12.3% ตบท้ายด้วยยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่มีสัดส่วนรวมกัน 10.4%
      
      สำหรับทั้งปี 2010 การ์เนอร์ระบุว่ารายได้ในตลาดเซิร์ฟเวอร์เติบโตขึ้นราว 13.2% บนตัวเลขการจัดส่งเครื่องที่เพิ่มขึ้น 16.8% จุดนี้เอชพีสามารถทำตัวเลขได้เติบโตสูงสุดคือ 19% มีรายได้รวมทั้งปีจากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์คือ 15,300 ล้านเหรียญ ตามด้วยไอบีเอ็มที่ดันรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ 9.2% เป็น 15,000 ล้านเหรียญ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: SocialEyes ฟรี "วิดีโอแชท" บนเฟซบุ๊ค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 มีนาคม 2011, 13:47:03
รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องของแอพฯบนเฟซบุ๊ค (Facebook) ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับเพื่อนแบบเห็นหน้า (video chat services) ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 คน ผลงานจากมันสมองผู้ก่อตั้ง RealNetworks บริการสตรีมมิ่งวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตรายแรกของโลก

SocialEyes เปิด ตัววันนี้ โดยตัวบริการจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถถ่ายทอดสดวิดีโอของตัวเองไป ยังกลุ่มเพื่อนๆ บน Facebook ได้พร้อมกันเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ใช้ที่จอยวิดีโอแชทสามารถพูดคุย ประชุมร่วมกัน หรือสอนการใช้เครื่องมือต่างๆ แบบเห็นหน้าค่าตาพร้อมกันผ่านเน็ตได้นั่นเอง "มันเป็นวิธีที่จะเชื่อมต่อไป ยังเพื่อนๆ ของคุณแบบเรียลไทม์" Rob Glaser ผู้ร่วมก่อตั้ง SocialEyes (ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัท RealNetworks หลังจากก้าวลงจากตำแหน่ง CEO) กล่าว "นี่คือวิธีเชื่อมต่อกับผู้คนบนเน็ตที่เหนือกว่า" ส่วน Robert Williams มือขวาที่ทำงานร่วมกับ Glaser มากกว่า 20 ปี ดำรงตำแหน่ง CEO ของ SocialEyes

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/socialeyes-free-video-chat-service-on-facebook-2.jpg)

SocialEyes เริ่ม ต้นด้วยพนักงาน 10 คนด้วยเงินสนับสนุนในการพัฒนาแอพฯดังกล่าว 5 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 150 ล้านบาท) โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากบริษัท Ignition Partners ซึ่ง SocialEyes มองเห็นโอกาสของธุรกิจจากการให้บริการวิดีโอแชทแบบสดๆ และบริการบันทึกข้อความวิดีโอ (video messages) กับสมาชิก Facebook ที่มีมากกว่า 500 ล้านรายในปัจจุบัน โดยกลุ่มผู้ใช้บริการเฉลี่ยจะมีเพื่อนอยู่ประมาณ 150 คน ในส่วนของบริการวิดีโอแชทที่เปิดให้ฟรีจะสามารถสร้างกลุ่มสนทนาได้ 3 - 6 คนพร้อมกัน แม้โปรแกรมจะเปิดช่องให้ได้ถึง 9 คนก็ตาม ซึ่งผู้ใช้สามารถดำเนินการประชุมผ่านระบบวิดีโอแชทในแบบประชุมลับ (secret group), แบบกลุ่มเปิด (open group) หรือกลุ่มทำงานร่วมกัน (work group) ก็ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/socialeyes-free-video-chat-service-on-facebook-3.jpg)

คู่แข่งสำคัญของ SocialEyes ก็คือ Skype และ Umi ของ Cisco Systems ที่ให้บริการการสนทนาผ่านระบบวิดีโอสำหรับผู้บริโภค และลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ แต่ทั้งคู่ไม่ได้ให้บริการบน Facebook อีกทั้งในส่วนของ Umi ยังต้องมีการลงทุนซื้ออุปกรณ์อีก 599 เหรียญฯ และค่าบริการรายเดือนอีก 25 เหรียญฯ SocialEyes ให้บริการต่างจาก Skype ตรงที่เป็นแบบกลุ่ม ทั้งนี้ทางบริษัทมีแผนที่จะออกเวอร์ชันบน iPad 2 ทีมาพร้อมกับกล้องด้านหน้าอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: สาวมะกันฟันปีละล้านจากอีบุ๊ค Kindle
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 มีนาคม 2011, 14:00:27
Amanda Hocking สาวมะกันวัย 26 ปีกลายเป็นนักเขียนใต้ดินที่มียอดขาย"อีบุ๊ค"สูงสุดใน Kindle Store ซึ่งนั่นหมายความว่า เธอเป็นนักเขียนที่ไม่ต้องมีสำนักพิมพ์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ที่สำคัญมันยังทำรายได้ให้เธอได้นับล้านเหรียญฯ (ประมาณ 32 ล้านบาท) ภายในหนึ่งปี...ว้าว!!!

แม้เธอจะไม่ได้รายได้จากยอดขายอีบุ๊คทั้งหมด แต่มันก็มากถึง 70% (Amazon ชาร์จ 30%) โดยเธอสามารถขายอีบุ๊คได้ประมาณ 100,000 ก็อปปี้ต่อเดือน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการเป็นหนังสือเล่มขายดีของนิวยอร์กไทม์จะต้องมียอด ขาย 2 - 3 หมื่นเล่มในสัปดาห์แรก อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบเช่นนี้มันก็อาจจะดูไม่ยุติธรรมสักเท่าไร เนื่องจาก Hocking ขายหนังสือของเธอในราคาเล่มละ 0.99 - 3 เหรียญฯ (ประมาณ 32 - 100 บาท) แต่ประเด็นคือ การทำให้ราคาของหนังสือต่ำลงทำให้เธอสามารถขายในโวลุ่มที่มากกว่า โดยเฉพาะการกระหน่ำซื้อในช่วงเปิดตัว ในขณะเดียวกัน ต้นทุนอีบุ๊คไม่มีค่าพิมพ์ ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับยอดพิมพ์ พื้นที่ว่างบนชั้นหนังสือ สต๊อค ฯลฯ ที่สำคัญนักเขียนยังได้ค่าตอบแทนจากงานถึง 70% ต่อเล่มเลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/amazon/2/amanda-hocking-indie-amazon-kindle-e-book-writer-makes-1-million-per-year-2.jpg)

ก่อนหน้านี้ อีบุ๊คที่ขายดีใน Kindle Store เป็นของ J.A. Konrath แต่เนื่องจากเขาเป็นคนดัง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยมีผลงานเขียนเล่มที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งจะไม่เหมือนกับกรณีของ Hocking ซึ่งเธอเริ่มจากเผยแพร่เรื่องราวบนบล็อกก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Kndle ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ นักเขียนไร้สังกัดที่มีผลงานติด 25 อันดับอีบุ๊คขายดีของ Kindle มีเพียงแค่ 6 คนเท่านั้นที่ก่อนหน้านี้มีผลงานกับสำนักพิมพ์ ในกรณีของ Hocking เธอมียอดขายอีบุ๊ค (ราคา 1 - 3 เหรียญฯ) อยู่ที่เฉลี่ยประมาณเดือนละ 100,000 เล่ม โดยหักให้ Amazon แล้วเธอจะได้ 70%  คำนวณคร่าวๆ Hcoking จะสามารถทำได้รายได้เข้ากระเป๋าถึงปีละ 1 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 32 ล้านบาท ความสำเร็จของ Hocking ได้เปลี่ยนแปลงโลกของธุรกิจสิ่งพิมพ์ ตลอดจนสำนักพิมพ์ และเป็นอีกขั้นของความสำเร็จของ Amazon ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกของหนังสือได้อีกขั้นหนึ่ง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ด่วน!!! พบโทรจันบน Android ฉกข้อมูล
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 มีนาคม 2011, 14:11:11
ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยเผยพบโทรจัน (trojan) บนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิ้ล (Google) ที่ปลอมตัวเป็น"แอพพลิเคชัน"ที่เหมือนตัวจริงแทบทุกประการ แต่มันกลับสร้างบ็อตเน็ต (botnet) เข้าไปในอุปกรณ์แอนดรอยด์ เพื่อโขมยข้อมูล และป่วนใช้ฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ของเครื่อง

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-pjapps-trojan-build-botnet-and-steal-user-information-symantec-warning-2.jpg)

รายงานข่าวล่าสุด ไซแมนเทค (Symantec) บริษัทผู้เชียวชาญระบบรักษาความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์โมบาย เปิดเผยว่า จากการสังเกตการณ์ของบริษัทพบจำนวนของมัลแวร์ที่พุ่งเป้าโจมตีไปยังแพ ลตฟอร์ม Android เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยแพร่ระบาดไปบนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับโทรจันตัวใหม่ที่ตรวจพบชื่อว่า Android.Pjapps Trojan ซึ่งกำลังแพร่กระจายไปบนอุปกรณ์ Android โดยแฝงตัวมาในรูปแบบของแอพพลิเคชันทีดูถูกต้องทุกอย่าง แต่ไม่ได้โฮสต์อยู่บน Android Marketplace ของ Google ก่อนหน้านี้ก็มีการตรวจพบโทรจันบน Android ชื่อว่า Android.Adrd และ Android.Geinimi

"เช่นเดียวกับโทรจันตัวก่อนๆ ที่จะใช้วิธีแฝงตัวมากับแอพพลิเคชันที่ใช้งานบน Android ซึ่งมันเป็นการยากมากที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างเวอร์ชันที่ถูกต้อง ปลอดภัยกับเวอร์ชันอันตราย เมื่อมันถูกติดตั้งเข้าไปแล้ว" Symantec ข้อความเกี่ยวกับ Android.Pjapps Trojan ที่โพสต์ในบล็อก อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่มีการติดตั้ง มันมีความเป็นไปได้ที่จะระบุว่า เป็นแอพฯปลอมที่แฝงโทรจันมาด้วย โดยสังเกตจากการร้องขออนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่มากกว่าปกติ ตัวอย่างภาพข้างล่างนี้จะแสดงให้เห็นกระบวนการติดตั้งแอพฯ Steamy Window ที่ปลอดภัยกับเวอร์ชันอันตราย

Android.Pjapps Trojan จะปลอมตัวเป็นแอพฯยอดนิยมอย่าง Steamy Window (แอพที่แสดงภาพของไอน้ำปลอมเกาะทั่วทั้งหน้าจอ โดยสามารถใช้นิ้วปาดออกได้) ซึ่งในเวอร์ชันปลอมจะคงคุณสมบัติการทำงานของแอพฯต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน แต่ในขณะเดียวกันมันจะเพิ่มฟังก์ชันที่ยอมให้ผู้บุกรุกสร้างบ็อตเน็ตขึ้นมา ได้ นอกจากนี้ มันยังสามารถติดตั้งแอพพลิเคชันต่างๆ ท่องเข้าไปยังเว็บไซต์ ตลอดจนเพิ่มบุ๊คมาร์คเข้าไปในบราวเซอร์ของผู้ใช้ ส่ง SMS และกันข้อความตอบกลับ ที่อันตรายกว่านั้นก็คือ มันสามารถส่งข้อมูลที่โขมยได้จากในมือถือ หรือแท็บเล็ตส่งกลับไปยังผู้บุกรุกได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-pjapps-trojan-build-botnet-and-steal-user-information-symantec-warning-4.jpg)

วิธีป้องกันภัยคุกคามอย่าง Android.Pjapps Trojan และเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อ ทาง Symantec แนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลด และติดตั้งแอพฯจาก Android Marketplaces ที่ได้รับการควบคุมเท่านั้น พร้อมทั้งปรับแต่งค่าของแอพฯ (application settings) ของ Android OS ไม่ให้ติดตั้งแอพฯที่ไม่ได้มาจาก marketplace และควรจะอ่านคอมเมนต์ของผู้ใช้บน marketplace เพื่อช่วยยืนยันว่าแอพฯ ที่ต้องการดาวน์โหลดไปนั้นปลอดภัย นอกจากนี้ ในระหว่างการติดตั้ง Android apps ผู้ใช้ควรตาวจสอบการให้อนุญาตในการเข้าถึงข้อมูล (acess permission) สำหรับการติดตั้งด้วย "หากพบว่า แอพฯที่กำลังติดตั้งมีการร้องขอสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่มากเกินความจำเป็นของแอพฯนั้นๆ มันคงเป็นการฉลาดกว่าที่ไม่ติดตั้งแอพฯตัวนั้นซะ" Symantec กล่าว และคำแนะนำสุดท้าย ผู้ใช้ Google Android ควรติดตั้งเครืองมือรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันการดาวน์โหลดแอพฯที่มาพร้อมกับโค้ดอันตราย รวมถึงทูลส์ดูแล และจัดการระบบฯ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อุปกรณ์ของคุณทำงานถูกต้อง และปราศจากมัลแวร์

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Samsung เล็งเปิดตัว Galaxy Tab 8.9"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 มีนาคม 2011, 14:30:41
ในขณะที่วันที 2 มีนาคม แอปเปิ้ล (Apple) จะเปิดตัว iPad 2 เพื่อชะลอการบุกของ"แท็บเล็ต" (tablet) ที่การเติบโตของยอดขายในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเกือบ 5 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว ล่าสุดซัมซุง (Samsung) ในฐานะผู้นำตลาดแท็บเล็ตคงไม่ยอมเสียตำแหน่ง และส่วนแบ่งตลาดที่อาจจะถูกชิงกลับไปเนื่องจาก iPad 2 ว่าแล้วทางบริษัทก็ได้ร่อนบัตรเชิญเปิดตัวแท็บเล็ตอีกรุ่นในงาน CTIA 2011 (Orlando, Florida, US) โดยจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม ศกนี้

หลังจากที Samsung Galaxy Tab แท็บเล็ตทีมีหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้ประกาศเปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่มีขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้วในงาน MWC 2011 และล่าสุด Samsung ได้ร่อนบัตรเชิญร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกแล้ว โดยเป็นรูปของแท็บเล็ตที่มีตัวเลข 78910 อยู่ด้านบน ซึ่งน่าจะหมายถึงแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาด 8.9 นิ้ว (เพราะขนาด 7 กับ 10 นิ้วเปิดไปแล้ว) ทั้งนี้ตัวเลขขนาดหน้าจอของ Galaxy Tab รุ่นใหม่จะอ้างอิงมาจากข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า Samsung กำลังจะออกแท็บเล็ตจอ 8.9 นิ้วออกมาอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-8-9-inches-at-CTIA-22-March-2011-2.jpg)

นอกจากนี้ในบัตรเชิญยังสื่อเป็นนัยให้ทราบว่า "แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ของ Samsung จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb โดยเฉพาะแพทเทิร์นรูปรังผึ้งที่ปรากฎมุมล่างขวาของจอ และเนื่องจากในบัตรเชิญระบุว่าเป็น Special Episode (ตอนพิเศษ) ที่งาน CTIA แถมยังเน้นคำว่า Samsung Mobile ที่มุมล่างขวาของบัตรด้วย นั่นหมายความว่า Samsung Galaxy Tab รุ่นใหม่อาจจะมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สายบนเครือข่าย 3G หรือ 4G ก็ได้ การเสริมทัพแท็บเล็ตถึง 3 รุ่นของ 3 ขนาด Samsung จะสามารถแตะเบรคความน่าสนใจของ iPad 2 และยอดจำหน่ายของ Motorola XOOM ที่เพิ่งวางตลาดเมื่อไม่กี่วันมานี้ งานนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 'การตลาดอีเมล' เมื่อไร-แค่ไหนถึงจะดีที่สุด?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 มีนาคม 2011, 15:47:01
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ หัดใช้การตลาดอีเมล หรือได้เริ่มไปบ้างแล้ว คุณมักจะเจอคำถามใหญ่ 2 คำถามนี้เป็นประจำ ถ้าคุณเป็นมือใหม่หัดใช้การตลาดอีเมล

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/01/images/news_img_379597_1.jpg)

หรือ ได้เริ่มไปบ้างแล้ว คุณมักจะเจอคำถามใหญ่ 2 คำถามนี้เป็นประจำ คือ เราควรจะส่งอีเมลถึงลูกค้าบ่อยแค่ไหน และควรจะส่งอีเมลเมื่อไรดี หากเราตัดสินใจผิดใน 2 ข้อนี้ คือ ส่งมากหรือน้อยเกินไป และส่งผิดวันและเวลา คุณก็จะเสียเวลากับการส่งเคมเปญการตลาดนั้นๆ ทันที บทความนี้จะบอกเทคนิคให้กับคุณ คุณอาจจะไม่ทราบมาก่อนก็ได้ หรืออาจจะคิดไม่ถึงว่ามันมีความสำคัญมากแค่ไหน

ควรจะส่งเมื่อไร?
 
เท่า ที่ผมเคยศึกษาจากบทความและงานวิจัยต่างๆ รวมทั้งจากประสบการณ์ของผมเอง เกี่ยวกับวันและเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล เพื่อให้ได้ผลตอบรับที่ดีที่สุด ข่าวดีคือ ข้อมูลส่วนใหญ่ให้คำตอบที่ตรงกันครับ วันที่เหมาะสมในการส่งการตลาดอีเมล คือ...

วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัส
 
เหตุผล ง่ายๆ ครับ คือ วันจันทร์เป็นวันที่เริ่มงาน ดังนั้น ผู้รับจะยุ่งกับงาน อีกทั้งเขาจะรับอีเมลเป็นจำนวนมากที่มาจากวันเสาร์และอาทิตย์ ดังนั้น อีเมลของคุณจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในอีเมลจำนวนมาก ทำให้อีเมลของคุณไม่ได้รับความสนใจ วันศุกร์ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะเป็นวันที่ผู้รับอยู่ในบรรยากาศที่ไม่อยากทำงาน พร้อมที่จะออกจากงาน เพื่อเที่ยวในวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนวันเสาร์ ผู้รับก็จะไม่อยู่ที่ทำงานและอาจจะเดินทาง ดังนั้น โอกาสที่เช็คอีเมลก็มีได้ยาก
 
แต่วันอาทิตย์อาจจะเป็นอีกทางเลือก หนึ่งก็ได้ เพราะงานวิจัยบางสำนักได้ระบุว่าวันอาทิตย์เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งในการส่ง อีเมลเพื่อการตลาด เพราะผู้บริโภคหลายคนจะใช้โอกาสวันอาทิตย์เพื่อชอปปิงออนไลน์ ค้นหาข้อมูล และก็เช็คอีเมลส่วนตัว
 
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณควรจะทำคือ ทดลองส่งอีเมลดูครับ เริ่มจากส่งแคมเปญแรกในวันอังคาร พุธ หรือพฤหัส แล้วลองส่งอีกแคมเปญในวันอาทิตย์ จากนั้นคุณก็พิจารณาจากรายงานอัตราการเปิดอีเมล (Open Rate) และคลิกบทความ (Click-Thru Rate) ว่าวันไหนคือวันดีที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

แล้วจะต้องส่งบ่อยแค่ไหน?
 
จริง แล้วคำตอบของคำถามนี้น่าจะอยู่ที่กลยุทธ์การตลาดของคุณ ว่าจดหมายข่าวของคุณจะส่งถี่แค่ไหน หรือ คุณจะมีการอัพเดทโปรโมชั่นบ่อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียของการส่งอีเมลมากเกินไปหรือน้อยเกินไป

ปัญหาของการส่งมากเกินไปคือ :

ผู้รับหรือลูกค้าของคุณจะรู้สึก Burn out หรือมากเกินไป เขาอาจจะไม่มีเวลาพอที่จะอ่านอีเมลคุณได้
 
ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) อาจจะน้อยกว่าที่คุณคาดหวัง
 
คุณ มีความเสี่ยงที่จะเป็น Spammer เพราะผู้รับอาจจะแจ้งว่าอีเมลที่ได้รับเป็นสแปมได้ ถึงแม้ว่าคุณได้รับสิทธิให้ส่งอีเมลถึงพวกเขาก็ตาม
 
ดังนั้น ถ้าคุณต้องการส่งบ่อย ผมแนะนำว่า คุณไม่ควรจะส่งเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณอาจจะเป็น 2 ครั้งต่อเดือน หรือ เดือนละครั้งก็ได้ ลองพิจารณาจากผลตอบแทนการลงทุนของแต่ละแคมเปญที่ส่ง ว่าเป็นไปตามคาดหมายมั้ย และดูรายงานจำนวนอีเมลยกเลิก (Unsubscribe) ด้วย

แล้วปัญหาของการส่งน้อยเกินไปล่ะ
 
ผู้ รับ หรือ ลูกค้าของคุณ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับอีเมลของคุณ ยิ่งนานเท่าไร พวกเขาก็จะต้องยิ่งสร้างความคุ้นเคยกับคุณมากขึ้นเท่านั้น
 
ผู้รับอาจจะลืมคุณไปเลย ถึงขั้นที่คิดว่าเขาไม่เคยสมัครรับข่าวสารจากคุณก็ได้ พวกเขาก็จะแจ้งว่าอีเมลของคุณสแปมได้เช่นกัน
 
ผู้รับอาจจะไม่พอใจ เพราะไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารเพียงพอก็ได้
 
อีเมลของผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอีเมลตีกลับ (Bounce) เป็นจำนวนมาก เทียบกับการส่งอีเมลที่ถี่กว่า
 
ผมขอแนะนำว่า คุณควรจะส่งอีเมลอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง อย่าลืมนะครับว่าผู้รับเป็นมนุษย์ๆ ที่สามารถลืมอะไรได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม การตลาดอีเมลไม่ ใช่การขายเพียงอย่างเดียว คุณจะต้องเน้นความสัมพันธ์แบบยั่งยืน เพราะเมื่อไรที่คุณสร้างความรำคาญให้กับผู้รับแล้ว พวกเขาจะยกเลิกการรับของคุณทันที นั่นหมายความว่า คุณจะต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่อีกครั้ง

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: MSI โชว์แท็บเล็ต 2 รุ่นน่าสอย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 มีนาคม 2011, 15:09:42
MSI เป็นผู้ผลิตพีซีอีกรายที่ใช้เวทีในงาน CeBIT 2011 แนะนำ"แท็บเล็ต" (tablet) ของทางบริษัท ซึ่งได้แก่ MSI WindPad 100A และ MSI WindPad 110W ซึ่งเป็นแท็บเล็ตร่นที่ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android และ Windows 7 ตามลำดับ โดยทั้งคู่จะมีขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้ว ใครถนัดแพลตฟอร์มไหนก็มีให้เลือกเป็นเจ้าของได้ตามใจชอบ

(http://www.arip.co.th/images/news/msi/msi-windpad-100a-android-honeycomb-tablet-110w-win-7-tablet-at-CeBIT-2011-2.jpg)

สำหรับ MSI WindPad 100A เป็นแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับหน้าจอ 10.1 ตัวเครื่องสีขาว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb ซึ่งก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้นำออกโชว์ในงาน CES 2011 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยสเป็กเครื่อง ภายในจะใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Nvidia Tegra 2 ซึ่งก็มั่นใจได้เรื่องประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่แพ้แท็บเล็ตจากผู้ผลิตราย อื่นๆ เรียกได้ว่า ทั้ง OS และ CPU ไม่เป็นรองใคร ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องของพอร์ตใช้งานต่างๆ ตลอดจนดีไซน์ และราคาที่น่าจะเป็นประเด็นที่ใช้ในการแข่งขันในสมรภูมินี้

ในส่วนของ MSI WindPad 110W แท็บเล็ตที่ยังคงดีไซน์ที่เรียบง่ายเช่นเดียวกัน หน้าจอ 10.1 นิ้วเหมือนกัน แต่ตัวเครื่องจะเป็นสีบรอนซ์เข้ม โดยภายในใช้หน่วยประมวลผล AMD C-50 Fusion APU ซึ่งเป็นโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ผนึกการทำงานร่วมกับกราฟิก AMD Radeon HD 6310 ระบบปฏิบัติการที่ใช้จะเป็น Windows 7 Home Premium อย่างไรก็ตาม ทาง MSI ยังไม่ได้เปิดเผยถึงกำหนดการในการวางจำหน่าย และสนนราคาของแท็บเล็ตทั้งสองรุ่น คาดว่า ทางบริษัทคงจะต้องรีบเปิดเผยทั้งเรื่องของราคา และกำหนดการวางตลาดโดยเร็ว มิเช่นนั้นอาจจะถูกทิ้งห่างจากคู่แข่งอย่าง Samsung และ Motorola ตลอดจนแท็บเล็ต Windows 7 อย่างของ Fujitsu และ Lenovo

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ทวิตเตอร์อัพเดตคุณสมบติใหม่บนไอโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 14:17:34
ข่าวดีสำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ที่ชื่นชอบ Twitter บน iPhone และ iPad เมื่อล่าสุดทางบริษัทได้แก้ไขข้อผิดพลาดของการทำงาน พร้อมทั้งอัพเดตแอพฯคุณสมบัติการทำใหม่ๆ ให้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มแถบแสดงประเด็นที่กำลังเป็นกระแส (Trending topics bar) ที่อยู่ด้านบนของไทม์ไลน์ (timeline) จะรีเฟรชทุกครั้งที่คุณรีเฟรชไทม์ไลน์ หรือจะเป็นหน้าโพสต์ข้อมูลต่างๆ (composition screen) ที่ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น

การอัพเดต Twitter บน iOS ครั้งนี้ ดูเหมือนทางบริษัทจะไฮไลท์คุณสมบัติ Trending Topics มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเพิ่มแถบแสดงประเด็นฮอตล่าสุดไว้ด้านบนจนดูเหมือนยัดเยียด ซึ่งผู้ใช้สามารถแตะบนแถบนี้ เพื่อดูประเด็นฮอตอื่นๆ เพิ่มเติมได้ในหน้าจอถัดไป สำหรับใครที่ชอบติดตามประเด็นที่กำลังเป็นกระแสบน Twitter ก็อาจจะชอบคุณสมบิตินี้ก็ได้ ส่วนอีกคุณสมบัติหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาใหม่จะอยู่ในหน้า Composition screen ที่ออกแบบให้สะอาดตา และใช้งานง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่ม action bar เหนือคียบอร์ด ซึ่งคุณจะสามารถส่ง @ เพื่อตอบเมสเสจ เพิ่มแฮชแท็ก (hashtags) ภาพถ่าย (photos) วิดีโอ (video) ตลอดจนตำแหน่งที่คุณ (location) อยู่ณ.ปัจจุบันได้ด้วยการแตะไอคอนทีอยู่บน action bar ส่วนที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้มากสักหน่อยก็เห็นจะเป็นไอคอน @ ที่เมื่อแตะลงไป มันจะแสดงรายชื่อเพื่อนๆ ให้คุณสามารถคลิกเลือกได้ทันที หรือแค่เริ่มต้นพิมพ์ รายชื่อเพื่อนที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรนั้นๆ ก็จะถูกคัดกรองให้คุณได้เลือกอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะดวกมากจริงๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-for-iphone-updates-and-bug-fixed-2.jpg)

ยังไม่หมดเท่านี้ Twitter บน iPhone เวอร์ชันอัพเดตยังสามารถค้นหารายชื่อเพื่อนๆ บน Twitter ที่มีรายชื่ออยู่ใน contact บน iPhone ของคุณได้อีกด้วย โดยเมื่อคุณคลิกบนปุ่ม search คุณสามารถเลื่อนหน้าจอลงมาด้านล่าง เพื่อพบกับตัวเลือก "Find Friends" ในเมนู เพียงแค่คลิก แอพฯก็จะทำการสแกนใน contacts และแสดงรายชื่อของเพื่อนคุณว่ามีคนไหนบ้างที่อยู่ใน Twitter แล้ว แต่คุณยังไม่ได้ตาม โดยรวมของการอัพเดต Twitter app จะให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่าย และมีข้อผิดพลาดของการทำงานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามกันดูว่า มันจะมีเสถียรภาพในการทำงานแค่ไหน? หวังว่าข้อผิดพลาดในส่วนฟังก์ชัน DM จะได้รับการแก้ไขแล้ว โดยเฉพาะการที่มันชอบบอกว่า มีเมสเสจที่ยังไม่ได้อ่าน ทั้งๆ ที่พวกมันถูกอ่านหมดแล้ว อุ๊ปส์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Bing เพิ่มผลลัพธ์ "ดีล" จาก Groupon
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 14:37:22
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) อัพเดตบริการเสิร์ชบนสมาร์ทโฟน (m.bing.com) ด้วยการเพิ่มผลลัพธ์การค้นหาสำหรับ"ข้อตกลง" (deal) ที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ต่างๆ อย่างเช่น Groupon, LivingSocial และเว็บไซต์คูปองอื่นๆ ที่ให้บริการในลักษณะเปิดดีลรายวันอีกกว่า 200 แห่ง นอกจากนี้ดีลที่แสดงขึ้นมาในหน้าผลลัพธ์บนมือถือยังอ้างอิงจากตำแหน่ง (location) ของผู้ใช้อีกด้วย นั่นหมายความว่า คุณสามารถค้นหาข้อตกลงจากร้านค้าต่างๆ ใกล้ๆ บริเวณนั้นได้...ว้าว!!!

ไมโครซอฟท์กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทกำลังทำงานร่วมกับ The Dealmap บริษัทที่รวบรวม"ข้อตกลง"ของธุรกิจร้านค้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ โดยไมโครซอฟท์จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดึงข้อมูลจาก The Dealmap มาปักหมุด และแสดงผลบนแผนที่ของ Bing เพื่อให้ผู้ใช้บริการเสิร์ช สามารถทราบถึงตำแหน่งของร้านรวงใกล้ๆ ที่มีข้อตกลงน่าสนใจให้กับผู้ใช้สามารถซื้อคูปองแล้วเดินทางไปใช้ที่ร้านได้ ทันที การเปิดเกมรุกครั้งนี้ของไมโครซอฟท์เกิดจากความพยายามในการมองหานวตกรรมจาก พันธมิตร แทนที่จะเลือกเว็บไซต์ที่มีไอเดียน่าสนใจ แล้วเข้าซื้อ หรือก็อปปี้ขึ้นมาให้เป็นผลิตภัณฑ์ของตนเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-mobile-adds-local-Deals-result-from-groupon-and-coupon-sites-2.jpg)

นอกจากไมโครซอฟท์จะปรับปรุงการทำงานของ Bing ให้มีประสิทธิภาพการค้นหาที่ดีขึ้นแล้ว ยังเพิ่มบริการใหม่ๆ ในลักษณะข้างต้นเข้าไปด้วย รวมถึงความพยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กับเสิร์ชของบริษัท เพื่อให้มันเป็นบริการที่ข่วยให้ชีวิตผู้ใช้ง่ายขึ้น อย่างเช่น การใช้ HTML5 ในการพัฒนาเว็บไซต์จนทำให้มันดูคล้ายแอพฯบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น สำหรับการใช้บริการใหม่ของ Bing บนสมาร์ทโฟน ผู้ใช้จะสังเกตเห็นรายการ Deals ปรากฎอยู่ในเมนู

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ทวิตเตอร์ Ashton Kutcher โดนแฮค!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 14:49:21
รายงานข่าวชิ้นนี้เป็นเรื่องของ Twitter อีกแล้ว แต่ไม่ค่อยน่าปลื้มเท่าไร? เนื่องจากล่าสุด บัญชีผู้ใช้ Twitter ของนักแสดงสุดหล่ออย่าง Ashton Kutcher ที่มีผู้ติดตาม (followers) เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาตลอดจนคำแนะนำดีๆ สำหรับการใช้ชีวิตมากกว่า 6.4 ล้านคนโดนแฮค!!!

ในขณะที่เข้าร่วมงานประชุม TED 2011 ภายใต้หัวข้อ "The Rediscovery of Wonder" ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยเหล่ากูรู และศิลปินทีมีอิทธิพลต่อโลก ไม่ว่าจะเป็น บิลเกตส์, บ๊อบบี้ แมคเฟอริน, เดวิด บรูคส์ และจูลี่ เทย์มอร์ โดยบุคคลเหล่านี้ต่างมีคิวในการขึ้นพูดกันถ้วนหน้า แต่ดูเหมือนคนดังอย่าง Kutcher ที่ต้องขึ้นเวทีในงานนี้ กลับต้องเผชิญเรื่องประหลาดใจสุดขีด เมื่อพบว่า Twitter ของเขาถูก"แฮค"เข้าให้แล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-ashton-kutcher-was-hacked-2.jpg)

แฮคเกอร์ที่เจาะบัญชีผู้ใช้ Twitter ของ Kutcher โดยโพสต์ข้อความเยาะเย้ยว่า บัญชีผู้ใช้ของนักแสดงหนุ่มไม่ปลอดภัย ซึ่ง Kutcher ไม่ใช่คนดังคนแรกที่โดนแฮค เพราะตั้งแต่ปี 2009 บัญชีผู้ใช้ของ Barack Obama ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Britney Spears, Rick Sanchez จาก CNN และสำนักข่าว FOX News ต่างก็เคยโดนแฮคมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อเร็วๆ นี้ Selena Gomez ก็โดนโจมตีโดยแฮคเกอร์ ซึ่งโพสต์ข้อความว่า "Oh yeh, JUSTINBIEBER SUCKS!!!!!!" ดังรูป

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-ashton-kutcher-was-hacked-3.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: PRV ที่ 04 มีนาคม 2011, 14:50:14
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: โซนีขายกล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์เครื่องแรกของโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 15:15:11
โซนีกอดเก้าอี้ผู้นำด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพ เปิดตัวกล้องวิดีโอที่สามารถทำงานเป็นโปรเจคเตอร์ในตัวเดียวกันเครื่องแรก ของโลกในประเทศไทย หลังโชว์ตัวครั้งแรกที่งาน CES 2011 ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมหนุนกองทัพด้วยกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ กล้องวิดีโอ 3 มิติ และกล้องบันทึกคลิปวิดีโอ 25 รุ่นลงตลาดครึ่งปีแรก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003002201.JPEG)
นายเชิดพงศ์ ตันติพูนธรรม ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์ดิจิตอลอิมเมจิ้ง บริษัท โซนี ไทย จำกัด

      นายเชิดพงศ์ ตันติพูนธรรม ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์ดิจิตอลอิมเมจิ้ง บริษัท โซนี ไทย จำกัด กล่าวว่า โซนีต้องการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพในเมืองไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์การใช้กล้องที่ไม่ซ้ำแบบใคร ในปีนี้สินค้ากลุ่มกล้องดิจิตอลของโซนีจึงเน้นไปที่ความแปลกใหม่, การบันทึกภาพความละเอียดสูงและรองรับการถ่ายภาพ 3มิติ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003002202.JPEG)
กล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์รุ่น HDR-PJ50E

      "กล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์ที่ นำมาเปิดตัวในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากมีการโชว์ตัวครั้งแรกในงาน CES 2011 ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยผู้ใช้งานสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว แล้วฉายภาพไปยังจอรับภาพได้ขนาดสูงสุด 60 นิ้ว อีกทั้งยังให้เสียงระดับสเตอริโอ 5.1 ชาแนล"
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003002204.JPEG)

      สำหรับกล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์รุ่น HDR-PJ50E นั้นใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor R, เลนส์มุมกว้าง 29.8มม. ฮาร์ดดิสก์ความจุ 220กิกะไบต์ สามารถถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 7.1ล้านพิกเซล นอก จากนี้ยังมีกล้องวิดีโอแฮนดีแคม HDR-TD10E ใช้เซนเซอร์ Full HD 2 ตัว สามารถบันทึกวิดีโอ 3 มิติ ที่ความละเอียด 1920x1080 และสามารถรับชมวิดีโอ 3 มิติได้จาก LCD ขนาด 3.5 นิ้วโดยไม่ใช้แว่น กล้องบันทึกคลิปวิดีโอ 3 มิติ Bloggie 3D และ Bloggie Duo กล้องบันทึกคลิปวิดีโอแบบ 2 หน้าจอ เพื่อการถ่ายภาพตัวเองได้ง่ายยยิ่งขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003002203.JPEG)
กล้องวิดีโอแฮนดีแคม HDR-TD10E ใช้เซนเซอร์ Full HD 2 ตัว

      ในส่วนของภาพรวมตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ในปีนี้ นายเชิดพงศ์ กล่าวว่ามีการแข่งขันด้านของราคาค่อนข้างรุนแรง ตลาดกล้องอินเตอร์แบรนด์มีราคาเริ่มต้นที่ 1,990 บาท ในขณะที่ของโซนีมีราคาเริ่มต้นที่ 2,390 บาท แต่มีสเปค และความสามารถสูงกว่า โดยในปี 2011 บริษัทเตรียมวางจำหน่ายกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ตระกูลไซเบอร์ช็อตทั้งหมด 15 รุ่น 5 ซีรีส์
      
      "สำหรับกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ เราได้มีการเพิ่มความสามารถใหม่ลงไป ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดภาพ 16.2 ล้านพิกเซล, ระบบถ่ายภาพ 3 มิติ, ฟังก์ชัน Background DeFocus หรือการถ่ายหน้าชัด หลังเบลอ, Soft Skin หรือถ่ายหน้าเนียน มีระบบ GPS ในตัว รวมถึงการถ่ายภาพพาโนราม่า มีการปรับความละเอียดของไฟล์วิดีโอให้มีความคมชัดสูงขึ้นเป็น AVCHD 1080i เป็น AVCHD 1080p"
      
      "ในปีที่ผ่านมาโซนีมียอดการเติบของกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ในแง่ของ ยูนิตอยู่ที่ 10% มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 30% ซึ่งยังถือว่าเป็นเบอร์ 1 ในเมืองไทยอยู่" นายเชิดพงศ์กล่าว
      
      ในส่วนของกล้อง DSLR นั้นมียอดการเติบโตกว่า 100% เหตุผลหลักมาจากยอดจำหน่ายกล้องไร้กระจกตระกูล NEX ที่มีการเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยโซนีสามารถทำยอดขายได้กว่า 12,000 ตัว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกล้องตระกูล A-Mount อย่าง Alpha A55 ที่ปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค แม้จะมีการเพิ่มกำลังในการผลิตแล้วก็ตาม
      
      สำหรับกล้อง DSLR, เลนส์ E-Mount และ เลนส์ A-Mount ที่มีการเปิดตัวในต่างประเทศนั้น คาดว่าจะมีการนำมาเปิดตัวในประเทศไทยช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นรุ่นไหน และมีรายละเอียดอย่างไร

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Sony หั่นราคา "PSP Go" เหลือ 4,500 บาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 15:42:19
หลังจากที่ลดราคาเครื่อง PSP รุ่น 3000 เหลือ 4,000 บาทไปหมาดๆ ล่าสุดโซนี่อเมริกาได้ประกาศลดราคาเครื่อง "PSP Go" ลงอีก 50 เหรียญสหรัฐ เหลือ 150 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,500 บาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003031401.JPEG)

      ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน โซนี่อเมริกาออกมาเปิดเผยว่าจะลดราคาเครื่อง PSP โมเดล 3000 ลง 40 เหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 130 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,000 บาท เครื่อง PSP โมเดลดังกล่าวเปิดตัววางจำหน่ายเมื่อปี 2005 ด้วยราคา 250 เหรียญสหรัฐ จากนั้นในปี 2006 ก็ลดราคาเครื่องลงเหลือ 200 เหรียญสหรัฐ และในเดือนเมษายนปี 2007 ก็มีการลดราคาลงไปอีกเหลือ 170 เหรียญสหรัฐ

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003031402.JPEG)

ล่าสุดโซนี่อเมริกา ออกมาประกาศผ่านเว็บไซต์ ยืนยันว่าเครื่อง "PSP Go" ที่ตัดไดรฟ์ UMD ออกแล้วเน้นที่การดาวน์โหลดคอนเทนต์ออนไลน์ จะลดราคาเครื่องลง 50 เหรียญสหรัฐ เหลือ 150 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 4,500 บาท นอกจากนั้นในเว็บไซต์ยังระบุเกี่ยวกับเครื่อง PSP โมเดล 3000 ที่ลดราคาลงเหลือ 130 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,000 บาทอีกด้วย
      
      เครื่อง PSP Go เปิดวางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคมปี 2009 ด้วยราคา 250 เหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นหนึ่งปีก็ลดราคาเครื่องลงเหลือ 200 เหรียญสหรัฐ การลดราคาเครื่อง PSP โมเดล 3000 และ PSP Go มาจากการที่โซนี่เตรียมเปิดตัววางจำหน่ายเครื่องเกมพกพาตัวใหม่ในชื่อ "Next Generation Portable (NGP)" ที่มาพร้อมกับทัชสกรีน LED ขนาด 5 นิ้ว , ฟังก์ชั่น 3D และ ไมโครอนาล็อกซ้ายขวา

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ผู้หญิงปลอดภัยในโซเชียลเน็ตเวิร์ค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 มีนาคม 2011, 16:03:06
นักเดินทางเพื่อธุรกิจหญิงจำนวนมาก ยอมรับว่า มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการโดนล่วงละเมิดทางเพศไม่มากก็น้อยตามที่สาธารณะต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการแสดงออกต่อพวกเธอ แต่ก็มีอีกไม่น้อยเช่นกัน ที่หนักหนาไปถึงขั้นกายภาพ
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/04/images/news_img_380306_1.jpg)

อย่าง ไรก็ดี หญิงสาวเหล่านี้แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องดังกล่าวเลย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าแจ้งความ หรือรายงานต่อบริษัท เพราะกังวลว่า หากพวกเธอหยิบยกเรื่องการโดนล่วงละเมิดขณะการเดินทางเพื่อไปทำงาน ขึ้นมากล่าวถึงนั้น อาจทำให้ถูกกาหัวจากเจ้านายได้ว่า เป็นพวกมีปัญหากับการเดินทาง
 
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เกิด ไอฮอลลาแบ็ค ดอท โออาร์จี  (Ihollaback.org) เว็บไซต์ที่ส่งเสริมให้เหล่าผู้หญิงเข้ามาแบ่งปันเรื่องราว และให้เรื่องราวเกี่ยวกับการโดนล่วงละเมิด เพื่อที่จะนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำเป็นแผนที่ แสดงให้เห็นถึงจุดเกิดเหตุ
 
ไอฮอลลาแบ็ค เกิดขึ้นจากการรวมตัวของหญิงสาวกลุ่มเล็กๆ ในสหรัฐ และต่างแดน ที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นประจำ ในความพยายามที่จะเปิดโปงเรื่องดังกล่าว และสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่จะจัดการกับปัญหานี้
 
เอมิลี เมย์ วัย 29 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์นี้ ระบุว่า เหตุล่วงละเมิดผู้หญิงตามท้องถนนเกิดขึ้นในแทบจะทุกที่
 
ประเด็น นี้กลายมาเป็นหัวข้อร้อนแรงอีกครั้งในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เมื่อลารา โลแกน ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส นิวส์ โดนล่วงละเมิดทางเพศ จากกลุ่มผู้ประท้วงที่จัตุรัสตาหะรี ในกรุงไคโร อียิปต์
 
ผลการ ศึกษาของศูนย์สิทธิผู้หญิงอียิปต์ เมื่อปี 2551 แสดงให้เห็นว่า ราว 98% ของหญิงต่างชาติที่เดินทางมายังอียิปต์ และหญิงชาวอียิปต์ประมาณ 83% เคยเจอกับการลวนลามตามท้องถนน ส่วนใหญ่ผ่านทางกิริยาอาการ แต่ก็มีกรณีที่เลวร้ายกว่านี้ด้วย
 
"ไอฮอลลาแบ็ค พยายามทำให้ผู้คนตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวมากขึ้น และจัดทำแพลตฟอร์มสำหรับการให้ความช่วยเหลือ ที่เปิดทางให้ผู้คนทั่วโลกสามารถพูดคุยกันในเรื่องนี้" ฮอลลีย์ เคิร์ล สาววัย 28 ปี ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ยุติการล่วงละเมิดบนถนน ทำให้ที่สาธารณะกลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง" กล่าว
 
เคิร์ล ยังเป็นผู้บริหารเว็บไซต์ สต็อปสตรีทฮาราสเมนท์ ดอท คอม (Stopstreetharassment.com) ที่เปิดให้ผู้คนบอกเล่าเรื่องราว ที่ไม่กล้าเล่าให้คนอื่นฟังแบบต้องเห็นหน้าเห็นตากัน
 
เว็บไซต์ไอ ฮอลลาแบ็ค เริ่มต้นขึ้นที่นครนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อปี 2548 จากการที่เมย์ และเพื่อนๆ อีก 6 คน มีความคิดว่า พวกเธอสามารถนำเทคโนโลยี และโลกออนไลน์ มาประยุกต์ใช้กับปัญหาในเรื่องข้างต้นได้
 
ปัจจุบัน ไอฮอลลาแบ็ค ดอท โออาร์จี มีเว็บไซต์เครือข่ายอยู่ 12 แห่ง ในเมืองต่างๆ 12 เมืองทั่วโลก และกำลังจะเปิดตัวอีก 14 เว็บในเร็วๆ นี้
 
"เราใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค บล็อก แอพพลิเคชั่น และแผนที่ เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้คนแบ่งปันเรื่องราว และทำให้เป็นคดีขึ้นมา การล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงตามท้องถนนเป็นเรื่องที่โดนเก็บเงียบเชียบมาเป็น เวลานานแล้ว และเรากำลังทลายความเงียบนั้น" เมย์ระบุ
 
นอกจากจะให้ ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มีความเสี่ยงที่จะโดนล่วงละเมิดแล้ว ไอฮอลลาแบ็ค ยังเน้นให้ความรู้ในด้านต่างๆ แก่ผู้หญิง รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้างต้น
 
ขณะเคิร์ล กล่าวถึง ไอฮอลลาแบ็ค ว่า สิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับเว็บไซต์นี้ ว่า เป็นการตัดสินใจของคนหนุ่มสาวที่ต้องการมารวมตัวกัน และร่วมมือแก้ไขปัญหาบนท้องถนน ที่เหล่านักเดินทางหญิงต้องเผชิญมาเป็นเวลานาน โดยที่หลายคนต้องรับมือกับเรื่องนี้โดยลำพัง ไม่กล้าปรึกษากับใคร เพราะบ่อยครั้งที่มีการแจ้งความ ก็จะโดนกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการแสดงออกของพวกเธอ ที่เป็นต้นเหตุ
 
ทาง ด้าน แครอล มาร์โกลิส ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สมาร์ทวีเมนทราเวลเลอร์ส ดอท คอม (Smartwomentravelers.com) แสดงความเห็นว่า มีผู้หญิงมากมายที่ต้องเดินทางไปมาบนโลกใบนี้ และต่อให้เป็นเมืองใหญ่ อย่างนิวยอร์ก ชิคาโก ฮูสตัน หรือไคโร ผู้หญิงก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
 
มาร์โกลิส ยอมรับว่า เธอเคยโดนลวนลามบนรถประจำทาง โดนลูบคลำบนรถไฟ และเคยถึงขั้นต้องกระโดดลงจากรถแท็กซี่ เพราะคนขับพาไปผิดเส้นทาง แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ก็สกัดกั้นเธอจากการเดินทางไม่ได้ แต่ทำให้เธอมีความระมัดระวังตัวในการเดินทางมากขึ้น

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Samsung เร่งปรับ Tab 10.1 ชน iPad 2
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มีนาคม 2011, 13:25:54
การเปิดตัว iPad 2 นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคทั้งสาวกใหม่และเก่าของแอปเปิ้ล (Apple) ให้ความสนใจกันอย่างท่วมท้น เหล่าบรรดาบริษัทผู้ผลิต"แท็บเล็ต" โดยเฉพาะผู้นำตลาดอย่างซัมซุง (Samsung) รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเช่นเดียวกัน เนื่องจาก iPad 2 ไม่เพียงแต่จะมีดีไซน์ที่บางกว่า Galaxy Tab 10.1 (Honeycomb tablet) แต่มันยังมีราคาถูกกว่าอีกด้วย ผู้บริหารซัมซุงเล็งปรับโฉม เพื่อให้แท็บเล็ตของทางบริษัทสามารถแข่งขันได้

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-will-improve-galaxy-tab-10-1-to-compete-iPad-2-3.jpg)

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Samsung ได้เปิดตัว Galaxy Tab 10.1 ในงาน MWC 2011 โดยได้รับการพัฒนาคุณสมบัติในด้านต่างๆ ให้มีความเหนือชั้นกว่ารุ่น 7 นิ้วอย่างชัดเจน นอกจากหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแล้ว มันยังมาพร้อมกับกล้อง และที่สำคัญที่สุดคือ การใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb แทนที่จะเป็น Android 2.2 Froyo แต่นั่นก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยให้มันขายได้ Lee Don-Joo รองประธานฝ่ายบริหารแผนกโมบายของซัมซุง ยอมรับว่า ดีไซน์ที่บางเฉียบ ราคาที่ถูกกว่าของ iPad 2 กำลังจะสร้างปัญหาให้กับซัมซุง เอ่อ...ชักไม่แน่ใจในสวัสดิภาพของผู้บริหารท่านนี้ซะแล้วสิ

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-will-improve-galaxy-tab-10-1-to-compete-iPad-2-2.jpg)

iPad 2 มีความหนาเพียง 8.8 มม. บางลงกว่ารุ่นแรก 33% แถมยังบางกว่า iPhone 4 อีกด้วย ในขณะที่ Samsung Galaxy Tab 10.1 มีความหนา 10.9 มม. หรือหนากว่า iPad 2 ประมาณ 20% ซึ่งแน่นอนว่า ความแตกต่างระดับนี้ย่อมทำให้ Samsung หวั่นใจ ส่วนเรื่องของสเป็กอื่นๆ โดยเฉพาะประสิทธิภาพของการทำงาน ไม่ใช่เรื่องที่ Samsung หนักใจแม้แต่น้อย Lee กล่าวว่า "เราจะปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ ของ Tab 10.1 ที่ยังไม่ดีพอ Apple ทำ iPad 2 ได้บางมาก" หากตีความจากคำกล่าวนี้ Lee ยอมรับว่า Galaxy Tab 10.1 หนาเกินไป และทางบริษัทจะต้องหาวิธีทำให้มันบางลงกว่านี้ เรื่องของราคาก็เป็นประเด็นอีกเช่นกัน Galaxy Tab ใน US ที่มีหน้าจอ 7 นิ้วจำหน่ายอยู่ที่ 600 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 บาท) ในขณะที่ ipad 2 ราคาเริ่มต้นที่ 499 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 บาท) ซึ่งซัมซุงมีแผนจะจำหน่าย Galaxy Tab 10.1 ด้วยราคาที่สูงกกว่า 600 เหรียญฯ เนื่องจากเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพ และคุณสมบัติของเครื่องที่สูงกว่ารุ่นแรกมาก แต่คาดว่า งานนี้ Samsung อาจจะต้องทบทวนเรื่องกลยุทธ์ของราคากันอีกครั้งอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "BlackBerry Messenger" พร้อมแจ้งเกิดในไอโฟน-แอนดรอยด์?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มีนาคม 2011, 13:38:55
ในนาทีที่โปรแกรมแชตข้ามสายพันธุ์ระบบปฏิบัติการ"บีบี-แอนดรอยด์-ไอ โฟน"ได้รับความนิยมถล่มทลาย ล่าสุดมีรายงานว่าผู้ผลิตบีบีกำลังเตรียมตัวลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วยตัวเอง โดยจะส่งโปรแกรมยอดดวงใจของสาวกบีบี "BlackBerry Messenger" มาให้ผู้ใช้ไอโฟนและสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สามารถโหลดไปเพื่อรับส่งข้อความทันใจ ได้อย่างประหยัดและปลอดภัย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003015901.JPEG)

      สำนักข่าว BGR อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวในบริษัทรีเสิร์ชอินโมชัน (Research In Motion) หรือริม ว่าผู้ผลิตแบล็กเบอรี่ (บีบี) รายนี้กำลังมีแผนพัฒนาแอปพลิเคชันรับส่งข้อความบนบีบีซึ่งถูกเรียกในชื่อบี บีเอ็ม (BlackBerry Messenger) เวอร์ชันพิเศษเพื่อรองรับผู้ใช้ไอโฟนและสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อย่างเป๊นทางการ โดยแหล่งข่าวซึ่งสำนักข่าว BGR ยืนยันว่ามีหลายรายและเชื่อถือได้ ระบุว่าผู้ ใช้ไอโฟนและแอนดรอยด์จะสามารถรับส่งได้เฉพาะข้อความบนบีบีเอ็ม ไม่สามารถรับส่งข้อมูลรูปภาพ ตำแหน่งแผนที่ รวมถึงวิดีโอได้ เท่ากับประสบการณ์ครบวงจรบนบีบีเอ็มจะยังคงถูกสงวนไว้สำหรับผู้ใช้บีบีเท่า นั้น
      
      ต้องยอมรับว่าบีบีเอ็มคือคุณสมบัติจุดขายของบีบี เพราะผู้ใช้บีบีส่วนใหญ่ต้องการความสามารถในการรับส่งข้อความถึงกันได้แบบ เรียลไทม์ทันใจโดยไม่จำกัดความยาว ผู้ส่งสามารถรับรู้ทันทีว่าข้อความถูกเปิดอ่านแล้ว โดยสามารถสื่อสารกันได้เป็นกลุ่มในเวลาพร้อมกัน และอีกหลายคุณสมบัติที่ไม่มีในเอสเอ็มเอสปกติ
      
      ข้อมูลจากแหล่งข่าวนิรนามนี้มีโอกาสเป็นเรื่องจริงสูง เนื่องจากนักพัฒนารู้ว่าผู้ใช้ไอโฟนและแอนดรอยด์จะชื่นชอบเพียงไรหากสามารถ ใช้การรับส่งข้อความทันใจถึงกันได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องคำนึงว่าใช้ระบบ ปฏิบัติการใดอยู่ ทำให้ขณะนี้ผู้ผลิตแอปพลิเคชันรายอื่นได้ชิงตัดหน้าให้บริการรับส่งข้อความ ทันใจข้ามแพลตฟอร์มแล้ว หนึ่งในนั้นคือ WhatsApp ซึ่งความนิยมของ WhatsApp มีส่วนทำให้สัดส่วนผู้ใช้บีบีเอ็มน้อยลง และทำให้เหตุผลในการเลือกใช้บีบีเพราะบีบีเอ็มถูกลดน้ำหนักลงด้วย
      
      ทางออกที่ริมมีในขณะนี้จึงเป็นการเข้ามาแย่งตลาดคืนจากค่าย แอปพลิเคชันอิสระ โดยยังไม่มีความแน่ชัดว่าริมจะเปิดให้ผู้บริโภคโหลดโปรแกรมบีบีเอ็มได้ฟรี แล้วจึงคิดค่าสมาชิกรายเดือน หรือจะเปิดจำหน่ายโปรแกรมบีบีเอ็มโดยผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าสมาชิกเพิ่ม เติม
      
      นอกจากนี้ หากริมเปิดตัวบีบีเอ็มเวอร์ชันเปิดเสรีจริง จะทำให้ริมสามารถขยายฐานสาวกบีบีเอ็มได้อีก โดยเฉพาะในตลาดแอนดรอยด์ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าแอนดรอยด์สามารถครองเบอร์ 1 ส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯได้แล้วในเดือนมกราคม 2011 ที่ผ่านมา ชนะทั้งไอโฟนและบีบีเรียบร้อยด้วยส่วนแบ่งตลาด 29% เทียบกับไอโฟนและบีบีที่มีรายละ 27%
      
      บริษัทวิจัย Nielsen Wire ระบุว่าในตลาดสมาร์ทโฟน แอปเปิลและริมก็ยังคงเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 และ 2 ที่จัดส่งสินค้ามากที่สุดในสหรัฐฯ โดยเอชทีซี (HTC) ยักษ์ใหญ่ในโลกแอนดรอยด์สามารถผงาดขึ้นเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ที่ชนะทั้งโมโตโรลาและซัมซุงได้ โดยเอชทีซีสามารถครองส่วนแบ่งตลาด 19% แบ่งเป็น 12% ในตลาดแอนดรอยด์ และ 7% ในตลาดวินโดวส์โมบาย
      
      สำหรับอดีตยักษ์ใหญ่อย่างโมโตโรลาสามารถครองสัดส่วน 11% ของตลาดสมาร์ทโฟนรวมในสหรัฐฯ แบ่งเป็น 10% จากตลาดแอนดรอยด์และ 1% จากตลาดวินโดวส์โฟนเซเว่น (WP7) และวินโดวส์โมบาย ขณะที่ซัมซุงทำได้ 7% แบ่งเป็น 5% ในแอนดรอยด์และ 2% ในวินโดวส์
      
      การสำรวจพบว่าแอนดรอยด์มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น โดยผู้บริโภคในกลุ่ม 18-24 ปีมีสัดส่วนเป็นลูกค้าแอนดรอยด์ราว 6% เทียบกับไอโฟนและบีบีที่สัดส่วนอยู่ที่ 4%

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: โอกาส = อนาคต เกมออนไลน์ไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มีนาคม 2011, 13:54:04
ในบรรดาเกมทั้งหมด เกมออนไลน์นับเป็นเกมที่มีมูลค่าและอัตราการเติบโตสูงที่สุด โดยปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 10-15% ขณะที่จำนวนผู้เล่นในตลาดมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า มูลค่าอุตสาหกรรมเกมเกือบ 3,000 ล้านบาท กลับมีผลิตผลที่มาจากคนไทยอยู่ไม่ถึง 5% ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น ผิดกับเกาหลี และจีน กลับพัฒนาจนสามารถสร้างเป็นรายได้กลับเข้าประเทศปีละมหาศาล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003044401.JPEG)

      เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ และจากนี้ไปเกมออนไลน์ไทยจะสามารถผลักดันส่วนแบ่งตลาดให้เพิ่มขึ้นได้หรือ ไม่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
      
      ทวีชัย ภูรีทิพย์ ประธานบริหาร บริษัท ไอ ดิจิตอล คอนเนคท์ จำกัด (ไอดีซีซี) มือเก๋าแห่งวงการเกมออนไลน์ ที่ล่าสุดเปิดเกมรุกปลุกปั้นเกมไทยลงสนามแข่ง บอกว่า มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดเกมออนไลน์ที่พัฒนาโดยคนไทยยังมีสัดส่วนในตลาดน้อย เมื่อเทียบกับเกาหลี เพราะพอพูดถึงเกมไทย คนส่วนใหญ่มักมองว่าคุณภาพไม่ถึงขั้น รู้สึกว่าสู้เกมต่างประเทศไม่ได้
      
      อีกทั้งพฤติกรรมคนไทยยังไม่นิยมเล่นเกมไทย เพราะผู้เล่นบางรายอาจจะเคยชินกับการเล่นเกมที่พัฒนาจากต่างประเทศ ตลอดจนขาดการสนับสนุนด้านเงินทุนและการตลาด จึงทำให้สัดส่วนเกมออนไลน์ไทยแทบจะไม่มีการเติบโตหรือมีการเติบโตหดตัวลง โดยก่อนหน้ามีสัดส่วนประมาณ 3-5% แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนตลาดเพียง 1% โดยมีเกมไทยที่ทำตลาดอยู่ประมาณ 4 เกมเท่านั้น
      
      เมื่อสภาพตลาดเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใด ไอดีซีซี จึงกล้าที่จะนำเกมไทยที่ชื่อ “12 หางออนไลน์” ลงสนามแข่งในครั้งนี้กันเล่า?
      
      เพราะนั่นเท่ากับไอดีซีซีต้องเผชิญกับความเสี่ยงเป็นสองเท่าตัวอย่างปฏิเสธไม่ได้
      
      การนำเกมไทยมาทำตลาดมีความเสี่ยงมากกว่า แต่สิ่งที่ไอดีซีซีมองเพิ่มและแตกต่างจาก Player รายอื่นในตลาด ก็คือ เกมทุกเกมมีความเสี่ยง แต่ที่เลือกเกมไทยเพราะเชื่อว่าเกมไทยมีโอกาสเติบโต เนื่องจากนักพัฒนาเกมไทยมีฝีมือ แต่ขาดโอกาส จึงอยากเป็นตัวจุดประกายให้ในวงการเกมเห็นว่าคนไทยสามารถทำได้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003044402.JPEG)

นอกจากนี้ยังมองการแข่งขันในวันนี้ต่างออกไปด้วย โดยไอดีซีซีไม่ได้แข่งกับเจ้าใหญ่ เพราะขนาดแข่งไม่ได้อยู่แล้ว แต่เป็นการแข่งกับการมองหาจังหวะ โอกาส และช่องว่างที่แตกต่างจากเกมออนไลน์อื่นที่ให้บริการอยู่ในตลาด เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และดึงดูดผู้เล่น ซึ่งหากไอดีซีซีมองตลาดได้ถูก โอกาสย่อมตกเป็นของค่ายเกมน้องใหม่ที่มีมือเก๋าในวงการเกมผู้นี้กุมบังเหียน
      
      และแน่นอนว่า การตัดสินใจนำเกม 12 หางมาทำตลาดในช่วงเวลานี้ ย่อมไม่ใช่แค่การเปิดตัวธรรมดาทั่วไป แต่มีนัยสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า เป็นห้วงเวลาที่เกมไทยจะได้ประกาศศักดาอย่างจริงจังเสียที
      
      “ท้ายที่สุดแล้ว คุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเกมจะเป็นตัวชี้วัด”
      
      ทวีชัย บอก และว่า เกม 12 หางออนไลน์ไม่ใช่แค่เกมที่พัฒนาโดยคนไทย แต่เป็นเกมที่เต็มไปด้วยเนื้อหา ความคิดสร้างสรรค์ที่ดี และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถแข่งกับเกมออนไลน์จากต่างประเทศได้
      
      “ถ้าเปรียบเกมออนไลน์ไทยเสมือนรถยนต์ เท่ากับว่าตอนนี้ไทยเริ่มมีรถยนต์ที่เป็นของคนไทย แต่ยังไม่ใช่รถเฟอร์รารี่ แต่ก็เป็นรถที่มีสมรรถภาพดี”
      
      เกม 12 หางออนไลน์ หรือในชื่อภาษาอังกฤษ 12 TAILS Online เป็นเกมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย บริษัท บิ๊ก บัค สตูดิโอ จำกัด มีจุดเด่นที่เนื้อหาของเกมที่มีระบบต่อสู้ที่สนุก และภาพกราฟิกสวยงามไม่แพ้เกมออนไลน์จากต่างประเทศ โดยจะเปิดช่วง พรี โคลสเบต้า เพื่อให้เกมเมอร์เข้าร่วมทดสอบระบบตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.นี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เล่น ในการกำหนดทิศทางของเกม และหากระบบมีความพร้อม คาดว่าจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบได้ไม่เกินกลางปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายมีจำนวนผู้เล่นที่เข้ามาเล่นในเวลาเดียวกันจำนวน 10,000 ไอดี
      
      สำหรับการทำตลาด เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้พัฒนาเกมไทยต้องใส่ใจและมีการปรับกลยุทธ์ที่ จะเข้าถึงคอเกมให้โดดเด่น ซึ่งปีนี้ไอดีซีซีมีแผนจะทำการตลาดเชิงรุกทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อกระตุ้นการรับรู้ในแบรนด์ภายใต้โมเดลการเลือกใช้สื่อให้คุ้มค่าและเข้า ถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
      
      จากแนวทางการเลือกเกมที่มีคุณภาพ และการบุกตลาดถึงคอเกมอย่างหนัก เชื่อว่าจะทำให้เกมไทยเป็นที่ยอมรับของคอเกมมากขึ้น


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เสียงแรกแห่งรัก Value Added บนมือถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 มีนาคม 2011, 14:02:32
การร่วมมือระหว่างเอไอเอส โรงพยาบาลบีเอ็นเอชและไทยประกันชีวิต กับการบริการส่งคลิป “เสียงแรกแห่งรัก” ผ่าน MMS ไปยังครอบครัวและคนที่ห่วงใย คือการสร้าง Value Added ให้กับลูกค้าของพันธมิตรทั้ง 3 ราย และน่าจะเป็นจุดที่ทำให้แต่ละธุรกิจสามารถต่อยอดบริการของตนเองได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003045101.JPEG)

      เอไอเอสมีแนวทางในการผสมผสานบริการหรือโซลูชั่นที่เอไอเอสมีอยู่ให้ สอดคล้องกับธุรกิจของพาร์ตเนอร์ ตามหลักของ Ecosystems หรือระบบนิเวศแห่งโลกสื่อสาร การร่วมมือกับโรงพยาบาลบีเอ็นเอชและไทยประกันชีวิต กับบริการ “เสียงแรกแห่งรัก” ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการสื่อสารด้านสุขภาพที่ทันสมัยเป็นครั้ง แรกในประเทศไทย
      
      บริการส่งคลิป “เสียงแรกแห่งรัก” เอไอเอสได้คิดค้นนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดภาพและเสียงของทารกแรกคลอด โดยทางโรงพยาบาลจะได้บันทึกเอาไว้เป็นวิดีโอด้วยมือถือ พร้อมส่งต่อไปยังโทรศัพท์มือถือถึงครอบครัวและคนที่กำลังรอคอยอยู่ โดยทุกคนจะได้เห็นภาพและได้ยินเสียงของทารกหลังจากคลอดทันที นอกจากนี้ 113 ครอบครัวแรกที่คลอดบุตรที่บีเอ็นเอชยังได้รับประกันบุตรสุดรักจากบริษัท ไทยประกันชีวิต โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย
      
      “เอไอเอสเลือกเทคโนโลยี Smart Messaging ผ่านทาง MMS ที่สามารถส่งภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงไปยังปลายทางได้พร้อมๆ กันหลายเลขหมายมาใช้ในบริการเสียงแรกแห่งรัก” สุวิทย์ อารยะวิไลพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานการตลาด ลูกค้าองค์กร เอไอเอส กล่าว
      
      เอไอเอสเชื่อว่าบริการนี้สามารถตอบโจทย์ของบีเอ็นเอชที่ต้องการส่ง มอบความประทับใจไปยังครอบครัวได้ทันทีทั่วไทย ภายใต้เครือข่ายเอไอเอส อีกทั้งปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเกือบ 100% สามารถรับ MMS ได้แล้ว
      
      การร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในบริการนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของธุรกิจด้วยการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสามธุรกิจเข้าด้วย กันในการสร้าง Value Added รูปแบบความร่วมมือเช่นนี้น่าจะเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นระหว่างธุรกิจสื่อสาร กับธุรกิจอื่นๆ อีกอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Samsung ผวาไอแพด 2 จ่อลดราคา Galaxy Tap รุ่นใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 มีนาคม 2011, 15:40:59
การเปิดตัวไอแพด2 ของแอปเปิลทำเอาคู่แข่งอย่างกาแลคซี่ แท็บ ขวัญผวาถึงขั้นชะลอออกแท็บเล็ตรุ่นใหม่ และเตรียมงัดสงครามราคามาสู้ ตัวเครื่องไอแพด2 ที่สตีฟ จ๊อปส์เอามาให้ยลโฉมเมื่อวันที่ 2 มีนาคมทั้งบางลง เบาลง และแรงขึ้นกว่าเดิม ทำเอาคู่แข่งที่เตรียมออกแท็บเล็ตประสาทเสียไปตามกัน

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/06/images/news_img_380463_1.jpg)

ไม่ต้องดูอื่นไกล เอาแค่ซัมซุงที่ส่งกาแลคซี่แท็บ 7 นิ้วระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มาชน ยังต้องชะงักแผนส่งกาแลคซี่แท็บ 10.1 ลงสู่ตลาด แล้วเอากลับคืนโรงงานปรับปรุงอุปกรณ์ให้สู้กับไอแพด 2 ให้ได้

ดงจู ลี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายอุปกรณ์เคลื่อนที่ของซัมซุงเล่าแจ้งแถลงไขกับ สำนักข่าวยอนแฮปของเกาหลีว่า “เราอาจต้องกลับไปปรับปรุงชิ้นส่วนให้ดีกว่านี้ เพราะแอปเปิลเขาทำได้บางมาก”

สภาพเครื่องของซัมซุงกาแลคซี่ แท็บ 10.1 ซึ่งเป็นรุ่นมีขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว ตัวเครื่องบาง 0.43 นิ้วเท่านั้น แต่ไอแพด 2 ออกมาบางกว่าแค่ 0.34 นิ้ว แม้น้ำหนักหนักกว่ากาแลคซี่แท็บเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่

นอกจากประสาทเสียกับความบางของไอแพดแล้ว ผู้บริหารของซัมซุงยังบอกว่าซัมซุงอาจต้องทบทวนกลยุทธ์ราคาด้วย เพราะถ้าจะออกแท็บเล็ตไอแพด 10 นิ้ว ราคาต้องแพงกว่าแท็บเล็ต 7 นิ้ว แต่ถึงตอนนี้ต้องกลับไปทบทวนแล้ว

เมื่อก่อน แอปเปิลมักมีภาพติดตัวมาว่าเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ราคาแพง แต่ไอแพดของแอปเปิลเปิดตัวด้วยราคาไม่แรงเพื่อข่มคู่แข่งตั้งแต่แรก ดูอย่าง โมโตโรล่า ซูมที่เปิดตัวในสหรัฐด้วยราคา 799 ดอลลาร์  (ประมาณ 23,999 บาท)  ยังถือว่าแพงกว่าไอแพดราว 71 ดอลลาร์ แถมโมโตโรล่ายังไม่มีรุ่นราคาถูกกว่าให้เป็นตัวเลือกด้วย
 
ซันเจย์ จาห์ ประธานกรรมการบริหารของโมโตโรล่า พูดในวันเปิดตัวซูมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า “ถ้าจะแข่งกับแอปเปิลต้องแข่งด้วยสินค้าพรีเมี่ยม”

ก็จริงของซันเจย์ แต่ต้องไม่ลืมว่า แอปเปิลสามารถออกแท็บเล็ตราคาถูก เริ่มต้น 499 ดอลลาร์ (14,999 บาท) ได้ไม่มีปัญหา  อาจเป็นเพราะแอปเปิลมีร้านค้าย่อยของตัวเอง ทำให้ขายเครื่องได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง และยังมีระบบบริหารจัดการคอนเทนต์ของตัวเอง อย่างไอจูนท์ ซึ่งถือเป็นอีกแหล่งทำรายได้ให้แอปเปิล

แข่งกับแอปเปิลไม่ง่ายเอาเสียเลย


ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: มือกลอัจฉริยะสามารถใช้นิ้ว "พิมพ์ดีด" ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มีนาคม 2011, 14:00:54
ส่วนใหญ่มือหุ่นยนต์ที่มีการพัฒนากันออกมาก่อนหน้านี้ จะไม่สามารถใช้นิ้วของมันทำอะไรได้มากกว่าหยิบจับสิ่งของทั่วไป แต่สำหรับ DART (Dexterous Anthropomorphic Robotic Typing) เป็นมือกลที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้นิ้วของมันเพิมพ์ดีดได้ ซึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงนี้เป็นของวิศวกรใน Virginia Tech ประเทศสหรัฐฯ

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/DART-robotic-hand-can-type-as-a-human-2.jpg)

Shanshank Priya และ Nicholas Thayer สองวิศวกรแห่ง Virginia Tech ในสหรัฐฯ ได้ออกแบบมือกลที่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ โดยพวกเขาเปิดเผยว่า DART เป็นมือกลที่ได้รับการปรับแต่งการทำงาน เพื่อช่วยผู้สูงอายุที่ต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ต่างๆ โดยสามารถสั่งให้มือกลของหุ่นยนต์ทำงานได้ด้วยเสียง ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันมีซอฟต์แวร์รู้จำเสียง (voice recognition software) มากมายที่สามารถจัดการงานในลักษณะนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ในขั้นแรกของการพัฒนา ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ให้เงินทุนสนับสนุนการพัฒนากับ Thayer และ priya ในการพัฒนากล้ามเนื้อเทียมที่ใช้พลังลม อัลลอย์ที่จำรูปร่างตัวเองได้ และโพลีเมอร์ที่กระตุ้นการทำงานด้วยไฟฟ้า เพื่อนำมาพัฒนาเป็นมือกล DART โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์เซอร์โวขนาดเล็ก 19 ตัว ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือทั้งหมด ในขณะที่แต่ละนิ้วใช้ลวดที่ทำให้มือกลมีการวางนิ้วอยู่ในลักษณะของการ พิมพ์ดีด แต่จากคลิปวิดีโอข้างล่างนี้ ก็จะเห็นได้ว่า มันยังดูห่างไกลกับความสำเร็จพอสมควร แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดเห็นกันอย่างไร? สำหรับไอเดียการพัฒนามือกลที่สามารถพิมพ์ดีดได้ แทนที่จะใช้ซอฟต์แวร์ แต่หากจะพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของ Android หุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์ ก็คงจะต้องการมือกลที่ทำงานได้ในระดับนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: wichan ที่ 07 มีนาคม 2011, 14:26:26
ข้อมูลเพียบบ :wanwan016:


หัวข้อ: มินิคูเปอร์จิ๋วบังคับด้วยมือถือแอนดรอยด์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มีนาคม 2011, 14:28:53
คุณผู้อ่านที่อยากบังคับรถด้วยรีโมทแบบเดียวกับที่เจมส์บอนด์ใช้มือถือ Sony Ericsson บังคับอยู่เบาะหลังของ BMW ซีรียส์ 7 ในภาพยนต์ ต้องนี่เลย BeeWi รถยนต์มินิคูเปอร์จิ๋วทีสามารถควบคุมให้วิ่งไปในทิศทางต่างๆ ได้ตามต้องการด้วยมือถือ Android ผ่านการเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/BeeWi-BBZ201-Bluetooth-Controlled-Car-for-Android-smartphone-2.jpg)

BeeWi BBZ201 เป็นของเล่นสำหรับเจ้าของมือถือ Android ที่ต้องการใช้สมาร์ทโฤนในการควบคุมรถบังคับขนาดเล็ก โดยอินเตอร์เฟซระบบสัมผัสที่ให้คุณสามารถควบคุมพวงมาลัยให้รถบังคับวิ่งไปใน ทิศทางต่างๆ ได้ตามต้องการ เพียงแค่จับมือของคุณเอียงไปมาเท่าน้น แอพพลิเคชันจะตราจจับค่า accelerometer เพื่อส่งเป็นคำสั่งผ่าน Bluetooth ไปยังรถมินิคูเปอร์จิ๋วให้ซิ่งซ้ายขวาเดินหน้าถอยหลังได้ดังใจ แบบว่า เห็นแล้วอดนึกถึงฉากที่เจมส์บอนด์นอนอยู่บเบาะหลังแล้วใช้มือถือบังคับ BMW ซีรียส์ 7 ไม่ได้จริงๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/BeeWi-BBZ201-Bluetooth-Controlled-Car-for-Android-smartphone-3.jpg)

BeeWi BBZ201 รถบังคับมินิคูเปอร์จิ๋วคันนี้ทำงานด้วยแบตเตอรี่ AA 3 ก้อน ใช้เล่นต่อเนื่องได้นาน 3 ชั่วโมง สามารถควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.1 ขึ้นไป หรือ Nokia Symbian S60 (เอดิชั่น 3 หรือ 5) น่าเสียดายที่ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องราคา แต่ดูจากดีไซน์แล้วราคาคงจะไม่เบา

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google "ใจกว้าง" ทำพิษ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 มีนาคม 2011, 14:52:55
ตกเป็นจำเลยสังคมเมื่อกองทัพสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มากกว่าหมื่น เครื่องถูกรายงานว่าอยู่ในความเสี่ยงเป็นเหยื่อของโปรแกรมล่อลวงซึ่งแฝงตัว อยู่มากมายในร้าน "แอนดรอยด์มาร์เก็ต" ของกูเกิล สื่อหลายสำนักชี้ว่านี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงผลเสียจากความ "ใจกว้าง" ของกูเกิลที่เปิดเสรีเรื่องการพัฒนาแอปพลิเคชันแอนดรอยด์มากเกินไปจนไม่ดูแล จัดการตรวจสอบให้ดี ล่าสุด กูเกิลเริ่มบทโหดด้วยการสั่งถอดแอปพลิเคชันมากกว่า 55 ชิ้นที่เข้าข่ายมีชุดคำสั่งประสงค์ร้ายแฝงอยู่จากหน้าเว็บไซต์ นำไปสู่ความไม่พอใจและแสดงจุดยืนต่อต้านกูเกิลที่สั่งการถอดแอปพลิเคชันออก โดยไม่มีเหตุอันควรจากนักพัฒนาบางราย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003119101.JPEG)

      ความคืบหน้าล่าสุดกรณีมีแอปพลิเคชันประสงค์ร้ายหรือมัลแวร์แฝงตัวอยู่ในร้านแอนดรอยด์มาร์เก็ตคือ กูเกิลได้ตัดสินใจลบแอปพลิเคชันที่ถูกประเมินว่าเข้าข่ายเป็นมัลแวร์ออกจากร้านมากกว่า 50 แอปพลิเคชัน โดย กูเกิลแถลงว่าทั้งหมดเป็นแอปพลิเคชันที่มีโปรแกรมสอดแนมแฝงอยู่และมีโอกาสทำ ให้ผู้ใช้เครื่องที่ติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวไว้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว และเป็นแอปพลิเคชันที่สร้างโดยนักพัฒนาอิสระซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นเพราะขาด การจัดการและตรวจสอบที่ดีจากกูเกิล
      
      21 แอปพลิเคชันที่ถูกลบไปเป็นแอปพลิเคชันจากนักพัฒนานาม Myournet อีกส่วนเป็นแอปพลิเคชันจาก Kingmall2010 และ we20090202 ซึ่งใช้โปรแกรมสอดแนม (โทรจัน) ประเภทเดียวกัน โดยกูเกิลยืนยันว่าทั้งหมดเป็นผลจากเปลี่ยนแปลงนโยบายซึ่งคาดว่าจะมี แถลงการณ์ต่อสาธารณชนที่ชัดเจนอีกครั้งในเร็ววันนี้
      
      ทอม พาร์สันส์ ผู้จัดการอาวุโสด้านความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์ Symantec Security Response ซึ่งเคยแสดงความกังวลต่อวิกฤติการขยายตัวของโปรแกรมร้ายที่มุ่งโจมตีผู้ใช้ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มาตลอด ให้ความเห็นว่าการขยายตัวของมัลแวร์ในแอนดรอยด์นั้นเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาด ไว้ เนื่องจากแอนดรอยด์มีแนวโน้มถูกใช้งานแพร่หลายต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้แอนดรอยด์ตกเป็นเป้าหมายของผู้ประสงค์รายตามธรรมดา
      
      หนึ่งในโทรจันที่ตรวจพบถูก ตั้งชื่อว่าดรอยด์ดรีม (DroidDream) ผลกระทบจากโทรจันนี้คือการทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในเครื่องที่ติดเชื้อ ถูกส่งไปยังแฮกเกอร์โดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว โดยโปรแกรมสามารถเปิดทางให้โปรแกรมอื่นที่มีความเสี่ยงติดตั้งตัวเองได้โดย ที่ผู้ใช้อาจไม่ทันสังเกต ทั้งหมดนี้เชื่อว่ามัลแวร์ในแอนดรอยด์จะมีแนวโน้มพัฒนาตัวเองต่อเนื่องในอนาคต
      
      พาร์สันให้ข้อมูลว่า ดรอยด์ดรีมมีอันตรายต่อผู้ใช้แอนดรอยด์สูง เนื่องจากสามารถเจาะระบบในระดับรากหรือ root ได้ ซึ่งทำให้ผู้ประสงค์ร้ายสามารถควบคุมเครื่องโทรศัพท์มือถือได้ตามต้องการ
      
      "การถูกเจาะระบบในระดับราก จะทำให้มัลแวร์สามารถถ่ายรูปหน้าจอ (screenshot) ขณะที่ผู้ใช้กำลังพิมพ์ชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่าน ซึ่งจะเป็นช่องโหว่สำคัญให้ข้อมูลถูกขโมย"
      
      รายงานระบุว่า กูเกิลได้แก้ไขช่องโหว่เพื่อตัดทางการทำงานของดรอยด์ดรีมแล้วในแอนดรอยด์ เวอร์ชันปัจจุบัน Android 2.3 หรือ Gingerbread อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เพียงบางรุ่นเท่านั้นที่ถูกอัปเกรดเป็น Gingerbread ทำให้อุปกรณ์จำนวนมากยังอยู่ในความเสี่ยงถูกดรอยด์ดรีมแฝงตัว ท่ามกลางคำแนะนำของบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ย้ำให้ผู้บริโภคป้องกันสมาร์ท โฟนด้วยการติดโปรแกรมป้องกันเพื่อต่อสู้กับภัยที่มองไม่เห็น
      
      ใจกว้างเกินไป?
      
      สื่อมวลชนต่างชาติบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าการ แพร่กระจายของมัลแวร์ในแอนดรอยด์เกิดขึ้นเพราะความพยายามเปิดเสรีแอนดรอยด์ โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กูเกิลประกาศจุดยืนสร้างแอนดรอยด์ให้เป็นเหมือนสารานุกรมออนไลน์วิกิพีเดีย (Wikipedia) แห่งโลกโมบายแพลตฟอร์มที่นักพัฒนารายใดก็ได้สามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นมานำ เสนอ บนความหวังในการขยายอาณาจักรแบบรวดเร็วเพื่อต่อกรกับแพลตฟอร์มไอโอเอส (iOS) ในไอโฟนของแอปเปิล
      
      นักพัฒนาทุกคนสามารถสร้างแอปพลิเคชันมาขายหรือเปิดให้ดาวน์โหลดได้ ฟรีผ่านแอนดรอยด์มาร์เก็ตเพียงแค่ชำระค่าธรรมเนียมลงทะเบียนมูลค่า 25 เหรียญสหรัฐ ราว 750 บาท โดยนักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันอย่างไรหรือเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ ผิดกับแอปเปิลซึ่งเป็นผู้กุมกฏเหล็กมากมาย นี่เองที่นำไปสู่ความต่างระหว่างความปลอดภัยบนไอโฟนและแอนดรอยด์ ทำ ให้เชื่อว่ากูเกิลต้องรีบแก้ไขนโยบายในส่วนแอนดรอยด์มาร์เก็ตโดยด่วน ก่อนที่แอนดรอยด์จะประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ของโจรร้ายไฮเทคมาโดยตลอด
      
      อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาซอฟต์แวร์แอนดรอยด์กลุ่มหนึ่งแสดงความไม่พอใจนโยบายของกูเกิลในขณะ นี้ โดยรวมตัวกันในรูปสหภาพ Android Developers Union ยื่นข้อเรียกร้องให้กูเกิลเปลี่ยนนโยบายในร้านแอนดรอยด์มาร์เก็ต จุดสำคัญคือการเรียกร้องให้กูเกิลชี้แจงกฎของแอนดรอยด์มาร์เก็ตให้ชัดเจน เนื่องจากนักพัฒนาที่ถูกถอดถอนแอปพลิเคชันไม่ทราบข้อมูลว่าผลงานของตัวเอง ถูกถอดเพราะอะไร และนอกจากความชัดเจน นักพัฒนากลุ่มนี้ยังขอให้กูเกิลเพิ่มช่องทางการอุทธรณ์ในอนาคตด้วย โดยขอให้กูเกิลเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับนักพัฒนา ทั้งการบอกล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และการรับฟังความเห็นจากนักพัฒนาให้มากขึ้น
      
      นักพัฒนากลุ่มนี้ระบุว่า หากกูเกิลไม่ปรับตามข้อเรียกร้องนี้ ทางกลุ่มจะคว่ำบาตรกับร้านแอนดรอยด์มาร์เก็ตโดยจะหันไปจำหน่ายแอปพลิเคชัน ผ่านช่องทางอื่นแทน ทั้งหมดยังต้องรอดูว่ากูเกิลจะประกาศนโยบายอย่างไรต่อไป

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Samsung Galaxy Pro เปิดตัวแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 13:28:05
Samsung Galaxy Pro สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่สายพันธุ์ Android ที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY หลังจากที่ปล่อยให้เหล่าบริษัทคู่แข่งในตลาดปล่อยดีไซน์ลักษณะนี้ออกมาล่วง หน้าไปก่อน ไม่ว่าจะเป็น Acer beTouch ที่ออกมาตั้งแต่ในเดือนมิถุนายน เมื่อปีที่แล้ว หรือจะเป็น Motorola Droid Pro, Nokia E5 และ ChaCha เฟซบุ๊คโฟนของ HTC โดยทั้งหมดมีคุณสมบัติการทำงานและดีไซน์แบบเดียวกับ BlackBerry

Samsung Galaxy Pro เป็นมือถืออีกหนึ่งรุ่นที่เข้ามาร่วมขบวนสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY โดยมีหน้าจอสัมผัสขนาด 2.8 นิ้ว กล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซลทำงานในระบบออโต้โฟกัส และโพรเซสเซอร์ที่ใช้ทำงานด้วยความเร็ว 800MHz ส่วนระบบปฏิบัติการเป็น Android 2.2 ที่มาพร้อมกับ TouchWiz UI อินเตอร์เฟซเฉพาะของ Samsung นอกจากนี้ยังมีแอพฯ Social Media Hub Premium ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับชีวิตในโลกสังคมเครือข่ายได้พร้อมกันในที่ เดียว Samsung Galaxy Pro ยังได้พัฒนาให้ประหยัดพลังงงานเป็นพิเศษอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-pro-qwerty-form-factor-android-smartphone-2.jpg)

แม้สเป็กจะไม่แรงสะใจเหมือนกับ Galaxy รุ่นอื่นๆ แต่ด้วยดีไซน์ในแบบที่ผู้ใช้ชื่นชอบ โดยเฉพาะคีย์บอรด์ QWERTY ที่พิมพ์ง่าย นอกจากนี้ มันยังสามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot ได้อีกต่างหาก หน่วยความจำ microSD 2GB (เพิ่มได้ถึง 32GB) ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ Samsung Galaxy Pro ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มลูกค้าได้ไม่น้อย กำหนดวางตลาดในเดือนเมษายน สนนราคาอยู่ที่ 350 เหรียญฯ (ประมาณ 11,000 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: MacBook Air ทะลุล้านเครื่องใน 3 เดือน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 14:20:14
รายงานข่าวล่าสุด MacBook Air ที่เริ่มวางตลาดเมื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2010 ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างมาก โดยยอดการจำหน่าย และความต้องการของตลาดทีทำให้ Apple ต้องเร่งส่งมอบเครื่องในช่วงเวลาดังกล่าวทะลุ 1 ล้านเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์จาก Concord Securities ระบุว่า ตัวเลขทีมีการตวจสอบส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบเอเซีย ซึ่งพบว่า ยอดรวมของการส่ง MacBook Air ทั้งรุ่นหน้าจอ 11 และ 13 นิ้วในช่วง 3 เดือนสุดท้่ายของปีที่แล้วมียอดสูงกว่า 1.1 ล้านเครื่องเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ MacBook Air กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเปิดตัวและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติ ศาสตร์ของ Apple

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/macbook-air-over-1-million-units-in-q4-2010-2.jpg)

โดยตัวเลขที่ได้มากกว่าถึง 63% หรือมากกว่า 400,000 เครื่องจากการประเมินที่คาดว่าMacBook Air น่าจะทำยอดได้ 700,000 เครื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า MacBook Air มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว และคิดเป็น 1 ใน 3 ของธุรกิจโน้ตบุ๊คของทางบริษัท โดยสัดส่วนของยอดขาย MacBook Air เทียบกับ MacBook Pro จะอยู่ที่ 1:2 (ยอดส่งมอบสินค้าของเครื่อง Mac ทั้งหมดในช่วงไตรมาสสุดท้ายอยู่ที่ 2.9 ล้านเครื่อง)

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/macbook-air-over-1-million-units-in-q4-2010-3.jpg)

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ยอดขาย MacBook Air ยังคงแข็งแรงต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2011 แต่ลดลงจากเดิม 40% อย่างไรก็ตาม Kuo ประเมินว่า Apple จะสามารถทำยอดขาย MacBook Pro รุ่นใหม่ ได้มากกว่ายอดที่ตกลงไปของ MacBook Air โดยทาง Apple ได้เพิ่มกำลังการผลิตเครื่อง Mac เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดมากกว่า 4.5 ล้านเครื่องในระหว่างสามเดือนแรกของปีนี้ ซึ่งหากความต้องการเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ Apple จะเป็นบริษัทผู้ผลิตพีซีในโลกเพียงเจ้าเดียวที่มีรายงานตัวเลขการเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบต่อไตรมาส

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำให้นอนไม่หลับ?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 14:34:05
ผลการศึกษาวิจัยโดยหน่วยงานทีมีชื่อว่า National Sleep Foundation (การนอนหลับเป็นเรื่องระดับชาติเลยนะเนี่ย) เผย การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารก่อนนอนจะส่งผลกระทบต่อการนอนไม่หลับ โดยพบว่า 43% ของชาวมะกันที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน???

จากผลการสำรวจผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามพบว่า 95% จะมีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุ 13 - 29 ปีจะใช้เทคโนโลยีที่ต้องมีการโต้ตอบการใช้งาน (Interactive tecnology) ด้วย อย่างเช่น อินเทอร์เน็ต มือถือ และวิดีโอเกมส์ มากกว่าใช้พวกอปกรณ์ที่ไม่ต้องมีการโต้ตอบ (passive) อย่างเช่น โทรทัศน์ (อันนี้เลี่ยงยากมาก และถือเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ บางรายจ้องทั้งจอทีวี โน้ตบุ๊ค และมือถือไปพร้อมๆ กันก่อนเข้านอน...เฮ่อ) ซึ่งประมาณ 61% จะใช้คอมพิวเตอร์ หรือแลปทอปประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/communication-gadgets-make-you-can-not-sleep-2.jpg)

อ้างอิงข้อมูลจาก NSF ระบุว่า ปัญหาคือ แสงสว่างที่เลียนแบบธรรมชาติ อย่างเช่น แสงที่สว่างออกมาจากหน้าจอ สามารถหยุดยั้งการผลิตสารเมลาโทนิน (melatonin) ของร่างกาย ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้คนนอนหลับ นอกจากนี้การมีกิจกรรมโต้ตอบแถมยังต้องใช้สมองคิดร่วมไปด้วยกับกิจกรรมเหล่า นั้น ยังส่งผลกระทบให้นอนหลับยากอีกด้วย Gadget ทีมีทั้งการส่องสว่างของหน้าจอตลอดจนเสียงออกจากลำโพงยังขัดขวางการนอนหลับ โดยเฉพาะมือถือที่มักจะวางอยู่ใกล้ๆ ที่นอน เพราะเมื่อมันทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกก็มักจะเป็นการยากที่จะทำให้หลับต่อได้ ผลการศึกษาครั้งนี้แนะนำว่า ให้กำหนดเวลานอนที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงการใช้ Gadget ต่างๆ ที่มีแสงสว่างก่อนนอนหนึ่งชั่วโมง และอย่านอนหลับกลางวัน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณนอนหลับตลอดทั้งคืน แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ ประสบปัญหาเหล่านี้บ้างไหม?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "สามารถ" เล็งคุยโอเปอเรเตอร์ ผุดระบบแจ้งเหตุฝีมือนิสิตจุฬา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 15:37:13
3 นิสิตจุฬาฯผู้คว้ารางวัลซิลเวอร์อวอร์ดจากเวทีสามารถอินโนเวชันอวอร์ดส์ 2010 สุดปลื้ม หลังรู้ว่า"สามารถ"มีแผนนำระบบแจ้งเหตุ EMS ที่กลุ่มใช้เวลาเขียนโปรแกรมเพียง 2 สัปดาห์ไปพัฒนาเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง เผยไม่คิดจะขายแอปฯแต่จะขายบริการทั้งด้านระบบแผนที่และการเฝ้าระวังจาก ศูนย์คอลเซ็นเตอร์ เข้าทางสามารถเพราะวิกฤตโหลดแอปฯเถื่อนไม่มีผล แถมยังบูรณาการเข้ากับหน่วยงานที่สามารถมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องลงทุนสูง สามารถเผยเบื้องต้นกำลังรอการพัฒนาเฟส 2 ก่อนจะตัดสินใจเจรจาโอเปอเรเตอร์ไทยในอนาคต
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124001.JPEG)
จาก ซ้าย นายนรันต์ จรรยาวิลาส นางสาวนาถธิดา เกตุราทร และนายณฐพล เหลืองสุวรรณ 3 นิสิตจุฬาฯผู้คว้ารางวัลซิลเวอร์อวอร์ดจากเวทีสามารถอินโนเวชันอวอร์ดส์ 2010

      นางสาวนาถธิดา เกตุราทร (คนกลาง) นิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้รับหน้าที่ทดสอบโปรแกรมและนำเสนอผลงานระบบ EMS (Emergency Mobile Service) ซึ่งได้รับรางวัลเหรียญเงินจากโครงการประกวดออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ Samart Innovation Awards 2010 (SIA) ประเภท Business Software ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดการพัฒนาระบบ EMS ว่าต้องการสร้างทางเลือกให้ผู้ใช้แอปฯบนสมาร์ทโฟนที่มีแต่เกมเป็นส่วนใหญ่ มั่นใจว่าความแปลกใหม่นี้จะเปิดตลาดที่น่าสนใจในประเทศไทยได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124002.JPEG)
ปุ่ม Tracking, Alert และ Assistant บนหน้าโปรแกรม EMS ที่ผู้ใช้สามารถส่งเส้นทางเข้าระบบเฝ้าระวัง-ส่งสัญญาณแจ้งเหตุกรณีฉุก เฉิน-และขอความช่วยเหลือผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์

      'หน้าโปรแกรมของระบบ EMS ประกอบด้วยปุ่ม 3 ปุ่ม ได้แก่ Tracking, Alert, Assistant ผู้ใช้สามารถส่งเส้นทางเข้าระบบเฝ้าระวัง-ส่งสัญญาณแจ้งเหตุกรณีฉุกเฉิน-และ ขอความช่วยเหลือผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ได้ เรามองว่าแอปฯตอนนี้มีแต่เกม แต่อันนี้แปลกใหม่ น่าจะเปิดตลาดใหม่ได้ อนาคตไม่รู้ว่าจะได้รับการตอบรับดีไหม แต่ก็จะลองทำ'
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124003.JPEG)
หน้าต่างยืนยันให้ติดตามเส้นทาง

      ระบบ EMS นั้นเป็นระบบแจ้งเหตุที่ลดอันตรายและการสูญเสีย แนวคิดการพัฒนา EMS ไม่ได้เกิดจากการมองเห็นช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย แต่เป็นความพยายามในการสร้างประโยชน์ด้านความปลอดภัยจากสมาร์ทโฟน ระบบจะใช้เทคโนโลยีจีพีเอสเพื่อการระบุที่อยู่แบบเรียลไทม์ การช่วยเหลือฉุกเฉินสามารถทำบนระบบรับส่งข้อความ SMS และอินเทอร์เน็ตไร้สายในโทรศัพท์มือถือโดยนอกจากการขอความช่วยเหลืออย่างทัน ท่วงทีผ่านระบบที่บอกจุดเกิดเหตุได้ชัดเจน ผู้ใช้ระบบ EMS ยังสามารถถ่ายรูป วิดีโอ และบันทึกเสียงเพื่อเป็นข้อมูลในการแจ้งเหตุได้อีกด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124004.JPEG)
ผู้ใช้สามารถถ่ายรูปเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอความช่วยเหลือ

      ที่น่าสนใจคือ ระบบ EMS ไม่ได้ทำงานบนแผนที่ฟรีของกูเกิล โดยนายณฐพล เหลืองสุวรรณ (คนขวา) และนายนรันต์ จรรยาวิลาส (คนซ้าย) นิสิตภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 มือนักออกแบบและเขียนโปรแกรม EMS ให้ข้อมูลว่าเพราะกูเกิลกำหนดห้ามนำไปใช้เพื่อการพาณิชย์ โดยเลือกพัฒนาบนแพลตฟอร์มบีบีและไอโฟนเนื่องจากทั้งคู่ใช้งานอยู่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124005.JPEG)
สามารถบันทึกเสียงได้

      'อยากให้มีคนเห็นไอเดีย ว่าโทรศัพท์มือถือไม่ได้มีไว้โชว์หรือเล่นเกม แต่เอาไว้ดูแลความปลอดภัยได้ ใครชอบไอเดียนี้สามารถเอาไปใช้ได้เลย เราไม่ได้อยากเห็นว่าแอปฯนี้ขายได้เยอะ แต่อยากเห็นว่าถูกใช้เยอะมากกว่า แต่ถ้าแอปฯนี้ขายดีก็ถือว่าเป็นโบนัสไป เราพัฒนาระบบบนแผนที่ของบริษัท Ecart Studio ซึ่งให้แผนที่เรามาใช้ ที่ไม่ใช้กูเกิลเอิร์ธเพราะกูเกิลกำหนดห้ามใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้การต่อยอดด้านธุรกิจไม่สามารถทำได้ ระหว่างเขียนโปรแกรมเราต้องคุยปรับทุกข์กันทุกวัน สิ่งที่เรียนรู้จากการ แข่งขันครั้งนี้คือการบริหารเวลาให้สามารถรับผิดชอบงานประกวด เรียน และสอบได้, ความจริงที่ว่าโปรแกรมที่ใช้ได้จริงไม่จำเป็นต้องดูหรูหรา แต่ควรต้องดูว่าประโยชน์แท้จริงคืออะไร และเปิดรับแนวคิดของกรรมการที่ค้านการคิดค่าบริการเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ'
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003124006.JPEG)
หน้าต่างข้อมูลที่คอลเซ็นเตอร์สามารถเข้าถึงเพื่อส่งความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

      นรันต์ให้ความเห็นว่าความยากของการเขียนโปรแกรมบนไอโฟนคือภาษาที่ใช้ เขียน (Objective C) เป็นภาษาเขียนโปรแกรมบนเครื่องแมคอินทอชซึ่งต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด แต่โชคดีที่แอปเปิลมีเอกสารอธิบายโดยละเอียด และสามารถค้นหาในกูเกิลได้ง่ายเมื่อเจอปัญหา ความลำบากจึงอยู่ที่ณฐพลซึ่งพัฒนาบนแพลตฟอร์มบีบี ซึ่งมีทรัพยากรให้ศึกษาได้น้อยกว่า
      
      "หนังสือในไทยไม่มีเลย ต้องศึกษาจากในอินเทอร์เน็ต ตอนแรกเห็นว่าเป็นภาษาจาวาก็คิดว่าง่าย แต่จาวาของบีบีไม่เหมือนกัน ตอนนี้ระบบยังมีปัญหาเรื่องจีพีเอสซึ่งต้องพัฒนาต่อไปอีก จีพีเอสที่ส่งกับเสาสัญญาณและดาวเทียมตลอดเวลาจะทำให้เครื่องแบตเตอรี่หมด เร็ว เรากำลังปรับโครงสร้างโปรแกรมให้ยืดอายุแบตเตอรี่ได้อีก ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องทำงานบนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะระบบนี้จะทำงานไม่ได้ถ้ามีจีพีเอสแต่อยู่ในป่าซึ่งไร้สัญญาณ"
      
      ทั้งนรันต์และณฐพลเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ป.4 โดยใช้ห้องสมุดในโรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องการเขียนโปรแกรม ช่วงมัธยมต้น ทั้งคู่เป็นนักล่ารางวัลบนเหตุผลว่า "มีเวลาเพียง 4 ปี เพราะถ้าเรียนจบแล้วจะไม่สามารถประกวดได้อีก" โดยนรันต์ส่งประกวดผลงานมาแล้วไม่ต่ำว่า 5 งาน ขณะที่ณฐพลทำสถิติที่ 10 งาน
      
      "รู้สึกดีที่ได้รู้ว่าบริษัทสามารถจะนำไปต่อยอดและสนับสนุนเพิ่ม เพราะปกตินักศึกษาสร้างแอปฯอะไรก็มักถูกโยนทิ้งไป รู้สึกดีว่าครั้งนี้เราทำแล้วไม่ได้จบหรือถูกเอาเก็บเข้ากล่อง"
      
      เบื้องต้น ประชาสัมพันธ์สามารถระบุว่าบริษัทมีแผนจะเจรจากับโอเปอเรเตอร์ในประเทศไทย ถึงรูปแบบธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจากระบบ EMS ในอนาคต โดยจะใช้ความสามารถจากระบบคอลเซ็นเตอร์ที่สามารถเปิดให้บริการอยู่แล้ว ผนวกเข้ากับความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในระบบ EMS ที่บริษัทสามารถถือครองไว้ครึ่งหนึ่ง โดยขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าคนไทยจะได้เห็นและรับบริการความปลอดภัยจากบริการ EMS ได้เมื่อไร
      
      สำหรับโครงการประกวดในปีนี้ สามารถระบุว่าโครงการประกวด SIA 2011 (ครั้งที่ 9) จะเป็นการประกวดในหัวข้อ Travel&Leisure เพื่อค้นหาแอปพลิเคชันที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจท่องเที่ยว ผู้สนใจสามารถส่งใบสมัครได้ทางเว็บไซต์บริษัทสามารถ ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
      
      "ปีหน้าเป็นธีมการท่องเที่ยวซึ่งจะมีประโยชน์มาก ผมคิดว่าต้องใช้ความรู้ของการแข่งขันธีมปีนี้เข้าไปด้วย ปีนี้แข่งในธีมแอปพลิเคชัน 3G ซึ่งต้องได้เห็นรูป ได้เห็นว่าอยู่ที่ไหน ตรงนี้เทคโนโลยี 3G ให้ได้ ที่จะแนะนำผู้สมัครปีต่อไปคือต้องเอาสิ่งที่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต้องการออก มาให้กรรมการเห็น"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: วิวาห์ผ่านเน็ต หนุ่มป่วยแต่งสาวด้วย 'Skype'
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 16:09:04
คู่บ่าว-สาวกิมจิสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้โลกออนไลน์ เมื่อหนุ่มคนไข้ซึ่งรักษาอาการปอดติดเชื้อในหอผู้ป่วย ตัดสินใจไม่ยกเลิกงานฉลองพิธีมงคลสมรสซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย กับแฟนสาวเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิ๊งไอเดียใช้วิธีโฟนอินและวิดีโอคอลด้วย "สไกป์ (Skype)" เข้ามาที่โบสถ์แทน เจ้าบ่าวสุดปลื้มสักขีพยานมากกว่า 500 คนปรบมือชื่นชมถ้วนหน้า ขณะที่แฟนสาวรับได้และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเข้าพิธีคนเดียว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003180401.JPEG)

      เจ้าบ่าวเจ้าสาวไฮเทครายนี้มีชื่อว่าซามูเอล คิม (Samuel Kim) และเฮเลน โอ (Helen Oh) ทั้งคู่อายุ 27 ปี เป็นชาวเกาหลีโดยกำเนิดแต่พักอาศัยในนิวยอร์ก มีกำหนดจัดงานฉลองพิธีมงคลสมรสในเมืองฟูลเลอร์ตัน ตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางครอบครัวจากแดนกิมจิและเพื่อนฝูงจากมหานครนิวยอร์กที่เดินทางมาร่วม งานคับคั่งเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา
      
      ปรากฏว่าช่วง 1 สัปดาห์ก่อนจัดงาน คิมกลับมีอาการไอเป็นเลือด แต่คิมเลือกที่จะเก็บงำไว้ก่อนเพราะกังวลว่าจะทำให้แฟนสาวผิดหวังเสียใจ ซึ่งท้ายที่สุด คิมตัดสินใจบอกโอก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงหาทางออกให้กับเรื่องนี้ด้วยสไกป์ โดยวางแผนใช้การทำวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เพื่อให้งานพิธีมงคลสมรสที่เตรียมการ ไว้พร้อมหมดแล้วสามารถจัดขึ้นตามกำหนดการเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
      
      เรื่องนี้คิมให้สัมภาษณ์จากเตียงผู้ป่วยในศูนย์การแพทย์ UCI Medical Center ว่าสักขีพยานในงานกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าซาบซึ้งใจ พร้อมกับแสดงความชื่นชมเจ้าสาวที่สามารถยืนหยัดทำพิธีคนเดียวในแท่นพิธีได้ อย่างมั่นคง ไม่มีการร้องไห้เพราะความหวั่นใจ ทั้งที่แต่ละคนยืนอยู่คนละสถานที่กัน
      
      ฝ่ายเจ้าสาวไฮเทคยอมรับว่าการแต่งงานผ่านโปรแกรมสไกป์นั้นไม่ได้ สมบูรณ์แบบสำหรับการแต่งงาน แต่สักขีพยานต่างรู้สึกดีกับความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น โดยยกย่องเจ้าบ่าวว่าเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ์ พร้อมกับให้คำสัญญาว่าจะเป็นสามีที่ดีที่สุด
      
      คำว่าเตรียมการของเจ้าสาวโอคือการเนรมิตงานพิธีมงคลสมรสให้เหมาะกับ การโฟนอินด้วยสไกป์เพื่อให้สมกับที่เจ้าบ่าวรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าพิธี กับเจ้าสาว โดยงานแต่งงานไฮเทคต้องใช้ตากล้อง 5 คนเพื่อถ่ายทอดบรรยากาศความชื่นมื่น บริเวณกลางโบสถ์ติดตั้งหน้าจอยักษ์ใหญ่สำหรับถ่ายทอดภาพเจ้าบ่าว ขณะที่เจ้าบ่าวจะได้ชมบรรยากาศงานจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในโรงพยาบาล
      
      ปรากฏว่าแม้โรงพยาบาลที่คิมพักรักษาตัวจะอยู่ห่างจากบริเวณจัดงานราว 10 ไมล์ แต่คิมยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกห่างไกลจากสักขีพยานหลายร้อยคนเลย โดยในห้องพักของเจ้าบ่าวถูกประดับด้วยดอกไม้ซึ่งคิมขอร้องให้พยาบาลช่วยซื้อ หาให้ด้วยเงินของตัวเอง
      
      เจ้าสาวแดนกิมจิไม่ได้ให้เครดิตความสำเร็จของการจัดงานแต่งงานไฮเทค ที่สไกป์อย่างเดียว แต่เธอยังนึกถึงพระเจ้าที่ประทานความศักดิ์สิทธิ์ให้การแต่งงานครั้งนี้ ดำเนินไปด้วยดี ซึ่งหลังจากงานแต่งไฮเทค ทั้งคู่มีแผนบินไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ยุโรป โดยจะเริ่มที่กรุงปารีสและปราก หลังจากเจ้าบ่าวสามารถรักษาตัวจากอาการปอดติดเชื้อเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าคิมจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในสัปดาห์นี้
      
      สไกป์นั้นเคยเป็นบริษัทในเครืออีเบย์ (eBay) ก่อนจะถูกขายให้แก่กลุ่มนักลงทุนในเดือนพฤศจิกายน 2552 บริการของสไกป์คือการทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถโทรศัพท์ถึงกันจากหน้า คอมพิวเตอร์ได้ฟรีจากทุกมุมโลก แต่จะคิดค่าบริการเพียงเล็กน้อยกับสมาชิกที่โทรศัพท์ไปยังเครื่องโทรศัพท์ มือถือหรือโทรศัพท์บ้าน บริการของสไกป์ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกเนื่องจากความคุ้มค่าในการโทรฯ ข้ามประเทศ ซึ่งผู้ใช้จะไม่ต้องเสียค่าโรมมิ่งราคาแพงอย่างที่เคยในอดีต
      
      ล่าสุด ผู้ใช้สไกป์บนคอมพิวเตอร์สามารถทำวิดีโอคอลได้บนภาพความละเอียดสูง 720p โดยการทำวิดีโอคอลความละเอียดสูงนั้นจะเกิดขึ้นได้บนอินเทอร์เน็ตความเร็ว สูง ผ่านเว็บแคมความละเอียดสูง พร้อมหน่วยประมวลผลความเร็วรอบไม่ต่ำกว่า 1.8GHz

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Lenovo โชว์ "X220" โน้ตบุ๊กแบตอึด 24ชม.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 16:28:20
ต้องยอมรับว่าเลอโนโวนั้นประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในการทำตลาด คอมพิวเตอร์แบบพกพาตระกูล X Series มาโดยตลอด ไล่ตั้งแต่ X100e, X120e, X201e ล่าสุดเลอโนโวเอาใจผู้ใช้งานอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Lenovo Thinkpad X220 ที่มาพร้อมหน้าจอแบบ IPS (In Plane Switching) ความละเอียด 1366×768 พิกเซล ที่มีความคมชัดสูง ขนาดกว้าง 12.5นิ้ว และแบตเตอรีแบบมาตรฐาน 9 เซลล์ ที่รองรับการใช้งานได้นาน 15 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้แบตเตอรีเสริมแบบ External battery pack ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานสุด 24ชั่วโมง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003208201.JPEG)

      นอกจากนี้เลอโนโวยังเลือกใช้ซีพียูรุ่นล่าสุดจากอินเทลอย่าง Sandy Bridge อย่าง Core i3, Core i5 และ Core i7 ที่มีความเร็วสูงสุด 2.7GHz ใช้ การ์ดจอ Intel HD Graphics, DDR3 RAM 8กิกะไบต์, ช่องต่อ USB3.0, กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ไมโครโฟนแบบ Dual ที่ใช้เทคโนโลยี Noise Cancellation อีกทั้งยังได้มีการเปลี่ยนทัชแพดให้เป็นแบบ “buttonless” ที่สามารถคลิกลงไปได้ทั้งอัน ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD นั้นมีความจุให้เลือกทั้งแบบ 80กิกะไบต์ หรือ 160กิกะไบต์ รวมถึงแบตเตอรีแบบ 9 เซล ที่สามารถใช้งานได้นาน 9ชั่วโมง
      
      Thinkpad X220 จะเริ่มวางจำหน่ายช่วงเดือนเมษายน ในราคาเริ่มต้น 899 เหรียญฯ หรือประมาณ 26,900 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เชื่อปีหน้า ยอดใช้ทีวีสามมิติทะลุ 15 ล้านเครื่อง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 มีนาคม 2011, 16:59:31
บริษัทวิจัย Futuresource Consulting เผยผลการสำรวจตลาดโทรทัศน์ทั้งในสหรัฐฯและในตลาดโลก มั่นใจยอดจำหน่ายทีวี 3 มิติในแดนลุงแซมจะทะลุ 15 ล้านเครื่องในปีหน้า (2012) ถือเป็นยอดที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากเดิมที่พบว่า ยอดจำหน่ายทีวี 3 มิติทั่วโลกในปีนี้ (2011) จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านเครื่อง จากปีที่แล้ว (2010) 4 ล้านเครื่อง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003209501.JPEG)

      อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจที่เกิดขึ้นสวนทางกับการสำรวจของบริษัท Deloitte เมื่อเดือนกันยายน ซึ่งพบว่าผู้บริโภคกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 83% ไม่คิดจะซื้อทีวี 3 มิติ
      
      บริษัท Futuresource พบว่าในยอด จำหน่ายทีวี 3 มิติ 8 ล้านเครื่องทั่วโลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ มีโอกาสสูงที่จะอยู่ในสหรัฐฯราว 5 ล้านเครื่อง โดยบริษัทอธิบายการขยายตัวจากยอดจำหน่ายในสหรัฐฯ 5 ล้านเครื่องเป็น 15 ล้านเครื่องในปีหน้า ว่าจะเป็นเพราะความแพร่หลายของคอนเทนต์ 3 มิติที่หนาตาขึ้นในตลาดอเมริกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งมีบริการคอนเทนต์ 3 มิติมากกว่า 11 ราย ช่องสถานีภาพ 3 มิติ 2 แห่ง รวมถึงบริการวิดีโอออนดีมานด์มากกว่า 6 บริการที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ปลายปี 2010 ที่ผ่านมา
      
      การสำรวจเชื่อว่าการขยายตัว ของตลาดทีวี 3 มิติจะส่งผลบวกต่อตลาดค้าแผ่นดิสก์ภาพยนตร์ โดยจากยอดจำหน่ายภาพยนตร์บลูเรย์ 3 มิติที่คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ในปีที่ผ่านมา เชื่อว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ได้ในปี 2015 เบื้องต้นคาดว่าภาพยนตร์สามารถทำเงินในตลาดบลูเรย์ดิสก์ 3 มิติมากที่สุดคือ "Harry Potter" และ "Transformers"
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นสวนทางกับการสำรวจของ Deloitte โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทพบว่ากลุ่มตัวอย่าง 30% ไม่ยอมรับแนวคิดการสวมแว่นตา 3 มิติ โดย 31% ไม่เชื่อว่าเทคโนโลยี 3 มิติจะสามารถยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงได้ และ 13% มองว่าเทคโนโลยีภาพ 3 มิติทำให้การชมภาพยนตร์เป็นไปด้วยความไม่สะดวกสบาย ซึ่งต้องยอมรับว่าแนวโน้มการขยายตัวของตลาดทีวี 3 มิติในนาทีนี้ได้สะท้อนถึงแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่รวดเร็ว อย่างน่าสนใจ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Warner ให้เช่าหนังดูได้บน Facebook
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 มีนาคม 2011, 14:18:27
เฟซบุ๊ค (Facebook) โซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งของโลก และเป็นเว็บไซต์เพียงหนึ่งเดียวที่มีแทรฟฟิกมากพอในระดับที่ถือได้ว่าเป็น คู่แข่งตัวจริงของกูเกิ้ล (Google) กำลังจะเปิดสงครามกับเหล่าผู้ให้บริการสตรีมภาพยนต์อย่าง Netflix และ Hulu โดยจากรายงานข่าวล่าสุด Warner Bros ประกาศว่าได้ตัดสินใจเริ่มให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนต์บน Facebook page ของทางบริษัทโดยตรงแล้ว

"Facebook เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้หลายร้อยล้านคนเข้าไปเยี่ยมชมทุกวัน" Thomas Gewecke ผู้บริหาร Waner Brothers กล่าว "การทำให้ภาพยนต์ของเราสามารถให้บริการรับชมได้บน Facebook เป็นการต่อยอดความพยายามในการเข้าสู่โลกดิจิตอลได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะมันทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงภาพยนต์ต่างๆ ของเราได้ง่าย เมื่อมันอยู่บนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/warner-bros-steraming-batman-the-dark-knight-on-facebook-page-2.jpg)

ภาพยนต์เรื่องแรกที่ใช้เปิดตัวบน Facebook page ของ Warner Brothers ก็คือ อภิมหาภาพยนต์ในปี 2008 เรื่อง Batman ตอน "The Dark Knight" (อัศวินแห่งรัตติกาล) โดยสามารถเช่าชมได้ด้วย 30 Facebook credits หรือประมาณ 3 เหรียญฯ (100 บาท) สำหรับการดาวน์โหลดมาชมในเครื่อง ซึ่งจะเปิดรับชมได้ภายใน 48 ชั่วโมงเท่านั้น ในส่วนของภาพยนต์เรื่องอื่นๆ จะทะยอยปล่อยออกมาในเดือนนี้ ข้อมูลจาก WSJ ระบุว่า Facebook จะได้ส่วนแบ่ง 30% ของค่าเช่าภาพยนต์ทุกเรื่อง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: patcharapong ที่ 09 มีนาคม 2011, 15:18:22
ข้อมูลรวดเร็วมากๆครับ  :wanwan013: :wanwan013:


หัวข้อ: Google Chrome 10 อัพเดต JavaScript แรงสุดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 มีนาคม 2011, 15:59:00
รายงานข่าวล่าสุด Google (Google) อัพเดตบราวเซอร์ Chrome 10 เพื่อให้มีเสถียรภาพในการทำงาน รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น (ก่อนเป็นเป้าให้เหล่าแฮคเกอร์ในงาน Pwn2Own) และที่พลาดไม่ได้ก็คือ เรื่องของสมรรถนะการทำงานที่ Chrome ใส่ใจมากเป็นพิเศษ ซึ่งในเวอร์ชันนี้ทางกูเกิ้ลได้เร่งประสิทธิภาพของการรัน JavaScript ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 66% เลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/chrome-10-up-javascript-add-new-settings-UI-and-sandbox-2.gif)

Tim Steele ตัวแทนของ Google อ้างว่า การเร่งประสิทธิภาพการทำงานในส่วน JavaScript ของ Chrome 10 ให้แรงขึ้น ก็เพื่อตอบโจทย์การทำงานร่วมกับเว็บแอพที่มีความซับซ้อนสามารถตอบสนองการทำ งานกับผู้ใช้ได้เร็วขึ้นกว่าบราวเซอร์เวอร์ชันก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่องประสิทธิภาพของการทำงานแล้ว ทางทีมพัฒนา Chrome 10 ยังได้เพิ่มอินเตอร์เฟซในส่วน Settings ใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมให้กับบราวเซอร์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องคลิกหลายครั้ง สำหรับการเข้าถึงฟังก์ชันที่สำคัญๆ อย่างเช่น บุ๊คมาร์ค หรือการเปลี่ยนโฮมเพจของบราวเซอร์ ทั้งนี้ทีมพัฒนาได้เพิ่มคุณสมบัติการแสดงผลขณะพิมพ์ เพื่อเข้าถึงตัวเลือกต่างๆ ตลอดจนการก็อปปี้ URLที่ใช้ในการเข้าถึงเมนู Settings เหล่านั้นโดยตรงได้อีกด้วย (คุณสามารถส่ง URL นี้ไปให้เพื่อนที่เป็นมือใหม่ แล้วไม่รู้ว่าจะเข้าถึงตัวเลือกที่คุณแนะนำได้อย่างไร) ซึ่งคุณผู้อ่าน สามารถทำความรู้จักกับอินเตอร์เฟซใหม่ได้จากคลิปข้างล่างนี้

ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเร็วของ JavaScript บนอินเตอร์เฟซของบราวเซอร์ที่เรียบง่ายแล้ว Chrome 10 ยังอนุญาตให้ผู้ใช้จัดเก็บพาสเวิร์ดไว้บน Google Cloud ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณสามารถล็อกอินเข้าไปยังเว็บไซต์ต่างๆ จากอุปกรณ์ใดก็ได้ เพียงแค่ซิงค์ (synchronizing) ล็อกอิน และพาสเวิร์ดที่เก็บไว้ในบริการคลาวด์ของกูเกิ้ล โดยข้อมูลในการล็อกอินที่ได้รับการจัดเก็บเหล่านั้นสามารถเข้ารหัสเพื่อความ ปลอดภัยเป็นพิเศษได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับการซิงค์คอมพิเตอร์ของคุณกับบริการคลาวด์ก็ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่เข้าไปที่เซ็คชั่น Personal Stuff ใน Settings ของ Chrome หรือพิมพ์ "sync" ในกล่องค้นหาของ Settings โดยผู้ใช้สามารถเลือกที่จะซิงค์ได้ทั้ง bookmarks, extensions, preferences, themes และอื่นๆ อีกมากมาย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: นักวิเคราะห์เชื่อ Apple iPad 2 ยอดขายกระฉูด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 มีนาคม 2011, 16:19:40
หลังจากได้มีการเปิดตัว iPad 2 เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา Gene Munster นักวิเคราะห์ตลาดจาก Piper Jaffray คาดว่า Apple น่าจะสามารถทำยอดขายของแท็บเล็ตรุ่นใหม่ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ได้สูงถึง 5.5 ล้านเครื่อง ทั้งๆ ที่เริ่มวางตลาดวันแรก 11 มีนาคม ศกนี้

Gene Munster นักวิเคราะห์จาก Piper Jaffray ได้เผยแพร่รายงานการประเมินยอดขาย iPad 2 หลังจากเปิดตัว โดยเขากล่าวว่า การเพิ่มช่องทางขายค่อนข้างมากสำหรับ iPad 2 ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เราอาจจะเห็นการต่อแถวที่สั้นลงกว่าเดิม แต่ยอดขายโดยรวมจะสูงมากทีเดียว Munster ตั้งข้อสังเกตว่า iPad เวอร์ชันแรกได้วางจำหน่ายผ่าน Apple Stores ในสหรัฐฯทั้งหมด 221 แห่ง และ Best Buy อีก 1,100 สาขา ในขณะที่ปีนี้ iPad 2 จะมีการจำหน่ายตามหน้าร้านต่างๆ มากกว่าถึง 10,000 แห่งในวันศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึง Apple Stores 236 สาขา ศูนย์บริการของโอเปอเรเตอร์อย่าง AT&T และ Verizon Wireless ตลอดจนห้างใหญ่อย่าง Best Buy, Wal-Mart และ Target

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/iPad-2-sales-5-5-million-units-in-first-quater-2011-2.jpg)

"โดยทั่วไป ดัชนีชี้วัดความฮอตของ iPad จะใช้ความยาวของแถวที่ยืนอยู่หน้าร้านของ Apple ในวันแรกที่วางตลาด" Munster เขียนในรายงานที่ส่งให้กับนักลงทุน "อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น การจอง iPad 2 ผ่านออนไลน์ การวางจำหน่ายพร้อมกันในหลายๆ ประเทศ สภาพภูมิอากาศ เวลาเปิดขาย และการเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งหมดนี้มีผลต่อความพยายามของผู้บริโภคในการที่จะยืนต่อแถว แต่ครั้งนี้อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดไม่ได้ เนื่องจากลูกค้าสามารถซื้อหา iPad 2 ได้ง่ายมาก" เมื่อปีที่แล้ว Apple ได้อนุญาตให้ผู้ซื้อ iPad สั่งซื้อล่วงหน้าผ่านออนไลน์ โดยทางบริษัทจะจัดส่งให้ในวันเดียวกันกับวันแรกที่วางตลาด แต่ปีนี้ไม่มีการสั่งจองล่วงหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่า หากลูกค้าต้องการ iPad 2 ในวันศุกร์พวกเขาจะต้องไปซื้อมันที่ร้าน โดยลูกค้าเป็นจำนวนมากจะกระจายอยู่ตามหน้าร้านต่างๆ ร่วม 10,000 แห่ง (มากกว่าเดิมเกือบ 10 เท่า) เฉลี่ยกันไป

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/iPad-2-sales-5-5-million-units-in-first-quater-2011-3.jpg)

อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ iPad 2 มีให้ลุกค้าเลือกซื้อทันทีทั้งเวอร์ชัน Wi-Fi และ 3G และการวางจำหน่ายในหลายๆ ประเทศพร้อมกันยิ่งส่งผลให้ยอดขายของ iPad 2 น่าจะสูงมาก โดยตัวเลขที่ Munster ประเมินไว้คือ Apple น่าจะสามารถจหน่าย iPad 2 ได้ 5.5 ล้านเครื่องภายในไตรมาสแรก (ประมาณ 20 วัน) ซึ่งสูงกว่า iPad รุ่นแรกที่ขายได้ 3.27 ล้านเครื่องในไตรมาสแรก ปัจจัยที่ iPad 2 จะขายดียังมีเรื่องของคุณสมบัติการทำงานของเครื่องที่ดีกว่ารุ่นแรกอย่าง เห็นได้ชัดในขณะที่ราคาเท่ากัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ใช้ "มือถือ-คอมพ์" ก่อนนอน นักวิจัยพบเสี่ยงหลับไม่พอ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 มีนาคม 2011, 17:38:28
ตอกย้ำผลการสำรวจก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่า แสงไฟจากหน้าจออุปกรณ์ไอทีทั้งคอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตอาจมีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน ล่าสุดทีมนักวิจัยอเมริกันเผยผลสำรวจล่าสุด พบชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่มีปัญหาการนอนหลับล้วนมีกิจวัตรคือการใช้อุปกรณ์ไอ ทีเหล่านี้ในช่วงเวลาก่อนเข้านอนเป็นประจำ เชื่อการสำรวจนี้ช่วยจุดประกายให้ประชาชนในชาติเห็นความจำเป็นในการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมออนไลน์ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพระดับชาติที่อาจตามมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003240401.JPEG)

      มูลนิธิ National Sleep Foundation ของสหรัฐฯเปิดเผยผลการสำรวจล่าสุดที่พบว่าอเมริกัน ชนส่วนใหญ่มีปัญหาการนอนหลับ โดย 43% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่ามีปัญหานอนไม่หลับอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ขณะที่ 60% ระบุว่ามีปัญหาเช่น ตื่นนอนเร็ว นอนกรน และรู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอนทุกวัน โดยมูลนิธิมั่นใจว่าสาเหตุของปัญหาการนอนหลับนอกจากจะมาจากปัญหาชีวิต ครอบครัว และงานที่รัดตัว สาเหตุหนึ่งยังมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
      
      ดร. ชาร์ลส์ ไซสเลอร์ ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด ให้สัมภาษณ์ว่าการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 1,508 คน ซึ่งมีอายุช่วง 13 ถึง 64 ปีพบว่าส่วนใหญ่มีการใช้งานอุปกรณ์ที่มีหน้าจอเรืองแสงอย่างจริงจังในช่วง เวลาก่อนเข้านอน จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ใช้สินค้าเทคโนโลยีก่อนเข้านอนเป็นกิจวัตรมีความ เสี่ยงที่จะทำให้ผู้ใช้รายนั้นได้รับการพักผ่อนน้อยกว่าที่ควร
      
      การศึกษาพบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่อ่านหนังสือก่อนนอนอย่างเคย แต่กลับใช้เวลาไปกับโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และวิดีโอเกม โดยการสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างมากกว่า 95% ใช้อุปกรณ์ทั้งหมดนี้อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดย 6 ใน 10 ระบุว่าใช้คอมพิวเตอร์เป็นบางวัน แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งในกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี ระบุว่าใช้งานเกือบทุกวัน
      
      นอกจากนี้ ราว 1 ใน 10 ของวัยรุ่นยอมรับว่าถูกปลุกให้ตื่นทุกค่ำคืนเพราะเสียงโทรศัพท์ ซึ่งทำให้ต้องคุยโทรศัพท์ ส่งอีเมล หรือส่งข้อความตอบกลับ ขณะที่ 1 ใน 5 ระบุว่าถูกปลุกเพราะโทรศัพท์มือถือราว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
      
      การสำรวจที่เกิดขึ้นถือเป็นการจุดประกายให้อเมริกันชนรับรู้ปัญหาที่ อาจตามมาจากการใช้งานเทคโนโลยีอย่างไม่เหมาะสม โดยนักวิจัยล้วนเรียกร้องให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ปรับพฤติกรรมส่วนตัว เพื่อป้องกันปัญหาด้านสุขภาพที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นหากนอนหลับพักผ่อนไม่ เพียงพอ
      
      จุดสำคัญที่นักวิจัยอเมริกันเรียกร้อง คือพฤติกรรมการใช้งานแบล็กเบอร์รีของวัยรุ่น โดยระบุว่าวัยรุ่น (อายุ 13-18 ปี) ราว 1 ใน 10 ไม่ยอมปิดเครื่องจึงทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ถูกบีบีเบียดบังเวลานอนหลับทุกวัน การสำรวจพบว่าอุปกรณ์ไอทีมีผลให้เวลาการนอนหลับเฉลี่ยในวัยรุ่นอเมริกันลดลง เหลือ 7 ชั่วโมง 26 นาที จากเดิมที่นักวิชาการแนะนำให้วัยรุ่นพักผ่อน 9 ชั่วโมง 15 นาที
      
      ไซสเลอร์มองตัวเลขที่เกิดขึ้นว่า วัยรุ่นยุคไอทีมีเวลานอนหลับน้อยกว่าวัยรุ่นยุคก่อนราว 2 ชั่วโมง ซึ่งแปลว่าตลอดทั้งเดือน เวลานอนหลับของวัยรุ่นยุคปัจจุบันจะหายไปมากกว่า 50 ชั่วโมง สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเสี่ยงในการเกิดปัญหาด้านการงาน อารมณ์ ครอบครัว การขับขี่ พฤติกรรมทางเพศ และสุขภาพ ซึ่งอาจจะตามมาในสังคมอเมริกันในอนาคต
      
      งานวิจัยนี้ถือเป็นการตอกย้ำผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism ในเดือนมกราคมซึ่งพบว่าการมองแสงไฟในเวลากลางคืนจะนำไปสู่ภาวะความดันเลือด สูง ขณะที่ทีมวิจัยมหาวิทยาลัย University of Haifa พบว่าแสงไฟในเวลากลางคืนมีความเกี่ยวพันกับสาเหตุการเกิดมะเร็งด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: HP ลั่น WebOS PC วางตลาดปีหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มีนาคม 2011, 13:55:21
เอชพี (Hewlett-Packard) เดินเครื่องเต็มสูบสำหรับแพลตฟอร์ม WebOS ที่ซื้อมาจากบริษัท Palm โดยล่าสุด Leo Aphotheker ซีอีโอของทางบริษัทได้ออกมาประกาศว่า ในปี 2012 คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของ HP ทุกเครื่องจะต้องสามารถทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ WebOS ได้

Apotheker กล่าวว่า เขาต้องการเห็นความชัดเจนในการใช้ประโยชน์จาก WebOS ระบบปฎิบัติการที่ได้มาจากการเข้าซื้อ Palm Inc. บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยเม็ดเงินสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญฯ โดยตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ทุกเครื่องที่ออกจาก HP นอกจากจะรัน Windows ของ Microsoft ได้แล้ว มันจะต้องสามารถรัน WebOS ได้ด้วย (Dual-Boot) ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป้าหมายก็เพื่อเปิดประตูให้กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในวงกว้าง สำหรับการสร้างสรรค์แอพพลิเคชันต่างๆ เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์ของ HP แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น

(http://www.arip.co.th/images/news/hp/1/HP-WebOS-PC-launches-2012-pic-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม จำนวนแอพฯ บน WebOS มีน้อยกว่า iOS และ Android ค่อนข้างมากทีเดียว โดยมีอยู่ประมาณ 6,000 แอพฯเท่านั้น แม้กระทั่ง Windows Phone 7 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานยังมีแอพมากกว่าเสียอีก เป้าหมายของ HP จากนี้ไปจึงต้องพยายามโน้มน้าวให้นักพัฒนาสร้างสรรค์แอพฯบนแพลตฟอร์ม WebOS และผลักดันให้เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์โมบาย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google สาธิตรถยนต์ที่ "ไม่ง้อ" คนขับ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มีนาคม 2011, 14:07:48
ในงานประชุม TED 2011 ล่าสุดที่จัดขึ้นในสัปดาห์นี้ Google ได้สาธิตการทำงานของรถยนต์ที่สามารถซิ่งได้เองโดยอัตโนมัติ (self-driving car) ต่อสายตาผู้เข้าร่วมประชุม แถมยังเปิดโอกาสให้ได้ทดลองเข้าไปนั่งในรถยนต์อัจฉริยะอีกด้วย ซึ่งสร้างความตื่นตะลึง (พร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้น) ให้กับผู้เข้าร่วมงานนี้เป็นอย่างมาก

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-self-driving-car-shows-at-TED-2011-toyota-prius-2.jpg)

Sebastian Thrun วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google ในฐานะหัวหน้าโครงการดังกล่าว เปิดเผยถึงที่มาของโครงการนี้ เขาทำวิจัยนี้ เพื่อค้นหาวิธีต่างๆ ที่ทำให้การขับรถยนต์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เขาเคยต้องสูญเสีย เพื่อนในวัยเด็กจากอุบัติเหตุรถชน Thrun ได้แสดงวิดีโอของรถยนต์ที่ขับได้เองบนถนนปกติได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ อย่างเช่น กวาง ที่อาจจะกำลังข้ามถนน หรือการขับเลี่ยงหลบรถบรรทุกทีสวนมาได้เองโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ในบริเวณสถานที่นอกงานประชุม TED ทาง Google ยังได้ใช้พื้นที่ลานจอดรถ เพื่อเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองนั่งรถยนต์ที่สามารถหลบเลี่ยงกรวยกั้นไป ตามเส้นทางได้เองโดยอัตโนมัติอีกด้วย โดยในการสาธิตผู้ขับไม่ต้องสัมผัสแฮนด์ เหยี่ยบคันเร่ง หรือแตะเบรคแต่อย่างใด มันน่าทึ่งมากที่รถสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะทาง Google ได้โปรแกรมเส้นทางไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่หากเป็นบนท้องถนนจริงที่ต้องใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ อย่าง GPS และกล้อง 360 องศาที่อยู่บนหลังคา เพื่อประเมินสถานการณ์ในการขับโดยรอบตลอดเวลา (รถยนต์ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า หลัง ซ้าย และขวา ตลอดจนสัญญาณไฟจราจร และผู้คนที่เดินข้ามถนน) มันก็คงจะไม่สามารถซิ่งได้ขนาดนี้  สำหรับรถยนต์ ที่ใช้ในการดัดแปลงก็คือ Toyota Prius

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "Facebook" ขุมทองใหม่ค่ายหนัง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 10 มีนาคม 2011, 16:23:35
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ธุรกิจให้เช่าภาพยนตร์เริ่มปัด หางเสือเข้าสู่มหาสมุทรเครือข่ายสังคมที่กำลังคึกคักสุดขีดในนาทีนี้ ล่าสุด สตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่จากฮอลลีวูดประกาศเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ ที่เปิดทางให้ผู้ใช้เช่าภาพยนตร์และชมได้โดยตรงบนเฟซบุ๊ก ประเดิมภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Dark Knight สนนราคาค่าเช่า 3 เหรียญสหรัฐต่อการชม 48 ชั่วโมง มองเฟซบุ๊กเป็นขุมทองบ่อใหม่ซึ่งมีตัวเลขผู้ใช้การันตีมากกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003281301.JPEG)

      Thomas Gewecke ประธานฝ่ายธุรกิจดิจิตอลของวอร์เนอร์บราเดอร์ส์ (Warner Bros.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดการให้เช่าภาพยนตร์บนเฟสบุ๊กว่า เป็นการบุกเบิกช่องทางใหม่ในการเผยแพร่ภาพยนตร์ หลังจากที่ค่ายภาพยนตร์มักใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ภาพยนตร์มาตลอด จึงตัดสินใจทดลองบทบาทใหม่โดยเปิดให้ชาวเครือข่ายสังคมมีโอกาสได้เช่า ภาพยนตร์ The Dark Knight ซึ่งหากการทดลองที่ได้ประสบความสำเร็จ ก็จะไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจภาพยนตร์เท่านั้น แต่จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเครือข่ายสังคมคือสื่อใหม่หรือนิวมีเดียที่ส่ง อิทธิพลในวงกว้างกว่าเดิม
      
      Gewecke ให้ข้อมูลว่าเหตุที่วอร์เนอร์เลือก The Dark Knight เพราะภาพยนตร์มนุษย์ค้างคาวภาค 2 ผลงานกำกับของคริสโตเฟอร์ โนแลนนี้คือ 1 ในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของวอร์เนอร์ ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ชื่นชอบหรือแฟนคลับมากกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก โดย ผู้ใช้เฟซบุ๊กในสหรัฐฯสามารถเช่าภาพยนตร์ไปชมได้บนเฟซบุ๊กนาน 2 วัน (48 ชั่วโมง) ในราคา 3 เหรียญ (ราว 90 บาท) เริ่มต้นให้เช่าวันแรกเมื่อวันอังคารที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา
      
      ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหม่เพราะแม้ธุรกิจเช่าวิดี โอออนไลน์จะแจ้งเกิดตั้งแต่เมื่อ 10 ปีมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีค่ายภาพยนตร์ใดที่เปิดให้คอหนังสามารถชมภาพยนตร์ได้บนเว็บไซต์ เครือข่ายสังคมโดยตรง แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้อุดมไปด้วยเสียงเชียร์ เนื่องจากทุกฝ่ายมองเห็นโอกาสงามที่รออยู่จากการควบรวมภาพยนตร์ลงในเว็บไซต์ ซึ่งผู้ใช้สามารถแนะนำและบอกต่อกันได้อย่างเสรี ทำให้หลายเสียงเชื่อว่าเครือข่ายสังคมอาจเป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยกู้ วิกฤติรายได้หายหดของค่ายภาพยนตร์ในยุคที่แผ่นดีวีดีไม่สามารถจำหน่ายได้ดี เท่าที่ควร
      
      ทั้งหมดนี้เป็นไปตามนโยบายของซีอีโอเฟซบุ๊ก "มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก" ซึ่งประกาศแนวทาง"ทำทุกอย่างให้เป็นสังคม" ด้วยการผนึกกิจกรรมนานาชนิดลงในเฟซบุ๊กทั้งการรับส่งอีเมล การแบ่งปันภาพถ่าย การเล่นเกม และการชมวิดีโอ การเปิดให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ชมภาพยนตร์จึงเป็นอีกกิจกรรมที่เชื่อว่าจะเข้า ถึงสังคมคอหนังบนโลกออนไลน์ได้โดยตรง
      
      ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนี้ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์ของค่ายภาพยนตร์จำนวนไม่น้อยที่แสดง จุดยืนว่าต้องการหาช่องทางให้เช่าภาพยนตร์ออนไลน์ที่นอกเหนือจากเจ้าตลาด เดิมอย่างไอจูนส์ (iTunes) และอเมซอนดอทคอม (Amazon.com) โดยเฟซบุ๊กถือเป็นทางออกที่มีเหตุมีผลเพราะเป็นเครือข่ายสังคมที่มีความยิ่ง ใหญ่พอจะต่อกรกับเจ้าตลาดเดิม บนสถิติการเป็นเว็บไซต์ที่ถูกเปิดชมบ่อยที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐฯ
      
      ครั้งนี้วอร์เนอร์ตกลงใช้รูปแบบการจ่ายเงินในบริการเช่าภาพ ยนตร์บนเฟซบุ๊กคือระบบเฟซบุ๊กเครดิต (Facebook credits) ซึ่งเฟซบุ๊กจะได้รับส่วนแบ่ง 30% จากยอดรายรับทั้งหมด โดย Gewecke ย้ำว่าบริษัทจะเพิ่มภาพยนตร์และเพิ่มความสามารถให้ผู้ชมได้ซื้อและดาวน์โหลดภาพยนตร์เพื่อชมได้นานกว่า 48 ชั่วโมง
      
      ข้อมูลจากบริษัทวิจัย IHS Screen Digest ระบุว่ายอดการเช่าภาพยนตร์ออนไลน์ในสหรัฐฯนั้นมีมูลค่าราว 385 ล้านเหรียญช่วงปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากปี 2009 ราว 38% ท่ามกลางยอดการซื้อภาพยนตร์ดีวีดีและบลูเรย์ดิสก์มูลค่า 16,300 ล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนลดลงราว 6% โดยสถิติการชมวิดีโอบนเฟซบุ๊กทั้งรายการทีวีและวิดีโอทั่วไปนั้นมีจำนวนสูง ถึง 42 ล้านครั้งในเวลาเพียง 1 เดือน (เดือนมกราคมที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นตัวเลขสวยงามที่แสดงถึงโอกาสทองของวงการภาพยนตร์ในอนาคต
      
      การเปิดตัวของวอร์เนอร์ทำให้บริการเช่าภาพยนตร์ออนไลน์ราย ใหญ่ในสหรัฐฯอย่าง Netflix มีมูลค่าหุ้นลดลงถึง 6% แม้ที่ผ่านมาจะสามารถทำยอดสมาชิกได้ถึง 20 ล้านคน บนรายการภาพยนตร์และรายการทีวีที่มีให้ดาวน์โหลดหลายแสนรายการ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: pom_kkk ที่ 10 มีนาคม 2011, 21:22:02
ขอเก็บข้อมูลนะครับ :wanwan020:


หัวข้อ: Google เปิดมิติใหม่ ให้ผู้ใช้บล็อกเว็บที่ไม่ต้องการได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มีนาคม 2011, 15:38:40
Google (Google) ผู้ให้บริการเสิร์ชเอ็นจินรายใหญ่ ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ โดยจะเปิดให้ผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ สามารถบล็อกหรือซ่อนเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการในหน้าผลการค้นหาได้ หวังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการค้นหาข้อมูลในครั้งต่อไป
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003379303.JPEG)

      กูเกิลระบุว่าต้องการให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงเปิดกว้างให้ผู้ใช้สามารถบล็อกเว็บที่ไม่ต้องการ เพื่อขจัดเว็บไซต์อื่นที่ผู้ใช้มองว่าไม่เกี่ยวข้องกับการค้นหาออกไป ด้วยวิธีการนี้ ผู้ใช้งานได้จะรับผลลัพท์เว็บไซต์ที่ตรงกับการค้นหามากที่สุด
      
      กูเกิลระบุว่าการบล็อกเว็บไซต์ดังกล่าวจะสามารถทำได้ในกรณี ที่ผู้ใช้ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบกูเกิลเท่านั้น โดยยืนยันว่าการบล็อกที่เกิดขึ้นจะไม่รบกวนผลการค้นหาของผู้ใช้งานรายอื่น รวมถึงระบบจัดดัชนีของกูเกิล
      
      เมื่อพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาบนเว็บไซต์ Google.com ระบบจะแสดง URL ของลิงก์ที่ได้ข้างๆ คำว่า "Cache" เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้าไปเยี่ยมชมเว็บดังกล่าว แล้วกดย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ Google.com อีกครั้ง ผู้ใช้จะสามารถบล็อกเว็บไซต์ด้วยการเลือกที่ "Block all" ซึ่งจะปรากฏด้านข้างผลการค้นหา
      
      สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าว ในช่วงแรกกูเกิลจะเปิดให้ใช้งานบนเว็บไซต์ Google.com เวอร์ชันภาษาอังกฤษเท่านั้น โดยจะรองรับการใช้งานบนโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome เวอร์ชัน 9 ขึ้นไป, Firefox เวอร์ชัน 3.5 และจะสามารถใช้งานร่วมกับเว็บเบราว์เซอร์ตัวอื่น และเว็บไซต์ Google.com เวอร์ชันภาษาต่างประเทศได้ในอนาคต
      
      ** กูเกิลจ้างพนักงานใหม่ให้ Youtube กว่า 200 รายรองรับการเติบโตคอนเทนต์วิดีโอ **
      
      Google ผู้ให้บริการเว็บไซต์แชร์วิดีโอยูทิวบ์ (Youtube.com) ประกาศเพิ่มจำนวนพนักงานกว่า 200 ราย เพื่อรองรับการเติบโตของคอนเทนต์วิดีโอที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
      
      กูเกิลระบุว่า ปัจจุบัน สถิติความยาวของวิดีโอที่ถูกอัปโหลดขึ้นยูทิวบ์ใน 1 นาทีนั้นมีจำนวนรวมกว่า 35 ชั่วโมง บนยอดผู้เข้าชมกว่า 2,000 ล้านครั้งต่อวัน ถือว่ามียอดการใช้งานสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นยูทิวบ์จึงมีความจำเป็นต้องประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มในตำแหน่ง พนักงานขายโฆษณา และวิศวกร เพื่อรองรับการเติบโตของคอนเทนต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพนักงานทั้ง 200 คนนี้จะถูกกระจายไปยังออฟฟิศยูทิวบ์สำนักงานใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงออฟฟิศยูทิวบ์ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี, โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเมืองซูริกช์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
      
      สำหรับเว็บไซต์ยูทิวบ์นั้นเริ่มก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2005 และถูกกูเกิลเจ้าซื้อกิจการในเดือนตุลาคมปี 2006 ด้วยมูลค่าหุ้นรวมกว่า 1.65 พันล้านเหรียญฯ โดยหวังจะให้ยูทิวบ์ช่วยฟื้นฟูบริการ Video-sharing ที่กูเกิลทำไว้อยู่เดิม อีกทั้งกูเกิลเองก็จะสามารถขยายตลาดโฆษณาออนไลน์ของตนไปในกลุ่มวิดีโอได้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Facebook คุณอยู่อันดับที่เท่าไรของไทย?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มีนาคม 2011, 16:10:34
ตอนนี้หลายธุรกิจ และบริษัทต่างเริ่มนำธุรกิจตัวเอง เข้าไปเปิดหน้าอยู่ในเฟซบุ๊ค แฟนเพจ กันมากขึ้น โดยใช้เป็นช่องในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และลูกค้าคนไทย (หรือต่างประเทศ) ที่ใช้อยู่หลายล้านคนทั่วประเทศหรือทั่วโลก บางธุรกิจสามารถใช้ช่องทางเฟซบุ๊ค เป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าได้ดีและมีประสิทธิภาพมากๆ
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/09/images/news_img_380963_1.jpg)

ปัจจัยหนึ่งที่เป็นปัจจัยหลัก คือ จำนวนของสมาชิกในหน้า "เฟซบุ๊ค เพจ" (Facebook Pages) ซึ่งหากมีจำนวนสมาชิกที่เข้ามา "ชื่นชอบ (Likes)" มาก นั้นหมายถึงโอกาสการเข้าถึงหรือสื่อสารกับคนจำนวนมาก ก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้หลายๆ ธุรกิจต่างเริ่มสร้างและสะสมจำนวนสมาชิกของหน้า เฟซบุ๊ค เพจของตัวเองกันเป็นจำนวนมาก
 
แต่คุณจะรู้ไหมว่า จำนวนคนสมาชิกที่อยู่ใน เฟซบุ๊ค เพจ ของเรามีมากหรือน้อย เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ หรือคู่แข่ง หรืออัตราการเติบโตของ เฟซบุ๊คเราเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เป็นอย่างไร วันนี้เราสามารถเช็คได้ง่ายๆ แล้วครับ

จัดอันดับเฟซบุ๊ค เพจเมืองไทย
 
เนื่องจากทางเว็บไซต์ www.Marketingbyte.com (http://www.Marketingbyte.com) เว็บไซต์ด้านข้อมูลการตลาดออนไลน์ของไทย ได้เปิดระบบจัดอันดับเฟซบุ๊ค เพจ  ของไทยขึ้นมา โดยรวบรวมเฟซบุ๊ค เพจของหลากธุรกิจจากทั่วประเทศไทยมาจัดอันดับจากจำนวนสมาชิกที่ชื่นชอบ (Likes) รวมถึงยังแบ่งเป็นหมวดหมู่ประเภทของธุรกิจ เช่นหมวดหมู่เกี่ยวกับ รถยนต์ สุขภาพและความงาม หรือวงดนตรี เป็นต้น ซึ่งหากคุณอยากรู้ว่าเฟซบุ๊คของคุณมีจำนวนสมาชิกเท่าไร เยอะไหม เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทหรือแบรนด์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน สามารถลองเข้าไปดูได้ที่  http://www.marketingbyte.com/pagerank

ศึกษาคู่แข่งที่ใช้เฟซบุ๊ค มาร์เก็ตติ้ง
 
นอก จากนี้ เรายังทราบได้ว่า คู่แข่งในกลุ่มธุรกิจประเภทเดียวกับเรานั้น มีใครบ้างใช้ เฟซบุ๊คทำการตลาดบ้าง และใครคืออันดับหนึ่งในและหมวดหมู่ธุรกิจ และเรายังสามารถตรวจสอบอัตราการเติบโตของเฟซบุ๊ค เพจ ของแต่ธุรกิจที่เราสนใจ รวมถึงยังเปรียบเทียบอัตราการเติบโตระหว่างของเค้าและเราได้ด้วย โดยแสดงผลเป็นกราฟ (ดูภาพด้านล่าง) แต่หากคุณไม่พบธุรกิจของคุณอยู่ในระบบจัดอันดับ คุณเองก็สามารถเพิ่มหน้าเฟซบุ๊คเข้าไปได้เลย หลังจากนั้น ระบบจะทำการจัดอันดับ และเริ่มเก็บข้อมูลของเฟซบุ๊คของคุณอย่างอัตโนมัติ

วัดผลสื่อสารเรากับสมาชิกเฟซบุ๊ค
 
ในระบบจัดอันดับ "MarketingByte Facebook Pages Ranking" นี้ เรายังสามารถวัดผลได้ว่าหน้าเฟซบุ๊ค เพจของเรา เราได้เข้าไปพูดคุยสื่อสารกับลูกค้าของเราบ่อยแค่ไหน (Post from Page) และยังเห็นถึงอัตราการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ของคนเข้ามาโต้ตอบพูดคุยกับเรามาก น้อยเท่าไร (Post from User) ทั้งสองอย่างนี้ คือ ตัวเลขที่สามารถวัด "การปฏิสัมพันธ์ (Engagement)" ระหว่างแบรนด์หรือสินค้าคุณกับสมาชิก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำ เฟซบุ๊ค มาร์เก็ตติ้ง หากคุณเองมีสมาชิกในเฟซบุ๊คจำนวนมาก แต่แทบไม่เคยสื่อสารพูดคุยกับสมาชิก การทำการตลาดผ่านเฟซบุ๊คก็จะดูไร้ประโยชน์ แม้จะมีจำนวนสมาชิกในเฟซบุ๊คมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยทำให้คุณเห็น และวัดผลได้ชัดเจน ทั้งยังเปรียบเทียบกับคู่แข่งของคุณได้ด้วย
 
ระบบจัดอันดับนี้ ถูกสร้างขึ้นมาทำให้คนไทยได้เห็นข้อมูลการจัดอันดับของเฟซบุ๊ค เมืองไทย ส่วนใหญ่เราจะเห็นข้อมูลลักษณะนี้ของต่างประเทศเท่านั้น  โดยข้อมูลระบบนี้ จะทำให้ผู้ทำตลาดผ่านเฟซบุ๊ค เข้าใจได้เพิ่มขึ้น และสามารถนำเฟซบุ๊คไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจได้มากขึ้น ผ่านการศึกษาของคนที่ทำการตลาดผ่านเฟซบุ๊คในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หรือจะเป็นต่างกลุ่ม
 
ลองไปดูสิครับว่า เฟซบุ๊ค เพจของคุณอยู่อันดับที่เท่าไรของประเทศ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่  http://www.marketingbyte.com/pagerank


ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ม.เกษตรศาสตร์ คิดระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าผู้ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 มีนาคม 2011, 16:36:54
นิสิตม.เกษตรศาสตร์ออกแบบระบบวินิจฉัยฝ่าเท้า เพิ่มความสะดวกการรักษาของแพทย์ในบุคคลที่มีเท้าผิดปกติ

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/11/images/news_img_381339_1.jpg)

นายยุทธพงศ์ อุณหทวีทรัพย์ และ นางสาวณัฐกานต์ ลิขิตผลจรูญ นิสิตสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ประดิษฐ์ คิดค้น “ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าเพื่อการวินิจฉัยโรค” Foot analysis system for diagnosis สำหรับเป็นผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่วินิจฉัยโรคจากรูปภาพของฝ่าเท้า

 งานวิจัยดังกล่าวมีอาจารย์ไพรัช สร้อยทอง อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นที่ปรึกษาโครงงานวิจัย ซึ่งโครงงานชิ้นนี้ ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 จากการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 13 (The Thirteenth Nation Software Contest : NSC 2011)ในงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10 โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่าง 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2554 ณ ไอส์แลนด์ฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ กรุงเทพมหานคร

 โครงงานวิจัยนี้ทำการศึกษาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แพทย์ผู้รักษาในการ ตรวจสอบโรคทางเท้า   ในบุคคลที่มีเท้าผิดปกติ โดยเฉพาะโรคเท้าแบนที่ส่งผลกระทบต่ออาการทางเท้า เช่น โรครองช้ำ โรคตาปลา โรคเท้าพอง โรคเท้าปุก และอาการเจ็บเอ็นร้อยหวาย

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/11/images/news_img_381339_2.jpg)

ผู้จัดทำโครงงานได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม คือ กล้องเว็บแคมในการใช้งานเครื่องโพโดสโคปที่ใช้ในการวิเคราะห์วินิจฉัยลักษณะ ฝ่าเท้าของผู้ป่วย (เครื่องโพโดสโคป คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการส่องเท้าทำด้วยกระจกนิรภัยมีลักษณะเป็นกระจกใส โดยให้ผู้ป่วยขึ้นไปยืนบนกระจกใส เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเท้าและมีกระจกเงาที่สามารถปรับมุมมองอยู่ด้าน ล่าง) และระบบการไหลเวียนโลหิตบริเวณฝ่าเท้า

 ระบบฯดังกล่าวจะเป็นผู้ช่วยแพทย์ในด้านตรวจรักษาโรคและอาการของผู้ป่วย สะดวกยิ่งขึ้น โดยใช้แนวคิดจากเครื่องโพโดสโคป ที่ไม่สามารถประเมินผลการไหลเวียนของโลหิตด้วยตาเปล่าได้เป็นระดับจึงทำให้ การรักษาอาการเท้าแบนไม่มีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร

  โครงงานชิ้นนี้มีการพัฒนาโครงงาน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นด้านการพัฒนาเครื่องโพโดสโคปให้สามารถดูภาพฝ่าเท้าได้จาก จอแสดงผล และสามารถนำภาพฝ่าเท้าที่ได้ไปประเมินผล ส่วนที่สองจะเป็นการพัฒนาทางด้านโปรแกรมประยุกต์ ให้สามารถตอบประเมินอาการผิดปกติของเท้าโดยวัดอัตราส่วนของฝ่าเท้า เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของรูปเท้า ประเมินการไหลเวียนของโลหิตจากภาพทั้งก่อนและหลังการใส่อุปกรณ์เสริมอุ้งฝ่า เท้าให้แสดงผลเป็นระดับตามเกณฑ์ที่อ้างอิงไว้ได้ เก็บข้อมูลการรักษาและนำมาประกอบการวินิจฉัยโรคและการติดตามผลในการรักษาผู้ ป่วยของแพทย์ผู้รักษา

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/11/images/news_img_381339_3.jpg)

 จุดมุ่งหมายของการพัฒนาโครงการนี้ คือ สามารถอำนวยความสะดวกในการวินิจฉัยโรคและการชี้แจงอาการของแพทย์ให้เป็น รูปธรรมมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการและลักษณะของโรคได้ง่าย ขึ้น สามารถลดต้นทุนในการสั่งซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจรักษาโรคจากต่างประเทศ  ซึ่งมีราคาแพงกว่าการผลิตเอง

นอกจากนี้ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าผู้ ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคยังสามารถตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิตบริเวณฝ่าเท้า ตรวจสอบความสัมพันธ์การลงน้ำหนักเท้าและสีของฝ่าเท้า และสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสีของฝ่าเท้าหลังจากการใช้อุปกรณ์เสริมฝ่า เท้าแล้ว เมื่อการพัฒนาโครงการสิ้นสุด สามารถนำระบบนี้ไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคทางเท้าได้ แพทย์ผู้ทำการรักษาสามารถประเมินการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น ทราบความน่าเชื่อถือของการวัดรอยพิมพ์ฝ่าเท้าจากภาพถ่ายแบบดิจิตอลผ่าน เครื่องโพโดสโคปในกรณีผู้ตรวจและวัดกระทำ ณ เวลาที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศอีกด้วย

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: AIS-DTAC-Truemove พร้อมใจช่วยลูกค้าวิกฤติแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มีนาคม 2011, 21:40:24
หลังจากข่าววิกฤติแผ่นดินไหวและสึนามิในแดนปลาดิบแพร่สะพัด โอเปอเรเตอร์ไทยพร้อมใจประกาศช่วยเหลือลูกค้าของตัวเองที่เดินทางไปประเทศ ญี่ปุ่นแบบทันใจ เบื้องต้นทั้งหมดประกาศให้ลูกค้าที่ใช้บริการโรมมิ่ง (บริการโทรข้ามแดนอัตโนมัติ) สามารถโทรกลับเมืองไทยได้ครึ่งราคา และสามารถรับสายจากประเทศไทยได้ฟรี
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003418301.JPEG)
ภาพความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 54

      เอไอเอสระบุว่าความช่วยเหลือจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 11 - 14 มี.ค. 54 โดยลูกค้าสามารถติดต่อ เอไอเอส คอลล์ เซ็นเตอร์ ที่พร้อมให้การช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ฟรี ที่เบอร์ +6622719000 ตั้งแต่วันนี้ถึง 17 มี.ค. 54
      
      เช่นเดียวกับดีแทคที่ให้เวลาความช่วยเหลือถึงวันที่ 14 มี.ค. ขณะที่ทรูมูฟแบ่งการช่วยเหลือออกเป็น 2 กลุ่มลูกค้า ได้แก่ กลุ่มลูกค้าทรูมูฟแบบรายเดือน นอกจากจะสามารถรับสายจากเมืองไทยและรับ SMS ฟรี ยังสามารถโทรติดต่อทรูมูฟ แคร์ ที่เบอร์ +66891001331 ฟรี และกลุ่มลูกค้าทรูมูฟแบบเติมเงิน ทรูมูฟระบุว่าได้เติมเงินให้ลูกค้าที่อยู่ในญี่ปุ่นรายละ 1,000 บาท เพื่อใช้งานระหว่างอยู่ในต่างประเทศหรือให้โทรศัพท์กลับไทยได้ สามารถโทรติดต่อทรูมูฟ แคร์ +66891001331 ฟรี ตั้งแต่วันที่ 11-13 มีนาคม 2554 ตลอด 24 ชั่วโมง
      
      ทรูมูฟระบุว่าได้ส่ง SMS แจ้งความช่วยเหลือต่างๆ พร้อมหมายเลขติดต่อในกรณีฉุกเฉิน ถึงลูกค้าทรูมูฟในญี่ปุ่นทุกราย เรียบร้อยแล้ว
      
      การร่วมมือของโอเปอเรเตอร์ในการช่วยเหลือลูกค้าจากเหตุแผ่น ดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะการลดราคาค่าธรรมเนียมโทรข้ามแดนจะเพิ่มความยืดหยุ่นให้ครอบครัวสามารถ ติดต่อถึงกันได้อย่างต่อเนื่อง แม้ก่อนหน้านี้ เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศญี่ปุ่นจะถูกตัดขาดจนทำให้ประชาชนต้อง ใช้บริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตเช่นสไกป์ (Skype) แต่รายงานล่าสุดระบุว่า ประชาชนในญี่ปุ่นสามารถสื่อสารผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ตามปกติแล้ว

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โรงงานไอทีในญี่ปุ่นหยุดผลิตชั่วคราว-คาดกระทบราคาชิพพุ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 มีนาคม 2011, 21:59:42
ผลกระทบแผ่นดินไหว ครั้งรุนแรงในญี่ปุ่นสะเทือนฐานผลิตชิพ "โตชิบา" แต่ล่าสุดกลับมาเดินเครื่องผลิตอีกครั้ง ฟาก"โซนี่-พานาโซนิค" หยุดผลิตเช่นกัน

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/12/images/news_img_381598_1.jpg)

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า  โรงงานผลิตแฟลช เมโมรี่สำหรับใช้ในการผลิตแทบเล็ต และสมาร์ทโฟนแห่งสำคัญของ "โตชิบา" สามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตได้อีกครั้งหลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่น ดินไหวในญี่ปุ่น และอาจมีผลให้ราคาชิพพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากกระบวนการผลิตหยุดชะงักลง และเกิดปัญหาด้านการขนส่งในประเทศ

อย่างไรก็ตามหลังข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไปทำให้มูลค่าหุ้นของผู้ผลิตเม โมรี่ ชิพ "ไมครอน" เพิ่มขึ้นทันที 1.41% ส่วน "แซนดิสก์" ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับโตชิบาในการผลิต "แนนด์ แฟลช เมโมรี่ (NAND)" ราคาหุ้นคงที่ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ราคาชิพจะพุ่งสูงขึ้น หากซัพพลายในตลาดโลกได้รับผลกระทบ

นายไมค์ หว่อง โฆษกของแซนดิสก์ กล่าวว่า ฐานผลิตหลักของหน่วยความจำแฟลชแบบแนนด์ที่ตั้งอยู่ในเมือง "ยคไคจิ" ใกล้กับกรุงโตเกียว และอยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลที่เป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวไม่ได้รับผล กระทบรุนแรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ได้หยุดการผลิตลงในระยะหนึ่ง

"มีเวเฟอร์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบจำนวนหนึ่งสูญหายไป แต่ในส่วนของการผลิตนั้นได้เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนผลกระทบที่ได้รับกำลังอยู่ในระหว่างการประเมิน"

ขณะที่ในส่วนความต้องการใช้แนนด์ แฟลช เมโมรี่ทั้งจาก "แอ๊ปเปิ้ล" และผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆที่จะใช้ในการผลิตอุปกรณ์พกพาแบบสำหรับใช้พื้นที่ ในการเก็บเพลง, ภาพ และไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้

นายเควิน แคสสิดี นักวิเคราะห์จากสติเฟล นิโคลัส ระบุว่า หากประเมินโรงงานของ "โตชิบา-แซนดิสก์" ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตเวเฟอร์สำหรับหน่วยความจำแบบแฟลชราว 45% ของโลก อาจทำให้คาดการณ์ได้ว่าราคาของหน่วยความจำดังกล่าวอาจมีราคาสูงขึ้นจากเหตุ กาณ์ในครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อว่า ญี่ปุ่นกำลังจะมีปัญหาด้านการขนส่ง ปัจจุบันโตชิบาเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำแนนด์สำหรับใช้ในอุปกรณ์ เช่น ไอแพด มากกว่า 1 ใน 3 ของโลก

โซนี่-พานาโซนิคปิดโรงงานชั่วคราว

นอกจากนี้ผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติดังกล่าวยังส่งผลให้ "โซนี่" ตัดสินใจปิดโรงงาน 6 แห่งในประเทศ โดย 2 แห่งตั้งอยู่ในเมือง "ฟูกูชิม่า" และอีก 4 แห่ง ตั้งอยู่ในเมือง "มินากิ" ซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตเลเซอร์ไดโอดสำหรับใช้ในเครื่องเล่นดีวีดี, บลู-เรย์ และ เครื่องเล่นซีดี รวมถึงเครื่องเล่นเกมเพลย์ สเตชั่น ขณะที่ "พานาโซนิค" ก็ประกาศหยุดการผลิตเช่นกัน นักวิเคราะห์จากแม็กซิม กรุ๊ป ในนิว ยอร์ค กล่าวว่า ภัยภิบัติดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่าส่งผลลบต่อโซนี่ แต่ก็อาจจะเร็วเกินไปที่จะประเมินขอบเขตของความเสียหายครั้งนี้

อย่างไรก็ตามผลกระทบอาจเบาบางลง เนื่องจากโซนี่ได้ย้ายโรงงานผลิตบางส่วนออกไปนอกญี่ปุ่นแล้วก่อนหน้านี้ และช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ต้องเร่งผลิตสินค้า

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ชำแหละ!!! Apple iPad 2 ให้เห็นกันจะๆ ไปเลย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 มีนาคม 2011, 16:59:57
เช้าวันหยุดอย่างนี้ ขอเริ่มต้นด้วยข่าวที่เกิดขึ้นตามหลังการวางจำหน่าย iPad 2 ได้เพียงแค่ 2 วัน ซึ่งยังคงประกฏการณ์การต่อแถวรอซื้อกันแต่เช้าตามหน้าร้านต่างๆ เช่นเดียวกับเวอร์ชันแรก แม้ iPad 2 จะไม่ได้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนใหญ่สำหรับ iPad เสียทีเดียว ล่าสุด iFixIt เจ้าเก่าขาประจำ ก็รีบนำ iPad 2 ที่ได้มา"ชำแหละ"ให้เห็นไส้ในกันจะๆ อีกแล้วครับท่าน

ทันทีที่ทีมงานของ iFixit ได้ iPad 2 มาก็จัดการชำแหละกันในวันแรกของการวางจำหน่ายเลย โดยสิ่งแรกที่ทีมงานค้นพบก็คือ ด้านหน้าของเคส iPad 2 ยึดติดกับด้านหลังด้วย"กาว...กาว...กาว และกาว" ไม่มีส่วนที่เป็นคลิปล็อค หรือน็อตสกรูแต่อย่างใด การที่จะเปิดมันออกมาได้ต้องใช้ความร้อน และเครื่องมือที่ใช้งัด ซึ่งทำด้วยพลาสติกในการเปิดฝาเครื่องออกมา แน่นอนว่า ผูัใช้แทบจะไม่มีโอกาสทำสิ่งนี้ได้เอง ถ้ายังไม่อยากให้ iPad 2 จากไปโดยเร็ว

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/iPad-2-wifi-teardown-by-ifixit-2.jpg)

หลังจากที่เปิดเคสออกมาก็พบว่า หน้าจอ LCD จะมีสกรูยึดไว้หลายตัวทีเดียว ซึ่งด้านหลังจอพบว่า มีแบตเตอรี่เรียงอยู่ 3 ก้อนเช่นเดียวกับ iPad เวอร์ชันแรก แต่มีกำลังไฟมากกว่าคือ 25 วัตต์ต่อชั่วโมง (24.8 วัตต์ต่อชั่วโมงในเวอร์ชันแรก) นั่นหมายความว่า มันแทบไม่ได้ต่างกันนักในส่วนนี้ แต่ด้วยประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของ CPU และฮาร์ดแวร์ส่วนอื่นๆ ทำให้ iPad 2 สามารถใช้งานได้นานขึ้น

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/iPad-2-wifi-teardown-by-ifixit-3.jpg)

นอกจากจอ LCD (แบคไลท์ LED) และแผงวงจรทั้งหมดที่มีขนาดเท่าๆ กับไม้บรรทัดทีมีความยาวแค่ 6 นิ้ว แต่อัดแน่นด้วยวงจรการทำงานไว้เต็มเหนี่ยวแล้ว ส่วนที่เหลือก็จะเป็นสายแพ (สายสัญญาณ) 2 - 3 เส้น และสกรูอีกไม่กี่ตัว สำหรับแผงวงจรหลักที่เล็กมาก เผยให้เห็นชิ้นส่วนการทำงานต่างๆ ดังนี้

   * Toshiba TH58NVG7D2FLA89 16GB NAND Flash
   * Apple 343S0542-A2
   * S6T2MLC N33C50V ชิปจัดการพลังงาน (Power Management)
   * โพรเซสเซอร์ A5 APL0498
   * โพรเซสเซอร์กราฟิก Apple 338S0940 A0BZ1101
   * Broadcom BCM5973KFBGH
   * BCM5974 CKFBGH ชิปควบคุมการทำงานของจอสัมผัส LCD (ตัวเดียวกับ iPad)

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/iPad-2-wifi-teardown-by-ifixit-4.jpg)

นอกจากนี่ยังมีแผงวงจรขนาดล็กสำหรับสนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi/Bluetooth/FM ที่ใช้ชิป BCM43291HKUBC ตัวเดียวกันกับที่พบใน iPad, iPhone 4 และ iPod Touch และยังพบชิปไจโรเซ็นเซอร์ STM Electronics AGD8 2103  และชิปตรวจจับความเร่งใน 3 แกน ซึ่งทำให้ iPad 2 สามารถรับรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของตัวเครื่องได้ ส่วนกล้องทั้งสองตัวจะมี สายเคเบิ้ลของมันเอง และถอดออกง่ายมาก

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ระวัง!!! แฮคเกอร์ใช้ช่องโหว่ถล่ม IE แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มีนาคม 2011, 21:23:55
เมื่อประมาณสองเดือนก่อน นักวิจัยจาก Google ประกาศว่า พบช่องโหว่ใน IE ล่าสุดช่องโหว่ดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้ในการโจมตีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว โดย Microsoft ได้ออกมาแจ้งเตือนให้ผู้ใช้ทราบอีกด้วยว่า ช่องโหว่ที่ว่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ใช้อาจถูกโจมตีได้นั่นเอง

(http://1.bp.blogspot.com/_tF_DyjQ-CPA/TQrFhgElyCI/AAAAAAAAFFI/FQl-iK1DZWU/s400/internet-explorer-logo.jpg)

สำหรับรูปแบบการโจมตี แฮคเกอร์จะจัดทำโค้ดที่สามารถโจมตีช่องโหว่ของ IE ไว้บนเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้ที่ไม่ทันระวังถูกหลอกล่อให้คลิกเข้าไปยังหน้าเว็บอันตรายก็จะ โดนโจมตีทันที โดยแฮคเกอร์สามารถบังครับให้บราวเซอร์ของเหยื่อรันโค้ดจาวาสตริท์ ซึ่งโค้ดที่ว่านี้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากบราวเซอร์ของผู้ใช้ ตลอดจนเปิดช่องการโจมตีได้ รูปแบบการโจมตีที่เกิดจากการบังคับการทำงานของบราวเซอร์ด้วยช่องโหว่ใน ลักษณะนี้เรียกว่า Drive-by-browser

ช่องโหว่ดังกล่าวพบในไฟล์ชุดคำ สั่งไลบรารี่ชื่อว่า mshtml.dll (MHTML) ของ Windows ซึ่งถูกเรียกใช้โดย Internet Explorer และมีอยู่บนระบบปฎิบัติการ Windows ทุกเวอร์ชัน ในส่วนของการป้องกัน Microsoft ได้ออกเครื่องมือ Fixit ทีสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่เปิดเผยว่า มีแผนจะออกแพทช์ของบั๊กตัวนี้เมื่อไร ความจริงไมโครซอฟท์รับทราบเรื่องช่องโหว่นี่้จากทางกูเกิ้ลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยวิศวกรกูเกิ้ลได้เปิดเผยขั้นตอน และเครื่องมือในการแฮค เพื่อพิสูจน์บั๊กดังกล่าวบนอินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งให้ข้อมูลเชิงเทคนิค อีกทั้งยังเดือนว่า แฮคเกอร์ชาวจีนอาจจะพบปัญหานี้แล้วก็ได้ แต่ Microsoft กล่าวว่า พวกเขาไม่เห็นว่าจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการโจมตีช่องโหว่ดังกล่าวได้อย่าง ที่กูเกิ้ลนำเสนอมา

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Peel "ทีวีไกด์+รีโมท" สำหรับ iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มีนาคม 2011, 21:48:38
Peel แอพฯ "ทีวีไกด์" ที่เปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีบน iTunes ซึ่งโดยฟังก์ชันของมันก็มีไว้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้น หรือแนะนำว่า ขณะนี้มีรายการทีวีอะไรทีน่าดูบ้างจากเคเบิ้ลทีวีหลายร้อยช่อง แถมยังมีความฉลาดในการคัดเลือกรายการที่ผู้ใช้น่าจะชอบโดยอ้างอิงจากรายการ ที่เราเลือกชม ล่าสุดแอพฯดังกล่าวมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเปลียนให้ iPhone ของคุณกลายเป็นรีโมททีวีได้ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/peel-tv-guide-app-universal-remote-for-iphone-ipod-touch-ipad-2.jpg)

นั่นหมายความว่า นอกจาก Peel จะสามารถแนะนำรายการทีวีที่น่าสนใจแล้ว ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนช่องทีวี เพื่อเลือกชมรายการดังกล่าวได้ทันที นอกจากนี้ มันยังทำหน้าที่เป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ DVR (Digital Video Recorder) ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณสามารถสั่งบันทึกรายการผ่านแอพฯบน iPhone ได้ทันที จุดเด่นของฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เป็นรีโมทครอบจักรวาลของ Peel ก็คือ ดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร  แต่สามารถวางบนโต๊ะในห้องนั่งเบ่นได้อย่างลงตัว

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/peel-tv-guide-app-universal-remote-for-iphone-ipod-touch-ipad-3.jpg)

ผู้ใช้ iPhone, iPod Touch หรือ iPad สามารถสั่งรีโมทของ Peel ควบคุมโฮมเธียร์เตอร์ได้อย่างง่ายดาย โดยการทำงาน Peel บน iPhone จะส่งคำสั่งไปยังฮาร์ดแวร์รีโมทผ่านทาง Wi-Fi เพื่อให้มันยิงสัญญาณอินฟราเรดไปยังทีวี หรือ DVR ของคุณ ซึ่งนอกจาก Peel จะช่วยแนะนำรายการ พร้อมทั้งให้คุณเปลี่ยนช่อง ตลอดจนบันทึกรายการทีวีที่ชอบได้แล้ว มันยังสามารถแนะนำรายการทีวีที่น่าสนใจให้เพื่อนคุณได้ทราบผ่านทาง Facebook และ Twitter ได้อีกด้วย Peel system สามารถสั่งซื้อได้ที่ Apple Store สนนราคาอยู่ที่ 99 เหรียญฯ (ประมาณ 3,200 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google Circles โซเชียลเน็ตเวิร์กบนเสิร์ช
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มีนาคม 2011, 22:02:03
แน่นอนว่า Google คงไม่ยอมให้ Facebook เสวยสุขอยู่ในโลกของ Social Network อยู่เพียงฝ่ายเดียว จากรายงานข่าวล่าสุด Google เตรียมปล่อยหมัดเด็ด (อีกแล้ว) ด้วยการเพิ่มคุณสมบัติการทำงานใหม่ขึ้นไปบนบริการต่างๆ ตั้งแต่ เสิร์ชของ Google เองไปจนถึงบริการรูปภาพ Picasa วิดีโอบน YouTube เรื่อยไปจนถึงบริการแผนที่ Google Maps โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในงาน Google I/O 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 10 - 11 พฤษภาคม ศกนี้

ความจริง "Google Circles" ก็คือ โปรเจ็กต์ที่ใช้โค้ดเนมว่า "Google Me" ซึ่งได้มีการพูดถึงมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดย Eric Schmidt ซีอีโอของ Google (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายบริหาร) ที่ยืนยันว่า การเพิ่มคุณสมบัติที่เรียกว่า Social layer (ไม่ใช่การเป็นโซเขียลเน็ตเวิร์กเต็มตัว) กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยรายงานข่าวล่าสุดอ้างว่า Google Circles จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์เมสเสจ หรือ status ระหว่างกลุ่มเพื่อนที่อยู่บนโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ได้ (ด้วยเหตุนี้จึงตั้งชื่อว่า Social Circles) นอกเหนือจากการแชร์รูปภาพ วิดีโอ การเช็คอินระบบ (เช่น เพื่อนคนไหนกำลังออนไลน์อยู่ในโซเชียลใดบ้างเป็นต้น) และอื่นๆ อีกมากมาย กล่าวโดยสรุป Google Circles จะทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับเพื่อนๆ ใน Social Network ต่างๆ ได้พร้อมกันผ่านบริการต่างๆ ของ Google นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/Google-Circles-animated-gif.gif)

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึง Picnik บริการแก้ไขภาพถ่ายบนออนไลน์ที่สามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่านบราว เซอร์ Google Circles จะเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ บน Social Network เข้าไปในบริการ โดยจะเปิดให้บริการในช่วงระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม ศกนี้ และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ Google จะพยายามดึง Social Network เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริการ หลังจากที่เปิดหน้าชนในผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะป็น Wave, Chrome, Web App Store และ Google TV ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการเหล่านี้ต่างใช้เวทีการประชุม Google I/O ในการเปิดตัวทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การผนึกกำลังของสินค้าและบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นงานใหญ่ที่ Google คงต้องพยายามไปให้ถึงให้ได้ คุณผู้อ่านเคยลองนับดูไหมครับว่า วันนี้เราใช้บริการอะไรของ Google บ้าง?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ไทยสิ้นหวัง? หลังดีลเลอร์จีนควักเงินตัวเองรีฟันด์ "iPad"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 มีนาคม 2011, 22:29:16
บริษัทตัวแทนจำหน่ายไอแพด (iPad) บางรายในประเทศจีนไม่ง้อแอปเปิล ยอมควักกระเป๋าตัวเองคืนเงินส่วนต่างราคา iPad (รีฟันด์) เพราะห่วงความรู้สึกของสาวกที่ซื้อเครื่องในราคาเต็มก่อนแอปเปิลจะประกาศลด ราคาแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยยังสิ้นหวังเพราะดีลเลอร์ไทยไร้แววเล่นด้วย แหล่งข่าวระบุไอสตูดิโอต้องนั่งรอสัญญาณจากแอปเปิลท่าเดียว แม้แอปเปิลเอเชียจะย้ำชัดว่าดีลเลอร์สามารถตัดสินใจรีฟันด์ได้ตามนโยบายของตัวเอง ล่าสุด "สารี อ๋องสมหวัง" ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะ สาวกไอแพดไม่ควรก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่ควรรวมตัวเพื่อเรียกร้องความเป็น ธรรม เพราะซื้อของชิ้นเดียวกัน จากผู้ผลิตรายเดียวกัน ก็ควรได้รับการปฏิบัติมาตรฐานเดียวกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003396001.JPEG)

      ต้นเหตุของเรื่องนี้มาจากการประกาศลดราคาสินค้ารุ่นเก่าตามธรรมเนียมหลังจากเปิดตัวไอแพดรุ่นใหม่ “ไอแพด 2 (iPad 2)” โดยในสหรัฐฯ แอปเปิลหั่นราคาไอแพด 1 (รุ่นดั้งเดิม) ทุกรุ่นลง 100 เหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ราคาไอแพดในประเทศไทยและทั่วโลกลดลงทันทีในวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา เฉพาะประเทศไทย ราคาเริ่มต้นของไอแพดลดเหลือ 12,900 บาท จากเดิม 15,900 บาท
      
      ส่วนต่าง 100 เหรียญหรือประมาณ 3,000 บาทที่หายไปแบบสายฟ้าฟาดโดยที่ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้นี้เองที่เป็น ชนวนของเรื่องทั้งหมด โดยแอปเปิลมีนโยบายคืนเงินส่วนต่างนี้ให้เฉพาะผู้ซื้อสินค้าราคาเต็มช่วง ก่อนประกาศลดราคา 14 วันจากร้านแอปเปิลสโตร์เท่านั้น โดยในประเทศที่ไม่มีการตั้งสาขาแอปเปิลสโตร์อย่างเป็นทางการ แอปเปิลก็จะคืนเงินให้เฉพาะผู้ซื้อผ่านเว็บไซต์กับแอปเปิล
      
      ประเทศไทยเข้าข่ายกรณีดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ซื้อไอแพดทาง http://store.apple.com/th เท่านั้นที่สามารถขอเงินคืนหรือรีฟันด์ได้ 3,000 บาท แต่ผู้ที่ซื้อผ่านร้านไอสตูดิโอ (iStudio) ตัวแทนจำหน่ายซึ่งเป็นร้านขายสินค้าแอปเปิลรายหลักในประเทศไทยไม่สามารถขอรี ฟันด์จากแอปเปิลได้ โดยจากการสอบถามพนักงานของ iStudio ย่านใจกลางเมือง ให้ข้อมูลว่าเนื่องจากการเป็นเพียงร้านตัวแทนจำหน่าย (Authorized) ทางร้านจึงไม่สามารถรีฟันด์เงินคืนให้แก่ลูกค้าได้ สร้างความคับข้องใจให้ผู้บริโภคไทยที่บางส่วนเริ่มตั้งปนิธานว่านับแต่นี้ จะสั่งซื้อสินค้าแอปเปิลจากร้านออนไลน์ของแอปเปิลเท่านั้น เพื่อป้องกันการเสียสิทธิที่ควรได้รับ
      
      นอกจากประเทศไทย สาวกแอปเปิลในประเทศจีนซึ่งมีร้านแอปเปิลสโตร์เพียง 2 สาขา และมีตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 94 รายทั่วประเทศก็ส่งเสียงไม่พอใจเช่นเดียวกัน โดยผู้ซื้อไอแพดช่วง 14 วันจากดีลเลอร์จีนก่อนการลดราคาได้รวมตัวกัน ร้องเรียนต่อหอการค้าอิเล็กทรอนิกส์จีน จนทำให้ดีลเลอร์จีนตัดสินใจออกค่าใช้จ่ายด้วยตัวเองเพื่อรีฟันด์เงินให้ผู้ บริโภค ก่อนจะไปเจรจากับแอปเปิลในอนาคต

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003396002.JPEG)

***จีนเฮ-ไทยยังไร้แวว***
      
      แอปเปิลสโตร์ในประเทศจีนทำตามนโยบายที่ระบุไว้ในเงื่อนไขของร้าน ยอมคืนเงินมูลค่า 1,100 หยวนแก่ผู้ซื้อไอแพดจากร้านแอปเปิลสโตร์ในช่วงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2554 ทำให้ผู้ซื้อไอแพดในวันและเวลาเดียวกันจากร้านค้าปลีกจำนวน 177 คน รวมตัวกันร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ 315ts.net ซึ่งเป็นเว็บไซต์ร้องเรียนสำหรับผู้บริโภคของหอการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (China Electronics Chamber of Commerce) หอการค้าจีนจึงเริ่มสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา
      
      แต่ดีลเลอร์จีนไม่ได้รอให้การสอบสวนสิ้นสุด โดยร้าน Gome และ Suning ตัวแทนจำหน่ายสินค้าแอปเปิลซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และมีสาขาทั่วประเทศจีน ประกาศให้ส่วนลดเงินคืนแก่"เหยื่อไอแพด 14 วัน"เพราะได้รับเสียงร้องเรียนมากมาย โดยบอกว่าจะยอมออกค่าใช้จ่ายในการรีฟันด์เอง ก่อนจะเจรจากับแอปเปิลอีกครั้ง เช่นเดียวกับร้าน 360buy.com หนึ่งในผู้ค้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ของจีน ที่ระบุว่าจะยอมออกทุนในการรีฟันด์ด้วยตัวเอง ขณะที่ผู้ซื้อสินค้าจากร้านไอทีรายเล็กและร้านเครื่องหิ้วจะต้องทำใจเพราะ ร้านค้าเหล่านั้นไม่มีนโยบายรีฟันด์เงินคืน
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นตรงกับความเห็นของจิล ตัน (Jill Tan) ประชาสัมพันธ์แอปเปิลเอเซีย สาขาฮ่องกง ซึ่งระบุว่าการรีฟันด์ที่เกิดขึ้นเป็นนโยบายของร้านแอปเปิลสโตร์เท่านั้น และการรีฟันด์ในร้านค้าปลีกรายอื่น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อดีลเลอร์เหล่านั้นมีนโยบายการคืนเงินของตัวเอง
      
      "ดีลเลอร์อาจไม่ต้อง มีนโยบายรีฟันด์เป็นเงินสด แต่สามารถรีฟันด์เป็นคูปอง หรือเป็นสิทธิพิเศษอื่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของดีลเลอร์เอง นโยบายรีฟันด์ของแอปเปิลก็เป็นไปตามเงื่อนไขของร้านแอปเปิลสโตร์"
      
      กรณีที่เกิดขึ้นอาจทำให้ชาวไทยมีความหวัง แต่จากการสอบถามแหล่งข่าวในวงการค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองไทย พบว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่ดีลเลอร์ไทยแต่ละรายจะตัดสินใจรีฟันด์เงินคืนกันเองโดยไม่ต้องรอสัญญาณจากแอปเปิลประเทศไทย สิ่งที่เป็นไปได้คือการดำเนินนโยบายร่วมกันโดยพร้อมเพรียงในนาม iStudio ทำให้ขณะนี้ร้านค้าได้แต่เข้าเกียร์ว่างเพื่อรอสัญญาณต่อไป

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003396003.JPEG)

***องค์กรผู้บริโภคแนะต้องรวมตัว***
      
      "สารี อ๋องสมหวัง" ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่าผู้บริโภคไม่ควร ยอมแพ้ แต่ควรรวมตัวเพื่อให้ iStudio ปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกับแอปเปิลสหรัฐฯ จุดประกายว่าผู้ซื้อสินค้ารุ่นเดียวกันก็ควรได้รับการดูแลแบบเดียวกัน
      
      "ถ้ามีการเขียนโฆษณาไว้ก็สามารถฟ้องตามพ.ร.บ. วิธีพิจาณาคดีผู้บริโภคได้ แต่ถ้าไม่มีเขียนเป็นโฆษณา ก็อาจใช้การรวมตัวกันเรียกร้องเพื่อให้ศาลออกคำสั่งให้ iStudio ใช้มาตรฐานเดียวกันกับแอปเปิล ดีลเลอร์เหล่านี้อาจจะมีภาระเพิ่มมานิดหน่อย แต่ก็คุ้มถ้าได้รับความไว้วางใจจากผู้ซื้อในระยะยาว"
      
      จริงอยู่ที่การลดราคาในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นเกิดขึ้นเป็นประจำจน ผู้บริโภคส่วนทำใจได้นานหลาย 10 ปีแล้ว แต่กรณีของไอแพดและแอปเปิลที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความต่างของสองมาตรฐานที่ผู้ บริโภคบางส่วนรับไม่ได้ จุดนี้แหล่งข่าวอีกรายในกลุ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้ความเห็น ว่า กระแสต่อต้านอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้หากแอปเปิลสโตร์ไม่มีนโยบายรีฟันด์เงินคืน โดยระบุว่าเป็นไปได้ยากที่ดีลเลอร์ไทยจะยอมออกทุนรีฟันด์เองเพราะกำไรใน ธุรกิจนี้มีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 5% เท่านั้น
      
      กรณีที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นกรณีสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการรีฟันด์สินค้าของบริษัทใหญ่รายอื่นในอนาคต โดย ล่าสุด ประสัมพันธ์แอปเปิลยังไม่ให้คำตอบเรื่องแนวโน้มการเจรจากับดีลเลอร์ในประเทศ ไทย ต่อความเป็นไปได้ในการช่วยเหลือเงินรีฟันด์ รวมถึงผลกระทบด้านลบในช่องทางการจำหน่ายสินค้าแอปเปิล ผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่าง iStudio ขณะที่ iStudio ไม่เปิดเผยตัวเลขจำนวนผู้ซื้อไอแพดราคาเต็มในช่วง 14 วันก่อนการลดราคา
      
      และไม่ว่าคนไทยจะได้ รับเงินรีฟันด์หรือไม่ พนักงาน iStudio ก็ยังยืนยันว่า ชาวไทยยังเดินเข้าร้านเพื่อซื้อหาไอแพดราคาใหม่อย่างคึกคักเช่นเดิม.
      
      ***ราคา iPad2 เครื่องหิ้วมาแล้ว!***
      
      หลังจากแอปเปิลวางจำหน่าย iPad2 อย่างเป็นทางการในสหรัฐฯไม่กี่วัน ผู้ค้าย่านปทุมวัน ประกาศราคาจำหน่าย iPad2 เครื่องหิ้ว ล็อตแรก (ของเข้าช่วงวันที่ 15 มีนาคม) ออกมาในทวิตเตอร์เรียบร้อยแล้ว ไล่ตั้งแต่รุ่น Wi-Fi 16GB สีดำเริ่มที่ 31,000 บาท ขณะที่สีขาวเริ่มที่ 31,800 บาท ส่วนรุ่น 3G + Wi-Fi รุ่น 16 GB เริ่มต้นที่ 34,900 บาท สีขาว เริ่มที่ 35,700 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แฮคเกอร์ถล่มช่องโหว่ที่พบในแฟลชทันที
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 มีนาคม 2011, 21:06:53
รายงานข่าวล่าสุด Adobe ออกมาแจ้งเตือนผู้ใช้สำหรับช่องโหว"ร้ายแรง"ใน Flash Player ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ถูกนำไปใช้ในการโจมตีผ่านทางไฟล์เอกสาร Microsoft Excel แล้ว โดยช่องโหว่ (zero-day bug) ดังกล่าวจะพบได้ในโปรแกรม Flash Player เวอร์ชัน 10.2.152.33 และเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ซึ่งผลกระทบของช่องโหว่ยังรวมถึงโ)รแกรม Reader และ Acrobat ด้วย

เนื่องจากใช้องค์ประกอบซอฟต์แวร์ที่มีช่องโหว่นั่นคือ authplay.dll ซึ่งจะมพร้อมกับโปรแกรมจัดการไฟล์ PDF ยอดนิยม โดยช่องโหว่ที่ใช้ในการโจมตีครั้งนี้จะพบได้ใน Reader และ Acrobat X เวอร์ชัน 10.0.01 รวมถึงเวอร์ชันก่อนหน้านี้ที่ทำงานบน Windows และ Macintosh Wendy Poland ผู้จัดการฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยของโปรแกรมที่ Adobe โพสต์ข้อความแจ้งว่า ผู้บุกรุกจะใช้ประโยชน์ของช่องโหว่ด้วยการฝังโค้ดไฟล์แฟลชอันคราย (malicious SWF flash file) เข้าไปในไฟล์เอกสาร XLS ของ Excel แล้วแนบส่งไปกับอีเมล์ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ใช้ Reader หรือ Acrobat ถูกโจมตีด้วยช่องโหว่ดังกล่าว

(http://www.arip.co.th/images/news/adobe/adobe-warns-hacker-uses-flash-flaw-to-attack-via-exel-file-2.jpg)

สำหรับกำหนดการออกแพตช์ เพื่ออุดช่องโหว่ zero-day นี้จะเป็นวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม ศกนี้ ทางด้าน Roel Schouwenberg นักวิจัยอาวุโสฝ่ายแอนตี้วไรัสของ Kaspersky Lab กล่าวว่า เขาไม่คิดว่า ไมโครซอฟท์กับอะโดบี้จะยอมให้มีการเชื่อมโยงการทำงานของสองผลิตภัณฑ์ด้วย วิธีดังกล่าว ซึ่งเขาเข้าใจดีว่า ทำไมผู้บุกรุกถึงใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทีว่านี้ "โครงสร้างในลักษณะนี้เหมาะมากสำหรับการเซตอัพเป้าหมาย เพื่อการโจมตี" Schouwenberg โพสต์ไว้ในบล็อก "และไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเป้าหมายการโจมตีถึงเป็นไปในลักษณะนี้ โดยเฉพาะการใช้ไฟล์เอกสาร Excel เป็นพาหะ เนื่องจากมันสามารถถูกส่งทางอีเมล์ได้ง่ายนั่นเอง ดังนั้น หากคุณได้รับไฟล์แนบเป็น XLS โดยที่คุณไม่ได้ร้องขอจากผู้ส่ง แนะนำว่า อย่าเปิดมันขึ้นมาจะเป็นการปลอดภัยกว่า

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft จะเลิกทำเครื่องเล่นมีเดีย Zune
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 มีนาคม 2011, 22:14:19
หลังจากที่ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้พยายามโค่นบัลลังก์ iPod ของ Apple ด้วยการแนะนำเครื่องเล่นมีเดียภายใต้แบรนด์ Zune มาตั้งแต่ปี 2006 อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดสักเท่าไร ล่าสุดมีข่าวออกมาว่า ทางบริษัทได้ตัดสินใจเลิกพัฒนา และผลิตเครื่องเล่น Zune แล้ว

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Bloomberg ระบุว่า Microsoft จะหยุดการผลิตเครื่องเล่น Zune จากนี้เป็นต้นไป โดยจะพุ่งความสนใจไปที่ร้านจำหน่ายเพลง (Music Store) ให้ไปใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟนแทน แหล่งข่าวปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดมากไปกว่านี้ เนื่องจากทางไมโครซอฟท์ยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ให้สังเกตข้อมูลจาก NPD ที่ระบุว่า Microsoft Zune ไม่ติด 5 อันดับเครื่องเล่นเพลงพกพายอดนิยมในสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในขณะที่ iPod ของ Apple ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องเล่นมีเดียอยู่ที่ 77% ในสหรัฐฯ (ส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกก็ไม่แตกต่างไปจากนี้มากนัก)

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/Microsoft-discontinue-Zune-the-ipod-rival-2.jpg)

ย้อนกลับไปในปี 2006 Steve Ballmer ซีอีโอของ Microsoft ก็ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า "เราสามารถไล่ตามพวกเขา (iPod ของ Apple) ทัน แต่มันก็ไม่ง่ายเลย" พร้อมทั้งยืนยันความตั้งใจในการที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์ตัวนี้ให้สามารถช่วง ชิงส่วนแบ่งตลาดให้จงได้ ซึ่งหลังจากนั้น ทางบริษัทก็ได้ออก Zune HD ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2009 โดยคาดว่า มันจะสามารถเอาชนะ iPod Touch ของ Apple ได้ เนื่องจากสเป็กเครื่องที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้หน้าจอแสดงผลทีใช้เทคโนโลยี OLED โพรเซสเซอร์ NVIDIA Tegra ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งในด้านการประมวลผล และกราฟิก สนับสนุนการเล่น HD Radio และแพลตฟอร์มเกมส์ใหม่ แต่ถึงแม้จะพยายามสักเท่าไร? Zune HD ก็ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดอยู่ดี

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/Microsoft-discontinue-Zune-the-ipod-rival-3.jpg)

นอกจากจะเปิดหน้าชนกับ iPod Touch แล้ว ทางไมโครซอฟท์ยังเผชิญกับปัญหาส่วนแบ่งตลาด Windows Phone ที่หดตัวลงตั้งแต่ iPhone ของ Apple เปิดตัวเมื่อปี 2007 อีกทั้งยังมีระบบปฏิบัติการบนมือถือ Android ของ Google ที่กำลังมาแรงอีกด้วย ล่าสุด Windows Phone 7 ก็ยังต้องออกแรงผลักดันกันอีกพอสมควร การเลิกผลิต Zune แล้วย้าย Music Store มาสนับสนุน Windows Phone 7 จึงอาจเป็นทางออกที่ลงตัวกว่า

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft เปิดให้โหลดฟรี โปรแกรมสร้างและเผยแพร่เว็บไซต์ "WebMatrix"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 มีนาคม 2011, 22:27:09
Microsoft WebMatrix สร้างและเผยแพร่เว็บไซต์ ง่ายและรวดเร็ว โหลดใช้ฟรี!

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft5/wm-image.jpg)

Create, customize and publish websites with WebMatrix

WebMatrix เป็นเครื่องมือพัฒนาเว็บไซต์ตัวใหม่จาก Microsoft ที่มีทุกเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ เริ่มต้นจากWeb application Templateที่มีอยู่ในWebMatrix หรือการเริ่มเขียนโค้ดด้วยตัวคุณเอง เป็นการรวมทุกอย่างไว้ด้วยกันให้ใช้งานง่าย ดาวน์โหลดใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้ ซึ่งไม่มีโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ใดที่ให้คุณได้มากเท่านี้มาก่อน

Create your website

เริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแพลตฟอร์ม Microsoft WebMatrix และติดตั้งโปรแกรมภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที เพียงเท่านี้คุณสามารถใช้งาน web application เวอร์ชันล่าสุด ได้อย่างง่ายดายทั้ง WordPress, Joomla!, DotNetNuke และ Orchard.เป็นต้น

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft5/wm-customize-feature.jpg)

Customize your website

ทันทีที่คุณใช้ WebMatrix คุณจะพบทันทีว่ามีเครื่องมือทั้งหมดที่จำเป็นต่อการทำ single unified interface โบกมือลาวิธียุ่งยากเดิมๆที่ต้องสลับไปมาระหว่างApplication Programต่างๆ วิธีทำงานด้วยWebMatrixนั้น เพียงคลิกเดียวคุณก็สามารถแก้ไขไฟล์ จัดการฐานข้อมูล และปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างง่ายดาย

Publish your website

WebMatrix มีวิธีการPublishเว็บไซต์ของคุณขึ้นบนอินเตอร์เน็ตอย่างน่าทึ่ง ในโฮสต์ติ้งแกลลอรี่ของ WebMatrix คุณสามารถเลือกใช้Hosting Provider มืออาชีพที่เหมาะสมและตอบโจทย์การใช้งานเว็บไซต์อย่างราบรื่น และคุณยังสามารถPublishเว็บไซต์ได้โดยตรงจาก WebMatrix

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft5/webmatrix.jpg)

WebMatrix โหลดฟรี ใช้งานง่าย คุณภาพดี ดาวน์โหลดและลุ้นรับของรางวัลง่ายๆที่นี่ www.microsoft.com/thailand/web/webmatrix (http://www.microsoft.com/thailand/web/webmatrix)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: pramoolthai ที่ 15 มีนาคม 2011, 22:28:23
 :wanwan017:


หัวข้อ: Apple iPad 2 ยอดขายทะลุ 5 แสนเครื่องแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 มีนาคม 2011, 22:38:18
นักวิเคราะห์จาก Piper Jaffray และ Deutsche Bank เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Apple อาจทำยอดขาย iPad 2 ได้มากกว่า 500,000 เครื่องเลยทีเดียว แม้ว่าในตลาดจะมี"แท็บเล็ต"ที่เป็นคู่แข่งของมากกว่าร้อยรุ่นให้ผู้บริโภค ได้จับจองเลือกซื้อกันก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีนักวิเคราะห์จาก Ticonderoga Securities และ Wedbush Morgan Securities ที่ออกมาเปิดเผยการประเมินตัวเลขยอดขายของ iPad 2 ด้วยเช่นกัน แต่เป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อกว่า เนื่องจากสองบริษัทนี้คาดว่า Apple น่าจะทำยอดขาย iPad 2 ได้เฉียด 1 ล้านเครื่องไปแล้ว ตัวเลขดังกล่าวมาจากการสังเกตการณ์ที่มีรายงานว่า หน้าร้านของ Apple รวมทั้งห้างใหญ่อย่าง Target และ Best Buy ต่างก็ขาย iPad 2 จนเกลี้ยงสต๊อก (ล่าสุดทาง Apple เตรียมเปิดร้านเร็วขึ้น เพื่อโหลด iPad 2 เข้าไปในร้าน) นอกจากนี้ออร์เดอร์บนออนไลน์ยังต้องรอนานอีกเป็นเดือนถึงจะส่งให้ได้ ซึ่งนานขึ้นจากเดิมที่คาดว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/ipad-2-sales-more-than-500000-units-in-the-first-weekend-2.jpg)

นักวิเคราะห์กล่าวว่า Apple น่าจะทำยอดขาย iPad ในไตรมาสแรกของปีนี้ได้มากกว่า 5.5 ล้านเครื่องตามที่ได้มีการประเมินไว้ โดย 70% ของผู้ซื้อ iPad จะเป็นลูกค้าใหม่ที่ตัดสินใจซื้อ iPad เป็นเครื่องแรก ซึ่งนั่นหมายความว่า Apple กำลังได้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย กล่าวโดยสรุป iPad 2 เปิดตัวได้แรงไม่แพ้รุ่นแรก ในขณะที่ผลการสำรวจที่หน้าร้าน Best Buy ปรากฎว่า iPad 2 ขายหมดภายใน 4 นาที นอกจาก iPad 2 จะได้รับการเปิดให้เห็นชิ้นส่วนภายในโดย iFixit แล้ว ล่าสุด iSuppli ประเมินต้นทุนของฮาร์ดแวร์ iPad 2 ปรากฎว่าอยู่ที่ 326.60 เหรียญฯ (ราคาขาย 499 เหรียญฯ) แพงกว่าต้นทุนของ iPad รุ่นแรก (320 เหรียญฯ) "ความต้องการ iPad 2 น่าอัศจรรย์มาก และเรากำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อส่งมอบ iPad 2 ให้กับลูกค้าทุกคนที่ต้องการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" Trudy Muller ประชาสัมพันธ์ของ Apple กล่าว อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขของ iPad 2 ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

จากสถิติจนถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Apple ทำยอดขาย iPad ได้มากถึง 14.8 ล้านเครื่อง สร้างรายได้ให้กับบริษัท 9.6 พันล้านเหรียญฯ และเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มียอดขายเร็วทีสุดในประวัติศาสตร์ ทางด้านคู่แข่งอย่าง Motorola, Samsung, RIM และ HP ที่เปิดตัวแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อต่อสู้กับ iPad แต่หากพิจารณาภาพรวมมีแท็บเล็ตให้เลือกในท้องตลาด (และอยู่ในระหว่างการพัฒนา) มากถึง 102 รุ่นจาก 64 แบรนด์ ซึ่งทาง Samsung เองก็เพิ่งออกมายอมรับว่า Tab 10.1 ยังดีไม่พอที่จะสู้กับ iPad 2 งานนี้ Apple ทิ้งห่างคู่แข่งไปอีกหลายขุมทีเดียว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: กระแสแท็บเล็ตฮิต ยอดจอสัมผัสทะลุ 60 ล้านจอ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 15 มีนาคม 2011, 22:47:37
รายงานข่าวล่าสุด ยอดการส่งจอสัมผัสให้กับโรงงานผลิต"แท็บเล็ต"คาดแตะ 60 ล้านจอภายในปีนี้ ซึ่งมียอดเติบโตจากประมาณ 10 ล้านชิ้นในปี 2010 โดยมี iPad ของ Apple ที่มียอดการใช้จอสัมผัสขนาดใหญ่มากที่สุด และเพิ่มขึ้นในแต่ละปี

(http://www2.tbo.com/exposure/ar/659/372/2011/03/11/103862_apple_ipad_2_maye.jpg)

DisplaySearch ได้เปิดเผยผลการทำวิจัยตลาด Touch Panel Market Analysis เมื่อวันจันทร์ (14 มี.ค. 2011) ที่ผ่านมาว่า ยอดการส่งจอสัมผัสจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนับจากปีนี้เป็นต้นไป โดยตัวเลขที่มีการคาดการณ์ระบุว่า ในปี 2014 จะมีการส่งจอถึง 150 ล้านชิ้น และเมื่อถึงปี 2016 จะแตะ 260 ล้านชิ้น (โด 333% เมื่อเทียบกับปี 2011) ซึ่ง Apple จะครองส่วนแบ่งการใช้จอสัมผัสมากทีสุดไปจนถึงปี 2013

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/tablets-push-touch-screen-growth-apple-ipad-leads-2.jpg)

"การเติบโตที่รวดเร็วของแท็บเล็ตส่งผลให้การบริโภคจอสัมผัสเพิ่มขึ้นอย่าง สูงตามไปด้วย" ทีมวิจัยตลาดจาก DisplaySearch กล่าว "ผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตพีซีส่วนใหญ่จะใช้จอสัมผัสเทคโนโลยี capacitive (ใช้นิ้วสัมผัส) แบบเดียวกับ Apple ในขณะเดียวกันจะแท็บเล็ตพีซีเพียงส่วนน้อยที่ใช้จอสัมผัสแบบ resistive (ใช้สไตลัส) เนื่องจากราคาถูกกว่า และสนับสนุนเทคโนโลยีรู้จำลายมือเขียน (handwriting recognition) และการวาดรูป (drawing)"

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: True ทุ่ม 5 พันล้านส่งเน็ต 100 เมกถึงบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 02:18:31
ทรูทุ่ม 5,000 ล้านบาท ลุยให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลความเร็วสูงสุด 100 Mbps ตั้งเป้าให้บริการครอบคลุม 1.5 ล้านครัวเรือนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดตาม 6 หัวเมืองใหญ่ พร้อมคอนเวอร์เจนซ์ทรูวิชันส์หวังผลักดันผู้ผลิตสร้างคอนเทนต์ความละเอียดสูง
      
(http://www.thaibusinesspr.com/wp-content/uploads/2010/06/Ultra-hi-speed-by-TrueOnline.jpg)

      ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บรืหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การเปิดให้บริการ Ultra hi-speed Internet ความเร็วสูงสุด 100 Mbps ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทย ให้เท่าเทียมกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ให้เข้าถึงทุกครัวเรือนในประเทศไทย
      
      "ทางทรูใช้งบลงทุนในการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็ว สูง 5,000 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันเปิดให้บริการครอบคลุมทั้งหมด 300,000 ครัวเรือน และตั้งเป้าว่าภายในปีนี้จะครอบคลุมทั้งหมด 1.5 ล้านครัวเรือน ทั้งในกรุงเทพฯ และ 6 เมืองหลัก"
      
      ทั้งนี้ ทรูออนไลน์ มีผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์อยู่ที่ 814,000 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.7% หรือเพิ่มขึ้น 122,000 ราย แต่ในปีนี้ทรูตั้งเป้าเพิ่มยอดผู้ใช้งานให้ได้ถึง 200,000 ราย จากการให้บริการ Ultra hi-speed Internet ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
      
      นนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานบริการบรอดแบนด์ ให้ข้อมูลว่า การให้บริการของทรูออนไลน์ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือการให้บริการผ่าน ADSL เดิม และการให้บริการผ่านเคเบิล ที่เพิ่งเปิดทดลองตลาดในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา
      
      "ในช่วงทดลองใช้บริการมีผู้ใช้บริการที่ใช้ความเร็วมากกว่า 10 Mbps อยู่ราว 20% ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักส่วนใหญ่คือผู้บริโภคที่มีความไฮเอนด์ รวมถึงร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต"
      
      ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรูออนไลน์ หันมาพัฒนาการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง เกิดขึ้นจากคอนเทนต์จำนวนมากในปัจจุบันเริ่มอยู่ในรูปแบบของความละเอียดสูง รวมถึงมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆจำนวนมากเข้ามาใน ระบบ
      
      "การเข้ามาของทั้งอินเทอร์เน็ตทีวี สมาร์ทโฟน รวมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตพกพาอย่างแท็บเล็ต กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมาก ขึ้น" นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ ทรูออนไลน์ กล่าว
      
      การพัฒนาโครงข่ายเคเบิลบนเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านเคเบิลที่ใช้สาย Hybrid Fiber Coax (HFC) ที่สามารถแยกการให้บริการอินเทอร์เน็ตและเคเบิลทีวีได้ ทำให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทรูวิชันส์สามารถให้บริการได้ด้วย
      
      โดยทางทรูวิชันส์ มองว่าการให้บริการทีวีผ่านดาวเทียมในปัจจุบันจะมีปัญหารับส่งสัญญาณไม่ได้ ในกรณีที่มีฝนตก ทำให้ทางทรูวิชันส์ มุ่งพัฒนาให้ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้บริการผ่านเคเบิลแทน
      
      "แม้ว่าการให้บริการผ่านดาวเทียมจะช่วยให้ย่านที่อยู่ห่างไกลเมือง ได้รับบริการที่เท่าเทียมกัน แต่จะมีปัญหาตอนฝนตก เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเคเบิล จะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาดังกล่าว และยังสามารถเพิ่มช่องในการให้บริการความละเอียดสูง ที่อาจจะสูงถึง 10 ช่อง จากปัจจุบันที่มีอยู่ไม่กี่ช่อง"
      
      สำหรับบริการ Ultra hi-speed Internet 10 - 100 Mbps จากทรูออนไลน์ เริ่มต้นตั้งแต่ 10/1 Mbps คืออัตราดาวน์โหลดสูงสุด 10 Mbps และอัปโหลดสูงสุด 1 Mbps ในราคา 699 บาท ถัดมาเป็น 20/2 Mbps, 30/3 Mbps, 50/5 Mbps และ 100/10 Mbps ตั้งแต่ 1,299 บาท, 1,799 บาท, 2,799 บาท และ 4,490 บาท ตามลำดับ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โตชิบา วางเป้ารักษาโต 40% เล็งทำตลาดแท็บเล็ต เม.ย.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 02:36:52
โตชิบา มองตลาดโน้ตบุ๊กไทยยังมีอัตราการเติบโตได้อีก แม้กระแสแท็บเล็ตกำลังเข้ามาในตลาด คาดสิ้นปียอดรวมโน้ตบุ๊ก 2.4 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20% ส่วนเป้าโตชิบารักษาอัตราการเติบโต 40% ให้มีส่วนแบ่งในตลาด 10-15% เล็งนำแท็บเล็ตที่ใช้หน่วยประมวลผล Oak trail ของอินเทล เข้าทำตลาดเดือนเมษายน 2-3 รุ่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003580201.JPEG)

      นายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ความต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในตลาดโน้ตบุ๊กยังคงอยู่ที่เครื่องระดับ ราคาไม่เกิน 18,000 บาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนราว 70% ของตลาดโน้ตบุ๊ก ทำให้โตชิบาจำเป็นต้องออกผลิตภัณฑ์เพื่อมารองรับตลาดส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น
      
      "จากเดิมโตชิบามีผลิตภัณฑ์ในระดับต่ำกว่า 18,000 บาท เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น แต่ในปีนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 6 รุ่น โดยแบ่งเป็นในระดับ 12,000 - 15,000 บาท 3 รุ่น และ 15,000 - 18,000 บาท อีก 3 รุ่น เพื่อช่วยให้โตชิบาสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น"
      
      โดยจากการเพิ่มงบการลงทุนเป็น 200 ล้านบาทในปี 2554 ทำให้โตชิบา สามารถเข้าไปร่วมมือกับทางธนาคาร เพื่อจัดทำโปรโมชัน ผ่อน 0% รวมถึงเพิ่มสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าของธนาคารได้ครอบคลุมทุกธนาคาร จึงกลายเป็นอีกช่องทางที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ขึ้น
      
      ขณะเดียวกันการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดินเทรดอย่าง บิกซี คาร์ฟู และโลตัส จะช่วยให้โตชิบา มีช่องทางจำหน่ายเพิ่มกว่า 186 สาขา ทั่วประเทศ ช่วยให้โตชิบาสามารถเข้าไปทำตลาดในต่างจังหวัดได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
      
      "ในปีที่ผ่านมาโตชิบามีอัตราการเติบโตในส่วนของโน้ตบุ๊กอยู่ ที่ราว 40% ซึ่งทำให้ปิดไตรมาส 4 มีส่วนแบ่งตลาดขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 จากแชร์ 9% ซึ่งในปีนี้ก็จะพยายามรักษาอัตราการเติบโตดังกล่าวเพื่อให้สามารถมีแชร์เกิน 10% ในตลาดให้ได้ เนื่องจากทางบริษัทแม่ให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะมีขนาดใหญ่ในอาเซียนเป็นรองเพียงอินโดนีเซียเท่านั้น"
      
      ส่วนความคืบหน้าในการนำแท็บ เล็ตเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย ถกล ให้ข้อมูลว่า กำลังอยู่ในช่วงประสานเพื่อนำแท็บเล็ตทั้งรุ่น 7 นิ้ว 10 นิ้ว และ 11 นิ้วเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 ระบบปฏิบัติการด้วยกันคือ แอนดรอยด์ 3.0 (Honey Comb) วินโดวส์ เซเว่น และโครม
      
      "ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าในเดือนเมษายนจะนำเข้ามาจำหน่าย 2 หรือ 3 รุ่น เพราะมองว่าในตลาดมีแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วอยู่แล้ว ทำให้น่าจะโฟกัสไปที่ขนาด 10 นิ้วสำหรับคอนซูเมอร์ และ 11 นิ้วสำหรับองค์กรธุรกิจมากกว่า"
      
      สิ่งหนึ่งที่ทำให้โตชิบา ยังไม่ให้ความสำคัญกับตลาดแท็บเล็ตมากนัก เพราะเล็งเห็นว่า การเข้ามาของแท็บเล็ตในช่วงปีนี้ ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดโน้ตบุ๊ก แต่เชื่อว่าใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า เมื่อความต้องการของตลาดชัดเจนแล้ว แท็บเล็ตจะกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญของสินค้าเทคโนโลยี
      
      "การนำแท็บเล็ตเข้ามาจำหน่าย ในเบื้องต้นเพื่อเป็นการเพิ่มสีสันให้กับตลาด โดยไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถทำรายได้เป็นอย่างมากให้กับโตชิบาในปีนี้"
      
      ล่าสุดเปิดตัวโน้ตบุ๊ก 3 รุ่นใหม่ ที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชัน 2 ได้แก่ Satellite E300 ขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว มาพร้อมฟังก์ชัน Intel Wireless Display (WiDi) ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับหน้าจอความละเอียดสูงแบบไร้สาย ราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท Satellite L700 ที่มีด้วยกัน 2 ขนาดหน้าจอคือ 13.3 นิ้ว และ 14 นิ้ว โดดเด่นที่ฟังก์ชัน ยูเอสบี 3.0 ในราคาเริ่มต้นที่ 21,900 บาท สุดท้ายรุ่น Portege R830 โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงในรูปลักษณ์บางเบา เหมาะกับกลุ่มผู้บริหารที่เน้นโน้ตบุ๊กที่สามารถพกพาและทำงานได้ทุกรูปแบบ เริ่มต้นที่ 49,900 บาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ไมโครซอฟท์จุดพลุ IE9 เต็มรูปแบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 02:58:18
ตามความคาดหมาย ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดตัวโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ Internet Explorer 9 หรือ IE9 เวอร์ชันเต็มเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในงาน SXSWi ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ระยะแรก IE9 จะพร้อมใช้งานใน 39 ภาษาทั่วโลก สามารถดาวน์โหลดได้ก่อนใครที่เว็บไซต์ Beautyoftheweb.com
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564602.JPEG)

      ดีน แฮชฮาโมวิช ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ กล่าวบนเวทีงาน SXSWi ว่านี่คือเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับโลกออนไลน์ โดย การันตีว่า IE9 จะเป็นส่วนที่ดึงคุณสมบัติยอดเยี่ยมของระบบปฏิบัติการล่าสุดของไมโครซอฟท์ "วินโดวส์เซเว่น (Windows 7)" และชิปประมวลผลภาพกราฟิกหรือ GPU จนทำให้ IE9 สามารถแสดงผลวิดีโอ เกม ภาพกราฟฟิก และเทคโนโลยีเสมือนอื่นๆได้ดีขึ้นกว่าเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564603.JPEG)
HTML5 สามารถใช้ร่วมกับ IE9 ได้

      ไมโครซอฟท์ระบุว่า IE9 สามารถรองรับเว็บไซต์รายใหญ่เช่น Facebook, Twitter, Pandora, Hulu และ Yahoo! ได้แล้วในขณะนี้ และกำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564604.JPEG)
ความสามารถใหม่ที่สามารถดึงไอคอนตรง Adress Bar มาปักหมุดที่ Taskbar ได้

      "พันธมิตรทั้งหมด กำลังใช้ IE9 เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่มีความสวยงามกว่าเดิม" ผู้บริหารไมโครซอฟท์กล่าว
      
      ไมโครซอฟท์ให้ข้อมูลว่า ก่อนการเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ IE9 ถูกดาวน์โหลดไปทดสอบแล้วมากกว่า 40 ล้านครั้ง สร้างความมั่นใจว่า IE9 จะสามารถออกหมัดเพื่อคว่ำเบราว์เซอร์น้องใหม่เช่นไฟร์ฟ็อกซ์และโครมได้อย่าง ไม่ยาก
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564605.JPEG)
แทบ Adress Bar ถูกปรับให้มีขนาดเล็กลง

      แม้โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์จะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้ ไมโครซอฟท์ เพราะผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด IE9 ไปใช้งานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ผู้บริหารไมโครซอฟท์ระบุว่า เบราว์เซอร์เป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับไมโครซอฟท์เพราะการใช้งานอินเทอร์ เน็ตเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ผู้บริโภคทำบนคอมพิวเตอร์พีซี ทำให้ไมโครซอฟท์ต้องการสร้างประสบการณ์ยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคไว้วางใจในการเลือกใช้วินโดวส์เพื่อท่องอินเทอร์เน็ต

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564606.JPEG)
ผู้ที่ต้องการใช้ IE9 สามารถดาวน์โหลดได้จาก beautyoftheweb.com

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: บ.ไอทีมะกันพร้อมใจช่วยเหยื่อสึนามิแดนปลาดิบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 03:10:25
Google ทวิตเตอร์ และนานาบริษัทไอทีรายใหญ่พร้อมใจเปิดบริการพิเศษเพื่อช่วยเหลือเหยื่อภัย ธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เช่น กูเกิลที่เปิดบริการ "person finder" เพื่อให้ญาติสนิทมิตรสหายของเหยื่อสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูญหายได้ อย่างรวดเร็ว และไมโครซอฟท์เสนอบริการสนับสนุนด้านเทคนิก และให้ไลเซนส์ใช้งานฟรีแก่บริษัทที่ได้รับความเสียหายอย่างกระทันหัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564701.JPEG)

      รายงานระบุว่า ความช่วยเหลือ ด้านการให้ลิขสิทธิ์ใช้งานโปรแกรมบางตัวฟรีแก่บริษัทที่ได้รับความเสียหายใน ประเทศญี่ปุ่นของไมโครซอฟท์ คิดเป็นเงินมูลค่ามากกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐ ถือเป็นความช่วยเหลือที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการฟื้นตัวบริษัท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564702.JPEG)
Person Finder จาก Google

      ด้านทวิตเตอร์นั้นพยายามทำ ประโยชน์ให้สมกับการเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่ โดยพยายามช่วยเหลือองค์กรต่างๆให้สามารถกระจายข้อมูลที่จำเป็นบนระบบของ ทวิตเตอร์ได้สะดวกยิ่งขึ้น เบื้องต้นแนะนำให้นักท่องเน็ตติดแท็ก (tag) เพื่อแบ่งประเภทข้อมูลให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้รวดเร็ว ว่า ข้อความทวีตใดเป็นข้อความขอความช่วยเหลือ หรือเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุสึนามิที่เกิดขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564703.JPEG)
Support for Japan จาก Twitter

      ขณะที่อเมซอนและยาฮู ดำเนินการติดลิงก์ไว้ที่หน้าโฮมเพจเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวเน็ตทั่วโลก สามารถส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นธารน้ำใจไอทีที่น่าชื่นชมแท้จริง

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564704.JPEG)
ความช่วยเหลือจาก Amazon

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003564705.JPEG)
หน้าพิเศษสำหรับช่วยเหลือจาก Yahoo

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: “เคแบงก์ โฟร์สแควร์” แอพฯโชว์พิกัดใช้โปรโมทสาขาห้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 03:44:52
โครงการ “ฝากได้ทุกเรื่องกับ KBank”จากธนาคารกสิกรไทยเพิ่งจะครบขวบปี จุดเริ่มต้นโครงการนี้ ออกมาไล่หลังการบุกตลาดโซเชียล มีเดีย เพียงเล็กน้อย สำหรับ “เคแบงก์ไลฟ์” (KBank Live)

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/15/images/news_img_381921_1.jpg)

หลังจากแนวคิด “ฝากได้ทุกเรื่อง” เป็นนโยบายการให้บริการใหม่ การสื่อสารของเคแบงก์ไลฟ์ ใน โซเชียล มีเดีย ทั้งเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ ก็มีทิศทางเดียวกัน คือฝากได้ทุกเรื่อง ทั้งการเงิน การใช้ชีวิต และที่น่าสนใจ คือ เคแบงก์ไลฟ์ มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคให้รู้เท่าทันสถานการณ์โลก

เคแบงก์ใช้ โซเชียล มีเดีย ที่กำลังมาแรงอีกหนึ่งตัว คือ “โฟร์สแควร์” (Foursquare) เป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถแสดงตำแหน่งสถานที่ของผู้ใช้งาน Location-Based Service (LBS) ให้ผู้ใช้สามารถเช็คอิน แสดงสถานที่ที่ตนอยู่ และเขียนข้อความไว้ในสถานที่เหล่านั้นบนโฟร์สแควร์เหมือนเว็บบอร์ด
 
ในสหรัฐอเมริกา โฟร์สแควร์กำลังได้รับความนิยมสูง และแอพพลิเคชั่นก็มีให้ดาวน์โหลดมาใช้กันฟรีในสมาร์ทโฟน เหมือนกับเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ กสิกรไทย ไม่รอช้าที่จะลองทำการตลาดผ่าน โซเชียล มีเดีย ดาวรุ่งตัวนี้ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตขึ้นเรื่อย จนวันนี้คนใช้โฟร์สแควร์เกินกว่า 6 ล้านทั่วโลกแล้ว สำหรับประเทศไทย มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 แสนคน
 
ศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานโฟร์สแควร์ ในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของตลาดสมารท์โฟน ธนาคารจึงได้เปิดตัว เค แบงก์ โฟร์สแควร์ (KBank Foursquare) ขึ้น โดยเพิ่มสาขาของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ ลงในแอพพลิเคชั่น โฟร์สแควร์ ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ตั้ง หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับสาขา และในอนาคตอันใกล้ ลูกค้าจะสามารถหาตู้ เอทีเอ็ม ของธนาคารกสิกรไทย ผ่านทางแอพพลิเคชั่น โฟร์สแควร์ได้
 
โฟร์สแควร์ เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้บอกสถานที่หรือแจ้งที่อยู่ผ่านสังคมออนไลน์ (LBS) ปัจจุบันมีสมาชิกแอพพลิเคชั่นโฟร์สแควร์ ในประเทศไทยแล้วมากกว่า 1 แสนคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดือนก.พ. ที่ผ่านมา กสิกรไทย ทดลองเปิดตัว “เคแบงก์ โฟร์สแควร์” และมีกระแส (Buzz) พูดถึงที่ดีในโซเชียล มีเดีย ย้อนไปคุยกันต่อในเฟซบุ๊ค ให้ผู้ที่ใช้โฟร์สแควร์ สามารถแวะเข้ามาเช็คอิน ได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย 20 สาขา ในห้างฯ ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อรับของที่ระลึก “หมอน KBank Mayor” ฟรี เพียงเช็คอินครั้งเดียวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคาร
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/15/images/news_img_381921_2.jpg)

ขณะเดียวกัน ยังได้เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ เข้ากระแสด้วยการจัดทำบัตรเอทีเอ็ม K-My Debit Card Foursquare Limited Edition ขึ้นมาโดยเฉพาะ ให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมบัตรเป็นพิเศษ จาก 150 บาท เหลือ 100 บาท
 
“ใน อนาคตธนาคารกสิกรไทยจะเพิ่มข้อมูลที่ตั้งของตู้เอทีเอ็ม ผ่านทางแอพพลิเคชั่นโฟร์สแควร์ด้วย จะเป็นการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อสนับสนุนธุรกิจของธนาคารให้เกิด ประโยชน์สูงสุด”
 
ศีลวัต อธิบายคำศัพท์เกี่ยวกับการตลาดอ้างอิงสถานที่ไว้ว่า เช็คอิน (Checkin) ประกาศตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน เมเยอร์ (Mayor) เมื่อเช็คอินที่หนึ่งมากกว่าคนอื่นๆ จะได้เป็นเจ้าถิ่น (Major) และเสาสัญญาณ (Cell Site) ของผู้ให้บริการ เช่น เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ แต่ละเสาจะมีข้อมูลตำแหน่ง และทิป-ฮาวทู (Tips, Howto) คำแนะนำประจำสถานที่ เขียนไว้ให้คนอื่นซึ่งมาที่นี่วันหลังได้เห็น
 
หน้าเว็บไซต์ FourSquare.com ยังสามารถคลิกดูข้อมูลพฤติกรรมการเดินทางของเพื่อน หรือคนอื่นที่อนุญาตให้ดู
 
ระหว่าง การเล่มเกมด้วยโฟร์สแควร์ กระแสที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ธนาคารกสิกรไทยต้องการและคาดหวังไว้ก่อนแล้ว คือ การพูดคุยกันบนเฟซบุ๊ค facebook.com/kbanklive และแอดมินก็เข้ามาตอบคำถามและโหมกระแส 
 
ใน ทวิตเตอร์ ก็โปรโมทกิจกรรมควบคู่กันไปด้วย @KBank_Live ที่มีผู้ติดตามมาก และมีคนช่วยรีทวีตข่าวสารให้อยู่ตลอดเวลา เป็นช่องทางที่คนในสังคมออนไลน์ใช้สอบถามปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการธนาคาร อยู่แต่เดิมแล้ว
 
การปรับเปลี่ยนตัวเองและสร้างกิจกรรมที่เข้ากับ สถานการณ์เป็นอีกจุดเด่นของเคแบงก์ไลฟ์ เช่นกรณีล่าสุด กสิกรไทยเป็นธุรกิจรายแรกๆ ที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือลูกค้าจากเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้ง ใหญ่และคลื่นสึนามิ ที่ญี่ปุ่น โดยทวิตข้อความออกมาว่า “ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยในญี่ปุ่นได้เพิ่มวงเงินชั่วคราวทันที เพื่อเป็นวงเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินถึง 25 มี.ค. นี้ค่ะ”
 
รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ตอบสนองทันที คือ เสน่ห์ และ จุดแข็ง อีกหนึ่งช่องทางการตลาดสังคมออนไลน์จากเคแบงก์

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Twitter จัดการ "พันล้าน" ทวีตต่อสัปดาห์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 21:00:58
ทวิตเตอร์ (twitter) ไมโครบล็อกกิ้งอันดับหนึ่งของโลกที่ถึงตอนนี้ได้เปิดให้บริการเป็นปีที่ 5 แล้ว ล่าสุดทางบริษัทได้ออกมาเปิดเผยสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับบริการโดยปัจจุบัน ผู้ใช้ twitter จะมีการส่งข้อความเฉลียประมาณ 1 พันล้านทวีตต่อสัปดาห์

(http://www.thaichristians.net/today/images/stories/logo/twitter.jpg)

สัปดาห์นี้เมื่อ 5 ปีทีแล้ว Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter และประธานบริษัทได้ส่งทวีตแรกด้วยข้อความว่า "inviting coworkers" ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิญทีมงานให้เข้าใช้บริการ Twitter โดยสำหรับการฉลองครบรอบ 5 ปีของการเกิด Twitter ทางบริษัทได้เผยแพร่สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้บริการ Twitter จากทั่วโลก ดังนี้

* มีการทวีตจากทั่วโลกเฉลี่ยวันละ 140 ล้านข้อความ (ปีที่แล้ว 100 ล้านข้อความ)
* สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 460,000 ราย
* เปอร์เซ็นต์การเติบโตของผู้ใช้ Twitter บนมือถือเพิ่มขึ้น 182% เทียบกับปีที่แล้ว (ไม่ได้เปิดเผยจำนวนที่ชัดเจน)
* ยอดลงทะเบียนเป็นผู้ใช้ Twitter ทั้งสิ้น 200 ล้านราย (ไม่รู้ active เท่าไร?)
* ปัจจุบัน Twitter มีพนักงาน 400 คน (ปี 2008 มีแค่ 8 คน)
* 456 ข้อความต่อวินาที คืออัตราเร็วสูงสุดของการทวีตข้อความในวันที่ 25 มิ.ย. 2009 (Michael Jackson เสียชีวิต) 

อย่างไรก็ตาม สถิติการส่งข้อความทวีตด้วยอัตราเร็วดังกล่าวได้ถูกทุบไปเรียบร้อยแล้วใน ญ๊่ปุ่น  โดยเพียงแค่ 4 วินาทีหลังเที่ยงคืน เพื่อเข้าสู่วันปีใหม่ของปี 2011 เนื่องจากมีการส่งข้อความหากันด้วยอัตราเร็ว 6,939 ทวีตต่อวินาที...

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ว้าว!!! เมาส์เลเซอร์ใช้แค่นิ้วกับพื้นเรียบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 21:17:55
ปัจจุบันผู้ใช้หลายคนคุ้นเคยกับการใช้งานแก็ดเจ็ต (Gadget) ต่างๆ ด้วยนิ้วสัมผัส ว่ากันตั้งแต่ทัชแพดบนโน้ตบุ๊คไปจนถึงหน้าจอสัมผัสของสมาร์ทโฟน และล่าสุดก็ iPad ที่ฮอตสุดขีด จนแทบจะไม่ได้ใช้"เมาส์"กันเลย ล่าสุดบริษัท Celluon กำลังพยายามต่ออายุให้กับอุปกรณ์อย่างเมาส์ด้วยดีไซน์ใหม่ที่เอาใจผู้ใช้ที่ กำลังต้องการอินเตอร์เฟซระบบสัมผัสมากกว่า

โดยการใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกับ"คีย์บอร์ดเลเซอร์" (อุปกรณ์ที่สามารถฉายแสง เลเซอร์เป็นรูปคีย์บอร์ดลงบนพื้นเรียบ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์ได้) เพียงแค่วาง evoMouse ลงบนพื้นโต๊ะข้างโน้ตบุ๊คใกล้ๆ กับบริเวณที่คุณชอบวางเมาส์ หลังจากนั้นคุณก็สามารถเปลี่ยนพื้นผิวเรียบบริเวณด้านหน้าของ evoMouse ให้กลายเป็นทัชแพดพร้อมปุ่มกดได้แล้ว เพียงใช้นิ้วมือของคุณแตะ (แทนการคลิก หรือดับเบิ้ลคลิก) หรือเคลื่อนย้ายไปมาเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/celluon-evomouse-the-evolution-mouse-2.jpg)

evoMouse (ดีไซน์รูปร่างของมันคล้ายลูกสุนัขเลย) จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ด้านหน้าที่ คอยตรวจจับการเคลื่อนนิ้วของคุณ เพื่อตีความเป็นคำสั่งในการควบคุม พอยน์เตอร์ของเมาส์บนหน้าจอ ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้นิ้วควบคุมการทำงานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เลื่อนพอยน์เตอร์เมาส์ เปิด/ปิดโปรแกรม ไปจนถึงลาก (drag & drop) ไฟล์ ซูม/แพน ภาพ และเปิดคอนเท็กซ์เมนู (คลิกขวาบนออบเจ็กต์ต่างๆ บนเดสก์ทอป) evoMouse จะสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ทั้งพอร์ต USB หรือ Bluetooth สามารถใช้งานแทนเมาส์ ทัชแพด และสไตลัส นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคโนโลยีรู้จำลายมือ (handwriting recognition) ได้อีกด้วย evoMouse ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ได้อีกต่างหาก สนนราคายังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เจ้าของ Apple iPad 2 เซ็ง "แบ็คไลท์" รั่ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 21:26:56
หลังจากกระแสข่าวความต้องการ iPad 2 ที่ฮอตจนผลิตไม่ทันถึงขั้นต้องรอของกันเป็นเดือน ล่าสุดมีการเปิดเผยจากเจ้าของ iPad 2 บนเน็ตถึงปัญหาที่พบ โดยคาดว่า น่าจะเป็นผลจากการเร่งผลิต iPad 2 นั่นก็คือ การเกิด"แสงสว่าง"เล็ดลอดออกมาจาก backlight ที่อยู่ด้านหลังจอแสดงผล LCD 9.7 โดยแสงดังกล่าวจะปรากฎให้เห็นบริเวณขอบของจอ

iamPhones ผู้ใช้ YouTube ได้โพสต์วิดีโอเมื่อคืนนี้ หลังจากซื้อ iPad 2 มาและเปิดมันใช้งานในที่มึด ซึ่งจากวิดีโอที่สาธิตปัญหาดังกล่าวจะเห็นได้ชัดว่า มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากมุมล่างของ iPad 2 เมื่อให้จอแสดงภาพแบคกราวด์สีดำ ซึ่งผลกระทบของแสงสว่างที่รั่วออกมาจะสังเกตเห็นได้ทั้งในแอพฯ หรือในฉากที่มีความมึดในภาพยนต์ รวมถึงตอนเปิดปิด iPad 2 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการอ้างอิงใดๆ ว่า การเกิดแสงรั่วจากแบ็คไลท์ของจอ LCD จะส่งผลกระทบต่อฟังก์ชันการทำงานอื่นๆ ของ iPad 2 หรือไม่

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/ipad-2-LCD-backlight-leakage-problem-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม เจ้าของ iPad 2 ที่ใช้ชื่อสมาชิก YouTube ว่า  l3gitjailbr3aks  ยังมองโลกในแง่ดีว่า Apple จะได้แก้ปัญหานี้ให้กับผู้บริโภคสำหรับ iPad 2 ที่ผลิตใหม่จะออกมา "มันไม่ได้เป็นความเสียหายที่ร้ายแรง แต่ก็เป็นประเด็นสำหรับผู้ใช้ ผมเชื่อเหลือเกินว่า มันเป็นอะไรที่ผู้ใช้ต้องการให้มีการแก้ไข โดยเฉพาะกับอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีราคา 500 เหรียญฯ" อย่างไรก็ตาม ทาง Apple ยังไม่ได้ตอบรับต่อปัญหาที่พบ ทั้งนี้คงต้องรอดูกันต่อไปว่า มีเจ้าของ iPad 2 รายอื่นที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้มากน้อยอย่างไร? นอกจากนี้เจ้าของ iPad 2 บางรายยังพบ"จอเหลือง" เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นใน iPhone 4 ด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google ยกเครื่องเสิร์ชแอพฯบน iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 21:37:35
Google อัพเดทแอพฯบน iPhone ครั้งใหญ่ เปลี่ยนใหม่ตั้งแต่อินเตอร์เฟซไปจนถึงคุณสมบัติการทำงานใหม่ รวมถึง"ชื่อใหม่"ด้วย โดยจะเรียกแอพฯบนไอโฟนว่า Google Search for iPhone จากเดิมที่ใช้ชื่อ Google Mobile ส่วนอินเตอร์เฟซยกเครื่องการค้นหาเว็บ และการเข้าถึงแอพฯต่างๆ

ในส่วนของอินเตอร์เฟซบริการค้นหาบนมือถือจะได้รับการออกแบบใหม่ให้มีหน้าตา คล้ายอินเตอร์เฟซของ Google.com ที่คุ้นเคย Google Search app ยังมาพร้อมกับการเข้าถึงแบบเร่งด่วนสำหรับบริการต่างๆ ตั้งแต่ Voice Search ไปจนถึง Google Goggles (บริการค้นหาจากรูปภาพ) โดยจัดทำเป็นไอคอนของบริการไว้ข้างช่องเสิร์ช สำหรับการอัพเดทของ Google Search app ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนใหญ่ก็คือ ทูลบาร์เลือกใช้บริการค้นหาข้อมูลต่างๆ (search toolbar) ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ด้วยการกวาดนิ้วจากซ้ายไปขวา (ทูลบาร์จะปรากฎขึ้นเป็นคอลัมน์ของรายการต่างๆ ทางด้านซ้ายมือ) ทั้งนี้ผู้ใช้ Google.com จะคุ้นเคยกับทูลบาร์ของบริการนี้เป็นอย่างดี โดยผู้ใช้สามารถเลือกค้น ข่าว (news), ภาพ (images), ชอปปิ้ง (shopping), วิดีโอ (video), บล็อก (blog), กระทู้ (discussion), โซเชียล (social) และสถานที่ (place) จากทูลบาร์ค้นหานี้ได้ทันที รับรองว่า หากได้ลองใช้แล้วจะต้องติดใจอย่างแน่นอน

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-search-for-iphone-new-design-and-new-name-so-cool-2.jpg)

นอกจากการปรับปรุงในเรื่องของอินเตอร์เฟซที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้แล้ว Google Search for iPhone ยังเพิ่มคุณสมบัติใหม่อีกด้วย อย่างเช่น การพรีวิวหน้าเว็บ โดยไม่ต้องออกไปรัน Safari นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึง mobile web app สุดฮอตของ Google ตั้งแต่ Gmail ไปจนถึง Google Earth ได้อย่างง่ายดายด้วยการกดปุ่ม Apps ที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอ สรุปโดยรวม Google Search for iPhone ได้รับการพัฒนาจากเวอร์ชันที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด นอกจากจะใช้สะดวกง่ายดายขึ้นแล้ว มันยังมีการทำงานที่เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ถอดสลักภัยบนโลกไซเบอร์...บนปฏิบัติการเจาะระบบขั้นเทพ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 มีนาคม 2011, 23:05:43
พฤติกรรมของแฮ คเกอร์ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เขียนโค้ดไวรัสเพื่อสร้างชื่อเสียงแบบเด็กๆ ชอบลองของ ท้าทายกันไปมาว่าใครแน่กว่าใคร เปลี่ยนสู่การรับจ้างสร้างไวรัสเพื่อเงิน ใช้ภัยคุกคามประเภทสแปม มัลแวร์ เมล และโปรแกรมหลอกลวงหรือที่รู้จักกันดีว่า ฟิชชิ่ง เป็นเครื่องมือ มีพฤติกรรมการปฏิบัติการ และพัฒนาการที่มุ่งเป้าหมายแบบมืออาชีพ กลายเป็นธุรกิจที่เข้าขั้น "องค์กรอาชญากรรม" ที่มีกระบวนการจัดการเต็มรูปแบบ และแทรกซึมไปในอุตสาหกรรมทำเงินมาแล้วไม่ต่ำกว่าแรมปี
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/16/images/news_img_382123_1.jpg)

“นิวมีเดีย” เสนอมุมมองจากวงเสวนาเล็กๆ แต่สะท้อนให้เห็นผลกระทบแบบมหาศาล หัวข้อ “เตือนภัย cyber attack ปฏิบัติการเจาะระบบฯ ขั้นเทพ” จากเหล่ากูรูด้านความปลอดภัยชื่อก้องเมืองไทย ที่มีต่อภัยมืดบนโลกออนไลน์ที่หากใครระวังได้ไม่ดีพอมีสิทธิเป็นเหยื่อได้ แบบไม่รู้ตัว...

เหยื่อ “ไลฟ์สไตล์ แฮคกิ้ง”
 
นายปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านความปลอดภัย และกรรมการผู้จัดการบริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ภัยคุกคามบนไซเบอร์ สเปซ แต่ก่อนมาแบบคนละค่าย สมัยนี้รวมตัวกันเข้ามาเป็นโทรจัน หรือมัลแวร์ แพลตฟอร์ม ที่ถอดรหัสได้ยากขึ้น แถมเข้ารหัสข้อมูลมาด้วย เทรนด์นี้กำลังมาแรงมาก เป็นภาครีเทิร์น ออฟ เดอะ โทรจัน ที่มาทุกรูปแบบ มุ่งตรงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ กว่าจะแก้ไขได้ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 7 วัน ระบบของแอนตี้ไวรัสก็ป้องกันไม่ได้
 
“ในไทยยังไม่มีใครเก็บสถิติได้ แน่นอนว่าผลกระทบมีมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของชื่อเสียง และหน้าตาของแต่ละบริษัท ทำให้ปกปิดข้อมูลไว้ ที่เปิดเผยออกมามีแค่ 10% แต่ถ้าให้ประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายต่อปีคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 100 ล้านบาท”
 
เขาแนะว่า ทางแก้ที่ดีที่สุดควรกลับไปสู่จุดพื้นฐาน เริ่มจากผู้ใช้ ต้องปกป้องข้อมูลของตัวเอง กระบวนการจัดการต้องดี และต้องมีซอฟต์แวร์ป้องกันที่ดี บางตำราบอกด้วยว่าต้องดูที่วัฒนธรรมองค์กรด้วยว่ามีพฤติกรรมที่เสี่ยงหรือ ไม่ ขอให้มอง 2 มุม ทั้งภาพใหญ่แบบองค์กร ประเทศชาติ และตัวเอง เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือจัดการไม่ยากมีเงินก็หาซื้อได้ แต่คนและวัฒนธรรมของคนนี่แหละแก้ได้ยากที่สุด
 
ทั้งนี้ พฤติกรรมของคนยุคนี้ทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อ 'ไลฟ์สไตล์ แฮคกิ้ง' ที่โจรมักเข้ามาหลอกเล่นกับจิตใจ ใช้ไลฟ์สไตล์เป็นเครื่องมือ เข้าไปแทรกซึม เก็บข้อมูลได้เป็นปีๆ ทางแก้จึงไม่ใช่แค่ลงทุนซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ แต่ต้องตื่นตัว ต้องใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีสติ

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/16/images/news_img_382123_2.jpg)

วิวัฒนาการน่าสะพรึงกลัว
 
นายไชยกร อภิวัฒโนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเจเนอเรชั่น จำกัด เล่าว่า การจู่โจมบนโลกไซเบอร์มี วิวัฒนาการที่น่าติดตาม น่าสะพรึงกลัว ที่แต่ละองค์กรต้องพึงระวัง เพื่อคอยมอนิเตอร์ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดูว่ามีสัญญาณบางอย่างที่เตือนว่าน่าจะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแล้วหรือ ไม่
 
เขายกตัวอย่าง กรณีศึกษา มัลแวร์ “มังกรราตรี” หรือ “ไนต์ ดราก้อน” ที่เป็นข่าวฮือฮาทั่วโลกว่า มีการค้นพบว่าเป็นโอเปอเรชั่นที่มุ่งไปขโมยข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา ข้อมูลผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจด้านพลังงานโดยเฉพาะ ที่น่าสนใจคือ การปฏิบัติการพิสูจน์ได้ว่าการเจาะระบบเข้าไปใช้วิธีที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่มัลแวร์อย่างเดียว จากซอร์สโค้ดที่พบ พิสูจน์ได้ว่าแฮคเกอร์อยู่ที่ประเทศจีน ช่วงเวลาที่เกิด คือเวลาทำงานในนครปักกิ่ง
 
 "ขนาดบริษัทชั้นนำด้านพลังงานที่ทราบกัน ดีว่ามีฐานะ มีงบประมาณสำหรับลงทุนไอทีมากพอควรยังโดนมา 3-4 ปี จากเหตุการณ์นี้จึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าอุตสาหกรรมอื่นอาจมีเหมือนกันเพียง แต่ยังไม่นำมาเป็นข่าว"
 
พร้อมกับปิดท้ายว่า บางองค์กรที่ภายนอกทำปราการไว้แน่นหนา แต่ภายในเชื่อทุกคน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ ปัจจุบันมีการนำไอซีทีมาใช้ชีวิตประจำวันหลายอย่าง หากไม่ดูแลให้ดีมองแบบแง่ดีที่สุดแค่ธุรกิจเสียหายยังดี แต่อีกประเด็นหนึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายถึงชีวิตได้ รัฐบาลต้องรณรงค์ส่งเสริมให้มีการสร้างทรัพยากรบุคคลด้านนี้ให้มากขึ้น

ที่ไหนมีเงินที่นั่นมีความเสี่ยง
 
ด้าน นายโกเมน พิบูลย์โรจน์ นักวิจัยอาวุโส ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เสริมว่า ตลาดสินค้าไอทีกลายเป็นอุปกรณ์ใช้ในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว วันนี้วิธีการเจาะระบบไม่ได้ต่างจากเดิม แต่รูปแบบเริ่มเปลี่ยนไป จากพีซี ไปยังโน้ตบุ๊ค จนปัจจุบันผ่านสมาร์ทโฟน แทบเล็ต ที่ติดตามคนไปทุกหนแห่ง
 
“คล้ายๆ ในอดีตแต่ย่อลงมาสู่นิ้ว แถมออนไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างนั้นหากโดนอะไรเข้าไปก็เสร็จ ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง โลกมีการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเรามีกฎหมายการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งหลายๆ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญ แต่การปฏิบัติจริงทำได้ยาก มีอุปสรรคเรื่องขั้นตอนการทำงาน คน และเทคโนโลยี”
 
เขาประเมินด้วย ว่า ไทยมีโอกาสถูกโจมตีได้แน่นอน เนื่องจากที่ไหนมีเงินที่นั่นย่อมมีความเสี่ยง อุปกรณ์ที่ใช้ทุกอย่างก็มีความเสี่ยง หน่วยงานที่มีไอพี ก็มีความเสี่ยง ข้อมูลทุกอย่างมีมูลค่าแม้บางทีอาจดูจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าเป็นข้อมูลโปรดักท์ใหม่ ถูกขโมยก็เรียบร้อย
 
อย่างไรก็ตาม แต่ละองค์กรควรประเมินความเสี่ยงขององค์กร ดูว่าทรัพย์สินที่มีค่าอยู่ตรงไหนก็ต้องไปป้องกันตรงนั้นให้ดี ทั้งทรัพย์สินมีค่าซึ่งองค์กร และคนนอกรู้ และทรัพย์สินที่คนนอกไม่รู้แต่องค์กรรู้ สร้างระบบป้องกัน สร้างการตระหนักรู้ในองค์กรว่าถ้าคนอื่นเข้ามาจะสร้างความเสียหายให้กับ บริษัทได้มากแค่ไหน
 
สำคัญที่ผู้บริหาร
 
นาย ชนวัฒน์ ศรีสอ้าน รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาอินเทอร์เน็ต และซอฟต์แวร์ บจม.เออาร์ไอพี กล่าวว่า เทคโนโลยีปัจจุบันมีให้ใช้ แต่ผู้ใช้มักประมาท ทั้งๆ ที่ภัยที่มองไม่เห็นอาจส่งผลกระทบได้ในวงกว้าง สิ่งที่ไม่คาดคิดล้วนเกิดขึ้นมาแล้วทั้งในไทยและทั่วโลก เทคโนโลยีไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงว่า ระมัดระวังเตรียมพร้อมหรือไม่
 
ทั้งนี้ มุมมองฟากเอกชนส่วนใหญ่ตระหนักกันดี นึกคิดจะระมัดระวังอยู่บ้างแล้ว การแก้ปัญหาเบื้องต้น หากเห็นมีอะไรแปลกปลอมต้องดูว่ามีอะไรบ้าง และต้องปิดให้หมด ถ้ามีเวลาน้อย ง่ายที่สุดคือดึงปลั๊กออกก่อนแล้วค่อยมาดูกันว่าจะทำอย่างไร
 
“พูด ตรงๆ ภัยต่างๆ ที่เข้ามา เตรียมตัวลำบาก แต่ถ้ารู้อยู่แล้วกลับไม่ทำอาจก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีแบบไม่ระวัง อาจกลายเป็นประเด็นขึ้นมา ทำให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกัน บางทีเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าไม่มีปัญหา แต่จริงๆ ข้อมูลที่เก็บไว้มีมูลค่ามหาศาล”

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: หนุ่มใช้ไอโฟนแฮคบิลบอร์ดไทม์สแควร์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มีนาคม 2011, 21:22:25
รายงานข่าวนี้ อาจจะต้องใช้การสังเกตสักนิดหนึ่ง เพราะบางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ แต่ถ้ามันจริงก็น่าทึ่งไม่น้อยทีเดียวครับ เรื่องของเรื่องก็คือ คลิปวิดีโอบน YouTube จากยูสเซอร์ BITcrash44 ได้สาธิตการแฮคป้ายโฆษณา หรือ"วิดีโอ"บิลบอร์ดในบริเวณ Time Square ให้แสดงคลิปที่บันทึกวิดีโอภาพของเขาด้วย iPhone 4 โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งสัญญาณภาพวิดีโอจากไอโฟนให้ไปปรากฎบนบิลบอร์ดนั้น มีขนาดเล็กมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่า มันจะสามารถทำงานได้ดังที่แสดงให้เห็นในคลิป

(http://www.arip.co.th/images/news/youtube/time-square-video-billboard-was-hacked-by-iphone-4-2.jpg)

แฮคเกอร์หนุ่มรายนี้มีวิธีการสาธิตอุปกรณ์แฮคที่สามารถส่งสัญญาณวิดีโอจาก iPhone 4 ให้ไปเล่นทับวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่บนป้ายโฆษณาขนาดต่างๆ ในย่าน Time Square ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว โดยเขาเริ่มต้นจากการส่งภาพวิดีโอของเขาเข้าไปเล่นทับบนป้ายขนาดเล็ก ก่อน จากนั้นก็ส่งสัญญาณภาพไปบนบิลบอร์ดที่ใหญ่ขึ้น แต่ที่เท่มากๆ ก็คือ อันสุดท้ายที่เขาแฮคป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ของ CNN ให้แสดงคลิปวิดีโอที่เป็นภาพตัวเขาขึ้นไปเล่นแทน โดยมีอุปกรณ์ตัวช่วยที่ทำ ให้ภาคส่งสัญญาณสามารถเข้าไปใกล้ป้ายโฆษณาได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 เริ่มล้างสต็อกแล้ว!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มีนาคม 2011, 22:42:38
คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 คึกคักค่ายไอทีแห่ร่วมครบ แต่ละแบรนด์สร้างสีสันด้วยโปรโมชันลดล้างสต็อก พร้อมรับกระแสยุคแอปพลิเคชันเฟื่องฟูด้วยเทรนด์ "Go Digital" กับการมาของแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนที่ร่วมวางจำหน่ายภายในงาน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003666901.JPEG)

      ปฐม อินทโรดม กรรมการบริการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอที จำกัด (มหาชน) ผู้จัดแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที ภายใต้ชื่อ "คอมมาร์ต" กล่าวว่า เออาร์ไอพี ร่วมกับบริษัทคู่ค้าไอทีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศในการจัดงานแสดงและ จำหน่ายสินค้าไอที ซึ่งการจัดงานครั้งนี้แบรนด์คู่ค้าจะมีการทำโปรโฒชันสุดพิเศษภายในงาน
      
      "สินค้าที่น่าจับตามองในงาน ครั้งนี้ คงหนีไม่พ้น 3 สินค้าหลักได้แก่ โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่เริ่มเข้ามาสร้างสีนสันในตลาด ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 1 ล้านราย"
      
      สำหรับโปรโมชันภายในงานที่น่าสนใจในงาน อาทิ Acer Aspire4 ราคา 13,900 บาท Aspire 1 ราคา 5,990 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) iPad เริ่มต้น 12,900 บาท iPod เริ่มที่ 2,000 บาท iPod Touch 7,900 บาท ซัมซุงโน้ตบุ๊กเริ่มที่ 14,900 บาท SVOA เริ่มต้นที่ 13,600 บาท
      
      นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมอบรม Workshop ที่น่าสนใจ โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้ง ปะ ฉะ ดะ iPad, Samsung Galaxy Tab cละ Kindle และเสวนาสาระบันเทิงในหัวข้อ "ธรรมมะกับเทคโนโลยี" โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตตโต จากธรรมะเดลิเวอรี่

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003666902.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ค่ายไอทีล้างสต็อกโน้ตบุ๊กคาดเงินสะพัด 3,200 ล้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มีนาคม 2011, 22:59:29
ค่ายไอทีล้างสต็อกโน้ตบุ๊กรับหน่วยประมวลผลอินเทลรุ่นใหม่ เปิดสงครามราคากลางงานคอมมาร์ต จัดโปรโมชันผ่อน 0% 10-12 เดือนกระตุ้นการขายช่วงต้นปี ด้านผู้จัดคาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 3,200 ล้านบาท ระบุ โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตสินค้ายอดฮิต
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003691402.JPEG)

      นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 ครั้งนี้ คาดว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นภาพรวมตลาดไอทีในปีนี้ให้มีอัตราการเติบโตราว 10% เป็นผลจาก แท็บเล็ต เทรนด์ของเทคโนโลยีที่อยู่ในกระแสเวลานี้
      
      "งานครั้งนี้มีความน่าสนใจ อยู่ที่ 3 สินค้าหลักคือ โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต โดยเฉพาะการทำราคาของโน้ตบุ๊ก เนื่องจากเป็นช่วงลดล้างสต็อกทำให้สามารถทำราคาได้ค่อนข้างถูก ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้น"
      
      นายบุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล ผู้จัดการอาวุโส กลุ่มคอนซูเมอร์ ซิสเต็มส์ โปรดักส์ บริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ให้ข้อมูลว่า เอเซอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่สามารถนำแท็บเล็ตและโน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วย ประมวลผล อินเทล คอร์ ไอ เจเนอเรชัน 2 เข้ามาวางจำหน่ายอย่างครบไลน์ ทำให้สามารถทำราคาตอบสนองผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มไล่ตั้งแต่เน็ตบุ๊ก แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก และสมาร์ทโฟนวางจำหน่ายภายในงาน
      
      "ปีนี้จะเห็นว่ามีการแบ่งช่วงราคาชัดเจนระหว่างเน็ตบุ๊กที่อยู่ใน ระดับต่ำกว่า 10,000 บาท ขณะที่ราคาแท็บเล็ตจะอยู่ที่ 17,900 บาท ช่วงราคาโน้ตบุ๊กที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเน่าจะอยู่ที่ช่วง 12,900 - 21,900 บาท ขณะที่หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ของอินเทลที่คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของไลน์สินค้าในปัจจุบัน เริ่มต้นที่ระดับราคา 18,900 บาท"
      
      จากการที่เอเซอร์เล็งเห็นถึงความต้องการสินค้าเทคโนโลยีของผู้บริโภค จึงได้จัดทำโปรโมชันพิเศษพร้อมกันทั่วประเทศ โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายในช่วงงานคอมมาร์ตไว้ราว 20,000 เครื่องทั่วประเทศ แต่ทั้งนี้ภายในงานคอมมาร์ตจะมีโปรโมชันพิเศษกว่านอกงาน เช่น เน็ตบุ๊ก เอเซอร์ เอสไปร์วัน ราคา 5,990 บาท จำกัดจำนวน 300 เครื่อง
      
      "ที่สำคัญคือการวางจำหน่าย ไอโคเนีย แท็บ ซึ่งเป็นแท็บเล็ตวินโดวส์ 7 รุ่นแรกของเอเซอร์ พร้อมวางจำหน่ายภายในงานเป็นแห่งแรกของโลกซึ่งได้มาจำนวนจำกัดที่ 300 เครื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี"
      
      ทางฝั่งโตชิบาที่ให้ความสำคัญกับการลดล้างสต็อกโน้ตบุ๊ก เพื่อรองรับกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะเข้ามาสู่ตลาด ทำให้สามารถทำราคาได้ต่ำกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก คอร์ ไอ 5 ในราคาเริ่มต้นที่ 17,900 บาท หรือลดลงมาต่ำกว่าเดิมราว 20-30%
      
      "การที่โตชิบาลดราคาสินค้าลงมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาที่ 10,000 เครื่อง จากยอดขายภายในงานคอมมาร์ตที่ผ่านมาเคยทำได้สูงสุดราวๆ 8,000 เครื่อง โดยหวังว่า การทำโปรโมชันผ่อน 0% 12 เดือนจะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้มากขึ้นกว่าเดิม 70-80%" นายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าว
      
      ขณะเดียวกันยังได้มีการโฟกัสไปที่การจำหน่ายอุปกรณ์เสริมเพิ่มมาก ขึ้น โดยการเพิ่มพื้นที่ในโซนซี เพื่อรับกับความต้องการเอ็กซ์เทอนัล ฮาร์ดดิสก์ของโตชิบา เริ่มต้นที่ 500 GB พอร์ตยูเอสบี 3 ที่ได้รับความนิยมจากยอดขาย 10,000 - 15,000 ตัวต่อเดือน ซึ่งคาดว่าภายในงานนี้น่าจะจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ตัว
      
      ด้านเลอโนโวเป็นอีกหนึ่งราย ที่สามารถนำโน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทล คอร์ ไอ เจเนอเรชันที่ 2 มาวางจำหน่าย เริ่มต้นที่รุ่น G470 ในราคา 18,900 บาท จำกัดจำนวน 300 เครื่อง โดยตั้งเป้าจำหน่ายโน้ตบุ๊กภายในงานให้ติด 1 ใน 3 ผู้นำ
      
      นายขจรเกียรติ อร่ามรัศมีกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดโน้ตบุ๊กในขณะนี้ต้องยอมรับว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี ทำให้เวนเดอร์สามารถทำราคาสินค้าได้ค่อนข้างน่าสนใจ ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้นด้วย
      
      "หลังจากนี้ไปเลอโนโว จะสื่อสารกับผู้บริโภคถึงฟีเจอร์และแอปพลิเคชันมากขึ้น จากเดิมที่สื่อถึงเรื่องสเปก และดีไซน์เป็นหลัก เพราะปัจจุบันสเปกเครื่องแต่ละแบรนด์แทบไม่แตกต่างกัน ส่วนตลาดแท็บเล็ตเลอโนโวน่าจะพร้อมทำตลาดในช่วงปลายไตรมาส 2"
      
      ส่วนซัมซุงที่มีสินค้าครบทุกไลน์ตั้งแต่ แท็บเล็ต พรินเตอร์ มอนิเตอร์ เน็ตบุ๊ก และโน้ตบุ๊ก โดยทำโปรโมชันผ่อน 0% 10 เดือน พร้อมลุ้นรับของสมนาคุณ เช่น ซื้อครบทุก 2,000 บาท รับคูปองลุ้นรับบัตรห้องพัก สไตล์โมร็อคโค และบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง รวมทั้งสิ้นจำนวนมากกว่า 10 รางวัล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: สำนักนายกฯญี่ปุ่นเปิดทวิตเตอร์อัปเดตสถานการณ์ภาคภาษาอังกฤษ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 มีนาคม 2011, 23:11:24
สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ชี้แจงการกระจายข่าวสารภาษา อังกฤษผ่านเครือข่ายทวิตเตอร์ (Twitter) อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันพุธที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา หวังอัปเดตข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหว สึนามิ และวิกฤตเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิดแก่ผู้ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างถูกต้องและ ฉับไว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003650901.JPEG)
ข้อความทวีตแรกของ @JPN_PMO

      ชื่อบัญชีทวิตเตอร์ภาคภาษาอังกฤษของสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคือ @JPN_PMO โดยรายงานระบุว่าพันธกิจของ @JPN_PMO คือการทวีตข้อความภาษาอังกฤษซึ่งแปลจากทวีตภาษาญี่ปุ่นของ @Kantei_Saigai ชื่อบัญชีที่สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดไว้ตั้งแต่ช่วงวันแรกเริ่มของการ สรุปผลภัยพิบัติ (วันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา) โดยข้อมูลส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความคืบหน้าของสถานการณ์ที่ถูกต้องใน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสรุปจากแถลงการณ์และนักวิชาการในประเทศ
      
      ใน 4 ชั่วโมงแรก รายงานระบุว่า @JPN_PMO มีผู้ติดตามหรือ follower จำนวนถึง 7,000 รายทั่วโลก โดย ข้อความทวีตแรกระบุว่า สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะเผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดเป็นภาษาอังกฤษผ่าน ชื่อบัญชี @JPN_PMO นับแต่นี้เป็นต้นไป
      
      นี่ถือเป็นอีกสถานการณ์ที่ตอกย้ำอิทธิพลที่สำคัญของเครือ ข่ายสังคมในการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในช่วงแห่งการเกิดภัยพิบัติใดๆ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: CAT ช่วยญี่ปุ่น โทรกลับไทยฟรี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 01:00:56
กสท โทรคมนาคม (CAT) ร่วมช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประสบภัยในญี่ปุ่น สามารถใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศกด 009 โทรฟรีไปประเทศญี่ปุ่น และใช้บริการ CAT thailand direct โทรกลับไทยฟรีเช่นกันระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2554
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003664801.JPEG)

      นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กล่าวว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหว สึนามิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ และขณะนี้มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับญาติพี่น้องและคนที่ ห่วงใยที่ประเทศญี่ปุ่นได้ CAT จึงร่วมช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ด้วยบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ CAT 009 และบริการ CAT thailand direct ระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2554 ตลอด 24 ชั่วโมง
      
      สำหรับการกด 009 เพื่อติดต่อปลายทางประเทศญี่ปุ่น ผู้ใช้บริการสามารถกด 009 ได้จากทุกเครือข่ายทั้งโทรศัพท์บ้านและโทรศัพท์มือถือ AIS dtac truemove Hutch และ CAT CDMA โดย กด 009 > 81 > รหัสเมือง/รหัสโทรศัพท์เคลื่อนที่ > หมายเลขปลายทาง
      
      ส่วนคนไทยที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นสามารถโทรมายังประเทศไทยฟรีเช่นกันด้วย บริการ CAT thailand direct สามารถโทรได้จากโทรศัพท์ทุกประเภท และเครื่องโทรศัพท์พิเศษที่จัดไว้ตามสนามบิน ศูนย์การค้า ย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว ผ่านโอเปอร์เรเตอร์คนไทยเพื่อต่อสาย
      
      โทรจากญี่ปุ่นผ่านโทรศัพท์ของ SoftBank กด 006635660 จากโทรศัพท์ KDDI กด 00539661 และจากโทรศัพท์ NTT กด 0034811066

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: “กสท” ลงทุน 100 ล้านลุยไว-ไฟทั่วประเทศ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 01:11:55
กสท จัดงบ 100 ล้านบาท ขยายการให้บริการ CAT Wi-Fi ทั่วประเทศ สนองนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ล่าสุดจับมือแมคโดนัลด์ ให้บริการใน 134 สาขา ตั้งเป้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วยบริการ 3.5 หมื่นจุด ค่าบริการชั่วโมงละ 60 บาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003687001.JPEG)

      นายสมพล จันทร์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจบรอดแบนด์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กสท ได้มีการขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงภายใต้แบรนด์ CAT Wi-Fi จากที่มีอยู่ขณะนี้ 1,000 จุด เป็น 2-3.5 หมื่นจุดภายในปีนี้ ด้วยงบการลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้ทั่วๆ ไป
      
      นอกจากนี้ยังจะเป็นการดำเนิน งานที่สอดรับนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติด้วย ส่วนค่าบริการจะเก็บนาทีละบาทหรือชั่วโมงละ 60 บาทจากนโยบายขยายพื้นที่การให้บริการ CAT Wi-Fi ของ กสท ล่าสุดได้ร่วมมือกับแมคโดนัลด์เพื่อให้บริการผ่านร้านอาหารดังกล่าวจำนวน 134 สาขาทั่วประเทศ
      
      ด้านนายเฮสเตอร์ ชิว ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมคไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขาให้บริการกว่า 146 สาขาทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ความสะดวกสบายสมบูรณ์แบบในการรับประธานอาหาร ให้ลูกค้าภายใต้แนวคิด ทุกที่ ทุกเวลา รวมถึงการตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าด้วยบริการอาหารและเครื่องดื่มในบรรยากาศ สบายๆ ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
      
      จากแนวคิดดังกล่าวแมคโดนัลด์จึงร่วมมือกับ กสท เพื่อให้บริการ CAT Wi-Fi สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอิ่มอร่อยกับการรับประทานอาหารหรือกาแฟพร้อมกับการทำงาน ปรึกษาเรื่องธุรกิจ หรือเรียนรู้จากการท่องโลกอินเทอร์เน็ต โดยความจากความร่วมมือในครั้งนี้ ทางแมคโดนัลด์และ กสท ได้จัดรายการส่งเสริมการขายด้วยการให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าแมคตั้งแต่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย.54 ที่ใช้บริการในสาขาที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง สามารถใช้ CAT Wi-Fi ได้ฟรีตั้งแต่เที่ยงคืนถึง 6 โมงเช้า

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Social Good การทำสิ่งดีๆ บนโซเชียลมีเดีย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 01:34:56
หลังจากได้ข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว ตามด้วยคลื่นยักษ์สึนามิซัดกระหน่ำเข้าประเทศญี่ปุ่น เมื่อไม่กี่วันมานี้

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/17/images/news_img_382368_1.jpg)

เราก็เริ่มทยอยเห็นการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศ ญี่ปุ่นกันหลากหลายรูปแบบ ผมเลยคิดว่าหากเราช่วยอะไรได้บ้างก็คงดี แม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศของเรา แต่เมื่อเหตุการณ์คล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นที่บ้านของเรามาก่อน ตอนนั้นประเทศอื่นๆ ก็ช่วยเหลือเรามาเหมือนกัน วันนี้มีโอกาสตอบแทนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว ก็เลยขอใช้พื้นที่นี้เพื่อเล่าให้ฟังถึงรูปแบบการทำการตลาดแบบ Social Good ซึ่งคำว่า โซเชียล กู๊ด หรือการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำสิ่งดีๆ นั้น เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับเรื่องโซเชียลมีเดียโดยตรงอย่าง mashable.com ยังนำเอาคำนี้ไปตั้งชื่อหมวดบทความของตนเช่นกัน
 
เมื่อลองไปค้นหาดูหลายๆ ที่ก็มีแคมเปญแบบ Social Good ออกมามากทีเดียว ลองเริ่มกันด้วยไอเดียการระดมทุนบริจาคจากคนที่เล่นเกมกันเป็นประจำจากค่าย เกมชื่อดังระดับโลกอย่าง Zynga ที่เป็นผู้ผลิตเกมฟาร์มวิลล์ หรือมาเฟียวอร์ที่คนไทยก็นิยมเล่นกันมากมายบนเฟซบุ๊ค ได้ริเริ่มทำกิจกรรมรูปแบบนี้มานานพอสมควร โดยมุ่งไปที่การสนับสนุนโครงการการกุศลสองแห่ง
 
หนึ่งใน นั้นคือสนับสนุนเรื่องการมีน้ำสะอาดให้ดื่มขององค์กร water.org ซึ่งในเวลานั้นจะนำไปช่วยเหลือกรณีที่เกิดการขาดแคลนน้ำดื่มที่สะอาดใน ประเทศเฮติ หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ โดย Zynga ได้ผลิตสินค้าแบบเวอร์ชวล (virtual good) ที่ผลิตขึ้นมาพิเศษ ให้ซื้อกันได้ในเกม เช่นผลิตหมีเท็ดดี้แบร์ ให้ซื้อกันในเกมมาเฟียวอร์ หรือผลิตปลาพิเศษขึ้นมาในเกมฟิชวิลล์ ปรากฏว่ามีผู้คนมาซื้อปลาพิเศษนี้มากกว่า 60,000 คนเลยทีเดียว โดยสินค้าเวอร์ชวลแบบพิเศษเหล่านี้ จะถูกแจ้งว่ารายได้จากการซื้อสินค้าตัวนี้ จะถูกนำไปช่วยเหลือองค์กรการกุศลเป็นต้น และสิ่งนี้ก็เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเราเช่นกัน
 
ในช่วงเวลา เหล่านี้ ลองมองดูเกมบนเฟซบุ๊คที่เราเล่นอยู่ว่ามีสินค้าเวอร์ชวลพิเศษเหล่านี้มาให้ ได้ซื้อกันหรือไม่ หากมีก็ลองอุดหนุนเขาหน่อย เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเราที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่ที่ประเทศ ญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากได้ครับ
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/17/images/news_img_382368_2.jpg)

อีกแหล่งหนึ่งที่ต้องการแนะนำ ก็คือ เว็บไซต์ causes.com ซึ่งเป็นเว็บเปิดโอกาสในองค์กรการกุศลหรือผู้ที่ทำโครงการที่ไม่หวังผลกำไร ที่มาขอระดมทุนไปช่วยเหลือองค์กรการกุศล หรือกรณีพิเศษต่างๆ โดยครั้งนี้มีโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสึนามิและแผ่นดินไหวในประเทศ ญี่ปุ่นด้วย
 
ทั้งนี้ หน่วยกาชาดสหรัฐอเมริกาก็มาใช้ระบบ causes.com ระดมทุนบนโลกออนไลน์เช่นกัน โดยทางเว็บจะมีระบบการขอระดมทุนที่เตรียมไว้ให้แล้ว องค์กรต่างๆ สามารถมาสมัครใช้ได้เลย เพียงมาเขียนรายละเอียดโครงการและหาผ่านการอนุมัติจากเว็บก็สามารถใช้ระบบ เพื่อระดมทุนได้ทันที เรียกได้ว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้การทำความดีเหล่านี้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ หากใครที่ต้องการร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นและผู้ที่ประสบภัยใน ครั้งนี้ได้ที่ http://www.causes.com/campaigns/154523
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/17/images/news_img_382368_3.jpg)

และ อีกเว็บไซต์ที่คล้ายๆ กัน ก็คือ การตั้งโครงการเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ประเทศญี่ปุ่นของงาน ประชุมสัมมนาครั้งใหญ่ระดับโลกที่ชื่อ SXSW หรือย่อมาจาก South by Southwest ซึ่งเป็นงานสัมมนาของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการเพลง ภาพยนตร์และวงการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่งานนี้ได้ชักชวนให้ผู้เข้าร่วมงานและคนทั่วโลกร่วมกันบริจาคโดยจัดตั้ง เว็บไซต์ชื่อ sxsw4japan.org อนุญาตให้คนมาร่วมบริจาค
 
หรือแม้ กระทั่งสร้างหน้าขอบริจาคของตัวเองได้เลย แต่ละคนสามารถสมัครสมาชิกเพื่อสร้างหน้าบริจาคแล้วเขียน เพื่ออธิบายหรือชักชวนเพื่อนฝูงของตัวเองได้ ซึ่งทุกคนจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต้องการระดมทุนให้ได้ 50,000 ดอลลาร์ โดยบางคนอาจตั้งเป้าการระดมทุนที่ 200 ดอลลาร์ บางคนอาจจะมากกว่านั้น เรียกว่าแบ่งกันไปหาและระดมทุน เมื่อทุกคนร่วมกันหาได้ครบ 50,000 ดอลลาร์ เงินก้อนนี้จะนำไปบริจาคให้แก่หน่วยงานกาชาดของสหรัฐอเมริกา เพื่อนำไปบริจาคให้ผู้ประสบภัยที่ประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน
 
มี หลากหลายวิธีบนโซเชียลมีเดียที่เราจะช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก แม้ไม่ได้บริจาคเป็นตัวเงิน แต่การช่วยโปรโมทให้คนรับรู้ถึงโครงการเหล่านี้ก็ถือเป็นการทำบุญเช่นกันที่ เราสละแรงกายและเวลาเพื่อการกุศลเหล่านี้ ขอให้ผู้ประสบภัยพิบัติได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเร็วที่สุดครับ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: แฮคจอยแพด NES ใช้เล่นเกมส์บน iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 20:40:04
รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับการแฮคแก็ดเจ็ต (Gadget) ยอดฮิตอย่าง iPad สำหรับคอเกมส์ (Games) ที่ยังรู้สึกว่า การควบคุมเกมส์บนหน้าจอยบนหน้าจอสัมผัสไม่สนุกสะใจเท่ากับการใช้กดปุ่มบนจอ ยแพดจริงๆ ว่าแล้วยูสเซอร์บนยูทูบ (YouTube) ชื่อ ProtoDojo ก็เลยดัดแปลงจอยแพด NES ให้สามารถใช้ควบคุมเกมส์บน iPad ได้ ซึ่งวิธีแฮคของเขาน่าสนใจไม่น้อย

ProtoDojo ต้องการเล่นเกมส์ Robo Touch บน iPad ด้วยจอยจริงๆ เนื่องจากเขารู้สึกว่า มันน่าจะทำให้การเล่นเกมส์โปรดของเขาสนุกยิ่งขึ้น โดยเขาได้เลือกที่จะใช้จอยแพดจากเครื่องเล่นเกมส์ NES มาดัดแปลงการทำงานให้สามารถใช้ควบคุมเกมส์ Robo Touch บน iPad ได้ แต่แทนที่เขาจะเลือกใช้วิธีการดัดแปลงทั้งซอฟต์แวร์บน iPad ฮาร์ดแวร์ในส่วนของการเชื่อมต่อจอย NES เข้ากับพอร์ตของ iPad เขากับเลือกวิธีที่ง่ายกว่า ซึ่งเชื่อว่า คุณผู้อ่านเองก็อาจจะนึกไม่ถึง

(http://www.arip.co.th/images/news/game/1/hack-iPad-games-play-with-NES-joypad-2.jpg)

ProtoDojo แฮคจอย NES ให้ทำงานร่วมกับ iPad ได้ โดยใช้มอเตอร์เซอร์โวที่ต่อเข้ากับแกนหมุนที่มีหน้าสัมผัสตัวนำ แทนการใช้นิัวสัมผัสส่วนควบคุมเกมส์บน iPad ซึ่งชุดอุปกรณ์เหล่านี้จะดูดติดหน้าจอ iPad ด้วยสูญญากาศ และมอเตอร์เซอร์โวที่ต่อกับแกนตัวนำที่ใช้แทนนิ้วสัมผัสก็จะต่อเข้ากับจอย NES เมื่อกดปุ่มควบคุมบนจอยแพด มอเตอร์เซอร์โวที่อยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ที่ใช้ในการควบคุมเกมส์ Robo Touch ก็จะทำงาน นี่ถ้า Apple มาเห็นแล้วคิดว่าจะทำจอยแพดสำหรับเล่นเกมส์บน iPad เชื่อว่า คงมีคนอยากได้ไม่น้อยเลยทีเดียว หรือคุณผู้อ่านคิดว่าอย่างไรครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: อัลคาเทล-ลูเซ่นแนะปรับปรุงเครือข่ายสู่โลกไอพี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 21:48:45
'อัลคาเทล-ลูเซ่น' ระบุ ยังไม่ถึงเวลาลงทุน 4G ปรับปรุงเครือข่ายเก่าสู่เครือข่ายไอพีไปพลางๆ ก่อน ระหว่างรอใบอนุญาต 3G มั่นใจเครือข่ายได้ทันสมัยไม่แพ้ใคร
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003725502.JPEG)

      นายรีจีส สแลมท์บีเฮียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท อัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการปรับปรุงโครงข่ายสื่อสารที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุปกรณ์ของอัลคาเทลถูกเลือกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงโครงข่ายพื้น ฐานดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นทีโอที กสท 3บีบี หรือแม้กระทั้ง ทรู ซึ่งถือเป็นลูกค้ารายสำคัญในตลาดประเทศไทย ซึ่งถือว่าประเทศไทยมีเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากประเทศอื่นแต่ ประการใด
      
      "ปัจจุบัน สัดส่วนระหว่างตลาดภาครัฐกับภาคเอกชนในเมืองไทยอยู่ในสัดส่วนใกล้ๆ กัน ซึ่งปีนี้จากการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างมีการลงทุนพัฒนาเครือ ข่ายกันมากขึ้น ทำให้เชื่อว่า ปีนี้อัลคาเทลฯ ในประเทศไทยน่าจะมีอัตราการเติบเป็นตัวเลข 2 หลักได้ โดยปีที่แล้วก็สามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้"
      
      จากแนวโน้มการเติบโตการใช้งานดาต้าที่เป็นวิดีโอมากขึ้นทั้งบนเครือ ข่ายมีสายและไร้สาย ส่งผลให้ผู้ให้บริการจำเป็นที่จะลงทุนพัฒนาเครือข่ายที่มีอยู่ให้รองรับกับ ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีต้นทุนในการดำเนินการสูงขึ้น ขณะที่รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจึงจำเป็นที่ผู้ให้บริการจะต้องทำการปรับ เปลี่ยนเครือข่ายที่มีอยู่เดิมสู่เครือข่ายที่เป็นไอพีเบส ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนในการลงทุนที่ต่ำ เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของเครือข่ายที่สามารถรองรับแอปพลิเคชันใหม่ๆ ในอนาคตได้
      
      สำหรับกรณีที่มีการระบุว่า ประเทศไทยควรจะมองข้ามการลงทุนเครือข่าย 3G แล้วก้าวไปสู่ 4G เลย เนื่องจากความไม่ชัดเจนว่าจะมีเครือข่าย 3G เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้หรือไม่ นายรีจีส แสดงความคิดเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะก้าวข้ามไปลงทุนเครือข่าย 4G แทนที่ 3G ถึงแม้เวลานี้จะมีหลายๆ ประเทศเริ่มลงทุนเครือข่าย 4G กันแล้ว ซึ่งอัลคาเทล-ลูเซ่นก็มีความพร้อมทางเทคโนโลยีเครือข่าย 4G และได้มีการลงเครือข่ายดังกล่าวไปแล้วในหลายๆ ไปประเทศ
      
      ***เครือข่าย 4G เกิดแล้ว ไม่ใช่กำลังมา***
      
      เนื่องจากอุปกรณ์ปลายทางหรือมือถือในส่วนที่รองรับเทคโนโลยี 4G นั้นยังมีไม่มากนัก ราคาค่อนข้างสูง ยังไม่ถึงจุดอีโคซิสเต็มส์เหมือนเทคโนโลยี 3G ซึ่งน่าจะใช้เวลา 2-3 ปี เทคโลโลยี 4G ถึงจะถึงเข้าสู่อีโคซิมเต็มส์เหมือนที่เกิดขึ้นกับ 3G
      
      นายปาเรช กาทรี ผู้อำนวยการกลุ่ม Advanced Consulting Engineering group ศูนย์ไอพีอัจฉริยะ อัลคาเทล-ลูเซ่น เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า วันนี้อัลคาเทลฯ พร้อมที่จะนำเสนอแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถสร้าง บริการและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ตอบสนองพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เครือข่ายเดิมที่มีอยู่หลายๆ เครือข่ายไม่ค่อยตัวในการตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นดีนัก
      
      ทางอัลคาเทลมีวิสัยทัศน์สำหรับเครือข่ายยุคใหม่จะต้องมีใน 2 ด้าน ได้แก่ High-Leverage Network กับ Application Enablements จึงได้สร้างนวัตกรรมเครือข่าย “แบคฮอล” แบบเบ็ดเสร็จขึ้นมา ที่สามารถรองรับเครือข่ายมือถือได้ทุกยุค ซึ่งรวมถึงเครือข่าย 4G ด้วยรองรับการแอคเซสสื่อสัญญาณไม่ว่าจะเป็นไมโครเวฟ คอปเปอร์หรือไฟเบอร์ออฟติกในการเชื่อมต่อสถานีฐาน ที่สำคัญอัลคาเทลฯ เป็นซัพพลายเออร์รายเดียวที่มีอุปกรณ์ความเร็วสูงสุด 100Gbps ทั้งโซลูชันไอพีและออปติก ซึ่งจะช่วยผู้ให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีอยู่จากเป็นเครือข่ายเดียวๆ รวมเป็นเครือข่ายเดียว ซึ่งช่วยลดการทุนที่ซ้ำซ้อนและช่วยให้การบริหารจัดการเครือข่ายทำได้ง่าย ยิ่งขึ้น
      
      "คอนเซปต์ของเราคือ ไฮ เลเวล เน็ตเวิร์ก ที่ทำให้ลูกค้าลงทุนได้ในแบบซิงเกิล เน็ตเวิร์ก ทำให้ต้นทุนถูกลง และยังเป็นการคอนเวิร์ดระบบที่รองรับพัฒนาการของเทคโนโลยี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสารยุคที่เท่าไรก็ยังสามารถใช้งานเครือข่ายเดิมได้"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Mozilla ยันมาแน่ "FireFox 4" 22 มี.ค.นี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 มีนาคม 2011, 22:12:01
หลังจากปล่อยเบต้า 12 เวอร์ชั่นก่อนจะตบท้ายด้วยเวอร์ชั่นอาร์ซีตามเมื่อเร็วๆนี้ ล่าสุดโมซิลล่าประกาศเตรียมเปิดตัว "ไฟร์ฟ็อกซ์4" วันที่22มี.ค.นี้

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/18/images/news_img_382684_1.jpg)

แฟนคลับเบราเซอร์ไฟร์ฟ็อกซ์อดใจรออีกนิด ล่าสุด "โมซิลล่าผู้" พัฒนาเบราเซอร์จิ้งจอกเพลิง หรือไฟร์ฟ็อกซ์ประกาศ เตรียมเปิดตัวเวอร์ชั่น4 อย่างเป็นทางการสำหรับใช้งานบนเครื่องแมค, วินโดว์ส และลินิกซ์ ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ หลังจากปล่อยให้คู่แข่งทั้ง "โครม 10" และ "อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ 9 (ไออี9)" ทำตลาดเวอร์ชั่นใหม่ไปก่อนหน้าเพียงไม่นาน

อย่างไรก็ตามสำหรับเบราเซอร์เวอร์ชั่นใหม่จากไฟร์ฟ็อกซ์ได้ รับการปรับปรุงอินเทอร์เฟซใหม่ รวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานของจาวาสคริปต์ และยังรองรับการใช้เบราเซอร์กับเทคโนโลยี "เอชทีเอ็มแอล5", "เว็บเอ็ม (WebM)" และสถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อแบบปลั๊กอิน หรือ "เจ็ตแพค (JetPack)"

นอกจากนี้ไฟร์ฟ็อกซ์4 ยังรองรับการสร้างกลุ่มแทบ หรือที่เรียกว่า "พาโนรามา" และยังสามารถเพิ่มแทบใหม่เข้าไปได้ด้วย ซึ่งเว็บไซต์ที่เข้าบ่อยๆ เช่น จีเมล และทวิตเตอร์ ผู้ใช้ยังสามารถแอดเข้าไปในแทบที่เรียกว่า "แอพ แทบ" ซึ่งระบบจะอัพเดท และแจ้งเตือนเป็นแสงสว่างปรากฎบนแทบเมื่อมีข้อความใหม่ หรืออีเมลใหม่เข้ามา

ขณะเดียวกันก็ยังสามารถซิงค์ระบบที่ตั้งไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพาสเวิร์ด, บุ๊คมาร์ค และแทบที่เปิดไว้ให้ปรากฎบนหน้าจอมือถือได้เหมือนกันโดยผ่านเทคโนโลยีการ รักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า "26-คาแรคเตอร์ คีย์"

ส่วนไฮไลต์ฟังก์ชั่นใหม่ที่สำคัญอีกอย่างคือ ผู้ใช้สามารถเลือกกำหนดไม่ให้เว็บเก็บข้อมูล หรือติดตามการใช้งานเว็บผ่านเบราเซอร์ของไฟร์ฟ็อกซ์ได้ โดยเลือกที่ "do not track" ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้ข้อมูลใดๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านการทำโฆษณา

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: 'ปฐมา' ย้ายกลับไมโครซอฟท์ คอร์ปฯ มีผล 28 มี.ค.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มีนาคม 2011, 21:20:16
ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ประกาศแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ แทนนางสาวปฐมา จันทรักษ์ โดยนายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา จะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2554 ส่วนระยะเวลาที่เหลือเป็นช่วงการโอนถ่ายงาน ทั้งนี้คาดว่านางสาวปฐมา จะย้ายกลับไปเข้ารับหน้าที่ใหม่ที่ ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ในเรดมอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003765001.JPEG)
นางสาวปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของไมโครซอฟท์ ประเทศไทย

      นางเทรซีย์ เฟลโลวส์ ประธาน ไมโครซอฟท์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานทางด้านการจัดการ และการตลาดสินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ จึงมั่นใจได้ว่า นายพีรธน จะสามารถขับเคลื่อนไมโครซอฟท์ไปในทิศทางใหม่ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในประเทศไทยได้ยิ่งขึ้น
      
      นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กล่าวว่า การได้เข้าร่วมงานกับไมโครซอฟท์ ที่เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มพูน ศักยภาพของธุรกิจและสังคมโดยรวม ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค ผู้ถือหุ้น รวมทั้งประชาชนในชุมชนทั่วโลก
      
      "หวังว่าจะได้ร่วมเป็นส่วนสำคัญในการทำงานร่วมกับทีมไมโครซอฟท์ ประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันความสำเร็จของไมโครซอฟท์ร่วมกัน และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไอทีของประเทศไทย"
      
      ก่อนเข้าร่วมงานกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย นายพีรธน ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ มิวสิค ประเทศไทย และสิงคโปร์ รวมทั้งตำแหน่งสำคัญอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 2550 เขาประสบความสำเร็จในการทำงานในหลากหลายตำแหน่ง โดยเขาจบการศึกษาจากวาร์ตัน (Warton School of Business) มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย นายพีรธน มีประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคโดยได้ทำงานร่วม กับฟิลลิป มอริส เป็นเวลา 7 ปี ทั้งยังเคยร่วมงานกับโคคา-โคลา ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปี นายพีรธนยังเป็นคนสำคัญในการบุกเบิกการใช้สื่อดิจิตัล โดยเป็นผู้ก่อตั้ง Internet Division ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ ระหว่างปี 2543 - 2548
      
      ทั้งนี้ทางไมโครซอฟท์จะมีการแถลงข่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการของนายพีรธน ในวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2554 นี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ผู้ชนะ "Imagine Cup" กับแอพพลิเคชั่น ท้าทาย...ภัยพิบัติ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 มีนาคม 2011, 21:36:58
ปีที่ 9 ปลายทางอยู่ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และนักศึกษาไทย ถูกจับตามองจากทั่วโลก ถึงความสามารถที่จะรักษาแชมป์ครั้งนี้ได้หรือไม่

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/19/images/news_img_382733_1.jpg)

เมื่อปี 2553 นักศึกษาไทยได้สร้างประวัติศาสตร์การแข่งขันออกแบบซอฟต์แวร์ระดับโลก "Imagine Cup" ที่จัดโดย "ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น" และคว้ารางวัลที่ 1 การออกแบบซอฟต์แวร์ "แปลงภาษาพูด เป็นภาษามือ" ที่เมืองวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ จากนักศึกษาที่ร่วมการแข่งขันทั่วโลกกว่า 300,000 คน

ปี 2554 "Imagine Cup" กำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้จัดเป็นปีที่ 9 จุดหมายปลายทางอยู่ที่ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่า "นักศึกษาไทย" ถูกจับตามองจากทั่วโลก ถึงความสามารถที่จะรักษาแชมป์ครั้งนี้ได้หรือไม่

ล่าสุด ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ประกาศผู้ชนะเลิศการออกแบบซอฟต์แวร์ระดับประเทศ ผู้ชนะ ได้แก่ ทีมนักศึกษาเก่งจากรั้วจามจุรี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ออกแบบซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า "เทอร์ร่า" (Terra) ระบบการช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ นักศึกษาทีมนี้ คือ ตัวแทนไปแข่งขัน "Imagine Cup" ที่มหานครนิวยอร์ก จากนี้ไปเหลือเวลาแค่ 3 เดือน เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สมรภูมิประลองไอเดียออกแบบซอฟต์แวร์ระดับโลก

"เกรียงไกร พิพัฒน์วิไลกุล" หัวหน้าทีม "NewKrean" ตัวแทนเพื่อนร่วมทีม ที่ประกอบด้วย นางสาววรรณพร สุรวรเชษฐ,นายทนง ศิลารรณ นายจีระภัทร เยาวัชชกุล เล่าถึง แรงบันดาลใจของการคิดระบบนี้ว่า จากท่ามกลางวิกฤตการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติปัจจุบัน ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ที่หลายประเทศได้เตรียมพร้อมด้านการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน

หากแต่ยังมีคำถามคาใจว่า "จุดใดเหมาะสมสำหรับการเป็นศูนย์กลางการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถกระจายความช่วยเหลือไปสู่ประชาชนได้มากที่สุด"

แอพพลิเคชั่น "เทอร์ร่า" เป็นระบบตอบสนองอัตโนมัติ (simulation) ที่แสดงภาพรวมของปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวอันเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นๆ

"เทอร์ร่า" ช่วยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือบุคคลที่ประสบภัยพิบัติ ส่งข้อมูลขอความช่วยเหลือไปยังศูนย์กลางของภาครัฐ เพื่อประเมินสถานการณ์ได้ทันท่วงที ขณะที่เจ้าหน้าที่ส่วนกลางจะประเมินผลกระทบในระยะยาวได้ สามารถวางแผนป้องกันได้อย่างรวดเร็ว เทอร์ร่า ยังช่วยให้ข้อมูลว่า ศูนย์ความช่วยเหลือควรก่อตั้งที่จุดใด จึงจะปลอดภัยจากภัยพิบัติ และผลกระทบที่ตามมาในอนาคต

"จุดเด่นของโปรแกรมนี้อยู่ที่ one click แค่คลิกเดียว จะทำให้เพื่อนๆ บนโซเชียล มีเดีย ไม่ว่าจะเป็นบนเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เอ็มเอสเอ็น ทราบว่าคุณอยู่ที่ไหน ทันทีที่เกิดภัย พิบัติ จะเป็นน้ำท่วม สึนามิ หรือแผ่นดินไหว เพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือคุณได้เร็วที่สุด" เกรียงไกรหัวหน้าทีมเล่า

เขาบอกว่า จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจแรกที่คิดทำโปรแกรมนี้ มาจากเหตุน้ำท่วมที่นครราชสีมา (โคราช) และได้เป็นส่วนหนึ่งไปแจกสิ่งของช่วยผู้ประสบภัย แต่ไม่ไปถึงพื้นที่ห่างไกล หรือหมู่บ้านที่อาจตั้งอยู่ลึก บางกลุ่มบางหมู่บ้านจึงไม่ได้รับของบริจาค จึงคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหาก ผู้ประสบภัยจะสามารถแจ้งเตือนให้คนอื่นทราบว่า ตัวเองประสบภัยพิบัติอยู่ที่ใด ผ่านอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมถึงเครือข่ายโซเชียล เน็ตเวิร์ค ของเพื่อนๆ หรือคนรู้จักได้ทันที แค่ 1 คลิกเท่านั้น

"ดีไวซ์หลัก คือ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ที่มีระบบโลเคชันเบสติดอยู่ที่ตัวเครื่อง ซึ่งขณะนี้ กำลังมีแนวคิดที่จะพัฒนาให้ใช้ได้ผ่านฟีเจอร์โฟนธรรมดา รวมถึงระบบเอสเอ็มเอส ทั้งยังอยู่ระหว่างการพัฒนานำเอาระบบดาต้า เพื่อมาประมวลผลถึงการระแวดระวังภัยที่จะเกิดในอนาคตได้ด้วย และนี่อาจเป็นฟีเจอร์เด่นเพิ่มในการนำไปสู้ในการแข่งขัน Imagine Cup ที่นิวยอร์ก" หัวหน้าทีม NewKrean กล่าว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Amazon เล็งพัฒนา "แท็บเล็ต" Kindle?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 มีนาคม 2011, 21:01:37
Android App Store ของ Amazon กำลังจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในวันอังคารที่่ 22 มีนาคม ศกนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ทางบริษัทกำลังพุ่งเป้าไปที่ตลาด Android อย่างจริงจัง แถมทางร้านยังมีข้อตกลงพิเศษกับทางบริษัทผู้พัฒนาเกมส์ยอดฮิตอย่าง Angry Birds อีกต่างหาก พร้อมทั้งเปิดรับนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Android อีกด้วย หรือว่า Amazon กำลังจะพัฒนาแท็บเล็ต Kindle ทีทำงานด้วย Android ในอนาคตตอันใกล้นี้

(http://www.arip.co.th/images/news/amazon/2/amazon-creating-kindle-tablet-work-with-android-app-store-2.jpg)

นักวิเคราะห์รายงานว่า แท็บเล็ต Kindle จะเป็นคู่แข่งที่่น่ากลัวที่สุดสำหรับ iPad ในขณะที่ทางแผนก Lab126 ของ Amazon ที่รับผิดชอบในการออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับ Kindle กำลังเปิดรับพนักงานที่มีประสบการณ์ทางด้าน Android ซึ่งคู่แข่งอย่าง NOOK Color เครื่องอ่านอีบุ๊คจาก B&N ก็ยังใช้ Android ด้วยเลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจอะไรหาก Amazon จะผลักดันให้ Kindle เป็นแบบเดียวกัน หรือมากกว่านั้นด้วยการทำให้มันเป็น"แท็บเล็ต" Android เพื่อชนกับ iPad ไปเลย

(http://www.arip.co.th/images/news/amazon/2/amazon-creating-kindle-tablet-work-with-android-app-store-3.jpg)

Jeff Bezos ซีอีโอของ Amazon ปฎิเสธว่า ทางบริษัทไม่ได้สนใจที่จะต่อสู้กับ iPad แต่การรุกคืบของธุรกิจในช่วงทีผ่านมาดูจะตรงข้าม โดยล่าสุดทางบริษัทได้เข้าซื้อ TouchCo ซึ่งนั่นหมายความว่า บริษัทมีแผนที่จะผลิตอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้าย"แท็บเล็ต"ที่ทำงานด้วยหน้าจะ สัมผัส อีกทั้งโฆษณาของ Amazon Kindle ที่เหน็บแนม iPad ที่ไม่สามารถดูกลางแจ้งได้ เนื่องจากหน้าจอมีการสะท้อนแสง แล้วอย่างนี้จะบอกว่า ไม่ได้มอง iPad เป็นคู่แข่งได้อย่างไร?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iPad 2 mini ฮัลโหลได้+กล้องหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 21:04:18
ในขณะที่หลายคนกำลังชื่นชม iPad 2 ที่บาง-เบา และทำงานเร็วกว่าเวอร์ชันแรก บางทีคุณอาจจะสนใจอยากได้ iPad 2 ที่มีขนาดเล็กเท่ามือถือดูบ้าง เอ่อ...จะว่าไปมันก็มี iPod Touch อยู่แล้วไง? ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ประเด็นคือ หากคุณรู้สึกว่า ราคาแก็ดเจ็ตของ Apple ยังไม่ถูกพอที่คุณจะหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ แถมยังทำอะไรไม่ได้มากอย่างที่คุณต้องการ ลองดูแก็ดเจ็ตที่จะแนะนำกันต่อไปนี้ดีกว่าครับ บางทีมันอาจจะเป็นอะไรที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็ได้

เว็บไซต์ YouTube เผยแพร่คลิปวิดีโอของอุปกรณ์ทีดูคล้าย iPad 2 แต่มีขนาดเล็กเท่ามือถือ โดยกรอบด้านหน้าจะมีสีขาว พร้อมกล้อง ส่วนสเป็กเครื่องแน่นอนว่าเทียบ Apple ไม่ได้ เจ้าแก็ดเจ็ตตัวนี้มีชื่อเรียกว่า E-Pad ทีมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบ resistive (ใช้เล็บ หรือสไตลัสจิ้มได้) ขนาด 3.5 นิ้ว กล้องด้านหน้า 0.3 ล้านพิกเซล และด้านหลัง 2 ล้านพิกเซล แถมยังมีแฟลช LED ที่ iPad 2 ไม่ได้ให้มาอีกด้วย ทำงานด้วย Java และสนับสนุนการรับสัญญาณทีวี (มีเสาอากาศ - -") ได้อีกต่างหาก E-Pad เป็นมัลติมีเดียโฟนระบบ GSM ที่รองรับการใช้งานได้ 2 ซิม ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/e-pad-ipad-2-phone-with-tv-tuner-from-china-2.jpg)

E-Pad จะมีความหนาถึง 0.5 นิ้ว ซึ่งหนากว่า iPad 2 (บอกแล้วว่า อย่าไปเทียบ :D) แต่เอาเป็นว่า หากคุณผู้อ่านอยากได้แก็ดเจ็ตตลกๆ ที่ทำได้สารพัด แถมยังมีหน้าตาคล้าย iPad 2 ขนาดเล็ก เอาไว้อำเพื่อนเล่น ก็เพียงแค่บินไปที่เสิ่นเจิ้น เพื่อซื้อหาจับจองเป็นเจ้าของได้ในราคา 70 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,200 บาทเท่านั้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Sony Vaio รุ่นใหม่ท้าชน Apple MacBook Air
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 21:23:48
แหล่งข่าวที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ระบุว่า Sony กำลังมีแผนที่จะปล่อยโน้ตบุ๊ค Vaio ดีไซน์บางเบาออกมาอีก 2 รุ่น โดยหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคู่แข่ง MacBook Air โดยตรง ซึ่งทางบริษัทใช้โค้ดเนมเรียกโน้ตบุ๊ครุ่นนี้ว่า Hybrid PC ไม่เพียงแต่จะเป็นโน้ตบุ๊คบางเบาเท่านั้น แต่มันยังสามารถเชื่อมต่อกับด็อคกิ้ง เพื่อใช้งานเป็นเดสก์ทอปที่สมบูรณ์แบบได้อีกด้วย

Sony Vaio ที่มีโค้ดเนมว่า Hybrid PC จะทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ Core i7 สตอเรจ SSD พร้อมพอร์ต HDMI 1.4 และ WiDi โดยตัวเครื่องจะมีน้ำหนักรวมประมาณ 2.5 ปอนด์ ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับด็อคกิ้ง มันก็จะสามารถแปลงร่างเป็นเดสก์ทอปที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์กราฟิก Radeon HD 6700M ไดรฟ์ Blu-ray และช่องต่อ Ethernet ตลอดจนพอร์ต VGA และคอนเน็คเตอร์แบบใหม่ที่รวม USB เข้ากับอะแดปเตอร์ AC นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ daisy chain สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงของ Intel ที่ชื่อว่า Light Peak (Thunderbolt ของ Apple) อีกด้วย ดังนั้นการเปิดตัวของ Hybrid PC อาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ Intel เคยให้ข่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เทคโนโลยี Thunderbolt (light peak) ทางบริษัทได้ร่วมมือกับ Apple เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทาง Sony ระบุว่า มันไม่ใช่ Thunderbolt เนื่องจากทาง Sony เรียกมันว่า Light Peak ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ โน้ตบุ๊ค Hybrid ของ Sony จะสามารถใช้งานได้นาน 8 ถึง 16.5 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้ระบุว่า ต้องใช้แบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นมาด้วย หรือไม่? (ซึ่งหมายถึง น้ำหนักเครื่องที่เพิ่มขึ้นด้วย)

(http://www.arip.co.th/images/news/sony/2/sony-vaio-macbook-air-style-are-coming-2.jpg)

สำหรับอีกรุ่นหนึ่งจะเป็นเน็ตบุีค Chrome OS ที่มีหน้าจอ 11.6 นิ้ว โดยแพลตฟอร์มที่จะใช้จะเป็น NVIDIA Tegra 2 เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้นาน 8 ชั่วโมง ในขณะที่มีการแสดงผลกราฟิกที่เร็ว หน่วยความจำเครื่อง 1GB แฟลชไดรฟ์ 16GB (แทน 8GB ตามสเป็ก เน็ตบุ๊ค Chrome ที่ทางกูเกิลกำหนดขั้นต่ำไว้) ในขณะเดียวกัน น้ำหนักของเน็ตบุ๊ค Chrome OS จาก Sony จะอยู่ที่ 2.2 ปอนด์ (1 กิโลกรัม) ทั้งนี้สเป็กของเครื่องยังคาดว่า จะมาพร้อมกับ 3G หรือ 4G ด้วยเลย อย่างไรก็ดี ทั้ง Hybrid PC และ Chrome OS เน็ตบุ๊ค จะได้รับการดีไซน์ให้บางเฉียบ โดยจะอยู่ในหมวดผลิตภัณฑ์ Ultraportable ดูเหมือน MacBook Air ของ Apple กำลังจะถูกแย่งแชร์จากฝั่งผู้ผลิตพีซี เช่นเดียวกับ iPad

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: คอมมาร์ตเฮ ยอดทะลุเป้า 3,400 ล้านบาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 21:42:31
เออาร์ไอพีแถลงข่าวประกาศความสำเร็จยอดขายสินค้าในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 4 วัน กวาดรายได้ทะลุเป้ากว่า 3,400 ล้านบาท สวนกระแสเงินเฟ้อ โดยโน้ตบุ๊ก และสมาร์ทโฟนยังครองตำแหน่งแชมป์ขายดี
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003844201.JPEG)

      นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงาน “คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011” ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่ากระแสเงินเฟ้อจะทำให้สินค้าต่างๆ ปรับราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อการครองชีพ แต่ไม่มีผลกระทบกับยอดขายสินค้าไอที ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในงานกว่า 3,400 ล้านบาท ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสงครามราคาที่ไม่สูงมากนัก โปรโมชันที่คุ้มค่า คุ้มราคา สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
      
      “งานคอมมาร์ตในครั้งนี้สงครามราคามาแรงมากๆ มีการปรับราคากันอย่างดุเดือดทั้งลด แลก แจก แถม ซึ่งถือว่าเป็นงาน Consumer เพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง จึงทำให้ยอดขายภายในงานทะลุเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากมีโปรโมชั่นราคาพิเศษที่นำมาลดราคา พร้อมของแถมอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนกระแสนิยมในตัวแท็บเล็ตที่มาแรงไม่แพ้กัน หลายรุ่นหลายยี่ห้อ อาทิ Acer, Toshiba, Samsung, Dell, Viewsonic, Creative รวมถึง IPad 2 รุ่นล่าสุด”
      
      โดยสินค้าที่ขายดีที่สุด อันดับหนึ่งภายในงานคงหนีไม่พ้นโน้ตบุ๊ก ซึ่งเป็นพระเอกที่ทำยอดขายรวมกว่า 1,900 ล้านบาท รองลงมา คือสมาร์ทโฟน ด้วยยอดขาย 335 ล้านบาท, อุปกรณ์เสริม 275 ล้านบาท ในส่วนของแท็บเล็ตนั้นอยู่ในอันดับ 8 ทำรายได้รวมกว่า 61 ล้านบาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003844202.JPEG)

      ด้านกิจกรรมเวิร์คช็อป และสัมมนาเสริมความรู้ภายในงานครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมฟังเสวนาสาระบันเทิงในหัวข้อ “ธรรมะกับเทคโนโลยี” โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตตโต จากธรรมะเดลิเวอรี่ ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมฟังมากเป็นพิเศษ รวมทั้งการประมูลสินค้าไอทีสุดมันส์ โดยเฉพาะ IPAD 2 ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากระแสความต้องการในโลกดิจิตอล และออนไลน์มีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ทั้งนี้รายได้จากการประมูล IPAD 2 และสินค้าไฮไลท์อื่นๆ จะนำไปบริจาคสมทบช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ ที่ประเทศญี่ปุ่น
      
      "สำหรับงานคอมมาร์ตในครั้งต่อไป จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคมนี้ โดยจะมีการยกระดับงาน Cemart ให้เป็น Commart แทน เนื่องจากกระแสความต้องการของผู้บริโภคที่ยังมีอีกมากแต่ไม่สามารถซื้อ สินค้าได้ทัน และตั้งใจจะให้เป็นเวทีเปิดตัวสินค้ารุ่นล่าสุดในช่วงไตรมาสสองของปี 2554 ซึ่งเชื่อว่าจะกระตุ้นตลาดไอทีได้เป็นอย่างดี"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: อานิสงส์ "วิกิลีกส์" ธุรกิจซิเคียวริตีรับทรัพย์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 21:52:21
ไซแมนเทคเผย กระแสวิกิลีกส์ (Wikileaks) มีส่วนทำให้บริษัทซิเคียวริตีผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย คอมพิวเตอร์ในองค์กรสามารถทำตลาดได้ง่ายขึ้น ยอมรับว่ากรณีวิกิลีกส์เผยแพร่ข้อมูลลับขององค์กรนานาชาติไปทั่วอิน เทอร์เน็ต ทำให้ผู้บริหารองค์กรเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อรวมกับปัจจัยร่วมอื่น นาทีนี้จึงมีแนวโน้มการเพิ่มงบประมาณจัดซื้อโปรแกรมตรวจจับการรั่วไหลของ เอกสารในองค์กรมากกว่าอดีตอย่างเห็นได้ชัด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003811301.JPEG)

      ล่าสุดเกาะกระแสความหวั่นใจด้วยการเปิดตัวโปรแกรมใหม่ซึ่งเชื่อว่าจะ เป็นหนึ่งในปราการสำคัญเพื่อให้องค์กรสามารถป้องกันตัวเอง ไม่ให้มีเอกสารลับใดรั่วไหลจนต้องขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์เพราะมีข่าวฉาวจากวิกิลีกส์
      
      ฌอน โคเพลกี ผู้อำนวยการโซลูชันป้องกันข้อมูลสูญหาย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไซแมนเทค กล่าวถึงความ ตื่นตัวของตลาดป้องกันข้อมูลสูญหายหลังการเกิดกรณีวิกิลีกส์ว่า วิกิลีกส์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้บริษัทองค์กรในประเทศที่ไม่มีกฎบังคับ หันมาเห็นความสำคัญของการลงทุนด้านป้องกันข้อมูลสูญหายมากขึ้น โดยยังไม่มีการสรุปตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้
      
      "ประสบการณ์ที่ผมได้จากการคุยกับลูกค้าองค์กร คือส่วนใหญ่ไม่สามารถป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้ องค์กรในสหรัฐฯหรือสิงคโปร์ที่มีกฏหมายบังคับชัดเจนอาจตระหนักว่าการรั่วไหล หรือสูญหายของข้อมูลจะทำให้องค์กรได้รับผลเสียตามมาเพียงไร แต่ในประเทศอื่น วิกิลีกส์คือตัวอย่างที่ดีในการทำให้ผู้บริหารองค์กรตื่นตัว"
      
      วิกิลีกส์นั้นเป็นชื่อ เว็บไซต์ที่ก่อตั้งโดยจูเลียน อัสซานจ์ วีรกรรมของชายชาวออสเตรเลียซึ่งโลกอินเทอร์เน็ตเชื่อถือกันว่าเป็นนักเจาะ ระบบหรือแฮกเกอร์มือฉมังรายนี้คือการเผยแพร่เอกสารลับขององค์กรระดับประเทศ ไปทั่วอินเทอร์เน็ต ทั้งข้อมูลการเจรจาลับ สัญญาลับ โทรเลขลับ รวมถึงคลิปลับบนเจตนารมณ์ว่าต้องการเปิดโปงให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ความ จริงร้ายกาจที่ถูกปิดบังไว้ แม้จะสร้างความปั่นป่วนแก่รัฐบาลหลายประเทศ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าวิกิลีกส์จะสามารถยืนยันเผยแพร่ข้อมูลลับได้อีกนาน เพราะวิกิลีกส์สามารถอุดช่องโหว่ที่ก่อนนี้"นักปล่อยข่าว"ไม่มีช่องทางเผย แพร่ได้อย่างชะงัด
      
      ไทยส่งสัญญาณตื่นตัว
      
      ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ นักวิจัยและหัวหน้างานเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ (ThaiCERT) ให้ความเห็นว่ากระ แสวิกิลีกส์จะไม่หยุดลงในเร็ววัน สำหรับประเทศไทยที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายโดดเด่นของวิกิลีกส์ ปัจจุบันได้มีการปรับตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในแง่ระเบียบวิธีปฏิบัติที่มีการควบคุมอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น แม้การป้องกันในองค์กรไทยจะยังมีช่องโหว่อยู่บ้างก็ตาม
      
      "เชื่อว่าวิกิลีกส์ยังอยู่ได้ต่อไป เพราะคนยังเชื่อถือ วิกิลีกส์มีช่องทางพิเศษในการปล่อยข่าว มีสื่อสถานีข่าวที่เปิดช่องทางให้วิกิลีกส์โดยเฉพาะ มันช่วยเติมเต็มให้แก่ทั้งคนที่อยากรู้ สื่อ ประชาชนคนธรรมดา และแฮกเกอร์ ทั้งหมดรวมกัน ความตื่นตัวที่เห็นในประเทศไทยคือการออกประกาศกฎหมายให้หน่วยงานภาครัฐต้อง รักษาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ระเบียบการแปลงข้อมูลจากกระดาษเป็นดิจิตอล ฯลฯ ล้วนเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ดีและน่าสนใจ"
      
      นอกจากวิกิลีกส์ ไซแมนเทคพบว่ามี 5 ปัจจัยที่ทำให้องค์กรทั่วโลกมีความตื่นตัวเรื่องการป้องกันข้อมูลสูญหายมาก ขึ้นในขณะนี้ ได้แก่ แนวโน้มเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องแบกรับหากเกิดกรณีข้อมูลสูญหาย โดยค่าเฉลี่ยในปี 2009 ซึ่งรวมทั้งค่าปรับและค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องติดตามแก้ไขปัญหาคิดเป็น มูลค่าสูงถึง 6.75 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน แนวโน้มข้อมูลในองค์กรที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้องค์กรมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย จุดนี้การสำรวจจากไอดีซีพบว่า ข้อมูลองค์กรที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บตามโครงสร้างที่ดีมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น มากกว่า 61.7% ต่อปี ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนองค์กร 88% ทั่วโลกที่ระบุว่ามีประสบการณ์ข้อมูลรั่วไหลในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
      
      ที่สำคัญ ไอดีซีพบว่า อดีต พนักงานและพนักงานปัจจุบันคือต้นตอที่ทำให้ข้อมูลองค์กรรั่วไหลสูงขึ้น แนวโน้มนี้ตีความจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 67% จากกลุ่มอดีตพนักงานที่นำข้อมูลไปให้บริษัทคู่แข่ง และอีก 59% ที่นำข้อมูลความลับขององค์กรไปแม้จะลาออกจากงาน
      
      เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไซแมนเทคจึงเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ "เว็คเตอร์ แมชชีน เลิร์นนิ่ง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลเวอร์ชันล่าสุดของบริษัท "ไซแมนเทค ดาต้า ลอส พรีเวนชัน 11"
      
      "เทคโนโลยีนี้จะทำให้ระบบตรวจจับได้อัตโนมัติว่า เอกสารใดเป็นเอกสารสำคัญ เช่น การตรวจจับเอกสารที่มีคำว่า confidential หรือคำอื่นๆที่องค์กรนั้นต้องการตรวจสอบโดยเฉพาะ ทำให้ข้อมูลที่มีคำเหล่านี้แต่ไม่ถูกจัดเก็บเป็นระบบ จะมีความเสี่ยงน้อยลง" นพชัย ตั้งไตรธรรม หัวหน้าทีมวิศวกรไซแมนเทคประเทศไทยกล่าว
      
      ซอฟต์แวร์อย่างเดียวแก้ไม่ได้
      
      วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานบริการให้คำปรึกษาของบริษัท ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ให้ความเห็นว่านอกจากซอฟต์แวร์ องค์กรควรให้ความสำคัญกับบุคลากรและระเบียบวิธีปฏิบัติงาน จึงจะสามารถป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้อย่างหมดจด
      
      "3 จุดควรระวังเพื่อป้องกันองค์กรเป็นเหยื่อวิกิลีกส์คือ people process techno คนเป็นจุดที่ยากที่สุด โจทย์ขององค์กรคือทำอย่างไรให้บุคลากรเข้าใจและไม่ปล่อยให้เกิดช่องโหว่ พบว่ากลุ่มผู้บริหารเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นสาเหตุให้ข้อมูลรั่วไหลมาก ที่สุด ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารที่มีอีเมลแต่ไม่เคยใช้ คนอื่นสามารถเข้าไปส่งเมล แก้ไข ทำแทนทุกอย่างได้หมด"
      
      นอกจากการทำให้ผู้บริหารตระหนักความสำคัญ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันงบประมาณและมาตรการป้องกันในองค์กรอย่างเป็น รูปธรรม วิไลพรระบุอีกว่าองค์กรควรปลูกฝังให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร เขียนเป็นนโยบายองค์กรเพื่อการป้องกันข้อมูลรั่วไหล เช่น มีการเขียนเป็นลำดับขั้นการทำลาย เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติตามได้ง่าย
      
      "โปรเซสที่ดีจะเกิดขึ้นถ้ามีนโยบายที่ดีชัดเจนอ่านง่าย จากนั้นค่อยมาหาเทคโนโลยี"


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: i-mobile เปิดตัว i-note แท็บเล็ตแอนดรอยด์สายพันธุ์ไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 22:10:46
สามารถ ไอ-โมบาย รุกตลาดสมาร์ทโฟนตั้งเป้าทำตลาดปีนี้ 1 แสนเครื่อง เปิดตัว "i-note" แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 หน้าจอ 7 นิ้วดูทีวีได้มาพร้อมโปรโมชันพิเศษเล่นอินเทอร์เน็ตฟรีแบบไม่จำกัด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003813101.JPEG)

      นายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย กล่าวว่า ปี 2554 ไอ-โมบาย ตั้งเป้ายอดขายโทรศัพท์มือถือกว่า 3.5 ล้านเครื่อง โดยจะให้ความสำคัญสินค้าในกลุ่มสมาร์ทซีรีส์ ที่รองรับการใช้งาน 3G และแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดสมาร์ทโฟนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่กว่า 10 รุ่น ครอบคลุมทั้งโทรศัพท์มือถือ แอนดรอยด์ และ แท็บเล็ต แอนดรอยด์ เน้นการใช้งานมัลติมีเดีย ดาวน์โหลด และเล่นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 3G กับซิม i-mobile 3GX
      
      ไอ-โมบาย ประเดิมเปิดตัว "i-note" แท็บเล็ต แอนดรอยด์ 2.2 หน้าจอมัลติทัช ขนาด 7 นิ้ว จุดเด่นดูทีวีด้วยออโต้ ทีวี จูนเนอร์ พร้อมใช้งานโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตแรงระดับ 3G ความเร็ว 7.2 Mbps รองรับการเล่นไฟล์แฟลช เกม 3D และดูวิดีโอยูทูบโดยไม่สะดุด พร้อมแอปพลิเคชั่นในเครื่องที่พร้อมใช้งานทันที โดย ไอ-โมบาย ทำตลาดในราคา 11,900 บาท พร้อม โปรโมชันซิม i-mobile 3GX ใช้อินเทอร์เน็ตฟรีแบบไม่จำกัด นาน 1 เดือน
      
      "i-note ใช้จุดแข็งการเป็นโทรศัพท์เพื่อแข่งกับยี่ห้ออื่นที่ไม่ได้มุ่งโปรโมตเรื่อง นี้ โดยคาดว่าจะทำตลาดได้ประมาณ 1 หมื่นเครื่อง จากเป้าหมายรวมสมาร์ทโฟนที่คาดว่าจะทำได้ในปีนี้ที่ 1 แสนเครื่อง และจากปีที่ผ่านมาทำตลาดสมาร์ทโฟนได้ประมาณ 4-5 หมื่นเครื่อง"
      
      ไอ-โมบายยังวางแผนเปิดตัวมือถือแอนดรอยด์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องใน ระดับราคา 4,500 ถึง 6,000 บาท เช่น i-mobile i691 มือถือแอนดรอยด์สองซิมเครื่องแรก ใช้งานทั้ง 3G และ GSM รวมทั้ง i-mobile i692 และ i-mobile i693 โดยโทรศัพท์มือถือในกลุ่มสมาร์ทซีรีส์จะมาพร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ เช่น ออโต้ ทีวี จูนเนอร์ ดูทีวีทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องจูน คุยเสียงชัดด้วยระบบตัดเสียงรบกวน (noise cancellation) หรือใช้เป็น ไวไฟ เราท์เตอร์ เพื่อแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ต
      
      นายสุภสิทธิ์ รักกสิกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ มัลติมีเดีย กล่าวว่า มือถือแอนดรอยด์และแท็บเล็ตมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่ม สามารถจะนำเสนอแอปพลิเคชั่นที่เข้าถึงความต้องการผู้ใช้ เน้นการใช้งานง่าย ทั้งกลุ่มธุรกิจ กลุ่มไลฟ์สไตล์ และ กลุ่มเอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น EDT Guide แนะนำสถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว รีวิวร้านค้า และ โปรโมชัน ส่วนลดพิเศษ HoroWorld ดูดวง ดูฤกษ์ ดูฮวงจุ้ย ปฏิทินจีน Stock อัปเดตความเคลื่อนไหวหุ้นแบบเรียลไทม์ และ Smart News Feed ข่าวจากสำนักข่าวชั้นนำของไทย
      
      "ผู้ใช้ i-note สามารถเลือกใช้งานแอปฯที่ตรงตามไลฟ์สไตล์ ผ่านธีมหน้าจอ และวิดเจ็ตที่มีให้เลือก 3 แบบ โดยวางแผนร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ และแอปฯพิเศษสำหรับผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง"
      
      ในปี 2554 ไอ-โมบายตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ i-mobile 3GX จำนวน 500,000 ราย ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการในรูปแบบที่ตรงกับความต้องการสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป และ ผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น คนรักหนัง คนรักเพลง และกีฬา พร้อมแพ็กเกจบริการ 3G ในอัตราพิเศษ เพื่อรองรับการให้บริการระบบ 3G ที่จะขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ดีแทคจับมือโรบินสันกำจัดขยะไฮเทค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 22:19:54
ดีแทคทำดีร่วมกับห้างโรบินสัน เตรียมขยายความร่วมมือโครงการ Battery for Life ครั้งที่ 6 จากแค่กำจัดแบตมือถือไปสู่การจัดเก็บมือถือเก่าและคอมพิวเตอร์เพื่อลดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003816401.JPEG)
ซ้าย - นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ ผู้อำนวยการ สำนักงานสำนึกรักบ้านเกิด ดีแทค

      นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการ สำนักงานสำนึกรักบ้านเกิด ดีแทค กล่าวว่าดีแทคจับมือกับห้างโรบินสัน ร่วมกันทำโครงการ Battery for Life หรือ แบตเตอรี่มีพิษ คิดก่อนทิ้ง เป็นครั้งที่ 6 โดยรณรงค์ให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ มีส่วนร่วมในการลดปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมโดยนำแบตเตอรี่มือถือที่เสื่อม สภาพแล้วมาทิ้งไว้ในกล่องที่ดีแทคจัดวางไว้ ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ห้างโรบินสันทุกสาขา (ยกเว้นสาขาบางแค, สีลม, ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช)
      
      สำหรับโครงการครั้งที่ 5 ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2553 สามารถเก็บคืนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพไปทำลายอย่างถูกวิธีได้ 40,000 ก้อน โดยดีแทคจะนำไปให้กับบริษัท รับกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานเทเลนอร์ เพื่อไปดำเนินการผ่านขั้นตอนการสกัดนำแร่โคบอลต์เพื่อรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ ด้วยกระบวนการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถลดกระบวนการถลุงแร่ธาตุจากธรรมชาติทำให้ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกรมควบคุมมลพิษ
      
      "ตั้งแต่เริ่มโครงการปลายปี 2551 เราสามารถรวบรวมแบตมือถือได้กว่า 94,000 ก้อน ซึ่งในปีนี้ดีแทคและโรบินสันได้ขยายการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแบตมือถือ เป็นโทรศัพท์มือถือและเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อไปทำลายอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นนโยบายการทำ CR ด้านสิ่งแวดล้อม หรือ Climate Change ของทางเทเลนอร์ ซึ่งต้องการให้ทุกประเทศในเครือข่ายเทเลนอร์ได้ร่วมกันรณรงค์เรื่องการกำจัด มือถือเสื่อมสภาพพร้อมทั้งแบตเตอรี่มือถือควบคู่ไปพร้อมกัน"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: AT&T เตรียมฮุบ T-Mobile
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 22:53:10
สื่อมวลชนสหรัฐฯประโคมข่าวช้างอย่างคึกคัก โดย AT&T (เอทีแอนด์ที) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเบอร์ 2 ในสหรัฐฯ ประกาศพร้อมทำสัญญาซื้อกิจการกับเบอร์ 4 ในตลาดมะกันอย่าง T-Mobile (ทีโมบายล์) จากบริษัท Deutsche Telekom (ดอยช์เทเลคอม) เป็นมูลค่า 39,000 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1.17 ล้านล้านบาท หากการซื้อขายเกิดขึ้น สหรัฐฯจะมีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเพียง 2 ราย ทำให้ AT&T สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในแง่ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดแดนลุงแซม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003837401.JPEG)

      หากดีลนี้ได้รับการอนุมัติ จากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ AT&T จะเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือใหญ่เป็นอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกาที่มีผู้ใช้บริการ 130 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนตลาด 43% จากเดิมที่มีอยู่ 32% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Verizon (เวอไรซอน) ที่มีผู้ใช้งานคิดเป็นสัดส่วน 34.5% โดย Sprint Nextel (สปรินท์) จะครองตำแหน่งเบอร์ 3 เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
      
      นักวิเคราะห์ในตลาดมองว่าการตัดสินใจของ AT&T จะเป็นต้นตอของปฏิกิริยาลูกโซ่ เพราะ Verizon ย่อมไม่อาจอยู่เฉยและอาจหาทางควบรวมดีลขนาดใหญ่ในอนาคต หรือแม้แต่เบอร์ 3 ในตลาดสหรัฐฯอย่าง Sprint เองก็จะหันมาให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการกับโอเปอเรเตอร์รายย่อยในสหรัฐฯ เช่น U.S. Cellular และ MetroPCS ด้วย
      
      อย่างไรก็ตาม มีโอกาสสูงที่ การซื้อขายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจาก Sprint ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการควบรวมที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงานสหรัฐฯ โดยระบุว่าหากการควบรวมเกิดขึ้นจะทำให้การผูกขาดตลาดตามมา เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดของผู้ให้บริการรายใหญ่ 2 รายจะคิดเป็นสัดส่วนรวมมากกว่า 80%
      
      สำหรับข้อตกลงในการซื้อขาย AT&T ยินยอมจ่ายเงินสดให้แก่ Deutsche Telekom จำนวน 25,000 ล้านเหรียญ โดยส่วนที่เหลือจะเป็นการจ่ายในรูปแบบหุ้นสามัญ ซึ่งจะทำให้ Deutsche Telekom มีหุ้นใน AT&T 8%
      
      ข้อมูลระบุว่า AT&T ยินยอมให้ Deutsche Telekom ส่งตัวแทนเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารใน AT&T จุดนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ AT&T ยินยอมคือการขยายเครือข่าย 4G LTE ให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานมากขึ้นโดยเฉพาะในเขตชนบท ขณะที่ลูกค้า T-Mobile จะสามารถใช้บริการเครือข่าย 4G LTE ของ AT&T ได้อย่างทั่วถึง
      
      AT&T ยอมรับว่าจะต้องใช้เวลาอีกราว 1 ปีเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดให้ AT&T ขายสินทรัพย์บางส่วนตามเงื่อนไข โดยหากข้อตกลงไม่ได้รับการอนุมัติ AT&T ก็จะยินยอมจ่ายเงินค่ายกเลิกสัญญาให้แก่ T-Mobile มูลค่า 3,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 91,600 ล้านบาท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: 3BB เตรียมฟ้อง TT&T เรียก 2,000 ล้านบาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 23:02:32
3BB เตรียมพร้อมเรียกค่าเสียหาย 2,000 ล้านจากทีทีแอนด์ทีหลังทำให้สูญลูกค้ากว่า 150,000 ราย พร้อมประกาศผู้เล่นเบอร์สองในตลาดแซงหน้าทรูได้ในปีนี้ ตั้งเป้า 3 ปีมีฐานลูกค้า 3 ล้าน
      
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/128/43128/images/3bb.jpg)

      นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าสำหรับปัญหากรณีที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของ 3BB ในต่างจังหวัดประมาณ 20 ราย ได้ร้องเรียนเรื่องถูกยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตของ 3BB นั้น เป็นปัญหาที่เกิดจากทางลูกค้าที่ใช้บริการบนเครือข่ายของทีทีแอนด์ที ซึ่งเวลานี้ทางบริษัทได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว โดยบางรายก็มีการโอนลูกค้าให้ไปใช้บริการกับทางทีโอทีแทน หรือบางพื้นที่ ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการลากสายตรงไปให้บริการแทนที่บริการบนเครือข่ายของที ทีแอนด์ทีแล้ว
      
      “ทางทริปเปิลที บรอดแบนด์ มีคดีความกับทีทีแอนด์ทีอยู่เกือบร้อยคดี ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ถ้าเป็นคดีอาญาจะเป็นส่วนที่ถูกกลั่นแกล้งไม่ให้เข้าไปแก้ไขสัญญาณที่มี ปัญหา ส่วนใหญ่ศาลตัดสินให้เราชนะคดีความ ทำให้เราสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ลูกค้าได้ ส่วนคดีแพ่งนั้น ล่าสุด ทางทริปเปิลที บรอดแบนด์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายประมาณ 2 พันล้านต่อบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) จากการสูญเสียลูกค้าไปประมาณ 150,000 รายไปเมื่อเดือนที่แล้ว"
      
      ปัจจุบัน รายได้ในปีที่แล้วของกลุ่มบริษัทจัสมินที่มีประมาณ 10,000 ล้านบาทนั้น กว่า 50% มาจากธุรกิจบรอดแบนด์ ซึ่งปีนี้เชือว่า สัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 70% หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตในส่วนผู้ใช้บรอดแบนด์ 3BB จะเติบโตได้ถึง 1 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีประมาณ 8 แสนราย โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับที่ 3 รองจากทรูออนไลน์ที่มีประมาณ 8.1 แสนราย
      
      “ทางบริษัทเชื่อว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ 3BB ถึง 2 ล้านราย อีก 1 ล้านรายจะเป็นผู้ใช้บริการไว-ไฟ” นายพิชญ์ กล่าวอีกว่า 3BB ได้เตรียมงบลงทุนในส่วนขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ทั่วประเทศไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท อีก 200 ล้านบาทเป็นการลงทุนเฉพาะไว-ไฟที่จะขยายให้ได้ 50,000 จุดทั่วประเทศ
      
      “ถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย จะทำให้ 3BB เป็นที่หนึ่งในตลาดได้อย่างแน่นอน”
      
      ปัจจัยที่ทำให้นายพิชญ์มั่นใจเช่นนั้น เป็นผลมาจาก 3BB ให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการที่เวลานี้รับประกันความเร็วในการให้ บริการไว้ที่ 6 เมก ในราคา 599 บาท บนเครือข่ายไฟเบอร์ออฟติฟที่ทันสมัยที่สุดและมีประสิทธิภาพครอบคลุมทั่วทุก ภูมิภาคทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ต่างจากคู่แข่งที่มีทั้งเครือข่ายเก่าและใหม่ผสมกันจึงทำให้บ้างพื้นที่ไม่ สามารถให้บริการได้เท่ากัน รวมถึงเวลานี้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ 3BB เริ่มดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง 25,000-30,000 รายต่อเดือน
      
      ปีนี้จะเป็นปีที่ 3BB จะรุกตลาดมากขึ้น หลังจากที่ในปีที่แล้ว ได้มีการปรับปรุงในเรื่องเครือข่ายรวมถึงการลงทุนเครือข่ายไว-ไฟ
      
      ส่วนการที่ 3BB ไม่ลงมาเล่นเรื่องความเร็วแข่งกับผู้ให้บริการายอื่นที่เสนอความเร็วที่ มากกว่านั้น นายพิชญ์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเครือข่ายของ 3BB จะพร้อมให้บริการที่ความเร็วสูงได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากตลาดมีความต้องการความเร็วที่ 6 เมก การจะปรับความเร็วในการให้บริการจึงต้องรอดูความต้องการของตลาดด้วย
      
      "ซึ่งเครือข่ายของเราพร้อมให้บริการได้”


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Visa เผย เว็บต่างประเทศโกยรายได้ 1 ใน 3 นักช้อปไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 มีนาคม 2011, 23:23:20
วีซ่าเผยคนไทย 1 ใน 3 นิยมช้อปเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอางจากเว็บต่างประเทศ เหตุสินค้ามีขายเยอะกว่า ถูกกว่า ให้ส่วนลดมากกว่า

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/21/images/news_img_382929_1.jpg)

วีซ่าเผย คนไทย 1 ใน 3 นิยมช้อปเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอางจากเว็บต่างประเทศ เหตุของเยอะกว่า ถูกกว่า ให้ส่วนลดมากกว่า ระบุเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาจากชาติมะกัน

ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบอี-คอมเมิร์ชปี 2553  โดยวีซ่า (2010 Visa eCommerce Consumer Monitor)   พบว่าผู้บริโภคชาวไทยนิยมซื้อสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอางจาก เว็บไซต์ต่างประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะเว็บไซต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ผลสำรวจจากผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 534 คนพบว่ามี 34% ของผู้ตอบแบบสอบถามซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ต่างประเทศ โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือเสื้อผ้าและรองเท้าคิดเป็น 21%  รองลงมาคือสินค้าจำพวกเครื่องสำอางและน้ำหอม 16% ตั๋วเครื่องบิน 14 % และโรงแรมที่พักเพื่อการท่องเที่ยว 12%

รายงานข่าวระบุว่า 68% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ต่างประเทศให้เหตุผลในการซื้อ ว่า เป็นเพราะสินค้าไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนอีก 33% ซื้อด้วยเหตุผลที่ว่ามีตัวเลือกของสินค้าให้เลือกเยอะกว่า 25% ซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ต่างประเทศเพราะราคาถูกกว่า และอีก 14% รู้สึกว่าเว็บไซต์จากต่างประเทศให้ส่วนลดมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์จากประเทศสหรัฐอเมริกาคือแหล่งซื้อขายทางอินเตอร์เน็ตข้ามประเทศที่ เป็นที่นิยมที่สุดของผู้บริโภคชาวไทย โดย 35%ของผู้ที่ซื้อสินค้าออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมาเคยทำการซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

นายสมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการบริษัทวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์เป็น ที่นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์ที่การให้บริการอินเตอร์เน็ตได้ขยายวงกว้างขึ้นในประเทศไทยจะทำให้ ผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่หลงใหลในเทรนด์แฟชั่นล่าสุดจะซื้อสินค้า จากเว็บไซต์ต่างประเทศมากขึ้น
นอกจากนี้  ผลสำรวจยังพบว่าผู้บริโภคจำนวนถึง 69% รู้สึกพึงพอใจกับระบบความปลอดภัยและมีความประทับใจกับการซื้อสินค้าจาก เว็บไซต์ในต่างประเทศเมื่อครั้งที่ผ่านมา

นายสมบูรณ์กล่าวเสริมว่า บริษัทตระหนักดีว่าความปลอดภัยของระบบชำระเงินคือสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความ สำคัญมากที่สุดเมื่อซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์  ด้วยเหตุนี้เอง วีซ่าจึงได้เพิ่มความปลอดภัยจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรขึ้นอีกขั้นด้วยบริการเวอริฟายด์ บาย วีซ่า (Verified by VISA) และบริการรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (One-Time Password) ผู้บริโภคชาวไทยที่ทำการซื้อสินค้าผ่านบัตรวีซ่าสามารถวางใจในความปลอดภัยว่าข้อมูลของผู้ถือบัตรจะถูกรักษาอย่างดี

ประเภทสินค้าที่ผู้บริโภคชาวไทยนิยมซื้อมากที่สุดจากเว็บไซต์ต่างประเทศ
เสื้อผ้า/รองเท้า 21%
เครื่องสำอาง/น้ำหอม 16%
ตั๋วเครื่องบินโดยสาร 14%
ที่พักเพื่อการท่องเที่ยว 12%
การะประมูลสินค้าผ่านระบบออนไลน์ 11%


ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Jaideejung007™ ที่ 22 มีนาคม 2011, 00:16:06
โพสต์มือหรือเปล่าครับ หรือใช้ Bot


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มีนาคม 2011, 01:15:30
โพสต์มือหรือเปล่าครับ หรือใช้ Bot

โพสมือล้วนๆครับ
 :wanwan019:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: imjaka ที่ 22 มีนาคม 2011, 02:06:35
ขอขอบคุณสำหรับข่าวสารดีๆครับ


หัวข้อ: Samsung Galaxy Tab 8.9 เปิดตัววันนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มีนาคม 2011, 22:10:06
เทคนิคการโปรโมทด้วยภาพหลุดก็ถูกใช้อีกครั้งกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Samsung นั่นก็คือ Galaxy Tab 8.9 นิ้ว โดยเว็บไซต์ PocketNow ได้ถ่ายภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของ"แท็บเล็ต" (tablet) รุ่นใหม่ออกมาเผยแพร่บนเน็ตล่วงหน้าการจัดงานแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในวันนี้

Samsung เรียกชื่อแท็บเล็ตรุ่นนี้ว่า samsung Galaxy Tab 8.9 หลังจากที่เรียกแท็บเล็ตรุ่นก่อนหน้านี้ว่า Samsung Galaxy Tab 10.1 ซึ่งนอกจากมันจะเป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ 8.9 นิ้วที่เล็กกว่า Galaxy Tab 10.1 เล็กน้อยแล้ว มันยังเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของทางบริษัทที่ทำงานด้วย Android 3.0 Honeycomb ซึ่งได้รับการปรับแต่งส่วนติดต่อการใช้งาน (user interface) ของ Samsung ครอบขึ้นไปอีกทีด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-8-9-android-3-0-honeycomb-tablet-launches-today-2.jpg)

ในส่วนของ UI ที่ทาง Samsung พัฒนาขึ้นมานั้น หน้าโฮม (Home screen) จะประกอบด้วย widget และไอคอนต่างๆ ของ Application อย่างไรก็ดี ทางซัมซุงได้พัฒนา widget เฉพาะของตนเอง พร้อมด้วยโปรแกรมสลับการใช้งานแอพฯ (app switcher) ซึ่งสามารถพรีวิวแอพต่างๆ ที่กำลังรันอยู่ด้านหลัง (background) ได้อีกด้วย Samsung Galaxy Tab 8.9 จะมีความหนาเพียง 8.6 มม. (0.34 นิ้ว) บางกว่า iPad 2 ของ Apple ที่หนา 8.8 มม. เฉือนกันแค่เส้นผม ส่วนน้ำหนักประมาณ 470 กรัม หน้าจอแสดงผล 1280 x 800 พิกเซล (มากกว่า iPad 2 และ Motorola XOOM) โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ 1GHz (ยังไม่มีการยืนยันว่าใช่ NVIDIA Tegra 2 หรือไม่?) สนับสนุน Wi-Fi 2 ความถี่คือ 2.4GHz และ 5GHz

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft ฟ้องผู้ผลิตเครื่องอ่านอีบุ๊ค android
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มีนาคม 2011, 22:49:39
รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Microsoft ได้ฟ้องบริษัทผู้ผลิตอีรีดเดอร์สายพันธุ์ Android ได้แก่ Barnes & Noble, Inventec และ Foxconn International ฐานละเมิดสิทธิบัตรที่พบบน NOOK เครื่องอ่านอีบุ๊คของ B&N โดยเฉพาะเทคโนโลยีของ Android ที่อยู่ในเครื่อง ซึ่งทาง MS อ้างว่า มีการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของทางบริษัท

โดยก่อนหน้านี้ Microsoft ได้จดสิทธิบัตรวิธีแตะผ่านหน้าจอต่างๆ เพื่อหาข้อมูล, การท่องเว็บอย่างรวดเร็ว และการโต้ตอบกับเอกสาร และอีบุ๊ค ซึ่ง Florian Mueller เจ้าหน้าที่ดูแลทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาของทางบริษัทฯได้แสดงรายการของประเด็นต่างๆ ที่ MS ฟ้องว่ามีการละเมิดไว้ใน blog ของเขา สำหรับการฟ้องร้องครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ประมาณเกือบปีเห็นจะได้ที่ HTC ต้องยอมจ่ายค่าโรยัลตี้ให้กับ MS สำหรับการขายอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android ของ Google นอกจากนี้ HTC ยังต้องร่วมมือกับ Microsoft ในการพัฒนาสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 7 ถึง 5 รุ่น ซึ่งการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นล่าสุดทาง Microsoft ได้ยื่นฟ้องทีเดียวพร้อมกัน 3 บริษัทโดยใช้ชื่อคำร้องว่า The Barnes & Noble Trio

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/microsoft-sues-barnes-and-noble-NOOK-ereader-as-of-use-android-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้พยายามเจรจากับ B&N, Foxonn และ Inventec มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว "พวกเขาปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไลเซนส์ในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าว ทำให้เราไม่มีทางเลือกที่จะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องนวตกรรมของเรา และเป็นการรับผิดชอบต่อลูกค้าของเราไม่ให้ต้องเสียเปรียบด้วย ซึ่งรวมถึงพันธมิตรหลายๆ ราย และผู้ถือหุ้นที่ต้องลงแรงและลงทุนหลายพันล้านเหรียญฯในแต่ละปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่ยิ่งใหญ่ และบริการต่างๆ เข้าสู่ตลาด" เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลทรัพย์สินทางปัญญาของไมโครซอฟท์กล่าว หากชนะการฟ้องร้อง บริษัททั้งสามเสี่ยงต่อการที่จะจ่ายค่าโรยัลตี้ที่สูงมาก

Foxconn เป็นบริษัทผู้ผลิต iPad ของ Apple และอีรีดเดอร์ Kndle ของ Amazon ล่าสุดมีข่าวว่า Amazon มีแผนที่จะทำ"แท็บเล็ต"หน้าจอสี Kindle ประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ ซอฟต์แวร์ของ Kindle มีอยู่บนอุปกรณ์ Android และแพลตฟอร์มอื่นๆ ด้วย ซึ่งหากมีการใช้สิทธิบัตรที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ MS บริษัทจะถูกฟ้องด้วย หรือไม่? นอกจาก Android จะโดนฟ้องโดย Microsoft แล้ว Oracle ก็ได้ฟ้อง Android ที่ใช้สิทธิบัตร Java แต่ Oracle แตกต่างจาก MS ตรงที่เลือกฟ้องเฉพาะ Google ที่เป็นบริษัทผู้สร้างเท่านั้น หรือนี่้จะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสู้กับ Android ของบริษัทเหล่านี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: แอบดู IE9 บน Windows Phone 7
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มีนาคม 2011, 23:02:01
ในขณะที่ผู้ใช้ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับบราวเซอร์ IE9 ที่เปิดตัวอย่างสวยงามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการต้อนรับจากผู้ใช้กว่า 2.3 ล้านดาวน์โหลดภายใน 24 ชั่วโมง แต่ Microsoft ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ล่าสุดมีการสาธิตคลิปวิดีโอสั้นๆ ของ Internet Explorer 9 เวอร์ชันที่ทำงานบนสมาร์ทโฟน Windows Phone 7 ออกมายั่วน้ำลายผู้ใช้แล้วด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/wp7/ie-9-for-windows-phone-7-new-video-clip-2.jpg)

สำหรับ Internet Explorer 9 บน Windows Phone 7 คาดว่าน่าจะมาพร้อมกัน หรือก่อนหน้าการอัพเดทครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการที่ใช้โค้ดเนมว่า "Mango" โดย IE9 บน WP7 จะสนับสนุน HTML5 พร้อมด้วยดีไซน์ส่วนการใช้งาน (UI) ใหม่ด้วยการวางตำแหน่งของ address bar ไว้ทีด้านล่างของหน้าจอ (ลดระยะเวลาที่ผู้ใช้จะต้องกวาดสายตาไปด้านบนหน้าจอ เช่นเดียวกับการแจ้งเตือนบน IE9 ที่วางไว้ด้านล่าง) ซึ่ง Microsoft กล่าวว่า IE9 บน WP7 จะสามารถแสดงผลหน้าเว็บ ตลอดจนโต้ตอบการทำงานได้เร็วกว่า Safari บราวเซอร์บน iOS

และเช่นเดียวกับ IE9 เวอร์ชันบนเดสก์ทอป ในส่วนของเวอร์ชันบน WP7 จะมีการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการเร่งการแสดงผลกราฟิกบนฮาร์ดแวร์ (hardware acceleration) ด้วย ซึ่งเป็นหมัดเด็ดที่ MS จะใช้สอยบราวเซอร์คู่แข่งบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ IE9 บน WP7 ยังจะมาพร้อมกับคุณสมบัติในการแชร์ผ่านไมโครบล็อกอย่าง Twitter ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Twitter จะรวมการทำงานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Windows Phone 7 ด้วย อย่างไรก็ดี เชื่อว่า เมื่อถึงวันที่ IE9 บน WP7 เปิดตัว เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันอีกครั้งอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Everyday ทำหนังจากรูปถ่ายหน้าคุณ?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 มีนาคม 2011, 23:11:49
คุณผู้อ่านยังจำคลิปของหนุ่มที่ชื่อ Noah ที่เขาบันทึกภาพตัวเองทุกวันตลอดระยะเวลา 6 ปีได้ หรือเปล่าครับ เชื่อว่า คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip หลายคนคงจะเคยผ่านตากันมาบ้่าง ด้วยสถิติของผู้ชมบน YouTube เกือบ 19 ล้านครั้ง โดยในคลิปคุณจะเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าหนุ่มคนนี้ที่เรียงลำดับตามวันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวันจนครบ 6 ปี มันดูเป็นงานศิลปะที่น่าสนใจมากทีเดียว ซึ่งตอนนี้ คุณก็สามารถทำอย่าง Noah ได้แล้วด้วยแอพฯบน iPhone 4 ที่มีชื่อว่า Everyday

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/everyday-app-for-iphone-4-make-time-lapse-movie-from-your-face-2.jpg)

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไอเดียที่ง่ายทีสุดมักจะดีทีสุด ว่าแล้ว Little Pixels บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ได้ออกแอพฯสำหรับการถ่ายรูปตัวใหม่ขึ้นมาเมื่อคืนนี้ชื่อว่า Everyday ซึ่งมันสามารถสร้างวิดีโอจากภาพถ่ายใบหน้าของคุณในทุกๆ วัน เพียงแค่ยก iPhone 4 ขึ้นมาถ่ายใบหน้าตัวเองหนึ่งภาพในแต่ละวัน เมื่อได้จำนวนภาพมากพอ ก็สั่งให้แอพฯทำเป็นภาพยนต์ทีเกิดจากการเรียงลำดับภาพถ่ายเหล่านี้ แล้วเล่นต่อเนื่องกันไป

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/everyday-app-for-iphone-4-make-time-lapse-movie-from-your-face-3.jpg)

Everyday ไม่เหมือนกับแอพส่วนใหญ่ใน App Store ที่ตอบโจทย์การใช้งานเป็นเรื่องๆ ไปได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกมส์ การศึกษา และธุรกิจ แต่สำหรับ Everyday มันจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของแอพฯตัวนี้เมื่อเวลาผ่านไป โดยผู้ใช้แอพฯตัวนี้จะต้องใจเย็น เนื่องจากยิ่งคุณบันทึกภาพไว้มากเท่าไร คุณภาพ และผลลัพธ์ของหนังที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น การใช้งาน Everyday คุณจะต้องถ่ายรูปใบหน้าตัวเองด้วยกล้องด้านหน้าของ iPhone 4 ทุกวัน โดยจะต้องเล็งให้ภาพใบหน้าอยู่ในจุดเดียวกัน

ซึ่ง Everyday จะแสดงเส้นกริดบนหน้าจอ เพื่อให้คุณสามารถวางตำแหน่งใบหน้าได้ตรงกันทุกวัน ในกรณีที่คุณไม่แน่ใจว่า ภาพถ่ายวันนี้ตำแหน่งตรงกับของเมื่อวาน หรือไม่? ก็สามารถให้แอพฯแสดงภาพถ่ายลางๆ ของวันก่อนขึ้นมาได้ด้วย เพื่อช่วยให้กะตำแหน่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น ฟังดูก็ไม่ง่ายเสียทีเดียวนะเนี่ย Everyday ใช้กับ iPhone 4 และ iPad 2 เปิดตัวเมื่อคืนนี้ สนนราคาอยู่ที่ 1.99 เหรียญฯ และแล้วเจ้าของ iPhone 4 ก็ได้ใช้กล้องด้านหน้าทุกวัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Jaideejung007™ ที่ 23 มีนาคม 2011, 00:10:34
โพสต์มือหรือเปล่าครับ หรือใช้ Bot

โพสมือล้วนๆครับ
 :wanwan019:
โหย ขยันขนาดนั้นเชียวหรือ

เก่งมากครับ


หัวข้อ: ลือ!!! Apple iPhone 5 วางตลาดไตรมาส 3 ปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 20:44:23
รายงานข่าวล่าสุดจากหนังสือพิมพ์ Far East อ้างว่า Apple เตรียมวางจำหน่าย iPhone 5 ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ศกนี้ โดยสำหรับ iPhone 5 จะได้มีการปรับปรุงการออกแบบเสาอากาศใหม่ให้ดีขึ้น หน้าจอแสดงผลกว้างขึ้นเป็น 4 นิ้ว และมาพร้อมกับชิป NFC (Near-Field Communication) สำหรับการใช้ iPhone 5 แทนกระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ China Times รายงานเมื่อวานนี้ว่า iPhone 5 ของ Apple กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองผลิต แถมยังบอกอีกว่า iPhone 5 จะมีตัวเครื่องเป็นโลหะ เพื่อพัฒนาการออกแบบเสาอากาศให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2011 ทั้งนี้การออกแบบ iPhone 5 จะพุ่งประเด็นไปที่การแก้ปัญหาที่พบใน iPhone 4 โดยเฉพาะปัญหาสัญญาณหด เนื่องจากการออกแบบเสาอากาศไว้มุมล่างซ้ายของตัวเครื่อง และใช้แถบโลหะล้อมรอบตัวเครื่อง แทนการติดตั้งไว้ภายใน เป็นเทคนิคการออกแบบที่ช่วยประหยัดพื้นที่ในตัวเครื่อง แต่กลับทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iphone-5-larger-screen-A5-chip-NFC-chip-will-come-in-quater-3-2011-2.jpg)

ตามรายงานยังตอกย้ำข่าวลือที่ว่า iPhone 5 จะมาพร้อมกับชิป NFC สำหรับการใช้งานเป็นกระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเครื่องสามารถใช้ iPhone 5 ในการทำธุรกรรมตัดบัตรเครดิตตลอดจนใช้แทนบัตรเติมเงินของบริการต่างๆ อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ New York Times ระบุว่า Apple จะติดตั้งชิป NFC เข้าไปใน iPhone รุ่นใหม่ แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็น iPhone 5 ไม่เพียงแต่จะมีรายงานเรื่องชิปดังกล่าวเท่านั้น ข่าวที่หลุดออกมาระลอกใหม่นี้ยังอ้างอีกด้วยว่า Apple มีแผนจะขยายขนาดหน้าจอของ iPhone 5 เป็น 4 นิ้ว โดยไม่เพิ่มขนาดของตัวเครื่อง นั่นหมายความว่า การออกแบบขอบของหน้าจอด้านข้างแทบจะชิดขอบของตัวเครื่อง (edge-to-edge screen) เลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/3/iphone-5-larger-screen-A5-chip-NFC-chip-will-come-in-quater-3-2011-3.jpg)

และประเด็นสุดท้ายก็คือ iPhone 5 จะทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ dual-core รุ่นใหม่ของ Apple นั่นก็คือ A5 ซึ่งมีพลังประมวลผลเป็นสองเท่า และทำงานทางด้านกราฟิกได้เร็วกว่า A4 ถึง 9 เท่า โดยชิปตัวนี้ได้ถูกใช้ใน iPad 2 นั่นเอง หนังสือพิมพ์ China Times ยังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า ความต้องการในผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่สูงมาก ทำให้ทางบริษัทร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Foxconn วางแผนที่จะเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ใน Sao Paulo ประเทศบราซิล โดยจะเริ่มผลิตสินค้าได้ในปี 2013

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Samsung Galaxy Tab 8.9 เปิดตัวแว้วววววว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 20:55:16
และแล้ว Samsung ก็ประกาศเปิดตัว Galaxy Tab 8.9 ที่งาน CTIA 2011 ซึ่งความจริงมันก็คือ แท็บเล็ตในตระกูล Galaxy Tab ที่คุณผู้อ่านคุ้นเคย โดยมีขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นแรก และมีการเพิ่มเติมลูกเล่นการทำงานเข้าไปอีกจำนวนหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันสามารถเอาชนะความบางของ iPad 2 จนได้ครองตำแหน่ง"แท็บเล็ต" (tablet) ที่บางที่สุดในโลกไปครอง

Samsung Galaxy Tab 8.9 (เปิดตัวหลังจากรุ่น 10.1 นิ้ว) แท็บเล็ตที่บางที่สุดในโลกด้วยความหนาเพียง 8.6 มม. (ประมาณ 0.3 นิ้ว) และหนักเพียง 470 กรัม มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 8.9 นิ้วมีความละเอียด 1280x800 พิกเซล และทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ 1GHz มีขนาดของหน่วยความจำให้เลือก 16GB และ 32GB พร้อมช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD เพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 32GB แบตเตอรี่ 6000mAH สามารถใช้งานได้นาน 10 ชั่วโมง

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-8-9-debut-at-CTIA-2011-slimest-tablet-in-the-world-2.jpg)

Samsung Galaxy Tab 8.9 จะมาพร้อมกับกล้องสองตัว ด้านหน้า 2 ล้านพิกเซลสำหรับวิดีโอแชต ด้านหลัง 3 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลชสามารถถ่ายรูป และบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ 720p (1280x720 พิกเซล) และเล่นกลับที่ 1080p (1920x1080 พิกเซล) บนหน้าจอ 8.9 นิ้ว ส่วนคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ Tab 8.9 จะใช้ Wi-Fi 802.11 (a/b/g/n) Bluetooth 3.0 และพอร์ต USB 2.0 นอกจากนี้ Tab 8.9 ยังมีเวอร์ชันที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี HSPA+ และเวอร์ชัน 4G ที่จะเปิดตัวตามมาในภายหลัง

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-8-9-debut-at-CTIA-2011-slimest-tablet-in-the-world-3.jpg)

Samsung Galaxy Tab 8.9 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb โดยมาพร้อมกับ TouchWiz 4.0 อินเตอร์เฟซใหม่ที่ทางซัมซุงพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้ทำงานร่วมกับ Honeycomb โดยเฉพาะ ทั้งนี้ Samsung ได้เพิ่มส่วนของ Mini Apps tray  ที่ด้านล่างของหน้าจอโฮม เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอพฯที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมี Live Panel ที่สามารถปรับแต่งด้วยวิดเจ็ตต่างๆ ที่สามารถแสดงข้อมูลที่น่าสนใจได้อีกด้วย โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งขนาดของวิดเจ็ตได้

ส่วน Social Hub ก็จะสามารถรวมอีเมล์ IM ตลอดจนรายชื่อผู้ติดต่อ ปฏิธินตารางงาน และการเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ไว้ในอินเตอร์เฟซเดียว แถมยังสนับสนุน Adobe Flash Player 10.2 อีกด้วย สำหรับ Galaxy Tab 8.9 Wi-Fi จะวางตลาดช่วงเดือนมิถุนายน โดยเวอร์ชัน 16GB จะมีราคา 469 เหรียญฯ (ประมาณ 15,00 บาท) และ 32GB ราคา 569 เหรียญฯ (ประมาณ 18,00 บาท) นอกจากจะเปิดตัว Samsung Galaxy Tab 8.9 แล้ว ทางบริษัทยังได้อัพเดต Tab เวอร์ชัน 10.1 นิ้วให้มีความบางแค่ 8.6 มม. เพื่อเอาชนะ iPad 2 อีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Toshiba Tablet เผยสเป็กใน Amazon
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 21:06:40
ในงาน CES 2011 ที่บูธ Toshiba ได้มีการนำ"แท็บเล็ต"ที่ทางบริษัทเรียกชื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า Toshiba Tablet ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android 3.0 Honeycomb และยมาพร้อมกับหน้าจอ 10.1 นิ้ว โดยทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคู่ชกกับ iPad 2 อย่างไรก็ตาม หลังจากงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีรายงานข่าวใดๆ ออกมาอีกเลย จนกะรทั่งล่าสุด Toshiba Tablet ไปปรากฎเป็นรายการสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon พร้อมทั้งแจงสเป็กให้ทราบก่อนที่จะมีการแนะนำอีกครั้งในงาน CTIA 2011 อีกด้วยซ้ำ

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-tablet-android-3-0-honeycomb-tablet-at-CTIA-2011-2.jpg)

เว็บไซต์ Amazon ได้แสดงภาพ และข้อมูลรายละเอียดของ Toshiba Tablet ก่อนใครอีกแล้ว ซึ่งนั่นแสดงว่า Toshiba คงจะเตรียมวางตลาด"แท็บเล็ต" Android 3.0 Honeycomb เข้าสู่ตลาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ สำหรับคุณสมบัติของ Toshiba Tablet ที่มีการเปิดเผยออกมาแล้วดังนี้

   - หน้าจอมัลติทัชขนาด 10.1 นิ้ว (1280 x 800 พิกเซล)
   - โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2
   - Android 3.0 Honeycomb
   - กล้องหน้าสำหรับเล่นวิดีโอแชต 2 ล้านพิกเซล และกล้องหลัง 4 ล้านพิกเซล
   - พอร์ต HDMI, USB 2.0, mini-USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ SD
   - สามารถเปลี่ยนเคสยาง"จับง่ายไม่ลื่น"ทีใช้หุ้มตัวเครื่องด้วยสีสันต่างๆ ได้
   - เซ็นเซอร์ Gyroscope, Accelerometer, e-compass, GPS และ ambient light
   - แบตเตอรี่ที่เจ้าของเครื่องสามารถเปลี่ยนได้เอง
   - เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth
   - เชื่อมต่อกับบริการ Toshiba Apps Place ได้
   - สนับสนุนการทำงานร่วมกับ Flash 10.2
   - ฯลฯ


(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-tablet-android-3-0-honeycomb-tablet-at-CTIA-2011-3.jpg)

แม้ความบางของ Toshiba Tablet อาจจะเทียบกับ iPad 2 และคู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ได้ แต่ด้วยเคสยางที่มีพื้นผิวสัมผัสทำให้เครื่องดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ที่สำคัญมันจะจับติดมือกว่า ไม่ลื่นหลุดง่าย แถมยังมีให้เลือกถึง 5 สีด้วยกัน ซึ่งทำให้ Toshiba Tablet ดูแฟชั่นที่สะท้อนบุคลิกส่วนตัวของเจ้าของได้อีกด้วย แทนที่จะมีแค่สีดำแบบหลายๆ รุ่นในท้องตลาด อย่างไรก็ดี ทาง Amazon ยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องราคาเครื่องให้ทราบแต่อย่างใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: HTC Flyer เริ่มวางตลาดเดือนเม.ย.ศกนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 21:21:42
ในงาน CTIA 2011 ที่จัดขึ้นในฟลอริดา สหรัฐฯ เหล่าบรรดาบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ตลอดจนโอเปอเรเตอร์ขั้นนำต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์ และรูปแบบของบริการสื่อสารไร้สายแบบใหม่กันถ้วนหน้า และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่เบาก็คือ HTC Flyer "แท็บเล็ต" แอนดรอยด์อีกรุ่นที่จะออกมาเขย่าตลาดในเดือนหน้านี้แล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/htc-flyer-is-coming-on-next-month-shows-at-CTIA-2011-3.jpg)

หลังจากสร้างกระแสในงาน MWC 2011 เมื่อเดือนที่ผ่านมา HTC Flyer ก็ถูกประกาศเปิดตัวอีกครั้งในงาน CTIA 2011 โดย Sprint ซึ่งใช้ชื่อเรียกว่า HTC EVO View 4G อย่างไรก็ตาม มันได้รับการออกแบบให้แตกต่างจากรุ่นที่เปิดตัวในงาน MWC 2011 ที่ Barcelona เล็กน้อย ที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือ มันไม่มีที่เก็บปากกา Scribe ในขณะเดียวกันก็ทำปุ่ม Pen ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อว่า หากผู้ใช้ต้องการบันทึกข้อความก็สามารถแตะที่ปุ่มนี้ เพื่อเปิดแอพบันทึกข้อความ โดยใช้ปากกา Scribe จรดบนหน้าจอได้ทันที สนับสนุนเทคโนโลยีรู้จำลายมือ (Handwriting Recognition) การมีอุปกรณ์เสริมการใช้งานลักษณะนี้อาจถูกใจนักเรียน นักศึกษาที่ต้องจดเล็คเชอร์ หรือเลขา นักข่าว ตลอดจนผู้ทีทำงานในสายสื่อสารมวลชนที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกแทนกระดาษ และไม่ค่อยถนัดพิมพ์

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/htc-flyer-is-coming-on-next-month-shows-at-CTIA-2011-2.jpg)

สำหรับการวางขายที่หน้าร้านอย่าง Best Buy (19 เมษายน) จะใช้ชื่อ HTC Flyer โดยคุณสมบัติของตัวเครื่องก็จะประกอบด้วยหน้าจอสัมผัส LCD ความละเอียด 1024x600 พิกเซล โพรเซสเซอร์ Snapdragon 1.5GHz หน่วยความจำ (RAM) 1GB สตอเรจ 32GB อินเตอร์เฟซเป็น HTC Sense UI (ใครที่ใช้สมาร์ทโฟน HTC จะคุ้นเคยกับอินเตอร์เฟซนี้ดีอยู่แล้ว) ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) สนับสนุน Flash 10.1 กล้องด้านหน้า 1.3 ล้านพิกเซล และกล้องหลัง 5 ล้านพิกเซลพร้อมระบบออโต้โฟกัส มีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ microSD เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth 3.0 มีระบบบันทึกเสียงด้วย mic 2 ตัวเพื่อลดเสียงรบกวนได้ ว่ากันว่า แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 8 ชม. และเล่นวิดีโอไฮเดฟได้นาน 4 ชม. ตัวเครื่องหนักแค่ 415 กรัมเท่านั้น สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 674 เหรียญฯ (ประมาณ 20,000 บาท อุ๊ปส์!!!)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Mozilla Firefox 4 โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งใน 3 ชั่วโมงแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 22:44:49
มูลนิธิมอสซิลา (Mozilla) ยิ้มแก้มปริ เบราว์เซอร์รุ่นใหม่ล่าสุด "ไฟร์ฟ็อกซ์ 4 (Firefox 4)" มียอดดาวน์โหลดเกิน 1 ล้านครั้งในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังจากเริ่มให้บริการ ล่าสุดตัวเลขกำลังพุ่งไปแตะระดับที่ 4 ล้านดาวน์โหลดหลังจากเปิดให้ดาวน์โหลด 11 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มของคืนวันที่ 22 มีนาคม 54 ตามเวลาในประเทศไทย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003933401.JPEG)

      ข้อมูลจากโปรแกรมนับการดาวน์โหลดของมอสซิลาที่ http://glow.mozilla.org/ ระบุว่า Firefox 4 มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกเกิน 3.7 ล้านครั้งในขณะนี้ (9.00 น. วันที่ 23 มีนาคม) ถือเป็นความสำเร็จที่นำหน้าแชมป์เว็บเบราว์เซอร์ของโลกอย่าง IE ซึ่งไมโครซอฟท์เคยเปิดตัวเลขว่า IE9 เวอร์ชันล่าสุดสามารถทำยอดดาวน์โหลดได้ 2.35 ล้านครั้งในเวลา 24 ชั่วโมง
      
      Firefox 4 นั้นเป็นโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์หรือโปรแกรมเปิดเว็บไซต์เวอร์ชันล่าสุดของมอสซิลา จดเด่นคือรูปลักษณ์และความสามารถใหม่ที่ได้รับการการันตีว่าจะทำให้นักท่องเน็ตสามารถใช้งานได้ง่าย เร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น ประเด็นของความเร็วนั้นมีการย้ำว่าเวอร์ชัน 4 นี้มีความเร็วกว่า Firefox 3.6 ถึง 6 เท่า โดยในช่วงแรกรองรับมากกว่า 70 ภาษารวมภาษาไทย สามารถดาวน์โหลดที่เว็บไซต์ www.firefox.com (http://www.firefox.com)
      
      Firefox 4 สามารถใช้ได้กับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ทั้งเวอร์ชันใหม่และเก่า โดยวินโดวส์ที่มีอายุเกิน 10 ปีแต่ยังมีผู้ใช้งานมหาศาลอย่าง XP ก็สามารถใช้งาน Firefox 4 ได้ รวมถึงระบบปฏิบัติการแมคอินทอช Mac OS และลินุกซ์ (Linux) ล้วนใช้งานได้หมด
      
      ในทางเทคนิก Firefox 4 ระบุว่าได้ปรับให้สามารถประมวลผลชุดคำสั่ง JavaScript ที่เร็วขึ้น สามารถรองรับเว็บไซต์มาตรฐาน HTML5 และรูปแบบวิดีโอ WebM HTML5 ของกูเกิลได้ดีกว่าเดิม คุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจคือ Panorama เป็นการจัดการแท็บให้เป็นกลุ่ม เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เปิดหน้าต่างหรือ tab จำนวนมากในเวลาเดียวกัน Firefox 4 จะทำให้ผู้ใช้สามารถลากแท็บที่เกี่ยวข้องไปเป็นกลุ่มแยกต่างหาก เพื่อความง่ายในการใช้งาน
      
      Firefox 4 ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ที่เข้าบ่อยเป็นประจำ โดยเปิดให้ผู้ใช้สร้างไอคอนจิ๋วสำหรับคลิกเข้าเว็บไซต์อย่าง Gmail, Twitter หรือ Flickr ได้รวดเร็วบริเวณแถวบนซ้ายของโปรแกรม ยังมีระบบแจ้งเตือนอีเมลเข้าและข้อความอัปเดทในเครือข่ายสังคมอื่นๆ ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มเติมหรือลบออกได้อย่างเสรี

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003933403.JPEG)

Firefox 4 ยังสามารถเชื่อมต่อหรือ Sync นานาระบบกับหลากอุปกรณ์พกพาได้อย่างสะดวก ทั้งการตั้งค่า รหัสผ่าน บุ๊กมาร์ก ประวัติการใช้งานเว็บไซต์ ฯลฯ ที่สำคัญคือการเพิ่มตัวเลือก "do not track" ให้ผู้ใช้คลิกเลือกเพื่อบอกเว็บไซต์อื่นๆว่าไม่ต้องการให้มีการติดตามพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกกรณี
      
      เว็บไซต์พีซีแมคกาซีนระบุว่า ทีมงานมอสซิลายังมีภารกิจต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะการกำหนดกรอบเทคโนโลยี do not track ให้ชัดเจนกว่าเดิม เพื่อยืนยันว่ามอสซิลาไม่ได้ต้องการต้านเครือข่ายโฆษณาออนไลน์ แต่เป็นการให้ทางเลือกผู้ใช้ได้มีโอกาสหยุดการติดตามโดยทุกเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาต
      
      "คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเป้าหมายของขบวนการโฆษณาออนไลน์ มอสซิลาจึงคิดค้นและนำเสนอทางเลือกเพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้คุณสมบัติ do not track ในระดับที่แตกต่าง สิ่งที่ต้องทำนับจากนี้คือการระบุขอบเขตของปัจจัยร่วมในการห้ามติดตามการใช้งานของผู้บริโภคให้ชัดเจน ซึ่งจะไม่ใช่เพียงเครือข่ายโฆษณาเท่านั้น แม้แต่เว็บไซต์ข่าวที่พยายามดึงข่าวที่ตรงกับความสนใจของผู้บริโภค ก็เข้าข่าย do not track เช่นกัน"
      
      นอกจาก Firefox 4 สำหรับใช้ในคอมพิวเตอร์พกพา Mobile Firefox 4 สำหรับใช้บนอุปกรณ์พกพาก็ประกาศให้ดาวน์โหลดไปใช้งานเช่นกัน ข้อมูลระบุว่ามีการปรับปรุงประสิทธิภาพสอดคล้องกับ Firefox 4 ทั้งการโหลดจาวาสคริปต์ การแสดงผล การเลื่อนหน้าจอ การลดปริมาณการใช้ซีพียู-หน่วยความจำ และการดึงข้อมูลหรือ Sync กับ Firefox รุ่นเดสก์ท็อปได้ คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นคือความสามารถขยายตัวอักษรหรือซูมแบบจัดข้อความให้พอดีกับหน้าจอ (text reflow) ซึ่งเป็นความสามารถที่มีอยู่แล้วบนเบราว์เซอร์เพื่อโทรศัพท์มือถือค่ายอื่น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "แอนดรอยด์" โดนรุม!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 22:54:33
ต้องใช้คำว่าโดนรุมฟ้องร้องแล้วในนาทีนี้สำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) เริ่มที่อเมซอน (Amazon) ยักษ์ใหญ่โลกค้าปลีกออนไลน์ที่กำลังจะรุกธุรกิจร้านดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ในชื่อ Amazon Appstore ปรากฏว่าแอปเปิลไม่ยอมจึงฟ้องขอความเป็นธรรมจากศาลเพราะชื่อ Appstore ที่ซ้ำกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003936601.JPEG)

      ด้านบาร์นสแอนด์โนเบิล (Barnes & Noble) ผู้สร้างเครื่องอ่านอีบุ๊กระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ "Nook" ถูกไมโครซอฟท์ฟ้องฐานละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
      
      แอปเปิลฟ้องอเมซอน
      
      แอปเปิลยื่นคำร้องต่อศาลแคลิฟอร์เนียเพื่ออ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า App Store ซึ่งเป็นคำที่อเมซอนได้ติดไว้ในร้านดาวน์โหลดแอปฯสำหรับอุปกรณ์แอนดรอยด์ โดยขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามอเมซอนใช้ชื่อ App Store ในชื่อบริการเพื่อป้องกันผู้บริโภคสับสน จนทำให้แอปเปิลเสียประโยชน์
      
      สำนักข่าว Wired อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวนิรนามว่าร้าน Amazon Appstore นั้นมีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 22 มีนาคมตามเวลาในสหรัฐฯ โดยจะเป็นร้านดาวน์โหลดแอปฯสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์แอนดรอยด์ที่มีความแตกต่างจากร้าน Google Android Marketplace ซึ่งกูเกิลเปิดไว้เป็นร้านค้ากลาง จุดต่างสำคัญคือความปลอดภัยเพราะอเมซอนยืนยันว่า แอปฯที่สามารถวางขายในร้านของอเมซอนจะต้องเป็นแอปฯที่ได้รับการอนุญาตจากอเมซอนเท่านั้น โดยอเมซอนจะดูแลและทดสอบแอปฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความปลอดภัยอย่างที่เป็นในร้านค้าแสนเสรีไม่มีการควบคุมของกูเกิล
      
      จุดขายของร้าน Amazon Appstore นั้นคล้ายกับสิ่งที่แอปเปิลทำในร้าน iTunes App Store ซึ่งแอปเปิลเปิดไว้ให้บริการผู้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS ทั้งไอโฟน ไอแพด และไอพอด โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมงานอเมซอนทำงานผิดพลาดจนทำให้หน้าจำหน่ายแอปฯ บางส่วนของ Amazon Appstore ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ทำให้สื่อมวลชนได้เห็นแอปฯมากกว่า 48 แอปฯที่พร้อมให้บริการ
      
      เบื้องต้น มีความเป็นไปได้ว่าอเมซอนจะใช้ระบบชำระเงินของตัวเองแทน Google Checkout ซึ่งกูเกิลให้บริการในร้าน Google Android Marketplace ดั้งเดิม จุดนี้ทำให้โอกาสเติบโตของ Amazon Appstore มีสูงกว่าเนื่องจากเป็นระบบที่ถูกใช้งานแพร่หลายกว่าในหลายประเทศ โดยผู้ใช้จะสามารถซื้อแอปฯ ได้ทั้งจากหน้าเว็บไซต์บนคอมพิวเตอร์พีซี หรือผ่านแอปฯของอเมซอนบนอุปกรณ์แอนดรอยด์
      
      สำหรับกรณีล่าสุดที่แอปเปิลส่งฟ้องศาลให้อเมซอนเลิกใช้ชื่อ Appstore ก่อนที่จะได้เปิดให้บริการจริง แม้ว่าคำว่า App Store จะเป็นคำทั่วไปแต่แอปเปิลอ้างว่าชื่อ Appstore เป็นหนึ่งในรายการ"เครื่องหมายบริการ"ที่แอปเปิลจดทะเบียนไว้เพื่อใช้บนเว็บไซต์ ซึ่งทางกฎหมาย เครื่องหมายบริการนั้นมีนัยไม่ต่างจากเครื่องหมายการค้า แต่ต่างที่เครื่องหมายการค้านั้นจะถูกใช้กับสินค้า ดังนั้นแอปเปิลจึงมีสิทธิขอให้อเมซอนยกเลิกการใช้ชื่อ Appstore ก่อนจะสายเกินแก้
      
      แมรี่ โอซาโกะ (Mary Osako) ประชาสัมพันธ์ของอเมซอนระบุว่าไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับแอปเปิลที่ไม่มีการให้ความเห็นใดเพิ่มเติมเช่นกัน
      
      ไมโครซอฟท์ฟ้อง "Nook"
      
      ไมโครซอฟท์ยื่นคำร้องต่อศาลวอชิงตันตะวันตกว่าบริษัทบาร์นสแอนด์โนเบิล ได้ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีไมโครซอฟท์ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งถูกใช้ในเครื่องอ่านอีบุ๊กนามว่า"นุ๊ก (Nook)" การฟ้องร้องครั้งนี้ตอกย้ำภาพชัดเจนว่าไมโครซอฟท์จะไม่ฟ้องร้องกูเกิล ผู้พัฒนาแอนดรอยด์โดยตรง แต่เลือกที่จะฟ้องร้องผู้พัฒนาอุปกรณ์แอนดรอยด์ซึ่งไม่ยอมเข้าโครงการและจ่ายค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีให้ไมโครซอฟท์แทน
      
      Horacio Gutierrez ทนายความทั่วไปของไมโครซอฟท์ระบุว่าการฟ้องร้องบาร์นสแอนด์โนเบิลครั้งนี้เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกับที่ไมโครซอฟท์เคยฟ้องโมโตโรล่า ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เช่นกัน โดยเป็นการฟ้องร้องเพื่อปกป้องสิทธิบัตรเทคโนโลยี 25 จุดซึ่งถูกละเมิดในสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และนานาอุปกรณ์แอนดรอยด์ เช่น เทคโนโลยีการสร้างแท็บเพื่อควบคุมหน้าต่างแสดงผล เทคโนโลยีแสดงภาพเว็บไซต์ขณะภาพยังถูกดาวน์โหลดอยู่ รวมถึงเทคโนโลยีการเลือกข้อความบนอุปกรณ์
      
      บริษัทยักษ์ใหญ่โลกหนังสืออย่างบาร์นสแอนด์โนเบิลปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น
      
      ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ย้ำมาตลอดว่าแอนดรอยด์นั้นละเมิดสิทธิบัตรของไมโครซอฟท์หลายจุด ทำให้ไมโครซอฟท์ตั้งกฎเกณฑ์เพื่อเปิดให้ผู้ผลิตอุปกรณ์แอนดรอยด์สามารถใช้สิทธิบัตรเหล่านั้นอย่างถูกต้อง ทั้งหมดนี้ไมโครซอฟท์ระบุว่าอเมซอนและเอชทีซีได้เข้าร่วมโครงการแล้ว แต่สำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊ก"นุ๊ก" ผู้จัดจำหน่ายอย่างบาร์นสแอนด์โนเบิล ผู้ผลิตอย่างฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) และผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างอินเวนเทค (Inventec) นั้นปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ชุมชนเกมไร้ขีดจำกัด นิวโมเดลธุรกิจเกมไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 มีนาคม 2011, 23:21:37
ดูเหมือนว่า ตลาดเกมออนไลน์เมืองไทยจะเล็กไปเสียแล้ว ทำให้ “เอเชียซอฟท์” ต้องหาน่านน้ำใหม่ในตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตให้ตัวเองเพิ่มขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003904401.JPEG)

      ตลาดเกมออนไลน์เมืองไทยเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว จากข้อมูลของผู้ให้บริการเกมมองตรงกันว่า ตลาดเกมออนไลน์ยามนี้เติบโตไม่หวือหวา โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ในตัวเลขหลักเดียว มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
      
      ขณะที่จำนวนผู้ประกอบการกลับไม่ได้ลดลงมากนัก แม้จะมีบางรายถอดใจออกไปจากตลาด แต่ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ขอชิมลางในตลาด คำนวณเบ็ดเสร็จแล้ว จำนวนผู้เล่นในตลาดก็ยังมีอยู่มาก ส่วนในแง่จำนวนเกม นอกจากเกมเก่าที่ยังมีการทำตลาดต่อเนื่อง ยังมีการส่งเกมใหม่มาทำตลาด เพราะเชื่อว่าจะเป็นแนวทางในการแย่งชิงลูกค้าเกมเมอร์จากค่ายคู่แข่งมาสู่ค่ายตนเอง มีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวนับร้อยเกม
      
      ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำเอาเจ้าตลาดอย่างเอเชียซอฟท์ถึงกับก่ายหน้าผาก เพราะนั่นเท่ากับว่าทุกคนกำลังแย่งชิงปลาที่มีอยู่จำกัด และหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ก่อนจะปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ เอเชียซอฟท์จึงออกสตาร์ทปรับตัวก่อน ด้วยการปรับบทบาทตัวเองใหม่จากการเป็นผู้ให้บริการเกมออนไลน์ไทย ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการเกมในระดับภูมิภาคเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ขนาดตลาดเกมออนไลน์เติบโตเป็น 5 เท่า
      
      “ผมจะไม่แข่งในระดับประเทศแล้ว ผมจะเข้าไปดึงลูกค้าในระดับภูมิภาค ซึ่งจะทำให้เราเติบโตขึ้นไปอีกขั้น”
      
      เป็นคำกล่าวของ ปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางใหม่ที่เอเชียซอฟท์จะก้าวไป
      
      ปราโมทย์ บอกด้วยว่า สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะธุรกิจเกมหรือธุรกิจใดก็ตาม เมื่อสร้างมาถึงระดับหนึ่ง ต้องมีการเชื่อมต่อตลาดทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อขยายฐานตลาดจากเดิมให้เติบใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น
      
      ธุรกิจของเอเชียซอฟท์เดินมาตามแนวคิดนี้เช่นกัน จนถึงวันนี้เอเชียซอฟท์ถือว่าเติบโตมาระดับหนึ่งและพร้อมที่จะก้าวเดินไปอีกสเตปในโลกใบใหม่
      
      อันที่จริงแล้วการบุกตลาดในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับค่ายเอเชียซอฟท์ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเอเชียซอฟท์ได้เริ่มบุกตลาดในหลายประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เป็นต้น แต่เนื่องจากรูปแบบการทำตลาดที่ผ่านมายังเป็นลักษณะแยกการลงทุนและทำตลาด นั่นคือ จะเข้าไปตั้งบริษัทและลงทุนเซิร์ฟเวอร์ในแต่ละประเทศ และแยกลูกค้ากันอย่างชัดเจน
      
      แต่นับจากนี้ไป เอเชียซอฟท์จะทลายกำแพงกั้นผู้เล่นในแต่ละประเทศออก เพื่อเชื่อมต่อตลาดทั้งหมดที่เข้าไปทำธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกัน ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับชุมชนคนเล่นเกมที่ไม่มีข้อจำกัด ไอดีเกมของแต่ละประเทศสามารถเข้าเล่นได้ทุกประเทศ เป็นการสร้างชุมชนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยจะเริ่มในกลุ่มเกมแนวเอฟพีเอส (FPS : First Person Shooting) ผ่านเว็บไซต์ PLAY FPS เพื่อให้เป็นแหล่งรวมของคนเล่นเกมแนวเอฟพีเอสในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
      
      พร้อมกันนี้ เอเชียซอฟท์ยังเตรียมเปิดธุรกิจเกมออนไลน์ในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากมองว่าอินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงเฉลี่ย 20% ต่อปี มีประชากรมากถึง 243 ล้านคน เป็นอันดับที่ 4 ของโลก มีรายได้ต่อหัวค่อนข้างดี และเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากกว่า 30 ล้านคน โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น ซึ่งเอเชียซอฟท์ถือหุ้น 80% และพาร์ตเนอร์ 20% พร้อมเปิดให้บริการเกมแรกในช่วงไตรมาส 2
      
      ปราโมทย์ บอกว่า นอกจากการเชื่อมฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้นแล้ว โมเดลนี้ยังทำให้ทำการตลาดได้ง่ายขึ้นด้วย ในกรณีที่เป็นการเปิดตัวเกมเดียวกันในทุกภูมิภาคก็จะใช้แคมเปญในการทำตลาดเหมือนกันทุกประเทศ ซึ่งช่วยลดคอร์สการทำตลาดได้มาก แต่ฐานลูกค้ากว้างขึ้น
      
      “ตอนนี้เรายังไม่เป็นที่ 1 ในทุกประเทศ แต่หวังว่าใน 3 ปี จะขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเกมออนไลน์ทุกประเทศ และเป็น Full Region”


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ยอดดาวน์โหลด Firefox 4 ทิ้งห่าง IE9
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มีนาคม 2011, 21:59:23
รายงานข่าวล่าสุด ดูเหมือนสงครามบราวเซอร์ครั้งนี้ Firefox 4 จะชนะ IE9 โดยหลังจากที่ Microsoft เปิดตัว IE9 เวอร์ชันสมบูรณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ตามมาด้วย Firefox 4 เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ผลปรากฎว่า ยอดดาวน์โหลดในวันแรกของ Firefox 4 มากกว่า IE9 ประมาณ 3 เท่าตัวเลยทีเดียว

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจากที่ Mozilla เปิดให้ดาวน์โหลด Firefox 4 ได้หนึ่งวัน สถิติผู้ใช้บราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ทั่วโลกประมาณ 2% ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดย StatCounter บริษัทวิเคราะห์สถิติการใช้เว็บไซต์ โดยในวันเดียวกัน ขณะที่ IE9 เปิดให้ดาวน์โหลดมาได้ร่วมสองสัปดาห์แล้ว กลับมีส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้จากทั่วโลกประมาณ 0.87% เท่านั้น นอกจากนี้จากสถิติที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ระบุว่า IE9 มียอดดาวน์โหลด 2.35 ล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมงแรก (ไมโครซอฟท์กล่าวว่า มันเป็นบราวเซอร์ที่มีสถิติการดาวน์โหลดไปใช้งานเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ IE) แต่ยอดดาวน์โหลดในวันแรกของ Firefox 4 กระโดดขึ้นไปสูงถึง 7.1 ล้านครั้ง หรือประมาณ 3 เท่า

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-4-wins-IE-9-with-tripple-downloads-in-24-hrs-2.jpg)
สถิติล่าสุดเมื่อเวลา 6:30 น.ของวันที่ 24 มีนาคม 2554 หลังเปิดให้ดาวน์โหลดได้ 2 วัน

เหตุผลสำคัญทีทำให้ยอดดาวน์โหลด IE9 ถูกแซงหน้าโดย Firefox 4 ก็คือ มันไม่สนับสนุนการทำงานร่วมกับ Windows XP ที่ใช้โดยนักท่องเว็บทั่วโลกมากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ไมโครซอฟท์ได้เปิดประเด็นก่อนวันเปิดตัว IE9 ว่า มันมีส่วนแบ่งผู้ใช้บราวเซอร์เวอร์ชันล่าสุดนี้บน Windows 7 มากกว่า 2% สำหรับการแข่งขันของบราวเซอร์รุ่นใหม่ในปัจจุบันที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั้น แต่ละเจ้าต่างก็มุ่งเน้นไปที่ความเร็วของการทำงานที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ อย่าง ระบบรักษาความเป็นส่วนตัว และปรับโฉมให้บราวเซอร์มีความเรียบง่ายในการใช้งานให้มากขึ้นจนดูเผินๆ แทบจะไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งผู้จุดชนวนการออกแบบเว็บไซต์ให้เรียบง่าย และเป็นต้นแบบของบราวเซอร์ทั้งสองรายนี้ก็คือ Chrome ของ Google ที่กำลังไล่กวด Firefox มาติดๆ (ติดตามสถิติการดาวน์โหลด Firefox 4 ได้ที่ http://glow.mozilla.org/)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ปัญหา Facetime "แน่นิ่ง" บน iPad 2
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มีนาคม 2011, 22:41:42
หลังจากปัญหาเรื่องแสง backlit รั่วออกตามขอบจอของ iPad 2 ล่าสุดมีรายงานปัญหาใหม่ที่พบจากการใช้งาน นั่นก็คือ ขณะที่สลับภาพวิดีโอกับคู่สนทนาที่กำลังแชทกันบน FaceTiime ระบบก็จะแน่นิ่ง (freeze) ไปจนผู้ใช้ต้องรีสตาร์ทการทำงานของเครื่องจึงจะเป็นปกติ...อุ๊ปส์!!!

อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวคาดว่าน่าจะเกิดจากข้อผิดพลาดของ iOS 4.3 มากกว่าที่จะเป็นในส่วนของฮาร์ดแวร์ สืบเนื่องจากมีรายงานจากเจ้าของ iPad 2 บนโฟรั่มที่ให้บริการซัพพอร์ตของ Apple โพสต์แจ้งปัญหาเกี่ยวกับการสลับวิดีโอบนแอพพลิเคชัน FaceTime แล้วระบบแน่นิ่งไป "เมื่อผมเปิด FaceTime ใช้งานครั้งแรก กล้องด้านหน้าทำงานได้ดี แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า ทุกครั้งทีเปิดมันจะแสดงภาพนิ่ง ผมจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?" ข้อความแจ้งปัญหาจากผู้ใช้ที่ใช้ชื่อว่า CRK The Man

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/1/ipad-2-has-problem-with-FaceTime-freeze-2.jpg)

ผู้ใช้ส่วนใหญ่พบวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือ รีสตาร์ท iPad 2 ใหม่ ในขณะที่บางรายถึงขั้นต้อง restore ซอฟต์แวร์ของ iPad 2 เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้รายหนึ่งอ้างว่า ผู้จัดการร้าน Verizon ในนิวยอร์กยอมรับว่า เขาพบปัญหาการใช้ FaceTime บ่อยครั้งมากเวลาสาธิตด้วยเครื่องที่ให้ผู้ใช้ทดลองใช้ของทางร้าน ซึ่งผู้จัดการร้านกล่าวตรงกันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้ด้วยการรีสตาร์ท iPad 2 สำหรับการแจ้ง่ข้อผิดพลาดการทำงานของ FaceTime จากผู้ใช้คนอื่นๆ ก็จะมีเรื่องของปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยมาก และการรีสตาร์ท iPad 2 แม้จะแก้ปัญหาได้ แต่มันก็จะกลับมาเป็นอีกหลังจากใช้งาน 2-3 ครั้ง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เชคพอยต์เปิดตัวระบบความปลอดภัย 3D
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มีนาคม 2011, 23:01:26
เชค พอยต์ส่ง Check Point R75 ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 3 มิติลงตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร หน่วยงานรัฐ และสถาบันการเงิน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003993101.JPEG)

      นายจอห์น ออง (ขวา) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค เอเชียใต้ บริษัท เชค พอยต์ ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี กล่าวว่า เชค พอยต์ได้เปิดตัว 3D Security ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 3 มิติออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นกระบวนการทางธุรกิจแบบ 3 มิติ ที่มีการผสมผสานรวมนโยบาย บุคลากร และการบังคับใช้ เพื่อการป้องกันที่แข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกระดับชั้นของระบบรักษาความปลอดภัย
      
      “ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 3 มิตินี้ จะทำให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้แบบแผนการรักษาความปลอดภัยที่เป็นมากกว่าเทคโนโลยี ซึ่งทำให้แน่ใจว่าสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้ทั้งหมด”
      
      Check Point R75 เป็นระบบรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายแบบ 3 มิติครั้งแรก ประกอบด้วยซอฟต์แวร์เบลดใหม่สี่ด้าน ได้แก่ การควบคุมแอปพลิเคชัน, การรับรู้ข้อมูลเฉพาะตัว, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการเข้าถึงผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับภาพรวมและการควบคุมข้อมูลที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชัน Web 2.0 และการเข้าถึงผ่านอุปกรณ์พกพา ซึ่งจะช่วยให้องค์กรมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบหลายมิติภายในโซลูชันเดียวที่ครบวงจร
      
      สำหรับประเทศไทย นางสาวธนนันท์ มานีกุล ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทย เชค พอยต์ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ใหม่และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากแนวโน้มเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยที่ต้องผสมผสานกับความต้องการทางธุรกิจ โดย เชค พอยต์ คาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 20% ในประเทศไทย และมุ่งทำตลาดองค์กรเป็นหลัก ได้แก่ ราชการ สถาบันการเงิน และธุรกิจทั่วไป โดยเชื่อว่าเชค พอยต์ยังสามารถเป็นผู้นำตลาดระบบรักษาความปลอดภัยในระดับองค์กรต่อไปได้อย่างแน่นอน

      '3D Security จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนระบบรักษาความปลอดภัยให้เป็นกระบวนการธุรกิจด้วยการผสานรวม 3 มิติคือ นโยบาย บุคลากร และการบังคับใช้เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถป้องกันความปลอดภัยในเชิงลึกได้'

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โซโลมอน ผนึกอัลวาเลียน ลุยตลาด 4G
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 24 มีนาคม 2011, 23:08:06
โซโลมอน (Solomon) จับมือ อัลวาเลียน (Alvarion) ลุยตลาดเครือข่ายไร้สายองค์กร-ภาครัฐ ช่วยกระตุ้นตลาดมากกว่าพันล้านบาท เชื่อเป็นทิศทางของการเชื่อมต่อในอนาคต ผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงในยุค 4G โดยไม่ต้องขออนุญาตการใช้งานคลื่นความถี่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003894301.JPEG)

      นายจิโรจน์ ไพทูรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซโลมอน เทคโนโลยี ไทยแลนด์ จำกัด มองว่า ต่อไปตลาดที่มีการขยายบริการเครือข่ายในธุรกิจโทรคมนาคมในอนาคต จะเปลี่ยนจากบริษัทในกลุ่มโทรคมนาคม กลายมาเป็นภาครัฐและองค์กรเอกชน ที่ต้องการบริการด้านโครงข่ายที่ครอบคลุมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น
      
      "การที่โซโลมอนร่วมมือกับทางอัลวาเลียนถือเป็นการเพิ่มไลน์สินค้าให้บริษัทสามารถเข้าไปทำตลาดในกลุ่มอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูงได้มากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นมูลค่าตลาดในกลุ่มนี้ให้ได้มากกว่าพันล้านเหรียญฯ"
      
      ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ราว 200 - 300 ล้านบาท จากการทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ADSL โมเด็ม จุดกระจายสัญญาณไว-ไฟ รวมถึงอุปกรณ์กระจายสัญญาณไวเลสระยะไกล ที่นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาในการขยายโครงข่ายบริการอินเทอร์เน็ตในบางพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้โครงข่ายสายได้
      
      นายธิติพนธ์ อุ่นประดิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ให้ข้อมูว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถเข้าไปทำโครงการร่วมกับบริษัทในกลุ่มอุตสากรรมโทรคมฯ ในอุปกรณ์การจายสัญญาณไวเลสระยะไกล ภายใต้มูลค่าโครงการกว่า 40 ล้านบาท ทำให้เห็นว่ายังมีช่องทางที่สามารถเติบโตในตลาดดังกล่าวได้อีกเป็นจำนวนมาก
      
      การทำตลาดของอัลวาเลียนในประเทศไทย ผ่านการให้โซโลมอน เป็นดิสทริบิวเตอร์หลัก จะทำให้พาร์ทเนอร์สามารถเข้าไปติดต่อองค์กรธุรกิจ โดยได้รับการสนับสนุนจากโซโลมอนเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการบริการ และให้ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยี เพื่อทำตลาดในกลุ่มค้าปลีก โรงงาน กลุ่มคลังสินค้า โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มงานด้านความมั่นคง
      
      สำหรับอัลวาเลียน ถือเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีการให้บริการเครือข่ายไร้สาย รวมไปถึงการให้บริการ Wimax ที่สามารถให้บริการบนคลื่นความถี่โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตการใช้งานกับทางกสทช. ทำให้บริษัทและองค์กรเอกชนสามารถนำเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูงมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้โดยไม่ผิดหลักเกณฑ์การให้บริการในประเทศ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: HP สู้ศึกคอมพ์ไทยเปิดไลน์อัปสินค้าใหม่เพียบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 02:55:23
ผู้บริหารใหม่เอชพี "มอนตี้ หว่อง" เตรียมเพิ่มศักยภาพช่องทางขาย ควบคู่แคมเปญการตลาดใหม่ หวังสื่อสารถึงมูลค่าที่แตกต่างจากคู่แข่ง เชื่อโน้ตบุ๊กยังเป็นดาวเด่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004029801.JPEG)

      นายมอนตี้ หว่อง ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวทางการทำตลาดภายหลังจากที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า ทิศทางการทำตลาดหลังจากนี้จะให้ความสำคัญใน 3 ส่วนหลัก ส่วนแรก ในส่วนของพาร์ทเนอร์นั้น จะมีการทำงานให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยจะมีเพิ่มเครื่องมือทางการตลาดให้กับพาร์ทเนอร์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตบแต่งหน้าร้าน รวมไปถึงการขยายเอชพีช็อปให้เพิ่มขึ้น ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของการสื่อสารตรงไปยังลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการสื่อสารถึง "มูลค่าเพิ่ม" ที่จะได้รับจากผลิตภัณฑ์ของเอชพี ไม่ใช่แค่การซื้อฮาร์ดแวร์อย่างเดียว ซึ่งทางเอชพีจะสื่อสารข้อมูลเหล่านี้ให้มากขึ้นในปีนี้ สุดท้ายเป็นเรื่อง "นวัตกรรม" บนผลิตภัณฑ์ ที่ทางเอชพีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
      
      “เอชพีเล็งเห็นถึงความต้องการที่มีมากขึ้นในการใช้งานอุปกรณ์ ที่สามารถเชื่อมต่อประสบการณ์การใช้งาน และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้ กลายมาเป็นความจริง รวมทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกันทั้งระบบ เชื่อมโยงอุปกรณ์ส่วนบุคคล อุปกรณ์ไอที รวมไปถึงระบบคลาวด์ และเมื่อทุกสิ่งเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เมื่อนั้นทุกสิ่งก็จะเป็นไปได้ และนี่คือโฉมหน้าของโลกใบใหม่ที่ทุกคนพร้อมเชื่อมต่อทุกพื้นที่ของโลกออนไลน์อย่างแท้จริง”
      
      นายหว่อง ยังกล่าวอีกว่า การนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เว็บโอเอสซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของเอชพีเข้าทำตลาดในประเทศไทยนั้น คงจะยังไม่เห็นในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะแท็บเล็ตซึ่งตนมองว่า ยังเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่มีตลาดเป็นของตัวเอง การที่จะมาทดแทนตลาดเน็ตบุ๊กหรือโน้ตบุ๊กนั้นคงจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
      
      "ขณะที่ไต้หวันเอง การนำแท็บเล็ตมาใช้ทำงานแทนเน็ตบุ๊กหรือโน้ตบุ๊กยังมีน้อยมาก"
      
      นายพงศ์ธวัช พิเชฐเลอมานวงศ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ กล่าวเสริมว่า มีบริษัทวิจัยทางการตลาดคาดการณ์ตลาดคอมพิวเตอร์ในบ้านเราปีนี้จะมีขนาดประมาณ 2.4-2.5 ล้านเครื่อง มีอัตราการเติบโตประมาณ 15% โดยตลาดโน้ตบุ๊กบ้านเรายังโตประมาณ 20-25% ขณะที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะนั้นจะทรงๆ ตัว เติบโตประมาณ 5-6% เท่านั้น ขณะที่เน็ตบุ๊กนั้นเติบโตตกลงเหลือประมาณ 8% ซึ่งทางเอชพีเชื่อมั่นว่า จะสามารถเติบโตได้มากกว่าการเติบโตของตลาดโดยรวม โดยปีที่ผ่านมาเอชพียังคงรักษาอัตราการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
      
      "เวลานี้ ราคาโน้ตบุ๊กประมาณ 18,000-25,000 บาท ถือเป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดประมาณ 25% โดยระดับราคา 25,000-30,000 บาทเป็นระดับราคาที่ผู้บริโภคคนไทยมีการจับจ่ายเป็นอันดับ 2 โดยมีเรื่องของเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ทั้ง 2 ช่วงราคาดังกล่าวจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนเทคโนโลยีซีพียูเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับราคาขึ้นลงอยู่ใน 2 ช่วงนี้"
      
      นายหว่อง กล่าวอีกว่า นวัตกรรม คือหัวใจสำคัญของเอชพี โดยชุดผลิตภัณฑ์รวมถึงโซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด จะเป็นคำตอบสำหรับทุกความต้องการของผู้ใช้งาน ในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความบันเทิง หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พอร์ทโฟลิโอสำหรับบุกตลาดคอนซูเมอร์ในปีนี้ ประกอบไปด้วยโน้ตบุ๊กใหม่ล่าสุดในตระกูล HP PAVILION dv series, HP PAVILION g-series และเดสก์ท็อปแบบออลอินวัน HP TouchSmart610
      
      สำหรับกิจกรรมทางการตลาด จะเห็นแคมเปญใหม่ "Everybody On" ของเอชพีที่จะออกมาในปีนี้ โดยเป็นแคมเปญเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์เอชพีที่ใช้เหมือนกันทั้งเอเชียแปซิฟิก แคมเปญใหม่นี้ถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของเอชพี ที่ครอบคลุมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ไร้ขอบเขตทางด้านดนตรี แฟชัน กิจกรรมของคอมมูนิตี ธุรกิจและอื่น ๆ อีกมากมาย อันจะมีซีรีส์ของแคมเปญการตลาดแบบบูรณาการต่างๆ มารองรับ ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ออนไลน์ และโซเชียล มีเดีย ทั้งหมดมีรากฐานอยู่บนความสำเร็จของแคมเปญ “The Computer is Personal Again” ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างแพร่หลาย
      
      แคมเปญ Everybody On นี้ ยังเน้นย้ำการเฉลิมฉลองเรื่องราวน่าประทับใจของผู้คนทั่วโลกที่ใช้เทคโนโลยีจากเอชพีในการเชื่อมโยงโลกกว้าง ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ส่วนตัว ไปจนถึงหลากหลายความสำเร็จจากหน้าที่การงานผ่านมุมมองของหลากหลายคนดังระดับโลก อาทิ อลิเชีย คีย์ ศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี่ และนักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดังจากเอเชีย อย่าง เจเจ ลิน เป็นต้น ซึ่งทั้งสองคนเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความหลงใหล และความคิดสร้างสรรค์ ในเสน่ห์ของตัวโน้ตและเสียงเพลง อีกทั้งยังเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีที่จะเป็นปัจจัยเสริมให้เหล่าผู้ฟังได้ซึมซับอรรถรสทางดนตรีได้อย่างที่พวกเขาได้ตั้งใจประพันธ์
      
      ในส่วนบริการหลังการขายนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เอชพีถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการรุกตลาดนี้ โดยเอชพีจะเนินการเปลี่ยนภาพลักษณ์ศูนย์บริการลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และประเทศญี่ปุ่น โดยศูนย์บริการ ‘HP Total Care Center’ จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานของเอชพีได้สัมผัสประสบการณ์จากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในขณะรอรับการบริการ
      
      พร้อมกันนี้ ระยะเวลาในการรอรับบริการยังลดลงในทุกศูนย์บริการ อันเป็นผล มาจากการปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ และการลงทุนในส่วนของอุปกรณ์ชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ ลูกค้าเอชพียังสามารถเลือกเข้ารับบริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ในศูนย์บริการ 30 สาขาในเขตเมืองใหญ่ทั่วทั้งประเทศจีนอีกด้วย
      
      ในประเทศไทย เอชพียังได้จัดให้มีโปรแกรมตรวจเช็คสภาพโน้ตบุ๊คฟรี แม้ไม่มีประกัน สำหรับผู้ใช้งานโน้ตบุ๊คเอชพีทุกรุ่น ณ 5 ศูนย์เอชพี โดยให้บริการตรวจสภาพโน้ตบุ๊คเอชพีทุกรุ่น แบบไม่มีค่าใช้จ่ายและลดราคาค่าอะไหล่ 20% เฉพาะวันเสาร์ เวลา 10.00 - 18.00 น. ตั้งแต่ 12 มีนาคม - 28 พฤษภาคม 2554

(http://pics.manager.co.th/Images/554000004029802.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Google Book Search" ถึงทางตัน ?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 03:04:14
ไม่รู้จะลงเอยท่าไหนสำหรับบริการห้องสมุดดิจิตอลของกูเกิล Google Book Search เมื่อศาลสหรัฐฯปฏิเสธไม่อนุมัติการยอมความระหว่างสำนักพิมพ์อเมริกันและกูเกิล ซึ่งฝ่ายหลังยอมจ่ายเงินมูลค่า 125 ล้านเหรียญเป็นค่าไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้สิทธิสแกนหนังสืออีกหลายล้านเล่มช่วงปี 2009 โดยศาลให้เหตุผลว่าการพยายามสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าสำนักพิมพ์เช่นนี้ เป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการผูกขาดการค้าในตลาดหนังสือออนไลน์ รวมถึงขัดต่อกฏหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ แม้จะยอมรับว่าโครงการสแกนหนังสือสามารถเป็นประโยชน์ต่อประชากรโลกได้จริง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003992201.JPEG)

      ผู้พิพากษาสหรัฐฯ Denny Chin ให้ความเห็นว่าแนวคิดการสร้างห้องสมุดไร้พรมแดนคือแนวคิดอนาคตไกลที่มีประโยชน์ แต่เพราะปัญหาความแตกต่างระหว่างมุมมองของกูเกิลและผู้ประกอบการทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากการยอมความ ทำให้ศาลไม่สามารถอนุมัติให้การยอมความเกิดขึ้นได้
      
      การยอมความที่ถูกศาลสหรัฐฯไม่อนุมัติให้เกิดขึ้นคือการยอมความมูลค่า 125 ล้านเหรียญที่กูเกิลประกาศพร้อมจ่ายให้กับสมาคมนักเขียนและสำนักพิมพ์อเมริกัน (Association of American Publishers - AAP) ซึ่งออกมาร้องเรียนหลังจากกูเกิลประกาศเริ่มต้นโครงการสแกนหนังสือจากห้องสมุดทั่วโลก เพื่อสร้างเป็นห้องสมุดไร้พรมแดนให้ชาวออนไลน์ทั่วโลกสามารถเข้าถึงหนังสือได้อย่างเสรี ไม่นานนักหลังโครงการนี้บรรลุข้อตกลงกับห้องสมุดสาธารณะของบางองค์กรในปี 2004 โครงการนี้ก็ถูกต่อต้านอย่างหนักมาตลอดจนกลายเป็นคดีความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหลายร้อยล้านเหรียญ
      
      ปลายปี 2008 กูเกิลสามารถผ่าทางตันให้โครงการ ด้วยการจับมือกับสมาคมนักเขียนอเมริกัน ทำข้อตกลงระงับข้อพิพาทในนามของนักเขียนและสำนักพิมพ์ที่เป็นสมาชิกสมาคม ครั้งนั้นกูเกิลแถลงว่าเนื้อหาข้อตกลงจะเอื้อประโยชน์แก่นักอ่าน นักวิจัย และนักเขียนทั่วโลก เพราะสำนักพิมพ์และนักเขียนจะสามารถเผยแพร่และจัดจำหน่ายหนังสือในรูปแบบดิจิตอล โดยเจ้าของหนังสือสามารถควบคุมการเปิดอ่านและรับค่าตอบแทนจากการที่ผลงานถูกเปิดอ่านทางออนไลน์ ขณะที่นักอ่านทั่วโลกจะมีโอกาสในการเข้าถึงหนังสือได้มากขึ้นทั้งหนังสือที่เลิกผลิตแล้วและหนังสือหายาก ช่วยให้สามารถค้นหาหนังสือหลายล้านเล่มได้ทางเว็บไซต์โดยไม่ต้องเดินทาง
      
      นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นสามารถลงทะเบียนเป็นสมาชิกห้องสมุดออนไลน์ของกูเกิล เพื่อรับสิทธิ์ในการอ่านหนังสือจากห้องสมุดชั้นนำของโลกผ่านทางออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เท่ากับสถาบันเหล่านี้สามารถประหยัดงบประมาณซื้อหนังสือ เพียงแต่ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้ก็จะสามารถเข้าชมและอ่านหนังสือได้ทางออนไลน์ตลอดเวลา
      
      เงิน 125 ล้านเหรียญสหรัฐจะถูกนำไปใช้สร้างโครงการ Book Rights Registry เพื่อแก้ปัญหาการอ้างสิทธิ์ของนักเขียนและสำนักพิมพ์ ซึ่งครอบคลุมค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย แน่นอนว่าข้อตกลงนี้ช่วยแก้ปัญหาระหว่างสมาคมนักเขียนและกูเกิลที่มีการฟ้องร้องมากมายตั้งแต่ปี 2005 โดยผู้ถือลิขสิทธิ์หนังสือจากทั่วโลกสามารถลงทะเบียนผลงานกับ Book Rights Registry และรับค่าตอบแทนจากการเข้าเป็นสมาชิก ทั้งรายได้จากการขายหนังสือ การโฆษณาและรายได้อื่นๆ
      
      แม้ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯระบุว่าจะเข้าร่วมโครงการ โดยจะยอมเผยแพร่หนังสือในครอบครองของมหาวิทยาลัยอย่างเสรี แต่ปรากฏว่าการยอมความนี้ถูกต่อต้านจากผู้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งคู่แข่งของกูเกิลอย่างอเมซอนและไมโครซอฟท์ที่หวั่นเกรงว่ากูเกิลจะมีอิทธิพลมากขึ้น กลุ่มคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภคที่เป็นห่วงว่ากูเกิลอาจทำประโยชน์จากโครงการนี้จนเกินงาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและกลุ่มหอสมุดระดับโลกที่กังวลว่าตัวเองอาจลดบทบาทความสำคัญลง รวมถึงรัฐบาลในหลายประเทศซึ่งมองว่าข้อตกลงนี้ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ ทำให้ศาลสหรัฐฯต้องลงมาพิจาณาการยอมความที่เกิดขึ้น และประกาศไม่อนุมัติการยอมความในที่สุด
      
      ศาลสหรัฐฯมีความเห็นว่า ข้อตกลงระหว่างกูเกิลและสำนักพิมพ์จะทำให้กูเกิลมีสิทธิเข้าถึงหนังสือทั้งหมดโดยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ ทำให้กูเกิลมีโอกาสผูกขาดสิทธิในการเข้าถึงงานเขียนที่ไม่สามารถระบุเจ้าของลิขสิทธิด้วย ทั้งงานเขียนที่ไม่ปรากฎชื่อผู้เขียนหรือหนังสือที่เลิกพิมพ์ไปแล้ว ซึ่งจะผิดกฏหมายต่อต้านการผูกขาดการค้าที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม
      
      จุดนี้ศาลเห็นว่า วุฒิสภาสหรัฐฯควรต้องมีมติตัดสินก่อนให้ชัดเจนว่าใครจะมีสิทธิ"จัดการ"หนังสือที่ไม่ปรากฏผู้ถือลิขสิทธิเหล่านี้
      
      อย่างไรก็ตาม Hilary Ware ทนายความกูเกิลซึ่งระบุว่าได้สแกนหนังสือไปมากกว่า 15 ล้านเล่มแล้วในขณะนี้ ยืนยันว่ากูเกิลจะไม่ละความพยายามในการเปิดเสรีโลกหนังสือออนไลน์ โดยประธานกลุ่มนักเขียน Authors Guild นาม Scott Turow ระบุว่าจะเจรจากับสำนักพิมพ์และกูเกิลเพื่ออุทธรณ์ต่อศาลต่อไป เนื่องจากมั่นใจว่าแนวคิดห้องสมุดออนไลน์คือสิ่งจำเป็นในอนาคต และเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์
      
      ด้านคู่แข่งกูเกิลทั้งไมโครซอฟท์ ยาฮู และอเมซอนดอทคอมแสดงความเห็นด้วยต่อการตัดสินของศาล ซึ่งร้องเรียนมาตลอดว่าโครงการสแกนหนังสือเพื่อสร้างห้องสมุดออนไลน์ของกูเกิลนั้นจะทำให้กูเกิลกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจหนังสือทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพียงรายเดียว
      
      นี่ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของโครงการ Google Book Search เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าการยอมความคือทางออกของทางตันเรื่องการเพิ่มจำนวนหนังสือให้กูเกิลอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อศาลไม่อนุมัติให้การยอมความเกิดขึ้น กูเกิลจึงต้องอดใจไม่ได้จำนวนหนังสือเพิ่มอย่างที่ตั้งใจไว้ และดำเนินการสแกนหนังสือที่ได้รับการยินยอมโดยถูกกฏหมายไปก่อน และโลกก็ต้องจับตาดูต่อไปว่ากูเกิลจะหาทางออกอย่างไรให้กับโครงการนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ลือ Motorola ซุ่มทำ "OS" ของตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 03:14:49
แฟนโมโตโรลาอาจได้ใช้สมาร์ทโฟนโมโตฯที่ไม่ใช่แอนดรอยด์ก็ได้ในอนาคต เพราะสื่ออเมริกันอ้างแหล่งข่าวนิรนามว่าโมโตโรลากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบปฏิบัติการหรือโอเอสของตัวเอง โดยมีวิศวกรซึ่งเป็นอดีตลูกหม้อของแอปเปิลเป็นหัวหน้าทีม นักวิเคราะห์เชื่อข่าวนี้เป็นไปได้ แม้ประชาสัมพันธ์โมโตโรลาจะย้ำบริษัทไว้วางใจแอนดรอยด์ในฐานะระบบปฏิบัติการไม่เปลี่ยนแปลง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003986001.JPEG)

      รายงานข่าวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือ mobile OS ที่ยกพลแจ้งเกิดในตลาดอย่างแสนคึกคักในขณะนี้ ได้แก่ Research in Motion ผู้ผลิตแบล็กเบอรี่ที่มี RIM OS เป็นของตัวเอง, Hewlett Packard ซึ่งควบรวมกับปาล์มจนมี webOS เพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์โทรศัพท์-อุปกรณ์มือถือ และมีแผนจะนำมาติดในคอมพิวเตอร์พีซีในเร็ววัน รวมถึง Apple ที่มี iOS เป็นระบบปฏิบัติการในอุปกรณ์ฮิตตระกูลไอ
      
      ยังมี Microsoft ที่พัฒนา Windows Phone 7 ออกมาทวงบัลลังก์อุปกรณ์พกพา และ Google ที่สร้าง Android ออกมาให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทั่วโลกนำไปใช้งานได้ฟรี
      
      แม้จะมีโอเอสสำหรับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่ออินเทอร์เน็ตพกพาเกิน 5 ค่ายแล้ว แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่ายักษ์ใหญ่อย่างโมโตโรลากำลังหาทางเพิ่มโอเอสให้ตลาดอีก 1 แบรนด์ โดยรายงานระบุว่า Motorola Mobility ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รายใหญ่ของโลก กำลังพยายามพัฒนาโอเอสของตัวเองเพื่อสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์แบรนด์โมโตโรลา
      
      โจนาธาน โกลด์เบิร์ก นักวิเคราะห์จากซานฟรานซิสโกให้สัมภาษณ์กับ Information Week โดยมั่นใจว่าโมโตโรลากำลังพัฒนาโอเอสของตัวเองจริง บนเหตุผลว่าต้องการสร้างทางเลือกของตัวเอง ไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มเดียว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าโมโตโรลาจะเปิดตัวโอเอสใหม่ได้เมื่อไร รวมถึงคุณสมบัติใหม่ที่โมโตโรลาจะใช้เป็นจุดขาย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003986002.JPEG)

      รายงานจาก Information Week เชื่อว่าหัวหน้าทีมพัฒนาโอเอสใหม่ของโมโตโรลามีนามว่า Gilles Drieu มีดีกรีเป็นอดีตหัวหน้าทีมมัลติมีเดียและแอปพลิเคชันของแอปเปิล เชื่อกันว่า Drieu มีประสบการณ์การทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มพัฒนามาตรฐานอินเทอร์เน็ตทั้ง WhatWG และ W3C โดยเป็นผู้ที่มีสิทธิบัตรเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตหลายชิ้นในครอบครอง
      
      ปัจจุบัน Drieu นั่งเก้าอี้รองประธานอาวุโสของ Motorola Mobility ซึ่งสูงพอที่จะทำให้ข่าวลือว่า Drieu เป็นหัวหน้าทีมพัฒนาโอเอสของโมโตโรลามีน้ำหนักมากขึ้น
      
      อีกสาเหตุที่เชื่อกันว่าเป็นจุดเปลี่ยนให้โมโตโรลาตัดสินใจพัฒนาโอเอสของตัวเอง คือการเปิดเสรีเกินไปของแอนดรอยด์ ที่ผ่านมา ความเสรีของแอนดรอยด์ที่กูเกิลประกาศเป็นจุดยืนนั้นทำให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรู้สึกขาดการสนับสนุน ทำให้การเปิดอัปเดทโอเอสแอนดรอยด์หลายครั้งต้องล่าช้าออกไป ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อผู้ใช้บริการ
      
      โมโตโรลาคือหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่ได้รับความนิยมมากในตลาด ได้แก่ Droid, Droid 2, Droid X และล่าสุดคือ Atrix 4G นอกจากนี้ โมโตโรลายังจำหน่ายแท็บเล็ตแอนดรอยด์ Motorola Xoom ซึ่งจะนำชิปดูอัลคอร์มารันบน Android 3.0 Honeycomb
      
      ประชาสัมพันธ์โมโตโรลาไม่ให้ความเห็นใดๆเกี่ยวกับรายงานที่เกิดขึ้น ระบุเพียงว่า Motorola Mobility มีนโยบายใช้แอนดรอยด์เป็นโอเอสในผลิตภัณฑ์อยู่ในขณะนี้


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "BB" เสริมทัพลุยตลาดองค์กร
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 03:22:32
RIM เสริมทีมงานคนไทยรุกตลาดองค์กรเพิ่ม หลังแจ้งเกิดตลาดคอนซูเมอร์ เตรียมอัดกิจกรรมทั้ง 2 ตลาดเต็มที่ มั่นใจเพลย์บุ๊กแทนโน้ตบุ๊กไว้ลุยตลาดเอนเตอร์ไพรซ์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000003992801.JPEG)

      นายแดนนี่ โบลดุค รองประธานบริหาร ประจำประเทศไทย บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (RIM) กล่าวว่า หลังจากที่แบล็กเบอรี่ประสบความสำเร็จในตลาดคอนซูเมอร์ในประเทศไทย RIM มองเห็นโอกาสที่จะบุกตลาดเอนเตอร์ไพร์ซในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตลาด ถึงแม้จะยังไม่มีแผนที่จะตั้งสำนักงานในประเทศไทยเวลานี้ แต่ RIM ได้เพิ่มบุคลากรที่เป็นคนไทยอย่างน้อย 2คน ที่จะมาโฟกัสการทำตลาดใหม่นี้ โดยจะมาดูแลในเรื่องการตลาดและดูแลช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นพิเศษ รวมไปถึงการแต่งตั้งผู้จัดการประจำประเทศไทยด้วย ซึ่งจะประกาศได้ประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ เพื่อให้เข้าถึงตลาดประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น
      
      'RIM ให้ความสำคัญกับทั้ง 2 ตลาดพอๆ กัน ทั้งกิจกรรมการตลาด และไลน์ผลิตภัณฑ์ เพียงแต่จะเพิ่มน้ำหนักของตลาดเอนเตอร์ไพรซ์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการให้ความรู้ความเข้าใจกับตลาดเพื่อรองรับกับพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนแปลงจากฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ทโฟนมากยิ่งขึ้น'
      
      สำหรับช่องทางจำหน่ายนั้น RIM ยังคงเน้นการทำตลาดผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ราย ประกอบไปด้วย เอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟ และผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายหลักอย่างบริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย)โดยเฉพาะกิจกรรมการขยายตลาดเอนเตอร์ไพรซ์ในระดับที่เป็นซิสเต็มส์อินทริเกเตอร์หรือเอสไอเพิ่มขึ้น
      จากช่องทางค้าปลีกที่มีอยู่แล้ว
      
      'ตลาดธุรกิจเฉพาะด้านจะเป็นเป้าหมายที่ RIM จะขยายตลาดเข้าไป อาทิ ธุรกิจการเงิน นิคมอุตสาหกรรม โรงแรม การท่องเที่ยว แม้กระทั่งตลาดเอสเอ็มอี'
      
      นอกเหนือจากความพร้อมทางด้านช่องทางจัดจำหน่ายแล้ว สิ่งที่ RIM เริ่มรุกตลาดเอนเตอร์ไพรซ์ในช่วงเวลานี้ เป็นเพราะโรดแมปของผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในขณะนี้ สามารถครอบคลุมได้ทั้งตลาดคอนซูเมอร์และเอนเตอร์ไพรซ์ โดยเฉพาะเพลย์บุ๊กเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ถูกออกแบบมาตอบสนองการใช้งานทางด้านเอนเตอร์ไพรซ์ได้เป็นอย่างดีและยังสามารถนำไปใช้งานส่วนตัวได้ด้วยโดยมาพร้อมกับโหมดการทำงานที่หลากหลายตั้งแต่การใช้งานส่วนตัวการทำงานผ่านเครือข่ายภายในองค์กรโดยเฉพาะความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กรที่หน่วยงานธุรกิจสามารถจะควบคุมข้อมูลต่างๆ ได้เอง
      
      'เพลย์บุ๊กจะเข้ามาแทนที่การใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรอย่างแน่นอน โดยRIMเตรียมที่จะเปิดตัวในอเมริกาเหนือประมาณเดือนเมษายนนี้ ส่วนในตลาดเอเชีย รวมถึงไทยยังไม่มีการระบุวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่คาดว่าจะเริ่มได้เร็วๆ นี้'

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: CTIA 2011 : สมาร์ทโฟนใหม่ยกพลบุกมะกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 03:34:16
ตรวจแถวสมาร์ทโฟนล่าสุดที่พร้อมบุกตลาดอเมริกันตลอดปีนี้ในงาน CTIA 2011 ซึ่งสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมสหรัฐฯจัดขึ้นที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางผู้ร่วมชมงานที่คาดว่าจะมาจาก 125 ประเทศ เพื่อร่วมเรียนรู้เทคโนโลยี 4G ที่กำลังจะมีบทบาทกับชาวอเมริกันในอนาคต
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004017811.JPEG)

      ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ถูกนำมาแสดงในงานได้แก่ HTC HD7S และ LG Thrill 4G ซึ่งจะวางจำหน่ายผ่าน AT&T พร้อมด้วยขบวนพาเหรดน่าสนใจอย่าง G2x สมาร์ทโฟน 4G ที่ใช้ชิปดูอัลคอร์ซึ่งจะทำตลาดโดย T-Mobile ซึ่งจะมี Nokia Astound สมาร์ทโฟนจากโนเกียที่ยังเป็นซิมเบียน และ 4G Sidekick แทคทีมมาอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่ Sprint ดึง EVO 3D มานำทัพ พร้อมแท็บเล็ต EVO View 4G
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004017801.JPEG)
Evo 3D

      Sprint จุดพลุมือถือ 3 มิติ
      
      Sprint Nextel ประเดิมทำตลาดโทรศัพท์มือถือ 3 มิติตัวแรกตระกูล Evo ในชื่อ Evo 3D เป็นฝีมือการผลิตของ HTC ถือเป็นอุปกรณ์แรกในสหรัฐฯที่สามารถแสดงภาพ 3 มิติความละเอียดสูงมาตรฐาน qHD 3D ผู้ใช้ไม่ต้องสวมแว่นตาก็สามารถชมภาพ 3 มิติได้ ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพวิดีโอ 3 มิติด้วยความละเอียดภาพ 720p ผ่านกล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล โดยสามารถนำไปเล่นเป็น 1080p ได้
      
      รายงานระบุว่าผู้ใช้สามารถปรับโหมดถ่ายภาพระหว่าง 3 มิติและ 2 มิติได้ง่าย รองรับ DLN และ HDMI เพื่อการเชื่อมต่อคอนเทนต์ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
      
      HTC EVO 3D จอใหญ่คมชัด 4.3 นิ้ว ซีพียูดูอัลคอร์ 1.2 GHz Qualcomm Snapdragon มีกล้องหน้า 1.3 ล้านพิกเซล หน่วยความจำภายใน 4GB ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) พร้อมอินเทอร์เฟส HTC Sense
      
      ปีนี้ Sprint ดึง Nexus S 4G ของซัมซุงมาสร้างสีสันให้วงการอุปกรณ์ WiMAX โดย Sprint ระบุว่า Nexus S 4G ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 จะมาพร้อมแอปพลิเคชันที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต Google Voice ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรใหม่ สามารถนำเบอร์โทรศัพท์เดิมมาลงทะเบียนกับ Google Voice ทำให้ Sprint เป็นเครือข่ายแรกที่รองรับ Google Voice โดยตรง โดยลูกค้า Sprint ที่ใช้โทรศัพท์รุ่นอื่นก็สามารถดาวน์โหลดแอปเพื่อใช้บริการได้เช่นกัน
      
      นอกจากสมาร์ทโฟน Sprint ยังโชว์ตัวแท็บเล็ตเบอร์ 2 ของค่าย Evo View 4G หรือ HTC Flyer ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน MWC 2011 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รองรับการเชื่อมต่อ EV-DO/WiMAX ใช้ Android 2.4 บนชิป 1.5 GHz Qualcomm Snapdragon หน้าจอ 7 นิ้ว ความละเอียด 1024x600 กล้องหน้าหลัง 1.3 และ 5 ล้านพิกเซล ความจุภายใน 32 GB
      
      ทั้ง Evo 3D และ Evo View สามารถตั้งค่าเครื่องให้เป็นจุดกระจายสัญญาณ WiMAX เพื่อให้อุปกรณ์ Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อได้มากถึง 8 ตัว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004017802.JPEG)
ผู้ใช้ไม่ต้องสวมแว่นตาก็สามารถชมภาพ 3 มิติได้

      AT&T ขอเอี่ยว 3D
      
      ยักษ์ใหญ่ AT&T นำ LG Thrill ระบบปฏิบัติการ Android มาโชว์พร้อมระบุว่าจะเริ่มจำหน่ายในเดือนเมษายนนี้ มาพร้อมหน้าจอที่สามารถแสดงผล 3 มิติได้ คนทั่วโลกรู้จักในชื่อ LG Optimus 3D
      
      LG Thrill มีคุณสมบัติส่วนใหญ่คล้ายกับ Evo 3D ทั้งการแสดงภาพ 3 มิติความละเอียดสูง และการถ่ายภาพวิดีโอ 3 มิติด้วยความละเอียดภาพ 720p มีกล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล รองรับ HDMI จอใหญ่คมชัด 4.3 นิ้ว แต่จุดต่างคือ LG Thrill ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ 1GHz มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 2.2 และรองรับเครือข่าย 4G LTE ของ AT&T
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004017806.JPEG)
LG Thrill หรือที่คนทั่วโลกรู้จักในชื่อ LG Optimus 3D

      นอกจาก LG Thrill ยังมี HTC HD7S หรือ HTC HD7 ที่ใช้หน้าจอภาพคมชัดเทคโนโลยี S-LCD แทน TFT LCD ใน HD7 รุ่นทั่วไป ขนาดของหน้าจอยังเป็น 4.3 นิ้วไม่เปลี่ยนแปลง ใช้หน่วยประมวลผล 1GHz หน่วยความจำ 16GB กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004017803.JPEG)
Nexus S 4G

      T-Mobile ลุย 4G
      
      งานนี้ T-Mobile นำธงด้วย G2x หรือที่รู้จักในชื่อ LG Optimus 2X มาพร้อมชิปดูอัลคอร์ 1GHz Tegra 2 หน้าจอ 4 นิ้วความละเอียด 800x480 พิกเซล กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 1.3 ล้านพิกเซล จุดต่างของ G2x เมื่อเทียบกับ LG Optimus 2X คือระบบปฏิบัติการ Android 2.2
      
      นอกจาก G2x ที่เรียกเสียงฮือฮาคือ 4G SideKick โทรศัพท์มือถือแบรนด์ SideKick ที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์นั้นกลับมาอีกครั้งด้วยการทำตลาดของ T-Mobile ฮาร์ดแวร์ลักษณะเดิมแต่เปลี่ยนมาใช้ระบบปฏิบัติการ Android รายงานระบุว่าเป็นฝีมือการผลิตฮาร์ดแวร์โดยซัมซุง
      
      Nokia ขอมีเอี่ยวกับ T-Mobile ด้วยการโชว์ตัว Nokia Astound สมาร์ทโฟน Symbian ซึ่งคนไทยรู้จักในนาม C7-00 คุณสมบัติไม่แตกต่างจากที่ขายทั่วโลกเช่น หน้าจอ 3.5 นิ้ว กล้อง 8 ล้านพิกเซล T-Mobile จะวางขายในวันที่ 6 เมษายนนี้ด้วยราคา 79.99 เหรียญ พร้อมสัญญา 2 ปี
      
      สำหรับแท็บเล็ต T-Mobile ชู G-Slate ของ LG ประกาศราคา 529.99 เหรียญพร้อมสัญญาสองปี
      
      CTIA 2011 ใช้ชื่องานอย่างเป็นทางการว่า International CTIA WIRELESS 2011 กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22-24 มีนาคมนี้ งานครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2012

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: beside ที่ 25 มีนาคม 2011, 08:08:30
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลกำลังจะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่อยู่พอดี
เล็งๆไว้เยอะเหมือนกันหรือว่ารอให้มันรองรับระบบ 5G ก่อนดี  wanwan044


หัวข้อ: กล้องถ่ายรูปจิ๋วบันทึก "วิดีโอไฮเดฟฯ"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 22:02:52
ก่อนหน้านี้ทางเว็บไซต์ arip ได้เคยนำเสนอกล้องจิ๋ว 2 รุ่นด้วยกัน มีทั้งแบบเล็กกว่ายางลบดินสอ กล้องจิ๋วบันทึกวิดีโอใต้น้ำ ตลอดจนเปลี่ยนเลนส์ได้ แต่สำหรับกล้องถ่ายรูปจิ๋วที่นำมาฝากกันวันนี้ ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยความสามารถในการบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ ถ่ายภาพนิ่งความละเอียดระดับ 8 ล้านพิกเซล และบันทึกเสียงได้ด้วย...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/mame-cam-dx-miniature-digital-camera-HD-cam-voice-recoder-1.jpg)

MAME-CAM DX เป็นกล้องดิจิตอลขนาดจิ๋ว (ใหญ่กว่าก้อนยางลบดินสอเล็กน้อย) และมีน้ำหนักเพียง 14 กรัม โดย Thanko บริษัทผู้ผลิตกล้องรุ่นนี้อ้างว่า มันสามารถบันทึกวิดีโอ HD ที่ความละเอียด 1,280x960 พิกเซลด้วยอัตราเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ในขณะเดียวกันสามารถบันทึกภาพถ่ายดิจิตอลที่ความละเอียด 3,264x2,448 พิกเซล (ประมาณ 8M พิกเซล) ได้อีกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้มันเป็นเครื่องบันทึกเสียงดิจิตอล (digital voice recoder) โดยไฟล์วิดีโอ,ภาพถ่าย และเสียงจะถูกจัดเก็บลงบนการ์ดหน่วยความจำ microSD โดยสามารถใส่สตอเรจที่มีความจุสูงสุด 32GB

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/mame-cam-dx-miniature-digital-camera-HD-cam-voice-recoder-2.jpg)

MAME-CAM DX จะมาพร้อมกับช่องวิวไฟน์เดอร์ขนาดเล็ก และเชื่อมต่อเพื่อถ่ายโอนข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows หรือ Mac OS ผ่านทางพอร์ต USB 2.0 สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจ MAME Cam สามารถเข้าไปสั่งซื้อได้จากเว็บไซต์ Thanko ได้ในราคา 7,980 เยน หรือประมาณ 3,200 บาท หรือทางเว็บไซต์ Geek Stuff 4 U ซึ่งนอกเหนือจากความสามารถที่เล่าให้ฟังข้างต้นแล้ว ด้วยขนาดที่เล็กจนแทบไม่น่าเชื่อ (พกพาใส่กระเป๋ากางเกงได้สบายๆ) ของมันคงจะทำให้ใครหลายๆ คนอยากได้ไว้สักเครื่องเป็นแน่ คำเตือนก็คือ อย่าเผลอทำมันหายก็แล้วกันนะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: zamiolakung ที่ 25 มีนาคม 2011, 22:05:31
ข้อมูลอัดแน่นเลยนะครับ  :wanwan019:


หัวข้อ: ตะลึง!!! คอมพิวเตอร์พิมพ์ "จักรยาน" ขี่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 22:23:39
เทคโนโลยีวันนี้ก้าวกระโดดจนเราเองแทบจะตามไม่ทัน ดูอย่างเช่น จักรยานที่คุณผู้อ่านเห็นในรูปนี้ เชื่อไหมครับว่า มันเป็นจักรยานคันแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดายด้วยการ"พิมพ์"มันออกมาจากแบบในคอมพิวเตอร์

วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์จักรยานคันนี้ก็คือ พลาสติกไนลอน (nylon) ที่สามารถทำให้ตัวถังที่ได้มีความแข็งแกร่งไม่แพ้เหล็ก และอะลูมิเนียม ในขณะที่มันมีน้ำหนักน้อยกว่าถึง 65% ผลงานที่นำมาฝากคุณผู้อ่านในเช้านี้เป็นไอเดียจากมันสมองของเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์จาก Bristal ที่ออกแบบจักรยานบนคอมพิวเตอร์ และส่งมันไปออกทางเครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ชั้นของผงไนล่อนที่ถูกหลอมละลายออกมาเป็นชั้นๆ จนได้ตัวถังรถจักรยาน ตลอดจนวงล้อ และขาถีบ ตลอดจนแกนที่ใช้ขับเคลื่อนระหว่างที่ปั่นกับล้อหลัง โดยมีเพียงแค่โซ่ ยางล้อ และแฮนด์(ที่จับ)ที่ผลิตจากโรงงานอื่น เมื่อประกอบเข้าด้วยกันก็จะได้จักรยานดังภาพที่สามารถขี่ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/airbike-nylon-bicycle-printing-from-3d-printer-design-on-computer-2.jpg)

ด้วยความที่ Airbike เป็นจักรยานที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ โดยออกแบบบนคอมพิวเตอร์ ดังนั้น มันจึงสามารถดีไซน์ให้เหมาะกับผู้ขี่แต่ละคนได้ หรือจะเรียกว่าเป็นจักรยาน"สั่งตัด"แบบเสื้อผ้าที่ให้เหมาะกับตัวผู้สวมใส่นั่นเอง ที่สำคัญชิ้นส่วนต่างๆ สามารถประกอบได้ง่าย และหากมีความเสียหายก็แค่พิมพ์ชิ้นส่วนนั้นจากแบบออกมาทดแทนก็สามารถใช้งานได้แล้ว แต่ด้วยระดับความแข็งแรงดังกล่าว และเป็นไนล่อนที่ไม่มีปัญหาเรื่องตัวถังผุกร่อน ดังนั้นมันจึงค่อนข้างทนทานใช้งานได้นานเกินคุ้ม

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/airbike-nylon-bicycle-printing-from-3d-printer-design-on-computer-1.jpg)

สำหรับเครื่องพิมพ์ที่ใช้จะเป็นพรินเตอร์ 3D ที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผงไนล่อน โดยทีมงานออกแบบจักรยานทั้งคันด้วยโปรแกรมออกแบบบนคอมพิวเตอร์ (CAD: Computer Aided Design) แล้วส่งชิ้นงานไปยังเครื่องพิมพ์ให้จัดการพิมพ์ชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยผงไนล่อน โดยการทำงานคอมพิวเตอร์จะแยกแบบ 3D ออกเป็นชั้นของ 2D และใช้แสงเลเซอร์หลอมผงวัสดุ เพื่อให้ได้ชั้นไนล่อน 2D แต่ละชั้นตามขนาดที่ต้องการซ้อนกันไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นชิ้นส่วน 3D ออกมา ด้วยวิธีนี้ กระบวนการผลิตจะใช้วัสดุแค่ 1 ใน 10 เมื่อเทียบกับวิธีผลิตปกติ ซึ่งลดการสูญเสียได้มากทีเดียว เห็นแล้วอยากลองขี่บ้างจัง มันคงจะเบาน่าดู

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: USB Mobile LCD จอที่สองของ "โน้ตบุ๊ค"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 22:36:13
เคยมีงานวัจัยเกียวกับการใช้คอมพิวเตอร์ระบุว่า การใช้มอนิเตอร์ 2 จอในการทำงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 20% ทั้งเรื่องของความถูกต้อง และความเร็ว เนื่องจากการแยกหน้าต่างโปรแกรม หรือพาเนลการทำงานให้แสดงผลคนละหน้าจอจะทำให้มองเห็นพื้นที่การทำงานได้ครบถ้วน และเต็มตาด้วยขนาดที่เต็มจอกว่านั่นเอง

Toshiba Mobile Monitor เป็นจอ LCD ขนาด 14 นิ้ว (เท่าๆ กับจอโน้ตบุ๊ค) ที่สามารถให้ความละเอียดของการแสดงผลได้สูงถึง 1366x768 พิกเซล ออกแบบให้มาพร้อมกับซองแข็ง (ลักษณะคล้ายแฟ้มแข็งยึดติดด้วยตีนตุ๊กแก) ที่ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการนำจอ LCD นี้พกพาติดตัวไปไหนต่อไหนได้ตามต้องการเท่านั้น แต่มันยังสามารถพับเป็นขาตั้งให้กับจอ LCD ได้อีกด้วย โดย Toshiba กล่าวว่า โมบายมอนิเตอร์ของทางบริษัทสามารถทำงานเป็นจอที่สองของโน้ตบุ๊คได้ด้วยการเชื่อมต่อทางพอร์ต USB เพียงพอร์ตเดียวได้ (ไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟให้กับ Mobile LCD เพราะมันสามารถใช้ไฟ และสัญญาณจากพอร์ต USB ได้เลย)

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/USB-Mobile-LCD-Monitor-from-Toshiba-2.jpg)

คุณผู้อ่านสามารถใช้จอ LCD สำหรับการแสดงผลที่เหมือนกับจอโน้ตบุ๊คที่เชื่อมต่ออยู่ด้วยกัน หรือใช้เป็นจอที่สองสำหรับพื้นที่แสดงผลเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้คุณสามารถย้ายหน้าต่างการทำงานจากจอที่หนึ่งไปไว้บนจอที่สองได้ เพื่อให้เห็นพื้นที่การทำงานชัดเจน และสะดวกยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อจอ Mobile LCD กับโน้ตบุ๊คจะทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดเร็วกว่าปกติ สำหรับจอ LCD พกพาของ Toshiba รุ่นนี้สนนราคาอยู่ที่ 199.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,600 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ยอด BB พลาดเป้าส่งหุ้นRIMดิ่งเหว ฟุ้ง "PlayBook" รันแอปฯแอนดรอยด์ได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 22:55:49
ริมหรือ Research in Motion ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน"บีบี"หรือแบล็กเบอรี่สุดเซ็ง มูลค่าหุ้นบริษัทลดลงกว่า 10% ทันทีที่ประกาศผลประกอบการเดือนธันวาคม 53 ถึงกุมภาพันธ์ 54 เพราะแม้จะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 31% แต่ก็ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์มากนัก รวมถึงความไม่เชื่อมั่นริมที่ส่อแววว่ารายรับจากริมในไตรมาสปัจจุบันจะไม่ได้มาจากรุ่นราคาแพงมากเท่าใด แต่จะมาจากรุ่นราคาระดับกลางถึงต่ำ ซึ่งมีสัดส่วนกำไรต่ำกว่า
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004080101.JPEG)

      ล่าสุด ริมออกแถลงการณ์ยืนยันว่าผู้ใช้แท็บเล็ต PlayBook จะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันซึ่งรองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่ Android 2.3 ได้ เรียกเสียงฮือฮาจากวงการไอทีซึ่งมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากนี้คือจุดขายสำคัญที่จะเสริมเขี้ยวเล็บให้ PlayBook น่าซื้อหามากยิ่งขึ้น

หุ้น RIM ดิ่งเหว
      
      สำนักข่าวเอพีรายงานว่ามูลค่าหุ้นของริมปรับตัวลดลงชนิดดิ่งเหวถึง 6.59 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ก่อนจะปิดที่ 57.50 เหรียญช่วงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ริมประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ที่เพิ่งจบไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์
      
      ริมระบุว่ากำไรสุทธิตลอด 3 เดือน (ธันวาคม 53 - กุมภาพันธ์ 54) อยู่ที่ 934 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 1.78 เหรียญต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 31% จาก 710 ล้านเหรียญ หรือ 1.27 เหรียญต่อหุ้นเมื่อปีก่อนหน้า
      
      อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิที่ริมทำได้ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์มองว่าริมน่าจะทำได้ 1.75 เหรียญต่อหุ้น เช่นเดียวกับรายรับรวม ริมระบุว่าทำได้เพิ่มขึ้น 36% คิดเป็นมูลค่า 5,600 ล้านเหรียญ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5,650 ล้านเหรียญ
      
      สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคมนี้ ริมคาดว่าจะทำกำไร 1.47 - 1.55 เหรียญต่อหุ้น ต่ำกว่านักวิเคราะห์ที่มองว่าริมน่าจะทำได้ 1.65 เหรียญต่อหุ้น ทั้งหมดนี้ริมยอมรับว่าเป็นเพราะสัดส่วนการจำหน่ายบีบีรุ่นราคากลางมากขึ้นในช่วงไตรมาสนี้ แถมความจำเป็นในการเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยพัฒนา การตลาด และการขาย ทำให้ริมมีทิศทางกำไรไม่ขยายตัวแบบก้าวกระโดดอย่างที่หลายคนมอง
      
      เรื่องนี้ Jim Balsillie ซีอีโอร่วมของริมระบุว่าการลงทุนเหล่านี้เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมั่นใจว่าไตรมาสนี้ แท็บเล็ต PlayBook จะเป็นสินค้าดาวเด่นที่ได้รับความสนใจทันทีที่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ วันที่ 19 เมษายนนี้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000004080102.JPEG)

"PlayBook" รันแอปฯแอนดรอยด์
      
      ริมนั้นประกาศมาตลอดว่าจะพัฒนาให้ PlayBook แท็บเล็ตแบรนด์บีบีสามารถใช้งานทั้งแอปพลิเคชันที่รองรับ BlackBerry Java และแอนดรอยด์ ล่าสุด ริมประกาศชัดเจนว่าผู้ใช้แท็บเล็ตบีบีจะไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ได้จากร้าน Android Market โดยตรง แต่จะสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ผ่านทางร้าน BlackBerry App World โดยในระยะแรก PlayBook จะสามารถรันแอปพลิเคชันที่รองรับ Android 2.3 เท่านั้น
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ PlayBook มีจุดขายที่น่าสนใจมากขึ้นทันตา เนื่องจากการรองรับแอนดรอยด์จะทำให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันแอนดรอยด์สามารถดัดแปลงการออกแบบเพียงเล็กน้อย แล้วจัดการอัปโหลดสู่ BlackBerry App World วิธีการชาญฉลาดนี้จะทำให้ BlackBerry App World มีจำนวนแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เท่ากับความหลากหลายในการใช้งานก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ PlayBook ทวีความน่าเลือกซื้อมากขึ้นทันตา
      
      PlayBook มีกำหนดการจำหน่ายในสหรัฐฯวันที่ 19 เมษายนนี้ ในราคาที่คาดกันว่าจะใกล้เคียงกับ iPad2 แท็บเล็ตรุ่นล่าสุดที่แอปเปิลเปิดจำหน่ายในสหรัฐฯไปแล้วเมื่อกลางเดือนมีนาคม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ยิ่งสบาย ยิ่งเสี่ยงภัย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 23:47:07
อุปกรณ์การทำงานที่พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นแล็ปทอปขนาดเล็ก สมาร์ทโฟนทรงพลัง แทบเล็ต และไวไฟ ที่พร้อมใช้งาน ทำให้การทำงานบนท้องถนน เครื่องบิน ในสนามบิน หรือห้องพักตามโรงแรม กลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/25/images/news_img_383692_1.jpg)

อย่างไรก็ดี บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยพากันออกมาเตือนว่า ความสะดวกสบายเหล่านี้ ยังทำให้เป็นเรื่องง่ายดายเช่นกัน ที่สำนักงานเคลื่อนที่ มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเป้าของการก่ออาชญากรรม
 
"เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง ต่อทั้งบริษัท และพนักงาน ทั้งยังเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันด้วย โดยการทำงานแบบเคลื่อนที่เช่นนี้ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับแฮคเกอร์ และอาชญากร ที่จะเข้าโจมตีระบบ" บรูซ แมคลินโด ประธานบริหารไอเจ็ท อินเทลลิเจนท์ ริสค์ บริษัทบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเดินทาง ระบุ
 
รายงานที่ไซแมนเทค คอร์เปอเรชัน ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย ร่วมมือกับสถาบันโพนีมอน บริษัทวิจัยด้านบริหารจัดการข้อมูล และความเป็นส่วนตัวจัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า การละเมิดข้อมูลไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง และสร้างความเสียหายเพิ่มมากขึ้น
 
เบน นีฟ หัวหน้าฝ่ายการฉ้อโกงผลิตภัณฑ์การตลาด จากนีซ แอคติไมซ์ บริษัทที่พุ่งเป้าไปในเรื่องอาชญากรรมทางการเงิน ในอุตสาหกรรมบริการการเงิน ชี้ว่า ในฐานะนักเดินทางเพื่อธุรกิจ พวกเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน และมักลืมไปว่าอยู่ในที่สาธารณะ
 
นีฟ เล่าว่า เขาเพิ่งเดินทางเมื่อเร็วๆ นี้ และลืมตัวคุยโทรศัพท์เสียงดัง ขณะโทรจองห้องพัก ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่รอบข้างได้ยินข้อมูลบัตรเครดิตทั้งหมดของเขา รวมถึง รหัสความปลอดภัยด้วย
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/25/images/news_img_383692_2.jpg)

แล็ปทอป และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ล้วนมีความเสี่ยงสูงกับการใช้งานในที่สาธารณะ ซึ่งแมคอาฟี บริษัทด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย ระบุไว้ในรายงานเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ระหว่างปี 2542-2553 มีจำนวนมัลแวร์ที่พุ่งเป้าไปยังอุปกรณ์พกพาเพิ่มขึ้นราว 46%
 
ในความพยายามที่จะจำกัดความเสี่ยง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวนั้น บริษัทบางรายเลือกใช้วิธีการสับเปลี่ยนอุปกรณ์พกพาในเวลาที่พนักงานต้องเดินทาง
 
"อุปกรณ์รุ่นเก่าๆ จะมีความเสี่ยงมากกว่ารุ่นใหม่ เพราะอาชญากรส่วนใหญ่จะมีเวลาศึกษาวิธีที่จะเจาะข้อมูลเป็นเวลานาน และในบางประเทศ การเข้าถึงเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อก่ออาชญากรรมก็อาจจะทำได้ง่ายดายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะขาดแคลนเรื่องการรักษาความปลอดภัย และปัญหาคอร์รัปชันในประเทศนั้นๆ" แมคลินโด จากไอเจ็ท อินเทลลิเจนท์ ริสค์ กล่าว
 
ไมเคิล เมลิน รองประธานบริหารจากแมนเดียนท์ บริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูล แนะให้ซ่อนอุปกรณ์พกพาไว้ เวลาที่ไม่ได้ใช้งาน
 
"เราทุกคนต่างเห็นพนักงานทำความสะอาดเดินออกจากห้องพัก โดยที่นำรถเข็นมากั้นประตูให้เปิดค้างเอาไว้  ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่ในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีใครสักคนแอบเข้าไปในห้อง และนำไวรัสไปแพร่ใส่คอมพิวเตอร์ หรือดึงข้อมูลสำคัญออกมา"  เมลิน กล่าว
 
ผู้บริหารรายนี้ เสริมด้วยว่า ในปัจจุบันมีการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คส์ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนของเป้าหมาย โดยการโพสต์รูปภาพ และแผนการเดินทางขึ้นไว้บนโลกโซเชียลมีเดีย อาจทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตราย หรืออาจสร้างความเสียหายต่อการเจรจาทางธุรกิจได้
 
นีฟ จากนีซ แอคติไมซ์ เตือนว่า คอมพิวเตอร์สาธารณะตามโรงแรม และร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต น่าจะเป็นจุดที่มีความเสี่ยงที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็สามารถเดินเข้าออกได้อย่างง่ายดาย
 
บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ชี้ว่า แม้กระทั่งบัตรผ่านขึ้นเครื่องที่พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ จึงไม่ควรทิ้งบัตรผ่านเหล่านี้ไว้ตามถังขยะในที่สาธารณะเช่นกัน โดยนักเดินทางต้องจำให้ขึ้นใจว่า การทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองไว้ในสถานที่สาธารณะ เป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าคนร้ายที่รออยู่
 
นีฟ กล่าวว่า แม้กระทั่งข้อมูลบัตรเครดิตก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุโรป และบางส่วนของเอเชีย พร้อมแนะนำให้เหล่านักเดินทาง รายงานแผนการเดินทางของตัวเองให้ธนาคารรับทราบและทุกครั้งที่ใช้บริการเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) นักเดินทางควรสังเกตหาความผิดปกติด้วย และใช้เครื่องเอทีเอ็มเฉพาะที่ธนาคารเท่านั้น
 
วิธีป้องกันแบบง่ายๆ ที่โรเบิร์ต แฮมิลตัน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์อาวุโส ของไซแมนเทค แนะนำไว้ คือหลีกเลี่ยงการใช้ไวไฟสาธารณะที่เปิดให้บริการแบบไม่คิดเงิน
 
"บางพื้นที่อาจดูเหมือนแหล่งที่ได้รับความนิยม และดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นฝีมือของพวกอาชญากรที่ตั้งขึ้นมา โดยส่วนใหญ่จะอยู่ตามสนามบิน  ซึ่งหากต้องการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ควรเชื่อมต่อผ่านทางสมาร์ทโฟน ที่เจาะข้อมูลได้ยาก ส่วนที่โรงแรม ควรรับการ์ดกุญแจก่อน  ที่จะเชื่อมต่อแบบไร้สาย เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่ได้เป็นสัญญาณที่มาจากบุคคลข้างห้อง" แฮมิลตัน แนะ
 
ส่วนเบ็ตซีย์ เพจ ซิกแมน ศาสตราจารย์ด้านการบริหารจัดการข้อมูล และการดำเนินงาน จากวิทยาลัยบริหารธุรกิจแมคโดนัฟ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ระบุว่า นักเดินทางที่มาเข้าร่วมการประชุมสัมมนาต่างๆ ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
 
"คุณต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารอบๆ ตัว มีแต่คู่แข่งทางธุรกิจ" ซิกแมน กล่าว
 
ขณะบ็อบ ออสติน ประธานบริหารคอร์โลจิค บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยข้อมูล แนะให้ทำการเข้ารหัสดิสก์ ซึ่งจะช่วยป้องกันฮาร์ดไดร์ฟ จากความเสี่ยงทั้งหมด และว่า หลายบริษัทต้องการให้พนักงานใช้เครือข่ายส่วนตัวเสมือนจริง (วีพีเอ็น) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการโดนเจาะข้อมูล เมื่อมีการเข้าเว็บไซต์ผ่านทางเครือข่ายไร้สายสาธารณะ เนื่องจากวีพีเอ็นส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่มีการเข้ารหัสไว้
 
ทางด้านเทรซีย์ อาร์เมอร์ ผู้จัดการฝ่ายระบบ ของเมดิสัน ปาร์ก กรุ๊ป บริษัทด้านเครื่องเขียน และของขวัญในซีแอตเติล ระบุว่า แม้พนักงานของบริษัทจะใช้ทั้งการเข้ารหัสดิสก์ และวีพีเอ็น เมื่อต้องเดินทาง แต่เขาก็สนับสนุนที่จะให้พนักงานเหล่านี้ใช้แล็ปทอป เฉพาะเหตุการณ์เร่งด่วนจริงๆ
 
"คุณอาจจะอยู่ระหว่างการเดินทางทางธุรกิจ แล้วก็มองหาสถานที่ดีๆ สักแห่งหนึ่ง เพื่อท่องโลกออนไลน์ไปพร้อมๆ กับกินข่าว แต่ในแล็ปทอปของคุณก็มีข้อมูลทางการเงินที่เปิดอ้าอยู่ และอาจมีใครสักคนมีฝีมือมากพอที่จะแอบเข้ามาดูเนื้อหาในแล็ปทอปของคุณได้" อาร์เมอร์ กล่าว
 
ผู้จัดการรายนี้ ยังแนะให้เหล่านักเดินทางเพื่อธุรกิจพิมพ์เอกสารเป็นกระดาษ เพื่อนำมาอ่านระหว่างเดินทาง แทนการอ่านจากแล็ปทอป หรือสมาร์ทโฟน
 
"ต่อให้มีการป้องกันดีเท่าใดก็ตาม ก็ไม่มีอะไรที่จะปลอดภัย 100%" อาร์เมอร์ย้ำ


ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Google ประกาศจำกัดสิทธิใช้ "ฮันนี่คอมบ์" ชั่วคราว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 มีนาคม 2011, 23:54:43
Google อิงค์ ประกาศยุติการอนุญาตให้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 รุ่นล่าสุด "ฮันนี่ คอมบ์" ชั่วคราว เหตุซอฟต์แวร์ยังไม่พร้อม ยันไม่กระทบเว็นเดอร์-นักพัฒนาเนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้โค้ดพัฒนาผลิตภัณฑ์

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/25/images/news_img_383834_1.jpg)

ตัวแทนจากกูเกิล กล่าวว่า ซอร์ทโค้ดสำหรับโอเอสแอนดรอยด์รุ่นใหม่ ที่ชื่อว่า ฮันนี่ คอมบ์ สำหรับใช้กับแทบเล็ตจะไม่ถูกปล่อยออกไปเนื่องจากตัวซอฟต์แวร์ยังไม่พร้อมที่จะถูกดัดแปลงและปรับแต่งให้ใช้กับดีไวซ์ที่หลากหลายได้

"แม้เราจะตื่นเต้นกับโอเอสใหม่นี้มากเพียงใด แต่เราก็มีงานที่ต้องทำอย่างหนักก่อนที่จะอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วไป และก่อนจะถึงเวลานั้น เราตัดสินใจว่าควรจะระงับแผนการเปิดให้ฮันนี่คอมบ์เป็นโอเพ่นซอร์สไปก่อน แต่เรายังคงยึดพันธสัญญาที่จะพัฒนาแอนดรอยด์เพื่อเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดสำหรับดีไวซ์ที่หลากหลาย รวมถึงการทำให้ฮันนี่คอมบ์เป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพ่น ซอร์สทันทีที่พร้อมต่อไป"

แต่ทั้งนี้ การตัดสินใจประกาศเลื่อนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทคู่ค้าอย่าง ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ เดลล์ อิงค์ เอชทีซี คอร์ป และเอเซอร์ อิงค์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวแทบเล็ตที่ใช้โอเอสนี้เร็วๆ นี้ รวมไปถึงโมโตโลล่า โมบิลิตี้ โฮลดิ้ง อิงค์ที่ได้เปิดตัวแทบเล็ตซูมไปก่อนหน้าเมื่อเดือนที่แล้ว และบริษัทผู้พัฒนาเกมและแอพพลิเคชั่นต่างๆ เนื่องจากพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ซอร์ทโค้ดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์

นางสาวคาโรลินา มิลาเนซี นักวิเคราะห์จากการ์ทเนอร์ ชี้ว่า กรณีนี้เห็นได้ว่ากูเกิลพยายามที่จะป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเหล่าบริษัทคู่ค้าในอนาคต แทนที่จะปล่อยให้เป็นประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆ แก้ไป

"กูเกิลพยายามที่ป้องกันแบรนด์ของตัวเองจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ราคาถูก ซึ่งเตรียมดาหน้าเข้ามาแข่งขันอย่างดุเดือดในตลาดแทบเล็ตด้วยการชิงเปิดตัวสินค้าแบบรวดเร็วและใช้สงครามราคาเพื่อช่วงชิงตลาด" นางสาวมิลาเนซี กล่าว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: ใบไม้เทียมสังเคราะห์ "พลังงานไฟฟ้า"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 มีนาคม 2011, 20:51:34
รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีที่น่าสนใจ โดยล่าสุดนักวิทยาศาสตร์จาก MIT ได้พัฒนา"ใบไม้เทียม" (artificial leaf) ที่เลียนแบบการสังเคราะห์แสง โดยสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (solar energy) ในการแยกน้ำ (H2O) ออกเป็นก๊าซไฮโดรเจน และออกซิเจน เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้ใช้ในบ้านได้...อ่านข่าวนี้แล้วทำให้นึกถึงต้นพลังงานที่ปลูกแล้วออกดอกออกผลเป็นหลอดไฟให้ความสว่างแบบในโฆษณาทางทีวีเลยนะครับ

"ในทางปฏิบัติไบไม้เทียมเป็นสุดยอดผลงานทางวิทยาศาสตร์ในหลายรอบทศวรรษที่ผ่านมา เราเชื่อว่า เราทำมันได้" Daniel Nocer ผู้นำทีมพัฒนากล่าว "ไบไม้เทียมได้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถสร้างแหล่งพลังงานไฟฟ้าราคาถูกภายในบ้านให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาได้ เป้าหมายของเราคือ การทำให้บ้านแต่ละหลังมีสถานีพลังงานไฟฟ้าเป็นของตนเอง" เพียงแค่ใช้น้ำหนึ่งแกลลอนกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ไบไม้เทียมก็สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากพอสำหรับการใช้งานในหนึ่งวันต่อบ้านหนึ่งหลัง

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/artificial-leaf-electrical-power-gereates-from-photosynthesis-2.jpg)

หลักการทำงานของไบไม้เทียมก็คือ มันจะแยกน้ำไปเป็นไฮโดรเจน และออกซิเจน ส่งผ่านเข้าไปในเซลเชื้อเพลิง เพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าออกมา ความจริงได้มีการสร้างไบไม้เทียมขึ้นครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ต้นทุนในการผลิตจะสูงมาก อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้นอีกด้วย ไบไม้เทียมของ Nocera จะทำจากวัสุดราคาถูก และหาได้ทั่วไป สามารถทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมง่ายๆ ไม่ต้องมีเงื่อนไข และมีเสถียรภาพค่อนข้างสูง Nocera กล่าวว่า จากการศึกษาในห้องวิจัย ต้นแบบของไบไม้เทียมสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าให้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 45 ชั่วโมงก่อนที่ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลงไป

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/artificial-leaf-electrical-power-gereates-from-photosynthesis-3.jpg)

ไบไม้เทียมพัฒนาจากการค้นพบตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่ๆ เงิน และโคบอลต์ ซึ่งสามารถแยกน้ำไปเป็นไฮโดรเจน และออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในเงื่อนไขปกติ Nocera ยังกล่าวอีกว่า ใบไม้ของเขามีประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงได้ดีกว่าธรรมชาติถึง 10 เท่า ซึ่งเขายังมองว่า มันสามารถจะเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้มากกว่านี้อีก "ธรรมชาติได้รับพลังงานจากการสังเคราะห์แสง ซึ่งผมคิดว่า โลกในอนาคตจะใช้พลังงานจากการสังเคราะห์แสงเช่นเดียวกัน โดยอยู่ในรูปของใบไม้เทียม"

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Twimal สัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วอ่านทวีตให้คุณ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 มีนาคม 2011, 22:30:31
ชาวญี่ปุ่นชอบใช้ Twitter มาก ซึ่งหากถามว่า มากแค่ไหน? คำตอบก็คือ มากจนกระทั่ง Takara Tomy บริษํทผู้ผลิตของเล่นในญี่ปุ่นถึงกับทำของเล่นใหม่ทีมีชื่อว่า Twimal (ย่อมาจาก Twitter animal) สัตว์เลี้ยงของเล่นตัวจิ๋วแสนน่ารักที่สามารถอ่านข้อความทวีตให้คุณได้ยินได้ โดยตัวสีขาวจะเป็นเสียงผู้หญิง ส่วนสีฟ้าจะเป็นเสียงผู้ชาย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/twimal-twitter-toy-pet-tracks-and-read-your-tweets-from-takara-tomy-2.jpg)

Takara Tomy ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Twimal ไว้ว่า เมื่อคุณเชื่อมต่อมันเข้ากับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP/Vista/7 เจ้า Twimal จะสามารถคอยติดตาม และอ่านทวีตของคุณเอง หรือทวีตทีตอบ (reply) คนอื่นๆ หรือข้อความที่มี hash tags (ติดตามได้ถึง 3 hash tags ด้วยกัน) รวมถึงทวีตที่มาจากผู้ใช้ใน lists และทวีตที่มาจากผู้ใช้ที่เรากำหนดได้

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/twimal-twitter-toy-pet-tracks-and-read-your-tweets-from-takara-tomy-3.jpg)

นอกจากมันจะสามารถติดตามอ่านทวีตในลักษณะต่างๆ ได้แล้ว คุณยังสามารถใช้งาน Twimal สองตัวพร้อมกันได้อีกด้วย (ดูจากคลิป) Twimal จะเริ่มวางตลาดในประเทศญี่ปุ่นวันที่ 31 มีนาคม สนนราคาอยู่ที่ 31 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,000 บาท สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อผ่านร้านออนไลน์ได้ที่ Rinkya หรือ Geek Stuff 4 U

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: อัสซุสเปิดศึกรบแท็บเล็ตแปลงร่าง "EEE Pad Transformer"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 มีนาคม 2011, 22:52:51
อัสซุสเทคคอมพิวเตอร์ (AsusTek Computer Inc.) ส่งสัญญาณบุกตลาดคอมพิวเตอร์พกพาสไตล์แท็บเล็ตเต็มตัวด้วยการแจ้งเกิด EEE Pad Transformer เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าอัสซุสไม่ได้ชูจุดขายหลักที่การแยกร่างเพื่อทำงานเป็นแท็บเล็ตบางเฉียบพกง่าย หรือความพร้อมประกอบร่างกลับไปเป็นคอมพิวเตอร์พกพาพร้อมแผงคีย์บอร์ดแบบดั้งเดิม แต่ดึงความเบาและใช้งานยืดหยุ่นของแผงคีย์บอร์ดมาเป็นจุดต่างเหนือกว่าคู่แข่งที่ยึดหัวหาดแท็บเล็ตแปลงร่างสไตล์เดียวกัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004210001.JPEG)

      EEE Pad Transformer ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 หน้าจอ 10.1 นิ้ว มีกล้องดิจิตอลทั้งหน้าและหลัง หากผู้ใช้ต้องการท่องเว็บแบบรวดเร็วหรือดูวิดีโอ ก็สามารถดึงหน้าจอออกจากคีย์บอร์ดได้ แต่หากต้องการพิมพ์งาน ก็สามารถเวียบหน้าจอติด "keyboard dock" หรือแผงคีย์บอร์ดเพื่อทำงานเป็นแล็ปท็อปตามปกติ
      
      ซีอีโออัสซุสเทค Jerry Shen แสดงความมั่นใจในงานเปิดตัวว่า EEE Pad Transformer มาพร้อมความสามารถที่มากกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งการรองรับมัลติทัชให้ผู้ใช้สัมผัสหน้าจอได้หลายจุด การรองรับ Flash เพื่อการชมวิดีโอในบางเว็บไซต์ การรองรับ e-book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และแผงคีย์บอร์ดเพื่อความสะดวกในการพิมพ์ ทั้งหมดนี้ EEE Pad Transformer จะเริ่มต้นเปิดตลาดโลกโดยรุกที่อังกฤษก่อนช่วงวันที่ 30 มีนาคมนี้ ตามด้วยการเปิดตัวในสหรัฐฯและพื้นที่อื่น หลังจากเปิดจองแล้วที่ไต้หวันเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004210002.JPEG)
EEE Pad Transformer พร้อม Mobile Docking Station คีย์บอร์ด QWERTY สำหรับติดตั้งแท็บเล็ต เพื่อทำงานเป็นคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป

      สนนราคา EEE Pad Transformer รุ่น 16 GB ไม่มีคีย์บอร์ดคือ 14,900 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 14,900 บาท) หากซื้อพร้อมคีย์บอร์ด ราคาจะอยู่ที่ 17,900 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 17,900 บาท) ยังไม่มีการเปิดเผยราคาในตลาดโลกใดๆ
      
      นอกจาก EEE Pad Transformer อัสซุสเคยเปิดตัวแท็บเล็ตขนาด 12 นิ้วในชื่อ e-Slate มาพร้อมระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ และวางจำหน่ายไปแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยังมีแท็บเล็ตอีก 2 รุ่นซึ่งกำลังจะวางตลาดในเร็ววันนี้ หากรวมแท็บเล็ตทั้ง 4 รุ่นที่อัสซุสจะออกมาวางตลาดในปีนี้ ซีอีโออัสซุสคาดว่าจะสามารถทำยอดขายทะลุ 2 ล้านเครื่องในปี 2011
      
      คู่แข่งหลักสัญชาติไต้หวันของอัสซุสอย่างเอเซอร์ (Acer) ซึ่งมีดีกรีเป็นผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์พีซีอันดับ 3 ของโลกนั้นเปิดตัวแท็บเล็ตทั้งหมด 4 รุ่น รวมถึงสมาร์ทโฟนหน้าจอ 4.8 นิ้วที่สามารถทำงานเป็นแท็บเล็ตได้ ทั้งหมดจะเริ่มเปิดตลาดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
      
      ซีอีโออัสซุสมั่นใจว่าบัลลังก์ของแอปเปิลในตลาดแท็บเล็ตจะสะเทือนเมื่อแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และวินโดวส์สามารถแจ้งเกิดในตลาด โดยคาดว่าส่วนแบ่งตลาดไอแพดจะลดลง 50% ในปี 2012
      
      อัสซุสนั้นเคยช็อคตลาดด้วยการคลอดคอมพิวเตอร์รุ่นเล็กราคาประหยัดในนามเน็ตบุ๊ก ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมในปี 2007 จุดนี้อัสซุสยอมรับว่ายอดจำหน่ายคงที่มาตั้งแต่ปี 2010 หลังจากที่แท็บเล็ตยอดฮิตอย่างไอแพดวางตลาด
      
      EEE Pad Transformer มาพร้อม Android 3.0 Honeycomb ซึ่งมียูสเซอร์อินเทอร์เฟส MyWave User Interface ใหม่ซึ่งอัสซุสพัฒนาขึ้น ใช้ชิป 1GHz Nvidia Tegra 2 พร้อมแรม 1GB มีช่องต่อ HDMI นอกจากรุ่น 16GB จะมีรุ่น 32GB ให้เลือก ทั้ง 2 รุ่นใช้หน้าจอ IPS ซึ่งอัสซุสเรียกว่า Corning Gorilla Glass ความละเอียด 1280x800 พิกเซล สามารถเล่นวิดีโอมาตรฐาน 1080p HD รองรับ Adobe Flash Player 10.1 (สามารถอัปเดทเป็น Flash Player 10.2 ได้)
      
      กล้องหลังของ EEE Pad Transformer ละเอียด 5 ล้านพิกเซลพร้อมโฟกัสอัตโนมัติ กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซลเพื่อการวิดีโอแชต รองรับ Wireless-N และ Bluetooth มีพอร์ต USB ฝังการ์ดรีดเดอร์ มีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับสิ่งแวดล้อมรอบเครื่องมากมายทั้ง Gravity Sensor, Ambient Light Sensor มีเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ E-Compass การตรวจจำตำแหน่งการถือจับเครื่องแบบ 3 แกน Gyroscope และมีเทคโนโลยี GPS เพื่อการใช้งานบริการอิงสถานที่หรือ LBS
      
      ตัวคีย์บอร์ด QWERTY สำหรับติดตั้งเพื่อทำงานเป็นคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปนั้นอัสซุสให้ชื่อเรียกว่า Mobile Docking Station มาพร้อมปุ่มฟังก์ชันสำหรับแอนดรอยด์ ตัวคีย์บอร์ดได้รับการการันตีว่าสามารถทำงานต่อเนื่อง 16 ชั่วโมง ขณะที่แท็บเล็ตแยกเดี่ยวสามารถทำงานได้ 9.5 ชั่วโมง ถือว่าไม่น้อยหน้าไอแพด2 (iPad 2) ที่การันตีไว้ 10 ชั่วโมง
      
      EEE Pad Transformer ได้รับคำวิจารณ์ว่าจะเป็นหนึ่งในแท็บเล็ตโดดเด่นตระกูลแอนดรอยด์ ซึ่งจะมี Samsung Galaxy Tab 10.1 และ Motorola XOOM ลงตลาดรอไว้อยู่แล้ว ซึ่งต้องลุ้นอีกครั้งในวันที่อัสซุสพร้อมเปิดตลาดเอเชียแบบเต็มตัว

(http://pics.manager.co.th/Images/554000004210003.JPEG)
คุณสมบัติเครื่อง EEE Pad Transformer

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: แจ้งเกิด "Color" ดาวรุ่งท้าชนเฟซบุ๊ก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 01:03:21
กลายเป็นข่าวที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจเหลือเกินสำหรับ "คัลเลอร์ (Color)" แอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟนฝีมือการพัฒนาของอดีตผู้บริหารแอปเปิลซึ่งชูธงพร้อมชนกับเครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) ด้วยการเป็นเครือข่ายสังคมบนโทรศัพท์มือถือที่ไร้ชื่อยูเซอร์เนมและรหัสผ่าน มั่นใจความเหนือกว่าเรื่องความเร็วและความยืดหยุ่นจะทำให้โลกเข้าสู่ยุคเครือข่ายสังคมที่ไม่มีคอมพิวเตอร์พีซีเข้ามาเกี่ยวข้อง งานนี้มีลุ้นเพราะกลุ่มทุนเทเงินมากกว่า 41 ล้านเหรียญพร้อมลุยโครงการชนช้างเฟซบุ๊กเรียบร้อย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004087001.JPEG)

      บิล เหงียน (Bill Nguyen) คืออดีตผู้บริหารแอปเปิลซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งทีมพัฒนาแอปพลิเคชันน้องใหม่นามคัลเลอร์ โดยเหงียนมีดีกรีเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ให้บริการเพลงออนไลน์ Lala (lala.com) ซึ่งแอปเปิลเข้าซื้อกิจการเมื่อปี 2009 จนมีข่าวลือว่าแอปเปิลอาจใช้ Lala เป็นบันไดแห่งการสร้าง "iTunes on the cloud" หรือร้านจำหน่ายคอนเทนต์มัลติมีเดียไอจูนส์บนเทคโนโลยีการประมวลผลกลุ่มเมฆมาแล้ว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004087002.JPEG)
บิล เหงียน

      ล่าสุด เหงียนเปิดตัวเครือข่ายสังคมบนโทรศัพท์มือถือใหม่ซึ่งจะเป็นคู่แข่งกับแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กบนสมาร์ทโฟนอย่างเต็มตัว โดยคัลเลอร์จะเปิดให้ผู้ใช้ไอโฟนและโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี จุดเด่นคือผู้ใช้จะสามารถถ่ายและแบ่งปันภาพ วิดีโอ และข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ทันทีหรือเรียลไทม์
      
      ไม่ซ้ำเฟซบุ๊ก-โฟร์สแควร์-ทวิตเตอร์
      
      คัลเลอร์คือแอปพลิเคชันที่ทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถแบ่งปันภาพ วิดีโอ และข้อความกับเพื่อนหรือคนแปลกหน้าที่อยู่ในระยะ 100 ฟุตได้ โดยตัวแอปพลิเคชันจะตรวจจับอัตโนมัติว่ามีใครที่เป็น "ชาวคัลเลอร์" อยู่ใกล้บริเวณนั้น และคัลเลอร์จะสร้างกลุ่มภาพหรือวิดีโอที่มีความเกี่ยวข้องกันเพื่อแบ่งปันข้อมูลแบบอัตโนมัติ โดยทุกภาพและวิดีโอในคัลเลอร์จะถูกตั้งค่าเป็นสาธารณะ รวมถึงผู้ใช้คัลเลอร์ในบริเวณนั้น (100 ฟุตจากผู้เล่น) จะสามารถมองเห็นภาพที่เราแบ่งปันออกไปได้ทั้งหมด (เป็นเครือข่ายสังคมแบบเปิดเต็มตัว) โดยรูปแบบเครือข่ายสังคมเช่นนี้คัลเลอร์เรียกว่าเป็นเครือข่ายแสนยืดหยุ่นหรือ “elastic network” ที่ใช้การคำนวณของอัลกอริทึมในการจัดอันดับเพื่อนของผู้ใช้ รวมถึงการจัดสรรเรื่องกลุ่มเพื่อนให้ผู้ใช้แบบอัตโนมัติ และการแสดงความคิดเห็นรวมถึงกดชื่นชอบภาพเหล่านั้นด้วย
      
      “elastic network” ยังมีจุดเด่นอยู่ที่การดึงภาพที่เพื่อนของผู้ใช้ได้ถ่ายไว้ก่อนหน้านั้น ณ บริเวณที่ผู้ใช้ยืนอยู่ปัจจุบันกลับมาชมอีกครั้งเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายในปัจจุบันได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย A เคยมาสยามเมื่อ 3 ปีก่อนและได้ใช้ "คัลเลอร์" ถ่ายเก็บภาพไว้ หลังจาก 3 ปีมาแล้วนาย B ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนเดียวกับนาย A ในคัลเลอร์ ได้มาที่สยามอีกครั้ง และได้ถ่ายภาพโดย "คัลเลอร์" นาย B จะสามารถมองเห็นภาพของสยามที่นาย A เคยถ่ายไว้เมื่อ 3 ปีก่อนได้ด้วย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004087003.JPEG)
บิล เหงียน และทีม

      เพียง 24 ชั่วโมงแรกของการเปิดตัวแอปพลิเคชัน คัลเลอร์กลายเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมอันดับ 2 ในร้าน App Store ประเภท Social Networking รองจากเฟซบุ๊ก ท่ามกลางบทความที่กล่าวถึงความร้อนแรงของคัลเลอร์หลายร้อยบทความบนโลกออนไลน์ โดยเหงียนให้ความเห็นว่าคัลเลอร์จะเป็นประโยชน์กับกลุ่มสังคมปัจจุบันที่อยู่ในสถานที่เดียวกัน เช่น เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบ้าน
      
      เสียงตอบรับแง่ลบของคัลเลอร์คือผู้ใช้หลายคนยังไม่สามารถรับอรรถรสของโปรแกรมได้เต็มที่เพราะกลุ่มเพื่อนยังไม่มีการใช้งานคัลเลอร์อย่างแพร่หลาย ทำให้ไม่พบข้อมูลของเพื่อนฝูงคนรู้จักบนคัลเลอร์ รวมถึงความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและรัศมีที่ตรวจจับใกล้เกินไป จุดนี้เหงียนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า อนาคตของคัลเลอร์คือการแก้ปัญหาการ "โดดเดี่ยว" บนคัลเลอร์ โดยอาจปรับให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าใช้คัลเลอร์ได้หากไม่มีคนรู้จักในบริเวณนั้นเลย หรืออาจเปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงรัศมีระยะห่างจากเพื่อนฝูงคนรู้จักให้กว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ที่อยู่ห่างจากเพื่อนคนละเมืองสามารถรู้ความคืบหน้ากิจกรรมของกันและกันได้ คาดว่าอัปเดทเหล่านี้จะปรากฏในคัลเลอร์ช่วงต้นเดือนเมษายนนี้
      
      เหงียนให้สัมภาษณ์ว่าได้รับอีเมลจำนวนมากจากชาวญี่ปุ่นซึ่งใช้คัลเลอร์แบ่งปันภาพพื้นที่เสียหายกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นประโยชน์จากความสามารถด้านการทำงานเรียลไทม์ หรือแม้แต่การใช้เมื่อเข้ารับชมคอนเสิร์ตจะช่วยให้กลุ่มคนที่เล่นคัลเลอร์สามารถแชร์ภาพหรือวิดีโอหลากหลายมุมมองทั้งใกล้และไกลจากเวทีไปให้กับเพื่อนๆ ที่อยู่ในคอนเสิร์ตเดียวกันได้รับรู้ เผื่อบางคนไม่สามารถมองเวทีได้ชัดเจน คัลเลอร์จะเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดเหล่านี้ลงได้ โดยขณะนี้คัลเลอร์กำลังพัฒนาส่วนข่าว (News API) เพื่อให้นักข่าวสามารถโพสต์ภาพและตำแหน่งเกิดเหตุ ซึ่งผู้ใช้คัลเลอร์จะสามารถกดลิงก์ข่าวเพื่ออ่านรายละเอียดได้
      
      "คอมพิวเตอร์" ไม่เกี่ยว
      
      เหงียนระบุว่าเพราะการแบ่งปันภาพและวิดีโอคือกิจกรรมยอดนิยมที่สุดบนเฟซบุ๊ก เมื่อรวมกับธรรมชาติของคัลเลอร์เรื่องการเคลื่อนที่ตลอดเวลาจะทำให้โลกเกิด"เครือข่ายสังคมที่แตกต่าง" นั่นคือเครือข่ายสังคมที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง จุดนี้เหงียนระบุว่าเป็นไปตามแนวโน้มของเครือข่ายสังคมและแอปพลิเคชันที่สนับสนุนให้ผู้ใช้ทั่วโลกออกห่างจากคอมพิวเตอร์ไปทุกที
      
      "การเปลี่ยนแปลงไปยังโลกยุค"หลังพีซี"นั้นกำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานอุตสาหกรรมไอทีครั้งใหญ่ เรากำลังจะแบ่งปันข้อมูลเรียลไทม์มากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต"
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004087004.JPEG)
หน้าตาของแอป Color บนไอโฟนค่อนข้างเรียบ มีปุ่มใช้งานไม่กี่ปุ่ม

      มีข่าวลือว่าเหงียนนั้นสามารถจำหน่าย Lala ให้แอปเปิลเป็นเงินถึง 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะร่วมงานกับแอปเปิลได้ราว 1 ปี โดยเดือนกันยายนที่ผ่านมา รายงานระบุว่าเหงียนได้รับเงินทุนสนับสนุน 14 ล้านเหรียญจากกลุ่มทุน Bain Capital Ventures และ Silicon Valley Bank จากนั้นไม่นาน หนึ่งในกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของซิลิกอนวัลเลย์นาม Sequoia Capital ก็ตัดสินใจให้เงินทุนกับเหงียนอีก 25 ล้านเหรียญ พร้อมกับเงินสนับสนุนรอบ 2 มูลค่า 2 ล้านเหรียญจาก Silicon Valley Bank ทำให้เหงียนพร้อมรบกับเฟซบุ๊กด้วยไอเดียมูลค่า 41 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
      เหตุที่ทำให้ไอเดียนี้มีผู้สนใจ คือการไม่ได้เป็นแอปพลิเคชันแบ่งปันภาพธรรมดา แต่เป็นหนทางใหม่ในการสร้างเครือข่ายสังคมด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่เกี่ยวกับกิจกรรมและสถานที่อยู่ของผู้คน โดยไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆเพื่อการระบุตัวตน ทั้งชื่อ อีเมลแอดเดรส หรือแม้แต่รหัสผ่าน แนวคิดเหล่านี้อยู่บนเทคโนโลยีแสนอัจฉริยะที่ทีมพัฒนาขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004087005.JPEG)

      และเพราะระบบของคัลเลอร์จะสามารถตรวจจับได้ว่าผู้ใช้ถ่ายภาพอะไรได้จากสถานที่ใดอย่างอัตโนมัติ ทำให้ทีมพัฒนาคัลเลอร์เชื่อว่าจะนำไปสู่การสร้างเงินจากการโฆษณาและบริการการตลาดแบบอิงสถานที่ (location-based) โดยปัจจุบัน คัลเลอร์มีทีมงานทั้งสิ้น 30 ชีวิต หนึ่งในนั้นคือดีเจ พาติล (DJ Patil) หัวหน้าทีมพัฒนาเครือข่ายสังคมเพื่อโลกธุรกิจนาม LinkedIn ซึ่งทำให้ภาพความอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีอิงสถานที่ของคัลเลอร์ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นอีก
      
      คัลเลอร์ถือเป็นกิจการใหม่ชิ้นที่ 8 ของเหงียน ซึ่งมีอายุ 40 ปีในขณะนี้ โดยก่อนหน้านี้ เหงียนเคยจำหน่ายบริการ Onebox แก่บริษัท Phone.com ด้วยราคา 850 ล้านเหรียญในปี 2001

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: บริการ Google Music Service ใกล้คลอดแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 01:18:46
Google ผู้ให้บริการเสิร์ช เอนจินรายใหญ่ เดินหน้าต่อกรกับแอปเปิล (Apple) เตรียมเปิดตัวบริการ Google Music Service หวังแข่งกับไอจูนส์ โดยจะทำงานบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004189301.JPEG)

      รายงานจากเว็บไซต์ Cnet ระบุว่าขณะนี้กูเกิลอยู่ในช่วงทดสอบระบบการทำงานภายในของบริการ Google Music Service ซึ่งคาดว่าจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนมีการเปิดตัวจริง
      
      สำหรับข่าวลือเกี่ยวกับบริการเพลงจากกูเกิลนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกที่งาน Mobile World Congress ในเมืองบาเซโลน่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อ Sanjay Jha ผู้บริหารระดับสูงของโมโตโรลาขึ้นพูดบนเวทีเกี่ยวกับข้อดีของซูม (Zoom) แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เครื่องของแรกของโมโตโรล่า โดยเขาระบุว่า "มันจะมาพร้อมวิดีโอ เซอร์วิส และ มิวสิค เซอร์วิส ซึ่งถ้าผู้ใช้งานเข้าไปดูที่ Google Mobile Service บนแอนดรอยด์ จะเห็นบริการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นบริการเดียวกัน"
      
      และเมื่อเดือนที่ผ่านมาในงานประชุม Google I/O กูเกิลได้มีการสาธิตการสตรีมเพลงผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์ไปยังสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยผู้ใช้งานสามารถซื้อเพลงบนแอนดรอยด์ มาร์เก็ต รวมถึงส่งเพลงไปยังโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ได้ คล้ายกับการใช้งานบนไอจูนส์ของแอปเปิล
      
      ผู้บริหารจากกูเกิลกล่าวว่า บริการแชร์เพลงพัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มากกว่าการใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งอย่างแอปเปิล

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Amazon เปิดตัวบริการฝากเพลงออนไลน์ หวังชนไอจูนส์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 01:37:19
เว็บไซต์ Amazon.com เร่งเครื่องขยายธุรกิจซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ เปิดตัวกล่องเก็บเพลงออนไลน์บนระบบคลาวด์ คอมพิวติง โดยหวังจะใช้เป็นที่จัดเก็บข้อมูล และไฟล์เพลง ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูไฟล์ได้จากทุกที่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีทั้งแบบฟรี และเสียค่าบริการ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004251701.JPEG)

      บริการดังกล่าวมีชื่อว่า อะเมซอน คลาวด์ ไดร์ฟ (Amazon Cloud Drive) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ให้ผู้ใช้งานอัปโหลดไฟล์ อาทิเพลง, วิดีโอ และรูปภาพบนอะเมซอน เซิร์ฟเวอร์ ผ่านโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์บนคอมพิวเตอร์พีซี และ แม็ค
      
      นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อะเมซอนเปิดตัวบริการคลาวด์ ไดร์ฟ เนื่องจากต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริการซื้อขายเพลง MP3 บนเว็บไซต์อะเมซอน อีกทั้งยังได้มีการเปิดตัวบริการ อะเมซอน คลาวด์ เพลย์เยอร์ (Amazon Cloud Player) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสตรีมและเล่นเพลง, หยุดการเล่นเพลง หรือเปลี่ยนเพลง รวมถึงการสร้างเพลยลิสส์เป็นของตัวเองได้บนระบบคลาวด์ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่อะเมซอนนำมาฟาดฟันกับคู่แข่งอย่างไอจูนส์ ร้านค้าเพลงออนไลน์ของแอปเปิล
      
      Craig Pape ผู้บริหารอะเมเซอน กล่าวว่า ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้ไฟล์ที่อัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ได้ใช้ผ่านคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยไฟล์เอกสารนั้นจะสามารถเปิดใช้งานได้ปกติบนคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ไฟล์เพลง MP3 หรือ .AAC จะสามารถเล่นเพลงได้บนเว็บเบสด์ คลาวด์ เพลย์เยอร์เท่านั้น
      
      สำหรับค่าใช้จ่ายในการให้บริการคลาวด์ไดร์ฟนั้น สมาชิกเว็บไซต์ Amazon.com สามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลได้ฟรี 5 กิกะไบต์ หากสมาชิกรายใดต้องการความจุเพิ่มจะต้องเสียค่าบริการเป็นรายปีเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใช้งานมีไฟล์ที่ต้องการอัปโหลด 20 กิกะไบต์ จะต้องทำการเเสียค่าใช้จ่ายให้แก่อะเมซอน 20 เหรียญฯ เท่ากับว่าผู้ใช้งานจะได้พื้นที่ทั้งหมด 25 กิกะไบต์ (รวมกับพื้นที่ที่ให้ฟรี 5 กิกะไบต์) นอกจากนี้อะเมซอนยังมีข้อเสนอให้แก่ผู้ใช้งานที่ซื้อเพลงในร้านค้าเพลงออนไลน์บนเว็บไซต์ Amazon.com ให้สามารถใช้งานบริการคลาวด์ไดร์ฟฟรี 20 กิกะไบต์

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เอเซอร์ตั้งเป้าผู้นำสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 02:15:13
เอเซอร์มั่นใจสร้างชื่อในตลาดสมาร์ทโฟนได้ไม่ยาก คาดสิ้นปีมีส่วนแบ่งในตลาด 15% นั่งแท่นผู้นำ 1ใน3 ในตลาดสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หวังใช้ประสบการณ์ในวงการคอมพ์สร้างชื่อให้ผู้ใช้เรียกหาสมาร์ทโฟนเอเซอร์ ถึงสิ้นปีนี้จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนกว่า 20 รุ่น ประเดิมด้วย Acer Liquid Mini 5 สีสันสดใส
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004235201.JPEG)

      นายบุญชัย เงาวิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปจะเห็นการแข่งขันของตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าตลาดรวมสมาร์ทโฟนทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านเครื่อง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ประมาณ 7 แสนเครื่อง เฉพาะในไตรมาสแรกที่ผ่านมาเอเซอร์สมาร์ทโฟนมีการเติบโตถึง 400% และตั้งเป้าว่าจะเป็น 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้ที่ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15% และติดอันดับ 1 ใน 3 เฉพาะตลาดสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในปีนี้เช่นเดียวกัน
      
      เอเซอร์ยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Acer Liquid Mini ขนาดกระทัดรัด 5 สีสดใส พกพาสะดวก พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่จากวงซูเปอร์จูเนียร์ 'ชเว ซีวอน'
      
      นายบุญชัย กล่าวว่าเอเซอร์สร้างชื่อในวงการคอมพิวเตอร์มานาน สมาร์ทโฟนก็คือคอมพิวเตอร์โฟนที่ย่อส่วนลงมาและเคลื่อนที่ได้ ความยากตอนนี้คือการทำให้คนรู้จักเอเซอร์มากขึ้น เพื่อที่เมื่อต้องการสมาร์ทโฟนต้องเลือกเอเซอร์ก่อน โดยในปีนี้คาดว่าจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนอีกกว่า 20 รุ่น เริ่มจากAcer Liquid Mini ที่จะทำตลาดในราคา 7,990 บาท คาดว่าจะทำตลาดได้ประมาณ 15,000 เครื่อง ภายใต้งบการตลาดปีนี้ที่ประมาณ 450 ล้านบาท
      
      ในปี2010 ที่ผ่านมาเอเซอร์มีรายได้จากสมาร์ทโฟนประมาณ 3% จากรายได้รวมทั้งหมด ในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10%
      
      'เรื่องช่องทางการตลาดสำคัญมาก ทุกวันนี้ลูกค้ารู้ว่าถ้าต้องการซื้อคอมพิวเตอร์เอเซอร์จะซื้อได้ที่ช้อปเอเซอร์ เราต้องการให้เขารับรู้ได้เช่นกันว่าเมื่อต้องการสมาร์ทโฟนเอเซอร์จะซื้อได้ที่ไหนเช่นกัน'
      
      นางสาวสุภาพร ลือพร้อมชัย ผู้จัดการอาวุโสผลิตภัณฑ์กลุ่มดิจิตอล ดิสเพลย์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า Acer Liquid Mini ถูกออกแบบให้มีสไตล์โค้งมน สีสันสดใสที่มีให้เลือกมากถึง 5 สี ได้แก่ สีเงิน, ฟ้า, เขียว, ชมพู และสีดำ มาพร้อมกับหน้าจอ LCD Capacitive Touch Screen HVGA ขนาด 3.2นิ้ว ความละเอียด480x 320พิกเซล พร้อมด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 (Froyo) รองรับหน่วยความจำสูงสุด 32GB กล้องคมชัดระดับ 5ล้านพิกเซล พร้อมเข้าชมความบันเทิงแบบมัลติมีเดียภายในบ้านได้อย่างง่ายดายจากนวัตกรรม Acer Clear.fi

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ดีแทคปรับราคา "BB" ใหม่ เอาใจคนช่างแชต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 02:38:05
ดีแทคบุกตลาด BlackBerry ต่อเนื่อง จัดราคาและแพ็กเกจใหม่สุดคุ้ม 350 บาทใช้อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด พร้อมแคมเปญลุ้นแบล็กเบอร์รีฟรี 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 เครื่อง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004239301.JPEG)

      ดีแทคเอาใจสาวกแบล็กเบอร์รีปรับราคาเครื่องทุกรุ่น โดย BlackBerry Torch 9800 จะวางจำหน่ายในราคา 18,900 บาท, Bold 9780 ราคา 16,900 บาท, Curve 9300 ราคา 9,990 บาท และ Curve 8520 ราคา 6,990 บาท โดยลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รีจากดีแทควันนี้ ถึง 30 เมษายนนี้ มีสิทธิเลือกใช้งานแพ็กเกจสุดคุ้ม BlackBerry Internet Unlimit ค่าบริการเดือนละ 350 บาท ให้ลูกค้าใช้บริการ BlackBerry Life นานสูงสุด 6 เดือน ประกอบด้วย แชต โซเชียลเน็ตเวิร์ก อีเมล์ พร้อม dtac internet ให้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด

(http://pics.manager.co.th/Images/554000004239303.JPEG)

นอกจากนี้ลูกค้าลูกค้าดีแทคที่สมัครแพ็กเกจ BlackBerry ทุกแพ็กเกจหรือเปิดใช้ BlackBerry SIM ของแฮปปี้ ยังมีสิทธิลุ้นรับสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รีฟรี 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 เครื่อง” รวมทั้งสิ้น 49 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 489,510 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2554 โดยจะประกาศผลทุกสัปดาห์ผ่านเว็บไซต์ http://www.happy.co.th/blackberry

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: 'LinkedIn'...เว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์ของมืออาชีพ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 02:47:53
หากเราจะถามว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เหมาะกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) แล้ว คงตอบได้เลยว่า เว็บไซต์ Facebook ด้วยจำนวนสมาชิกในเครือข่ายสังคมออนไลน์มากกว่า 600 ล้านราย ที่คุณสามารถสร้างโอกาสการขาย หรือการรับรู้ของแบรนด์ได้
 
(http://static.technorati.com/10/05/01/12383/linkedin.jpg)

แต่ถ้าถามว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เหมาะกับการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) แล้ว หลายคนอาจไม่แน่ใจ คำตอบ คือ เว็บไซต์ LinkedIn หลายคนอาจไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก แต่โดยส่วนตัวผมเองได้ประโยชน์จาก LinkedIn มาก ได้ลูกค้าใหม่จากสมาชิกสังคมออนไลน์แห่งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยจาก HubSpot ในปี พ.ศ. 2554 ที่ว่าธุรกิจได้ลูกค้าใหม่แบบธุรกิจกับธุรกิจผ่านเว็บไซต์ LinkedIn, Blog ของบริษัท, เว็บไซต์ Facebook และเว็บไซต์ Twitter ถึงร้อยละ 61, 55, 41 และ 39 ตามลำดับ
 
สมาชิกทั้งหมดของ LinkedIn เป็นคนทำงานและผู้ประกอบการทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 คุณสามารถโพสโปรไฟล์และประวัติการทำงานของคุณ ยิ่งประวัติคุณละเอียดมากเท่าไร คุณก็จะได้รับประโยชน์จาก LinkedIn มากเท่านั้น คุณสามารถติดต่อกับเพื่อนร่วมงานในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงธุรกิจ และค้นหาธุรกิจหรือเพื่อนที่จะทำธุรกิจด้วย
 
ล่าสุด LinkedIn เพิ่งฉลองสมาชิกเกิน 100 ล้านราย เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา อัตราการเพิ่มของสมาชิกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย LinkedIn จะมีสมาชิกใหม่หนึ่งรายทุกวินาที และร้อยละ 55 เป็นสมาชิกที่อยู่นอกสหรัฐ
 
ลองดูเทคนิคต่อไปนี้ ที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์มากที่สุดจาก LinkedIn
 
1. สร้างโปรไฟล์ของคุณแล้วต้องอย่าลืมรูปภาพของคุณด้วย รูปภาพของคุณจะช่วยให้โปรไฟล์ของคุณน่าสนใจและน่าเชื่อถือครับ บ่อยครั้งที่คุณจะได้รับการติดต่อจากสมาชิกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คุณไม่รู้จัก คุณต้องทำให้โปรไฟล์ของคุณน่าเชื่อถือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รูปภาพของคุณจะช่วยได้ครับ
 
2. สร้างโปรไฟล์บริษัทของคุณ นอกจากโปรไฟล์ส่วนตัวของคุณแล้ว ผมแนะนำให้คุณสร้างโปรไฟล์ของบริษัทที่คุณทำงานอยู่ในปัจจุบันด้วยครับ ระบุรายละเอียดของธุรกิจ ระบุสินค้าและบริการของคุณ ระบุบุคคลที่สามารถติดต่อได้คล้ายโปรไฟล์ส่วนตัว ยิ่งคุณให้รายละเอียดมากก็จะถูกค้นหาง่ายและน่าเชื่อถือมากขึ้น
 
3. สร้างเครือข่ายของคุณให้มากที่สุด ลักษณะการสร้างเครือข่ายของ LinkedIn เหมือนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ทั่วไป คือ คุณจะต้องส่ง Invitation ไปยังสมาชิกที่คุณสนใจแล้วสมาชิกนั้นจะยืนยันเป็นเพื่อนของคุณอีกครั้ง ยิ่งเครือข่ายของคุณกว้างเท่าไร โอกาสที่คุณจะรู้จักสมาชิกที่หลากหลายธุรกิจก็จะมากขึ้น
 
4. เพิ่มผู้แนะนำ (Recommendation) ของคุณให้มากขึ้น LinkedIn จะมีระบบที่อนุญาตให้เพื่อนของคุณแนะนำคุณได้ ยิ่งมีคนแนะนำมากเท่าไร โปรไฟล์ของคุณก็ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น จริงแล้วเทคนิคนี้เหมาะกับคนที่ต้องการจะเปลี่ยนงาน บริษัทหางาน
 
5. ใช้ประโยชน์จากกลุ่ม (Group) การระบุความสนใจในกลุ่ม จะช่วยให้คุณขยายโอกาสในการรู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อนที่มีความสนใจเดียวกับคุณ กลุ่มในที่นี้ รวมไปถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานที่ทำงานของคุณด้วย
 
6. สุดท้าย คือ การสร้างลิงค์มายังโปรไฟล์ของคุณใน LinkedIn โปรไฟล์ของคุณใน LinkedIn จะเปรียบเสมือนประวัติการทำงานของคุณ โปรไฟล์ของคุณจะบอกความเชี่ยวชาญของคุณให้กับคนอื่นๆ ได้รู้จัก และในทางตรงกันข้าม คุณควรจะมีลิงค์จาก LinkedIn ไปยังเว็บไซต์บริษัทของคุณด้วย
 
ผมรับรองได้ว่า LinkedIn จะเป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คุณจะได้ประโยชน์ทางธุรกิจมากจริงๆ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: เผยฟีเจอร์ใหม่ใน Samsung Galaxy S II
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 21:34:44
เช้านี้มาติดตามความเคลื่อนไหวของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ Samsung Galaxy S II โดยนอกจากจะมาพร้อมกับอินเตอร์เฟซหน้าจอใหม่ที่น่าใช้กว่าเดิมแล้ว ล่าสุดได้มีการเปิดเผยคุณสมบัติการใช้งานที่ไม่พบในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ อีกด้วย โดยเฉพาะการทำงานในส่วนของ TouchWiz 4.0

สำหรับคุณสมบัติการทำงานแบบใหม่ที่ว่านี้เกิดจากการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (motion sensor) ที่อยู่ภายในมือถือ โดยผู้ใช้ Samsung Galaxy S II จะสามารถใช้การสัมผัสหน้าจอร่วมกับการทำงานของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวในการย่อ หรือขยายขนาดของภาพที่แสดงบนหน้าจอมือถือได้ ตัวอย่างเช่น แค่คุณผู้อ่านใช้ 2 นิ้วแตะบนหน้าจอ จากนั้นนำมือถือดึงเข้าหาตัว หรือจับมันถอยห่างออกไป ภาพบนหน้าจอก็จะซูมเข้า และออกตามลำดับ หรือในกรณีทีคุณต้องการเปลี่ยนหน้าจอใช้งานจากโฮมสกรีนไปหน้าจออื่นๆ ก็เพียงแค่ใช้นิ้วเดียวแตะค้างไว้ จากนั้นจับมือถือเลื่อนไปทางซ้าย หรือขวา หน้าจอก็จะเปลี่ยนไปตามลำดับ ว่ากันจริงๆ ใช้นิ้วเลื่อนจะง่ายกว่าไหมนะ?

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-s-II-motion-zoom-TouchWiz-4-0-2.jpg)

TouchWiz 4.0 จะเป็นการใช้เซ็นเซอร์อย่าง Accelerometer ทำงานร่วมกับอินเตอร์เฟซบนหน้าจอสัมผัสของ Samsung Galaxy S II อย่างไรก็ดี ยังมีลูกเล่นในการใช้งานอีกมากมายที่น่าสนใจ ลองชมการสาธิตจากคลิปข้างล่างนี้ดีกว่าครับ หลังจากได้รับชมแล้ว คุณผู้อ่านรู้สึกอย่างไร? ชอบ ไม่ชอบ ใช่ไม่ใช่ ก็คอมเมนต์กันมาได้เลยนะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Hotmail โต้ตอบ "เว็บไซต์" ในเมล์ได้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 22:44:17
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) อัพเกรด ฮอตเมล์ (Hotmail) ด้วยแพลตฟอร์มการทำงานใหม่ที่เรียกว่า Active View ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับลิงค์บริการต่างๆ ที่แทรกอยู่ในอีเมล์ที่รับเข้ามาได้ทันที โดยไม่ต้องคลิกลิงค์จากในเมล์ เพื่่อเปิดหน้าเว็บให้วุ่นวายอีกต่อไป

(http://www.arip.co.th/images/news/hotmail/hotmail-active-view-technology-interactive-with-favorite-site-in-inbox-3.jpg)

ในส่วนของคุณสมบัติใหม่ ทางไมโครซอฟท์จะเริ่มต้นด้วยพันธมิตรอย่าง Orbitz เว็บไซต์ให้บริการจองที่พักโรงแรม และ Monster เว็บไซต์หางานยอดนิยม โดยจะส่งอีเมล์ที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบการทำงานจากภายในเมล์ได้ทันที ยกตัวอย่าเช่น ผู้ใช้สามารถจองที่พักโรงแรมจากอีเมล์ของ Orbitz ได้จากใน Inbox ได้เลย นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรอย่าง Netflix ที่จะทำให้ผู้ืใช้ Hotmail สามารถชมตัวอย่าง หรือจองตั๋วหนังได้จากในเมล์ที่ส่งมา หรืออย่าง LinkedIn ที่จะแนะนำคนที่คุณน่าจะทำความรู้จัก และติดต่อด้วย ไมโครซอฟท์ยังบอกอีกด้วยว่า จะมีการเพิ่มพันธมิตรที่จะเข้ามาใช้บริการนี้อีกมากมาย ซึ่งรวมถึง YouTube, Flickr ไปจนถึงเว็บไซต์คูปองต่างๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/hotmail/hotmail-active-view-technology-interactive-with-favorite-site-in-inbox-2.jpg)

ด้วยเทคโลโยนี Active View ผู้ส่งอีเมล์ (พันธมิตรของไมโครซอฟท์) จะสามารถรันโค้ด (ทีใช้โต้ตอบการทำงานกับผู้ใช้) จากในเนื้อหาของอีเมล์ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นผู้ใช้ไม่ต้องคลิกลิงค์ เพื่อรีไดเร็กต์เข้าไปยังเว็บไซต์อีกทีหนึ่งให้เสียเวลาอีกต่อไป นอกจากคอนเท็นต์ที่อยู่ในเมล์จะโต้ตอบกับผู้ใชได้แล้ว มันยังอัพเดทอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณไม่เพียงแต่ไม่ต้องเสียเวลากระโดดไปมาระหว่างหน้าต่างอีเมล์กับหน้าเว็บที่เปิดขึ้นมาเท่านั้น แต่มันยังทำให้คุณมีเวลาในการสะสางอีเมล์ต่างๆ ที่เข้ามาได้มากขึนอีกด้วย นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของ Microsoft ที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอย่าง Gmail และเป็นอีกวิธีหนึ่งในการที่จะดึงให้ผู้ใช้อยู่กับ inbox ของ Hotmail และผู้ลงโฆษณาภายในเว็บไซต์นานขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: WP7 เล็งอัพเดท "ชำระเงิน" ผ่านมือถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 22:55:09
แม้ Windows Phone 7 ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะต้องไล่ตามคู่แข่งทั้งในส่วนของแอพฯ และฟังก์ชันการทำงานพื้นฐาน แต่สำหรับคุณสมบัติการทำงานทางด้าน"ระบบการชำระเงินผ่านมือถือ" WP7 อาจจะแซงหน้าคู่แข่งหลายๆ รายก็ได้

รายงานล่าสุดจาก Bloomberg เปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนาม 2 รายที่ระบุว่า ไมโครซอฟท์จะยกเครื่อง Windows Phone 7 อัพเดทถัดไปด้วยซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนเทคโนโลยี NFC (Near Field Communications) ซึ่งจะทำให้เจ้าของสมาร์ทโฟน WP7 สามารถใช้มือถือในการชำระค่าสินค้า หรือบริการต่างๆ ได้แทนการใช้กระเป๋าเงิน โดยทางบริษัทคาดว่าคุณสมบัติการทำงานดังกล่าวจะได้รับการอัพเดทให้กับ Windows Phone 7 ภายในปีนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/wp7/microsoft-updates-windows-phone-7-with-NFC-payment-software-2.jpg)

อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ Google ได้ออกมาให้ข่าวว่า ทางบริษัมีแผนการที่จะเพิ่มเทคโนโลยี NFC เข้าไปในระบบปฏิบัติการ Android พร้อมทั้งได้ตกลงกับพันธมิตรผู้ให้บริการบัตรเดรดิตบางรายแล้วด้วย ส่วนทางด้าน RIM ยังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรสำหรับการทดลองให้บริการชำระค่าบริการผ่าน BlackBerry ที่ทำงานร่วมกับธนาคาร Bank of America ในส่วนของ Apple มีรายงานว่าจะยังไม่ให้มีการใช้บริการชำระเงินผ่าน iPhpne ภายในปีนี้ (แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน คงต้องรอดู iPhone 5) ช่วงนี้จึงดูเหมือนว่า ไอเดียการเปลี่ยนมือถือเป็นบัตรเครดิต หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์กำลังอยู่ในช่วงที่น่าตื่นเต้น ซึ่งคงต้องลุ้นกันว่าใครจะเป็นรายแรกที่เปิดให้บริการอย่างเต็มตัว ซึ่งจะเป็น Windows Phone 7 อย่างที่แหล่งข่าวอ้างมา หรือไม่? งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไป

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google-ซิตี้กรุ๊ป-มาสเตอร์การ์ด เสริมเขี้ยว "จ่ายเงินด้วยมือถือ"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 มีนาคม 2011, 23:17:42
สื่อต่างประเทศรายงาน Google (Google) กำลังผนึกกำลังกับยักษ์การเงินอย่างซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) และมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) เสริมเขี้ยวเล็บให้ชาวโลกสามารถจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการได้ด้วยโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (โมบายเพย์เมนต์) เบื้องต้นพบว่ากูเกิลไม่ได้หวังแทนที่บริษัทบัตรเครดิตเพื่อชิงรายได้จากค่าธรรมเนียม แต่ระบบนี้จะทำให้กูเกิลสามารถทำรายได้จากการโฆษณาและการตลาดได้มากขึ้น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004278201.JPEG)

      สำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นอลอ้างแหล่งข่าวไม่ระบุนามว่า กูเกิลกำลังซุ่มพัฒนาการจ่ายเงินด้วยโทรศัพท์มือถือที่ง่ายกว่าเดิมเพื่อยกระดับธุรกิจโฆษณาออนไลน์ โดยข้อมูลระบุว่าด้วยโครงการนี้ กูเกิลจะสามารถให้ข้อมูลลูกค้าแก่ผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นได้มากขึ้น และช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายโฆษณาและทำตลาดด้วยการให้ส่วนลดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้บริเวณร้านได้ดีกว่าเดิม
      
      ในแง่ของผู้ใช้ โครงการนี้จะทำให้ผู้ถือบัตรเดบิตและบัตรเครดิตของซิตี้กรุ๊ป สามารถใช้งานแอปพลิเคชันจ่ายเงินด้วยโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ โดยจะสามารถรับโฆษณาหรือส่วนลดพิเศษ ขณะเดียวกันก็สามารถบริหารข้อมูลเครดิตและควบคุมการใช้จ่ายได้สะดวกผ่านแอปฯในโทรศัพท์มือถือ
      
      นอกจากซิตี้กรุ๊ปและมาสเตอร์การ์ด รายงานยังระบุว่าโครงการนี้ยังมีบริษัทเวอริโฟนซิสเต็มส์ (VeriFone Systems Inc.) บริษัทผู้ผลิตเครื่องอ่านบัตรเครดิตเข้าร่วมด้วย โดยเวอริโฟนจะพัฒนาระบบอ่านชิป NFC เพื่อให้การจ่ายเงินทำได้ด้วยการวางโทรศัพท์ไว้ใกล้เครื่องอ่าน จุดนี้ ดัค เบอร์เกอรอน (Doug Bergeron) ซีอีโอของเวอริโฟนเชื่อว่า เทคโนโลยี NFC จะถูกติดตั้งในสมาร์ทโฟนทั้งไอโฟน แบล็กเบอรี่ และโทรศัพท์มือถือค่ายอื่นๆ
      
      NFC หรือ Near Field Communication เป็นเทคโนโลยีชิปที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้โทรศัพท์มือถือชำระค่าสินค้าและบริการได้แทนเงินสดหรือบัตรเครดิต นอกจากสมาร์ทโฟน ชิป NFC ยังถูกติดไว้ในบัตรโดยสารรถไฟ-รถใต้ดิน เช่น Suica ของญี่ปุ่น, Oyster Card ของอังกฤษ และ Octopus Card ของฮ่องกง เพื่อให้ผู้ถือบัตรสามารถจ่ายค่าบริการอื่นๆแทนเงินสดได้ด้วยการแตะบัตรกับเครื่องอ่าน ล่าสุด มีรายงานว่ากูเกิลและแอปเปิลจะพัฒนาระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนที่รองรับการทำงานของ NFC โดยแอปเปิลยังไม่มีการยืนยันใดๆ แต่กูเกิลยืนยันแล้วว่า ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่ 2.3 จะสามารถรองรับ NFC ได้
      
      สำนักข่าว wired.com วิเคราะห์ว่า เหตุที่กูเกิลดึงบริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่อย่างซิตี้กรุ๊ปและมาสเตอร์การ์ดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NFC ของตัวเอง เพราะต้องการสร้างหลักประกันเรื่องความเสถียรและความน่าเชื่อถือของระบบชำระเงินแบรนด์แอนดรอยด์ โดยมองว่าหลังจากกูเกิลไม่สามารถซื้อบริษัทอีคอมเมิร์ชอนาคตไกลอย่าง Groupon กูเกิลจึงมีความเสี่ยงเสียโอกาสทั้งในธุรกิจค้นหาข้อมูลและการโฆษณาในท้องถิ่น (Local) ประกอบกับ NFC คือหนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่จะส่งให้ผู้ใช้เลือกซื้อสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เครื่องใหม่ ทั้งหมดนี้ทำให้กูเกิลเห็นความจำเป็นของการนำระบบชำระเงินบนแอนดรอยด์มาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นธุรกิจโฆษณาในท้องถิ่นของตัวเอง
      
      รายงานระบุว่า ระบบจ่ายเงินด้วยสมาร์ทโฟนของกูเกิลจะทำให้กูเกิลสามารถพิสูจน์ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเห็นประโยชน์ของการซื้อโฆษณากับกูเกิลได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน กูเกิลก็จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่น ทำให้สามารถแก้เกมธุรกิจที่เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook และ Groupon สามารถครองใจผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ดีกว่ากูเกิลในขณะนี้
      
      คาดกันว่าระบบชำระเงินด้วยสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ซึ่งมีกูเกิลเป็นผู้สนับสนุนหลักจะสามารถจุดพลุให้บริการได้ภายในปีนี้ หากเกิดขึ้นได้จริง สังเวียนโมบายเพย์เมนต์ในสหรัฐฯจะดุเดือดยิ่งขึ้นเนื่องจากคู่แข่งของมาสเตอร์การ์ดอย่างวีซ่า (Visa) ก็ได้ร่วมกับกลุ่มธนาคารดำเนินโครงการทดสอบระบบชำระเงินด้วยโทรศัพท์มือถือรุ่นที่มีในท้องตลาดโดยใช้ชิปและเสาสัญญาณพิเศษเป็นอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มให้ผู้ใช้สามารถนำโทรศัพท์มือถือที่มีอยู่แทนเงินสดได้แล้ว นอกจากนี้ กลุ่มโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ทั้ง Verizon Wireless, AT&T และ T-Mobile USA ได้ร่วมกันจัดตั้งโครงการ Isis เพื่อร่วมมือกับบริษัท Discover Financial Services Inc. พัฒนาระบบโมบายเพย์เมนต์เพื่อชาวอเมริกัน ทั้งหมดจะแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างดุเดือดแน่นอน
      
      นี่ถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดในการเพิ่มขอบเขตการใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันให้แก่มหาชนคอฮัลโหล จากการสนทนามาสู่ยุคแห่งการเล่นอินเทอร์เน็ต และล่าสุดคือการชอปปิ้ง ล่าสุด ตัวเลขตลาดการจ่ายเงินด้วยอุปกรณ์มือถือนี้มีแนวโน้มเติบโตชนิดหยุดไม่อยู่ โดยบริษัทวิจัย Edgar, Dunn & Co. เปิดเผยว่าตลาดจะมีมูลค่ามากกว่า 6.18 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016 ขณะที่บริษัทวิจัย Federal Reserve คาดว่าจะมีอุปกรณ์ที่รองรับโมบายเพย์เมนต์ในตลาดถึง 70 ล้านเครื่อง บนจำนวนเครื่องอ่าน 150,000 เครื่องซึ่งจะมีการติดตั้งในร้านค้าทั่วสหรัฐฯ
      
      สำหรับตลาดผู้ประกอบการท้องถิ่นในสหรัฐฯ ข้อมูลประจำปี 2009 ระบุว่ากลุ่มธุรกิจอเมริกันซึ่งมีพนักงานต่ำกว่า 100 คนลงไปนั้นมีเม็ดเงินโฆษณาในสื่อท้องถิ่นสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะสูงขึ้นอีกต่อเนื่องนับจากนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Google เพิ่มปุ่ม +1 แทน Like ให้เสิร์ช
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 00:00:54
แน่นอนว่า คู่แข่งหมายเลขหนึ่งของ Google ก็คือ Facebook ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ Google เองคงต้องพยายามหาวิธีที่จะทำให้เสิร์ชมีคุณสมบัติการทำงานในรูปแบบของโซเชียลด้วย โดยล่าสุด Google เพิ่มฟุังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถให้คะแนน +1 กับลิงค์ "ผลลัพธ์เสิร์ช" เพื่อเป็นการบอกว่า ลิงค์นั้นดี หรือมีคุณค่า ซึ่งก็น่าจะดีสำหรับคนอื่นๆ ด้วย เอ่อ...มันดูคล้ายๆ Like ที่ผู้ใช้แนะนำเรื่องราวที่พวกเขาสนใจใน Facebook เลยนะเนี่ย

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google+1-button-mimics-like-button-on-facebook-2.jpg)

นอกจากผู้ใช้จะสามารถคลิกปุ่ม +1 ให้กับลิงค์ในหน้าผลลัพธ์เสิร์ชแล้ว Google ยังบอกอีกด้วยว่า ทางบริษัทกำลังดำเนินการให้สามารถนำปุ่ม +1 ไปแปะไว้บนหน้าเว็บของคุณได้อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถแนะนำลิงค์ที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้ Google คนอื่นๆ ผ่านการคลิกปุ่ม +1 ได้ทันที โดยไม่ต้องออกจากเว็บไซต์นั้น ในขณะเดียวกันการคลิกปุ่ม +1 ของคุณยังจะถูกแนะนำต่อให้กับกลุ่มผู้ใช้ที่คุณรู้จักผ่านบริการต่างๆ อย่าง Gmail หรือ Buzz ของ Google ได้อีกต่างหาก ฟังดูคล้่าย Google กำลังจะทำให้ Search สามารถแชร์ลิงค์ได้ แบบเดียวกับ Social Network เลยนะครับ

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google+1-button-mimics-like-button-on-facebook-1.jpg)

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ Google หวังว่าจะได้จากปุ่ม +1 นอกเหนือจากการทำให้ผลลัพธ์เสิร์ชมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ และโฆษณาที่มีโอกาสถูกคลิกมากขึ้นแล้ว มันยังเป็นการทำให้เสิร์ชมีฟังก์ชันการแชร์คำแนะนำให้กับเพื่อนๆ ผ่านบริการต่างๆ ของ Google อีกด้วย ซึ่งหากมีผู้ใช้ปุ่ม +1 มากพอมันก็จะมีผลต่อคุณภาพของลิงค์ผลลัพธ์ (และโฆษณา) ที่แสดงขึ้นมาเวลาผู้ใช้เสิร์ชนั่นเอง การคลิกปุ่ม +1 ให้กับลิงค์ผลลัพธ์ หรือบนหน้าเว็บใดๆ ก็เท่ากับเป็นการที่ผู้ใช้กำลังบอกว่า มันเจ๋ง (เหมือน Like) ให้กับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่่เป็นสมาชิก Google (ผู้ใช้สามารถทราบได้ว่า ใครเป็นผู้ทีให้คะแนน +1 กับลิงค์นั้นๆ ด้วย) ซึ่งรวมถึงพ่อแม่พี่น้องของคุณด้วย ทั้งนี้ปุ่ม +1 จะปรากฎขึ้นมาถัดจากลิงค์ผลลัพธ์ และโฆษณา โดยจะเริ่มปรากฎให้เห็นกับผู้ใช้กลุ่มเล็กๆ ก่อน หากคุณผู้อ่านสนใจอยากใช้คุณสมบัตินี้ก็สามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ที่ http://www.google.com/experimental

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Adobe โชว์แอพ Photoshop บน iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 21:54:24
เชื่อว่า ข่าวนี้น่าจะทำให้หลายๆ คนแปลกใจ ในขณะที่ Apple ไม่ยอมรับ Flash ของ Adobe สำหรับการทำงานบน iOS ขณะเดียวกัน Adobe ก็รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยกับการที่มีผู้ใช้ iPad เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ล่าสุด Adobe ได้สาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นเรือธงของบริษัทนั่นก็คือ Photoshop เวอร์ชันสำหรับการใช้งานบน iPad อุ๊ปส์!!!

ในงาน Photoshop World ทางบริษัท Adobe ได้นำเสนอคอนเซปต์ของแอพ photoshop บน iPad ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า คอนเซปต์ที่นำเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานกันจริงๆ หรือไม่? แต่มันทำให้เห็นว่า แม้กระทั่งโปรแกรมตกแต่งแก้ไขภาพยอดฮิตอย่าง Photoshop ก็ยังสามารถใช้งานบนอุปกรณ์อย่างแท็บเล็ตได้ โดยภาพที่ต้องการแก้ไขจะครองพื้นที่ทั้งหน้าจอ ส่วนนิ้วของผู้ใช้ก็จะแทนพอยน์เตอร์ของเมาส์ ขณะเดียวกันทูลบ๊อกซ์ที่ดูรกรุงรังโดยรอบที่เรามักจะพบเห็นบนเดสก์ทอปจะถูกเปลี่ยนเป็นไอคอนเมนูที่สามารถป๊อปอัพตัวเลือกขึ้นมาใช้งานได้ทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/adobe/photoshop-on-ipad-in-photoshopworld-2.jpg)

สำหรับการสาธิตการใช้ Phothoshop บน iPad คุณผู้อ่านจะได้เห็นการรีทัชภาพที่แสนง่ายดายจนรู้สึกได้ว่า ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถตกแต่งภาพที่น่าอัศจรรย์ได้ภายในพริบตา นักออกแบบที่เข้าร่วมงานหลายราย เมื่อได้เห็นคอนเซปต์ของ Photoshop บน iPad ต่างแสดงความเห็นในเชิงบวก โดยเฉพาะการยกเลิกอินเตอร์เฟซแบบเดิมๆ ที่ใช้มานานหลายปีบนเดสก์ทอปเมื่อย้ายมาใช้งานบน iPad อีกทั้งยังเชื่อว่า นักออกแบบ และครีเอทีฟจะพอใจหาก Adobe จะทำแอพฯ Photoshop บน iPad ออกมาจำหน่ายจริงๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: โทรจันปลอมตัวเป็น Android app เถื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 22:15:17
ความฮอตของ Android OS ที่บริษัทวิจัยตลาดคาดว่า มันจะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งบนสมาร์ทโฟนในปลายปี 2011 อาจจะทำให้มันต้องเผชิญหน้ากับ"มัลแวร์"มากขึ้น โดยล่าสุดมีการตรวจพบโทรจันที่ปลอมตัวเป็นแอพ"เถื่อน"ที่ crack มาแล้ว และเปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรี

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/trojan-acts-as-android-pirates-app-steal-phone-data-1.jpg)

Symantec เปิดเผยว่า Android.Walkinwat เป็นมัลแวร์ที่ขโมยข้อมูลสำคัญในสมาร์ทโฟนของเหยื่อ เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮคเกอร์ นอกจากนี้มันยังแอบสแกนรายชื่อติดต่อที่อยู่ในเครื่อง เพื่อส่ง SMS ไปหาทุกคนอีกด้วย ซึ่งเหยื่อของมัลแวร์บน Android Phone ส่วนใหญ่จะโดนเล่นงาน เนื่องจากพยายามดาวน์โหลดแอพถูกลิขสิทธิ์ฟรี หรือมีราคาถูกมากจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งผ่านการ crack แล้ว แต่ความจริงมันคือ "มัลแวร์"

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/trojan-acts-as-android-pirates-app-steal-phone-data-2.jpg)

สำหรับแอพที่ใช้ในการปลอมตัวครั้งนี้ชื่อว่า Walk and Text โดยตัวปลอมจะไม่ได้อยู่ใน Android Market แต่เปิดแชร์ให้ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์หลายๆ ประเทศในโซนเอเซีย และอเมริกาเหนือ ซึ่งแอพ Walk and Text ต้นฉบับบน Android Market จะมีราคา 1.53 เหรียญฯ โดยการทำงานของแอพตัวนี้จะเปิดกล้องด้านหลังสมาร์ทโฟนให้ทำงาน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นถนนเบื้องหน้าขณะเดินก้มหน้าพิมพ์ข้อความ (ป้องกันการเดินพิมพ์จนตกท่อ) แต่ถ้าเป็นแอพชื่อเดียวกันนี้ แต่เป็นตัวปลอม และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีบนเว็บไซต์ต่างๆ จะมีเวอร์ชัน 1.3.7 ซึ่งแอพตัวจริงจะไม่ใช่เวอร์ชันนี้ ทราบแล้วก็ระวังตัวกันด้วยนะครับ โดยเฉพาะใครที่ชอบดาวน์โหลดแอพเถื่อน หรือแอพฯที่ crack แล้ว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เตือนระวังภัย "วันโกหก" ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 22:25:02
รายงานล่าสุดจากบริษัท เทรนด์ ไมโคร ระบุว่า ภัยคุกคามปัจจุบันกำลังเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการปรับตัวเข้ากับสื่อสังคมออนไลน์และพยายามล่อลวงผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ ในการโจมตีครั้งล่าสุดข้อความสแปมพื้นฐานที่ปรากฏในกล่องข้อความเข้า (Inbox) ใน เฟซบุ๊ก ของผู้ใช้จะลวงผู้ใช้ว่ามีข้อความ “เซอร์ไพรซ์” บางอย่างรออยู่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004391701.JPEG)

      จากยอดผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่เป็นหนึ่งในไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 500 ล้านรายและกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติในปี 2554 ของ เฟซบุ๊ก เองนั้นพบว่าผู้ใช้บริการ เฟซบุ๊ก ที่อยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากถึง 70% และ 50% ล็อกออนเข้าสู่ไซต์เป็นประจำทุกวันสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่ว่าเหตุใดบรรดาอาชญากรไซเบอร์จึงเลือกที่จะใช้ไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์หาประโยชน์ให้กับตนเอง
      
      เครือข่ายสังคมออนไลน์เกือบทั้งหมดมีระบบรับส่งข้อความที่อาจนำไปสู่การใส่ลิงก์ที่เป็นอันตรายลงในข้อความนั้นๆ ซึ่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บรรดาฟิชเชอร์ได้ใช้การสนทนาของ เฟซบุ๊ก เพื่อทำให้ผู้ใช้ส่งส่งลิงก์สแปมผ่านการสนทนาของ เฟซบุ๊ก ไปให้เพื่อนของตนโดยไม่รู้ตัว และผู้ที่หลงเชื่อคลิกลิงก์สแปมดังกล่าวก็จะถูกนำไปยังเพจลวง เมื่อมีการป้อนข้อมูลประจำตัวของ เฟซบุ๊ก ในเพจลวงนั้นก็จะกลายเป็นว่าข้อมูลเหล่าดังกล่าวตกไปอยู่ในมือของฟิชเชอร์ในทันที
      
      ระบบรับส่งข้อความของ เฟซบุ๊ก ยังถูกใช้โดยบุคคลที่อยู่เบื้องหลังบ็อตเน็ต KOOBFACE ที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อ KOOBFACE โดยทั่วไปนั้นจะเริ่มด้วยสแปมที่ส่งผ่านทาง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, มายสแปซ หรือไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆ ในรูปของข้อความที่มักจะดึงดูดใจพร้อมด้วยลิงก์ที่ลวงให้เข้าไปรับชมวิดีโอ สิ่งนี้ทำให้ KOOBFACE กลายเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่สามารถแพร่กระจายผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เป็นผลสำเร็จ
      
      ทั้งนี้มัลแวร์ใหม่ล่าสุดก็ได้หันมาใช้เทคนิคนี้ด้วยเช่นกัน โดยใช้ประโยชน์ของระบบรับส่งข้อความของ เฟซบุ๊ก ในการปลอมข้อความส่วนตัวที่เหมือนว่ามาจากเพื่อนคนใดคนหนึ่ง ข้อความดังกล่าวจะมีลิงก์ที่จะชี้ไปยังเพจ Blog*Spot (หรือ Blogger) พร้อมกับข้อความว่า “I got u surprise.” (ฉันมีเซอร์ไพรซ์ให้คุณ) การคลิกลิงก์ดังกล่าวจะนำผู้ใช้ไปยังเพจแอปพลิเคชั่น เฟซบุ๊ก ที่ดูเหมือนว่าถูกต้องแต่จริงๆ แล้วเป็นสถานที่ซึ่งเซอร์ไพรซ์ลวงกำลังรอเหยื่ออยู่
      
      ความจริงก็คือลิงก์ที่คาดว่านำไปยังเพจ Blog*Spot จะนำเหยื่อไปยังเพจ เฟซบุ๊ก ลวงแทน อย่างไรก็ตามถ้าผู้ใช้ไม่รู้ว่านี่เป็นการหลอกลวงและยังคงคลิกรูป “Get a surprise now!” (เปิดรับเซอร์ไพรซ์เดี๋ยวนี้) พวกเขาก็จะลงเอยด้วยการดาวน์โหลด TROJ_VBKRYPT.CB ลงในระบบของตน จากนั้นโทรจันตัวนี้จะดาวน์โหลด TROJ_SOCNET.A ซึ่งจะส่งข้อความไปยังเพื่อน เฟซบุ๊ก และ/หรือ ทวิตเตอร์ ของผู้ใช้ที่ติดเชื้อ ข้อความดังกล่าวจะมีลิงก์ไปยังไซต์ที่โฮสต์มัลแวร์อยู่และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็จะเกิดขึ้นวนวียนต่อเนื่องกันไป ที่สำคัญการโจมตีในลักษณะนี้เป็นอันตรายอย่างมากเนื่องจากมีการพิสูจน์แล้วว่ามัลแวร์ตัวนี้สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
      
      สำหรับการโจมตีในลักษณะนี้ ผู้ที่ใช้บริการตรวจสอบประวัติไฟล์ของสมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ค จะตรวจหาและป้องกันไม่ให้มีการดาน์โหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายที่ตรวจพบว่าเป็น TROJ_VBKRYPT.CB และ TROJ_SOCNET.A ในระบบของผู้ใช้ บริการตรวจสอบประวัติเว็บจะบล็อกการเข้าถึงไซต์ที่เป็นอันตรายแม้ว่าผู้ใช้จะถูกลวงให้คลิกลิงก์อันตรายก็ตาม
      
      นอกจากนี้ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการเปิดข้อความและคลิกลิงก์ของไซต์แม้ว่าจะดูเหมือนว่ามาจากเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊ก และ/หรือ ทวิตเตอร์ ก็ตาม สำหรับสิ่งที่อาจบ่งชี้ได้ว่าข้อความที่ได้รับนั้นเป็นสแปมหรือฟิชชิ่ง อาจดูได้จากข้อผิดพลาดของเครื่องหมายวรรคตอนและไวยากรณ์ที่เห็นได้ชัดเจนในหลายจุด ซึ่งเป็นเพียงบางตัวอย่างที่จะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้รู้ได้ว่าไซต์ที่พวกเขากำลังเข้าเยี่ยมชมนั้นไม่ใช่ไซต์ที่ถูกต้อง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Samsung ลดราคา Galaxy Tab เหลือ 14,900 ก่อนรุ่นใหม่เข้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 22:59:26
ซัมซุง ประกาศเตรียมลดราคา Galaxy Tab รุ่นแรกเหลือ 14,900 บาท มีผลวันที่ 4 เมษายนนี้ โดยให้เหตุผลว่าในต่างประเทศได้มีการเปิดตัว Galaxy Tab รุ่นใหม่ 10.1 นิ้ว ซึ่งมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าซัมซุงประเทศไทยเตรียมพร้อมที่จะนำเข้ามาจำหน่ายส่งผลให้เกิดการปรับราคาครั้งล่าสุด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004396601.JPEG)

      นายวิชัย พรพระตั้ง ผู้อำนวยการธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ให้ข้อมูลถึงการปรับราคาครั้งล่าสุดว่า การที่แบรนด์คู่แข่งได้เปิดตัวเครื่องรุ่นที่ 2 ออกมาด้วยขนาดที่บางกว่าเดิม ทำให้แท็บเล็ตรุ่นแรกของแบรนด์เดียวกันต้องทำการลดราคาลงมาอยู่ที่หนึ่งหมื่นต้นๆ ทางซัมซุงในฐานะที่มีศักยภาพในการผลิตจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่
      
      "ซัมซุงสามารถที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ออกมาโดยมีรูปโฉมที่บางลงจากที่เปิดตัวครั้งแรกที่ 10.9 มม. เป็น 8.6 มม. ในราคาที่ย่อมเยาว์ลง หรือเริ่มต้นเพียง 499 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น สำหรับความจุ 16 กิกะไบต์ นับว่าเป็นการมองสถานการณ์ได้ขาด และปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว”
      
      ส่วนแผนการทำตลาด Galaxy Tab ของซัมซุงนั้นจะยังคงจำหน่ายรุ่นขนาด 7 นิ้ว ต่อไปอย่างน้อยจนกระทั่งสิ้นปี แต่ด้วยกระแสการแข่งขันที่รุนแรง ประกอบกับการตัดราคาขาย และมีการนำเครื่องหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าเป็นจำนวนมาก ทำให้ซัมซุงตัดสินใจปรับกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค
      
      โดยซัมซุง Galaxy Tab ขนาด 7 นิ้ว จะวางจำหน่ายในราคา 14,900 บาท ตั้งแต่ 4 เมษายนนี้ เป็นต้นไปที่ร้านซัมซุง ช็อป และตัวแทนจำหน่ายซัมซุงทั่วประเทศ ทั้งนี้ Galaxy Tab ได้มีการปรับราคามาแล้วทั้งหมดด้วยกัน 2 ครั้ง คือจากราคาเปิดตัวที่ 22,900 บาท พร้อมแพกแกจโปรโมชันร่วมกันทางเอไอเอส และปรับลดลงมาอยู่ที่ 18,900 บาท ก่อนที่จะปรับลงมาเป็น 14,900 บาทในท้ายที่สุด

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ทุกอย่างซื้อได้ด้วยสมาร์ทโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 01 เมษายน 2011, 23:20:27
Google อิงค์ ผนึกกำลังกับมาสเตอร์การ์ด อิงค์ และซิตี้กรุ๊ป อิงค์ เพื่อนำเทคโนโลยีในโทรศัพท์มือถือที่ใช้แอนดรอยด์เข้ามาใช้ เปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้า ด้วยการโบกสมาร์ทโฟนของตัวเอง เหนือเครื่องอ่านเล็ก ที่โต๊ะจ่ายเงิน
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/04/01/images/news_img_384908_1.jpg)

การเคลื่อนไหวข้างต้นเกิดขึ้นเพราะยักษ์ใหญ่ให้บริการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ตั้งเป้าที่จะให้การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้น ในความพยายามที่จะหนุนธุรกิจโฆษณาของตัวเอง
 
ระบบชำระเงินที่วางแผนไว้นั้น จะช่วยให้ผู้ค้าปลีกมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ามากขึ้น และช่วยให้สามารถพุ่งเป้าโฆษณา และข้อเสนอลดราคา สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่อยู่ใกล้กับร้าน
 
โครงการดังกล่าว ซึ่งยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นนั้น จะให้ผู้ที่ถือบัตรกดเงินสด และบัตรเครดิตของซิตี้กรุ๊ป ชำระค่าสินค้า ด้วยการทำงานผ่านแอพลิเคชั่นชำระเงินทางโทรศัพท์มือถือ ที่พัฒนาขึ้นจากรูปแบบที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และอีกมากมายที่จะตามมาสำหรับโทรศัพท์แอนดรอยด์
 
แนวคิดสำหรับเรื่องนี้ อยู่ตรงที่ว่า การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นเหมือนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์
 
ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้โทรศัพท์ประเภทนี้ จะสามารถเข้าถึงโฆษณา หรือข้อเสนอลดราคา ที่ตรงตามเป้าหมาย ซึ่งกูเกิลหวังว่าจะเป็นแนวคิดที่บรรดาผู้ค้าท้องถิ่นให้ความสนใจ
 
นอกจากนี้ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนยังสามารถบริหารจัดการบัญชีบัตรเครดิตของตัวเอง และตามรอยการใช้จ่าย ผ่านทางแอพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ของตัวเอง
 
บริษัทรายอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการนี้ รวมถึง เวอไรโฟน ซิสเต็มส์ อิงค์ ผู้ผลิตเครื่องอ่านบัตรเครดิต สำหรับการจ่ายเงินสด โดยเวอไรโฟนจะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เรียกว่า การติดต่อที่น้อยลง หรือเครื่องอ่านที่เปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินเพียงแค่โบก หรือแตะบัตรพลาสติกของตัวเอง และยังใช้สมาร์ทโฟนแตะที่เครื่องอ่าน เพื่อชำระเงินได้ด้วย
 
เครื่องอ่านบัตรเครดิตดังกล่าว ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารภาคสนามแทบทุกอย่างที่มีอยู่ และร้านค้าหลายพันร้านทั่วโลกใช้กันอยู่แล้ว
 
ปัจจุบัน ผู้บริโภคที่มีบัตรเครดิตซึ่งใช้เทคโนโลยีดังกล่าว มีทางเลือกที่จะโบกบัตรหน้าเครื่องอ่าน แทนที่จะต้องใช้วิธีการรูดแบบเดิม ซึ่งซอฟต์แวร์อุปกรณ์พกพาระบบแอนดรอยด์ของกูเกิล  ที่มีใช้อยู่ตามอุปกรณ์ประเภทต่างๆ นับร้อยชนิด สนับสนุนเทคโนโลยีนี้

อย่างไรก็ดี ระบบชำระเงินนี้ ไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างใหญ่หลวงแต่อย่างใด เพราะการที่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิตในการซื้อขายสินค้านั้น บริษัทผู้ออกบัตรจะต้องรับผิดชอบครอบคลุมถึงการซื้อขายที่ไม่ผ่านการอนุญาตด้วย
 
นิค ฮอล์แลนด์ นักวิเคราะห์ด้านการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือ จากแยงกี้ กรุ๊ป ชี้ว่า เทคโนโลยีดังกล่าวมีความซับซ้อนมากกว่าเทคโนโลยีบัตรเครดิต ที่มีเพียงแถบแม่เหล็กเท่านั้น ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะขโมยข้อมูลการชำระเงินของผู้บริโภคได้
 
ทั้งนี้ ระบบที่สนับสนุนโดยกูเกิล ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้ ถือเป็นความพยายามล่าสุด ที่จะขยายวงการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันให้กว้างขวางมากขึ้น ไล่ตั้งแต่การสนทนา ไปจนถึง การส่งอีเมล และชอปปิง
 
อุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรคมนาคม เทคโนโลยี และบริการทางการเงิน ล้วนแต่มองหากลยุทธ์ ที่จะทำให้ตัวเองผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ผู้บริโภคใช้โทรศัพท์ของตัวเองจ่ายเงินซื้อสินค้า ซึ่งการนำเสนอทางเลือกนี้ จะเปิดทางให้ผู้ผลิตอุปกรณ์มือถือ อย่าง แอ๊ปเปิ้ล อิงค์ สามารถขายโทรศัพท์ของแต่ละรายได้มากขึ้น
 
เมื่อปลายปีที่แล้ว ผู้ให้บริการไร้สาย เวอไรซอน ไวร์เลส บริษัทร่วมทุนระหว่างโวดาโฟน กรุ๊ป และเวอไรซอน คอมมูนิเคชั่นส์ อิงค์  รวมถึง เอที แอนด์ ที อิงค์ และที โมบายล์ ยูเอสเอ ระบุว่า จะร่วมมือกันลงทุน ที่มีชื่อว่า ไอซิส เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคจ่ายเงินด้วยสมาร์ทโฟน ขณะที่ดิสคัฟเวอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส อิงค์ จะเป็นผู้ดำเนินกระบวนการจ่ายเงินดังกล่าว ที่มีศักยภาพพอสำหรับการกำจัดความจำเป็นที่จะต้องถือเงินสด บัตรเครดิต และบัตรเงินสด
 
ความเคลื่อนไหวของกูเกิล ยังเป็นส่วนหนึ่งของข้อเรียกร้องที่จะให้มีการขายโฆษณา และบริการอื่นๆ ให้กับผู้ค้าปลีกท้องถิ่น ที่มีการขยายตัวในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างมาก

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: aonza ที่ 02 เมษายน 2011, 14:52:26
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันข่าวสารครับ

 :wanwan017:  :wanwan017:


หัวข้อ: ระวัง!!! มัลแวร์เจาะเว็บทั่วโลก 1.5M แห่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 เมษายน 2011, 22:33:36
รายงานข่าวล่าสุด บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยระบุว่า พบการโจมตีครั้งใหญ่ที่ผู้บุกรุกพยายามใช้ scareware ในการหลอก พร้อมทั้งขู่ผู้ใช้ที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 1.5 ล้านแห่ง (และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหน้าเว็บต่างๆ ของ Apple iTunes Store) โดยอ้างว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อมีมัลแวร์ และพยายามขายแอพพลิเคชันแอนตี้ไวรัสปลอมๆ

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/lizamon-sql-injection-attack-with-scareware-on-1-5-million-sites-3.jpg)

Websense Security Labs เปิดเผยว่า เว็บไซต์หลายล้านแห่งกำลังโดนโจมตีด้วยมัลแวร์ที่มีชื่อว่า LizaMoon โดยที่เว็บไซต์เหล่านี้ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ โดยตามรายงานข่าวมีหน้าเว็บมากกว่า 500,000 เพจที่ถูกดัดแปลงให้ลิงค์เข้าไปยังเว็บไซต์ lizamoon.com ในขณะที่มากกว่า 1.5 ล้านเว็บไซต์ดูเหมือนจะถูกโจมตีในลักษณะเดียวกันนี้ (ถูกแทรกสคริปท์อันตรายเข้าไป)

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/lizamon-sql-injection-attack-with-scareware-on-1-5-million-sites-2.gif)

LizaMoon ใช้เทคนิคที่เรียกว่า "SQL injection attack" โดยเริ่มโจมตีตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเว็บไซต์ที่โดนโจมตีจะถูกแทรกสคริปท์ (ชุดคำสั่ง) ที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่โดนเล่นงาน ได้รับการแจ้งเตือนว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัส และจะต้องซื้อโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมของพวกมัน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การโจมตีของ LizaMoon ยากต่อการควบคุม โดยล่าสุดเว็บไซต์ที่โดนโจมตีไปแล้วมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ก็จะมีเว็บไซต์ในอังกฤษ คูเวต อินเดีย ออสเตรเลีย ตุรกี บราซิล อิสราเอล เม็กซิโก ไต้หวัน ชิลี ฯลฯ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ทายาทไอน์สไตน์ชี้โทรคมฯ ไทยยังล้าหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 03 เมษายน 2011, 19:58:53
นักวิเคราะห์ของ “ฟรอสต์ แอนด์ ซิลลิแวน” ซึ่งเป็นทายาทของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ฟันธงโทรคมนาคมไทยยังล้าหลัง ถึงแม้ยอดซิมมือถือจะโตเกิน 100% แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณที่ดี เมื่อบรอดแบนด์ไทยมีเพียง 8% ล้าหลังเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาค ระบุหนทางแก้ต้องเร่งเรื่องบรอดแบรนด์และ 3G
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004419201.JPEG)
Marc Einstein นักวิจัยตลาดซึ่งเป็นหนึ่งในเชื้อสายของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์

   นายมาร์ค ไอน์สไตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด องค์กรที่ให้คำปรึกษาและงานวิจัย กล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทยว่า หากดูจากการเติบโตของจำนวนซิมมือถือที่เป็น 2G ในปัจจุบัน เกินกว่า 100% ขณะที่สัดส่วนของผู้ใช้มือถือมีถึง 86-87% ซึ่งประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีผลการวิจัยที่ระบุว่า กลุ่มประเทศที่อยู่ในตลาดเจริญแล้ว มักจะเป็นประเทศที่มีการอัตราของซิมต่อครัวเรือนในประเทศมากกว่า 50% ขึ้น จะส่งผลให้ประเทศนั้นๆ มักจะมีอัตราการใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในอัตราที่สูงด้วย
   
   แต่สำหรับประเทศไทยในส่วนของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตกลับมีจำนวนเพียง 8% ของครัวเรือนประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งล้าหลังมาก จะมีเพียง 4 ประเทศที่ประเทศไทยยังนำหน้าอยู่ ประกอบไปด้วย ปากีสถาน อินโดนีเซีย อินเดียเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวการลงทุนทางด้านเครือข่ายของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทรู รวมไปถึง บริษัท ทีที แอนด์ ที่ จำกัด (มหาชน) หรือทีทีแอนด์ที โดยลงทุนในเรื่องของเพิ่มความเร็วในโหนดมากกว่า ที่จะเป็นการขยายเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกออกไป
   
   นายมาร์คยังกล่าวอีกว่า การที่ประเทศไทยมีความล้าหลังในธุรกิจโทรคมนาคม มีสาเหตุมากจากการขยายตัวของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตที่ล้าช้า ซึ่งประเทศไทยควรที่จะมีการใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตตามบ้านมากกว่านี้ ในประเทศที่เจริญแล้วมีการใช้งานเกิน 30% ขึ้นไป
   
   “แนวโน้มน่าจะดีเมื่อภาครัฐมีแผนทีผลักดันบรอดแบนด์แห่งชาติออกมาในเร็วๆ นี้ น่าจะมีผลดีอย่างแน่นอน”
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004419202.JPEG)

   อีกเรื่องหนึ่งที่นายมาร์คให้ความสำคัญก็คือ เรื่องของเครือข่าย 3G ที่ประเทศไทยล้าหลังกว่าประเทศอื่นค่อนข้างมาก มีเพียงปากีสถาน บังคลาเทศเท่านั้นที่ยังไม่มี ประเทศอินเดียกำลังเพิ่งเริมต้น แล้วถัดมาเป็นเทศไทย
   
   “หากดูจากแผนการพัฒนาเครือข่าย 4G ในเอเชียจะพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีแผนที่จะดำเนินการใดๆ เลย ต่างจากประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายๆ กับไทยหลายๆ ด้าน แต่กลับมีแผนที่จะลงทุน 4G แล้ว”
   
   นายมาร์คยังวิเคราะห์อีกว่า การที่ตลาดโทรคมนาคมของประเทศไทยยังไปไม่ถึงไหน ไม่ว่าจะเป็นเทคน์โลยี 3G หรือบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยถึงแม้จะมีองค์กรอิสระที่กำกับดูแลบริการกิจการโทรคมนาคมแล้วก็ตาม แต่กลับไม่มีอำนาจในการควบคุมที่ชัดเจนพอที่จะบังคับให้เป็นไปตามกรอบนโยบายหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งแตกต่างจากในประเทศอื่นที่มีอิสระทั้งทางด้านนโยบายและอำนาจในการบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ
   
   “ปัญหานี้แตกต่างจากประเทศอื่น ตรงที่ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากมีความซับซ้อนในเรื่องของสัญญาสัมปทานของทีโอทีและ กสท เดิมที่เป็นผู้กำกับดูแลแต่หลังจากที่มีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ที่เข้าทำหน้าที่แทน ทำให้เรื่องการให้บริการโทรคมนาคมกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์แทน”
   
   สำหรับมาร์ค ไอน์สไตน์ หรือ Marc Einstein ซึ่งสืบสายเลือด “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” นั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์ตลาดโทรคมนาคมในเอเชียแปซิฟิกของฟรอสต์แอนด์ซัลลิแวน ข้อมูลระบุว่ามาร์คเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์กลยุทธ์พัฒนาตลาดทั้งด้านแอปพลิเคชัน เครือข่ายทั้ง WIMAX และ 3G สำหรับตลาดซึ่งมีกำไรต่อหน่วยต่ำ เคยเป็นวิทยากรให้แก่มหาวิทยาลัยรังสิตในประเทศไทย โดยนอกจากภาษาอังกฤษ ลูกหลานไอน์สไตน์รายนี้สามารถพูดได้ทั้งภาษาฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ไทย ญี่ปุ่น และจีนกลาง

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ใช้ "มือกลผ่าตัด" พับเครื่องบินขนาดจิ๋ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 เมษายน 2011, 20:57:25
เทคโนโลยีทางด้านการแพทย์รุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะเรื่องของการผ่าตัดรักษาอวัยวะที่มีความซับซ้อนอย่างหัวใจ ซึ่งจากเดิมที่จะต้องลงมีดเปิดแผลให้มีขนาดใหญ่ เพื่อให้แพทย์ที่ทำการรักษาได้อย่างสะดวก ปัจจุบันมันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นการใช้"แขนกลขนาดเล็ก"ทีมีความแม่นยำในการควบคุมที่สูงมากทีเดียว ซึ่งนอกจากจะทำให้บาดแผลที่เกิดจากการผ่าตัดเล็กกว่าเดิมแล้ว มันยังมีความปลอดภัยมากกว่าอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Surgeon-Robotic-Hands-Make-Tiny-Paper-Airplane-2.jpg)

นายแพทย์ James Porter แห่งศูนย์การแพทย์ในซีแอทเติลต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่า เจ้าแขนกลจิ๋วที่ใช้ในการผ่าตัดนั้นมีความแม่นยำ และคล่องแคล่วเพียงใด ว่าแล้วเขาก็เลยบันทึกวิดีโอการทำงานของแขนกลจิ๋วด้วยการใช้มันพับเครื่องบินกระดาษทีมีขนาดเล็กมากๆ จนดูเหมือนกับเป็นการใช้นิ้วมือหยิบจับพับกระดาษด้วยตัวเองเลยทีเดียว ซึ่ง Porter กำลังจะแสดงให้เห็นว่า เจ้าแขนกลจิ๋วนี้จะสามารถช่วยนายแพทย์ในการผ่าตัดคนไข้ได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กันนั่นเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Hasbro MY3D กล้องเกม 3 มิติ iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 เมษายน 2011, 21:11:32
หลังจากที่เป็นข่าวสำหรับแก็ดเจ็ต (Gadget) ที่หลายคนให้ความสนใจกันอย่างมากมายไปแล้วก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ My3D กล้องที่ทำให้คุณสามารถเล่นเกมส์ 3D บน iPhone หรือ iPod Touch ได้ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นของ Hasbro (บ.เจ้าของลิขสิทธิ์ Transformers) ซึ่งดีไซน์ของมันจะคล้ายๆ กับ View-Master กล้องของเล่นสมัยก่อน

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/my3d-3d-viewer-for-iphone-ipod-touch-from-hasbro-2.jpg)

My3D ได้รับการออกแบบให้มีลัษณะเป็นกล้องพร้อมเลนส์ 2 ตาที่ใช้สำหรับการมองเข้าไปด้านใน ส่วนอีกด้านหนึ่งจะสามารถเปิดออกมา เพื่อใส่ iPhone หรือ iPod Touch โดยหันด้านที่เป็นหน้าจอเข้าไปยังเลนส์ทั้งสอง ด้านล่างของกล้องบริเวณใต้หน้าจอ iPhone หรือ iPod Touch จะทำเป็นช่องให้คุณสามารถใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ เพื่อควบคุมเกมส์ได้ อย่างไรก็ดี เกมส์บางเกมส์ก็อาจจะใช้เซ็นเซอร์ accelerometer ในการควบคุม ผู้เล่นก็ไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วในการสัมผัสหน้้าจอแต่อย่างใด แต่ใช้การขยับตัวกล้อง My3D แทน

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/my3d-3d-viewer-for-iphone-ipod-touch-from-hasbro-3.jpg)

My3D ใช้หลักการพื้นฐานของการมองเห็นภาพ 3 มิตินั่นก็คือ การที่ตาแต่ละข้างของคุณได้มองเห็นภาพ 2 ภาพทีมีมุมมองแตกต่างกัน (เลียนแบบการมองเห็นของตาจริง) ซึ่งเกมสส์ของ My3D จะแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน เพื่อให้มองเห็นด้วยตาคนละข้างผ่านเลนส์สองตาบนกล้อง My3D นั่นเอง โดยผู้เล่นสามารถดาวน์โหลดแอพฯได้จาก iTunes App Store ทาง Hasbro ประกาศว่าจะวางจำหน่าย My3D ในห้าง Target ตั้งแต่วันที 3 เมษายนเป็นต้นไป มี 2 สีให้เลือก (ดำกับขาว) สนนราคาอยู่ที่ 34.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,100 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: มาแล้ว!!! ยำข่าวลือเกี่ยวกับ Apple iPhone 5
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 เมษายน 2011, 21:28:38
บริษัทไฮเทคฯหลายๆ รายคงจะรู้สึกอิจฉา Apple ที่มักจะมีรายงานข่าวเกียวกับผลิตภัณฑ์ออกมาล่วงหน้าให้ได้ยินกันเป็นระยะๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำประชาสัมพันธ์เลยแม้แต่น้อย แม้รายงานข่าวล่าสุดจะระบุว่า เราจะไม่มีโอกาสได้เห็น iPhone 5 จนกว่าจะถึงช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ iPhone รุ่นใหม่ยังคงมีการพูดถึงมาโดยตลอด...

ข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 5 ของ Apple ยังคงมีให้ได้ยินตลอดเวลา แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ iPhone5 จะมีคุณสมบัติการทำงานอะไรบ้าง? ที่เหนือกว่า iPhone 4 ซึ่งช่วงที่ผ่านมา สื่อมวลชน คนวงใน ตลอดจนกูรูในวงการต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆ ใน iPhone 5 ให้ได้ยินกันอย่างสม่ำเสมอ ล่าสุดเว็บไซต์ Nowhereelse ในฝรั่งเศสได้รวบรวมข่าวลือดังกล่าว พร้อมทั้งให้ % ความเป็นไปได้ของคุณสมบัติเหล่านั้นในรูปแบบของ Infographic ด้วย ไม่ว่าจะเป็น จอใหญ่ ไร้ปุ่ม Home ความละเอียดที่ดีขึ้นไปอีก หรือแม้แต่กล้อง 8 ล้านพิกเซล แต่นี่แค่บางส่วนเท่านั้นสำหรับฟีเจอร์ต่างๆ ที่เป็นข่าวลือกันออกมา อยากรู้ว่ามันยังมีอะไรอีกบ้างก็ลองดูเอาจาก infographic ที่นำมาฝากกันดีกว่าครับ

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-rumors-infographic-1.jpg)
(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-rumors-infographic-2.jpg)
(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-rumors-infographic-3.jpg)
(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-rumors-infographic-4.jpg)
(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-rumors-infographic-5.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: รั่ว!!! Windows 8 ใช้เมนู Ribbon ใน Explorer
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 เมษายน 2011, 22:11:34
ข่าวฮอตในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของภาพหน้าจอรั่วของ Windows 8 ที่เผยให้เห็นส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI: User Interface) ของ Explorer ที่เมนูบาร์ใน Windows 8 จะใช้เป็น Ribbon แบบเดียวกับที่เห็นใน Office 2010 รวมถึงหน้าจอ Windows 8 Welcome (หน้า Log-on) ที่มีดีไซน์ให้เหมาะกับการใช้งานกับแท็บเล็ต (tablet) ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-8/windows-8-welcome-screen.jpg)

Microsoft ได้ส่งมอบ Windows 8 รุ่นทดสอบที่เรียกว่า Milestone 3 ให้กับพันธมิตรทางด้านฮาร์ดแวร์เพียงไม่กี่ราย ซึ่งล่าสุดภาพหน้าจอ Welcome และ Windows Explorer ของ Windows 8 ได้ถูกส่งให้กับ Rafael Rivera จาก Windows Hacker โดยภาพหน้าจอดังกล่าว เผยให้เห็นว่า มันมีการใช้ Ribbon UI ที่ผู้ใช้หลายคนเริ่มคุ้นเคยจากใน MS Office และ MS Paint กันแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-8/windows-8-adds-ribbon-UI-on-windows-explorer.jpg)

สำหรับผู้ใช้ Windows 7 จะสังเกตเห็นการใช้ Ribbon UI ได้ในโปรแกรมอย่าง Paint และ Wordpad ซึ่งรูปแบบ UI ลักษณะนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของตัวเลือกในเมนูได้เร็วขึ้น เนื่องจากมันลดขั้นตอนการเปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ลงไป ซึ่งสำหรับการใช้ Ribbon UI ใน Windows Explorer บน Windows 8 ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงตัวเลือกอย่าง Sync และ Web Sharing เพื่ออัพโหลดข้อมูลไปยังบริการ Cloud อย่างเช่น Skydrive และอื่นๆ ได้ทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-8/windows-8-expand-meu-file-features-to-sync-store-on-cloud-services.jpg)

นอกจากนี้ Microsoft ยังได้เพิ่มคุณสมบัติต่างๆ ของการใช้งาน Web เข้าไปใน Windows 8 ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย โดยเฉพาะบริการสำหรับ cloud computing ทั้งนี้ Rivera ชี้ประเด็นว่า Ribbon UI ใน Windows Explorer จะมีการเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานบนเมนู File มากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่า Windows 8 จะเป็นการพลิกโฉมการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ของผู้ใช้ทั่วโลกเลยก็ว่าได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iPod Nano รุ่นต่อไปมาพร้อม "กล้อง"?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 เมษายน 2011, 22:47:54
iPod Nano รุ่นที่ 6 ที่กำลังวางตลาดอยู่ในปัจจุบัน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนวตกรรมเครื่องเล่นมีเดียขนาดเล็กที่มาพร้อมกับจอสัมผัส แต่สิ่งหนึ่งที่มันขาดหายไปจากรุ่นที่ 5 นั่นก็คือ "กล้องบันทึกวิดีโอ" รายงานข่าวล่าสุด ภาพชิ้นส่วนของ iPod Nano รุ่นใหม่ที่หลุดออกมาดูเหมือนจะมีการติดตั้งกล้องไว้ที่ด้านหลังในขณะที่ขนาดของเครื่องยังคงเท่าเดิม

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iPod-nano-7th-adds-video-camera-2.jpg)

ภาพชิ้นส่วนของ iPod Nano ที่อ้างว่าเป็นของรุ่นที่ 7 ได้ถูกโพสต์บนเว็บไซต์ Apple.pro ของจีน ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นว่า iPod Nano รุ่นถัดไปจะยังคงมีดีไซน์ของตัวเครื่องเหมือนรุ่นปัจจุบัน นั่นก็คือ มันมีช่องติดตั้งเลนส์ด้านหลังที่บริเวณมุมของตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งหากมันเป็นเรื่อจริงๆ (ไม่ใช่เว็บไซต์ในไต้หวันนึกอยากสนุกก็เลยอำกันเล่นๆ ในวันเมษาหน้าโง่) iPod Nono รุ่นต่อไปจะมาพร้อมกับกล้องที่สามารถบันทึกวิดีโอได้ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iPod-nano-7th-adds-video-camera-3.jpg)

ภาพของ iPod Nano รุ่นที่ 7 ได้ถูกโพสต์บน Apple.pro เมื่อสองวันที่ผ่านมา ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับเคสของ iPod Nano รุ่นปัจจุบันที่มีการชำแหละออกมาให้เห็นภายในโดยเว็บไซต์ iFixit ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า บริเวณมุมบนด้านขวาของด้านหลังที่มีการเจาะช่อง เพื่อใส่เลนส์ของกล้องวิดีโอนั่นเอง การเพิ่มกล้องวิดีโอกลับไปใน iPod Nano รุ่นใหม่ น่าจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำทางด้านดีไซน์อีกครั้งของ Apple และเชื่อว่า ผู้บริโภคที่ไม่เคยสนใจเครื่องเล่นมีเดียขนาดเล็กตัวนี้ อาจจะต้องหันกลับมามองมันอีกครั้ง ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องอำกันนะ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: 100z ที่ 04 เมษายน 2011, 22:55:36
ไหนเค้าบอกว่า iPhone 5 ไม่ออกปีนี้ละ 


หัวข้อ: เผยหน้าจอ Windows 8 บน "แท็บเล็ต"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 เมษายน 2011, 21:54:03
ช่วงนี้ภาพหน้าจอของระบบปฏิบัติการรุ่นถัดไปของไมโครซอฟท์ (Microsoft) เริ่มปล่อยออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ภาพหน้าจอที่หลุดออกมาจะไม่ได้แสดงให้เห็นคุณสมบัติการทำงานมากมายนัก คงมีแต่ภาพของหน้าจอเริ่มต้นการทำงาน หรือหน้าจอตั้งค่า และชุดตัวอักษรต่างๆ ซึ่งหลังจากเมื่อวานที่ได้มีเปิดเผยภาพของ Windows Explorer บน Windows 8 กันไปแล้ว วันนี้ Rafael River ได้โพสต์ภาพหน้าจอของ Windows 8 บน"แท็บเล็ต"มาให้ได้ยลกันแล้ว

หลังจาก Rivera โพสต์ภาพอินเตอร์เฟซ Windows 8 เวอร์ชันแท็บเล็ตขึ้นไปบนเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้ก็แห่กันเข้าไปดูจนเว็บไซต์ล่มไปเลย สำหรับภาพหน้าจอ"แท็บเล็ต" Windows 8 ชุดแรกที่มีการปล่อยออกมานี้จะสังเกตเห็นส่วนของช่องสี่เหลี่ยมจตุรัสที่วางเรียงรายกันอยู่ ซึ่งดูเหมือนหน้าจอ Home Screen ของ Windows Phone 7 โดยแต่ละช่องจะสามารถเปิดหน้าเว็บเพจ หรือเว็บแอพให้ทำงานบน Internet Explorer แบบเต็มหน้าจอได้

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-8/windows-8-interface-on-tablet-comes-with-e-reader-and-web-apps-2.jpg)

ส่วนภาพหน้าจอ"แท็บเล็ต"ของ Windows 8 ชุดที่สองจะโชว์ให้เห็นแอพพลิเคชันอีรีดเดอร์ตัวใหม่ที่คาดว่าน่าจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ โดยจะสนับสนุนฟอร์แมต PDF ของ Adobe ในตัว ผู้ใช้ไม่ต้องดาวน์โหลด Adobe Reader เพิ่มเติมแต่อย่างใด นอกจากนี้ มันยังมาพร้อมกับรูปแบบการใช้งานในระบบสัมผัส เพื่อย่อหรือขยายหน้าเอกสาร (หรือ e-book) และ Page Scrubber ที่ปรากฎทางด้านขวาของหน้าจอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถกระโดดข้ามไปดูหน้าต่างๆ ในเอกสารได้เร็วขึ้น

(http://www.arip.co.th/images/news/windows-8/windows-8-interface-on-tablet-comes-with-e-reader-and-web-apps-3.jpg)

ในส่วนของแอพฯทั้งหมดที่ทำงานบน"แท็บเล็ต" Windows 8 จะอยู่ในรูปแบบไฟล์ชนิดใหม่เรียกว่า AppX (.appx) ซึ่งไมโครซอฟท์กำลังอยู่ในระหว่างการแนะนำนักพัฒนาสำหรับวิธีการปรับแต่งแอพบน Windows Phone 7 ให้อยู่ในรูปของ AppX เพื่อวางจำหน่ายแอพฯเหล่านี้บนแอพสโตร์ต่อไป

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Sony ปูดทำกล้อง 8MP ให้ Apple iPhone 5
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 เมษายน 2011, 22:09:43
รายงานข่าวล่าสุด โซนี่ (Sony) บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นเผย ทางบริษัทกำลังพัฒนาประสิทธิภาพของกล้องที่จะมาพร้อมกับ iPhone 5 ซึ่งนั้นหมายความว่า กล้องของ iPhone 5 จะมีความละเอียดที่สูงขึ้น และมีประสืทธิภาพดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกัน Sony ก็จะได้เป็นผู้นำในส่วนแบ่งตลาดกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟนอีกด้วย

(http://www.thaievo.com/wpte/wp-content/uploads/2010/06/iphone4.png)

Howard Stringer ซีอีโอของ Sony ได้ให้สัมภาษณ์กับ Walt Mossberg จาก Wall Street Journal โดยเขากล่าวว่า "มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เหตุใดผม (Sony) ถึงต้องเป็นผู้ผลิตกล้องที่ดีที่สุดให้กับ Apple?" อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครพูดถึงกล้องบน iPhone ว่ามันดีเด่นอย่างไร แต่เนื่องจากล้องที่ใช้กับ iPhone ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผลิตโดย OmniVision ดังนั้นควาหมายของคำว่า "กล้องที่ดีทีสุด" ที่ซีอีโอของ Sony กล่าวจึงน่าจะหมายถึง กล้องที่ทางบริษัทผลิตและใช้กับ iPhone 5 ที่ยังไม่มีการเปิดตัว และคาดว่า Apple อาจจะกั๊ก iPhone 5 ไว้จนถึงช่วงวันหยุดปลายปี

นอกจาก Sony จะทำกล้องไว้ใช้กับ iPhone 5 แล้ว ยังมีการคาดการณ์อีกด้วยว่า กล้องที่จะมาพร้อมกับ iPod Nano รุ่นที่ 7 ที่เพิ่งจะมีภาพหลุดออกมาจากเว็บไซต์ไต้หวันเมื่อวานนี้ ก็อาจจะใช้กล้องที่ผลิตโดย Sony ด้วยเช่นกัน สตีฟ จอบส์เองนอกจากจะแอนตี้ Flash ของ Adobe แล้ว เขายังไม่เชื่อในคุณภาพของการใช้แฟลชร่วมกับกล้องอีกด้วย ซึ่งหาก iPhone 5 มาพร้อมกับกล้องที่ละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล แต่กลับไม่มีแฟลช คุณภาพของภาพถ่ายในที่ๆ มีแสงน้อยก็ไม่อาจจะสร้างความประทับใจได้ งานนี้คงต้องดูกันต่อไปว่า จอบส์จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร? แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ Stringer ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ล่าสุด ผู้ใช้น่าจะได้ใช้กล้องบน iPhone 5 ที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Firefox 5 เพิ่มโซเชียลฯ แท็บโฮม+แอพ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 เมษายน 2011, 22:29:14
Firefox 4 เพิ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทาง Mozilla ก็เริ่มปล่อยรายละเอียดเกี่ยวกับ Firefox 5 ออกมายั่วน้ำลายผู้ใช้ทั่วโลกทันที โดยบราวเซอร์เวอร์ชันถัดไปของทางบริษัทจะมีการเปลียนแปลงที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) และการอัพเดตคุณสมบัติทางด้าน Social Network เข้าไปใน Firefox ตลอดจนคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่ใช้งานได้ดีที่พบได้ในบราวเซอร์คู่แข่งอย่าง Chrome ของ Google

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-5-adds-social-network-home-tab-app-tab-pdf-viewer-and-more-2.jpg)

สำหรับ Firefox 5 ตอนนี้ยังเป็นเวอร์ชัน Firefox 4.2apre และยังไม่มีอะไรใหม่ให้เห็นมากนัก แต่คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ โดยพร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดในช่วงประมาณวันที่ 29 มิถุนายน ศกนี้ ซึ่งในส่วนของประสบการณ์ในการใช้งาน Firefox UX ได้มีการเปิดเผยคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกมาถึง 9 รายการ ดังนี้

1. Tab ที่สามารถเลือกหลายอันได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพิ่งจะพบได้ใน Chrome โดยผู้ใช้สามารถเลือกแท็บได้มากกว่าหนึ่ง เพื่อปิด (close) ย้าย (move) หรือแปลงเป็นแท็บแอพฯ (app tabs) ได้ในคราวเดียว

2. หน้าแท็บใหม่ที่ยังไม่มีการทำตัวอย่างออกมาให้เห็น

3. Add-ons จะมีทูลบาร์ที่พร้อมใช้งาน

4. อินเตอร์เฟซแสดงสถานะการอัพโหลดไฟล์ (File upload indicator)

5. ปุ่มโฮม (Home button) จะหายไป แต่แทนที่ด้วยแท็บ Home app

6. พรีวิวเอกสารในบราวเซอร์ (In-browser preview) โดย Firefox จะเชื่อมการทำงานร่วมกับ PDF viewer (เหมือน Chrome อีกแล้ว) และเพิ่มขีดความสามารถในการรับรองไฟล์ฟอร์แมตยอดฮิตต่างๆ รวมถึง MP3

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-5-adds-social-network-home-tab-app-tab-pdf-viewer-and-more-3.jpg)

7. Taskbar สำหรับเว็บแอพฯ โดยแท็บต่างๆ จะมีเมนู Context เป็นของมันเอง ซึ่งสามารถคอนฟิกโดยเจ้าของเว็บไซต์ นอกจากนี้ เว็บไซต์ต่างๆ ยังสามารถใช้งานพวกมันได้เหมือนแอพฯจริงๆ และมีคุณสมบัติการทำงานหลักๆ ครบถ้วน

8. ระบบจัดการระบุตัวตน (Indentity Management) Firefox 5 จะสามารถเก็บค่าที่คุณใช้ sign up กับเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ มันยังสามารถสั่ง log-out ได้พร้อมกันในคราวเดียวอีกต่างหาก

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-5-adds-social-network-home-tab-app-tab-pdf-viewer-and-more-4.jpg)

9. คุณสมบัติการแชร์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ห็นได้ชัดสำหรับ Firefox 5 โดยเฉพาะโลโกรูปเครื่องบินกระดาษในช่องใส่ URL จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบัญขีผู้ใช้ Social Network อย่าง Facebook หรือ Twitter และอื่นๆ อีกมากมายได้ ซึ่งทำให้คุณสามารถแชร์สถานะจากช่องป้อน URL ได้โดยตรง

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-5-adds-social-network-home-tab-app-tab-pdf-viewer-and-more-5.jpg)

ดูเหมือน Mozilla พยายามเร่งเครือง Firefox โดยรอบของการออกเวอร์ชันใหม่ในปัจจุบันจะเป็น 16 - 18 สัปดาห์ (ประมาณ 4 เดือนครั้ง) ซึ่งนั่นหมายความว่า Mozilla จะสามารถออกบราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ได้ 3 ครั้งต่อปี ทั้งนี้ เพื่อทิ้งคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่าง Chrome และไล่เบี้ย IE9 ผู้นำตลาดอย่างไม่ลดละ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 50 องค์กรมะกันป่วน ถูกขโมยข้อมูลลูกค้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 เมษายน 2011, 22:45:48
ถือเป็นหนึ่งในวิกฤตออนไลน์ซึ่งสื่ออเมริกันให้ความสนใจมากในขณะนี้ สำหรับบริษัท Epsilon Data Management บริษัทการตลาดออนไลน์ซึ่งถูกโจรไฮเทคเจาะระบบเข้าไปขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคที่ Epsilon เก็บรักษาไว้ เพราะปรากฏว่าส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นข้อมูลชื่อและอีเมลของลูกค้าขององค์กรยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯมากกว่า 50 แห่ง ทำให้ขณะนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯต่างออกมาประกาศเตือนภัยลูกค้าของตัวเองให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่ออีเมลปลอมซึ่งอาจแพร่ระบาดในอนาคตอันใกล้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004577501.JPEG)

      ขณะนี้ บริษัทสถาบันการเงิน ร้านค้าปลีก และบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่อเมริกันอย่าง JPMorgan Chase, Kroger, TiVo, Best Buy, Walgreen, Capital One และบริษัทอื่นๆ เริ่มประกาศเตือนภัยลูกค้าให้ระวังภัยล่อลวงในอีเมล เนื่องจากข้อมูลชื่อและอีเมลลูกค้าบางส่วนนั้นตกอยู่ในมือของโจรไฮเทคทันทีที่บริษัท Epsilon ถูกเจาะระบบ โดยบริษัท Epsilon นั้นเป็นบริษัทรับเอาท์ซอร์สบริการส่งอีเมลแทนองค์กรอเมริกันมากกว่า 2,500 แห่ง
      
      อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างความหวั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างเดียว แต่ยังนำไปสู่ความไม่พอใจด้วย เพราะชาวอเมริกันมองว่าบริษัทเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ส่งต่อข้อมูลส่วนตัวให้กับบริษัทอื่นโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ ที่สำคัญ นักวิเคราะห์นั้นมองว่า การโจมตี Epsilon นั้นเป็นสัญญาณที่แสดงว่านับจากนี้ นักเจาะระบบจะหันมาให้ความสำคัญกับการเจาะระบบบริษัทเอาท์ซอร์สลักษณะเดียวกับ Epsilon เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นสุดยอดกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นความคุ้มค่าในการลงมือเจาะระบบเดียวแต่ได้ข้อมูลเหยื่อจากหลายบริษัท
      
      จุดนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์มองว่า นับจากนี้โลกจะกังวลกับช่องโหว่ในบริษัทเอาท์ซอร์สซึ่งเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดย John Pescatore นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยของการ์ทเนอร์ ให้ความเห็นว่ากรณี Epsilon คือหนึ่งในตัวอย่างมากมายที่แสดงถึงเหตุผลที่บริษัทซึ่งรับเอาท์ซอร์สงานจากบริษัทหลายพันแห่ง จะต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มากกว่าบริษัทซึ่งเก็บข้อมูลเฉพาะลูกค้าของตัวเอง
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลว่า ชาวอเมริกันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงถูกล่อลวงด้วยภัยออนไลน์ทางอีเมล โดยเฉพาะภัยฟิชชิง (phishing) ซึ่งมักทำให้โจรร้ายได้รับข้อมูลสำคัญเช่น รหัสผ่าน ข้อมูลลับทางการเงิน และข้อมูลอื่นๆ แม้ฟิชชิงจะได้รับการระบุว่าเข้าสู่ช่วงขาลงเมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา
      
      ฟิชชิงคือการตบตาผู้บริโภคด้วยอีเมลปลอม โดยโจรขโมยข้อมูลจะส่งอีเมลปลอมซึ่งจงใจสร้างให้เหมือนว่าเป็นอีเมลจากธนาคาร สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานใหญ่ที่น่าเชื่อถือ เนื้อหาในเมลคือการแต่งเรื่องเพื่อจูงใจให้ผู้ใช้หลงคลิกลิงก์เว็บไซต์ปลอมที่แนบมาในเมล เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้จะมีช่องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลสำคัญเพื่อยืนยันตัวบุคคล เช่นชื่อยูสเซอร์เนม พาสเวิร์ด เลขที่บัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญตามที่โจรต้องการ และเมื่อผู้ใช้หลงกลกรอกและส่งข้อมูลไป ข้อมูลสำคัญก็จะตกไปอยู่ในมือโจรร้ายแทน
      
      ฟิชชิงที่พบบ่อยคือ อีเมลปลอมแจ้งผู้ใช้ว่าธุรกรรมการเงินมีปัญหา และต้องได้รับการยืนยันข้อมูลอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2009 ผลสำรวจสแปมเมลจากยักษ์ใหญ่ไอบีเอ็ม (IBM) พบว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือภาวะขาลงของอีเมลลวงประเภทฟิชชิงอย่างชัดเจน โดยพบว่าสัดส่วนเมลฟิชชิงครึ่งปีแรกของปี 2009 มีจำนวนน้อยกว่าสัดส่วนในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2008 ซึ่งสามารถตรวจพบเมลฟิชชิงราว 0.2-0.8% ของสแปมเมลทั้งหมด
      
      สำหรับกรณีของ Epsilon ประชาสัมพันธ์ Jessica Simon ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลความเสียหายจากการถูกเจาะระบบครั้งนี้ ทั้งในแง่จำนวนชื่อและอีเมลแอดเดรสที่ถูกขโมย รวมถึงแนวทางแก้ไขในอนาคต แต่ยืนยันว่านอกจากชื่อและอีเมล ไม่มีข้อมูลส่วนตัวอื่นใดของลูกค้าที่ถูกขโมย โดยขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนและป้องกันปัญหาอย่างเต็มกำลัง
      
      ล่าสุด มีการประเมินจาก SecurityWeek บริษัทอินเทอร์เน็ตซีเคียวริตี้ในสหรัฐฯ ว่า Epsilon นั้นมีการส่งออกอีเมลมากกว่า 4 หมื่นล้านฉบับต่อปี ซึ่งดำเนินการแทนบริษัทอเมริกันมากกว่า 2,500 แห่ง โดยตัวเลขดังกล่าวไม่ได้รับการยืนยันใดๆจาก Epsilon
      
      นอกจากการเตือนภัยลูกค้าของแต่ละบริษัท รายงานระบุว่าบริษัทซึ่งเป็นลูกค้าที่เอาท์ซอร์สงานให้บริษัท Epsilon กำลังมีการสอบสวนภายในเพื่อวิเคราะห์และยืนยันข้อมูลที่ส่งให้ Epsilon โดยทั้งหมดยังไม่มีการให้ข้อมูลผลกระทบที่ลูกค้าได้รับในขณะนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: 'วาจา 6.0' ไม่ควรเป็นแค่ “วาจา”
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 เมษายน 2011, 22:57:24
งบวิจัยไม่ถึง 1% ของจีดีพี เรื่องจริงไม่อิงนิยายเกิดขึ้นมาแล้วไม่รู้กี่สมัย กี่รัฐบาลนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้ดับฝันทุกอย่างเสมอไป เมื่อวันนี้ หลายหน่วยงานพยายามทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปมากกว่าเดิม ด้วยการผลักให้เห็นมูลค่าการ "คืนทุน" ของผลงาน และดันให้งานได้ออกมาลืมตาดูโลกภายนอกในเชิงพาณิชย์กับเขาสักที โดยผลงานที่ว่านี้ ก็ถือเป็นการเกิดขึ้นของ "มีเดีย" ใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/04/06/images/news_img_385562_1.jpg)

นักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเดิมผลงานที่ชื่อว่า "วาจา เวอร์ชั่น 6.0" เทคโนโลยีสังเคราะห์เสียงพูดที่ช่วยแปลงข้อความจากตัวอักษรเป็นเสียงพูด หรือเสียงอ่านได้โดยอัตโนมัติ  ที่เล่าสืบต่อกันมาว่าผ่านผู้บุกเบิกที่เป็นนักวิจัยของสำนักงานมาหลายยุคสมัย (เหมือนนิยาย)
 
วันนี้มีความพร้อมเต็มที่แล้วที่จะให้ผู้มี แววตา หยิบไปต่อยอด ก่อร่างสร้างรายได้ ภายใต้หนึ่งในคอนเซปต์สำคัญของ สวทช.ยุคใหม่ คือ  "พาร์ทเนอร์ชิพ" และ "วิน-วิน-วิน" ที่หมายความว่า ต้องชนะทั้ง สวทช. ภาคธุรกิจ และประเทศ

ปลุกกระแสใช้เชิงพาณิชย์
 
"สุวิภา วรรณสาธพ" ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของโครงการ บอกว่า มิติใหม่ สวทช. คือ เป็นเทคโนโลยีฐานให้ภาคธุรกิจนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ปีนี้เตรียมส่งงานวิจัยเข้าตลาดไม่น้อยกว่า 5 ผลงาน
 
นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีด้าน "วิทยาศาสตร์การบริการ" โจทย์ใหม่ของการพัฒนาเทคโนโลยี เป็นตัวแปรสำหรับการสร้างงานวิจัย ที่สอดคล้องและเข้าถึงกระบวนการทางธุรกิจ ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค
 
ประเดิมด้วย "วาจา เวอร์ชั่น 6" เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ประเภทปัญญาประดิษฐ์ ช่วยแปลงข้อความจากตัวอักษรเป็นเสียงพูดหรือเสียงอ่านได้โดยอัตโนมัติ หวังช่วยเพิ่มมูลค่าธุรกิจบริการและภาคบริการสังคม ปลุกกระแสให้เกิดการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ให้ได้
 
"นักวิจัยต้องโตไปกับธุรกิจ ไม่ใช่เน้นแค่ถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่ต้องต่อยอดไปในเชิงพาณิชย์ได้ เราเองพร้อมช่วยอุดช่องโหว่ทั้งด้านความรู้ และเงินลงทุนเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน ด้วยโพสิชั่นที่วางไว้ คือ เป็น เทคโนโลยี แพลตฟอร์ม หรือเทคโนโลยีฐานให้นำไปต่อยอด ภายใต้คีย์เวิร์ดสำคัญ คือ พาร์ทเนอร์ชิพ และ วิน-วิน-วิน คือ ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง สวทช. กลุ่มธุรกิจ และประเทศ"

ลุยจับมือพันธมิตร 4 กลุ่ม
 
เธอกล่าวว่า ประชากรไทยมีอยู่กว่า 60 ล้านคน จึงมีโอกาสมหาศาลให้นักพัฒนานำเทคโนโลยี ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ไทยไปต่อยอด สร้างความต่าง และโดดเด่นในเชิงพาณิชย์ สามารถตอบสนองผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงธุรกิจ การศึกษา สังคม และที่สำคัญ คือ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายมากขึ้น
 
สุวิภา ระบุว่า เป้าหมายที่เล็งไว้มีด้วยกัน 4 กลุ่ม คือ ภาครัฐ อินเทอร์เน็ต เซอร์วิส โพรไวเดอร์ ซอฟต์แวร์เฮ้าส์ และนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยจะใช้โมเดล บริษัทร่วมทุนที่ สวทช.เข้าไปถือหุ้นประมาณ 25-49% ปัจจุบันมีพันธมิตรลักษณะนี้อยู่ 9 ราย และล่าสุด กับวาจา 6 ได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรรายแรก คือ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย ซึ่งนำไปให้บริการรูปแบบ เว็บ เซิร์ฟเวอร์ ภายในปีนี้ ตั้งเป้าว่าจะสร้างพันธมิตรเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 10 ราย
 
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้บีบอัดฐานข้อมูลเสียงขนาดใหญ่ใน วาจา เวอร์ชั่น 6 เป็นแบบจำลองทางสถิติในการสังเคราะห์เสียง แบบจำลองนี้สามารถผลิตเสียงได้ราบเรียบไม่สะดุด ทั้งสามารถปรับค่าต่างๆ ในเนื้อเสียง ได้สะดวกขึ้น คุณสมบัติสำคัญ คือ 1. เป็นหนึ่งในระบบสังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทยที่มีคุณภาพสูงสุดปัจจุบัน 2. มีส่วนวิเคราะห์ข้อความ ประกอบด้วยส่วนตัดแบ่งคำที่มีความถูกต้องเกิน 95% และวิเคราะห์คำอ่านภาษาไทยได้ถูกต้องเกิน 92% แม้เป็นคำที่ไม่ปรากฏในพจนานุกรมของระบบ
 
3. สามารถวิเคราะห์คำอ่านของคำภาษาอังกฤษได้ด้วยการใช้พจนานุกรมคำภาษาอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันมีคำศัพท์ที่ใช้บ่อยในภาษาไทยประมาณ 10,000 คำ และ 4. มีเครื่องมือสำหรับเพิ่มคำศัพท์ และคำอ่านที่ต้องการได้

ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย
 
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เสริมว่า ที่ผ่านมา มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนนำ วาจา เวอร์ชั่น 6.0 ไปให้บริการในองค์กรตัวเองในรูปแบบหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พัฒนาเป็นระบบติดตามดูแลผู้ป่วยเบาหวานผ่านโทรศัพท์มือถือ โรงพยาบาลเทศบาลเชียงใหม่ นำไปประกอบใช้ในระบบเรียกคิวผู้ป่วยในโรงพยาบาล ในมหาวิทยาลัยใช้สร้างอีเลิร์นนิ่ง คอนเทนท์ ใช้สำหรับอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของนักศึกษาที่บกพร่องทางสายตา เป็นต้น
 
"มรกต กุลธรรมโยธิน" รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า วาจาช่วยให้ลูกค้ามีเครื่องมือสำหรับทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากขึ้น เฟสแรกนี้จะทำโปรเจคต้นแบบกับหนังสือพิมพ์ใหญ่ 2 ฉบับ จากนั้นอีก 3-6 เดือนเมื่อระบบมีเสถียรภาพมากขึ้นจะเปิดเฟสต่อไป โดยจะเปิดกว้างให้ทั้งกลุ่มธุรกิจและนักพัฒนาทั่วๆ ไป เข้ามาใช้
 
"เชิงมูลค่าต้องมองในระยะยาว ถ้าได้รับความนิยมก็จะมีรายได้จากการบริการที่สูงตามการใช้งาน"
 
พร้อมระบุด้วยว่า ผลประกอบการของบริษัทที่ขาดทุน ขณะนี้ มีแนวโน้มดีขึ้น โมเดลการทำธุรกิจจากนี้จะโฟกัสไปที่ลูกค้ามากขึ้น เพิ่มสัดส่วนด้านวิทยาศาสตร์การบริการ แทนการให้บริการไอเอสพีอย่างเดียว เป้าหมายปีนี้ คือ ทำให้บริษัทมีกำไร ด้วยการเข้าไปตรวจดูในส่วนที่ขาดทุนและบริหารจัดการให้ดี รวมถึงสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ด้วยโมเดลดังกล่าว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: pongsak01 ที่ 06 เมษายน 2011, 23:02:28
เจ้าของกระทู้ตัวจริง


หัวข้อ: Samsung Galaxy Tab รุ่น Wi-Fi เปิดตัว 10 เม.ย.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 เมษายน 2011, 21:04:07
รายงานข่าวความสำเร็จ iPad 2 ของ Apple แล้ว จะไม่พูดถึงคู่แข่งอย่าง Samsung ก็ดูกระไรอยู่ ว่าแล้วก็มีรายงานข่าวออกมาว่า Samsung ต่อยอดความสำเร็จของ Galaxy Tab ด้วยการเตรียมวางตลาดรุ่น Wi-Fi เพียงอย่างเดียวในสหรัฐฯ วันที่ 10 เมษายน ศกนี้ ส่วนยอดขายที่มีการเปิดเผยออกมาล่าสุดจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ล้านเครื่อง

แม้จะห่างจาก iPad ที่มียอดรวมของการจำหน่ายจนถึงวันนี้อยู่ที่มากกว่า 16 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว แต่ก็ต้องถือว่า Samsung Galaxy Tab เป็นผู้นำแท็บเล็ตที่มีความชัดเจนในตลาดนี้มากที่สุด และถึงแม้ Samsung กำลังจะวางตลาด Galaxy Tab ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) อีก 2 รุ่น (ขนาดหน้าจอ 8.9 และ 10.1 นิ้ว บางกกว่า iPad 2) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ทางบริษัทก็ยังคงไม่ทิ้ง Galaxy Tab รุ่นแรกไปเลย โดยล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา Samsung ประกาศว่า ทางบริษัทจะออก Galaxy Tab รุ่นหน้าจอ 7 นิ้วที่ทำงานด้วย Wi-Fi อย่างเดียว โดยจะวางตลาด 10 เม.ย. ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-tab-wi-fi-only-lauches-10-april-2011-2.jpg)

สำหรับ Galaxy Tab รุ่น Wi-Fi จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 2.2 (ยังไม่มีแผนที่จะอัพเกรดเป็น Android 3.0) และไม่ได้มีการเปิดเผยว่า รุ่น Wi-Fi อย่างเดียวจะมีดีไซน์ของฮาร์ดแวร์อะไรแปลกใหม่เพิ่มเติม หรือไม่? เพราะฉะนั้นโดยหลักๆ แล้ว มันก็คงจะมีหน้าตาของเครื่องเหมือนรุ่นแรก แต่สนับสนุนการเชื่อมต่อเน็ตไร้สายด้วย Wi-Fi อย่างเดียว สนนราคาอยู่ที่ 349 เหรียญฯ หรือประมาณ 10,600 บาท (บ้านเราจับจองเป็นเจ้าของกันไปตั้งแต่งานคอมมาร์ตเดือนที่แล้ว!!!)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Fashion ที่ 07 เมษายน 2011, 21:13:27
ยาวทีเดียว


หัวข้อ: บันทึกวิดีโอ 360 องศาบน Apple iPhone 4
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 เมษายน 2011, 21:14:04
ก่อนหน้านี้ เราเคยพบเห็นแก็ดเจ็ตอย่างกล้องที่สามารถถ่ายรูปได้รอบทิศ 360 องศากันไปแล้ว หรือแม้แต่กล้องวิดีโอ 360 ที่อยู่บริเวณศรีษะของหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ขนาดเล็กทีทำให้มองเห็นได้รอบตัวเวลาเล่นฟุตบอล แต่มันคงจะดีไม่น้อยหากเราสามารถใช้ iPhone 4 บันทึกวิดีโอได้ 360 องศาเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส เรื่องนี้ไม่ยากหากคุณมีอุปกรณ์เสริมอย่าง GoPano Micro

GoPano Micro เป็นอุปกรณ์เสริมที่มาพร้อมกับแอพที่จะทำให้ iPhone 4 ของคุณสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 360 องศาได้ โดยดีไซน์ของ GoPano จะใช้เลนส์พิเศษลักษณะเป็นกรวยพลาสติกที่ต่อเข้ากับเคส iPhone 4 สามารถรับภาพได้โดยรอบ โดยภาพที่รับมาจะชุดเลนส์ดังกล่าวจะส่งผ่านเข้าไปยังเลนส์ของกล้องด้านหลังของ iPhone 4 และควบคุมมุมมองผ่านแอพอีกทีหนึ่ง ผู้ใช้สามารถเลือกมุมมองที่ต้องการบันทึกจากกล้อง GoPano Micro ได้ด้วยการใช้นิ้วสัมผัสบนหน้าจอเลื่อนไปทางซ้าย หรือขวาในแบบพาโนรามารอบทิศ

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/GoPano-Micro-lens-360-degree-video-capture-for-iphone-4-2.jpg)

GoPano Micro ทำให้คุณได้อารมณ์ในการบันทึกวิดีโอแบบเดียวกับภาพยนต์ยังไงยังงั้น อย่างไรก็ตาม GoPano ยังไม่สามารถทำออกมาวางจำหน่ายได้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการระดมทุนบนเว็บไซต์ Kickstarter ตั้งเป้าไว้ที่ 20,000 เหรียญฯ ซึ่งใครที่ช่วยสมทบทุน 50 เหรียญฯ จะได้ GoPano Micro ไปหนึ่งชุด (100 เหรียญฯได้ 2 ชุด) โดยทางทีมงานคาดว่า หาก GoPano ได้รับการผลิตจริงๆ จะวางจำหน่ายในราคาอยู่ที่ 80 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,500 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลือ Google ทุ่ม 100 ล้านเหรียญสร้างสถานีรายการให้ YouTube
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 เมษายน 2011, 22:16:50
สำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นอล (Wall Street Journal) อ้างแหล่งข่าวนิรนาม ระบุว่ากูเกิล (Google) กำลังมีแผนลงทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเนรมิตสถานีรายการพิเศษมากกว่า 20 สถานีให้เว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ยอดฮิตอย่าง YouTube เชื่อจะเป็นพันธมิตรกับสตูดิโอในฮอลลีวูดเพื่อสร้างจุดขายให้ YouTube ฮอตฮิตยิ่งกว่าเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000004680001.JPEG)

      วอลสตรีทเจอร์นอลระบุว่า กูเกิลนั้นมีนโยบายไม่ต่างจาก Netflix บริษัทเช่าภาพยนตร์ออนไลน์ที่ประกาศเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาว่ากำลังเตรียมสร้างรายการของตัวเอง รายงานย้ำว่ากูเกิลมีแผนสร้างรายการวิดีโอสตรีมมิ่งของตัวเอง แต่จะใช้กลยุทธ์ทุนสร้างต่ำและให้โฆษณาเป็นส่วนสนับสนุนรายการแทน และจะออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะกับการฉายบน YouTube
      
      แหล่งข่าววอลสตรีทเจอร์นอลมองว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นหลักไมล์สำคัญของ YouTube ในแง่การหารายได้จากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่กูเกิลมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว โดยรายงานระบุว่ากูเกิลได้เริ่มเจรจากับเอเจนซีชั้นนำในฮอลลีวูดแล้วเพื่อหาแนวทางสร้างช่องรายการใหม่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ากูเกิลจะบรรลุการเจรจากับบริษัทโปรดักชันและผู้กำกับหลายรายในการผลิตคอนเทนต์ให้ YouTube
      
      ทั้งหมดนี้ สื่ออเมริกันมองว่าเป็นไปตามแนวทางการแข่งขันในธุรกิจให้บริการกระจายสัญญาณทีวีที่เพิ่มความสามารถด้านการรองรับทีวีออนไลน์ยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับผู้ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตที่ต้องแข่งขันกันสร้างจุดเด่นเพื่อแย่งชิงพื้นที่ห้องนั่งเล่นของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น สำหรับกรณีของ YouTube หากกูเกิลสร้างรายการพิเศษให้ YouTube จริง นักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้ให้บริการเคเบิลทีวีและทีวีผ่านดาวเทียมจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากจำนวนทางเลือกชมสถานีของผู้บริโภคที่จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อ YouTube ประสบความสำเร็จจนทำให้ผู้ให้บริการรายอื่นลงมือสร้างรายการของตัวเองตามรอย YouTube
      
      ที่สำคัญ ตัวเลขการลงทุนที่เชื่อกันว่ากูเกิลเตรียมไว้ให้ YouTube คือสัญญาณที่แสดงถึงนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคอยลุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่ามกลางความเงียบของกูเกิลซึ่งไม่ออกมาตอบโต้ใดๆ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: e-Marketing...เขาว่า “แรง” (จริงๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 07 เมษายน 2011, 22:35:40
พ.ศ.นี้แล้ว ใครไม่เติมคำว่า "ออนไลน์" ต่อท้ายเข้าไปเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำหรับการทำตลาด บอกได้คำเดียวว่า "เชยแหลก" เพราะหากลองกวาดสายตาไปบนถนนหนทาง รถไฟฟ้า หรือในร้านอาหาร ไม่ว่าจะข้างทาง หรือบนห้างสรรพสินค้า จะพบว่า สื่อดิจิทัลไม่ใช่ความแปลกแยกป่วนวงการอีกต่อไป แต่กลับทำให้ผู้คนอ้าแขนรับ นำเข้าไปเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตประจำวันอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/04/07/images/news_img_385663_1.jpg)

ยิ่งในโลกของโซเชียล เน็ตเวิร์ค แพลตฟอร์มของการสร้างคอมมูนิตี้ระหว่างคนต่อคน สังคมต่อสังคม ธุรกิจต่อธุรกิจ มาแรงแบบรั้งยังไงก็ไม่หยุด ฉุดยังไงก็ไม่อยู่ ไม่ว่าจะบนเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือโฟสแควร์ รวมไปถึงโลกของอินเทอร์เน็ตที่ถึงกับทำให้บางคน หากไม่ได้เข้าไปเซิร์ฟดูสักนิด คลิกดูสักหน่อย คืนนี้คงข่มตาให้นอนหลับยากเต็มที
 
 "นิวมีเดีย" เลยยกกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังจาก "ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป" หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็น "เครือโรงแรมอมารี" ที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกมุมโลก เขาคุยว่า เมื่อใช้กลยุทธ์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการตลาดออนไลน์มาได้ 2 ปี ยอดรายได้โตถึง 52% แล้วเขาทำได้อย่างไร บรรทัดจากนี้มีคำตอบ

เกาะออนไลน์ลดเสี่ยง
 
"ดันแคน เว็บบ์" รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด ออนิกซ์ เล่าว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้ช่องทางการตลาดแบบดิจิทัล ทั้งเว็บไซต์ บล็อก และโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่มาพร้อมกับการทำแคมเปญโฆษณา เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน การให้บริการที่สมดุล พร้อมกับลดความเสี่ยงในภาวะวิกฤติ โดยที่ยังสามารถเพิ่มรายได้ในระดับสูงสุด
 
"เราเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนจากการทำตลาดแบบเดิมมาสู่การทำตลาดออนไลน์ กลยุทธ์หลักของออนิกซ์ คือ การสร้างประสบการณ์ออนไลน์ผ่านรูปแบบที่หลากหลายแต่มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด และได้ผลเร็ว"
 
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมอื่นๆ หลายแห่งใช้บริการเอาท์ซอร์ส แต่ออนิกซ์มีทีมงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่คอยพัฒนา และติดตามผลผ่านระบบออนไลน์อย่างใกล้ชิด 45 คน ส่วนเรื่องการลงทุนบริษัทใช้งบลงทุนต่อเนื่อง ปีที่แล้วใช้ไป 30-35 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะลงทุนเพิ่มทั้งพัฒนาซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยหวังว่ายอดขายออนไลน์จะเติบโตขึ้นอีก 30%
 
พร้อมระบุด้วยว่า แต่ละปี บริษัทใช้งบการตลาดสำหรับสื่อออนไลน์มากถึง 30% จากงบการตลาดรวมทั้งหมด สัดส่วนรายได้มาจากออนไลน์ 30% และออฟไลน์ 70% ใกล้เคียงกับงบการตลาดที่ใช้ไป

อีมาร์เก็ตติ้งโตไม่หยุด
 
ขณะที่ "เจตัน ปาเตล" รองประธานกรรมการฝ่ายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออนิกซ์ บอกว่า แนวโน้มตลาดท่องเที่ยวออนไลน์เอเชียปีนี้ คาดว่ายอดการจองห้องพักออนไลน์ของนักเดินทางในเอเชียแปซิฟิก จะมีมูลค่าสูงถึง 51.6 พันล้านดอลลาร์ และจะเติบโตอีก 30-40% ในปีต่อๆ ไปเฉพาะที่สิงคโปร์ตลาดการท่องเที่ยวออนไลน์จะโตขึ้นราว 20% หรือมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์
 
"แม้ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างสิงคโปร์ อัตราส่วนจองห้องพักออนไลน์ยังมีแค่ 20-25% ส่วนตลาดในประเทศอื่นๆ เช่น ไทย กัมพูชา ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำมากเป็นตัวเลขหลักเดียว แสดงให้เห็นว่ายังเติบโตอยู่มาก ทั้งมีแนวโน้มว่าหากได้ลองใช้ช่องทางใหม่แล้ว ลูกค้าจะไม่กลับไปใช้ช่องทางแบบเก่าอีกโดยเฉลี่ยที่เปลี่ยนจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ทุกปี"
 
เขาเล่าว่า แบรนด์โรงแรมหลัก "อมารี" ภายใต้การบริหารของออนิกซ์ ได้พัฒนาแคมเปญโฆษณาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถดึงผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์จากทั่วโลกจำนวนมาก ในปี 2553 พบว่าประเทศ 5 อันดับแรกที่มีการเติบโตทั้งสถิติการเข้าชมเว็บไซต์และรายได้จากช่องทางอินเทอร์เน็ต ได้แก่ รัสเซีย เพิ่มขึ้น 195% ตามมาด้วยอินเดีย เพิ่มขึ้น 136% สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เพิ่มขึ้น 45% สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 75% และฮ่องกง เพิ่มขึ้น 30%
 
ทั้งนี้ รายได้จากห้องพักที่จองผ่านอินเทอร์เน็ตไม่รวมค่าอาหาร สปา และบริการเสริมต่างๆ อยู่ที่ 454.5 ล้านบาท อัตราการจองมีจำนวนเพิ่มขึ้น 52% จากปี 2551 ที่มี 108,000 ห้อง เป็น 164,000 ห้อง ปี 2555 ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 60% หรืออีกประมาณ 1 แสนห้อง จากปัจจุบัน
 
"การตลาดออนไลน์มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว ง่ายต่อการติดตามความสนใจของผู้ใช้ว่ามาจากไหน เมื่อใด และอะไร หากเกิดวิกฤติก็สามารถปรับกิจกรรม แผนการโฆษณาให้สนองตอบความต้องการ และความสนใจได้ทันท่วงที เหมือนปีที่ผ่านมา ที่มีวิกฤติการเมืองในกรุงเทพฯ เราเลยโยกงบโฆษณาไปลงพื้นที่ไม่เสี่ยง ทำให้รายได้รวมของบริษัทไม่ตกไปจากปีก่อนหน้านั้น" ปาเตลเล่า

จ่ายเท่าไรได้คืน 10 เท่า
 
ผู้บริหารออนิกซ์ เล่าเพิ่มเติมถึง สื่อออนไลน์ทรงอิทธิพล เว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ (Tripadvisor.com) ที่เลือกใช้ว่า แคมเปญโฆษณาที่ทำผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าวิธีการเดิมอย่างมาก สถิติพบว่าหากลงทุนไป 1 ดอลลาร์ จะมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ 6-10 ครั้ง
 
เขาเชื่อว่า กลยุทธ์การตลาดแบบเน้นเนื้อหา (content-driven marketing) สามารถดึงความสนใจทั้งจากผู้บริโภคปัจจุบันและกลุ่มเป้าหมาย โดยการให้ข้อมูลที่ตรงตามความต้องการ ขณะเดียวกัน ก็มีสีสันและความน่าสนใจเพื่อที่จะสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ และดึงผู้ที่สนใจให้เข้าเยี่ยมเว็บไซต์
 
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทกล้าลงทุนกับเว็บไซต์ราคาแพง เพราะมั่นใจว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่า ไม่เหมือนกับช่องทางปกติ เช่น ในนิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ ที่วัดผลได้ยากกว่า ในภาพรวมบริษัทใช้เงินลงทุนทำตลาดออนไลน์ไปเพียง 2% จากรายได้รวมออนไลน์ทั้งหมดที่ได้มาเท่านั้น
 
ปาเตล บอกด้วยว่า บนโซเชียล เน็ตเวิร์ค ในเฟซบุ๊คของอมารี เริ่มได้รับความนิยม มีลูกค้าร่วมเป็นสมาชิก และโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นมากขึ้นคาดว่า สิ้นปีนี้ จะมีสมาชิก 7,000 ราย ส่วนนี้ไม่ได้มุ่งเน้นที่การขายหรือการทำโปรโมชั่น แต่เป็นซีเอสอาร์มีพนักงานคอยติดตาม และตอบคำถามต่างๆ สม่ำเสมอ
 
ขณะเดียวกัน ภายในปีนี้ เตรียมเปิดตัว "โมบายไซต์" เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้สะดวกบนสมาร์ทโฟน แทบเล็ต รวมทั้งจะพัฒนาระบบการจองห้องพักแบบออนไลน์ให้ใช้งานง่ายสะดวกต่อการนำเสนอบริการที่หลากหลาย พร้อมจับมือกับโลคอล พาร์ทเนอร์ ในแต่ละประเทศสร้างให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกัน

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: HTC Desire แก้ปริศนา "รูบิค" 12 หน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 เมษายน 2011, 22:43:07
รูบิค (Rubik) ยังคงเป็นโจทย์ยอดนิยมที่เหล่าปรแกรมเมอร์ และนักประดิษฐ์ที่ชื่นชอบการต่อ LEGO ได้พยายามคิดค้นหาวิธีสร้างกลไกทีควบคุมด้วยสมองกล เพื่อใช้ในการแก้ปริศนา Rubik ได้เองโดยอัตโนมัติ ดังที่ได้เคยนำเสนอผ่านสายตาคุณผู้อ่านหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับคราวนี้ พระเอกของเราคือ สมาร์ทโฟน HTC Desire ที่ทำงานร่วมกับคอนโทรลเลอร์ NXT ในการแก้ปริศนารูบิคที่โหดกว่าเดิม เพราะมันคือ Megaminx รูบิค 12 หน้า!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/megaminxer-HTC-Desire-android-app-LEGO-Mindstorm-NXT-Magaminx-Rubik-Solver-2.jpg)

Megaminxer ผลงานประดิษฐืกลไกที่มีความฉลาดในการแก้ปริศนารูบิค 12 หน้า โดยใช้ชุดต่อเลโก้ที่ควบคุมการทำงานผ่านคอนโทรลเลอร์ Mindstorms NXT รับคำสั่งในการแก้ปริศนาจากสมาร์ทโฟน HTC Desire ที่รันแอพบน android ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ในการนี้ HTC Desire จะทำหน้าที่เป็นทั้งสมองกล โดยแอพที่พัฒนาขึ้นจะใช้กล้องจับภาพแต่ละหน้าของ Megaminx เพื่อนำไปวิเคราะห์วิธีในการแก้ปริศนารูบิค

จากนั้นสร้างชุดคำสั่งที่ใช้ในการแก้ปริศนาทีละขั้นตอนสื่อสารไร้สายด้วยบลูทูธกับ Mindstorms NXT เพื่อให้มันควบคุมแขนกลที่สร้างขึ้นจากชิ้นส่วน LEGO บิดแต่ละหน้าให้เรียงสีได้อย่างถูกต้อง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google ป้องกันลิงค์โหลดมัลแวร์บนวินโดวส์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 เมษายน 2011, 23:09:09
รายงานข่าวล่าสุด Google (Google) ประกาศว่า ทางบริษัทได้ยกระดับในการป้องกันเว็บไซต์อันตรายโดยเฉพาะพวกที่มุ่งเน้นโจมตีพีซีที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows โดยการเพิ่มรายชื่อบัญชีดำ (blacklisth) ของลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังโปรแกรมอันตรายที่ทำงานบนโอเอสของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ด้วย

นอกจากนี้ ส่วนติดต่อโปรแกรมที่ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยในการท่องเว็บ หรือ Safe Browsing API ของ Google จะคอยเตือนผู้ใช้ เมื่อพวกเขากำลังเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ที่อาจจะมีโทรจันเวอร์ชันทำงานบน Windows ปลอมตัวอยู่ในรูปของโปรแกรมแจกฟรีอย่างเช่น โปรแกรมพักหน้าจอ หรือแอพพลิเคชันอื่นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร ทั้งนี้ Google ได้ให้บริการผลลัพธ์เสิร์ชที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้มาได้ 5 ปีแล้ว โดยจะมีการแจ้งเตือนเมื่อเวลาที่ผู้ใช้พยายามจะเข้าไปสืบค้นบนเว็บไซต์ที่พยายามยัดเยียดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดโค้ดอันตรายที่ใช้ช่องโหว่ต่างๆ ในระบบปฏิบัติการ หรือบราวเซอร์ ซึ่งนับวันจะมีอัตราการเติบโตของการโจมตีผู้ใช้ในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

(http://www.arip.co.th/images/news/google/3/google-safe-browsing-api-protect-windows-user-from-mallicious-website-2.jpg)

ในส่วนของบราวเซอร์ที่สนับสนุนการใช้บริการดังกล่าวก็จะมี Google Chrome, Mozilla Firefox และ Apple Safari นอกจากนี้ ทาง Google ยังได้จัดเตรียมบริการสำหรับเว็บมาสเตอร์ที่ต้องการใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังกล่าวจาก Google เพื่อป้องกันการถูกโพสต์เว็บไซต์ด้วยลิงค์อันตรายโดยไม่รู้ตัว "Safe Browsing ได้สร้างประโยชน์ให้กับเว็บมากมาย โดยเฉพาะในขณะที่อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งแพร่กระจายของคอนเท็นต์หลอกลวง และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้" Moheeb Abu Rajab ทีมระบบรักษาความปลอดภัยของ Google "มันง่ายมากที่จะพบเว็บไซต์ที่ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี แต่บางทีมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้"

ปัจจุบันผู้ใช้มักจะดาวน์โหลดมัลแวร์อย่าง Keylogger, botnet และ adware ที่แฝงตัวอยู่ในรูปของโปรแกรมแจกฟรีมากขึ้นเรื่่อยๆ อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติการทำงานที่เพิ่มขึ้นมาล่าสุดจะใช้ได้กับผู้ใช้ Chrome เวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาก่อน โดยทางบริษัทมีแผนจะออกเวอร์ชันที่สมบูรณ์ตามมาอีกทีหนึ่ง ส่วนจะพัฒนาให้กับบราวเซอร์ของคู่แข่งได้ใช้ด้วย หรือไม่? ยังไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ทั้งนี้การแจ้งเตือนแบบใหม่จะแสดงขึ้นมาให้เห็นทันทีที่ผู้ใช้พยายามจะดาวน์โหลดโปรแกรมอันตรายจาก URL ที่ตรงกับในรายการที่อัพเดตโดย Google API

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: กูเกิ้ลแปลภาษา รับคำที่จะแปลด้วยเสียง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 เมษายน 2011, 23:46:17
Google Translate อัพเดทคุณสมบัติการทำงานใหม่ด้วยการเพิ่มความสามารถในการรับคำศัพท์ที่ต้องการให้แปลด้วยเสียงของผู้ใช้ ซึ่งทำให้มันกลายเป็น"เว็บแอพพลิเคชัน"ตัวแรกที่ใช้ส่วนติดต่อโปรแกรมสำหรับการรับอินพุทด้วย"เสียง" (Speech Input API) บน HTML

สำหรับคุณผู้อ่านที่โหลด Chrome 11 Beta หรือ Chrome 12 Developer มาใช้ตอนนี้ หากคุณเข้าไปยังเว็บไซต์ Google Translate บริการแปลภาษาบนเว็บ คุณจะสังเกตเห็นไอคอนไมโครโฟนขนาดจิ๋วที่บริเวณมุมล่างขวาของหน้าต่างที่ใช้พิมพ์คำ หรือข้อความที่ต้องการให้แปล ซึ่งความจริงคุณสมบัติการทำงานลักษณะนี้จะมีอยู่ในแอพฯบน iPhone และ Android แต่เมื่อพอร์ตลงมาทำงานบนหน้าเว็บ มันก็สามารถทำงานได้ไม่แพ้กัน ปัจจุบัน Google Translate สนับสนุนการแปลภาษาทั่วโลกได้มากถึง 58 ภาษา

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-translate-adds-voice-input-2.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple iPhone 4 "สีขาว" ออกปลายเดือนเม.ย.
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 เมษายน 2011, 22:04:47
รายงานข่าวจากเว็บไซต์บลูมเบิร์กระบุว่า แหล่งข่าววงในเผย Apple จะเริ่มจำหน่าย iPhone 4 เวอร์ชัน"สีขาว"ช่วงปลายเดือนเมษายนศกนี้ (อย่างช้าต้นเดือนพฤษภาคม) หลังจากเลื่อนการวางตลาดมานานร่วมสิบเดือน โดยจะเริ่มจำหน่ายผ่านทางโอเปอเรเตอร์สองรายยักษ์ได้แก่ AT&T และ Verizon Wireless

สาเหตุการเลื่อนออก iPhone 4 สีขาว เกิดจากปัญหาในการผลิต ซึ่งรวมถึงการลงสีตัวเครื่องที่หลุดลอกออก เมื่ออยู่ภายใต้ความร้อน อย่างไรก็ดี การออกผลิตภัณฑ์ที่มีเวอร์ชันสีขาว ยังช่วยให้ Apple สามารถเพิ่มความต้องการของผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากแหล่งข่าวจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone 4 สีขาวแล้ว ยังบอกอีกด้วย่วา Apple จะยังไม่แนะนำ iPhone 5 ในงานประชุมนักพัฒนาที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานจากนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่า Apple น่าจะเปิดตัว iPhone 5 เดือนกันยายน ศกนี้

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/iphone-4-white-version-release-end-of-april-2011-2.jpg)

ย้อนกลับไปในช่วงเปิดตัว iPhone 4 ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว Apple ประกาศเลื่อนการออกเวอร์ชันสีขาว เนื่องจากพบปัญหาในการผลิต โดยเฉพาะเซ็นเซอร์ที่่ทำงานภายใต้ตัวเครื่องสีขาวที่ทำให้แสงสว่างภายนอกสามารถส่องผ่านเข้าไปได้ ทั้งนี้ทางบริษัทต้องร่วมมือกับโรงงานผลิตในการแก้ปัญหาดังกล่าวที่เนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน ทำให้ iPhone 4 ที่วางตลาดตอนนี้มีแต่สีดำ แต่ปัญหาดังกล่าวได้ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว แม้จะใช้เวลานานถึง 10 สัปดาห์ก็ตาม ว่าแต่...บ้านเราจะเข้ามาเมือไรล่ะเนี่ย?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ระวัง!!! ช่องโหว่ Skype บน Android
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 เมษายน 2011, 22:19:24
คุณผู้อ่านที่ใช้ Skype แอพฯฮัลโหลผ่านเน็ตบนสมาร์ทโฟน Android โปรดระวัง!!! เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Skype ได้โพสต์แจ้งเตือนโดยระบุว่า พบช่องโหว่บนแอพพลิเคชัน Skype บน Android ที่เปิดโอกาสให้แอพฯไม่หวังดีสามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ (Skype flies) ที่จัดเก็บอยู่ในสตอเรจของสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลประวัติส่วนตัว ตลอดจนข้อความที่แชตที่ตกค้างอยู่ในไฟล์แคช (cached files)

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/skype-android-app-privacy-flaw-expose-user-profile-2.jpg)

ยูสเซอร์บน YouTube ที่ใช้ชื่อว่า Android Police ได้เปิดเผยการใช้ช่องโหว่ที่มีอยู่ในแอพฯ Skype บนสมาร์ทโฟน Android ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ช่องโหว่ดังกล่าวจะไม่พบใน Skype เวอร์ชันทีทำงานบนเครือข่าย Verizon แต่จะพบในแอพเวอร์ชันทั่วไปที่ดาวน์โหลดจาก Android Market

สำหรับการใช้ช่องโหว่ดังกล่าวจะต้องมีการดาวน์โหลดแอพฯอันตรายเข้ามาในเครื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android จะต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการดาวน์โหลด app รวมถึงการติดตั้งแอพฯระบบรักษาความปลอดภัยไว้บนสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันตัวเองอีกชั้นหนึ่งด้วย ตามรายงานข่าวที่มีการเปิดเผยออกมา Skype กำลังแก้ปัญหาช่องโหว่ดังกล่าว ซึ่งทางที่ดีควรรออัพเดตตัวใหม่ออกมา เพื่อความปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวของคุณนะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลาก่อน Flip กล้องบันทึกวิดีโอยอดฮิต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 เมษายน 2011, 22:54:53
สองปีหลังจาก Cisco ควักเงินกว่า 590 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) เพื่อซื้อบริษัท Pure Digital เจ้าของนวตกรรม Flip กล้องบันทึกวิดีโอแบบพกพาที่มาพร้อมกับพอร์ต USB ในตัวสามารถเชื่อมต่อพีซี อัพโหลดคลิปขึ้น YouTube ได้ทันที ทางบริษัทประกาศว่า ได้ยุติสายการผลิต Flip พร้อมทั้งปลดพนักงานในแผนกดังกล่าว 550 คน สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนคลับกล้องบันทึกวิดีโอพกพายอดฮิตเป็นอย่างมาก

Cisco ให้รายละเอียดในถ้อยแถลงว่า แม้ทางบริษัทจะยุติธุรกิจในส่วนของ Flip แต่จะยังสนับสนุนลูกค้าที่ใช้บริการ FlipShare ต่อไป อย่างไรก็ตาม เหตุผลหนึ่งที่เชื่อว่า เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ Cisco ตัดสินใจกระทำการดังกล่าว นั่นก็คือ "สมาร์ทโฟน" เนื่องจากปัจจุบัน สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับกล้องบันทึกวิดีโอในตัว แถมยังสามารถบันทึกวิดีโอที่มีคุณภาพได้ไม่แพ้ Flip หรือแม้แต่มีคุณภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะ iPhone 4 ที่ไม่เพียงแต่จะมาพร้อมกับกล้องวิดีโอที่หลายคนชืนชอบในคุณภาพของมันแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถอัพโหลดคลิปผ่าน Wi-Fi ได้เลย โดยไม่ต้องนำไปต่อกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ เพื่อดาวน์โหลดคลิปวิดีโอจากกล้องเข้าไปในเครื่องก่อน แล้วค่อยอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ต่างๆ อีกทีหนึ่ง

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/cisco-shut-down-flip-camcorder-cause-of-smartphone-2.jpg)

Flip ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั้งในแง่ความสะดวกคล่องตัวในการใช้งาน เพราะหากต้องพกกล้องบันทึกวิดีโอติดตัวคงไม่สะดวก แต่หากบอกว่า ต้องพกทั้ง iPhone 4 และ Flip ด้วย มันก็คงจะไม่สะดวกอย่างทีเคยแล้ว และที่น่าประหลาดใจก็คือ มันไม่ยักจะมีเวอร์ชันที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi สักที อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือว่า Cisco อาจจะออกกล้องบันทึกวิดีโอพกพาที่มาพร้อมกับ Wi-Fi แถมยังสามารถถ่ายทอดสดผ่านออนไลน์ได้ด้วย ยังไงก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปครับว่า ข่าวนี้จะจริง หรือไม่?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: The Flow "พู่กัน" ระบายสีบน iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 เมษายน 2011, 23:54:03
นักพัฒนาพยายามออกแบบสไตลัส (stylus) ที่เหมาะสำหรับการวาดรูปไปจนถึงสามารถใช้ระบายสีบนไอแพด (iPad) แต่หลายต่อหลายตัวทีออกมาก็ดูเหมือนจะทำงานได้ไม่สมบูรณ์นัก จนกระทั่ง สองหนุ่มนักประดิษฐ์ที่ Joystickers ได้พัฒนา "The Flow" สไตลัสที่มีดีไซน์แบบพู่กันระบายสีสำหรับจอสัมผัสที่ใช้เทคโนโลยี Capacitive แบบที่ใช้ใน iPad และแท็บเล็ต (tablet) ส่วนใหญ่ในท้องตลาด

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/the-flow-paintbrush-stylus-for-ipad-tablet-n-smartphone-1.jpg)

The Flow เป็นสไตลัสที่มีดีไซน์เหมือนพู่กันจริงๆ แทนที่จะดูคล้ายหัวปากกาแบบที่พบเห็นกันตัวไป ที่สำคัญมันสามารถใช้ในการระบายสีบนหน้าจอ iPad, XOOM หรือแท็บเล็ตจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ไปจนถึงสมาร์ทโฟน โดยคุณสามารถใช้ The Flow แทนพู่กันจริงๆ เพื่อป้ายระบายสีบนแอพฯอย่าง Sketchbook Pro ของ Autodesk หรือ ArtRage บน iPad ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า มันย่อมดีกว่าการใช้นิ้วเปล่าๆ ในการระบาย

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/the-flow-paintbrush-stylus-for-ipad-tablet-n-smartphone-2.jpg)

The Flow ที่เห็นในคลิปเป็นแก็ดเจ็ต (Gadget) ต้นแบบที่สองนักประดิษฐ์กำลังระดมทุนในการพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถวางตลาดได้จริงๆ บนเว็บไซต์ Kickstarter โดยเวอร์ชันพื้นฐานคาดว่าจะจำหน่ายที่ราคา 30 เหรียญฯ (ประมาณ 950 บาท) ลองชมความมหัศจรรย์จากคลิปที่นำมาฝากก่อนที่จะเข้าไปสนับสนุนพวกเขา เพื่อจะได้ The Flow สักอันในราคาพิเศษครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Kimo ที่ 18 เมษายน 2011, 12:05:52
ขอบคุณครับ :wanwan017: :wanwan017: :wanwan017:


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: idesigns ที่ 18 เมษายน 2011, 12:09:04
น่ามาโพสที่เวปให้จัง แลกติดลิ้งหน้าแรกเลย   :wanwan004:


หัวข้อ: แฮคเอฟเฟกต์ 3D บน iPhone 4, iPad 2
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 เมษายน 2011, 23:10:23
เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะจำ Johnny Chung Lee เจ้าของผลงานการแฮค Wii สร้างมุมมองภาพ 3D โดยใช้ WiiMote, IR (ตรวจจับ และติดตามพิกัดอ้างอิง) และ PC ทำงานร่วมกัน แต่สำหรับกรณีของ Jeremie Francone และ laurence Nigay จาก Grenoble Informatics Laboratory พวกเขาใช้เทคนิคในการแฮคคล้ายๆ กัน แต่ทำบน iPhone 4 และ iPad 2

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/hacks-3D-effects-on-iPhone-4-and-iPad-2-by-using-front-camera-2.jpg)

สำหรับเทคนิคในการแฮคของสองนักวิจัยจะใช้ความสามารถของกล้องด้านหน้าที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ทั้งสองอย่าง ทำงานร่วมกับโค้ดโปรแกรม เพื่อตรวจจับตำแหน่งการมองของผู้ใช้ เพื่อสร้างภาพ 3D ขึ้นมา ในส่วนของความแตกต่างในการแฮค กรณีของ Lee จะใช้ IR LED (หลอดอินฟราเรด) เนื่องจากมันเป็นสิ่งเดียวที่ Wiimote สามารถตรวจจับ และติดตามได้ แต่ด้วยโปรแกรมของ Francone และ Nigay จะสามารถตรวจจับคุณสมบัติ หรือป้าย (tag) ของวัตถุที่ต้องการให้ติดตามได้ ซึ่งจะคล้ายๆ กับวิธีการทำงานของ Kinect แต่ที่เจ๋งมากๆ คือ มันใช้แค่กล้องหน้าของ iPhone 4 และ iPad 2 เท่านั้น โดยไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์ Accelerometer (ตรววจับความเร่ง 3 แกนที่เกิดขึ้นจากการจับอุปกรณ์ iOS ทั้งสอง เอียง หน้า คว่ำ หงาย ตะแคง หมุน ฯลฯ)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: วิจัยชี้ยอดขาย PC ร่วง Tablet โตไม่หยุด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 เมษายน 2011, 23:40:50
รายงานข่าวล่าสุด ยอดจำหน่าย PC ยังคงดิ่งลงในไตรมาสแรกของปี 2011 ในขณะที่ตลาด Tablet ยังคงมีอัตรการเติบโตอย่างต่อเนื่อง IDC บริษัทวิจัยตลาดเทคโนโลยีเผย ยอดจำหน่ายพีซีทั่วโลกในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับในปี 2010

ความต้องการพีซีของผู้บริโภคลดลง แม้จะลดราคาพีซีลงมาแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้บริโภคสนใจซื้อพีซีมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้บริโภคให้ความสนใจแท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ มากกว่า แม้พวกมันจะมีราคาสูงกกว่า ซึ่งสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ทีทำให้ยอดจำหน่ายพีซีลดลงนั่นก็คือ การเปิดตัวและวางจำแหน่าย iPad 2 ของ Apple นอกจากโน้ตบุ๊คจะมีการเติบโตที่ลดลงแล้ว เดสก์ทอปยังมีแนวโน้มของการหดหายที่น่ากลัวยิ่งกว่า ทั้งนี้ นักวิจัยกำลังศึกษาถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่า จะส่งผลกระทบระยะยาวกับตลาดพีซีทั่วโลก หรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ IDC ประเมินการเติบโตของพีซีในไตรมาสแรกของปี 2011 ไว้อย่างระมัดระวังแค่ 1.5% เท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/hardware/1/pc-sale-slow-Q1-2011-ipad-tablet-growing-fast-2.jpg)

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อโน้ตบุ๊คเครื่องใหม่ เนื่องจากมันไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดี และใช้งานได้นานเหมือนเดสก์ทอปพีซี การเข้ามาของแท็บเล็ตในตลาดจึงส่งผลกระทบต่ออัตราเร็วของการเติบโตของยอดขายพีซีโดยตรง ทั้ง iPad ของ Apple และแท็บเล็ต Android หลายๆ รุ่น ได้จุดประกายความสนใจ และความต้องการของผู้บริโภคมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งจากแนวโน้มที่เกิดขึ้น เชื่อว่า กระแสความต้องการแท็บเล็ตจะยังคงต่อเนื่องตลอดปี 2011 ไปจนถึง 2012

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Canon Eos 5D Mark II ความจุ 4GB?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 เมษายน 2011, 22:40:09
หัวข้อข่าวเช้านี้อาจทำให้หลายๆ คนงงไปตามๆ กันว่า กล้อง Canon Eos 5D Mark II ทำไมมีสตอเรจแค่ 4GB แต่หากกลับคำพูดเสียใหม่เป็นว่า สตอเรจ (แฟลชไดรฟ์) 4GB ที่มีดีไซน์แพคเกจเป็นตัวกล้องรุ่นนี้ น่าจะทำให้ความหมายของมันชัดเจนขึ้น นับวันแฟลชไดรฟ์จะกลายเป็นสินค้าแฟชั่นมากขึ้น เนื่องจากชิปบันทึกข้อมูลมีราคาถูกลงเรื่อยๆ การดีไซน์ให้มันมีรูปลักษณ์ที่แปลกตาจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/canon/canon-eos-5d-mark-ii-4GB-2.jpg)

นอกจาก Paradox Media จะได้ออกแบบแฟลชไดรฟ์ให้มีแพคเกจเป็นกล้องถ่ายรูปดิจิตอลยอดฮิตอย่าง Canon Eos 5D Mark II แล้ว ทางบริษัทยังได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องดิจิตอล ตลอดแคมคอร์เดอร์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจด้วย กระแสโมฯแฟลชไดรฟ์ด้วยการซ่อนพวกมันไว้ภายในสิ่งของต่างๆ ที่ย่อขนาดให้เล็กลงกำลังได้รับความนิยม  ในนิตยสาร computer.today ยังเคยลงเรื่องการโมฯ แฟลชไดรฟ์ด้วยรถเหล็กก็ดูน่าสนุกดีเหมือนกัน คุณผู้อ่านท่านใดๆ มีผลงาน หรือไอเดียดีๆ ในการ modding แก็ดเจ็ตพวกนี้ ก็ส่งมาอวดกันบ้างนะครับ

(http://www.arip.co.th/images/news/canon/canon-eos-5d-mark-ii-4GB-3.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple ฟ้อง Galaxy Tab ก็อปปี้ iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 เมษายน 2011, 23:19:01
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Apple ยื่นฟ้อง Samsung โดยอ้างว่า แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนในซีรียส์ Galaxy ละเมิดสิทธิบัตรของทางบริษัท ซึ่งในคำฟ้อง ทาง Apple ไม่ได้ให้รายละเอียดสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุริจกของบริษัท คำถามคือ หาก Apple สามารถเอาชนะคดีนี้ได้สำเร็จ ใครจะเป็นบริษัทผู้ผลิตแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนรายต่อไป...

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/apple-sues-samsung-galaxy-tab-copy-ipad-technology-1.jpg)

Apple อ้างว่า Samsung Galaxy Tab แท็บเล็ตหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android เปิดตัวเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการละเมิดสิทธิบัตรของ iPad (ก็อปปี้ดีไซน์ และฟังก์ชันการทำงานของ iPad บางอย่างไป) ซึ่งรวมถึง Samsung Galaxy S สมาร์ทโฟนที่มีความแตกต่างจาก iPhone น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคำฟ้องไม่ได้มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดของความเสียหาย (Apple กำลังค้นหา และรวบรวม) โดยในคำฟ้องระบุแค่เพียงว่า แทนที่ Samsung จะสร้างนวตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนในสไตล์ของ Samsung เอง ทางบริษัทกลับเลือกที่จะก็อปปี้เทคโนโลยี ยูสเซอร์อินเตอร์เฟซ และนวตกรรมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/apple-sues-samsung-galaxy-tab-copy-ipad-technology-2.jpg)

อย่างไรก็ดี ข้อความที่ปรากฎในคำฟ้องแสดงเจตนาออกไปในทางที่ว่า Apple อาจจะขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตระกูล Samsung Galaxy ในร้านค้าต่างๆ ซึ่งหากคำพิจารณาของศาลตัดสินให้ Apple ชนะ ทั้งๆ ที่พิจารณาจากภายนอกแล้ว Galaxy Tab รุ่นแรกไม่ได้มีความคล้าย iPad เท่ากับบริษัทผู้ผลิตรายอื่นๆ เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าบริษัทที่เป็นคู่แข่งของ Apple ที่เตรียมเดินเครื่องแท็บเล็ตกันอย่างเต็มที่ เช่น Motorola Xoom ก็อาจอยู่ในข่ายที่จะโดนฟ้องเป็นรายต่อไป รวมถึงคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ Apple มองว่า มีการละเมิดสิทธิบัตรของ iPad ด้วย

Kristin Huguet ตัวแทนจาก Apple กล่าวว่า "การก็อปปี้ที่เห็นได้อย่างชัดเจนในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราจำเป็นต้องปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของ Apple เมื่อบริษัทต่างๆ ขโมยไอเดียของเรา" คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip คิดเห็นกันอย่างไรต่อการฟ้องร้องครั้งนี้ พวกคุณคิดว่า Galaxy Tab ก็อปปี้เทคโนโลยีของ Apple หรือไม่? แสดงความคิดเห็นกันได้เลยครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: idesigns ที่ 19 เมษายน 2011, 23:22:58
ไม่รับโพสข่าวลงบล็อกบ้างหรือคับ แลกติดลิ้งเวป pr4


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 เมษายน 2011, 23:26:03
ไม่รับโพสข่าวลงบล็อกบ้างหรือคับ แลกติดลิ้งเวป pr4

อยากได้เหมือนกันนะครับลิ้งก์ PR4
แต่ผมถนัดแต่โพสบอร์ด SMF เองครับ
 :P


หัวข้อ: ลือ!!! iPhone 6 วางตลาดกลางปี 2012
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 เมษายน 2011, 23:39:39
ข่าวลือเกี่ยวกับ Apple ยังคงมีให้ได้ติดตามกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะ iPhone 5 ที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า จะเปิดตัวในช่วงปลายปี พร้อมทั้งคำยืนยันจากแหล่งข่าวว่า มันมาพร้อมกับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และเสาอากาศสองระบบ (GSM & CDMA) ล่าสุดมีรายงานข่าวเพิ่มเติมออกมาอีกว่า iPhone 5 จะมีดีไซน์ตัวเครื่องไม่แตกต่างจาก iPhone 4 มากนัก ในขณะที่ iPhone 6 จะเปิดตัวในช่วงกลางปี 2012

แหล่งข่าวที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนของ iPhone 5 เปิดเผยกับ Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ตลาดว่า ข่าวลือเกี่ยวกับกล้อง 8M ที่จะมาพร้อมกับ iPhone 5 (กล้องบน iPhone 4 ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล) ซึ่งเปิดเผยโดย Howard Stringer ซีอีโอของ Sony เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง และน่าเชื่อกว่าข่าวที่อ้างว่า iPhone 5 จะมาพร้อมกับกล้อง 3D นอกจากนี้ ข่าวที่ว่า Apple พยายามจะทำให้ iPhone 5 ใช้งานได้กับทั้งสองผู้ให้บริการเครือข่ายนั่นคือ AT&T และ Verizon ก็ดูท่าจะเป็นจริง โดย iPhone 5 จะมาพร้อมกับ dual-Antenna ซึ่งหมายถึงการติดตั้งเสาอากาศที่สามารถรองรับได้ทั้งระบบ GSM และ CDMA ส่วนโพรเซสเซอร์ที่ใช้จะเป็นชิป A5 ตัวเดียวกันกับที่ใช้ใน iPad 2

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iPhone-5-adds-8MP-camera-A5-Processor-and-iPhone-6-is-coming-2.jpg)

แหล่งข่าวของ Kuo ยังกล่าวอีกด้วยว่า ดีไซน์ของ iPhone 5 จะไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 4 มากนัก นอกจากนี้ สายการผลิต iPhone 5 เพื่อวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากก็จะยังไม่เริ่มจนกว่าจะถึงเดือนกันยายนตามที่เป็นข่าวออกมาก่อนหน้านี้ ส่วนประเด็นที่ดูเหมือนจะทำให้ผู้บริโภคต้องคิดหนักอีกรอบก็คือ Kuo กล่าวว่า Apple ต้องสำรองชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการผลิต iPhone 5 ไว้ด้วย เพื่อใช้กับ iPhone 6 ที่มีกำหนดการเปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2012 โดย iPhone 6 จะเป็นการ"เปลี่ยนใหญ่"ของ iPhone อีกครั้งหนึ่ง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Facebook ยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ใช้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 เมษายน 2011, 23:11:29
หลังจากที่ผู้ปกครองของเด็กๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในสังคมเครือข่ายอย่างเฟซบุ๊ค (facebook) อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทางบริษัทได้ตัดสินใจเพิ่มเครื่องมือช่วยเหลือ และดูแลความปลอดภัย ตลอดจนทรัพยากรระบบที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อสู่สังคมเครือข่ายของผู้ใช้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เมื่อวานนี้ Facebook ได้เปิดตัวเครื่่องมือใช้งานทีมีชื่อว่า Family Safety Center ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพการปกป้อง และช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับเด็กๆ หรือผู้ใช้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ในการใช้สังคมเครือข่ายที่ก็เหมือนกับทุกสังคมที่มีผู้ไม่หวังดีซ่อนตัวอยู่ในนั้น โดยการปรับปรุงใหม่ นอกจากจะมีเรื่องของนโยบายการใช้งานแล้ว ยังเพิ่มการล็อกอินเข้าสู่ระบบที่มีการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อความปลอดภัยอีกระดับหนึ่งด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/Facebook-upgrade-safty-and-security-tools-for-users-2.jpg)

Family Safety Center จะให้ข้อมูลในรูปแบบของบทความ และวิดีโอ เพื่อช่วยให้ผู้ปกครอง และวัยรุ่นเข้าใจถึงความหมายของ"ความเป็นส่วนตัว" และความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีส่วนของคุณครู และผู้ดูแล สำหรับวิธีติดต่อ และดำเนินการทางกฎหมายหากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมของผู้ใช้ใน Facebook กับเด็กๆ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่หลายคนทราบกันดีก็คือ ผู้ปกครองมักจะไม่สนใจกฎระเบียบของ Facebook โดยยอมให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีมีบัญชีผู้ใช้ Facebook เป็นของตนเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/Facebook-upgrade-safty-and-security-tools-for-users-3.jpg)

ทั้งนี้ Facebook ได้เพิ่มข้อมูลที่ช่วยให้เข้าใจวิธีสังเกต และตอบโต้กับผู้ไม่หวังดีในสังคมออนไลน์ด้วย Social Reporting Tools ซึ่งเป็นกลไกที่ใช้รายงานให้ทาง Facebook รับทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ดี หรือส่อไปในลักษณะของการคุกคามใดๆ ของสมาชิกคนใดใน Facebook อีกทั้งสมาชิกยังสามารถตอบโต้ด้วยการบล็อคการสื่อสารจากบุคคลที่โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมได้อีกด้วย ล่าสุด Social Reporting Tools กำลังเพิ่่มการใช้งานให้ครอบคลุมไปยังส่วนการใช้บริการอื่นๆ บน Facebook ด้วย โดยเฉพาะ Profiles, Pages และ Groups

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/Facebook-upgrade-safty-and-security-tools-for-users-4.jpg)

นอกเหนือจากการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตนเองในสังคมออนไลน์กับผู้ปกครอง และผู้ใช้ที่ยังไม่เข้าใจนโยบายความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน ตลอดจนเครื่องมือรายงานพฤติกรรมไม่เหมาะสม พร้อมทั้งตัวเลือกในการป้องกันตัวเองจากผู้ไม่หวังดีแล้ว Facebook ยังได้เพิ่มรูปแบบของการรับรองการอนุญาตได้ 2 อย่าง โดยผู้ใช้ Facebook ตอนนี้จะสามารถเลือกเช็คบ๊อกซ์ในหน้า Settings/Account Security ให้มีการส่งอีเมล์ และหรือส่ง SMS เมื่อมีการล็อกอินเข้าไปยังบัญขีผู้ใช้จากคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์โมบายของผู้ใช้ โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องได้รับการรับรองสิทธิ์อีกครั้งทุกๆ 30 วัน

และเพื่อเป็นการป้องกันการถูกดักขโมยข้อมูลระหว่างทางก่อนที่จะถูกส่งเข้าไปใน Facebook ทางบริษัทได้เพิ่มระบบรักษความปลอดภัยสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้กับ Facebook ด้วยการเข้ารหัสผ่านโพรโตคอล HTTPS ซึ่งจะทำให้ข้อมูลได้รับการเข้ารหัสในระหว่างที่ส่งเข้าไปใน Facebook โดยหากผู้ไม่หวังดีสามารถดักขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไปในระหว่างทางก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ทั้งหมดคือ ภาพรวมคร่าวๆ ของการปรับปรุงระบบการใชั้งาน เพื่อให้ Facebook เป็นสังคมออนไลน์ที่มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ทั้งเยาวชน และผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม ผู้ใช้จำนวนหนึ่งคอมเมนต์ว่า Facebook ทำให้ผู้ใช้ต้องวุ่นวายมากเกินไป แถมยังเปิดการเชื่อมต่อ HTTPS ที่ดีฟอลต์ของการใช้งานที่ทำให้การเชื่อมต่อบริการช้าลงเล็กน้อยอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ตลาด "แท็บเล็ต" ไม่แพ้โน้ตบุ๊ค,สมาร์ทโฟน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 เมษายน 2011, 23:19:40
รายงานข่าวล่าสุด Strategy Analytics บริษัทวิจัยตลาดเผย กระแสของตลาด"แท็บเล็ต" (tablet) ที่เริ่มได้รับความนิยมมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งนำร่องโดย iPad ของ Apple ทำให้คาดการณ์กันว่า ในปี 2015 มูลค่าตลาดแท็บเล็ตจะมีตัวเลขสูงถึง 49 พันล้านเหรียญฯ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)

Strategy Analytics รายงานว่า จากแนวโน้มการเติบโตที่มีการคาดการณ์กันนั้นทำให้ตลาด"แท็บเล็ต"กำลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากทีวี และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยคาดว่า ยอดจำนวนแท็บเล็ตที่จะมีการขายไปทั่วโลกในปี 2015 จะสูงถึง 149 ล้านเครื่อง หรือคิดเป็นเป็น 8 เท่าของอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2010 "แท็บเล็ตจะเป็นเซกเมนต์ของตลาดที่กำลังจะสร้างโอกาสสำคัญให้กับบริษัทผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำอย่าง Apple และ Samsung" Neil Mawston นักวิเคราะห์ฯ กล่าว อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่เปิดเผยออกมานี้ ยังต่ำกว่าที่ Gartner รายงานว่าในปี 2015 แท็บเล็ตจะมีจำหน่ายสูงถึง 294 ล้านเครื่อง!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/tablet-the-third-CE-market-ipad-and-samsung-leaders-2015-1.jpg)

ในรายงานที่เปิดเผยออกมายังระบุอีกด้วยว่า iPad ของ Apple จะครอบครองตลาดส่วนใหญ่ต่อเนื่องอีกหลายปี ตามด้วย Samsung ที่มาเป็นอันดับสอง แต่ทิ้งระยะห่างค่อนข้างมากทีเดียว ซึ่งจากผลงานล่าสุดของ Apple ที่สามารถสร้างปรากฎการณ์ยอดขาย iPad 2 ที่ 1 ล้านเครื่องภายในสัปดาห์แรกที่เปิดตัวในสหรัฐฯ ในขณะที่ Samsung จะต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนสำหรับยอดขายของ Galaxy Tab นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Apple ก็เพิ่งจะฟ้อง Samsung ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรในการออกแบบทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์ Galaxy อีกต่างหาก

*ข้อมูลตัวเลขที่น่าสนใจ ซึ่งปรากฎในคำฟ้องของ Apple ระบุว่า จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2011 ทางบริษัทสามารถขาย iPhone ได้มากกว่า 108 ล้านเครื่อง iPad 19 ล้านเครื่อง และ iPod Touch 60 ล้านเครื่อง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: BlackBerry PlayBook วางตลาดแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 เมษายน 2011, 23:31:06
ผู้บริโภคได้รับทราบข่าวคราวของ BlackBerry PlayBook "แท็บเล็ต"เอาใจสาวก BB จาก RIM มานานนับปีแล้ว โดยทางบริษัทได้นำเครื่องต้นแบบออกโชว์ให้เห็นเป็นครั้งแรกเมือเดือนกันยายนปี 2010 หลังจากที่ต้องรอคอยกันมายาวนานพอสมควร ล่าสุดทางบริษัทก็ได้วางจำหน่าย BlackBerry PlayBook ในสหรัฐฯ และแคนาดาแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/blackberry-playbook-ready-to-sell-in-tablet-war-2.jpg)
(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/blackberry-playbook-ready-to-sell-in-tablet-war-3.jpg)

BlackBerry PlayBook เป็นแท็บเล็ตอีกรุ่นหนึ่งที่เปิดตัวมาพร้อมกับคุณสมบัติการทำงานต่างๆ มากมายทีไม่แพ้คู่แข่งในตลาด ไม่เพียงแต่จะมี iPad 2 ที่ล่วงหน้าทำตลาดไปไกลแล้ว แต่ในตลาดแท็บเล็ต ผู้บริโภคอีกไม่น้อยที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจเลือก Motorola Xoom หรือรอดู EeePad Transformer ของ Asus อีกทั้งยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจอย่าง Galaxy Tab 10 และ LG Optimus Pad ไม่นับรวม Iconia Tab ของ Acer ที่พร้อมวางตลาดแล้วอีกด้วย เรียกได้ว่า มีคู่แข่งแท็บเล็ตหลายรายทีเดียวในสมรภูมินี้ ซึ่งการมีตัวเลือกให้มากมายเช่นนี้ อาจสร้างความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกให้กับผู้บริโภคได้เหมือนกัน

BlackBerry PlayBook แท็บเล็ตทีมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว ทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ 1 GHz จากบริษัทเท็กซัส อินสทรูเมนต์ หน่วยความจำ 1GB และใช้ระบบปฏิบัติการ QNX กล้องหน้า 3M และกล้องหลัง 5M บันทึกวิดีโอที่ 1080P ได้ น้ำหนักเครื่องแค่ 425 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม PlayBook มากับแอพฯค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังไม่มีแอพฯ อย่าง email, contacts และ Calendar ที่ใช้ทำงานในเครื่องอีกด้วย นอกจากจะให้มีการจับคู่การใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน BB ของ RIM นอกจากนี้ BlackBerry App World ก็ยังไม่ค่อยมีแอพฯให้ใช้มากมายอีกด้วย คาดว่า ทาง RIM จะมีการอัพเกรดทั้งแอพพลิเคชันที่มาพร้อมเครื่องในเร็วๆ นี้ เพื่อเร่งสปีดให้ทันคู่แข่งอีกหลายๆ รายในท้องตลาด

สนนราคาของ PlayBook เวอร์ชัน Wi-Fi อย่างเดียว สตอเรจ 16GB อยู่ที่ 499 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 บาท) 32GB 599 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 บาท) และ 64G 699 เหรียญฯ (ประมาณ 21,000 บาท) กรณีต้องการเชื่อมต่อรไร้สายผ่านเครือข่ายมือถือสามารถทำได้โดยจับคู่กับ BB หรือไม่ก็รอรุ่นทีสนับสนุน ซึ่งจะออกช่วงปลายปีนี้ ข้างล่างนี้เป็นคลิปการชำแหละ BlackBerry PlayBook ของ iFixit

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: onlyones ที่ 20 เมษายน 2011, 23:41:12
อยากได้ไปไว้ที่ Forums มากมาย :wanwan004:

คนแบบนี้


หัวข้อ: HBO Go ดูหนังบน iPad และ Android
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 03:27:07
สมาชิก HBO ในสหรัฐอาจต้องควักกระเป๋าตังค์เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทผู้ให้บริการเคเบิ้ลทีวีสำหรับคอหนังกำลังจะเปิดเซอร์วิสใหม่นั่นก็คือ การสตรีมมิ่งภาพยนต์ไปบนแท็บเล็ต และอุปกรณ์โมบายที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple และ Android ของ Google โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม ศกนี้

HBO Go เป็นบริการสตรีมมิ่งภาพยนต์ที่ฉายทาง HBO ไปยัง iPad, iPhone และอุปกรณ์โมบายที่เป็นแพลตฟอร์ม Android โดยบริการดังกล่าวจะเปิดให้สมาชิกสามารถรับชมภาพยนต์ทั้งหมดในไลบรารีของ HBO ซึ่งตอนนี้มีให้เลือกชม 1,400 โปรแกรม ประกอบด้วยสารคดี และภาพยนต์ ทั้งนี้ผู้บริโภคที่จะสามารถใช้บริการนี้ได้จะต้องสมัครแพคเกจของ HBO จากผู้ให้บริการเคเบิ้ล หรือผู้ให้บริการดาวเทียมที่ใช้อยู่อย่างเช่น ComCast, AT&T, Verizon หรือ DirectTV

(http://www.arip.co.th/images/news/internet/2/HBO-Go-movies-streaming-on-iPhone-iPad-and-Android-devices-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม จากคลิปวิดีโอโปรโมทบริการ HBO Go จะแสดงให้เห็นการใช้บริการบนอุปกรณ์ iOS เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า บริการสำหรับอุปกรณ์ Android อาจต้องรอไปก่อน สำหรับการให้บริการ HBO Go บนแท็บเล็ต และอุปกรณ์โมบาย ถือเป็นอีกขั้นหนึี่งของกลยุทธ์สำคัญของทางบริษั่ทในการที่จะทำให้ HBO เป็นเจ้าของสิทธิ์ในการเผยแพร่คอนเท็นต์บนอุปกรณ์เหล่านี้ด้วยตนเอง แทนที่จะขายสิทธิ์ไปให้กับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายอื่นๆ อย่าง Netflix เป็นต้น ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบันดิจิตอลคอนเท็นต์จากสื่อดั้งเดิม (นิตยสาร, หนังสือ, วิทยุ, ทีวี, ภาพยนต์ ฯลฯ) กำลังมุ่งสู่ช่องทางของอุปกรณ์โมบายแทบทั้งสิ้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: โปรเจ็กเตอร์ฉายภาพโต้ตอบระบบสัมผัส
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 03:36:23
Light Touch เครื่องฉายทีทำงานในระบบโต้ตอบ (Interactive Projector) โดยภาพที่ฉายลงบนพื้นผิวเรียบจะสามารถใช้นิ้วสัมผัส เพื่อโต้ตอบการทำงานได้เหมือนหน้าจอแอลซีดี (LCD) ระบบสัมผัสของ"แท็บเล็ต" (tablet) พูดง่ายๆ ก็คือ Light Touch สามารถเปลี่ยนพื้นผิวเรียบใดๆ ให้กลายเป็นจอสัมผัสได้นั่นเอง

Light Touch ใช้เทคโนโลยี Holographic Laser Protection (HLP) ที่สามารถสร้างภาพฉายบนพื้นผิวด้วยเทคนิคการฉายภาพแบบโฮโลแกรม (ภาพฉายบนพื้นเกิดจากฉายภาพซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับมีความหนา เมื่อกวาดนิ้วผ่านไปบนภาพฉายที่อยู่บนพื้นผิว ก็จะเหมือนกับการตัดแสงของภาพฉายในแต่ละชั้น) ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้ความสว่างในการฉายวิดีโอที่ความละเอียด WVGA (800x480 พิกเซล) ที่มีขนาด 10.1 นิ้ว นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์"อินฟราเรด"ที่สมารถตรวจจับความเคลื่อนไหว และเปลียนภาพฉายให้ทำงานได้เหมือนหน้าจอสัมผัส ดังน้น ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องฉาย และโต้ตอบกับแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วยการสัมผัสภาพฉายบนพื้นผิว

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/Light-Touch-projector-touch-screen-surface-2.jpg)

สำหรับแอพพลิเคชันที่เหมาะกับ Light Touch เช่น การนำไปใช้กับธุรกิจค้าปลีกด้วยการฉายวิดีโอมัลติมีเดียที่ลูกค้าสามารถโต้ตอบได้ด้วยระบบสัมผัส ซึ่งคอนเท็นต์ที่ทำงานบนโปรเจ็กเตอร์ Light Touch ก็คือ Adobe Flash Lith 3.1 โดยภายในเครื่องฉายจะมีสตอเรจขนาด 2GB และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD (สูงสุดถึง 32GB) พร้อมช่องเสียบออดิโอ สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi b/g พอร์ต USB และช่องต่อคอมโพสิตวิดีโอ (composite video out port)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Adobe ปรับทัพรับกระแสแท็บเล็ตโต
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 04:02:31
อะโดบี ออกผลิตภัณฑ์ใหม่รับกระแสแท็บแล็ต และอุปกรณ์พกพา หลังเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมเสพข้อมูลผ่านอุปกรณ์พกพามากขึ้น ออกชุดเครื่องมือ Adobe Creative Suite 5.5 ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างคอนเทนต์หลายแพลตฟอร์มพร้อมๆ กัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005136601.JPEG)

      วิคกี้ สกิ๊บ ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อะโดบี ซิสเต็มส์ กล่าวว่า เทรนด์ในสื่อออนไลน์ เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดผ่านออนไลน์ ซึ่งต้องการวิธีการวัดค่า ขณะที่ผู้บริโภคก็ต้องการประสบการณ์รูปแบบใหม่ในการใช้งาน ส่งผลให้การเข้ามาของดิจิตอลมีเดีย จะช่วยตอบโจทย์ของทั้งนักการตลาด และผู้บริโภคได้
      
      "การทำงานของ Adobe Creative Suite 5.5 จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างคอนเทนต์ให้แก่หลายๆ แพลตฟอร์มจากภายในชุดเครื่องมือได้ทันที ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพัฒนาคอนเทนต์เฉพาะแต่ละแพลตฟอร์ม"
      
      จากผลสำรวจของไอดีซีพบว่ายอดการจำหน่ายของสมาร์ทโฟนกว่า 100.9 ล้านเครื่อง ในไตรมาส 4 ของปี 2010 รวมกับการที่การ์ทเนอร์ออกมาทำนายว่าจะมีเงินหมุนเวียนในสื่อบนอุปกรณ์พกพาอย่างแท็บเล็ต และ สมาร์ทโฟน เพิ่มขึ้นเป็น 29.4 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2011
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005136603.JPEG)
ซ้าย - วิคกี้ สกิ๊บ ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อะโดบี ซิสเต็มส์

      ขณะที่ฟรอสต์แอนซัลลิแวนด์ ให้ข้อมูลเมื่อต้นปีไว้ว่า ในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้งานจากพีซี ให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพา ซึ่งแท็บเล็ตจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภค และองค์กรธุรกิจเจริญเติบโต ทำให้อะโดบี ทำการอัปเกรดเวอร์ชันล่าสุดให้กลายเป็น Adobe Creative Suite 5.5 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดเวอร์ชันย่อย จากเดิมที่การออกเวอร์ชันใหม่ของ อะโดบี จะเป็นในรูปแบบรุ่นใหม่เสมอ ไม่ใช่เวอร์ชันเสริมเช่นในครั้งนี้ เพราะ การเติบโตของอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จึงจำเป็นต้องมีการเสริมประสิทธิภาพเครื่องมือให้นักพัฒนาสามารถนำไปใช้กับดิจิตอลมีเดียสมัยใหม่ได้
      
      นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนรอบการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของอะโดบี ให้กลายเป็นทุกๆ 24 เดือน แทนที่จากเดิม 18 เดือน โดยใช้การออกเวอร์ชันเสริมระหว่างรอบการผลัดเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เข้ามาแทนที่ เพื่อให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความทันสมัยกับอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ที่ออกวางจำหน่าย
      
      โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของเวอร์ชันนี้คือสื่อสิ่งพิมพ์หลายๆ แห่ง ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ดิจิตอลมีเดียสามารถใช้งาน In Design ในการออกแบบและจัดหน้าหนังสือและนิตยสาร และยังสามารถนำชุดเครื่องมือ Folio Producer เพื่อส่งต่อคอนเทนต์ที่ผสมผสานทั้งไฟล์รูปภาพ และวิดีโอในแบบอินเตอร์แอคทีฟไปยังแพลตฟอร์มที่เป็นดิจิตอลมีเดียได้ทันที
      
      ขณะเดียวกันโปรแกรมอย่าง Dreamveawer ก็มีการพัฒนาเพื่อให้ผู้สร้างเว็บในรูปแบบ CSS สามารถแปลงหน้าเว็บ ให้เข้ากับอุปกรณ์พกพาหลากหลายขนาดหน้าจอได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแบบอัตโนมัติ จากความสามารถของ HTML 5
      
      "อะโดบี เน้นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีให้กับอุปกรณ์ที่หลากหลาย แน่นอนว่ารวมถึงการนำเทคโนโลยีอย่างแฟลชเข้าไปใช้ใน iOS ที่ใช้ในทั้งไอโฟน และ ไอแพด ที่ยังคงดำเนินการอยู่ รวมกับอีกหลายๆฟอร์มเฟคเตอร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Intel ย้าย Android 3.0 รันบนชิป x86
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 21:10:14
หลังจาก Intel รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสแรกของปี 2011 ด้วยตัวเลข 3.16 พันล้านเหรียญฯ หรือเติบโต 29% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว Paul S. Otellini ซีอีโอของ Intel ประกาศหันหัวเรือเข้าสู่ธุรกิจที่ทางบริษัทไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรในช่วงที่ผ่านมานั่นก็คือ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน

Otellini กล่าวว่า Intel กำลังทำงานอย่างหนักในการที่จะย้ายโค้ดการทำงานของระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) สำหรับแท็บเล็ตให้สามารถทำงานบนสถาปัตยกรรมโพรเซสเซอร์ x86 ของทางบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในการนี้ Intel ยังได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คชั้นนำในการสร้าง"แท็บเล็ต" Honeycomb ที่ใช้ชิปอินเทลอีกด้วย ซึ่งคาดว่าแท็บเล็ตเหล่านั้นจะสามารถวางตลาดได้ภายในปีนี้ ในส่วนของชิปดังกล่าวยังคงเป็นชิปในตระกูล Atom แต่รวมเข้ากับแกนการทำงาน (cores) ด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างเช่น กราฟิก HD เป็นต้น

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/intel-ports-android-3-0-honeycomb-tablet-os-to-run-on-medfield-x86-chip-2.jpg)

นอกจาก Android แล้ว Intel ยังมีแผนที่จะสาธิต"แท็บเล็ต"ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ MeeGo และ Windows ในงานแสดงเทคโนโลยี Computex ที่จะจัดให้มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวันอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ในส่วนของโมบายที่วันนี้ถูกครองตลาดด้วยโพรเซสเซอร์ ARM ทาง Intel ก็กำลังเดิมพันด้วยชิปรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ โดยใช้เทคโนโลยี 32nm (Medfield) "เรากำลังทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตมือถือหลายราย ตลอดจนโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกในการออกแบบโพรเซสเซอร์ Medfield" Otellini กล่าวพร้อมทั้งยกย่องว่า ชิปใหม่ที่ใช้กับสมาร์ทโฟนจะมีประสิทธิภาพการทำงานที่เยี่ยมยอดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มันมาพร้อมกับความสามารถในการเล่นวิดีโอ HD ทั้งนี้ Otellini กล่าวอีกด้วย่วา ผู้บริโภคจะมีโอกาสได้เห็นสมาร์ทโฟนที่ใช้โพรเซสเซอร์ Medfield ในท้องตลาดภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: BlackBerry PlayBook วางตลาดแล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ClickToBan ที่ 21 เมษายน 2011, 21:32:09
ผู้บริโภคได้รับทราบข่าวคราวของ BlackBerry PlayBook "แท็บเล็ต"เอาใจสาวก BB จาก RIM มานานนับปีแล้ว โดยทางบริษัทได้นำเครื่องต้นแบบออกโชว์ให้เห็นเป็นครั้งแรกเมือเดือนกันยายนปี 2010 หลังจากที่ต้องรอคอยกันมายาวนานพอสมควร ล่าสุดทางบริษัทก็ได้วางจำหน่าย BlackBerry PlayBook ในสหรัฐฯ และแคนาดาแล้ว

([url]http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/blackberry-playbook-ready-to-sell-in-tablet-war-2.jpg[/url])
([url]http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/blackberry-playbook-ready-to-sell-in-tablet-war-3.jpg[/url])

BlackBerry PlayBook เป็นแท็บเล็ตอีกรุ่นหนึ่งที่เปิดตัวมาพร้อมกับคุณสมบัติการทำงานต่างๆ มากมายทีไม่แพ้คู่แข่งในตลาด ไม่เพียงแต่จะมี iPad 2 ที่ล่วงหน้าทำตลาดไปไกลแล้ว แต่ในตลาดแท็บเล็ต ผู้บริโภคอีกไม่น้อยที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจเลือก Motorola Xoom หรือรอดู EeePad Transformer ของ Asus อีกทั้งยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจอย่าง Galaxy Tab 10 และ LG Optimus Pad ไม่นับรวม Iconia Tab ของ Acer ที่พร้อมวางตลาดแล้วอีกด้วย เรียกได้ว่า มีคู่แข่งแท็บเล็ตหลายรายทีเดียวในสมรภูมินี้ ซึ่งการมีตัวเลือกให้มากมายเช่นนี้ อาจสร้างความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกให้กับผู้บริโภคได้เหมือนกัน

BlackBerry PlayBook แท็บเล็ตทีมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว ทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ 1 GHz จากบริษัทเท็กซัส อินสทรูเมนต์ หน่วยความจำ 1GB และใช้ระบบปฏิบัติการ QNX กล้องหน้า 3M และกล้องหลัง 5M บันทึกวิดีโอที่ 1080P ได้ น้ำหนักเครื่องแค่ 425 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม PlayBook มากับแอพฯค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังไม่มีแอพฯ อย่าง email, contacts และ Calendar ที่ใช้ทำงานในเครื่องอีกด้วย นอกจากจะให้มีการจับคู่การใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน BB ของ RIM นอกจากนี้ BlackBerry App World ก็ยังไม่ค่อยมีแอพฯให้ใช้มากมายอีกด้วย คาดว่า ทาง RIM จะมีการอัพเกรดทั้งแอพพลิเคชันที่มาพร้อมเครื่องในเร็วๆ นี้ เพื่อเร่งสปีดให้ทันคู่แข่งอีกหลายๆ รายในท้องตลาด

สนนราคาของ PlayBook เวอร์ชัน Wi-Fi อย่างเดียว สตอเรจ 16GB อยู่ที่ 499 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 บาท) 32GB 599 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 บาท) และ 64G 699 เหรียญฯ (ประมาณ 21,000 บาท) กรณีต้องการเชื่อมต่อรไร้สายผ่านเครือข่ายมือถือสามารถทำได้โดยจับคู่กับ BB หรือไม่ก็รอรุ่นทีสนับสนุน ซึ่งจะออกช่วงปลายปีนี้ ข้างล่างนี้เป็นคลิปการชำแหละ BlackBerry PlayBook ของ iFixit

ข้อมูลจาก: ARIP ([url]http://www.arip.co.th[/url])

ได้ข่าวมาว่า BlackBerry PlayBook ได้พัฒนาแอบตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สามารถโหลดแอบของไอแพทและแทปเลตในเครือแอนดรอยได้ขี้นมาแทนการพัฒนาที่สเปคน่ะครับ


หัวข้อ: Kindle เพิ่มฟีเจอร์ "ยืมอีบุ๊ค" จากห้องสมุด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 21:42:37
รายงานข่าวล่าสุด Amazon ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับ Kindle เครื่องอ่านอีบุ๊คของทางบริษัท โดย Kindle Library Lending จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่เป็นเจ้าของ Kindle สามารถ "ยืม" อีบุ๊คจากห้องสมุดมากกว่า 11,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ

สำหรับอีบุ๊คที่ถูกยืมมาจากห้องสมุดเหล่านี้จะสามารถอ่านได้บน Kindle แพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบนเครื่องอ่านอีบุ๊ค Kindle เองไปจนถึง Android, iPad, iPod Touch, iPhone, PC, Mac, BlackBerry ตลอดจน Windows Phone ที่รันแอพฯ Kindle ซึ่งในขณะที่กำลังอ่านอีบุ๊คที่ยืมมานั้น ผู้ใช้สามารถทำหมายเหตุประกอบคำอธิบายตลอดจนคั่นหน้าให้กับอีบุ๊คที่ยืมมาได้ และเมื่อคุณต้องการซื้อ หรือยืมอีบุ๊คเล่มนั้นอีกครั้ง หมายเหตุประกอบคำบรรยายทั้งหมดก็จะยังคงสามารถแสดงกลับขึ้นมาให้เห็นได้เหมือนเดิม ซึ่งหากเป็นหนังสือเล่มในห้องสมุด คุณจะไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย

(http://www.arip.co.th/images/news/amazon/2/amazon-offer-kindle-library-lending-feature-2.jpg)

"ด้วยการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี Whispersync ทำให้ผู้ใช้สามารถไฮไลต์ พร้อมทั้งใส่ข้อความเข้าไปในอีบุ๊ค Kindle ที่ยืมออกมาจากห้องสมุดได้" ทั้งนี้ข้อความที่คุณใส่เข้าไปในอีบุ๊คจะไม่แสดงเมื่่อผู้ใช้บริการคนอื่นยืมอีบุ๊คดังกล่าวออกไปอ่าน อย่างไรก็ตาม บริการ"ยืม"อีบุ๊คจากห้องสมุดจะเริ่มเปิดให้เจ้าของ Kindle และผู้ใช้แอพฯ Kindle บนแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถใช้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้ Amazon กำลังพัฒนาระบบนิเวศของธุรกิจอีบุ๊คที่มีห้องสมุดเป็นลูกค้าของสำนักพิมพ์ด้วยนั่นเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Toshiba ผุดทีวีพลัง "แบตฯ" ใช้ในญี่ปุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 21:54:53
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Toshiba ได้เปิดตัว REGZA PC1 ทีวีทีทำงานด้วยแบตเตอรี่สำหรับตลาดในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ล่าสุดทางบริษัทกล่าวว่า มีแผนที่จะเปิดตัว Regza TV จอ LCD ขนาด 19 นิ้วที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ออกมาอีกรุ่นหนึ่ง แต่จะจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-regza-tv-battery-power-for-japan-consumer-only-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม Toshiba ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสเป็กของทีวีรุ่นใหม่มากนัก เพียงแต่ระบุว่า มันสามารถทำงานด้วยแบตเตอรี่เป็นเวลานาน 3 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตฯเต็มหนึ่งครั้ง และสามารถรับสัญญาณทีวีในระบบดิจิตอล 1Seg ของญ๊่ปุ่น เว็บไซต์ AV Watch รายงานว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Toshiba กลับลำทำตลาดทีวีพลังแบตเตอรี่ในประเทศตนเอง ก็เนื่องจากระบบไฟฟ้าในประเทศที่ยังมีการขาดช่วงเกิดขึ้นในบางเวลา ซึ่งในกรณีที่ไฟดับ ผู้บริโภคสามารถกดปุ่ม "Peak Shift" ที่อยู่มุมบนขวาของรีโมท เพื่อให้ระบบสวิทช์ไปใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เพื่อรับชมรายการข่าวสารต่อได้ทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-regza-tv-battery-power-for-japan-consumer-only-3.jpg)

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ระบบไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นไม่สเถียรก็เป็นผลมาจากปัญหาโรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดความเสียหายขึ้นหลังจากแผ่นดินไหว และสึนามิถล่มตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ทั้งนี้ทาง Toshiba มีแผนการที่จะเริ่มจำหน่าย Regza TV ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่รุ่นใหม่ในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม สนนราคาอยู่ที่ 480 - 600 เหรียญฯ (ประมาณ 14,500 - 18,000 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: พบ "ไฟล์ลับ" เก็บ location ผู้ใช้ iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 23:07:55
แอปเปิ้ล (Apple) กำลังถูกตั้งคำถามจากนักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัย เมื่อพวกเขาพบไฟล์ข้อมูลที่"ซ่อน"อยู่ในอุปกรณ์อย่าง iPhone และ iPad ซึ่งข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ดังกล่าวจะเป็นบันทึกโดยละเอียดของสถานที่ที่เจ้าของเครื่องได้เดินทางไปก่อนหน้านี้ (Location history)

กล่าวโดยสรุปก็คือ นักวิจัยฯ พบไฟล์ลึกลับที่ซ่อนอยู่ในระบบปฏิบัติการ iOS บน iPhone และ iPad ที่เก็บบันทึกข้อมูลการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ (geographical location) ของผู้ใช้ได้หลายหมื่นรายการ โดยแต่ละเรคคอร์ดยังมีการระบุเวลาไว้ด้วย ลักษณะคล้ายกับเป็นไฟล์บันทึกการติดตามประวัติการเดินทางของผู้ใช้ยังไงยังงั้น โดยข้อมูลดังกล่าวจะได้รับการบันทึกต่อเนื่องยาวนานนับเดือน หรือย้อนหลังเป็นปีเลยทีเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iPhone-Traker-program-show-your-location-history-map-from-hidden-file-1.jpg)

ข้อมูลดังกล่าวจะอยู่ในไฟล์ที่ไม่ได้รับการป้องกัน โดยจะพบได้ใน iPhone และ iPad นักวิจัยเปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ข้อมูลดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์สามารถนำ iPhone หรือ iPad ที่ขโมยมาได้ เพื่อย้อนรอยดูประวัติการเดินทางของเจ้าของเครื่องได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการทำวิจัยจนค้นพบเรื่องน่าตกใจนี้สือเนื่องมาจากการที่มีรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีกำลังพยายามสรรหาวิธีต่างๆ มากมาย เพื่อให้สามารถรวบรวม จัดเก็บ และแบ่งปันข้อมูลของลูกค้าทีใช้อุปกรณ์ดิจิตอลได้ โดย Apple, Google และ Facebook เป็นบริษัทเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคที่ตกเป็นเป้าใหญ่ ซึ่งมักจะถูกตรวจสอบจากหน่วยงานควบคุม และผู้สนับสนุนนโยบายความเป็นส่วนตัว

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iPhone-Traker-program-show-your-location-history-map-from-hidden-file-2.jpg)

Pete Warden และ Alasdair Allan สองนักวิจัยที่ค้นพบไฟล์บันทึกประวัติการเดินทางดังกล่าวได้พัฒนาโปรแกรม iPhone Tracker ที่ผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถดาวน์โหลดมา เพื่อให้มันสร้างเส้นทางการเดินทางในอดีตของคุณลงบนแผนที่ที่โต้ตอบได้ ซึ่งมันน่าอัศจรรย์มาก เนื่องจากในแผนที่จะพลอตจุดของสถานที่ที่คุณไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นักวิจัยไม่อาจตอบได้เหมือนกันว่า Apple เก็บข้อมูลเหล่านี้ทำไม? ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว Apple ถูกตั้งคำถาม เมื่อนโยบายความเป็นส่วนตัวมีการระบุว่า ทางบริษัทจะรวบรวม ใช้งาน และแชร์ข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำ รวมถึงสถานที่ของคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ของ Apple แบบเรียลไทม์ ซึ่งทางบริษัทให้เหตุผลว่า ข้อมูลดังกล่าวจะไม่ระบุชื่อ และไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงถึงผู้ใช้ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iPhone-Traker-program-show-your-location-history-map-from-hidden-file-3.jpg)

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอดีตวิศวกรของ Apple กล่าวว่า แคช (ข้อมูลจากหน่วยคามจำที่จัดเก็บไว้บนสตอเรจ) ของข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งสถานที่บน iPhone และ iPad ของผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงไปยังเจ้าของได้อย่างง่ายดาย และมันไม่ได้รับการป้องกันโดยระบบรักษาความปลอดภัยแต่อย่างใด ปกติข้อมูลระบบตำแหน่ง หรือสถานที่ของมือถือทุกเครื่องจะถูกเก็บรวบรวมโดยโอเปอเรเตอร์ โดยหน่วยงานรักษากฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ แต่จะต้องได้รับคำสั่งจากศาลเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้อมูลดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เข้าถึงได้จากอุปกรณ์ดิจิตอลเหล่านี้เสียแล้ว ล่าสุด Apple ยังไม่ได้ชี้แจงต่อกรณีของคำถามที่เกิดขึ้นแต่อย่างไร

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Sony ยุติการผลิตเครื่องเล่น PSP Go แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 23:16:28
โซนี่ (Sony) ประกาศยุติการผลิตเครื่องเล่นเกมส์ PSP Go อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเครื่องเล่นดังกล่าวได้ถือกำเนิดในตลาดในปี 2009 แต่ด้วยดีไซน์ที่ไม่สวยโดนจอคอเกมส์พกพาสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเครื่องเล่นเกมส์ PSP รุ่นก่อนหน้านี้ในท้องตลาดด้วยแล้ว

แม้ PSP Go จะได้รับการดีไซน์ให้ดูตัวเครื่องมันวาว ให้ความรู้สึกที่แข็งแรง พร้อมด้วยหน้าจอที่เลื่อนได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของเครื่องเล่นเกมส์ PSP จะหันมาสนใจ PSP Go สักเท่าใด นั่นอาจจะเป็นเพราะการที่ PSP Go มีไตเติ้ลของเกมส์ให้เล่นค่อนข้างจำกัด ซึ่งอาจรวมถึงเรื่่องของราคาเปิดตัวที่สูงถึง 250 เหรียญฯ (ประมาณ 7,500 บาท) โดยประเด็นทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้าทั้งสิ้น

(http://www.arip.co.th/images/news/game2/sony-psp-go-portable-game-console-3.jpg)

อย่างไรก็ดี สำหรับการที่ Sony ยุติการผลิต และพัฒนาเครืองเล่น PSP Go ทางบริษัทได้ให้เหตุผลที่น่าจะทำให้่ลูกค้าสาวกทั้งหลายแฮปปี้ก็คือ ทางบริษัทจะทุ่มทรัพยากรทั้งทีมพัฒนา และเวลาให้กับ NGP เครื่อเล่นเกมส์รุ่นใหม่ในสายผลิตภัณฑ์ PSP ซึ่งคาดว่า ผู้บริโภคอาจจะได้เห็นมันในช่วงปลายปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: รั่ว!!! สเป็กสมาร์ทโฟน WP7 ของ Nokia
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 21 เมษายน 2011, 23:27:00
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวออกมาว่า สมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Windows Phone 7 ของ Nokia มีกำหนดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2012 นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับสเป็กของมือถือ WP7 จาก Nokia ถึง 2 รุ่นหลุดออกมาว่อนไปทั่วเน็ตอีกด้วย

แหล่งข่าวอ้างว่า Nokia กำลังเตรียมความพร้อมในการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นทีมาพร้อมกับ Windows Phone 7 โดยใช้ชื่อ Nokia W7 และ W8 ซึ่งสเป็กในรุ่น W7 จะหยิบยืมดีไซน์ และคุณสมบัติมาจาก Nokia X7 โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงความละเอียด WVGA ชิปเซต Qualcomm QSD8250 ระบบปฎิบัติการที่ใช้จะเป็น Windows Phone 7 พร้อมกล้อง 8 ล้านพิกเซล คาดสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะวางตลาดในช่วงปลายปี 2011

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-windows-phone-7-handset-spec-leaked-2.jpg)

ส่วน Nokia W8 จะคล้ายกับสมาร์ทโฟนรุ่น Nokia N8 โดยมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Qualcomm และชิปกราฟิกเป็น Adreno 320 GPU กล้องที่มากับ W8 จะมีความละเอียดสูงถึง 12 ล้านพิกเซล ซึ่งกำหนดการวางตลาดจะเป็นช่วงต้นปี 2012 สำหรับรายงานข่าวที่รั่วออกมายังระบุอีกด้วยว่า Nokia เปลี่ยนใจไม่พัฒนาฮาร์ดแวร์ให้ตรงกับข้อกำหนดของ Windows Phone 7 อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ทางบริษัทสามารถควบคุมการออกแบบ คุณสมบัติของเครื่อง ตลอดจนการปรับแต่งการทำงานได้ยืดหยุ่นกว่า นั่นหมายความว่า ทีมพัฒนา WP7 ก็จะต้องปรับแต่งโอเอสให้ทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ของ Nokia ด้วยนั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-windows-phone-7-handset-spec-leaked-3.jpg)

นอกจากจะข่าวรั่วเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน WP7 ถึง 2 รุ่นแล้ว Nokia ยังเตรียมออกสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Symbian รุ่นใหม่ โดยรุ่นหนึ่งจะมีหน้าตาคล้าย E6 ที่มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส คีย์บอร์ด QWERTY และเคสโลหะ สำหรับสมาร์ทโฟนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็น W7 ที่มีราคาถูกกว่า โดยจะใช้สเป็กเครื่องต่ำกว่า และวัสดุที่ใช้ทำเคสถูกกว่า

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Acer Web Surf Station ท่องเน็ต+มีเดีย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 22 เมษายน 2011, 21:33:17
เช้านี้ขอเริ่มต้นรายงานข่าวด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Acer ที่ดูภายนอกคล้ายกับจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ แต่จริงๆ แล้ว Acer Web Surf Station เป็นอุปกรณ์ที่ให้คุณสามารถเชื่อมต่อ เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับผู้บริโภคที่ไม่ต้องการเห็นพีซีในห้องพักผ่อน

Acer Web Surf Station ภายนอกที่เห็นก็จะมีจอแสดงผล LCD ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080) ขนาด 24 นิ้ว (16:9) ภายในได้รับการติดตั้งเว็บบราวเซอร์ และมีเดียเพลย์เยอร์ ซึ่งสามารถสตรีมคอนเท็นต์อย่างไฟล์ภาพ เพลงดิจิตอล หรือวิดีโอจากอุปกรณ์ต่างๆ (สมาร์ทโฟน, พีซี, แท็บเล็ต ฯลฯ) บนเครือข่าย (หรือจาก USB ก็ได้) ด้วยเทคโนโลยี *Clear.fi (เทคโนโลยี DLNA) ให้มาแสดงผลบน Acer Web Surf Station ได้ นั่นหมายความว่า คุณสามารถแชร์คอนเท็นต์ (ภาพถ่าย ภาพยนต์ เพลง ฯลฯ) บนอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับ Clear.fi ให้เล่นบน Acer Web Surf Station ได้ทันที โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ให้วุ่นวายอีกต่อไป

(http://www.arip.co.th/images/news/acer/1/acer-web-surf-station-all-in-one-internet-and-media-player-2.jpg)

Acer Web Surf Station มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi หรือผ่าน Ethernet ในขณะเดียวกันมันยังมีพอร์ต VGA และ HDMI ตลอดจนพอร์ต Audio In/Out และช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำให้ด้วย เรียกว่าครบถ้วนทุกความต้องการจริงๆ แม้ทาง Acer จะยังไม่ได้เปิดเผยสเป็กของฮาร์ดแวร์ แต่หากให้เดาคาดว่า ภายใต้จอไฮเดฟฯนี้จะต้องมีชิปประมวลผลระบบ (SoC: System On Chip) ที่กินไฟต่ำ และรับผิดชอบทั้งงานท่องเว็บ และเล่นมีเดีย ซึ่งก็เพียงพอต่อผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่ต้องการใช้อุปกรณ์ทีมีความซับซ้อนมากมาย แต่ตอบสนองความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์ และเนื่องจาก Acer Web Surf Station มาพร้อมกับช่องวิดีโอถึง 2 แบบ ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้มันแทนมอนิเตอร์ได้อีกด้วย สนนราคาอยู่ที่ 495 เหรียญฯ หรือประมาณ 15,000 บาท ข้างล่างนี้เป็นคลิปอธิบายการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Clear.fi ครับ

Clear.fi (Entertainment In & Out) นวตกรรมของ ACER ที่ใช้เทคโนโลยี DLNA (Digital Living Network Alliance) กล่าวโดยสรุป Clear.fi ก็คือ ระบบแชร์มีเดียภายในบ้านของคุณนั่นเอง โดยผู้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่สนับสนุนเทคโนโลยีนี้จะสามารถแชร์คอนเท็นต์ระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่บนเครือข่ายได้ เช่น คุณสามารถส่งภาพถ่ายดิจิตอลจากสมาร์ทโฟนขึ้นไปบนมอนิเตอร์ หรือคลิปวิดีโอจากพีซี/แท็บเล็ตขึ้นไปเล่นบนทีวี นอกจากนี้ ยังสามารถย้ายคอนเท็นต์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ บนเครือข่าย Clear.fi ตลอดจนแชร์มีเดียขึ้นไปบน Social Network ทันทีที่อุปกรณ์แต่ละตัวมีคอนเท็นต์ใหม่เกิดขึ้น อุปกรณ์ทุกตัวบน Clear.fi จะสามารถเข้าถึงคอนเท็นต์นั้นได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google Offers คู่แข่ง Groupon มาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 23 เมษายน 2011, 21:55:06
หลังจากที่ Google ถูกปฏิเสธจาก Groupon ในที่สุด ทางบริษัทก็ได้เปิดตัวบริการคูปองส่วนลดพิเศษที่ชื่อว่า Offers ในพอร์ทแลนด์ โอเรกอน โดยลูกค้าสามารถสมัคร เพื่อรับข้อเสนอจากร้านค้าต่างๆ ในนิวยอร์ก โอคแลนด์ และซานฟรานซิสโก ซึ่งตอนนี้ Google จะเปิดให้ลงทะเบียนก่อน ส่วนดีลต่างๆ จะเริ่มปล่อยออกมาในเร็วๆ นี้ ท่าทาง Groupon จะเจอคู่แข่งที่น่ากลัวเสียแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-offers-groupon-competitor-launches-2.jpg)

สำหรับหน้าเว็บไซต์ Google Offers ผู้ใช้จะพบกับข้อความว่า "Google Offers BETA จะเริ่มให้บริการในพอร์ทแลนด์ โอเรกอน พบกับส่วนลดตั้งแต่ 50% ขึ้นไปจากร้านค้าต่างๆ ที่คุณชืนชอบ" โดยผู้ใช้สามารถสมัครรับข้อเสนอที่จะส่งให้ทางอีเมล์ เกมนี้คงต้องดูกันต่อไปว่า Groupon จะตั้งรับอย่างไร กับการย่างก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจคูปองของ Google ส่วนข้างล่างนี้ เป็นคลิปโปรโมทบริการ Google Offers

http://www.youtube.com/watch?v=BQlq6B0ZFHY&feature=player_embedded#at=15

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iPhone 5 บางลง แต่ปุ่ม Home ใหญ่ขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 เมษายน 2011, 22:23:15
หลังจาก Joshua Topolsky อดีตบรรณาธิการเว็บไซต์ Engadget ได้ลองรวมบรวมข่าวลือต่รางๆ เกี่ยวกับ iPhone 5 แล้วนำมาดีไซน์ต้นแบบตามข่าวลือที่ดูน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้มากที่สุด รวมถึงแนวโน้มของการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ปรากฎว่า ภาพ iPhone 5 ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดหน้าตาเป็นอย่างนี้ครับ

ภาพที่เห็นข้างล่างนี้เป็นดีไซน์ iPhone 5 ที่มาจากข่าวลือที่ปล่อยกันออกมาก่อนหน้านี้ โดยคาดการณ์กันว่า จะวางตลาดในช่วงเดือนกันยายน ศกนี้ หากไม่มีการขัดตาทัพด้วย iPhone 4S ที่มีดีไซน์เหมือน iPhone 4 ทุกประการยกเว้นโพรเซสเซอร์ที่ใช้เป็นดูอัลคอร์ นั่นก็คือ A5 ที่อยู่ใน iPad 2 โดย Apple กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการวางตลาดปลายสัปดาห์นี้ สำหรับ iPhone 5 ที่ใช้จินตนการบวกข้อมูลข่าวที่เล็ดลอดออกมาก่อนหน้านี้จะสังเกตเห็นว่า หน้าจอของมันใหญ่เกือบถึงขอบ ในขณะที่บริเวณด้านหลังจะมีการทำให้บางลงในลักษณะลาดเอียงได้อีก (คล้าย iPod Touch) ส่วนปุ่ม Home จะดีไซน์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบมน

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone/3/iphone-5-mock-up-super-thinner-and-larger-home-button-2.jpg)

Topolsky กล่าวว่า ทั้งๆ ที่มีรายงานข่าวออกมาเกี่ยวกับ iPhone 5 เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ในทำนองที่ว่า มันจะไม่ได้มีดีไซน์ที่แตกต่างจาก iPhone 4 มากนัก แต่แหล่งข่าวส่วนใหญ่เปิดเผยกับเขาว่า iPhone รุ่นถัดไปจะมีการออกแบบให้บางเป็นพิเศษคล้าย iPod Touch และจะมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำตา (teardrop) เมื่อมองจากด้านข้าง (เอ่อ...อันนี้จะไปคล้ายกับ Nexus S ของ Google ไหมละเนี่ย?)

ในขณะที่ปุ่ม Home ที่ใหญ่ขึ้นจะสนับสนุนการใช้แอพฯที่รองรับคำสั่ง gesture และแม้จอจะกว้างขึ้น แต่ยังคงเป็น 3.7 นิ้ว เพื่อใช้ Retina Display ที่ตลาดชื่นชอบ แทนที่จะเป็น 4 นิ้วอย่างที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้่านี้ Topolsky ยังกล่าวอีกด้วยว่า iPhone 5 จะสามารถทำงานได้กับทุกเทคโนโลยีของเครือข่าย (GSM/CDMA) อย่างไรก็ตาม Topolsky ไม่แน่ใจว่า ด้านหลังของ iPhone 5 จะเป็นโลหะ หรือไม่ และดีไซน์ของจริงอาจจะไม่เรียวแคบลงเท่ากับรูปที่เขาทำออกมา

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: TS3Cine กล้องดิจิตอล "ไฮเดฟฯ-ไฮสปีด"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 เมษายน 2011, 22:33:17
แม้วันนี้จะมีกล้องถ่ายรูปที่ราคาไม่สูงมากนัก แต่สามารถบันทึกวิดีโอที่ความเร็วสูงได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง โดยที่โหมดการถ่ายที่ความเร็วสูง ความละเอียดของภาพจะลดลง ซึ่งทำให้ภาพสโลว์ทีได้ไม่คมชัดเท่าที่ควร แต่สำหรับ TS3Cine กล้องถ่ายรูปที่นำมาฝากกันเช้านี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถบันทึกวิดีโอที่ความเร็วสูงเท่านั้น แต่มันยังสามารถให้ภาพที่ความละเอียดระดับไฮเดฟฯอีกด้วย...ว้าว!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/ts3cine-camera-hi-speed-720-fps-hi-def-720p-2.jpg)

TS3Cine กล้องดิจิตอลจากบริษัท Fastec สามารถบันทึกวิดีโอด้วยภาพความละเอียดสูง 1280x720 พิกเซลที่อัตราเร็ว 720 เฟรมต่อวินาที แต่กหากเพิ่มความละเอียดเป็น 1280x1024 จะสามารถบันทึกที่อัตราเร็วได้สูงสุด 500 fps อย่างไรก็ดี ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องความละเอียดมากนัก TS3Cine สามารถบันทึกภาพได้เร็วสูงสุดถึง 20,000 เฟรมต่อวินาทีเลยทีเดียว ตัวกล้องมาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว (เท่าๆ กับ Galaxy Tab) ดังนั้น คุณสามารถเห็นภาพวิดีโอที่กำลังบันทึก (หรือเล่น) ได้อย่างชัดเจน คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ค่อยได้พบในกล้องไฮสปีดขั้นเทพฯสักเท่าไร ในส่วนของแบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 3 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สตอเรจที่มาพร้อมกับเครื่องเป็น SSD ความจุ 256GB

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/ts3cine-camera-hi-speed-720-fps-hi-def-720p-3.jpg)

TS3Cine วางจำหน่ายในราคา 29,900 เหรียญฯ (ประมาณ 9 แสนบาท) แต่หากต้องการ SSD เพิ่มอีก 256GB จะต้องเพิ่มอีก 2 พันเหรียญฯ (ประมาณ 6 หมืนบาท) อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้เปิดให้เช่ากล้องรุ่นนี้ด้วยสนนค่าบริการ 500 - 600 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 - 18,000 บาท) ต่อวัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Fujitsu ผุดโน้ตบุ๊คพ่วง "โปรเจ็กเตอร์จิ๋ว"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 เมษายน 2011, 22:43:06
นักธุรกิจส่วนใหญ่จะพกพาโน้ตบุ๊คติดตัว เพื่อใช้นำเสนองานให้กับลูกค้า ลำพังหากเป็นการนำเสนอแบบตัวต่อตัว โน้ตบุ๊คตัวเดียวก็เอาอยู่ แต่ถ้าต้องนำเสนอให้ลูกค้าในห้องประชุมเป็นหมู่คณะ คุณก็คงต้องการผู้ช่วยอย่างโปรเจ็กเตอร์ (Projector) ไปอีกตัวหนึ่ง มันคงสะดวกกว่า หากโน้ตบุ๊คของคุณสามารถทำหน้าที่เป็นโปรเจ็กเตอร์ได้ในตัว

Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊คใหม่ถึง 2 รุ่นด้วยกัน โดยจุดเด่นก็คือ มันมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมการใช้งานทีสามารถถอดใส่สลับเปลี่ยนกันได้ระหว่างไดรฟ์ DVD และพิโคโปรเจ็กเตอร์ (pico-projector) โดยโปรเจ็กเตอร์ LED ขนาดเล็กที่สามารถใส่เข้าไปแทนที่ไดรฟ์ DVD บนโน๊ตบุ๊คสองรุ่นนี้จะมีความละเอียดในการฉายภาพที่ 800 x 600 พิกเซล ซึ่งเป็นไอเดียที่ฉลาดมากในการพัฒนาอุปกรณ์เสริมอย่างโปรเจ็กเตอร์จิ๋วที่ใส่แทนไดรฟ์ DVD ได้ เพราะในขณะพรีเซนต์คุณก็คงไม่ได้มีโอกาสใช้ไดรฟ์ DVD สักเท่าไร

(http://www.arip.co.th/images/news/fujitsu/fujitsu-life-book-integrates-pico-projector-switch-dvd-drive-2.jpg)

Fujitsu Lifebook S761 จะเป็นโน้ตบุ๊คที่มีขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล หน่วยความจำ 1GB ฮาร์ดดิสก์ 160GB โพรเซสเซอร์ Intel Core i3-2310M หรือ Core i5-2520M ส่วนรุ่นรองลงมาจะเป็น P771 หน้าจอ 12.2 นิ้ว ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ จะเหมือนกัน โน้ตบุ๊คทั้งสองรุ่นนี้จะวางจำหน่ายในญี่ปุ่นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม สนนราคาของ S761 อยู่ที่ 219,450 เยน (ประมาณ 80,000 บาท) และ P771 อยุ่ที่ 255,150 เยน (ประมาณ 93,000 บาท) อุ๊ปส์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Acer เปิดศึกแท็บเล็ตชิงเปิดตัวตัดหน้า iPad
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 25 เมษายน 2011, 23:02:14
เอเซอร์ชิงเปิดตัวแท็บเล็ต ICONIA ตัดหน้าไอแพดที่จะเปิดตัวต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ครึ่งปีหลังแบรนด์ดังทยอยเปิดตัวแท็ตเล็ต มั่นใจ โมเดลที่หลากหลาย บริการหลังการขาย และวาร์ไรตี้ของแพลตฟอร์มโดนใจตลาดไทย
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005305201.JPEG)

      นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า เวลานี้ ทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในตลาดไอที ไม่ได้มาบริษัทผู้ผลิตสินค้าอีกต่อไป ผู้บริโภคคือ ผู้กำหนดความต้องการและชี้นำการพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ รวมถึงคอนเทนต์ด้วย ว่าจะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร เอเซอร์จะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการ การเข้าถึงคอนเทนท์ที่อยู่บนหลากหลายแพลตฟอร์มด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แท็บเลต ทัชบุ๊กและสมาร์ทโฟน
      
      โดยเฉพาะทัชสกรีน เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งเอเซอร์มั่นใจว่าแท็บเล็ตของเอเซอร์ ICONIA จะเติมเต็มและตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดยเราตั้งเป้าหมายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแท็บเล็ตจะช่วยเพิ่มยอดขายโดยรวมของโน้ตบุ๊กเอเซอร์ขึ้นประมาณ 20% ภายในสิ้นปีนี้
      
      “เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเห็นมีการเปิดตัวแท็บเล็ตในเมืองไทยจากหลายๆ แบรนด์ ซึ่งคงจะเร็วไปที่จะบอกว่า ขนาดตลาดจะมีแค่ไหน แต่เชื่อว่าจะเห็นมีคนถือแท็บเล็ตไปใข้งานกันมากขึ้น”
      
      นายบุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า เทรนด์การใช้งานอุปกรณ์สื่อสารจะเป็นการผสมผสานการใช้หลากหลายอุปกรณ์ตามความสะดวก มากกว่าการเลือกใช้อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง เพราะผู้บริโภคมีการใช้งานอุปกรณ์การสื่อสารมากกว่าหนึ่งเครื่อง อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลจะเป็นดิจิตอลมัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความบันเทิง ใช้งานทางธุรกิจ
      
      จุดเด่นของ ICONIA นั้นอยู่ที่เทคโนโลยีมัลติทัช รองรับการใช้งานด้านความบันเทิง และโซเชียล เน็ตเวิร์ก โดยผู้ใช้จะได้รับสิทธิประโยชน์เหนือใครด้วยเทคโนโลยี Clrae.fi หนึ่งเดียวที่มีในผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์เท่านั้น ที่จะช่วยให้การแบ่งปันข้อมูลที่เก็บไว้ในรูปแบบดิจิตอลทั้งภาพ หนัง หรือ เพลง ต่างเครื่องทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก เน็ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนทำได้อย่างง่ายดาย พร้อมรองรับการอัปโหลดโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทุกที่ ทุกเวลา
      
      นายนิธิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่า ไอแพดได้ให้ความรับรู้ต่อตลาดได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยจุดแข็งของเอเซอร์ในเรื่องของความหลากหลายในสเปกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซีพียู หน่วยความจำ ความจุข้อมูล ที่ให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้งาน โดยเฉพาะความรวดเร็วในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ซึ่งจะเร็วกว่าของไอแพดที่มีเพียงโมเดลเดียวทำตลาดทั้งปี ซึ่งคาดว่า แท็บเล็ตของเอเซอร์จะมีการปรับเปลี่ยนไม่เกิน 6 เดือน
      
      อีกสิ่งที่หนึ่งที่จะเป็นจุดเด่นของแท็บเล็ตเอเซอร์ก็คือ การรับประกันสินค้าที่ทางเอเซอร์มีศูนย์บริการอยู่ทั่วประเทศ รวมไปถึงความต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ที่เอเซอร์มีตั้งแต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก และสมาร์ทโฟน ซึ่งเอเซอร์มั่นใจว่า จะเป็นจุดที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจและจะเป็นจุดพลิกของตลาดไอทีในอนาคตด้วย
      
      “ผมว่า ตลาดเน็ตบุ๊กยังคงมีตลาดของตัวเองอยู่ โดยอาจจะปรับราคาลงมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับความต้องการของผู้บริโภคที่ยังต้องการพิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ด เพียงแต่ว่า ขนาดตลาดอาจจะเล็กลงแต่ยังไม่ถึงกับตาย”
      
      ทั้งนี้ ICONIA Tab A500 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 (Honeycomb) ขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว ใช้หน่วยประมวลผล NVidia Tegra 2 Dual Core 1 GHz ความละเอียดหน้าจอ 1280x800 พิกเซล กล้องหลักความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล วางจำหน่ายในราคา 17,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เช่นเดียวกับ ICONIA Tab W500 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005305202.JPEG)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Firefox 4 ยอดโหลดทะลุ 100M แต่...
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 เมษายน 2011, 21:50:45
รายงานข่าวล่าสุด ยอดดาวน์โหลดบราวเซอร์ Firefox 4 ของ Mozilla ทะลุ 100 ล้านครั้งภายในหนึ่งเดือน แต่ประเด็นที่ผู้คร่ำหวอดในวงการให้ความสนใจก็คือ ส่วนใหญ่เป็น "แฟนเก่า" เนื่องจากยอดดาวน์โหลดดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบราวเซอร์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

หลังจากผ่านไปได้หนึ่งเดือน ผู้ใช้ทั่วโลกดาวน์โหลด Firefox 4 ของ Mozilla มากกว่า 100 ล้านครั้งไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวบราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ที่มียอดดาวน์โหลดอย่างรวดเร็วด้วยจำนวนถล่มทะลายเช่นนี้ กลับไม่ได้ดึงดูดผู้ใช้หน้าใหม่เข้ามาได้มากนัก โดย Web Metrics บริษัทวิจัยตลาดกล่าวว่า ส่วนแบ่งตลาดของ Firefox ยังคงนิ่งมาตั้งแต่เปิดตัว Firefox 4 นั่นหมายความว่า ยอดดาวน์โหลดที่เกิดขึ้นมาจากผู้ใช้เดิมที่ต้องการอัพเกรดบราวเซอร์ใหม่ เพื่อใช้คุณสมบัติการทำงานใหม่ ตลอดจนอินเตอร์เฟซที่ง่ายขึ้น แต่ไม่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้หน้าใหม่กลับมาจาก IE9 และ Chrome 10 ที่ตัดหน้าไปก่อนแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/firefox/2/firefox-4-over-100-million-downloads-but-market-share-not-grows-2.jpg)

Firefox 4 เปิดให้ดาวน์โหลดตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ด้วยดีไซน์ใหม่ถอดด้าม โดยเฉพาะความเร็วของสมรรถนะในการทำงาน และระบบรักษาความปลอดภัย ตามด้วยอินเตอร์เฟซที่ทำให้ใช้ง่ายขึ้น รวมถึงคุณสมบัติใหม่ๆ อย่าง App Tabs ที่ออกแบบให้ทำงานร่วมกับ Web App ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม Mozilla เปิดเผยข้อมูลเปรียบเที่ยบความสำเร็จของคู่แข่ง โดยระบุว่า ในขณะที่ Firefox 4 มีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็น 8% ทางด้าน Internet Explorer 9 มียอดผู้ใช้แค่ 3% เท่านั้น แต่หากพิจารณาเงื่อนไขของผู้ใช้ Firefox 4 จะได้รับการอัพเดตให้กับผู้ใช้ Firefox 3.x ในขณะที่ MS จะสามารถอัพเกรด IE9 ได้กับเฉพาะผู้ใช้ Windows 7 และ Vista เท่านั้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Nook อัพเกรดสู้ iPad เจ๋งกว่า Kindle
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 เมษายน 2011, 21:57:50
Barnes & Noble อัพเกรด Nook Color เครื่องอ่านอีบุ๊คจอสีด้วย Android 2.2 Froyo เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในการทำงานอีกเพียบ โดยทางบริษัทตั้งเป้าให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถต่อกรกับ iPad ของ Apple ได้ ในขณะเดียวกันยังมีฟังก์ชันการทำงานที่เหนือกว่า Kindle ของ Amazon อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/nook-color-updates-android-2-2-froyo-adds-flash-video-play-games-and-more-3.jpg)

Barnes & Noble แถลงข่าวผ่านอินเทอร์เน็ตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทได้อัพเดต Nook Color ซึ่งรวมถึงการเปิดหน้าร้านจำหน่ายแอพ (apps) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันตลอดจนเกมส์อย่างเช่น Angry Birds มาเล่นบน Nook Color ได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มคุณสมบัติการในการเปิดอ่านอีเมล์จากบัญชีผู้ใช้ Gmail ของ Google และ Yahoo Mail นอกจากนีั้ ทางบริษัทยังได้อัพเกรดระบบปฎิบัติการบน Nook Color เป็น Android 2.2 Froyo พร้อมทั้งเพิ่ม Flash 10.1 เพื่อให้เจ้าของเครื่องสามารถรับชมวิดีโอต่างๆ ได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/nook-color-updates-android-2-2-froyo-adds-flash-video-play-games-and-more-2.jpg)

"ผู้บริโภคกล่าวว่า พวกเขาต้องการให้ Nook Color มีคุณสมบัติการทำงานต่างๆ ของแท็บเล็ตด้วย" Jamie Iannone ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ดิจิตอลของ B&N  กล่าว แม้จะมีการอัพเดตคุณสมบัติมากมายเข้าไปใน Nook Color แต่ราคาของเครื่องยังคงอยู่ที่ 249 เหรียญฯ (ประมาณ 7,500 บาท) หากพิจารณาคู่แข่งที่เป็นผู้นำตลาดอย่าง iPad ที่ณ.วันนี้มียอดจำหน่ายเครื่องทะลุ 20 ล้านเครื่่องเข้าไปแล้ว มันเป็น"แท็บเล็ต"ที่มีฟังก์ชันของเครื่องอ่านอีบุ๊คในตัว แถม Apple ยังมีหน้าร้านหนังสือดิจิตอลไว้คอยบริการอีกด้วย

แต่ที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ น่าจะเป็น Kindle ของ Amazon ที่ไม่ใช่จอสี และไม่ได้ทำงานในระบบสัมผัส อีกทั้งยังท่องเว็บแบบไร้สายด้วย Wi-Fi ไม่ได้อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นพื้นฐานของแท็บเล็ต "ผมว่า Nook Color ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของ iPad มากเท่ากับ Kindle ของ Amazon" James McQuivey นักวิเคราะห์จาก Forrester Research กล่าว McQuivey ประมาณตัวเลขของ Nook Color อยู่ที่ 400,000 เครื่อง นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และคาดว่าจะแตะ 3 ล้านเครื่องเมื่อถึงสิ้นปี

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Facebook เพิ่มปุ่ม Send ส่งลิงค์ให้บางคน
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 เมษายน 2011, 22:29:54
เนื่องจากการแชร์ข่าวบนเว็บไซต์ต่างๆ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บน Social Network ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Facebook เริ่มให้บริการปุ่ม Send สำหรับแชร์ลิงค์ข่าวสารบนเว็บไซต์ หรือรูปภาพให้กับเพื่อนบางคน (หรือบางกลุ่ม) ได้ แทนที่จะส่งให้กับเพื่อนทุกคน

สำหรับปุ่ม "Send" จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ Facebook สามารถเลือกที่จะแชร์ลิงค์บนเว็บไซต์ต่างๆ ไปยังเพื่อนบางคน หรือบางกลุ่มได้  "หนึ่งปีมาแล้วที่เราให้ปุ่ม Like สามารถแชร์สิ่งที่คุณพบบนเว็บกับเพื่อนๆ ทั้งหมดได้ แต่มันก็มีบางครั้งที่บางอย่างที่คุณต้องการแชร์กับผู้คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น" Elliot Lynde วิศวกรทีม Groups โพสต์ไว้ในบล็อกของทางบริษัท ด้วยปุ่ม Send ใหม่ที่ตอนนีเริ่มมีการใช้อยู่บนเว็บไซต์ยอดฮิตประมาณร้อยกว่าแห่งแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใช้สามารถแชร์ลิงค์ต่างๆ ด้วยปุ่ม Send ที่อยู่บนเว็บไซต์เหล่านนั้นไปให้เพื่อนบางกลุ่ม หรือบางคนที่อยู่ใน Facebook ได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะส่งข่าวเกี่ยวกับ Nook Color ไปให้เพื่อนสนิทที่ใช้เครืองอ่านอีบุ๊ครุ่นนี้ หรือลิงค์ข่าวคอนเสิร์ตไปให้กลุ่มเพื่อนที่ทำงาน เป็นต้น

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-adds-send-button-for-share-link-to-group-or-individual-2.jpg)

กล่าวโดยสรุปก็คือ หากคุณต้องการแชร์ลิงค์ต่างๆ ไปให้กับเพื่อนๆ ทุกคนบน Facebook ก็ให้ใช้ปุ่ม Like แต่ถ้าตัองการส่งลิงค์นั้นให้กับเพื่อนบางคน หรือบางกลุ่มที่ต้องการโดยเฉพาะ ก็ให้ใช้ปุ่ม Send สำหรับไอเดียที่ซ่อนอยู่ภายใต้ปุ่ม Send ก็คือ Facebook พยายามแก้ปัญหาการใช้ปุ่ม Like จากผู้ใช้หลายคนที่ชอบสแปมลิงค์ข่าวไปยังเพื่อนๆ ทุกคนตลอดเวลา ในขณะเดียวกันทาง Facebook ยังหวังอีกด้วยว่า ปุ่ม Send จะทำให้ผู้ใชหันมาใช้ฟังก์ชัน Groups กันมากขึ้น

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Facebook Deals ท้าชนธุรกิจ Groupon
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 เมษายน 2011, 23:19:11
รายงานข่าวล่าสุด เฟซบุ๊ค (Facebook) ยักษ์ใหญ่แห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กประกาศเริ่มทดสอบบริการใหม่ สำหรับการเสนอข้อตกลง (deals) พิเศษจากธุรกิจในท้องถิ่นให้กับผู้ซื้อที่อยู่ในสังคมออนไลน์ โดยบริการดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Facebook Deals ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่เป็นคู่แข่งกับ Groupon โดยตรง หลังจากที่เมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะได้มีโอกาสแนะนำ Google Offers กันไป

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-deals-groupon-rival-service-is-testing-3.jpg)

Facebook Deals เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยจะเป็นการหยิบยื่นข้อเสนอของธุรกิจให้กับสมาชิกที่ต้องการซื้อ และแชร์ดีลเหล่านั้นให้กับเพื่่อนๆ ในเครือข่าย สำหรับการทดสอบบริการจะเริ่มเปิดให้กับบางเมืองก่อนอย่างเช่น ออสติน แอตแลนต้า ดัลลัส ซานดิเอโก้ และซานฟรานซิสโก แต่อาจจะมีการขยายไปยังเมืองอื่นๆ ด้วย ผู้ใช้ในห้าเมืองที่ทาง Facebook เปิดให้ทดลองใช้บริการจะได้รับข้อเสนอต่างๆ จากทางอีเมล์ และระบบแจ้งให้ทราบ (notifications) โดยการคลิกบนแท็บ Deals (ด้านซ้ายมือของหน้าจอใต้ Avatar) บนหน้าโฮมเพจของ Facebook และผ่านทาง News Feed เมื่อเพื่อนๆ คลิกปุ่ม Likes หรือตกลงซื้อข้อเสนอที่มีให้

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/facebook-deals-groupon-rival-service-is-testing-2.jpg)

ทั้งนี้ Facebook กำลังทำงานร่วมกับเว็บไซต์ที่ให้บริการลักษณะเดียวกันนี้อย่างเช่น Opentable, Gilt City, Tippr, PopSugar City, Plum District, ReachLocal, Zozi, Home Run, KGB Deals, aDealio และ ViaGoGo ซึ่งด้วยจำนวนสมาชิกผู้ใช้บิรการ Facebook ที่มีอยู่มากกว่า 500 ล้านราย ทำให้บริษัทมีโอกาสค่อนข้างสูงในการที่จะเข้าช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดคูปอง หรือข้อเสนอพิเศษที่ปัจจุบันมีผู้นำตลาดอย่าง Groupon ครอบครองอยู่ (ฐานลูกค้า 60 ล้านราย ขายไปแล้ว 39 ล้านดีลภายในสองปี และเตรียมเข้าตลาดช่วงปลายปีนี้) ซึ่งหาก Facebook ทำสำเร็จ บริการดังกล่าวจะมีส่วนในการผลักดันความสำเร็จทางด้านรายได้ของ Facebook จากปีที่แล้ว 873 ล้านเหรียญฯ ให้สามารถทะยานขึ้นไปถึง 3.93 ล้านเหรียญฯ ในปี 2015

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ว้าว!!! เคสแบต 2 ซิมสำหรับ iPhone 4
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 26 เมษายน 2011, 23:39:01
ถ้ายังจำกันได้ ปีที่แล้วทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอเคส iPhone 4 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับการทำงานระหว่างการ์ด SIM 2 อันได้ ล่าสุดเคสดังกล่าวได้รับการอัพเกรดให้นอกจากจะสามารถใช้การ์ด SIM ได้สองอันพร้อมกัน (ไม่ต้องคอยสลับไปมา เพื่อเลือกใช้ SIM หมายเลขที่ต้องการ) เนื่องจากคราวนี้มันมาพร้อมกับแบตเตอรี่ 800 mAh โดยช่องใส่ที่มาด้วยกันรองรับทั้ง Micro SIM และ Mini SIM

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/iphone-4-dual-sim-battery-pack-case-2.jpg)

แม้ว่า เคส+แบตเตอรี่สำหรับ iPhone 4 รุ่นใหม่นี้จะสามารถรองรับการทำงานแบบ 2 SIM ได้พร้อมกัน คุณก็ยังคงต้องเลือก SIM ตัวใดตัวหนึ่งเป็น SIM หลัก ซึ่งจะสามารถใช้บริการของโอเปอเรเตอร์ และ iPhone 4 ได้ทั้งหมด รวมถึงการท่องเว็บผ่าน 3G ส่วน SIM ตัวรองจะใช้งานได้เพียงโทรออกรับสาย และรับส่ง SMS แค่นั้น และไม่สามารถโทรหากันเองระหว่าง SIM ทั้งสองได้ ข้างล่างเป็นคลิปสาธิตการใช้เคสพ่วงแบตฯรับสายที่เรียกเข้ามาอีกเบอร์หนึ่ง

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/iphone-4-dual-sim-battery-pack-case-3.jpg)

เคสแบตเตอรี่พ่วงดูอัลซิม (Dual Standby/Dual SIM Power Pack Case) สำหรับ iPhone 4 จำหน่ายที่ USB Fever ในราคา 250 เหรียญฯ (ประมาณ 7,500 บาท) อย่างไรก็ตาม ขณะรายงานข่าวอยู่นี้ สินค้ายังหมดสต็อค แต่ด้วยราคานี้ คุณสามารถซื้อมือถืออีกเครื่องหนึ่งได้อย่างสบายๆ หากไม่รู้สึกเป็นภาระมากนักสำหรับการที่ต้องพกมือถือสองเครื่องพร้อมกัน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 9 หน่วยงานตั้งกลุ่มพัฒนาซอฟต์แวร์มือถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 เมษายน 2011, 00:11:15
9 หน่วยงาน ภาครัฐ การศึกษา เอกชน รวมตัวตั้ง กลุ่มเอ็มทีสแควร์ กำหนดทิศทางพัฒนาซอฟต์แวร์มือถือคนไทยที่มีมูลค่าตลาดเกือบหมื่นล้านบาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005476801.JPEG)

      ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (ทริดี้) ในฐานะประธานกลุ่มเอ็มทีสแควร์ กล่าวว่า กลุ่มเอ็มทีสแควร์ (Mobile Technology for Thailand) เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของ 9 หน่วยงาน เพื่อความร่วมมือในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์มือถือให้กับนักพัฒนาในประเทศไทย รวมถึงการระดมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์จากองค์กรสมาชิกให้เป็นในทิศทางเดียวกันเพื่อสร้างอุตสาหกรรมนี้ในช่องทางที่ถูกต้อง อาทิ การร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสาร
      
      “จุดสำคัญของการตั้งกลุ่มเอ็มทีสแควร์ขึ้นในครั้งนี้คือ การร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนาแอปฯบนโทรศัพท์มือถือ”
      
      ทั้งนี้จากผลสำรวจตลาดซอฟต์แวร์ประเทศไทยในปีนี้ที่ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า พบว่า ตลาดโมบายแอปฯของไทยในปี 2554 นั้นมีมูลค่าตลาดประมาณ 9,800 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2553 ที่มีมูลค่าตลาด 6,300 ล้านบาท
      
      ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ ซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนมีการเติบโตมากทั้งในตลาดโลกและตลาดประเทศไทย โดยประเทศไทยมียอดขายสมาร์ทโฟนแล้วกว่า 3 ล้านเครื่อง เพิ่มจากปีที่แล้วซึ่งมียอดขายเครื่อง 1.2 ล้านเครื่อง ขณะที่ยอดขายสมาร์ทโฟนในตลาดโลกมียอดการขายสูงถึง 54 ล้านเครื่อง มีมูลค่าซอฟต์แวร์อยู่ที่ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการรวมกลุ่มเอ็มทีสแควร์เป็นการเร่งให้เกิดการผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ แอปฯของโทรศัพท์มือถือ
      
      "การตั้งกลุ่มเอ็มทีสแควร์ ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีนักพัฒนาซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ไหนบ้าง โดยซอฟต์แวร์พาร์คจะทำหน้าที่รวบรวมฐานข้อมูลนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ร่วมกันผลักดันการทำตลาดของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทย และการจัดอบรมสัมมนา"
      
      สำหรับการรวมกลุ่มเอ็มทีสแควร์ช่วงแรกมีทริดี้ทำหน้าที่เป็นประธานกลุ่ม และซอฟต์แวร์พาร์ค ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ วาระดำรงตำแหน่งและโครงสร้างของกลุ่มจะมีการพิจารณาใหม่หลังจากที่มีการเปิดรับสมาชิกผู้เข้าร่วมได้จำนวนหนึ่ง โดยสมาชิกใหม่ที่จะเข้าร่วมนั้นจะรับเฉพาะสมาชิกแบบองค์กร ส่วนนักพัฒนาซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือทุกคนถือเป็นกลุ่มผู้รับผลประโยชน์และเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยอัตโนมัติไม่จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกแต่อย่างใด
      
      พันธมิตรที่ร่วมตัวกันในครั้งนี้ 9 หน่วยงาน ประกอบด้วย ทริดี้ ซอฟต์แวร์พาร์ค คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม.เกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) บริษัท อินเทล ไมโครอิเลคทรอนิกส์ (ประเทศไทย) บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท สปริง เทเลคอม

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: greefis ที่ 27 เมษายน 2011, 00:47:54
สาระเพียบเลย ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: แอพ "วิดีโอแชท" iPhone 4 กับ Android
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 เมษายน 2011, 21:23:35
เช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำแอพฯน่าใช้สำหรับสาวก iPhone และ Android นะครับ โดยเฉพาะผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั้งสองแพลตฟอร์มที่กำลังสนใจแอพฯวิดีโอแชท (video chat) ที่ทำให้สามารถสนทนาผ่านมือถือแบบเห็นหน้าเห็นตากันได้ ซึ่งเจ้าของ iPhone 4 ก็มี Face Time แต่มันใช้คุยกับ Android ไม่ได้ วันนี้กองบ.ก.เว็บไซต์ arip ก็เลยขอแนะนำแอพฯ ที่จะทำให้คุณผู้อ่านสามารถวิดีโอแชทข้ามแพลตฟอร์มระหว่าง iPhone 4 กับ Android ได้มาฝากกันครับ

เมื่อวานนี้ Qik ได้อัพเดทแอพฯทั้งบน iPhone และ Android เพื่อให้มันสามารถเรียกสายผ่านระบบวิดีโอคอลล์ระหว่างสมาร์ทโฟนสองแพลตฟอร์มนี้ได้ ทั้งนี้ทางบริษัทกล่าวว่า นี่จะเป็นแอพตัวเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถเรียกสายผ่านเครือข่าย 3G หรือ Wi-Fi ได้อีกด้วย ก่อนหน้านี้ Qik ได้พัฒนาแอพวิดีโอแชทบน Android เพื่อให้สามารถเรียกสายแบบเห็นหน้าตากันระหว่างสมาร์ทโฟน Android บางรุ่น ส่วนเวอร์ชันบน iPhone ก็จะทำงานบน iPhone 4 หรือ iPod Touch 4G เท่านั้น โดยทั้งสองระบบจะสื่อสารผ่านแอพฯของ Qik ไม่ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/iphone-4/qik-video-chat-between-iphone-4-and-android-phone-2.jpg)

ด้วยวิธีนี้จะทำให้ Qik ขึ้นแท่นผู้นำแอพฯวิดีโอแชทตัวจริง แม้ว่า Skype (ซึ่งก็เป็นเจ้าของบริษัท Qik) จะสามารถเรียกสายวิดีโอแชทบน iPhone 4 ผ่านเครือข่าย 3G แต่มันยังใช้ฟีเจอร์นี้ไม่ได้บนสมาร์ทโฟน Android และหากเปรียบเทียบกับ Face Time ก็จะมีข้อจำกัดการใช้งาน เนื่องจากมันสามารถใช้ได้เฉพาะกับ iPhone, iPad และ iPod Touch อีกทั้งยังใช้ได้บนการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi เท่านั้น คุณผู้อ่านที่สนใจแอพวิดีโอแชทของ Qik สามารถดาวน์โหลดได้ที่  Android Market และ Apple App Store

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "อะแดปเตอร์" ซ่อนกล้องบันทึกวิดีโอ - -"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 เมษายน 2011, 21:32:31
หากคุณกำลังมองหาที่ซ่อนกล้องวิดีโอสำหรับบันทึกเหตุการณ์ในสำนักงาน หรือที่บ้านที่ให้ความรู้สึก"เนียน"สุดๆ แก็ดเจ็ต (Gadget) ชิ้นนี้อาจตอบโจทย์ของคุณได้ เนื่องจากรูปพรรณสัณฐานภายนอกมันก็คือ ปลั๊กไฟอะแดปเตอร์ตัวหนึ่งนั่นเอง แต่ภายในมันซ่อนกล้องบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 720x480 พิกเซล อัตราเร็ว 30 เฟรมต่อวินาทีบนการ์ดหน่วยความจำ microSD เพียงแค่เสียบมันเข้ากับเต้าเสียบข้างกำแพงก็เรียบร้อยแล้ว

กล้องวิดีโอสายลับรุ่นใหม่ใช้วิธีซ่อนตัวเองอยู่ภายใต้"อะแดปเตอร์"ปลั๊กไฟที่ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ซึ่งเมื่อเสียบเข้ากับเต้าเสียบ AC ในบ้านแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับมันมากนัก โดยที่หารู้ไม่ว่า มันไม่ได้กำลังแปลงไฟให้กับอุปกรณ์ใดๆ นอกจากกล้องวิดีโอที่อยู่ในตัวมัน เพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นลงบนการ์ดหน่วยความจำ microSD ที่สามารถนำออกมาโหลดดูเหตุการณ์ต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ได้นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/5/AC-Adpater-Hidden-Camera-2.jpg)

สำหรับสนนราคาของ AC Adpater Hidden Camera อยู่ที่ 295 เหรียญฯ (ประมาณ 9,000 บาท) โดยมาพร้อมกับการ์ดหน่วยความจำ microSD 4GB แต่รองรับได้สูงสุด 32GB อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้มันสามารถบันทึกวิดีโอได้ 24x7 พร้อมทั้งระบุเวลาบันทึกไว้ด้วย ทาง Brickhouse Security ก็มีเวอร์ชัน Pro จำหน่ายด้วยเหมือนกัน โดยเพิ่มเงินอีก 100 เหรียยฯ (ประมาณ 3,000 บาท) นับเป็นแก็ดเจ็ตที่มีไอเดียฉลาดมากทีเดียว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: สอบเข้ม "Apple-Google" ข้องใจตามเก็บพิกัดผู้ใช้มือถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 เมษายน 2011, 21:43:32
หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศกำลังเตรียมพร้อมสอบสวน 2 ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมไอทีอย่างแอปเปิลและกูเกิล หลังนักวิจัยตรวจพบว่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไอโฟนและแอนดรอยด์ถูกติดตามเก็บข้อมูลตำแหน่งพิกัดการใช้งานโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง กดดันทั้งสอง ให้ชี้แจงรายละเอียดหมดเปลือก หวังตรวจให้ชัดเพื่อหามาตรการปกป้องผู้บริโภคต่อไป
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005482301.JPEG)

      หน่วยรักษาสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ House Energy and Commerce Committee เป็นหน่วยงานล่าสุดที่ส่งจดหมายถึงแอปเปิล (Apple) และกูเกิล (Google) ให้ชี้แจงข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการติดตามพิกัดการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งรายละเอียดข้อมูลที่ถูกเก็บ การนำไปใช้ การจัดเก็บ และการแบ่งปัน รวมถึงเหตุผลในการติดตามเก็บ โดยเรียกร้องให้ทั้งสองให้ความกระจ่างก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม 2554
      
      ไม่เพียงแอปเปิลและกูเกิล หน่วยงานสหรัฐฯยังส่งจดหมายเรียกชี้แจงถึงผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือรายอื่นในตลาดอีก 4 ราย ทั้งไมโครซอฟท์ (Microsoft) โนเกีย (Nokia) ริม (Research in Motion) และฮิวเล็ตแพคการ์ด (Hewlett-Packard) ด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีระบบปฏิบัติการโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องใดจะลักลอบตามเก็บข้อมูลพิกัดผู้ใช้โทรศัพท์มือถืออีก
      
      การกดดันแอปเปิลและกูเกิลให้ตอบคำถามแก่สังคมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากนักวิจัยด้านความปลอดภัยของอังกฤษพบว่า สมาร์ทโฟนยอดฮิตของแอปเปิลอย่างไอโฟน (iPhone) นั้นติดตามเก็บข้อมูลว่าเจ้าของเครื่องเดินทางไปที่ไหนบ้าง โดยจะบันทึกข้อมูลลงในเครื่องก่อนจะอัปโหลดอัตโนมัติลงในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เมื่อโทรศัพท์ถูกเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรมไอจูนส์ (iTune) การตรวจสอบพบว่าข้อมูลที่ถูกเก็บประกอบด้วยพิกัดเส้นรุ้ง-เส้นแวงของตำแหน่งใช้งานเครื่อง พร้อมด้วยวันเวลาโดยประมาณ ทั้งหมดถูกซ่อนไว้ในไฟล์ลับซึ่งยังไม่ได้รับการปกป้องที่รัดกุม
      
      ในทางทฤษฎี ข้อมูลพิกัดตำแหน่งผู้ใช้ไอโฟนที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องนั้นทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเป็นส่วนตัว เพราะในทางปฏิบัติ ข้อมูลพิกัดเหล่านี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลชั้นยอดให้กับทั้งสามีภรรยาที่ระแวงกันอยู่ พ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากรู้ความเป็นไปของบุตรหลาน ไม่เว้นนักโฆษณาที่ต้องการสอดแนมพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำเสนอโฆษณาที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายให้ตรงเป้าที่สุด
      
      อย่างไรก็ตาม โทษของแอปเปิลยังไม่ชัดเจนเพราะการตรวจสอบพบว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกส่งไปที่แอปเปิลหรือบริษัทรายอื่น (third party) แต่จะถูกเก็บไว้บนอุปกรณ์ส่วนตัวของเจ้าของไอโฟนเท่านั้น และเก็บข้อมูลต่อเนื่องนานแรมเดือนปี จุดนี้มีโอกาสที่เจ้าของเครื่องจะถูกสอดแนมหากมีบุคคลอื่นสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเจ้าของไอโฟน ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่มีความชัดเจนว่าข้อมูลพิกัดเหล่านี้ถูกเก็บไว้เพื่ออะไร
      
      เบื้องต้นพบเพียงข้อมูลพิกัดเหล่านี้คำนวณจากเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นวิธีการที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่าการระบบพิกัดผ่านดาวเทียมหรือ GPS แต่มีความแม่นยำน้อยกว่า
      
      ขณะเดียวกัน นักวิจัยของ Wall Street Journal ยังพบการติดตามพิกัดการใช้งานลักษณะนี้ในสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ด้วย แต่กูเกิลยืนยันว่าผู้ใช้จะสามารถเลือกได้เองว่าต้องการให้ระบบติดตามเก็บข้อมูลพิกัดหรือไม่ (opt-in) โดยจะให้ผู้ใช้เลือกขณะที่ตั้งค่าเครื่องครั้งแรก และข้อมูลพิกัดจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิล (ไม่มีข้อมูลที่ระบุตัวบุคคล แต่จะมี ID ของอุปกรณ์ที่ใช้)
      
      อย่างไรก็ตาม กูเกิลระบุว่าแอนดรอยด์จะเก็บข้อมูลพิกัดไว้บนเครื่องเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วลบทิ้งเมื่อเลิกใช้ ต่างกับกรณีของแอปเปิลที่เก็บข้อมูลพิกัดยาวนานเป็นปี
      
      ประเด็นที่เกิดขึ้น ไมโครซอฟท์ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟนเซเว่น (Windows Phone 7) ซึ่งเป็นคู่แข่งของทั้งแอปเปิลและกูเกิล ได้ยืนยันว่าไม่มีการเก็บข้อมูลพิกัดการใช้เครื่องแบบที่พบใน 2 บริษัท แต่ข้อมูลพิกัดที่เก็บในวินโดวส์โฟนเซเว่นนั้นมีเพียงพิกัดของสถานที่ล่าสุดเพียงจุดเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะถูกใช้ในบริการตามหาโทรศัพท์หาย "Find My Phone"
      
      ขณะที่ประชาสัมพันธ์โนเกียระบุว่า การเก็บข้อมูลสถานที่ใช้งานโทรศัพท์ของโนเกียนั้นจะถูกเก็บไว้ในเครื่องโทรศัพท์เท่านั้น โดยจะส่งหรือเก็บข้อมูลเมื่อผู้ใช้ตกลงสมัครรับบริการ เท่ากับมีเพียงเอชพีและริมเท่านั้นที่ยังไม่ออกมาให้ความเห็นกับสาธารณชนต่อประเด็นที่เกิดขึ้น
      
      ไม่เพียงหน่วยรักษาสิทธิมนุษยชน ส.ส.สหรัฐฯ อัยการประจำรัฐอิลินอยส์ และหน่วยงานจากหลายประเทศเริ่มออกมาแสดงความสงสัยเช่นกัน ส่วนใหญ่ต้องการรับรู้ว่าได้มีการแจ้งให้ผู้ใช้รับทราบก่อนหรือไม่ว่าจะเก็บข้อมูลพิกัด และผู้ใช้สามารถหยุดการเก็บพิกัดได้หรือไม่ โดยขณะนี้ รายงานข่าวระบุว่าประเทศอิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ และไต้หวันได้เริ่มดำเนินการสอบสวนการเก็บข้อมูลพิกัดของผู้ผลิตระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังแล้ว
      
      ในขณะที่ยังไม่มีการแถลงรายละเอียดเหตุผลในการเก็บข้อมูลพิกัดการใช้งานเหล่านี้ต่อหน่วยงานราชการ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าการเก็บพิกัดเหล่านี้จะทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาบริการทุกชนิดที่เกี่ยวกับสถานที่ ทั้งบริการแผนที่ บริการนำทาง รวมถึงการโฆษณาในท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะต้องมีการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันสิทธิผู้บริโภคต่อไป

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: คาสิโอโชว์ แอนดรอยด์โฟนสุดอึด กันน้ำได้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 27 เมษายน 2011, 21:51:06
เวอไรซอน (Verizon) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชั้นนำของสหรัฐฯ จับมือคาสิโอ (Casio) เปิดตัว "G'zOne Commando" แอนดรอยด์โฟนสุดอึด เจาะกลุ่มนักเดินทางสมบุกสมบัน
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005517901.JPEG)

      G'zOne Commando เป็นสมาร์ทโฟนที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 2.2 (โฟรโย่) ที่คาสิโออ้างว่าได้ผ่านการทดสอบ 810G ซึ่งเป็นมาตรฐานของกองทัพอเมริกา โดยจะสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตรนาน 30 นาที และทนต่อความเย็นที่อุณหภูมิต่ำสุด -25องศา นาน 96 ชั่วโมง
      
      ตัวเครื่องได้รับการหุ้มด้วยยางคุณภาพสูง และใช้ซอฟต์แวร์ G'zGEAR ที่นิยมในเข็มทิศดิจิตอล หรือเทอโมมิเตอร์ ซึ่งช่วยให้ G'zOne Commando สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่นักเดินทางจำเป็นต้องใช้ได้
      
      ในส่วนของสเปกการใช้งานพื้นฐานนั้น มาพร้อมซีพียูความเร็ว 800MHz, RAM 512MB มีหน้าจอแสดงผล WVGA แบบสัมผัสขนาดกว้าง 3.6 นิ้ว, กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อมออโตโฟกัสและแฟลช LED รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และ Wi-Fi 802.11b/g/n, การ์ดความจำแบบไมโครเอสดีความจุ 8GB ที่สามารถเพิ่มได้สูงสุด 32GB, ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มม. และสามารถใช้เป็นตัวกระจายสัญญาณไวไฟได้
      
      ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 151 กรัม และแบตเตอรีความจุ 1460 mAh วางจำหน่ายในราคา 199.99 เหรียญสหรัฐ พ่วงสัญญากับเวอไรซอน ไวเรส 2 ปี


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Google Docs app บน Android มาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 21:54:00
รายงานข่าวล่าสุด Google (Google) ได้ออกแอพพลิเคชัน Google ด็อคส์ (Google Docs) เวอร์ชันที่ทำงานบนแอนดรอยด์ (Android) ระบบปฏิบติการอุปกรณ์โมบายแล้ว โดยผู้ใช้สามรถแก้ไข และแชร์ไฟล์เอกสารผ่านบริการแอพฯ เวิร์ดโพรเซสเซอร์ (word processor) บนออนไลน์ได้

สำหรับ Google Docs ร่นใหม่ล่าสุดนี้จะอยู่ใน Android Market โดยแอพพลิเคชันจะช่วยให้คุณสามารถสืบค้น และเปิดไฟล์ต่างๆ ที่จัดเก็บอยู่ในสตอเรจของบัญชีผู้ใช้ Google อีกทั้งยังมาพร้อมกับเครื่องมือสำหรับแชร์ไฟล์กับผู้ใช้คนอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถอัพโหลดไฟลืต่างๆ ที่จัดเก็บอยู่ในสมาร์ทโฟน ตลอดจนเพิ่มวิดเจ็ต (widgets) เข้าไปที่หน้าโฮมสกรีน เพื่อเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย อย่างเช่น วิดเจ็ตตัวหนึ่งสามารถอัพโหลดภาพถ่ายในมือถือเข้าไปยัง Google Docs หรือวิดเจ็ตบางตัวสามารถเริ่มต้นสร้างไฟล์เอกสารใหม่ได้ทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-docs-app-android-version-2.jpg)

ในส่วนของการใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ของ Google แอพ Google Docs จะสามารถแปลงภาพเอกสาร (images of documents) ให้เข้าไปอยู่ในรูปแบบของไฟล์ข้อความ (text) ที่แก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้กล่าวถึงข้อจำกัดในการใช้งานของเทคโนโลยีนี้ด้วย โดยระบุว่า OCR จะไม่รู้จักตัวหนังสือที่อยู่ในรูปแบบของลายมือ หรือฟอนต์บางชนิด นั่นหมายความว่า ไฟล์ข้อความที่ได้รับการแปลงมาจากภาพเอกสารบางภาพอาจจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100%

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-docs-app-android-version-3.jpg)

Google Docs ที่ปล่อยออกมาเวอร์ชันแรกนี้จะเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น และทำงานได้กับสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Androdi 2.1 ขึ้นไป ผู้ใช้จะไม่สามารถแก้ไขเอกสารต่างๆ ได้ หากไม่ได้เชื่อมต่อเน็ตในขณะนั้น อย่างไรก็ดี แอพฯ Google Docs บน Android สามารถรองรับการใช้งานได้ค่อนข้างสมบูรณ์ไม่แพ้เวอร์ชันเดสก์ทอป ซึ่งขณะนี้ทาง Google กำลังพัฒนาให้สามารถแก้ไขเอกสารแบบออฟไลน์โดยใช้ HTML5

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Microsoft ยอมรับ Windows Phone 7 เก็บข้อมูลติดตามผู้ใช้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 22:02:03
หลังจากตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้ทั้ง iPhone และ Android เกี่ยวกับการติดตาม และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ ล่าสุดไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ออกมายอมรับว่า Windows Phone 7 ก็มีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ไมโครซอฟท์ได้ออกมายืนยันแล้วว่า Windows Phone 7มีการติดตามเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งสถานที่การใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ แม้ในขณะที่ไม่ได้เปิด (enable) บริการ GPS ก็ตาม ซึ่งตามรายงานข่าวจากเว็บไซต์ซีเน็ตระบุว่า Windows Phone 7 จะมีส่งข้อมูลอย่างเช่น หมายเลข ID ของแต่ละเครื่อง ข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่าย Wi-Fi ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ และข้อมูลระบุตำแหน่งละติจูด และลองติจูดของ GPS (หากเปิดใช้งานในขณะนั้น) กลับไปยังไมโครซอฟท์

(http://www.arip.co.th/images/news/wp7/microsoft-admits-windows-phone-7-collects-location-data-2.jpg)

สำหรับเหตุผลของการเก็บข้อมูลดังกล่าวก็จะคล้ายกับ Apple และ Google โดยไมโครซอฟท์อ้างว่า ทางบริษัทรวบรวมข้อมูลพวกนี้ เพื่อใช้ในการสร้างฐานข้อมูลเสาสัญญาณโมบาย (cell site) และแอคเซสพอยน์ของ Wi-Fi ซึ่งจะทำให้สมาร์ทโฟนสามารถระบุตำแหน่งของมันได้เร็วขึ้น และใช้แบตฯน้อยลงกว่าการใช้ GPS อย่างเดียว ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเซคชั่น Help and How To บนเว็บไซต์ด้วย แต่ยังคงมีประเด็นที่ค้างคาใจผู้เชี่ยวชาญอย่างเช่น ไมโครซอฟท์ไม่ได้บอกว่า ข้อมูลที่ส่งกลับไปนั้นมีการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยหรือไม่? รวมถึงการส่งข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ไอเดีย iPad มีมาตั้งแต่ปี 1994 แต่...
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 22:14:18
ในขณะทีทั่วโลกกำลังหลงไหลใฝ่ปลื้ม iPad จนใครหลายคนให้รู้สึกอิจฉาตาร้อน Apple ไปตามๆ กัน แต่ในบรรดาบริษํทเหล่านั้น คงจะไม่มีใครรู้สึกมากเท่ากับ Knight-Ridder บริษัทผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ที่มองเห็นอนาคตนี้มาตั้งแต่ปี 1994 เนื่องจากทางบริษัทได้ทำสารคดีเกี่ยวกับ Tablet Computers ที่เป็นการมองปัจจุบันจากอดีตเมื่อ 16 - 17 ปีที่แล้วได้อย่างแม่นยำทีเดียว เพราะทั้งดีไซน์ และฟังก์ชันการใช้งานช่างละม้าย iPad ในวันนี้เสียจริงๆ น่าเสียดายที่พวกเขาคิด แต่ไม่ได้ทำ...

คลิปวิดีโอจาก Knight-Ridder ที่เผยแพร่ในปี 1994 นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ "คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต" โดยจำลองเครื่องต้นแบบของแท็บเล็ตที่ผู้บริโภคต้องการ ว่ามันควรมีดีไซน์เป็นอย่างไร และน่าจะใช้งานในลักษณะใดได้บ้าง โดยนำเสนอในรูปของหนังสือพิมพ์บนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงคอนเท็นต์ต่างๆ ที่รวมถึงภาพข่าวที่เป็นวิดีโอสามารถเล่นได้บนแท็บเล็ตเลย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนอีกด้วยว่า "เราอาจจะใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างข้อมูลข่าวสาร แต่เราจะใช้แท็บเล็ตเพื่อปฎิสัมพันธ์กับข้อมูลข่าวสาร"

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/the-tablet-newspaper-look-likes-ipad-idea-starts-in-1994-2.jpg)

มันน่าทึ่งไม่น้อยที่ได้ทราบว่า ไอเดียแท็บเล็ตในปี 1994 จะมีดีไซน์ และคุณสมบัติใกล้เคียงกับ iPad ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการที่พวกเขารู้ได้ไงว่า มันจะเป็นผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยม แต่มันคงเป็นเรื่องน่าเจ็บใจมิใช่น้อยสำหรับพวกเขาที่คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ 16 ปีที่แล้ว แต่กลับไม่ได้เป็นทำมันขึ้นมา แต่ก็อย่างว่า ถ้าพวกเขาเป็นคนทำ มันจะสำเร็จเท่า Apple หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: พ่อแม่เฮรับซอฟต์แวร์ใหม่ ลูกไม่รู้ถูกแอบดู "Facebook"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 22:55:21
หลังจากเฟซบุ๊กจุดพลุลุยทดสอบบริการซื้อขายส่วนลดออนไลน์ใน 5 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ล่าสุดบริษัทรักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตนาม Check Point เปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ที่เปิดช่องให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถดูแลบุตรหลานของตัวเองได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบนเครือข่ายสังคมยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) จุดเด่นคือการไม่ต้อง"แอดเป็นเพื่อน"กับลูก ซึ่งจะทำให้ลูกไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแอบดูเฟซบุ๊กอยู่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005539601.JPEG)

      ซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุดนี้มีชื่อว่า ZoneAlarm SocialGuard ข้อมูลระบุว่าซอฟต์แวร์นี้จะแจ้งเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองถึงสัญญาณอันตรายที่ปรากฏในบัญชีเฟซบุ๊กของบุตรหลาน โดยผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องไล่ตรวจข้อความโพสต์ ความเห็น รูปภาพ วิดีโอ หรือดิจิตอลคอนเทนต์ซึ่งบุตรหลานส่งต่อแบ่งปันกับเพื่อนบนเฟซบุ๊กแบบที่เคยเป็นมาในอดีต เพราะซอฟต์แวร์นี้จะสามารถสแกนหาข้อความที่เข้าข่ายการข่มขู่ การรุกรานทางเพศ การพูดคุยเรื่องยาเสพติด ความรุนแรง และการฆ่าตัวตายได้แบบอัตโนมัติ
      
      ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า การสแกนในซอฟต์แวร์นี้จะทำบนอัลกอริธึมซึ่งถูกออกแบบโดยเฉพาะ โดยจะทำงานด้านหลัง (แบคกราวน์) ซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ ซึ่งหากพบข้อความหรือมูลเหตุต้องสงสัย ก็จะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ปกครอง
      
      บาริ อับดุล (Bari Abdul) รองประธานฝ่ายขายของ Check Point ซึ่งมีสำนักงานในเมืองเรดวูดซิตี้ แคลิฟอร์เนีย ให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการป้องกันบุตรหลานจากภัยสังคมในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวและคงรูปแบบการสื่อสารเสรีให้ลูกหลานไว้เช่นเดิม โดยอับดุลเชื่อว่าซอฟต์แวร์นี้คือหนทางแสนง่ายในการเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
      
      นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ SocialGuard ยังสามารถตรวจจับการถูกแฮกชื่อบัญชี ลิงก์โปรแกรมประสงค์ร้าย และการล่อลวงออนไลน์อื่นๆที่อาจแฝงมากับการปลอมตัวเป็นเพื่อนหรือ friend ของคนแปลกหน้าด้วย
      
      ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กคือหนึ่งในช่องทางการสื่อสารเสรีที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นห่วงว่าบุตรหลานจะสื่อสารแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีกับเพื่อนฝูงหรือคนแปลกหน้า สิ่งที่ผู้ปกครองพอทำได้คือการขอเป็นเพื่อนกับบุตรหลานเพื่อให้มีสิทธิ์เข้าไปอ่านข้อความเพื่อให้ทราบว่าบุตรหลานมีความคิดเห็นอย่างไรในขณะนั้น แต่การสำรวจพบว่าวัยรุ่นกว่า 38% ไม่ยอมรับพ่อแม่ผู้ปกครองของตัวเองเป็นเพื่อน ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบหรือระวังภัยใดๆได้
      
      ซอฟต์แวร์ SocialGuard เปิดให้ดาวน์โหลดที่ zonealarm.com อัตราค่าบริการ 2 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือ 20 เหรียญต่อปี
      
      ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากเฟซบุ๊กเปิดตัวทดสอบบริการ Deals on Facebook บริการโฆษณาส่วนลดจากร้านค้าในท้องถิ่นอย่างเป็นทางการใน 5 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ แอตแลนตา ออสติน ดัลลัส ซานดิเอโก และซานฟรานซิสโก ถือเป็นขั้นต่อจากการให้บริการในยุโรปบางประเทศ โดยการบุกตลาดบ้านเกิดของเฟซบุ๊กในครั้งนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีความน่าสนใจมาก คาดว่าจะทำให้ธุรกิจการค้าบนเครือข่ายสังคมหรือ social commerce ทวีความร้อนแรงยิ่ง เพราะบริการนี้จะทำให้เฟซบุ๊กเป็นคู่แข่งของเจ้าตลาดผู้ค้าส่วนลดอย่าง Groupon และ LivingSocial เต็มตัว
      
      ข้อเสนอส่วนลดของร้านค้าต่างๆ จะถูกแสดงในส่วน newsfeed ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กต้องอ่านเพื่อรับความเคลื่อนไหวล่าสุดจากกลุ่มเพื่อนผู้ติดต่อ โดยเฟซบุ๊กจะเลือกแสดงข้อเสนอที่เหมาะสมตามผู้ใช้แต่ละราย
      
      นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังเปิดตัวปุ่ม Send ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่สำหรับให้เว็บไซต์ทั่วไปนำไปติดบนเพจ เพื่อให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กสามารถส่งต่อเพจที่ชื่นชอบแก่เพื่อนได้อย่างสะดวก ข้อแตกต่างของปุ่ม Send และปุ่ม Like ซึ่งเฟซบุ๊กเปิดใช้งานแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ คือ Send เป็นการแชร์ข้อมูลให้เฉพาะบุคคลที่ต้องการเท่านั้น โดยต้องมีการพิมพ์ชื่อเพื่อน กลุ่ม หรืออีเมล เพื่อให้ลิงก์ถูกส่งไปยังกล่องข้อความ Facebook Message หรืออีเมลที่ถูกพิมพ์ไป แต่ปุ่ม Like จะเป็นการแสดงลิงก์ให้ทุกคนที่ปรากฏในรายชื่อเพื่อน
      
      รายงานเบื้องต้นพบว่า ขณะนี้มีการใช้งานปุ่ม Send แล้วในมากกว่า 50 เว็บไซต์ คาดว่าจะเพิ่มจำนวนต่อเนื่องในอนาคต


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โนเกีย เตรียมปลดพนักงาน 4,000คนในปี 2012
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 23:07:18
โนเกีย (Nokia) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก ปรับโครงสร้างใหม่ ประกาศลดจำนวนพนักงานกว่า 4,000 ราย ภายในปี 2012 พร้อมโอนถ่ายพนักงานกว่า 3,000 รายไปยังบริษัทในเครือ เพื่อความอยู่รอดขององค์กร และต้องการให้บริษัทมีความแข่งแกร่งพอที่จะไปต่อกรกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS จากแอปเปิล และ Android จากกูเกิลได้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005539001.JPEG)

      โนเกียระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้เริ่มทำการปลดพนักงานที่ประจำอยู่ที่ออฟฟิศในประเทศฟินแลนด์, เดนมาร์ก และอังกฤษ จำนวน 4,000 รายภายในปี 2012 นอกจากนี้ยังได้มีการย้ายพนักงานอีก 3,000 รายไปยังบริษัทแอ๊คเซนเจอร์ (Accenture Group) ซึ่งเป็นบริษัทรับปรึกษาด้านการจัดการ ที่ให้บริการด้านซอฟต์แวร์สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการซิมเบียนให้แก่โนเกีย
      
      ไม่เพียงเท่านั้น โนเกียยังมีแผนจะลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรในส่วนของอุปกรณ์และบริการอีก 1,000ล้านยูโรภายในปี 2013 โดยระบุว่าการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงที่บริษัทได้ทำไว้กับไมโครซอฟต์เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ที่ต้องการจะใช้ Window Phone เป็นระบบปฏิบัติการหลักของบริษัท

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Blackberry Playbook" บุกไทยแล้ว !!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 23:17:38
ริม จ่อเปิดตัว "แบล็กเบอร์รี เพลย์บุ๊ก" ในประเทศไทยไม่นานเกินรอ หวังเจาะเข้าทุกตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายไอที และโอเปอเรเตอร์มือถือแม้ตัวเครื่องรุ่นแรกยังไม่สามารถใช้งาน 3G ชี้ 4 ปัจจัยหลักช่วยผลักดันเข้าตลาดแท็บเล็ตเต็มตัว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005539801.JPEG)

      แดนนี่ โบลดุค ผู้อำนวยการ ประจำประเทศไทย บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (ริม) กล่าวว่า รูปแบบการทำตลาดของเพลย์บุ๊กในประเทศไทย ยังคงใช้เอสไอเอสเป็นดิสทริบิวเตอร์หลัก ร่วมกับการทำตลาดผ่านโอเปอเรเตอร์มือถือ ทำให้ในการวางจำหน่ายเพลย์บุ๊กจะสามารถส่งสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายได้ครบทุกช่องทาง
      
      'เพลย์บุ๊กเป็นสินค้าที่สามารถทำตลาดได้ทุกกลุ่ม ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะคอนซูเมอร์หรือตลาดองค์กรโดยเฉพาะ ทำให้สามารถใช้ช่องทางจำหน่ายเดิมที่มีอยู่ในการทำตลาดได้ทันที ซึ่งหลังจากนี้คงเป็นช่วงหารือกับทั้งดิสทริบิวเตอร์และโอเปอเรเตอร์ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการ'
      
      โดย 4 ปัจจัยหลักที่ แดนนี่ เห็นว่าจะทำให้เพลยบุ๊กเป็นที่นิยมในตลาดแท็บเล็ตไทย คือ 1.ขนาดของตัวแบล็กเบอร์รี เพลย์บุ๊ก (Blackberry Playbook) ที่ถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับการพกพา 2.ความสามารถในการใช้งานมัลติเทสก์ บนหน่วยประมวลผลแบบดูอัลคอร์ ที่ช่วยให้สามารถใช้ทำงานหลายสิ่งพร้อมกัน
      
      3.การเชื่อมต่อในเบื้องต้นที่แบล็กเบอร์รี เพลย์บุ๊กวางจำหน่ายจะมีเพียงรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่อเฉพาะไวไฟเท่านั้น แต่ในอนาคตจะมีรุ่นที่รองรับการใช้งาน 4G ออกมา สิ่งที่กลายเป็นจุดเด่นคือการที่ผู้ใช้เพลย์บุ๊กสามารถเชื่อมต่อแท็บเล็ตเข้ากับสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี หรือ 'Bridge' เพื่อให้ใช้งานระบบอีเมล ปฏิทิน ข้อมูล รวมถึง BBM ได้ทันที ทำให้ความปลอดภัยของข้อมูลยังเป็นไปตามมาตรฐานของแบล็กเบอร์รี
      
      สุดท้ายคือ 4.การทำงานของเว็บเบราว์เซอร์รองรับการใช้งาน Adobe Flash ทำให้สามารถใช้งานเล่นอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีความสามารถทางด้านมัลติมีเดียอย่างกล้องหน้า-หลัง ความละเอียด 3 ล้านและ 5 ล้านพิกเซลตามลำดับ สามารถเล่นไฟล์ภาพยนตร์ความละเอียดสูง 1080p ทั้งบนตัวเครื่องและผ่านสาย HDMI สู่จอภาพอื่นๆ
      
      สำหรับแบล็กเบอร์รี เพลย์บุ๊ก ถือเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกจากทางริม มาพร้อมหน่วยประมวลผลดูอัลคอร์ ความเร็ว 1 GHz หน้าจอมัลติทัชขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 600 จุด ขนาดตัวเครื่อง 194 x 130 x 10 มิลลิเมตร น้ำหนัก 425 กรัม ทำงานบนระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รีแท็บเล็ต ที่พัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของระบบปฏิติบัติการ QNX

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: 3 ค่ายไทยขาย "iPhone 4 สีขาว" พร้อมสหรัฐฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 28 เมษายน 2011, 23:25:53
ถือเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของประเทศไทยสำหรับ "ไอโฟน 4 สีขาว" ที่เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการพร้อมสหรัฐอเมริกา โดยทั้ง 3 โอเปอเรเตอร์ในประเทศไทยประกาศขายไอโฟน 4 สีขาวแล้วตามกำหนดวันวางจำหน่าย 28 เมษายน 54 แหล่งข่าวเผยสินค้าล็อตแรกมาน้อยและอาจจำหน่ายหมดภายในปลายสัปดาห์นี้ เชื่อยอดขายไอโฟน 4 ในไทยกระฉูด ทำให้ไทยเป็นประเทศกลุ่มแรกที่ได้ไอโฟน 4 สีขาวมาวางจำหน่ายก่อนประเทศอื่น
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005563701.JPEG)

      "เป็นเจ้าของ White iPhone 4 ได้แล้ววันนี้ที่ทรูมูฟสแควร์ (สยามสแควร์ซอย 2) รับเครื่องได้ทันที ของมีจำนวนจำกัด" ข้อความจากเว็บไซต์ทรูมูฟระบุไว้เช่นนี้ โดยที่ทรูมูฟยังไม่มีการแถลงรายละเอียดใดๆเพิ่มเติม
      
      แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมให้ข้อมูลว่า การที่ทรูมูฟได้รับเครื่องไอโฟน 4 สีขาวมาจำหน่ายเป็นกลุ่มแรกในโลกนั้นเป็นเพราะทรูมูฟได้รับการจัดอันดับจากแอปเปิลว่ามีความน่าเชื่อถือดีเยี่ยมทั้งในแง่การขายและการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยสาเหตุที่ไม่มีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเพราะสินค้ามีจำนวนจำกัด คาดว่าจะจำหน่ายหมดเกลี้ยงก่อนปลายสัปดาห์นี้
      
      "ทรูคงรอดูว่าสต็อกสินค้าจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าน่าจะขายหมดใน 3 วันนี้เพราะสินค้ามาน้อย จากนั้นไอโฟน 4 คงจะขายผ่านร้านไอสตูดิโอทุกสาขา ตามช่องทางการจำหน่ายเดิม และทรูคงจะประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องมือออนไลน์อย่างเครือข่ายสังคม เว็บไซต์ และสื่อโฆษณาเช่นเดิม"
      
      ขณะที่ดีแทค ได้มีการประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์เช่นเดียวกันว่า "dtac iPhone 4 สีขาว มีขายที่ศูนย์ dtac ในสาขาที่เป็น Service Hall อย่าง จามจุรีสแควร์ / สยามพารากอน / Central World / Paradise Park เท่านั้น โดยโปรโมชั่นเพิ่มการผ่อนจากหกเดือน เป็นสิบเดือน ส่วนเรื่องจำนวนเครื่อง ทาง dtac ฝากบอกมาว่า มีเพียงพอต่อความต้องการแน่นอน"
      
      ส่วนทางเอไอเอส แม้จะไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ออกสื่อมากนัก แต่ภายในหน้าแฟนเพจของเอไอเอส ระบุข้อมูลว่า "ลูกค้าเอไอเอส สามารถซื้อ iPhone 4 ทั้งสีดำและสีขาว ทุกรุ่น ได้รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ผ่านบัตรเครดิต Citibank / KBANK / KCC (บัตรกรุงศรี) / SCB / ธนชาตและนครหลวงไทย / KTC ที่ AIS shop ทุกสาขาทั่วประเทศ และร้านเทเลวิซที่ร่วมรายการค่ะ"
      
      อย่างไรก็ตาม การวางจำหน่ายไอโฟน 4 สีขาวในวันนี้ (28 เมษายน 54) นั้นล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมราว 10 เดือน ทั้งหมดนี้แอปเปิลให้ข้อมูลว่า การพัฒนาไอโฟน 4 สีขาวนั้นมีความยุ่งยากมากกว่าการเปลี่ยนสีจากดำเป็นขาว เพราะแอปเปิลต้องเปลี่ยนแปลงทั้งวัสดุใหม่ ปรับระบบการทำงานตัวเครื่องใหม่ โดยเฉพาะระบบเซ็นเซอร์ซึ่งจะทำงานผิดเพี้ยนในตัวเครื่องสีขาว
      
      จุดนี้ ฟิล สคิลเลอร์ (Phil Schiller) ผู้นำทีมพัฒนาไอโฟน 4 สีขาวออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไอโฟน 4 สีขาวจำเป็นต้องออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ระบบเซ็นเซอร์สามารถทำงานได้ดีในสภาพโปร่งแสงมากกว่าเครื่องสีดำ ซึ่งที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าแอปเปิลเพิ่งค้นพบวัสดุใหม่ที่เหมาะสมกับการใช้ในสีขาวจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นรายหนึ่ง ทำให้แอปเปิลสามารถแก้ปัญหาโปรแกรมถ่ายภาพในไอโฟน 4 สีขาวได้สำเร็จ เพราะบางรายงานชี้ว่า การทดสอบถ่ายภาพพร้อมเปิดแฟลชในไอโฟน 4 สีขาวซึ่งใช้วัสดุเดิมนั้นพบว่าภาพที่ได้มีความสว่างมากแบบผิดปกติ การเปลี่ยนวัสดุจึงทำให้ปัญหานี้แก้ไขได้
      
      สนนราคาไอโฟน 4 สีดำและขาวนั้นเท่ากัน โดยรุ่น 16GB นั้นอยู่ที่ 22,250 บาท (เครื่องเปล่า) และ 20,650 บาท (พร้อมซื้อแพคเก็จใช้งาน) รุ่น 32GB ราคา 26,000 บาท (เครื่องเปล่า) และ 23,900 บาท (พร้อมสมัครแพคเก็จ)
      
      ** แอปเปิลให้ชาร์ปผลิตหน้าจอให้ไอโฟน 6 **
      
      ล่าสุดมีรายงานจากหนังสือพิมพ์ Nikkan ของญี่ปุ่น ว่าแอปเปิลได้เซ็นสัญญากับบริษัทชาร์ป ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ชาร์ปทำหน้าที่ผลิตหน้าจอแอลซีดีแบบโพลีซิลิกอน (Poly-silicon) ให้แก่ไอโฟน 6 ที่คาดว่าจะมีการเปิดตัวในปี 2012
      
      ข้อมูลระบุว่า ชาร์ปจะเริ่มดำเนินการผลิตหน้าจอให้แก่แอปเปิลในเดือนมีนาคมปี 2012 โดยจะจัดเตรียมอุปกรณ์ในโรงงาน Kameyama Plant หมายเลข 1 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตจอ LCD TV ของชาร์ปในเมือง Mie Prefecture หน้าจอดังกล่าวจะเป็นแบบคริสตัลเหลว ที่ใช้เทคโนโลยีโพลีซิลิกอนอุณภูมิต่ำ ซึ่งช่วยให้หน้าจอมีความบาง และน้ำหนักเบากว่าหน้าจอแบบเดิม อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้หน้าจอแอลซีดี นอกจากนี้ยังช่วยให้ภาพที่ปรากฏมีสีสันสดใสและมีความทนทานมากขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: โนเกียซุ่มทำ "แท็บเล็ต" ที่ไม่เหมือนใคร
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 29 เมษายน 2011, 21:55:50
รายงานข่าวล่าสุด โนเกีย (Nokia) กำลังพัฒนา "แท็บเล็ต" (tablet) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอย่างไรก็คงหนีกรแะสนี้ไม่พ้นอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ Stephen Elop ซีอีโอของทางบริษัทได้เปิดเผยกับแหล่งข่าวก็คือ "แท็บเล็ต"ของโนเกียจะไม่เหมือนกับของคู่แข่งอย่างแน่นอน

Stephen Elop ซีอีโอของ Nokia ได้ให้สัมภาษณ์ทางรายการทีวีในฟินแลนด์ โดยได้ตอบคำตอบเกี่ยวกับแผนการพัฒนา "แท็บเล็ต" ของทางบริษัทว่า "เรามีทางเลือกหนึ่งแล้วสำหรับการเข้าสู่ตลาดแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของบริษัท นั่นก็คือ การที่เราสามารถใช้ข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีไมโครซอฟท์ และซอฟต์แวร์ในการสร้างแท็บเล็ตที่ทำงานด้วยวินโดวส์ หรือด้วยซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่เรามี" หากวิเคราะห์จากคำให้สัมภาษณ์ตรงนี้ Nokia น่าจะมีแผนสำหรับ"แท็บเล็ต"ที่ใช้โอเอสของไมโครซอฟท์ และโอเอสตัวนั้นน่าจะเป็น Windows 8

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-tablet-strategy-the-unique-tablet-you-cant-miss-2.jpg)

"ตอนนี้ทีมงานของโนเกียกำลังพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เรามี เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแท็บเล็ตของบริษัท แล้วความเหมาะสมที่ว่านั้นเป็นอย่างไรน่ะหรือ? ผมจะบอกเรื่องสำคัญให้คุณได้ทราบกัน ตอนนี้มีแท็บเล็ตที่แตกต่างกันมากกว่า 200 รุ่นในท้องตลาด แต่มีเพียงหนึ่งในนั้นที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ (Elop น่าจะหมายถึง iPad ของ Apple) และสิ่งที่ผมท้าทายกับทีมงานก็คือ ผมไม่ต้องการเป็นแท็บเล็ตรุ่นที่ 201 ในตลาด ซึ่งคุณไม่สามารถบอกลูกค้าได้ว่า คุณแตกต่างอย่างไร เราต้องมองในมุมที่แตกต่าง และทีมงานกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ได้สิ่งที่แตกต่งจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทีมีอยู่ในตลาด" Elop กล่าวในรายการ

(http://www.arip.co.th/images/news/nokia/1/nokia-tablet-strategy-the-unique-tablet-you-cant-miss-3.jpg)

ผู้สื่อข่าวในรายการถาม Elop ว่า "ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่ได้อยู่ใสภาวะที่ต้องเร่งรีบอะไร" ซึ่ง Elop ตอบคำถามนี้้ว่า "โนเกียมักจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรีบเร่งเสมอ แต่เราส่วนใหญ่เลือกที่จะเร่งรีบในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เหมาะสมเพียงสิ่งเดียว" แน่นอนว่า การจะตอบคำถามให้ได้ชัดเจนในขณะที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาโชว์ให้เห็นนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะเข้าสู่ตลาดสมรภูมิเดือดอย่าง"แท็บเล็ต" โนเกียคงต้องมีกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น จึงจะสำเร็จ เพราะวันนี้หมายเลขหนึ่งในตลาดอย่าง iPad กำลังจะผ่านหลักไมล์ที่ 20 ล้านเครื่องไปแล้ว กล่าวโดยสรุป Elop กำลังบอกว่า Nokia จะเดิมพันกับตลาดนี้ด้วย"แท็บเล็ต"ที่ไม่เหมือนใคร และจะต้องสามารถเปลียนใจผู้บริโภคกำลังสนใจ iPad ให้ได้นั่นเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เอเซอร์,ซัมซุง ผุดโน้ตบุ๊ค Chrome OS
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 เมษายน 2011, 22:20:06
รายงานข่าวเช้าวันหยุดอย่างนี้ ขอเริ่มต้นด้วยประเด็นที่กำลังได้ความสนใจอย่างมาก นั่นก็คือ โค้ดล่าสุดของ Chrome OS ของ Google เผยให้เห็นว่า Acer และ Samsung จะเป็นบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สองรายแรกที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นโน้ตบุ๊คทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Chrome OS โดยแหล่งข่าวคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ในช่วงกลางปี 2011 เป็นต้นไป

สำหรับโน้ตบุ๊ค Chrome ของ Acer จะมีสองรุ่นด้วยกัน โดยรุ่นแรกเป็นโน้ตบุีคที่มีโค้ดเนมว่า ZGB มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 10 - 12 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล สนับสนุนการเชื่อมต่อภายนอกด้วยพอร์ต HDMI และใช้โพรเซสเซอร์ Atom ของ Intel ส่วนอีกรุ่นหนึ่งเป็น"แท็บเล็ต"โค้ดเนม Seaboard มาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ NVIDIA Tegra 2 และทำงานด้วยระบบจอสัมผัส

(http://www.arip.co.th/images/news/notebook/Acer-and-Samsung-chrome-notebook-is-coming-2.jpg)

นอกจากนี้ในรายงานแจ้งข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์ Chromium bug ของ Google ยังมีการเปิดเผยอีกว่า Samsung ก็เตรียมเปิดตัวโน้ตบุ๊ค Chrome ด้วยเหมือนกัน โดยมีโค้ดเน้มว่า Alex ซึ่งรายละอียดของเครื่องจะใช้โพรเซสเซอร์ Intel Atom N550 ความเร็ว 1GHz หน่วยความจำ 2GB ไดรฟ์เป็น SSD (ไม่ได้เปิดเผยความจุ) หน้าจอขนาดประมาณ 10 นิ้ว ความละเอียด 1280x800 พิกเซล สนับสนุนการเชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมพอร์ต Ethernet เว็บแคม บลูทูธ และการ์ด 3G เป็น Qualcomm Gobi 2000

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะหฺ์ตั้งข้อสังเกตว่า Google อาจจะจำหน่ายอุปกรณ์ทีทำงานด้วย Chrome OS ให้กับลูกค้าโดยใช้โมเดลของการสมัครเป็นสมาชิก แต่ร่วมกับคู่ค้าที่มีหน้าร้าน และโอเปอเรเตอร์ เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าได้ในที่เดียว และใช้งานได้ทันที ทั้งนี้รายละเอียดเกี่ยวกับ Chrome OS Notebook น่าจะมีการเปิดเผยมากขึ้นในงาน Google I/O ที่จะจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกเดือนหน้า

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: หุ่นยนต์โชว์รับลูกบอล+ใช้เครื่องชงกาแฟ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 เมษายน 2011, 22:39:35
แม้ความสามารถที่พูดถึงข้างต้นจะฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เชื่อเหลือเกินว่า สำหรับหุ่นยนต์แล้วคงจะมีไม่กี่ตัวในโลกที่จะสามารถทำงานได้อย่างเจ้า Rollin' Justin จากสถาบันพัฒนาหุ่นยนต์ DLR ที่นำมาฝากคุณผู้อ่านกันในเช้านี้ เพราะด้วยความสามารถของเซ็นเซอร์ และกลไกการทำงานของหุ่นยนต์ ตลอดจนโปรแกรมควบคุมการตัดสินใจทีแม่นยำ ทำให้กิจกรรมอย่างรับลูกบอลที่โยนมาได้อย่างแม่นยำราวจับวาง กับการชงกาแฟด้วยเครื่องชงฯ กลายเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับมัน

Rollin' Justin เป็นหุ่นยนต์ที่ใช้กล้องสเตอริโอสโคป และซอฟต์แวร์สำหรับการมองเห็นที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้ Justin สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของลูกบอลที่ขว้างลอยมายังตัวมันได้ทั้งขนาด ทิศทาง และระยะ ตลอดจนสามารถคำนวณความเร็วที่จะถึงตัวมัน เพื่อคำนวณหาตำแหน่งที่เหมาะสมในการยืน และยื่นมือ เพื่อไปรอรับลูกบอลก่อนที่จะตกถึงมือของมันได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ โดยการคำนวณที่เกิดขึ้นจะทำให้ศรีษะของ Justin ที่ติดตั้งกล้องสามารถมองตามติดลูกบอลจนก่อนถึงมือที่ระยะ 2 ซม.ภายในระยะเวลาแค่ 5 มิลลิวินาทีเท่านั้น งานนี้ต้องขอบคุณกลไกของแขน นิ้วมือของมันที่ทำงานได้อย่างมั่นคง และที่ขาดไม่ได้ก็คือล้อที่ใช้แทนขา ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไปยังบริเวณโซนที่ลูกบอลจะหล่นได้อย่างรวดเร็ว และส่งงานให้แขนกล และมือทำงานต่อได้ทันที

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/rollin-justin-robot-grab-the-throwing-ball-and-using-coffee-machine-2.jpg)

ความน่าที่งของ Justin ไม่ได้หมดแค่นั้น ตอนท้ายของคลิปยังมีการสาธิตการชงกาแฟด้วยเครื่องชง โดยให้ Justin ทำหน้าที่เป็นบาริสต้า หยิบจับชิ้นส่วนทีใส่เมล็ดกาแฟสดที่บดแล้ว เพื่อเสียบเข้าไปในช่องของเครื่องชงที่มีความแคบมาก แถมยังสามารถนำถ้วยมารองรับกาแฟที่ทำเสร็จได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: สบท.ชู "ทรูมูฟ-ฮัทช์" แชมป์โทร.ติดยาก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 เมษายน 2011, 23:13:02
สบท. เผยผลทดสอบคุณภาพทางเสียงของผู้ให้บริการมือถือในเขตกรุงเทพฯ พบทรูมูฟ-ฮัทช์ มีอัตราการโทรติดยาก แต่ยังอยู่ในมาตรฐานราชกิจจานุเบกษา พร้อมเผยผลสำรวจคุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ต่านโทรศัพท์มือถือ
   
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005652101.JPEG)

   นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. กล่าวว่า ทางสบท. ได้ร่วมมือกับทาง สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (ทริดี้) และศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดทำโครงการทดสอบคุณภาพการให้บริการโทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงทำการสำรวจและทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านเครื่องโทรศัพท์มือถือขึ้น การทดสอบครั้งนี้มุ่งเน้นจะเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภค เนื่องจากในการใช้งานจริง ยังมีปัจจัยอย่างเรื่องของราคาเข้ามาช่วยกำหนด ซึ่งถ้าผู้บริโภคพอใจในราคาที่รับได้กับคุณภาพตามมาตรฐาน ก็ถือเป็นทางเลือกของผู้บริโภคแต่ละราย โดยสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของ สบท. (www.tci.or.th (http://www.tci.or.th))
   
   "คุณภาพเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ และไม่มีความสะดวกในการเข้าไปเปรียบเทียบเองทั้ง 4 ค่าย ทำให้ สบท จึงช่วยทดสอบเผื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภค และจากข้อกำหนดที่ใช้เวลาเพียง 20 วันจึงทำการทดสอบในพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น จึงไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพการให้บริการภาพรวมของอุตสาหกรรมทั่วประเทศได้ ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายพื้นที่ไปยังส่วนต่างๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้น"
   
   นายเชาวน์ดิศ อัศวกุล นักวิจัยในโครงการ Centre of Excellence in Lightwave and Speed Communications คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลถึงข้อกำหนดในการทดสอบคุณภาพของบริการ (Quality of Service) แบ่งเป็น อัตราส่วนจำนวนครั้งที่ไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่เครื่องปลายทางได้ (โทร.ไม่ติด) พิจารณาทั้งกรณีโทร.ภายในโครงข่ายเดียวกัน และกรณีโทร.ข้ามโครงข่าย อัตราส่วนจำนวนครั้งที่สูญเสียการติดต่อหลังจากติดต่อปลายทางได้ (สายหลุด) พิจารณาจากกรณีโทร.ภายในโครงข่ายเดียวกัน ระยะเวลาในการรอสายจนมีการตอบรับจากปลายทาง และผู้รับสายไม่สามารถโทร.กลับได้ เนื่องจากขึ้นเบอร์ผิด หรือไม่แสดง
   
   "โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้กลไกตลาดสามารถทำงานได้ ในลักษณะพยายามให้ข้อมูลที่สะท้อนถึงคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคม ที่ผู้บริโภคควรจะได้รับ เมื่อข้อมูลถึงมือผู้บริโภคแล้วจะช่วยให้สามารถเลือกเครือข่ายโทรศัพท์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค"
   
   นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ทีมทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก ใช้เป็นเครื่องโทร.ออก โดยใช้โทรศัพท์มือถือแบบเดียวกัน ใส่ซิมของแต่ละค่าย ทั้งเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ และฮัทช์ กับชุดที่สอง ทดสอบคุณภาพสัญญาณในการรับสายจำนวน 16 เครื่อง โดยติดตั้งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณที่มีคุณภาพของสัญญาณโทรศัพท์ของทุกบริษัทที่ทดสอบดีเสมอกัน
   
   ในการทดสอบ จะใช้เครื่องในชุดแรกของแต่ละค่าย โทรไปยังเครื่องปลายทางทั้ง 4 ค่าย ในระยะนาน 90 วินาทีขึ้นไป และวางสายแล้วรอ 30 วินาทีก่อนจะโทรอีกครั้ง มีการแบ่งทดสอบในช่วงเวลาเช้าและเย็น 8.00น.-11.00น. และ 16.00น.- 21.00 น. ครอบคลุมเวลารายงานค่าคุณภาพบริการของผู้ให้บริการต่อ สำนักงาน กทช. 20.00 - 21.00 น. ทดสอบทุกวันเป็นระยะเวลา 20 วัน โดยวิ่งสำรวจครอบคลุมซ้ำจุดเดิมมากกว่าหนึ่งครั้ง รวมแล้วมีการทดสอบเป็นจำนวน 31,500 ครั้ง ใน20 วัน แบ่งเป็น 10 วันแรกช่วง 15-24 มกราคม 2554 และ 10 วันหลังช่วง 26 กุมภาพันธ์- 7 มีนาคม 2554
   
   ผลการสำรวจจากการวิเคราะห์ตามหลักสถิติเปรียบเทียบกับอัตราส่วนจำนวนครั้งที่โทร.ไม่ติด ตามมาตรฐานในราชกิจจานุเบกษา ที่กำหนดไว้ว่าการโทร.ภายในเครือข่ายเดียวกันห้ามเกิน 10% ส่วนโทร.ข้ามเครือข่ายห้ามเกิน 15% พบว่า การโทร.ออกจากฮัทช์ไปหาค่ายทรูมูฟ และโทร.จากทรูมูฟไปฮัทช์ มีอัตราการโทรไม่ติดค่อนข้างมาก แต่ยังอยู่ในมาตรฐาน
   
   "เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ที่กำหนดอัตรามาตรฐานที่สามารถโทรฯข้ามโครงข่ายไม่ติดของมาเลเซียอยู่ที่ 10% แต่ของไทยอยู่ที่ 15% ซึ่งยังหย่อนกว่ามาเลเซีย"
   
   ***กระตุ้นผู้ใช้ร่วมทดสอบสปีดเทส***
   
   ขณะเดียวกันได้มีการเปิดตัวแอปพลิเคชันทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือสำหรับผู้บริโภค โดยทางสบท ร่วมกับ ฟรีวิลล์ เอฟเอ็กซ์ ในการพัฒนาเพื่อเป็นเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ ไอโอเอส แบล็กเบอรี แอนดรอยด์ และฟีเจอร์โฟนที่รองรับระบบจาวา โดบทางสบท ได้ใช้งบประมาณ 650,000 บาท เพื่อให้ครอบคลุมทุกระบบปฏิบัติการในปัจจุบัน
   
   นายสงกรานต์ จารุสิริสวัสดิ์ ผู้ชำนาญการ บริษัท ฟรีวิลล์ เอฟเอ็กซ์ ให้ข้อมูลถึงการเก็บข้อมูลในเบื้องต้นจากการเข้าไปประชาสัมพันธ์ตามเว็บไซต์เครือข่ายสังคมและเว็บบอร์ดต่างๆ พบว่า มีการเข้าไปดาวน์โหลดใช้งานถึง 1,500 ครั้ง 11 ยี่ห้อ 85 รุ่น มีการกดทดสอบไปกว่า 10,00 ครั้งจาก 41 จังหวัด จากสถิติการทดสอบที่แบ่งเป็นไอโอเอส 79.29% แอนดรอยด์ 9.11% แบล็กเบอร์รี 5.36% ซิมเบียน 5.18% และวินโดวส์โมบาย 1.06% แบ่งเป็นสถิติผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไว-ไฟ 32.99% ขณะที่ผู้ใช้งานโอเปอเรเตอร์ประกอบไปด้วย ดีแทค 21.06% เอไอเอส 11.88% ทรูมูฟ 15.70% ทีโอที 13.73% และอื่นๆ 4.66% โดยเทคโนโลยีที่ใช้ทดสอบผ่านไว-ไฟ 32.99% 2G 18.82% 3G 17.09% และอื่นๆ 1.08% ขณะที่จังหวัดที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ คิดเป็น 65.58% นนทบุรี 5.56% และเชียงใหม่ 4.24%
   
  สำหรับความเร็วที่ทดสอบเฉลี่ยเบื้องต้นแต่ละค่ายได้แก่ เอไอเอส บนระบบ 2G อัตราดาวน์โหลด/อัปโหลด 111.54 kbps/63.95 kbps และ 3G ความเร็ว 577.26 kbps/183.94 kbps ส่วน ดีแทค 2G 121.25 kbps/60.69kbps ทรูมูฟ 2G 106.83kbps/59.57kbps และ 3G 1162.22kbps/269.98kbps ทีโอที 3G 1026.65kbps/522.83kbps สุดท้ายคือผ่านการให้บริการไว-ไฟ 1560.01kbps/920.33kbps

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: CNN เกาะแอนดรอยด์ ปั้น “แอป” เอาใจคอข่าว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 30 เมษายน 2011, 23:23:24
ค่ายข่าวยักษ์ใหญ่ของโลก “ซีเอ็นเอ็น” ได้เวลาส่งแอปเจาะกลุ่มผู้ใช้แอนดรอยด์ทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์แอนดรอยด์ ฟังก์ชั่นครบครันทั้งไอรีพอร์ต ข่าววิทยุจากรอบโลก และวิดีโอส่งตรงจากรายการสด โดยสามารถดาวน์โหลดฟรีได้แล้ว
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005648601.JPEG)

      ซีเอ็นเอ็นแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ถือเป็นแอปใหม่ล่าสุดที่จะเปิดประสบการณ์การรับชมข่าวสารแบบใหม่ที่ง่ายต่อการใช้งาน และครอบคลุมเนื้อหาข่าวทุกประเภทของซีเอ็นเอ็น ไม่ว่าจะเป็นการรายงานสดภาคสนาม ประสบการณ์ตรงจากผู้ชม บทสัมภาษณ์พิเศษ และพอดแคสต์
      
      “ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความคาดหวังสูง และเลือกใช้งานเฉพาะแอปพลิเคชั่นคุณภาพสูงที่มาพร้อมกับคอนเทนต์ระดับโลก ที่สามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นรับชมด้วยกันได้”
      
      เป็นคำกล่าวของ หลุยส์ กัมพ์ รองประธานฝ่ายบริการโทรศัพท์มือถือของซีเอ็นเอ็น และว่า
      
      “ซีเอ็นเอ็นได้พัฒนาแอปตัวใหม่นี้โดยยึดเอาความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก”
      
      แอปพลิเคชั่นซีเอ็นเอ็นสามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์มือถือที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 2.1 ขึ้นไป โดยตัวแอปพลิเคชั่นนั้นสามารถแสดงเนื้อหาข่าวในรูปแบบตัวอักษร เสียง รูปภาพ วิดีโอถ่ายทอดสด และคลิปวิดีโอย้อนหลัง ผู้ใช้สามารถกดปุ่มเมนูเพื่อสลับไปมาระหว่างเนื้อหาข่าวเต็มรูปแบบจากซีเอ็นเอ็น สหรัฐอเมริกา และซีเอ็นเอ็น อินเตอร์เนชั่นแนลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ แอปซีเอ็นเอ็นยังเป็นเสมือนประตูเชื่อมต่อสู่เครือข่ายสังคมข่าว ซีเอ็นเอ็น ไอรีพอร์ต ได้อีกด้วย
      
      สำหรับผู้ใช้ที่สนใจรับฟังข่าวสารจากสถานีวิทยุของซีเอ็นเอ็น แอปซีเอ็นเอ็นแอนดรอยด์ก็มาพร้อมกับเนื้อหาข่าวในรูปแบบวิทยุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอัปเดตข่าวต้นชั่วโมง รายงานข่าวทางวิทยุจากนักข่าวซีเอ็นเอ็น เสียงสัมภาษณ์จากรายการโทรทัศน์ของซีเอ็นเอ็น และซีรีส์พอดแคสต์ที่วิเคราะห์หลากหลายสถานการณ์ทั้งในด้านการเมือง บันเทิง เทคโนโลยี หรือแม้แต่อาหาร ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกรายการวิทยุที่ชื่นชอบมาสร้างเป็นลิสต์รายการส่วนตัวเพื่อการเรียกฟังซ้ำๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
      
      นอกจากนี้ คุณสมบัติด้านการสร้างโปรไฟล์ส่วนตัวของแอปซีเอ็นเอ็นแอนดรอยด์จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์ปัจจุบันในประเทศและรายงานสภาพอากาศล่าสุดได้โดยอัตโนมัติ และยังสามารถเลือกเก็บเนื้อหาข่าวที่สนใจเป็นพิเศษไว้เพื่อการอ่านภายหลังในแบบออฟไลน์ ส่วนคอข่าวที่ต้องการส่งรายงานหรือภาพข่าวที่น่าสนใจให้เพื่อนๆ ก็สามารถเลือกแชร์เนื้อหาเหล่านี้ได้ทันทีผ่านทางอีเมล เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์
      
      รวมทั้งฟังก์ชั่นแจ้งเตือนข่าวด่วนและวิดเจ็ตหัวข่าวล่าสุดของแอปพลิเคชั่นซีเอ็นเอ็น จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามสถานการณ์ร้อนจากทั่วทุกมุมโลกได้บนหน้าจอหลักของโทรศัพท์ โดยไม่จำเป็นต้องเรียกตัวแอปขึ้นใช้งานแอปพลิเคชั่นซีเอ็นเอ็นสำหรับโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ สามารถดาวน์โหลดฟรีที่แอนดรอยด์ มาร์เกต

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: คีย์บอร์ดพ่วง "ด็อคกิ้ง" สำหรับ iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤษภาคม 2011, 22:08:37
ก่อนหน้านี้ ทางกองบรรณาธิการ arip ได้เคยแนะนำแก็ดเจ็ต (Gadget) ที่เป็นคีย์บอร์ดสำหรับ iPhone ซึ่งมีขนาดเท่าๆ กับตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการพกพา และพิมพ์ข้อความต่างๆ แต่สำหรับ WOW-Keys ที่นำมาฝากกันวันนี้เป็นคีย์บอร์ดที่มีขนาดมาตรฐาน โดยมาพร้อมกับช่องใส่ iPhone ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/WOW-Keys-iPhone-docking-2.jpg)

CompuExpert ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อว่า WOW-Keys คีย์บอร์ดมาตรฐานที่มาพร้อมกับด็อคกิ้งสำหรับใส่ iPhone โดยนอกจากจะสามารถปลั๊ก iPhone เข้าไปแทนแป้นพิมพ์ตัวเลข เพื่อพิมพ์ความ (facebook, twitter) จากคีย์บอร์ดเข้าไปได้แล้ว มันยังสามารถทำหน้าที่เป็นแทนชุดปุ่มตัวเลขบนคีย์บอร์ดได้อีกด้วย WOW-Keys จะมาพร้อมกับคีย์ลัดต่างๆ สำหรับการใช้งาน iPhone โดยเฉพาะตั้งแต่การควบคุมการพิมพ์ข้อมูลไปจนถึงการเล่นเพลงต่างๆ นอกจากนี้มันยังสามารถต่อเชื่อมกับ PC และ Mac ได้อีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/WOW-Keys-iPhone-docking-3.jpg)

นั่นหมายความว่า ในขณะที่คุณใช้ WOW-Keys ทำหน้าที่เป็นคีย์บอร์ดปกติของคอมพิวเตอร์ คุณยังสามารถทำงานกับ iPhone ได้อีกด้วยพร้อมกัน กำหนดการวางตลาด WOW-Keys จะเป็น 20 พฤษภาคม ศกนี้ สนนราคาอยู่ที 99 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,000 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google ยืนยันเปิดสำนักงานในไทยปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 02 พฤษภาคม 2011, 22:18:52
กูเกิลส่งสัญญาณเปิดสำนักงานในประเทศไทยแน่นอนปีนี้ เบื้องต้นตั้งทีมคนไทยดูตลาดเอสเอ็มบี ระบุเห็นโอกาสในไทยมานาน ปฎิเสธภาษีไม่ใช่เหตุผลสำคัญเพราะยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005656801.JPEG)

      เอมี่ กุลโรจปัญญา หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและมวลชนสัมพันธ์ของกูเกิลประจำประเทศไทย กล่าวว่ากูเกิลมีแผนที่จะตั้งสำนักงานในประเทศไทยในปีนี้ค่อนข้างแน่นอน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากกูเกิลเพิ่งเปิดสำนักงานในประเทศสิงคโปร์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยยืนยันว่าการตั้งสำนักงานหรือไม่นั้น ไม่ได้มีความสำคัญกับกูเกิล เพราะที่ผ่านมากูเกิลสามารถให้บริการกับผู้บริโภคคนไทยได้แม้จะไม่มีสำนักงานในเมืองไทย
      
      "เรายังไม่มีกำหนดวันเปิดสำนักงานในประเทศไทย แต่ปีนี้จะเกิดแน่ การเปิดสำนักงานกูเกิลในมาเลเซียก่อนประเทศไทยไม่ได้มีนัยพิเศษ แต่เป็นเพราะความพร้อมด้านบรอดแบนด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งทำให้มาเลเซียมีความพร้อมในการเปิดสำนักงานก่อน"
      
      ประเด็นการตั้งสำนักงานในประเทศไทยของกูเกิลนั้นถูกตั้งข้อสงสัยในวงกว้าง เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นได้ชื่อว่า มีการเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องนานหลายปี ทั้งในแง่ปริมาณการใช้บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์ของคนไทยที่คิดเป็นสัดส่วนเกิน 99% และการลงโฆษณาออนไลน์ที่คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 90% เช่นกัน แต่กูเกิลกลับเลือกตั้งสำนักงานในประเทศสิงคโปร์ก่อนในช่วงปี 2551 และล่าสุดคือ ประเทศมาเลเซีย ที่กูเกิลเพิ่งเปิดสำนักงานในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
      
      นักสังเกตการณ์บางรายมองว่า เหตุที่ทำให้กูเกิลไม่ตัดสินใจตั้งสำนักงานในประเทศไทยเป็นเพราะไทยยังขาดปัจจัยเอื้อต่อการลงทุน เช่น ความมั่นคง การเมือง ความอิสระเสรีด้านไอซีที รวมถึงพฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ในประเทศ ซึ่งประเทศไทยยังด้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แม้จะมีกำลังซื้อมหาศาลในตลาดก็ตาม ขณะที่บางรายมองโลกในแง่ร้ายว่ากูเกิลมองผลประโยชน์ด้านภาษีเป็นหลัก
      
      จุดนี้ ผู้บริหารกูเกิลยอมรับว่า การเปิดสำนักงานในประเทศใดก็ต้องจ่ายภาษีให้กับประเทศนั้น ซึ่งที่ผ่านมา กูเกิลมีนโยบายให้ความร่วมมือกับภาครัฐในประเทศที่กูเกิลไม่มีสำนักงานมาตลอด และมีจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมเจรจากับภาครัฐเพื่อดำเนินการด้านภาษีที่ชัดเจน แม้กูเกิลจะต้องปิดบังตัวเลขรายได้ของบริษัทในแต่ละประเทศตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาอย่างเคร่งครัด
      
      สำนักงานกูเกิลในกัวลาลัมเปอร์ นับเป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งที่สองของกูเกิล หากรวมประเทศไทยในฐานะสำนักงานแห่งที่สาม ภาพการบุกหนักตลาดเอเชียของกูเกิลจึงทวีความเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเปิดสำนักงานในท้องถิ่นจะทำให้กูเกิลสามารถส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกูเกิลให้สอดคล้องกับท้องถิ่นของแต่ละประเทศในแถบนี้ ซึ่งโฆษกของกูเกิลเคยกล่าวในงานเปิดตัวสำนักงานกูเกิลมาเลเซียว่า กูเกิลจะมีการจ้างพนักงานใหม่ในทวีปเอเชียไม่ต่ำกว่า 500 อัตราในปี 2554
      
      สำหรับประเทศไทย ผู้บริหารกูเกิลเชื่อว่า บริการ กูเกิลแมปส์ จะเป็นหนึ่งในบริการที่กูเกิลจะนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทย โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสร้างทีมขายที่ยืดหยุ่นในไทย เพื่อแนะนำบริการของกูเกิลแก่ตลาดโดยตรง
      
      "กูเกิลมีนโยบายทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถออนไลน์เพื่อสร้างรายได้มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้การเรียนรู้ของประชาชนทุกระดับเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสของเรา"
      
      คำยืนยันจากผู้บริหารกูเกิลเป็นไปตามคำให้สัมภาษณ์ของประธานผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) "เกียรติ สิทธีอมร" ซึ่งเปิดเผยเมื่อปี 2553 ว่า กูเกิลได้ตัดสินใจเข้ามาจัดตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทยแล้ว โดยตั้งข้อสังเกตว่าถือเป็นสัญญาณที่ดีหากกูเกิลเลือกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งทีทีอาร์ระบุว่าได้ให้ข้อมูลสิทธิประโยชน์กับนักธุรกิจสหรัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในไทยเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นจำนวนมากในช่วงปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Amazon เล็งออก "แท็บเล็ต" ครึ่งปีหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 พฤษภาคม 2011, 22:51:44
ข่าวลือเกี่ยวกับ"แท็บเล็ต" (tablet) ของแอมะซอน (Amazon) ยังไม่จางหาย เมื่อล่าสุดมีรายงานออกมาว่า โรงงานผลิตชิ้นส่วนสำคัญในการทำ"แท็บเล็ต"แห่งหนึ่งได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนจาก Amazon ซึ่งข่าวลือนนี้เกิดขึ้นหลังจากเดือนที่แล้วที่มีข่าวว่า Samsung จะเป็นผู้ผลิตแท็บเล็ตให้กับทางบริษัท โดยจะวางจำหน่ายในกลางปีนี้

แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ DigiTimes กล่าวว่า Quanta Computer จะเป็นผู้จัดการเรื่องการผลิต"แท็บเล็ต"ให้กับ Amazon (ไม่ใช่ Samsung อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้) โดยใช้หน้าจอแสดงผลเทคโนโลยี Fringe Field Switching LCD ที่มีคุณภาพระดับเดียวกับจอ iPad 2 และมาจากผู้ผลิต epaper อย่างบริษัท E Ink ที่เดิมทีเป็นผู้ผลิตจอแสดงผลให้กับเครื่องอ่านอีบุ๊ค Kindle

(http://www.arip.co.th/images/news/amazon/2/amazon-tablet-LCD-display-releases-2H-2011-2.jpg)

การเปลี่ยนมาใช้จอ LCD จะทำให้"แท็บเล็ต"ของ Amazon สามารถแสดงผลด้วยกราฟิกที่มีสีสันต่างๆ ตลอดจนสามารถเล่นวิดีโอ และคอนเท็นต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างลื่นไหล ในขณะที่ epaper ทำไม่ได้ ส่วนแผงหน้าจอ FFS LCD ผลิตขึ้นโดย Hydis บริษัทลูกของ E Ink ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกับจอ IPS บน iPad 2 และ Eee Pad Transformer แต่จะเพิ่มมุมมองหน้าจอให้กว้างขึ้น และความถูกต้องของสีสันที่แสดงบนหน้าจอได้ดีกว่า ทั้งนี้จอแสดงผล FFS ของ Hydis จะมาคู่กับแผงหน้าจอสัมผัสของ E Ink

เนื่องจาก Amazon พยายามที่จะทำตลาดนอกประเทศในแถบอเมริกาเหนือ และยุโรป ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่า เครื่องอ่านอีบุ๊ค Kindle ทำตลาดได้ไม่ดีนัก แหล่งข่าวยังอ้างอีกว่า Amazon ประเมินว่า "แท็บเล็ต" จะประสบความสำเร็จ โดยจะต้องรองรับกำลังการผลิตที่สูงสุดได้ 700,000 - 800,000 เครื่องเลยทีเดียว ซึ่ง"แท็บเล็ต"ชุดแรกของ Amazon คาดว่าจะวางตลาดได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2011

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iTab Plus เคสแปลง iPad 2 เป็นโน้ตบุ๊ค
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 04 พฤษภาคม 2011, 23:14:48
หากคุณผู้อ่านเป็นผู้ใช้โน้ตบุ๊คอยู่เป็นประจำ แต่กำลังสนใจที่จะเป็นสาวกของ Apple ด้วยการเตรียมตัวเป็นเจ้าของ iPad 2 ที่มีรายงานข่าวว่าจะวางตลาดในเดือนนี้ ประเด็นที่ควรทราบก็คือ การพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดเสมือน (virtual keyboard) บนหน้าจอสัมผัสไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อย่างไรก็ดี ปัญหานี้จะหมดไปหากคุณมี iTab Plus

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iTab-Plus-iPad-2-bluetooth-keyboard-case-notebook-transformer-2.jpg)

iTab Plus เป็นซองใส่ iPad ที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดไร้สายบลูทูธ สามารถเปลี่ยน iPad 2 ของคุณให้กลายเป็นโน้ตบุ๊คที่ใช้งานได้อย่างสะดวกคล่องตัวได้ทันที โดยเฉพาะการพิมพ์บนคีย์บอร์ดจริงๆ แถมยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Stylus ให้อีกด้วย ที่ชอบมากๆ ก็คือ ดีไซน์ของมันที่ เมื่อพับเก็บแล้วจะคล้ายกับถือสมุดโน้ตยังไงยังงั้น ในขณะที่เมื่อเปิดออกมากลายเป็นโน้ตบุ๊ค (iPad 2 + Keyboard) สวยงามน่าใช้มาก

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iTab-Plus-iPad-2-bluetooth-keyboard-case-notebook-transformer-3.jpg)

แม้ว่า เคสแม่เหล็กปิดหน้าจอของ iPad 2 จะทำให้คุณตื่นเต้นในนวตกรรม แต่มันไม่อาจจะไม่ตอบโจทย์บางอย่างที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับโน้ตบุ๊ค iTab Plus จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากๆ สำหรับผู้ใช้โน้ตบุ๊ค และต้องการใช้ iPad 2 ทำงานได้อย่างคล่องตัว iTab Plus มี 2 สีให้เลือกคือ สีดำ และสีชมพู สนนราคาอยู่ที่ 90 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,700 บาท...อุ๊ปส์!!!

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iTab-Plus-iPad-2-bluetooth-keyboard-case-notebook-transformer-4.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: teckth ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 11:45:37
กูเกิลเปลี่ยนชื่อฝ่าย Search เป็น Knowledge

(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT4Fs2IOSP0z8hPMmElCjsGi3kvzGHtcKCSwyeRzHmcxcWpl4RmDw)

        เป็นข่าวภายในที่กูเกิลไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ แต่ในเอกสารทางการเงินของกูเกิลที่ยื่นต่อคณะกรรมการหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ก็ระบุตำแหน่งของผู้บริหารกูเกิล Alan Eustace ซึ่งเดิมดูแลฝ่าย "Search" เปลี่ยนชื่อเป็น "Knowledge" แล้ว
เว็บไซต์ TechCrunch ตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้อาจสะท้อนวิสัยทัศน์ของ Larry Page ซีอีโอคนใหม่ ที่ต้องการขยายภารกิจของกูเกิล จากเดิม "organize the world's information and make it universally accessible and useful" ซึ่งเน้นไปที่การค้นหา มาเป็น "understanding and facilitating the creation of knowledge" ซึ่งครอบคลุมเครื่องมือกว้างกว่านั้น

ที่มา : Blognone


หัวข้อ: "ทรานซิสเตอร์ 3 มิติ" ตัวแรกของโลก!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 21:10:21
รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวันพุธทีผ่านมา อินเทล (Intel) ได้ประกาศความสำเร็จในการสร้าง "ทรานซิสเตอร์ 3 มิติ" (3D Transistor) ตัวแรกของโลก โดยใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ 22 นาโนเมตร ซึ่งถือเป็นนวตกรรมของการออกแบบโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบใหม่ที่เหนือกว่าในอดีตที่ใช้โครงสร้าง 2 มิติมานานเกือบ 50 ปีแล้ว

อินเทลเรียก*ทรานซิสเตอร์ที่ได้รับการออกแบบให้มีโครงสร้างการทำงานเป็น 3 มิตินี้ว่า ไตรเกท (Tri-Gate) โดยมันจะมีลักษณะแตกต่างจากทรานซิสเตอร์ทั่วไปตรงทีส่งผ่านอิเล็กตรอนในแนวราบ (ด้านเดียว) ไปเป็นโครงสร้างใหม่ที่มีพื้นผิวถึง 3 ด้าน ซึ่งอินเทลกล่าวว่า ด้วยดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มพื้นผิว (ยกสูงคล้ายคลีบปลาดังในคลิปวิดีโอ) จะทำให้เกิดการไหลผ่านของอิเล็กตรอนในทรานซิสเตอร์ (ที่มีพื้นผิวถึง 3 ด้าน) ได้มากกว่า เมื่ออยู่ในสถานะ "เปิด" และยังคงเหลืออิเล็กตรอนที่ไหลผ่านน้อยมากๆ เมื่ออยู่ในสถานะ "ปิด" รวมถึงการสลับการเปิดปิดการทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุด อินเทลยังบอกอีกด้วยว่า โครงสร้างของ Tri-Gate ที่ออกแบบคล้าย "คลีบปลา" ยังช่วยให้โพรเซสเซอร์สามารถทำงานได้โดยใช้พลังงานต่ำกว่า อีกทั้งยังเกิดการรั่วไหล (สูญเสีย) ของพลังงานน้อยกว่าอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/intel/1/intel-announces-3D-transistor-tri-gate-22nm-ivy-bridge-2.jpg)

นอกจากนี้ การดีไซน์ให้มีลักษณะเป็นคลีบปลาในแนวตั้งฉาก ยังทำให้ทรานซิสเตอร์สามารถเรียงตัวใกล้ชิดกันได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์เข้าไปในชิป เพื่อให้ได้โพรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น อีกทั้งยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ทางบริษัทวาแผนทีจะใช้เทคโนโลยีนี้กับผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ตั้งแต่โพรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ไปจนถึงอุปกรณ์โมบาย ซึ่งโพรเซสเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 22nm (โค้ดเนม Ivy Bridge) คาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 37% ในขณะที่พลังงานต่ำกว่าเดิม นั่นหมายความว่า โพรเซสเซอร์ที่ใช้บนโน้ตบุ๊คจะสามารถทำงานด้วยพลังงานที่ต่ำลงกว่าเดิมในขณะที่ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาเท่ากัน และใช้แบตฯได้นานขึ้น

(*ทรานซิสเตอร์ คือ ชิ้นส่วนการทำงานที่เล็กที่สุดในโพรเซสเซอร์ ลักษณะการทำงานของมันจะคล้ายสวิตช์เปิดปิด เพื่อให้สัญญาณในรูปแบบ 1 กับ 0 (ระบบเลขฐานสอง) ที่ใช้ในการประมวลผลในระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง โดยในชิปคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งๆ จะมีทรานซิสเตอร์หลายล้านตัวที่เปิดปิดการทำงานด้วยความเร็วสูงตามรอบสัญญาณนาฬิกา (Clock) เพื่อประมวลผลในด้านต่างๆ ให้กับคอมพิวเตอร์คุณกำลังใช้งาน ซึ่งการที่ Intel สามารถพัฒนาให้ทรานซิสเตอร์เล็กลง (ใส่ทรานซิสเตอร์เข้าไปในชิปได้มากขึ้น) พลังงานที่ใช้ต่ำลง สามารถเปิดปิดการทำงานเร็วขึ้น ก็จะทำให้เราได้โน้ตบุ๊ค หรืออุปกรณ์โมบายที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น กินไฟน้อยลง นั่นเอง)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: AT&T เผย Apple เลื่อนเปิดตัว iPhone 5
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 21:25:36
รายงานข่าวทีมีการเปิดเผยออกมาล่าสุด ตัวแทนจาก AT&T อ้าง Apple ได้แจ้งให้กับทางโอเปอเรเตอร์ยักษ์ใหญ่ทราบว่า ทางบริษัทยังไม่มีแผนเปิดตัว iPhone เวอร์ชันใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม ศกนี้ ทั้งๆ ที่ปกติจะเป็นรอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะ iPhone

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้าสัมพันธ์ของ AT&T อ้างว่า ได้รับข้อมูลมาโดยตรงจากทาง Apple เกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 5 ที่ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาปกติที่มักจะเป็นช่วงต้นซัมเมอร์ (มิ.ย. หรือ ก.ค.) "Apple แจ้งเราว่า พวกเขาไม่มีแผนที่จะออก iPhone ในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม แต่ทางบริษัทจะมีรุ่นใหม่กว่าออกมาในอนาคตอย่างแน่นอน" ตัวแทน AT&T กล่าว "น่าเสียดายที่เราไม่ได้ออก iPhone รุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม เราจะแจ้งกำหนดการบนเว็บไซต์ของเราให้ทราบอีกทีหนึ่ง"

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/iphone-5-will-not-launches-in-june-or-july-AT-and-T-said-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม หากติดตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ทีมีการเปิดเผยโดย Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์จาก Concord Securities ก็ระบุค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า Apple จะยังไม่ผลิต iPhone 5 จนกว่าจะถึงเดือนกันยายน ซึ่งตรงกับสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยตามปกติแล้ว Apple จะปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในงาน WWDC ที่ในปีนี้จะจัดให้มีขึ้นวันที่ 6 - 10 มิถุนายน เมื่อไม่มีข่าวว่า Apple จะไม่เปิดตัว iPhone 5 ในงาน ดังนั้น นวตกรรมที่น่าจะมีการเปิดเผยในงานนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของซอฟต์แวร์เป็นหลักโดยเฉพาะอนาคตของ iOS และ Mac OS

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: บั๊ก iPhone เก็บข้อมูล tracking แก้แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 21:43:04
และแล้ว Apple ก็ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ใช้ iPhone ทั่วโลก นั่นก็คือ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ออกอัพเดตซอฟต์แวร์ iOS เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้ iPhone รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยุ่ (เก็บจาก GPS และ Wi-Fi Hotspot ทีอยู่ใกล้ๆ) ของผู้ใช้เก็บไว้ในไฟล์ที่ซ่อนอยู่ในเครื่อง ซึ่งผู้ไม่หวังดีสามารถนำไฟล์ดังกล่าวไปใช้ในการตรวจสอบการเดินทางของเจ้าของเครื่องว่าไปที่ไหนมาบ้างได้

สตีฟ จอบส์ ซีอีโอของ Apple แม้จะอยู่ในระหว่างลาพักรักษาตัว แต่ก็ได้ให้สัญญากับผู้ใช้ iPhone ว่า ทางบริษัทจะดำเนินการแก้ไขซอฟต์แวร์โมบายให้มีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผู้ใช้ให้น้อยที่สุด หลังจากที่มีข่าวเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ว่า Apple กำลังพยายามติดตามสอดส่องว่า ผุ้ใช้ iPhone ของบริษัทใช้งาน และเดินทางไปไหนกันบ้าง สำหรับอัพเดตที่ออกมา (iOS 4.3.3) จะอยู่ใน iTunes Store และจะป๊อปอัพขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการซิงค์ iPhone หรือ iPad ซึ่งจะมีการระบุว่า "contains changes to the iOS crowd-sourced location database cache"

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/apple-updates-fix-tracking-bug-on-ios-2.jpg)

ทางบริษัทกล่าวว่า การอัพเดทซอฟต์แวร์ล่าสุดจะแก้ไขด้วยการลดขนาดของสตอเรจที่ใช้จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผู้ใช้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งสถานทีใช้งานบน iTunes เหลือน้อยเกินกว่าจะตรวจสอบประวัติการเดินทางย้อนหลังได้ ในขณะเดียวกัน บนตัวเครื่องทั้ง iPhone และ iPad ก็จะหยุดการเก็บข้อมูล เมื่อผู้ใช้เลือกตั้งค่า turn off ให้กับ Location Services คราวนี้ผู้ใช้ iPhone ที่เป็นกังวลว่าจะถูกจัดเก็บข้อมูล Tracking ก็วางใจได้ระดับหนึ่งแล้ว

ซึ่งนอกจาก iPhone ของ Apple ที่เผชิญกับปัญหานี้แล้ว สมาร์ทโฟนที่ใช้ Android ของ Google รวมถึง Windows Phone 7 ของ Microsoft ก็มีการเก็บข้อมูลดังกล่าวด้วยเหมือนกัน งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทั้งสองค่ายจะมีการอัพเดตแก้ไขอย่างไรกันบ้าง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: IBM ปั้นเชียงใหม่ "ศูนย์การแพทย์-เกษตร"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 22:32:01
ไอบีเอ็มเผยกลยุทธ์สร้างสมาร์ท ซิตี้ เชียงใหม่ สร้าง 2 จุดเด่น ฮัปทางการแพทย์ และศูนย์ผลิตทางการเกษตร หลังระดมทีม ESC ที่ปรึกษาระดับหัวกะทิของไอบีเอ็มทั่วโลก ศึกษาข้อมูลเชียงใหม่แค่ 3 สัปดาห์
      
(http://www.apecthai.org/apec/upload/ibm.jpg)

      นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อฉลอง 100 ปี การก่อตั้งไอบีเอ็ม คอร์ปอเรชัน ไอบีเอ็มจึงได้จัดทำโครงการ IBM Executive Service Corps (ESC) โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยี ทักษะและความรู้ของไอบีเอ็มเข้ามาช่วยกำหนดแผนยุทธศาสตร์หรือโรดแมปให้แก่เมืองสำคัญที่ไอบีเอ็มเลือกเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สมาร์ท ซิตี้ ตามวิสัยทัศน์ของไอบีเอ็ม
      
      ไทยได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 20 ประเทศในกลุ่มที่กำลังเจริญเติบโต โดยไอบีเอ็มสนับสนุนเงินลงทุนทางด้านเทคโนโลยีและบริการทั้ง 100 เมืองในระยะเวลา 3 ปี เป็นจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินลงทุนในแต่ละเมืองประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ
      
      'ไอบีเอ็ม ประเทศไทยได้ผลักดันให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองแรกในการคิกออฟภายใต้โครงการ ESC ที่จะดำเนินจัดวางโรดแมปให้กับเมืองสำคัญๆ ในปีนี้ให้ได้ 22 เมือง'
      
      ทีม ESC จะเป็นทีมผู้บริหารระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญในแขนงสาขาต่างๆ ของไอบีเอ็มทั่วโลกจำนวน 5 คนจาก 100 คนที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้ที่อาสาสมัครเข้าร่วมกับโครงการกว่า 10,000 คน ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับคณะผู้บริหารเมืองเชียงใหม่ในการสร้างสมาร์ทเตอร์ ซิตี้ เชียงใหม่ ตามแนวทางสมาร์ทเตอร์ ซิตี้โมเดลของไอบีเอ็ม โดยคณะทำงานใช้เวลาทำงานร่วมกัน 3 สัปดาห์เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ให้เชียงใหม่บรรลุเป้าหมายหลัก 2 ด้าน คือ การสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ และศูนย์กลางผลผลิตและจัดส่งสินด้านการเกษตร
      
      นายเดวิด แฮทอเวย์ (Divid Hathaway US Air Force Account Leader, Public Sector ไอบีเอ็ม โกบอล บิสิเนส เซอร์วิส หนึ่งในทีม ESCกล่าวถึงยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ว่า สิ่งแรกที่เชียงใหม่ควรจะดำเนินการคือ 1. Hospital Efficiencies สร้างเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่และศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ โดยนำเทคโนโลยีและกระบวนการทางการวิเคราะห์ข้อมูล มาใช้ในการตรวจรักษา ปรับปรุงเวลาในการให้บริการ เพิ่มความถูกต้องของการใช้อุปกรณ์ สร้างระบบอาคารอัจฉริยะ เพื่อประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย
      
      2. Ecosystem Integration สร้างระบบการรักษาและสถานพยาบาลในเชียงใหม่ให้เชื่อมต่อเป็นข้อมูลเดียวกันทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน สปา สถานบริการนวดแผนไทย โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยเก็บรวบรวมข้อมูล ประวัติการรักษา ยา การให้บริการ เพื่อสะดวกในการรักษาคนไข้ และ 3.Service Identification and Marketing เสริมศักยภาพการรักษาพยาบาลให้มีคุณภาพมาตรฐานและความแตกต่างในการให้บริการ จัดลำดับความต้องการในการรักษาพยาบาลของคนไข้กลุ่มต่างๆ พร้อมกับการพัฒนาสร้างแบรนด์และการตลาดให้เกิดการรับรู้ในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและคนไข้จากต่างประเทศ
      
      ส่วนกลยุทธ์การเป็นศูนย์การผลิต จัดส่งสินค้าทางการเกษตรนั้น นางนาตาลี กูเทล Director of Power Systems, ไอบีเอ็ม ซิสเต็มส์ แอนด์ เทคโนโลยี กรุ๊ป ประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่า กลยุทธ์แรก สร้างข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้รัฐบาลและเกษตรกรมีข้อมูลที่มากพอที่จะช่วยในการตัดสินใจ เกี่ยวกับการวางแผนการปลูก เก็บเกี่ยว พยากรณ์อากาศในพื้นที่ ตลาดการซื้อขาย ตั้งราคาผลผลิต ด้วยการใช้ อี-ฟาร์มเมอร์ เว็บพอร์ทัล (e-Farmer Portal) พร้อมทั้งมีเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนทางโทรศัพท์มือถือ
      
      สอง สร้างตราสินค้าด้านอาหารของเชียงใหม่ โดยกำหนดตำแหน่งทางการตลาด ให้เป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูงเพื่อบริโภคในประเทศ และเป็นอาหารที่มีราคาเหมาะสมมีคุณภาพดีเพื่อการส่งออก และ สาม มุ่งเน้นปรับปรุงด้านการตรวจสอบแหล่งที่มาทุกขั้นตอนของอาหาร (Food Tracebility) การบริหารจัดการเรื่องน้ำ แหล่งน้ำบริเวณไหนที่เหมาะสมกับการปลูก และการจัดการเรื่องน้ำท่วม
      
      โครงการนี้ช่วยทำให้ผลผลิตการเกษตรทั้งระบบของเชียงใหม่ดีขึ้นช่วยสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้แก่เชียงใหม่ทั้งในระดับประเทศและการส่งออกผลผลิตอาหารไปยังต่างประเทศ
      
      รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โรดแมปดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่ทางคณะดำเนินการอยู่ทั้ง 3 เรื่อง เพียงแต่ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น แต่เชื่อว่า หลังจากที่เห็นโรดแมปดังกล่าว ทางคณะก็เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า มาถูกทางแล้ว โดยจะเร่งดำเนินการในส่วนต่างๆ ให้เร็วขึ้น

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ตลาด "แอปฯ" โตกระฉูด ทะลุ3.8พันล้านดอลล์ปีนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 22:50:24
ตลาดการซื้อขายแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่ฉายแสงขยายตัวต่อเนื่องฉุดไม่อยู่ ล่าสุดสำรวจพบว่ามูลค่าตลาดรวมจะทะลุหลัก 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2011 คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 77.7% เมื่อเทียบกับปี 2010 เบื้องต้นคาดรายได้ส่วนใหญ่จะอยู่ในชายคาแอปเปิล แม้จะมีแววเปลี่ยนมือเจ้าตลาดอีกครั้งในอนาคต
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005860802.JPEG)

      บริษัทวิจัย IHS iSuppli รายงานว่าธุรกิจร้านจำหน่ายแอปฯที่แบรนด์ใหญ่อย่างแอปเปิล Google โนเกีย และริม (Research In Motion) เป็นเจ้าของอยู่ในขณะนี้จะมีมูลค่ารายรับรวมสูงถึง 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 8,300 ล้านเหรียญในปี 2014 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า
      
      ตัวเลขคาดการณ์นี้สะท้อนว่า อัตราการเติบโตของตลาดโมบายล์แอปฯนั้นเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด โดยเติบโตจากปี 2010 ที่มีมูลค่าราว 2,100 ล้านเหรียญ และ 830.6 ล้านเหรียญในปี 2009
      
      Jack Kent นักวิเคราะห์ตลาดอุปกรณ์พกพาของบริษัท IHS ระบุว่าการเติบโตเหล่านี้เป็นผลจากพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งมีความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการดาวน์โหลดเกมและโปรแกรมแอปฯเพื่อใช้ในอุปกรณ์พกพาของตัวเอง ทำให้รายได้การจำหน่ายแอปฯและคอนเทนต์ในร้านค้าออนไลน์ของผู้เล่นรายหลักในตลาดอุปกรณ์พกพา ถีบตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนในปีนี้
      
      IHS iSuppli เชื่อว่าร้านแอปฯออนไลน์ของแอปเปิลอย่าง App Store จะสามารถทำรายได้ทะลุ 2,910 ล้านเหรียญในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 2 ใน 3 ของส่วนแบ่งตลาดรวม อย่างไรก็ตาม การสำรวจของ IHS iSuppli พบว่าส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิลในตลาดโมบายล์แอปฯจะลดลงเหลือ 60% ในช่วง 3 ปีนับจากนี้ (ปี 2014)
      
      สำหรับ Android Market ของกูเกิล บริษัทวิจัย IHS iSupply คาดว่าจะมีรายได้รวม 425.36 ล้านเหรียญในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 295.4% จุดนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทวิจัยนาม Distimo ซึ่งเพิ่งคาดการณ์ว่ากูเกิลจะสามารถเพิ่มจำนวนแอปฯได้เท่าเทียมแอปเปิลในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมให้กูเกิลสามารถจำหน่ายแอปฯ ได้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
      
      ผู้ที่คาดว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดโมบายล์แอปฯ อันดับที่ 3 คือริม เจ้าของร้าน BlackBerry App World โดย IHS iSupply คาดว่าริมจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 69.2% ในปีนี้จนทำรายได้รวมที่ 279.11 ล้านเหรียญสหรัฐ นำหน้าร้าน Ovi Store โนเกียซึ่งคาดว่าจะทำเงินได้ 201.48 ล้านเหรียญในปี 2011
      
      สำหรับไมโครซอฟท์ที่ไม่ติดชาร์จในขณะนี้ IHS iSupply คาดว่าไมโครซอฟท์จะกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดได้อย่างรวดเร็วในอนาคต โดยเฉพาะความร่วมมือกับโนเกียซึ่งคาดว่าจะทำให้ร้าน Windows Phone Marketplace ของไมโครซอฟท์มีปริมาณการดาวน์โหลดแอปฯที่เพิ่มขึ้นแน่นอน
      
      นอกจากนี้ IHS iSupply ยังมองว่าธุรกิจซื้อขายสินค้าและบริการบนแอปฯหรือ in-app purchase จะเป็นกุญแจสำคัญในการดันยอดเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจโมบายล์แอปฯตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นไป คาดว่าแอปเปิลจะนำโด่งในตลาดนี้เช่นเดิม
      
      ในเชิงของผู้สร้างแอปฯ IHS iSupply คาดว่ารายได้ส่วนใหญ่จะยังตกอยู่กับเจ้าของแอปฯที่มีเนื้อหาอยู่แล้วและนำมาผสานและดัดแปลงในรูปของแอปฯเพื่อจำหน่ายต่อบนโทรศัพท์มือถือ เช่น Time Warner, Disney หรือ News Corp แต่ขณะเดียวกัน บริษัทหน้าใหม่ผู้สร้างแอปฯก็อาจแจ้งเกิดได้อย่างที่ Rovio เจ้าของเกม Angry Birds โด่งดังเป็นพลุแตกในขณะนี้
      
      ในภาพรวม IHS iSupply คาดว่าปีหน้า (2012) ธุรกิจโมบายล์แอปฯจะมีมูลค่าเกิน 5,600 ล้านเหรียญ ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,900 ล้านเหรียญในปี 2013


ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: iSense ไอเดียปก iPad เพื่อคนตาบอด
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤษภาคม 2011, 20:53:14
ไม่เพียงแต่ Apple จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่สำหรับนักออกแบบทั่วโลก ต่างก็พยายามต่อยอดด้วยอุปกรณ์เสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติการใช้งานที่น่าสนใจ หรือแม้แต่น่าทึ่งมากขึ้นด้วย ซึ่งในกรณีนี้ นักออกแบบสาว Kikki Tham Sterner ได้ดีไซน์ไอเดียอุปกรณ์เสริมที่จะทำให้ผู้พิการตาบอดสามารถใช้ iPad ได้ด้วยผลงงานที่ชื่อว่า iSense

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/iSense-iPad-touchable-cover-for-blind-2.jpg)

iSense ดูผิวเผินจะคล้ายกับ Smart Cover ของ iPad 2 แต่ถ้าไม่บอกว่ามันทำอะไรได้? ก็คงจะเข้าใจว่า ไว้ป้องกันรอยขูดขีดบนหน้าจอ iPad เท่านั้น ดีไซเนอร์สาวอธิบายผลงานของเธอว่า iSense ทำจากวัสดุพิเศษที่ตอบสนองต่อแสง โดยจะ"นูน"ขึ้นมา เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถสัมผัสรับรู้ได้ โดยเฉพาะการแสดงเป็นชุดตัวอักษรเบลล์ หรือรูปร่างตามไอคอน หรือภาพที่ปรากฎบนจอ iPad หากไอเดียนี้กลายเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ ขึ้นมา ผู้พิการจะสามารถใช้มันในการเรียนรู้ ศึกษา และติดตามความเป็นไปของโลกกว้างบนเน็ตได้ด้วยตัวเอง น่าสนับสนุนให้มีการพัฒนาขึ้นมานะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple บ.สมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลก!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤษภาคม 2011, 21:04:28
รายงานข่าวล่าสุด บริษัทวิจัยตลาด IDC เปิดเผยผลการสำรวจตลาดสมาร์ทโฟนในไตรมาสแรกของปี 2011 เทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน ปรากฎว่า มีการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 80% โดยผู้ค้าสมาร์ทโฟนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดเกือบ 100 ล้านเครื่อง (เทียบกับปีที่แล้ว 55 ล้านเครื่อง) แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ Apple ขึ้นแท่นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลกรองจาก Nokia ไปเรียบร้อยแล้ว

(http://2.bp.blogspot.com/_QPwq5sjIo2w/TKq1GJTCcQI/AAAAAAAAAYY/NTb152C7vTg/s1600/25%20Year%20Steve%20Jobs.jpg)

และแล้วก็เป็นไปตามคาด Apple ขึ้นแท่นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับสองของโลก รองจาก Nokia อันดับหนึ่ง ตามด้วย RIM, Samsung และ HTC โดยเปอร์เซ็นต์การเติบโตของสมาร์ทโฟนทั้ง 5 รายต้องบอกว่า แตกต่างกันอย่างสุดขั้วเลยทีเดียว (สังเกตจากตารางสรุปฯ) ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดทั้ง Nokia และ RIM ตกลงค่อนข้างชัดเจน โดย Nokia ลดจาก 39% เหลือ 24% ส่วน RIM จาก 19% ลงมาเหลือ 14% จากตัวเลขที่มีการเปิดเผยออกมายังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android มีการเติบโตมากที่สุด โดยมาจากทั้ง Samsung และ HTC

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/Apple-is-the-Number-2-of-smartphone-company-IDC-said-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Apple ที่สูงถึง 114% (จากฐานตัวเลขเดิมที่สูงอยู่แล้ว) ทำให้สมาร์ทโฟนในแพลตฟอร์ม iOS สามารถไต่ระดับขึ้นแท่นอันดับ 2 ได้ในที่สุด ในขณะที่แพลตฟอร์ม Android แม้จะมีการเติบโตของตลาดที่ค่อนข้างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นระบบเปิด แต่ส่วนแบ่งตลาดจะกระจัดกระจายไปตามผู้ผลิตรายต่างๆ

ทั้งนี้การเติบโตของ Android ทำให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายรายได้ส่วนแบ่งตลาดเร็วขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้ใช้สมาร์ทโฟน (เครื่องที่สอง, อัพเกรด หรือเปลี่ยนแบรนด์ และแพลตฟอร์ม ฯลฯ) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น มันจึงยังมีโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอันดับของบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 'แมคฟิว่า' ประเดิมขายโฆษณาบนทวิตเตอร์เจ้าแรกในไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤษภาคม 2011, 21:29:42
แมคฟิว่า (MCFIVA) ดิจิตอล เอเจนซีสัญชาติไทย บุกตลาดขายโฆษณาบนทวิตเตอร์เป็นรายแรกในไทย เน้นทำงานด้วยการดึงไลฟ์สไตล์ และความสนใจของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ในการนำเสนอข้อมูลให้ตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วย 3 บริการหลัก คาดการณ์สิ้นปีตลาดโฆษณาออนไลน์ทะลุ 2,200 ล้านบาท
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005921201.JPEG)

      นายศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมคฟิว่า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เมื่อกระแสการใช้งานโซเชียลมีเดียเริ่มเข้ามามีบทบาทในการค้นหาข้อมูลกับผู้บริโภค ทำให้รูปแบบในการโฆษณาประชาสัมพันธ์เดิมๆ ถูกลดบทบาทลง และให้ความเชื่อถือจากข้อมูลในเครือข่ายสังคมออนไลน์มากขึ้น
      
      "เชื่อว่าสิ้นปีนี้งบประมาณในการใช้จ่ายสำหรับออนไลน์มาเก็ตติงจะขึ้นมาอยู่ที่ราว 2,200 ล้านบาท จากงบโฆษณาทั้งหมดกว่า 1.1 แสนล้านบาทในปี 2554 หรือคิดเป็น 2% ทำให้เชื่อว่าบริษัทจะสามารถสร้างรายได้จากการทำทวีดมีเดียให้กับบริษัทและองค์กรในประเทศ"
      
      โดยแมคฟิว่าเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่สามารถคว้าสิทธิการทำโฆษณาบนทวิตเตอร์ หรือ ทวิตมีเดีย (Tweet Media) ซึ่งลักษณะการทำงานของทวิตมีเดียจะต่างกับการโฆษณาบนทวิตเตอร์ทั่วไปตรงที่สามารถแนะนำให้รู้จักสินค้าตามไลฟ์สไตล์ความสนใจของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ผ่านชุดเครื่องมือที่ทางทวิตเตอร์มอบให้
      
      บริการทวิตมีเดียที่แมคฟิว่าเปิดให้บริการนั้นมี 3 รูปแบบคือ 1.Promoted Account ซึ่งเหมาะสำหรับการสร้างกลุ่มติดตาม (Follower) จำนวนมาก Account ที่ใช้บริการจะแสดงอยู่บริเวณ "Who To Follow" โดยแสดงตามคำที่ระบุซึ่งอยู่ในข้อความที่ผู้ใช้เขียนขึ้น เมือคลิกปุ่มดังกล่าวจะเชื่อมต่อไปยังเว็บเพจที่เกี่ยวข้อง 2. Promoted Tweets เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสื่อสารกับผู้ใช้งานมากกว่าเป็นผู้ตาม โดยจะมี Promoted Tweets Box วางอยู่ในกล่องข้อความที่ถูกเขียนโดยผู้ใช้งาน เมื่อผู้ใช้คลิกที่ปุ่มดังกล่าวจะพบกับเนื้อหาที่ปรากฏขึ้นด้านขวามือของจอภาพ โดยจะแสดงอยู่บนสุดของหน้านั้นๆตลอดเวลา
      
      และสุดท้าย 3. Promoted Trend เหมาะสำหรับเจ้าของสินค้าที่ต้องการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนา โดยจะแสดงผลบนหน้าของผู้ใช้งานตามไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานนั้นๆ แต่จะไม่แสดงหมดทุกราย โดยทั้ง 3 บริการจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 2 นี้
      
      "บริษัทจะใช้ชุดเครื่องมือ "ทวีตมีเดีย" ที่สามารถดูข้อมูลความสนใจของผู้ใช้งานแต่ละราย โดยจะแสดงผลออกมาในรูปแบบกราฟ และไทม์ไลน์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการดูแลโดยทวิตเตอร์ ระบบจะทำการสร้างโฆษณาให้ตรงแก่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รายนั้นๆ ซึ่งตนมองว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงความต้องการของบริษัทผู้ผลิตสินค้าได้ดีกว่า นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถรีทวีต (Retweet) เพื่อแสดงฟีตแบคต่างๆ กลับไปหาบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายนั้นได้ง่าย และรวดเร็วกว่าการใช้สื่อแบบอื่นๆ
      
      ศุภชัยอธิบายว่า ทุกครั้งที่มีคน Follow, ทวีตข้อความ หรือคลิกลิงก์บน Trend ระบบจะทำการเก็บข้อมูลไปไว้ในฐานข้อมูล โดยทวิตเตอร์จะทำการตรวจสอบหากมีสแปมหรือไอพีใดทวีตหลายครั้ง ระบบจะทำการตัดผู้ใช้นั้นออกจากระบบทันที
      
      "ในช่วงแรกโฆษณา และการให้บริการทั้ง 3 รูปแบบจะสามารถใช้งานกับทวิตเตอร์บนหน้าเว็บไซต์เท่านั้น และจะมีการพัฒนาให้สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟน หรือแอปพลิเคชันสำหรับเข้าถึงทวิตเตอร์ในอนาคต"
      
      ทวิตเตอร์นั้นเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กสัญชาติอเมริกัน ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความที่ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร เพื่อแจ้งข่าวสารให้แก่ผู้ที่คอยติดตามความเคลื่อนไหว มีผู้ใช้งานกว่า 195 ล้านราย และจำนวนทวีตมากกว่า 130 ล้านครั้งต่อวันทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช่งานทั้งหมด 450,000 ราย มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำราว 100,000 คน และคาดว่ามีการทวีตข้อความ 10 ทวิตต่อ 1 คน

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: iPad 2 เครื่องหิ้วไม่หวั่น ยังตรึงราคาที่ 17,000 บาท
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 06 พฤษภาคม 2011, 21:39:41
แม้จะวางขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วในราคามาตรฐานเริ่มต้นที่ 15,900 บาท แต่ iPad 2 เครื่องหิ้วซึ่งวางจำหน่ายตามตู้ค้าอิสระก็ยังไม่หวั่นใจ ตรึงราคาไว้สูงกว่าราว 1,000-2,000 บาทโดยเริ่มต้นที่ 17,000 บาท ยกเหตุผลว่าเพราะมีต้นทุนค่าหิ้วจากต่างประเทศ เชื่อยังขายได้เพราะ iPad 2 เครื่องศูนย์ยังมีจำนวนจำกัด เบื้องต้น "ไอสตูดิโอสยามดิสคัฟเวอรี่" ระบุว่าเครื่องถูกจับจองครบหมดแล้ว ขณะที่ผู้เข้าคิวที่"พาวเวอร์บายสาขาชิดลม" พากันสละสิทธิ์เพราะไม่มีรุ่นที่ต้องการ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005949601.JPEG)
ปิยะนุช ยินดีสุข อายุ 21 ปี ลูกค้าคนแรกที่ซื้อไอแพด 2 จากพาวเวอร์บาย เซ็นทรัล ชิดลม

      จากการสำรวจตลาดตู้ค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อิสระ (ตลาดเครื่องหิ้ว) ที่ศูนย์การค้าใจกลางกรุงเทพฯ พบว่าผู้ค้ายังตรึงราคา iPad 2 ไว้สูงกว่าราคาร้านค้าราว 1,000-2,000 บาท ยังไม่มีการปรับลงให้เท่ากับร้านไอสตูดิโอซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องในประเทศไทย จุดนี้เชื่อว่าราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงในวันพรุ่งนี้ (7 พ.ค.) ซึ่งผู้ต้องรอดูสถานการณ์การจำหน่าย iPad 2 ว่าจะขาดแคลนมากน้อยเพียงใด
      
      iPad 2 เครื่องหิ้วนั้นตั้งราคารุ่นสีขาวและดำในระดับเท่ากัน โดย iPad 2 WIFI รุ่น 16GB เครื่องหิ้วนั้นถูกตั้งราคาประมาณ 17,000 บาท ขณะที่ 32GB ราคาราว 20,300 บาท โดย 64GB ราคา 23,000 บาท เทียบกับราคาที่ไอสตูดิโอ 15,900 บาท 18,900 บาท และ 21,900 บาทตามลำดับ

      ขณะที่รุ่น 3G นั้นถูกตั้งราคาไว้สูงกว่าหน้าร้านมาก โดย iPad 2 WIFI+3G รุ่น 16GB ราคาราว 22,400 บาท รุ่น 32GB ราคา 25,000 บาท และ 64GB ราคา 28,000 สูงกว่าร้านไอสตูดิโอที่มีราคาตั้ง 19,900 บาท 22,900 บาท และ 25,900 บาท
      
      เหตุที่ทำให้ผู้ค้าตู้กล้าตั้งราคารุ่น 3G ไว้สูงกว่าหน้าร้านไอสตูดิโอมากกว่า 2,000 บาทคือการขาดตลาดของ iPad 2 รุ่น 3G ในบางสาขา ขณะเดียวกัน ยังมีบริการลงแอปพลิเคชันแท้ให้ฟรี เพื่อเพิ่มจุดขายให้เหนือกว่าการซื้อจากหน้าร้านไอสตูดิโอ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005949602.JPEG)

      ** วันแรกหมดเกลี้ยง **
      
      จากการสอบถามพนักงานร้านไอสตูดิโอ สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ พบว่าบริษัทเตรียมใบจองซื้อเครื่องมากกว่า 100 ใบ ขณะนี้มีผู้เข้าคิวจองครบทั้ง 100 ใบแล้วในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงแรกของการเริ่มแจกใบจอง โดยให้ข้อมูลว่าไอสตูดิโอ 22 สาขาหลักในประเทศไทยจะแจกใบจองวันแรกราว 100 ใบเท่ากันหมด คาดว่าทุกสาขาจะแจกหมดภายในวันเดียว
      
      หากนำตัวเลข 22 สาขาไอสตูดิโอมาคูณกับจำนวนใบจอง 100 ใบ (โดย 1 ใบมีสิทธิ์ซื้อมากกว่า 2 เครื่อง) จะพบว่า iPad 2 สามารถจำหน่ายในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 4,000 เครื่องในวันเดียว ไม่นับรวมการจำหน่ายผ่านร้านแอปเปิลช็อปในพาวเวอร์บายอีก 13 สาขา ซึ่งคาดว่าจะมีการเข้าคิวซื้อ iPad 2 อย่างถล่มทลายเช่นกัน
      
      สำหรับผู้ที่สามารถซื้อ iPad 2 ได้เป็นคนแรกที่ไอสตูดิโอ สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่คือนายเกรียงศักดิ์ ฉมาดล เลือกซื้อ iPad 2 รุ่นคือ WIFI 32GB และ 64GB ได้รับโปรโมชันเน็ตซิมดีแทค ฟรี แอร์ไทม์ 5,000 นาที แลกกับการรอรับใบจองเครื่องตั้งแต่ 5 โมงเย็นของวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000005949603.JPEG)

      ** iPad 1 ยังขายอยู่ **
      
      สำหรับ iPad 1 เจ้าหน้าที่ไอสตูดิโอระบุว่ายังไม่มีสินค้าจำหน่ายในขณะนี้ แต่เชื่อว่าจะมีสินค้าล็อตใหม่เข้ามาเพื่อรองรับผู้ต้องการใช้งาน iPad ในราคาประหยัด โดยไอสตูดิโอได้ปรับลดราคา iPad รุ่นแรกลงเหลือ 9,900 บาทแล้ว
      
      สำหรับผู้ผิดหวังจากการซื้อเครื่องในวันจำหน่ายวันแรก (6 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ไอสตูดิโอดิสคัฟเวอรี่ให้ข้อมูลว่าสามารถสอบถามซื้อเครื่องได้ในวันถัดไป เพราะมีสินค้าจากแอปเปิลส่งเข้ามาต่อเนื่องทุกวัน ขณะที่เจ้าหน้าพาวเวอร์บายระบุว่าผู้ผิดหวังสามารถสอบถามในช่วง 2 สัปดาห์นับจากนี้ เบื้องต้นแนะนำให้ทดลองสอบถามก่อนการเดินทาง
      
      iPad 2 นั้นเป็นอุปกรณ์แท็บเล็ตที่หลายคนต้องการซื้อหาเพื่อใช้งาน โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจาก iPad มาเป็น iPad 2 เด่นชัดที่สุดคือ ขนาดและความบาง โดย iPad 2 มีขนาดบาง 8.8 มิลลิเมตร จากรุ่นแรกที่หนา 13 มิลลิเมตร น้ำหนักเบากว่า มีให้เลือก 2 สีคือขาวและดำ ในขณะที่ไอแพดรุ่นแรกจะมีสีเดียวคือดำ ส่วนขนาดหน้าจอจะยังคงเท่าเดิมคือ 9.7 นิ้วที่ความละเอียด 1,024x768 พิกเซล พร้อมกล้องคุณภาพ VGA ด้านหน้า แต่กล้องถ่ายภาพด้านหลังจะสามารถถ่ายภาพความละเอียดอยู่ที่ 7 แสนพิกเซล (690x720 พิกเซล) และสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 720p (1,280x720 พิกเซล) ที่ความเร็วเฟรมเรท 30 เฟรมต่อวินาที โดยกล้องทั้งสองตัวมีระบบ Auto Focus เรียบร้อย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ iPad 2 เป็นที่หมายตาของสาวกแอปเปิลทั่วโลก

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: พีซีจิ๋วเท่ายูเอสบีไดรฟ์มีช่องต่อไฮเดฟฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 21:53:20
ประเดิมเช้าวันนี้ด้วยรายงานข่าวเทคโนโลยีที่จะทำให้คุณผู้อ่านต้องอึ้งกันอีกแล้ว เมื่อ Dvid Braden นักออกแบบเกมได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับไดรฟ์ยูเอสบี (USB drive) ชื่อว่า Raspberry Pi สำหรับเด็กๆ ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา โดยสนนราคาเครื่องอยู่ที่ 25 เหรียญฯ หรือประมาณ 750 บาทเท่านั้น

Raspberry Pi เป็น"พีซี"ที่มีขนาดใหญ่กว่า"ไดรฟ์ยูเอสบี"ที่พกพากันทั่วไปเล็กน้อย โดยปลายด้านหนึ่งของมันจะเป็นพอร์ต HDMI ที่ใช้ต่อกับจอแสดงผลภายนอกสำหรับการเล่นคอนเท็นต์ฟูลไฮเดฟฯ 1080p บน HDTV หรือมอนิเตอร์พีซี ในขณะที่อีกด้านหนึ่งจะเป็นพอร์ต USB 2.0 สามารถเชื่อมต่อกับ USB hub เพื่อใช้ต่อกับอุปกรณ์อย่างเมาส์ หรือคีย์บอร์ดได้ แรงบันดาลใจของการออกแบบ Raspberry Pi มาจากโครงการ OLPC (One Laptop/Tablet Per Child) ที่ยังอาจจะสูงเกินไปสำหรับการมีให้เด็กๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาซื้อหามาใช้กัน (ต้นทุนอยู่ที่ 100 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,000 บาท แต่ผลิตเสร็จอยู่ที่ 188 เหรียญฯ ประมาณ 5,700 บาท) Raspberry Pi ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้พกพาคอมพิวเตอร์ของพวกเขาติดตัว(เหมือนพวงกุญแจ)ไปได้อย่างสะดวกสบายกว่าโน้ตบุ๊คแล้ว มันยังถูกกว่าด้วยต้นทุนการผลิตต่อเครื่องเพียง 25 เหรียญฯ หรือประมาณ 750 บาทเท่านั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/raspberry-pi-usb-sized-pc-with-HDMI-port-for-children-in-third-world-countries-2.jpg)

Raspberry Pi ประกอบด้วยแผงวงจรหลักที่มาพร้อมกับพอร์ต HDMI บนปลายด้านหนึ่ง ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งเป็นพอร์ต USB ด้านข้างของมันจะเป็นช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำอย่าง SD/MMC/SDIO และสตอเรจทีเป็นหน่วยความจำแฟลช นอกจากนี้ยังมีพอร์ตสำหรับต่อเพิ่มการทำงานอย่างอื่นได้ด้วย เช่น โมดูลกล้อง 12 ล้านพิกเซล เป็นต้น ในส่วนของโพรเซสเซอร์ที่ใช้กับ Raspberry Pi จะเป็น ARM11 ความเร็ว 700MHz ที่มาพร้อมกับหน่วยความจำ SDRAM 128MB มันยังมาพร้อมกับชิปประมวลผลกราฟิกที่ยังไม่มีการตั้งชื่อสนับสนุนการทำงานกราฟิกบน OpenGL ES 2.0  ส่วนระบบปฏิบัติการที่ทำงานบน Raspberry Pi จะเป็น Ubuntu ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สอย่าง เว็บบราวเซอร์ Iceweasel, โปรแกรมชุดออฟฟิศ Koffice และ Python

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/raspberry-pi-usb-sized-pc-with-HDMI-port-for-children-in-third-world-countries-3.jpg)

"เด็กๆ จะสามารถใช้ Raspberry Pi สำหรับการเป็นคอมพิวเตอร์ เพื่อเรียนรู้โปรแกรม อีกทั้งยังสามารถใช้งาน Twitter, Facebook และเว็บแอพฯ อื่นๆ ได้" Braden กล่าว "นอกจากนี้ เด็กๆ ยังสามารถเข้าใจการเขียนโปรแกรมได้จากการใช้ Raspberry Pi ด้วย" ทั้งนี้ Braden ได้เปิดตัวมูลนิธิ RaspBerry Pi ในสหราชอณาจักร เพื่อสนับสนุนพีซีจิ๋ว และเป้าหมายของมัน โดยคาดว่า Raspberry Pi จะถูกกระจายให้เกิดการใช้งาน UK และเด็กๆ ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม ยังมีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดการวางตลาดของพีซีจิ๋วนี้แต่อย่างใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: PaperPhone สมาร์ทโฟน "กระดาษ"?
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 22:03:23
รายงานข่าวนี้ยังคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีอีกเหมือนกัน โดยล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์ในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ได้เปิดเผยต้นแบบเทคโนโลยีที่เรียกว่า "Paperphone" สมาร์ทโฟนที่ใช้ส่วนแสดงผล e-paper ทีมีความยืดหยุ่น สามารถใช้มือบิดโค้งดัดงอ เพื่อควบคุมการทำงานแทนการสัมผัสแบบสมาร์ทโฟนจอ LCD/TFT อย่างในปัจจุบัน

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/Paperphone-Bending-controlled-E-Ink-display-future-smartphone-2.jpg)

Paperphone ต้นแบบที่นำมาออกมาโชว์นี้ ประกอบด้วยส่วนแสดงผล E-Ink ขนาด 3.7 นิ้ว ซึ่งมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ (ขนาด 2 นิ้ว) สามารถตรวจจับการดัดโค้ง 2 ทาง เพื่อใช้เป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ให้ Paperphone สามารถตอบสนองการใช้งานได้เมื่อหน้าจอถูกดัดโค้ง ตัวเครื่องต้นแบบสร้างขึ้นด้วยชุดคิท Broadsheet AM300 ของ E-Ink โพรเซสเซอร์ Gumstix และไมโครคอนโทรลเลอร์ยอดนิยมอย่าง Arduino เซ็นเซอร์ทั้งหมดจะรู้จำการทำงานโดยเชื่อมต่อการทำงานกับโน้ตบุ๊คที่รันโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นด้วย Max 5 ของ Cycling 74

(http://www.arip.co.th/images/news/technology/3/Paperphone-Bending-controlled-E-Ink-display-future-smartphone-3.jpg)

"Paperphone ต้นแบบนี้ได้รับการออกแบบด้วยเป้าหมายให้มันใช้จอแสดงผลที่มีความยืดหยุ่น และพกพาสะดวกมากที่สุด ในขณะที่มันมีน้ำหนักเบาที่สุดอีกด้วย" Dr. Roel Vertegaal หัวหน้าทีมวิจัย Human Media Lab จากมหาวิทยาลัยควีนส์ ระบุไว้ในเอกสาร อีกทั้งยังทำนายอนาคตอีกด้วยว่า Paperphone จะทำให้สมาร์ทโฟนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นแก็ดเจ็ตล้าสมัยภายใน 5 - 10 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ความจริงมันมีไอเดียของความพยายามพัฒนาสมาร์ทโฟนด้วย E-Ink ที่ทำให้ตัวเครื่องมีความยืดหยุ่นให้เห็นก่อนหน้านี้มาพอสมควรแล้ว โดยส่วนใหญ่จะใช้ Polymer ซึ่งหน้าจอขนาด 5 นิ้วจะม้วนเก็บได้ แต่สำหรับไอเดียของนักวิจัยกลุ่มนี้ คิดว่า การม้วนหน้าจอไม่ใช่คำตอบ โดยพยายามตอบโจทย์ด้วยอินพุทเชิงกลที่ใช้การดัดโค้งบิดงอ Paperphone เพื่อให้ตอบสนองการทำงานในลักษณะต่างๆ แทน ทั้งนี้ ต้นแบบ Paperphone จะถูกนำออกแสดงในงานประชุม Computer Human Interface ที่แวนคูเวอร์ สัปดาห์หน้า

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ลือ!!! iPad 3 มาพร้อมจอ 3D ไม่ง้อแว่น
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 22:23:29
ในขณะที่กระแส iPad 2 กำลังร้อนแรง ข่าวลือเกี่ยวกับ iPad 3 ก็เริ่มมีปล่อยออกมาแล้ว โดยจากรายงานล่าสุด แหล่งข่าวกล่าวว่า สตูดิโอ Hollywood ร่วมมือกับ Apple ในการจำหน่ายคอนเท็นต์ภาพยนต์ 3D บน iPad 3 ซึ่งมาพร้อมกับจอแสดงผลที่สามารถแสดงคอนเท็นต์ 3D ได้ โดยผู้ใช้ไม่ต้องสวมแว่นตาแต่อย่างใด

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา มีข่าวลือออกมาจาก Hollywood และโรงงาน Foxconn ว่า iPad รุ่นต่อไปของ Apple จะสนับสนุนคอนเท็นต์ 3D ที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา ซึ่งข้อมูลนี้สนับสนุนข่าวลือที่เคยออกมาเมื่อ 2 เดือนก่อนที่ระบุว่า iPod Touch รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับจอแสดงผล 3D แบบไม่ง้อแว่น และการจดสิทธิบัตรระบบแสดงผล 3D ของ Apple ทั้งนี้แหล่งข่าวใน Hollywood ยังเปิดเผยอีกว่า ทางสตูดิโอกำลังเร่งผลิตคอนเท็นต์ 3D มากมาย เพื่อให้ทันเวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple "ข้อเท็จจริงก็คือ iPad 3 สนับสนุน 3D อย่างแน่นอน" แหล่งข่าววงในของ Hollywood กล่าวอีกด้วยว่า "หน้าจอแสดงผล iPad 3 คือ มหัศจรรย์แห่งเวทย์มนต์อย่างแท้จริง"

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iPad-3-adds-glasses-free-3D-Screen-for-support-Hollywood-contents-2.jpg)

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่ iPad 2 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แหล่งข่าวภายในของ Apple เปิดเผยว่า iPad 2 จะวางตลาด ก่อนที่จะมีอีกรุ่นหนึ่งที่ดีกว่าออกตามมาช่วงปลายปี แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวว่า ซัพพลายเออร์ที่ผลิตชิ้นส่วนให้ iPad 3 มีปัญหาทำให้ผลิตไม่ทัน โดยจะไม่เห็นมันในท้องตลาดจนกว่าจะปี 2012 ที่สำคัญจนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา Apple ยังไม่ได้มีการสั่งชิ้นส่วน เพื่อเตรียมผลิต iPad 3 แต่อย่างใด แล้วข่าวลือเกี่ยวกับ iPad 3 ที่สนับสนุน 3D จะมีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร? ประเด็นก็คือ แหล่งข่าวกล่าวว่า Foxconn ถูกฟ้องที่ทำให้ความลับรั่วไหล โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับความสนใจ 3D ของ Apple จนทำให้ Nintendo ตัดหน้าด้วยการออกผลิตภัณฑ์เป็น Nintendo 3DS นั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iPad-3-adds-glasses-free-3D-Screen-for-support-Hollywood-contents-3.jpg)

อย่างไรก็ดี Apple ค่อนข้างจะยึดกรอบเวลาในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ตรงเวลา โดยสังเกตจาก iPad รุ่นแรกวางจำหน่ายเดือน เมษายน 2010 ในขณะที่ iPad 2 วางตลาดเมื่อ 11 มีนาคม 2011 ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้บริโภคจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับ iPad 3 มากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการสนับสนุนคอนเท็นต์ 3D เนื่องจากปัจจุบัน แก็ดเจ็ตต่างๆ ที่พบเห็นในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเล่นเกมส์พกพา Nintendo 3DS, PlayStation 3, เครื่องเล่น Blu-ray, ชุดคิทแสดงผล 3D บนพีซีของ Nvidia ตลอดจน Smart TV ต่างก็รองรับคอนเท็นต์ 3D ทั้งสิ้น แล้วอย่างนี้ Apple จะปฎิเสธได้อย่างไร?

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google ทดสอบ "หน้าผลลัพธ์" ดีไซน์ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 22:47:19
รายงานข่าวล่าสุด Google (Google) กำลังทดสอบดีไซน์ใหม่ของหน้าผลลัพธ์การค้น (result page) ซึ่งนอกจากจะมีการเปลี่ยนชุดสีที่ใช้ให้ดูสว่างสดใสขึ้นแล้ว ยังมีการเพิ่มพื้นที่ว่างเข้าไปอีกด้วย ทั้งนี้ ทางบริษัทได้เปิดให้ทดลองใช้หน้าผลลัพธ์ดีไซน์ใหม่กับกลุ่มทดสอบแล้ว

จากภาพหน้าผลลัพธ์การค้นหาที่นำมาฝากข้างล่างนี้ จะเห็นได้ว่า ดีไซน์ใหม่จะมีการปรับแต่งชุดสี โดยทาง Google เลือกใช้สีเขียว ม่วง และน้ำเงินที่กระด้างเท่ากับชุดสีที่ใช้ในปัจจุบัน แต่นั่นยังไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเท่ากับการแยกแต่ละผลลัพธ์ด้วยเส้นประ และเพิ่มพื้นที่ว่าง อย่างไรก็ตาม ดีไซน์หน้าผลลัพธ์ใหม่จะถูกส่งให้กับกลุ่มผู้ใช้ที่อยู่ในรายการทดสอบหลายล้านคน โดยทางบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลจากการโต้ตอบการใช้งานของผู้ใช้เหล่านี้ เพื่อนำมาตัดสินใจว่า จะเปลี่ยนแปลงให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ใช้หน้าดีไซน์ใหม่อย่างถาวรแทนดีไซน์ปัจจุบัน หรือไม่?

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-redesign-result-page-2.jpg)

นอกจาก Google จะทดลองเปลี่ยนดีไซน์หน้าผลลัพธ์ใหม่แล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางบริษัทยังได้เริ่มทดสอบบริการค้นด้วยเสียง (Voice Search) บนเว็บไซต์ Google.com ด้วย คุณผู้อ่านดูดีไซน์ใหม่ของหน้าผลลัพธ์การค้นของ Google แล้ว คิดเห็นอย่างไร? ชอบ หรือไม่ชอบ? คอมเมนต์กันมาได้เลยนะครับ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: "แหวนไฮเทคฯ" สำหรับแท็บเล็ต+มือถือ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤษภาคม 2011, 21:54:30
ผู้ใช้หลายๆ ท่านทีเป็นเจ้าของ"แท็บเล็ต" (tablet) อาจจะรู้สึกไม่สะดวกอยู่บ้าง สำหรับการพิมพ์บนหน้าจอสัมผัส แต่สำหรับการแตะ หรือจิ้มหน้าจอ เพื่อใช้งานในส่วนอื่นๆ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะแฮปปี้กันดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีคนคิดทำอุปกรณ์เสริมที่สามารถช่วยให้ประสบการณ์ในการใช้งาน"แท็บเล็ต" หรือ iPad ง่ายสะดวก รวดเร็วขึ้นไปอีก

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/ringbow-enhance-your-touch-screen-controlled-ring-2.jpg)

Ringbow แหวนไฮเทคฯ ที่ภายในฝังวงจรควบคุมที่ทำงานด้วยระบบไร้สายไว้ภายใน โดย Ringbow จะมาพร้อมกับ D-Pad (Direction Pad) ทีมีฟังก์ชันควบคุมพอยน์เตอร์ได้ 4 ทิศทาง และปุ่มกดอีกหนึ่ง เมื่อผู้ใช้สวมมันไว้กับนิ้วชี้ คุณก็จะสามารถใช้นิ้วโป้งในการควบคุมมันได้ทันที ซึ่ง D-Pad บนแหวนสามารถโปรแกรมการทำงานได้หลากหลายฟังก์ชัน เช่น คุณสามามารถปรับเปลี่ยนผลลัพธ์ (เปลียนขนาดแปลง หรือสีที่ใช้ในการวาด ฯลฯ) ของการสัมผัสได้ด้วยการคลิกบนแหวนด้วยนิ้วโป้ง

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/ringbow-enhance-your-touch-screen-controlled-ring-3.jpg)

จากตัวอย่างการใช้งานจะเห็นได้ว่า Ringbow ช่วยให้ผู้ใช้"แท็บเล็ต"สามารถใช้งานหน้าจอสัมผัสสะดวกขึ้นจริงๆ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของ Ringbow ก็คือ ผู้พัฒนาแอพฯจะต้องพัฒนาโค้ดที่ทำงานร่วมกับ Rinbow ได้โดยเฉพาะ เพื่อให้มันสามารถทำงานเข้ากันได้อย่างลื่นไหล อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยถึงกำหนดการที่แน่นอนสำหรับการวางตลาด Ringbow แต่ดูจากการใช้งานของมันแล้ว น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Archos 9 รุ่นใหม่ท้าชน Galaxy Tab
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤษภาคม 2011, 22:03:05
Archos เปิดตัว"แท็บเล็ต"ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 รุ่นใหม่ล่าสุด โดยตั้งเป้ากลุ่มผู้ใช้เป็นองค์กรธุรกิจ โดย Archos 9 PC Tablet จะมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานมัลติมีเดียที่สมบูรณ์แบบ และตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างครบถ้วน

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/archos-9-windows-7-tablet-competes-galaxy-tab-8-9-2.jpg)

Archos 9 เป็นแท็บเล็ตพีซีรรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ Intel Atom Z515 ควาามเร็ว 1.2GHz หน่วยความจำ DDR 2 ขนาด 1GB สตอเรจ SSD ความจุ 32GB และที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นเรื่องของการใช้จอสัมผัส LED ขนาด 8.9 นิ้วที่ความละเอียดของการแสดงผล 1024x600 พิกเซล นอกจากนี้ยังมีพอร์ตเชื่อมต่อการใช้งานที่สำคัญๆ อย่าง USB 2.0 สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi พร้อมกล้องด้านหน้า 1.3 ล้านพิกเซล แถมยังมี trackpad และปุ่มเมาส์ให้อีกด้วย สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติม Archos 9 รุ่นใหม่จะมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Port Replicator ให้เลือกซื้ออีกด้วย โดยจะมีพอร์ต Ethernet และ USB อีก 2 พอร์ต พร้อมด้วยพอร์ต VGA เพื่อต่อจากแท็บเล็ตไปยังทีวี หรือมอนิเตอร์ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/tablet/1/archos-9-windows-7-tablet-competes-galaxy-tab-8-9-3.jpg)

Archos 9 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter และซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส Microsoft Security Essentials รวมถึงโปรแกรมสื่อสารอย่าง Skype และชุดโปรแกรม Lotus Symphony Productivity Suite วิดเจ็ตรายงานสภาพภูมิอากาศ ข่าวสาร ตลอดจน Social Networking นอกจากนี้ ทางบริษัทยังเปิดเผยอีกด้วย่วา Archos 9 ได้รับการอัพเกรดด้วยโพรเซส Atom รุ่นใหม่ของ Intel สามารถเล่นวิดีโอ Full HD 1080p ได้ สำหรับ Archos 9 รุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตฯ หนึ่งครั้ง สนนราคาอยู่ที่ 400 ปอนด์ หรือประมาณ 20,000 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ยอดจอง Samsung Galaxy S II ทะลุ 3 ล้านเครื่อง
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤษภาคม 2011, 22:13:12
รายงานข่าวนี้ อาจทำให้แอปเปิ้ล (Apple) ต้องหันมามองคู่แข่งหมายเลขหนึ่งอย่างซัมซุง (Samsung) ได้เหมือนกัน เมื่อล่าสุด ทางบริษัทได้ออกมาเปิดเผยว่า ยอดจองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Galaxy S II จนถึงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทะลุ 3 ล้านเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว

Samsung Galaxy S II เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ออกมาหลังจากทีทางบริษัทประสบความสำเร็จกับ Samsung Galaxy S รุ่นแรก โดยยอดจองทั่วโลกของ Galaxy S II ทะลุ 3 ล้านเครื่อง (Samsung ตั้งเป้ายอดขาย Galaxy S II จนถึงสิ้นปี 2011 อยู่ที่ 10 ล้านเครื่อง) และถือว่าเป็นสามาร์ทโฟนที่มีความต้องการมากที่สุดในปีนี้ เนื่องจากเป็นตัวเลขยอดจองสมาร์ทโฟนที่สูงกว่าที่ iPhone 4 ของ Apple เคยทำได้ (ยอดจอง 600,000 เครื่องก่อนวางจำหน่าย และทำยอดได้ 1.7 ล้านเครื่องในสัปดาห์แรก)

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-galaxy-s-2-pre-oders-over-3-million-units-2.jpg)

Samsung Galaxy S II สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอ Super AMOLED plus ขนาด 4.3 นิ้ว และเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ 1.2GHz หน่วยความจำ (RAM) 1GB สตอเรจภายในเครื่อง 16GB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.3 Gingerbread โดยกล้องด้านหลังจะมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล แน่นอนว่า Samsung Galaxy S II จะช่วยให้ทางบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนที่เติบโตขึ้น โดยจาก 4.3% ในไตรมาสแรกของปี 2010 เป็น 10.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Intel โชว์ทรานซิสเตอร์ 3 มิติรุ่นแรกของโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 09 พฤษภาคม 2011, 22:23:46
อินเทลปฏิวัติวงการอุตสาหกรรม เปิดตัว "Tri-Gate" ทรานซิสเตอร์ 3 มิติรุ่นแรกของโลก หลังจากมีการประดิษฐ์ซิลิกอนสทรานซิสเตอร์ขึ้นมาเมื่อ 50 ปีก่อน ทรานซิสเตอร์ดังกล่าวจะช่วยให้ชิปทำงานโดยใช้พลังงานต่ำลง ประหยัดพลังงานไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้แก่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 22 นาโนเมตรเพื่อรองรับการผลิตในปริมาณมาก โดยชิปรุ่นนี้ใช้ชื่อรหัสว่า “ไอวี่ บริดจ์” (Ivy Bridge) หน่วยของหนึ่งนาโนเมตรเทียบได้กับขนาดหนึ่งในพันล้านของหนึ่งเมตร
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006039201.JPEG)
Tri-Gate ทรานซิสเตอร์ 3 มิติ จากอินเทล

      นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทรานซิสเตอร์ Tri-Gate 3 มิติ มีโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกันอย่างมากกับทรานซิสเตอร์ 2 มิติ บริษัทต่างๆ สามารถนำทรานซิสเตอร์ไปใช้เป็นองค์ประกอบหลักของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิด โทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถนำเอาทรานซิสเตอร์ไปใช้เป็นระบบควบคุมในรถยนต์ ยานอวกาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายพันชนิดมานานหลายทศวรรษแล้ว
      
      "นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วที่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของอินเทลได้รังสรรค์โครงสร้างของทรานซิสเตอร์ขึ้นมาใหม่ โดยในครั้งนี้มีการใช้โครงสร้างแบบ 3 มิติ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นต้นกำเนิดของอุปกรณ์ที่น่าทึ่งได้อีกมากในอนาคต นอกจากนี้ ผลสำเร็จครั้งนี้ยังทำให้ “กฎของมัวร์” ก้าวหน้าไปสู่อีกระดับหนึ่งด้วย”
      
      บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างทราบกันดีว่า โครงสร้างแบบ 3 มิติจะช่วยทำให้ “กฎของมัวร์” ยังคงเป็นความจริงต่อไป เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆ มีขนาดที่เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกฎของธรรมชาติกลายเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปแล้ว ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คือ อินเทลสามารถนำเอาการออกแบบทรานซิสเตอร์ Tri-Gate 3 มิติ มาใช้กับกระบวนการผลิตในปริมาณมากได้ ซึ่งเป็นการนำ “กฎของมัวร์” เข้าสู่ยุคใหม่ และช่วยเปิดประตูไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับอุปกรณ์ได้อีกหลากหลายชนิด
      
      โดยกฎของมัวร์ทำนายแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีซิลิกอนเอาไว้ว่า ในทุกๆ 2 ปี จำนวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพการทำงานกลับเพิ่มสูงขึ้นและต้นทุนจะลดลง กฎข้อนี้ได้กลายเป็นโมเดลพื้นฐานของการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ติดต่อกันมานานกว่า 40 ปีแล้ว
      
      ++ ประหยัดพลังงาน ทำงานเร็วขึ้น ++
      
      ทรานซิสเตอร์ Tri-Gate 3 มิติ จะช่วยให้ชิปทำงานโดยใช้พลังงานที่ต่ำลง มีอัตราการรั่วไหลของกระแสไฟลดลง นำไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มสูงขึ้นและประหยัดพลังงานมากกว่าทรานซิสเตอร์รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยให้นักออกแบบชิปมีอิสระในการนำทรานซิสเตอร์ไปใช้กับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ไฟน้อยหรืออุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงได้โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน
      
      Tri-Gate 3 มิติ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากถึงร้อยละ 37 และใช้ไฟน้อยลงเมื่อเทียบกับทรานซิสเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรของอินเทล ประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยให้ทรานซิสเตอร์รุ่นนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์มือถือขนาดเล็กซึ่งต้องใช้พลังงานน้อยลงในขณะที่ต้อง “สลับ” โหมดของการทำงานกลับไปกลับมา นอกจากนั้นทรานซิสเตอร์รุ่นใหม่นี้ยังใช้พลังงานน้อยลงครึ่งหนึ่ง ถ้าหากเทียบกับทรานซิสเตอร์แบบ 2 มิติที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 32 นาโนเมตรที่ให้ประสิทธิภาพออกมาเท่ากันอีกด้วย
      
      “ประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้นและพลังงานที่ประหยัดได้มากกว่าเดิมของ Tri-Gate 3 อยู่ในระดับที่เรายังไม่เคยเห็นมาก่อน ความสำเร็จในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การทำให้ “กฎของมัวร์” เป็นจริงต่อไปเท่านั้น แต่อัตราการการใช้พลังงานที่ลดลงนี้ยังเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระดับเกินกว่าที่เราคาดว่าจะได้รับจากการเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง คุณสมบัติข้อนี้จะช่วยให้นักออกแบบผลิตภัณฑ์มีความคล่องตัวในการพัฒนาอุปกรณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ชาญฉลาดมากขึ้น และนำไปสู่ความเป็นไปได้อื่นๆ อีกมาก ความก้าวหน้าในครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำของอินเทลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่อไป” นายเอกรัศมิ์ กล่าว
      
      นายเอกรัศมิ์ กล่าวเสริมว่า อินเทลจะนำ Tri-Gate 3 มิติ ไปใช้ในกระบวนการผลิตรุ่นถัดไปของบริษัท ซึ่งใช้ชื่อว่าโหนด 22 นาโนเมตร ตัวเลขนี้อ้างอิงจากขนาดของทรานซิสเตอร์แต่ละชิ้น หากเปรียบเทียบเครื่องหมายจุดหนึ่งจุด จะใส่ทรานซิสเตอร์ Tri-Gate ขนาด 22 นาโนเมตร ได้มากถึง 6 ล้านชิ้น
      
      "อินเทลได้ทำการสาธิตประสิทธิภาพของไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตรรุ่นแรกของโลก ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “ไอวี่ บริดจ์” ซึ่งใช้งานในโน้ตบุ๊ก เซิร์ฟเวอร์ และพีซี โปรเซสเซอร์ตระกูล Intel Core รุ่น “ไอวี่ บริดจ์” จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์ Tri-Gate 3 มิติ โดยซีพียู ”ไอวี่ บริจน์” จะพร้อมรองรับการผลิตในปริมาณมากได้ภายในปลายปีนี้
      
     ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีซิลิกอนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ฟังก์ชั่น และความเหมาะสมของซอฟต์แวร์ที่ใช้กับสถาปัตยกรรมของอินเทลให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ระบบประมวลผล Intel Atom ไปพร้อมๆ กับการตอบสนองต่อความต้องการโดยรวมทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพ ต้นทุน และขนาด สำหรับผู้บริโภคของตลาดแต่ละกลุ่มได้

(http://pics.manager.co.th/Images/554000006039202.JPEG)
ทรานซิสเตอร์ แบบโครงสร้าง 3 มิติ

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Photoshop Touch app บน iPad มาแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤษภาคม 2011, 21:03:04
ในที่สุด แอพพลิเคชันบนไอแพด (iPad) ที่อยู่ในชุด Photoshop CS5 จากอะโดบี้ (Adobe) ก็ได้ฤกษ์เปิดให้ดาวน์โหลดจาก App Store แล้ว โดยแอพฯ ในชุดดังกล่าวจะมีให้ใช้งานถึง 3 ตัวด้วยกันได้แก่ Adobe Exel, Nav และ Color Lava ซึ่งทุกตัวจะสามารถทำงานร่วมกับ Photoshop CS5 บนเดสก์ทอปได้

(http://www.arip.co.th/images/news/adobe/adobe-photoshop-cs-5-ipad-app-adobe-nav-ezel-color-lava-2.jpg)

dobe เปิดตัว Creative Suite 5.5 ที่สนับสนุน iPad ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ผู้ใช้ยังไม่มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการใช้ฟังก์ชันดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แอพพลิเคชันบน iPad ของทาง Adobe ก็ได้ปรากฎใน App Store พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ว โดยตัวแรกคือ Adobe Ezel (4.99 เหรียญฯ ประมาณ 150 บาท) แอพพลิเคชันสำหรับการใช้นิ้ววาดรูปที่เหมือนจริงที่สุด ซึ่งภาพระบายสีที่วาดขึ้นบนแอพฯตัวนี้จะสามารถส่งตรงเข้าไปยัง Photoshop CS5 เพื่อนำไปประกอบการใช้งาน หรือปรับแต่งเพิ่มเติมได้

Adobe Color Lava (2.99 เหรียญฯ ประมาณ 90 บาท) เป็นแอพพลิเคชันที่เปิดโอกาสให้ครีเอทีฟขั้นเทพใช้นิ้วในการ"ผสมสี"บน iPad เพื่อสร้างชุดสีที่ต้องการ แล้วส่งกลับเข้าไปใช้ใน Photoshop ได้

Adobe Nav (1.99 เหรียญฯ ประมาณ 60 บาท) แอพพลิเคชันที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือก และควบคุมการใช้งานเครื่องมือต่างๆ ของ Photoshop บนคอมพิวเตอร์จาก iPad ผู้ใช้สามารถสามารถปรับแต่งทูลบาร์ สืบค้น ตลอดจนซูมไฟล์โฟโต้ชอป หรือสร้างไฟล์ใหม่ได้อย่างง่ายดาย มันจะดูคล้ายๆ กับการใช้ iPad เป็นรีโมทสำหรับการใช้ Photoshop บนเดสก์ทอป

แอพพลิเคชันอื่นๆ ทีสามารถใช้งานร่วมกันกับ Photoshop CS5 คาดว่าจะมาพร้อมกับ Photoshop Touch SDK ของ Adobe ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพฯ บนโมบาย และแท็บเล็ต ที่สามารถโต้ตอบกับ Adobe Photoshop CS5 และ Photoshop CS5 Extended ได้ โดย Photoshop Touch SDK และกลไกการสร้างสคริปท์จะทำให้โอเอสสำหรับแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม Android, BlackBerry หรือแอพพลิเคชันบน iOS สามารถโต้ตอบกับ Photoshop เวอร์ชันบนเดสก์ทอปได้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เน็ตบุ๊ค Chrome ขายแบบ "สมาร์ทโฟน"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤษภาคม 2011, 21:21:39
แหล่งข่าวที่เป็นผู้บริหารอาวุโสของทาง Google ได้เปิดเผยข้อมูลกับนิตยสาร Forbs ว่า ในงานประชุม Google I/O Developer ทางบริษัทจะเปิดตัวเน็ตบุ๊ค Chrome พร้อมด้วยแพคเกจสำหรับนักเรียน ซึ่งจะคิดค่าบริการในลักษณะของสัญญา โดยจะอยู่ที่ 20 เหรียญฯ (ประมาณ 600 บาท) ต่อเดือน

หากเป็นไปตามรายงานข่าวข้างต้น โมเดลดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนบริโภคคอมพิวเตอร์ของยูสเซอร์โดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังสนับสนุนระบบป้องกันโทรจันที่ทาง Google ได้ให้บริการอีกด้วย ส่วนค่าบริการรายเดือน 20 เหรียญฯ จะครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์ และบริการออนไลน์สำหรับเน็ตบุ๊ค ซึ่งทำงานด้วย Chrome OS ซอฟต์แวร์ระบบปฎิบัติการทีมีเว็บเป็นศูนย์กลาง โดยการเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการปูทางล่วงหน้าสำหรับเวอร์ชันของเน็ตบุ๊ค Chrome ที่เหมาะกับการใช้ในองค์กรด้วย ซึ่งหน่วยงานที่จะใช้ Chrome OS อาจจะต้องจ่ายเพิ่มจากค่าบริการ Google Apps ที่ 50 เหรียญ หรือประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/google-chome-netbook-rentals-for-20-dollars-per-month-2.jpg)

เน็ตบุ๊ค Chrome จะมีคุณสมบัติเหมือนกับเครื่องต้นแบบ CR-48 ทีมีการเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยตัวคอมพิวเตอร์จะมาพร้อมกับการเชื่อมต่อ 3G ในขณะที่สามารถโหลดเน็ต 100MB ต่อเดือนได้ฟรี เป็นเวลา 2 ปี และหากต้องการใช้เน็ตแบบไม่จำกัดจะสามารถเลือกจ่ายเป็น 10 เหรียญฯ ต่อวันก็ได้ หรือ 1GB ต่อเดือนจ่าย 20 เหรียญฯ 3GB ต่อเดือนจ่าย 35 เหรียญฯ และ 5GB ต่อเดือนจ่าย 50 เหรียญฯ แม้แพคเกจนักเรียนนักศึกษาที่คิดค่าเช่า 20 เหรียญฯต่อเดือนจะน่าสนใจเมื่อเทียบกับการที่จะต้องซื้อโน้ตบุ๊คที่ราคา 600 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 บาท) ขึ้นไป แต่ผู้ใช้อาจจะประสบกับปัญหาในการใช้แอพฯต่างๆ ที่มีใช้งานบน Windows และ Mac วัตถุประสงค์ของเน็ตบุ๊ค Chrome OS จะคล้ายๆ กับเน็ตบุ๊คตรงที่มันเป็น พีซีเครื่องที่สองที่ใช้สำหรับงานเบาๆ

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Shoppening แอปฯ เด็ดถูกใจขาชอป
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤษภาคม 2011, 21:31:00
ทู ทรี เปอร์สเปกทีฟ เปิดตัว Shoppening แอปพลิเคชั่นแรกของไทย ที่รวบรวมคูปองและโปรโมชันมากมายให้ใช้แบบฟรีๆ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006147401.JPEG)

      นายธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ทู ทรี เปอร์สเปกทีฟ กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนา Shoppening ขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งจะทำให้ทราบว่าร้านค้าใดได้เตรียมสิทธิพิเศษเอาไว้ ซึ่งจะช่วยให้ไม่พลาดส่วนลดและสิทธิพิเศษจากร้านค้าต่างๆ อีกต่อไป ด้วยระบบ GPS บนมือถือสมาร์ทโฟนที่สามารถระบุตำแหน่งเจ้าของเครื่อง และบอกได้ว่ามีส่วนลดและสิทธิพิเศษใดอยู่ใกล้บ้าง
      
      Shoppening เป็นส่วนผสมระหว่างคู่มือโปรโมชัน คูปองบนมือถือและเครือข่ายสังคม ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มแรกของเมืองไทยที่ช่วยให้นักชอปสามารถประหยัดได้ด้วยการได้รับส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นเพียงแค่โชว์คูปอง และยังแนะนำให้กับเพื่อนๆ ผ่านเครือข่ายสังคมต่างๆ ได้ ในชื่อเว็บไซต์ www.shoppening.com (http://www.shoppening.com) โดย Shoppening ได้รวบรวมส่วนลดและสิทธิพิเศษจากศูนย์การค้า ร้านอาหาร สถาบันความงาม คอนเสิร์ต สายการบิน โรงแรม รีสอร์ต และอื่นๆ สามารถใช้ได้บนสมาร์ทโฟนทั้งแบล็กเบอรี ไอโฟนและแอนดรอยด์ อีกทั้งยังสามารถแชร์หรือแนะนำบอกต่อเพื่อนๆ ผ่านเฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ได้ทันที
      
      ระบบการใช้งานคูปองผ่านมือถือ (Mobile Coupon) ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ของเมืองไทย โดยบริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในแหล่งชอปปิ้งชั้นนำ เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามสแควร์, ศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ ต่างๆ ซึ่ง Shoppening จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ประชาสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขายให้กับทางร้านค้าและธุรกิจที่ร่วมรายการได้ โดยจุดแข็งของแอปฯ Shoppening คือ มีคูปองให้ผู้ใช้งานสามารถนำคูปองจากในเว็บไปใช้ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจะแตกต่างจากเว็บไซต์รวบรวมดีล (Deal) หรือข้อเสนอพิเศษ ที่จะมีคูปองเงินสดจากร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ มาจำหน่ายได้ในราคาต่ำกว่าครึ่งของมูลค่าที่ใช้ได้จริง
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006147402.JPEG)

      Shoppening ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษในชื่อ Happy Hours เพื่อมอบของรางวัลให้กับสมาชิกในช่วงเวลาพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2554 โดยมีพันธมิตรเข้าร่วมมอบของรางวัลในกิจกรรมนี้จำนวน 30 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
      
      'คาดว่ากิจกรรมนี้จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ใช้บีบี ไอโฟนและแอนดรอย์ด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปฯ Shoppening แล้วมากกว่า 300,000 คน'
      
      ส่วนแผนงานในอนาคตนั้น บริษัทจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไปอาทิ ฟีเจอร์ Member Card บนโทรศัพท์มือถือ พร้อมกับแคมเปญ Thailand Grand Sale ของ ททท. และบัตรเครดิต VISA อีกด้วย และภายในปีนี้ บริษัทจะร่วมกับโนเกียพัฒนาบนแพลตฟอร์ม Shoppening ให้สามารถใช้ได้กับมือถือระบบซิมเบียน (Symbian) ระบบปฏิบัติการ Window 7 ตลอดจนแอปฯ ในอินเทอร์เน็ต ทีวีของค่าย LG ภายในปี 2555

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: เขย่าบัลลังก์Google “เฟซบุ๊ก” ดึงคนเข้าเว็บข่าวเพียบ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤษภาคม 2011, 23:07:02
การสำรวจล่าสุดพบเฟซบุ๊ก (Facebook) กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์อันดับ 2 ที่ช่วยให้เว็บไซต์ข่าวถูกเปิดอ่านมากขึ้นแบบก้าวกระโดด เป็นรองก็เพียงแชมป์เก่าอย่างกูเกิล (Google) ที่ยังคงครองแชมป์บริการที่ดึงชาวเน็ตให้เข้าอ่านข่าวบนเว็บไซต์ข่าวได้มากที่สุดเช่นเดิม
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006146501.JPEG)

      สะท้อนพฤติกรรมชาวออนไลน์ในช่วงปีที่ผ่านมาที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสเครือข่ายสังคมสุดร้อนแรงโดยตรง ทำให้ฐานะการเป็น “ประตูสู่เว็บไซต์” ของกูเกิลเริ่มสั่นคลอน ขณะที่มีการจับสังเกตว่า ทั้งกูเกิล และเฟซบุ๊ก ต่างเพิ่มดีกรีการแข่งขันกันเป็นประตูสู่โลกออนไลน์อย่างดุเดือดขึ้นทุกขณะ
      
      ผลการสำรวจนี้มาจากการศึกษาของบริษัทวิจัย Pew Research Center ซึ่งดำเนินโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน หรือ Project for Excellence in Journalism ทำการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคข่าวออนไลน์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2010 ใช้สถิติการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจากบริษัทนีลเส็น (Nielsen) โดยเลือกเว็บไซต์ข่าวยอดนิยม 25 อันดับแรกในสหรัฐฯ มาวิเคราะห์ถึงความถี่ในการใช้งานของผู้อ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ระยะเวลาในการอ่านข่าวแต่ละครั้ง ขอบเขตความลึกของการค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ รวมถึงเว็บไซต์ถัดไปหลังจากอ่านข่าวเสร็จ
      
      ปรากฏว่า กว่า 40% ของปริมาณการใช้งานเว็บไซต์ข่าวอเมริกัน (ทราฟฟิก) ทั้ง 25 แห่งนั้นมาจากเว็บไซต์อื่น โดยบริการ Google News ของกูเกิล คือบริการที่สามารถเพิ่มทราฟฟิกให้เว็บข่าวอเมริกันได้มากที่สุด สำหรับ 60% ของทราฟฟิกที่เหลือ การสำรวจพบว่าผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าสู่เว็บไซต์โดยพิมพ์ชื่อเว็บข่าวเพื่อเปิดหน้าโฮมเพจโดยตรง จุดนี้ทำให้โฮมเพจของเว็บไซต์ข่าวเป็นส่วนที่ถูกเปิดชมมากที่สุด ซึ่งพบในเว็บไซต์ 21 ใน 25 แห่งที่ทำการสำรวจ
      
      ทีมสำรวจตั้งข้อสังเกตว่า โซเชียลมีเดียหรือสื่อในเครือข่ายสังคมเช่นเฟซบุ๊กกำลังเป็นเครื่องมือดันทราฟฟิกตัวใหม่ที่มาแรงแซงเครื่องมืออื่น โดยขณะที่กูเกิลเป็นเบอร์ 1เฟซบุ๊กกลับเป็นบริการที่ช่วยดันยอดทราฟฟิกเว็บไซต์ข่าวอเมริกันมากเป็นอันดับ 2 จุดนี้พบในเว็บไซต์ 5 ใน 25 แห่งที่ทำการสำรวจ
      
      นัยของผลสำรวจนี้คือ การเสิร์ชหรือการค้นหาข่าวบนเสิร์ชเอนจินซึ่งมีอิทธิพลต่อนักอ่านข่าวออนไลน์มานานนับ 10 ปี กำลังจะถูกแทรกซึมด้วยการ “แบ่งปันข่าว” หรือการแชร์ (sharing) ข่าวซึ่งเชื่อว่าจะมีอิทธิพลต่อนักอ่านข่าวต่อเนื่องในช่วง 10 ปีนับจากนี้
      
      เว็บไซต์ข่าวอเมริกันที่ได้รับทราฟฟิกจากเฟซบุ๊กมากที่สุด คือ The Huffington Post โดยคิดเป็น 8% จากผู้อ่านทั้งหมด
      
      เครือข่ายสังคมชื่อดังอย่างทวิตเตอร์ (Twitter) กลับไม่มีแรงดันทราฟฟิกเว็บไซต์ข่าวอย่างที่หลายคนคิด โดยมี 1 ใน 25 เว็บไซต์เท่านั้นที่ได้รับทราฟิกจากทวิตเตอร์มากเกินกว่า 1% นั่นคือ The Los Angeles Times ที่ได้รับทราฟฟิกจากทวิตเตอร์ราว 3.53%
      
      อย่างไรก็ตาม ในแง่ของระยะเวลาการใช้งาน การสำรวจพบว่าผู้อ่านเว็บไซต์ข่าวอเมริกันส่วนใหญ่ (77% ของทราฟฟิกทั้งหมดในเว็บไซต์ข่าวอเมริกัน 25 แห่ง) อ่านข่าวออนไลน์เพียง 1-2 ครั้งต่อเดือน และเวลาในการใช้งาน 1 ครั้งนั้นต่ำเพียง 2-3 นาทีต่อครั้งเท่านั้น โดยบริการยาฮูนิวส์ (Yahoo! News) คือบริการที่มี “กลุ่มผู้อ่านน้อยครั้ง” ต่ำที่สุด ซึ่งก็ยังมีสัดส่วนสูงถึง 55%
      
      สำหรับกลุ่มที่อ่านข่าวออนไลน์เป็นประจำมากกว่า 10 ครั้งต่อเดือน และใช้เวลาอ่านแต่ละครั้งมากกว่า 1 ชั่วโมง ปรากฏว่าผู้อ่านกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยราว 7% ของทราฟฟิกเท่านั้น โดยซีเอ็นเอ็น (CNN) คือเว็บไซต์ข่าวที่มี “ผู้อ่านขาประจำ” มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 18% ของทราฟฟิกรวม รองลงมาคือ Fox New's ที่มีสัดส่วนผู้อ่านกลุ่มนี้สูงถึง 16%
      
      การสำรวจพบว่า มีเว็บไซต์ข่าวอเมริกันเพียง 6 แห่งเท่านั้นที่มีผู้อ่านขาประจำในสัดส่วนเป็นเลข 2 หลัก
      
      ทีมวิจัยสรุปความแตกต่างของผลการสำรวจที่ได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่องค์กรข่าวอเมริกันและทั่วโลกควรสรรหากลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อรองรับกลุ่มตลาดที่มีความต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของการบริการข่าว และการหารายได้จากผู้อ่าน โดยมองว่าโฆษณานั้นอาจเหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่านบางกลุ่มเท่านั้น ขณะที่รูปแบบการสมัครสมาชิกก็ยังคงเหมาะสำหรับผู้อ่านอีกกลุ่ม
      
      การสำรวจยังพบว่า Google คือเว็บไซต์ปลายทางอันดับ 1 ที่ผู้ใช้เปิดหลังอ่านข่าวจบแล้ว ก่อนที่ผู้ใช้จะท่องเว็บอื่นๆ ต่อเนื่องไปเรื่อย อย่างไรก็ตาม จุดนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่ากูเกิลไม่แสดงลิงก์ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บเฟซบุ๊กเช่นที่ส่งลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์อื่นๆ ทำให้ทั้งกูเกิลและเฟซบุ๊กถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งในแง่ของการเป็นประตูสู่เว็บไซต์อื่น
      
      เว็บไซต์ 25 แห่งที่ถูกดำเนินการศึกษาในครั้งนี้ ประกอบด้วย เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ 11 แห่ง ได้แก่ The New York Times, The Washington Post, USA Today, The Wall Street Journal, The Los Angeles Times, New York Daily News, New York Post, Boston Globe, San Francisco Chronicle, Chicago Tribune และ Daily Mail ของอังกฤษ
      
      เว็บไซต์ 6 แห่งเป็นเว็บไซต์เครือข่ายเคเบิลทีวี เช่น MSNBC, CNN, ABC, Fox, CBS และ BBC อีก 7 แห่งเป็นบริการเว็บท่ารวมข่าว เช่น Google News, the Examiner, Topix, Bing News, Yahoo! News, AOL และ The Huffington Post โดยเว็บไซต์สุดท้าย คือ สำนักข่าวสากลอย่าง Reuters

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Google เปิดตัว "Music Beta" ฝากเพลงฟรี 20,000 เพลง บนระบบคลาวด์
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 11 พฤษภาคม 2011, 23:19:13
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อกูเกิลประกาศเปิดตัว "Music Beta" บนเวทีงานประชุมนักพัฒนาประจำปี Google I/O 2011 โดยจะเปิดให้สมาชิกสามารถอัปโหลดไฟล์เพลงสูงสุดถึง 20,000 เพลง ไปยังเซิร์ฟเวอร์ และสตรีมมิ่งเพลงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ไปยังคอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตที่ใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยจะรองรับการใช้งานโปรแกรมแฟลช เพลย์เยอร์
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006166901.JPEG)

      Peter Kafka โฆษกจากูเกิล กล่าวว่า บริการมิวสิคเบต้านั้นสามารถแสดงผลหน้าปกอัลบัม, รายชื่อนักร้อง และใช้ฟีเจอร์ "Instant Mix" ในการสร้างรายการเพลง (Playlist) ส่วนตัวได้ และสามารถสั่งมิกซ์เพลงจาก 25 แทร็คได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำงานบนระบบคลาวด์คอมพิวเตอร์
      
      "ขณะนี้บริการมิวสิคเบต้าเปิดให้ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เท่านั้น และมีแผนจะเปิดให้ใช้บน iOS ในระยะเวลาอันใกล้นี้"
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006166902)

      นักวิเคราะห์มองว่า บริการกูเกิลมิวสิคนั้นพัฒนาขึ้นมาโดยหวังจะเกทับบริการ Cloud Service จากอเมซอน ด้วยรูปแบบการใช้งานที่คล้ายคลึงกัน แต่มีความเหนือกว่าทั้งในเรื่องของพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล และฟีเจอร์การใช้งาน โดยบริการจากอเมซอนนั้นเปิดให้พื้นที่เพียง 5กิกะไบต์ สำหรับไฟล์เพลง 1,200 เพลง
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006166903)

      สำหรับในระยะแรกบริการมิวสิคเบต้าจะเปิดให้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดยจะรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 2.2 ขึ้นไป สำหรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์สามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อใช้งานได้ที่เว็บไซต์ music.google.com โดยกูเกิลคาดการณ์ว่าจะเริ่มนำบริการดังกล่าวไปไว้โมโตโรล่าซูม ที่ใช้งานเครือข่ายเวอไรซอน (Verizon) ของสหรัฐฯ ภายในสัปดาห์นี้

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006166904)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006166905)

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: Samsung เปิดตัว ChromeBook แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤษภาคม 2011, 21:30:29
รายงานข่าวล่าสุด ซัมซุง (Samsung) ได้เปิดตัว Samsung Series 5 ChromeBook เน็ตบุ๊คที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Chrome OS แล้วเมื่อคืนนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีดีไซน์ที่สวยงาม-บางเบาน่าใช้เท่านั้น แต่มันยังมีสเป็กการทำงานของเครื่องที่น่าสนใจอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-series-5-chromebook-at-google-io-developer-conference-2.jpg)

Samsung Series 5 ChromeBook เน็ตบุ๊คที่มีความบางเป็นพิเศษแค่ 0.79 นิ้ว โดยจะทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Chrome OS ของ Google ภายในตัวเครื่องใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Atom ของ Intel และแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ทั้งวัน ซึ่ง Google ให้นิยามความหมายของการใช้งานได้ทั้งวันนี้ว่า สามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 8.5 ชั่วโมง Samsung ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Series 5 ChromeBook ว่า มันมีหน้าจอขนาด 12.1 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล ความสว่าง 300 nit และมีน้ำหนักเพียง 3.6 ปอนด์ (ประมาณ 1.63 กิโลกรัม) เชื่อมต่อการทำงานไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11 หรือจะเลือกใช้เป็น 3G ก็ได้ มี USB 2.0 ให้ 2 พอร์ต เว็บแคม และแทร็คแพดแบบคลิกได้

(http://www.arip.co.th/images/news/samsung/2/samsung-series-5-chromebook-at-google-io-developer-conference-3.jpg)

ข้อมูลล่าสุดที่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับสเป็กของ Samsung Series 5 ChromeBook ในเว็บไซต์ Amazon ระบุว่า ซ๊พียูที่ใช้ในเครื่องเป็น Intel Atom N570 ดูอัลคอร์โพรเซสเซอร์ที่ทำงานด้วยความเร็ว 1.66GHz  เว็บแคม 1M สตอเรจเป็น SSD 16GB (mSATA) พร้อมกันนี้ยังมีช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ SDXC และสามารถต่อออก VGA ภายนอกผ่านทางอุปกรณ์เพิ่มเติม วางตลาด 15 มิถุนายน โดยสนนราคาเวอร์ชัน Wi-Fi อยู่ที่ 429 เหรียญฯ (ประมาณ 13,000 บาท) แต่ถ้าเป็น 3G ราคาจะขยับขึ้นเป็น 499 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 บาท) โดยราคานี้จะรวมบริการของ Verizon ในต่อเน็ตต่อเดือนได้ฟรี 100MB

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: iKeyboard คีย์บอร์ด iPad ไม่ง้อแบตฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤษภาคม 2011, 22:34:56
ในขณะที่ผู้ใช้ทั่วโลกกำลังหลงไหลใฝ่ปลื้มไปกับ iPad แต่ก็มีผู้ใช้ส่วนใหญ่เลยทีเดียวที่ไม่ปลื้มกับการพิมพ์สัมผัสบนหน้าจอ (On-Screen Keyboard) ในขณะเดียวกัน คงไม่มีใครคิดอยากที่จะพกพา"คีย์บอร์ด"อีกอันหนึ่งติดตัวไปด้วย เช้านี้ กองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip เรามีคำตอบที่น่าสนใจมาแนะนำกันครับ

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iKeyboard-no-battery-keyboad-for-ipad-2.jpg)

iKeyboard เป็นคอนเซปต์ของ"คีย์บอร์ด"สำหรับไอแพด (iPad) ที่มีไอเดียของการออกแบบไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นคีย์บอร์ดทีใช้ต่อพ่วงกับไอแพด หรือซองใส่ที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ด อย่างที่เราได้เคยพบเห็นกันไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ iKeyboard ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็น"แผ่นปิดทับ"ขึ้นไปบนi Pad โดยใช้วัสดุในการผลิตที่มีความบางเบาด้วยดีไซน์ที่สามารถยึดติดกับ iPad ได้ ซึ่งแผงด้านบนที่ปิดทับหน้าจอจะถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆ ให้มีขนาดเท่ากับปุ่มต่างๆ ที่ปรากฎบนคีย์บอร์ดที่แสดงบนหน้าจอ iPad และภายในช่องที่เจาะไว้จะมีวัสดุคล้ายปุ่มโค้งนูนให้ความรู้สึกเหมือนกดปุ่มบนคีย์บอร์ดจริงๆ เพียงแค่นี้ ผู้ใช้ iKeyboard กับ iPad ก็จะได้ความรู้สึกถึงการพิมพ์ที่สะดวกกว่าเดิมแล้ว

(http://www.arip.co.th/images/news/ipad/2/iKeyboard-no-battery-keyboad-for-ipad-3.jpg)

สำหรับวัสดุโค้งนูนที่อยู่ภายในช่องของ iKeyboard จะสามารถยุบตัวเลงเมื่อถูกกด และสัมผัสเข้ากับปุ่มของคีย์บอร์ดเสมือน (virtual keyboard) บนหน้าจอ iPad อย่างพอดิบพอดี ในขณะเดียวกันวัสดุที่ใช้ทำหน้าที่แบบปุ่มสัมผัสจะคืนตัวโค้งนูนกลับเหมือนเดิม เมื่อยกนิ้วขึ้น ซึ่งลัษณะของการสัมผัสที่ได้จะคล้ายกับการจิ้มลงบนคีย์บอร์ดจริงๆ ด้วยวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะให้ได้ประสบการณ์ในการพิมพ์ที่คุ้นเคยเท่านั้น ดีไซน์ของ iKeyboard ยังช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพกพาคีย์บอร์ดอีกตัวหนึ่งติดตัวไปให้วุ่นวายอีกด้วย

เหนืออื่นใด เนื่องจากมันไม่ใช่คีย์บอร์ดจริงๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องคอยชาร์จแบตฯ ให้มันแต่อย่างใด iKeyboard เป็นคอนเซปต์ที่สร้างสรรค์โดย Cliff Thier ซึ่งถูกนำเสนอบนเว็บไซต์ Kickstarter เพื่อระดมทุนในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่ายจริงๆ โดยเป้าหมายในการระดมทุนครั้งนี้อยู่ที่ 4,000 เหรียญฯ (ประมาณ 120,000 บาท) คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณ 30 เหรียญฯ (900 บาท)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Angry Birds เปิดให้ลองเล่นบนเว็บฟรี!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤษภาคม 2011, 22:42:53
Angry Birds เกมส์ยอดฮิตกำลังพยายามกระโดดออกมาอาละวาดบนแพลตฟอร์มอื่นๆ นอกเหนือจากสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โมบายต่างๆ โดยล่าสุดในงาน Google I/O Developer ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ Peter Vesterbacka ซีอีโอของ Rovio ได้ออกมาประกาศว่า จากความร่วมมือกับ Google ทำให้วันนี้ Angry Birds เวอร์ชันบนเว็บได้เปิดให้ทดลองเล่นได้ฟรีแล้ววันนี้

หลังจากที่ Angry Birds หรือเกมส์"นกโกรธ" ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเป็นแอพฯ ที่ได้รับความนิยมในทุกแพลตฟอร์ม โดยมันถูกดาวน์โหลดไปเล่นแล้วมากกว่า 140 ล้านครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคม 2009 และยังไม่มีทีท่าว่าความฮอตฮิตของมันจะตกลงแต่อย่างใด ซึ่งในงาน Google I/O Developer เมื่่อคืนนี้ Peter Vesterbacka ซีอีโอของ Rovio ได้ประกาศว่า ขณะนี้เกมส์ Angry Birds ได้มีวางจำหน่ายใน Chrome Web Store แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทกำลังทดสอบการใช้งานมันอยู่ในขณะนี้ โดย Angry Birds เวอร์ชันบนเว็บจะสมารถใช้เล่นโดยเว็บบราวเซอร์ตัวใดก็ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/games/angry-birds-chrome-web-version-free-playing-now-2.jpg)

อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจของ Angry Birds เวอร์ชันเว็บก็คือ การออกแบบ และพัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้เล่นบนบราวเซอร์ Chrome โดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงแบคกราวด์ และเลเวลต่างๆ ของเกมส์ที่ออกแบบมา เพื่อใช้เล่นบนบราวเซอร์ตัวนี้ แต่คุณผู้อ่านก็ยังสามารถเข้าไปที่ http://chrome.angrybirds.com/ ด้วยบราวเซอร์ตัวใดก็ได้ เพื่อทดลองเล่นฟรีได้เช่นกัน โดยสามารถเลือกเล่นได้ 2 เวอร์ชันคือ SD และ HD (Hi-Definition) ซึ่งในเวอร์ชัน HD จะเล่นได้ดีบนบราวเซอร์ IE9 และ Chrome ในขณะที่ Firefox 4 และ Opera อาจจะกระตุกเล็กน้อย ในส่วนของผู้ใช้ Chrome ที่ติดตั้งเกมส์ผ่าน Chrome Web Store จะสามารถเล่นเกมส์ในโหมดออฟไลน์ จัดเก็บเลเวลต่างๆ ตลอดจนสามารถซื้อตัวช่วยจาก Mighty Eagle ได้ (จ่ายค่าแอพฯ ผ่านระบบชำระเงินค่าเว็บแอพอันใหม่ของ Google)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Pioneer เปิดตัวโต๊ะทัชสกีน หน้าจอ 52 นิ้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤษภาคม 2011, 23:08:17
ในช่วงเวลาที่แท็บเล็ตกระดานชนวนกำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามบนโลกไซเบอร์ สิ่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน และดูเหมือนจะสร้างความสนใจให้กับผู้ชื่นชอบแก็ดเจ็ตมาเป็นเวลานาน คงหนีไม่พ้นโต๊ะทัชสกรีนหรือ Microsoft Surface ที่ล่าสุดบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกชั้นนำของญี่ปึ่นอย่างไพโอเนียร์ (Pioneer) ได้ออกมาประกาศเปิดตัว "WWS-DT101" โต๊ะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าจอแบบมัลติทัชขนาดกว้าง 52 นิ้ว ออกสู่ตลาด
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006217901.JPEG)

      รายงานข่าวจากเว็บไซต์ Akihabaranews ของประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า Microsoft Surface จากไพโอเนียร์นั้นมีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุดในตอนนี้ โดยปีที่ผ่านมาผู้ผลิตจากแดนกิมจิอย่างซัมซุงได้เปิดตัว Microsoft Surface ขนาดหน้าจอ 40 นิ้ว และใช้ซีพียู AMD Athlon II X2 Dual-Core 2.9 GHz
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006217903)

      WWS-DT101 นั้นใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ที่ไพโอเนียร์พัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยจะสั่งการและแสดงผลผ่านหน้าจอทีวี Full HD ขนาด 52 นิ้ว ที่รองรับการใช้งานแบบมัลติทัช ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการไฟล์เอกสารโดยการใช้นิ้วมือสัมผัสลงบนหน้าจอ รองรับการเชื่อมต่อยูเอสบี, ไวไฟ และเทคโนโลยี TransferJet ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์, ไอโฟน, ไอแพด ในแบบไร้สายผ่านแอปพลิเคชัน VisualSync (สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีใน App Store)
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006217902)

      ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows7 64บิต, ใช้ซีพียู Intel Quad Core i7 950 RAM 6GB มาพร้อมสแกนเนอร์แบบแท่ง PFU ScanSnap S1100 ที่ฝังตัวอยู่ใต้พื้นโต๊ะ ซึ่งจะช่วยสแกนเอกสาร และอุปกรณ์อื่นๆได้ ได้บนหน้าจอ อีกทั้งยังรองรับการใช้งาน Teleconference หรือการประชุมทางไกลแบบเห็นหน้าผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และรับส่งไฟล์เอกสารจากคู่สนทนาปลายทางได้ทันที
      
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=554000006217904)

      WWS-DT101 จะวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นภายในเดือนสิงหาคมนี้ ในราคา 3ล้านเยน หรือประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลระบุว่าไพโอเนียร์พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในองค์กรมากกว่าการนำมาใช้งานภายในบ้านเรือน

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: "Chromebook" พร้อมขายมิ.ย.นี้ กูเกิลโชว์เปิดปุ๊บออนไลน์ปั้บใน 8 วิฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 12 พฤษภาคม 2011, 23:14:14
สังเวียนโน้ตบุ๊กเตรียมระเบิด เพราะกูเกิลประกาศเปิดตัว "โครมบุ๊ก (Chromebook)" คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการโครมโอเอสฝีมือการผลิตโดยซัมซุงและเอเซอร์จำนวน 2 รุ่นที่งานประชุมนักพัฒนาประจำปี Google I/O 2011 ระบุว่าทั้ง 2 รุ่นจะพร้อมวางจำหน่ายในร้านออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนเป็นต้นไปที่เว็บไซต์ Amazon.com และเว็บไซต์ของ Best Buy
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006228801.JPEG)

      การเปิดตัว"โครมบุ๊ก"ของกูเกิลถูกกล่าวขานว่าก้าวใหม่ในการแจ้งเกิด"คลาวด์คอมพิวเตอร์"สู่ตลาด เพราะระบบปฏิบัติการโครมโอเอส (Chrome operating system) เป็นระบบปฏิบัติการออนไลน์ (Web-based) ที่มีจุดเด่นคือการไม่กินทรัพยากรเครื่องมากเท่าระบบปฏิบัติการปกติ แถมยังลดเวลาในการเปิดเครื่องจากนาทีให้เหลือเป็นหลักวินาทีได้เพราะไม่ต้องใช้เวลาเปิดการทำงานไบออส โดยบนเวทีเปิดตัว กูเกิลได้สาธิตให้เห็นว่าโครมบุ๊กนั้นสามารถเปิดเครื่องและออนไลน์ได้ใน 8 วินาทีเท่านั้น
      
      และแทนที่จะต้องเสียเงินซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมมาติดตั้งในเครื่อง ผู้ใช้โครมโอเอสยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันออนไลน์เช่น Gmail, Angry Birds หรือ Google Docs ซึ่งให้บริการบนเว็บไซต์มาใช้งานได้ในเวลาไม่กี่วินาทีผ่านหน้าเบราว์เซอร์ Chrome Browser
      
      ข้อมูลจากงานนี้ระบุว่า Samsung Series 5 Chromebook จะประเดิมวางจำหน่ายที่สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และสเปน ประกอบด้วย 2 รุ่นคือรุ่นที่รองรับเครือข่ายข้อมูลไร้สาย WiFi อย่างเดียว จะวางจำหน่ายในราคา 429 เหรียญสหรัฐ (12,870 บาท) และรุ่นที่รองรับ 3G ด้วยในราคา 499 เหรียญ (ราว 14,970 บาท)
      
      อย่างไรก็ตาม โครมบุ๊กจากเอเซอร์จะมีราคาต่ำกว่าโดยรุ่น WiFi จะมีราคาเริ่มต้นที่ 349 เหรียญ (ราว 10,470 บาท) มีกำหนดการวางแผงในตลาดเดียวกัน
      
      ทั้งหมดนี้ Sundar Pichai รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์โครมของกูเกิล ระบุว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของโครมโอเอสคือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพราะโน้ตบุ๊กคืออุปกรณ์ที่ถูกใช้เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากที่สุดในขณะนี้
      
      กำหนดการจำหน่ายโครมบุ๊ก 15 มิถุนายนถือว่าเป็นไปตามการประกาศที่ Pichai เคยประกาศไว้ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่ากูเกิลและพันธมิตรจะพร้อมจัดส่งโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการโครมโอเอสได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2011 หลังจากที่กูเกิลจัดส่งโน้ตบุ๊กระบบปฏิบัติการโครมในชื่อ Cr-48 แก่ผู้ใช้จำนวนมากมาระยะหนึ่ง
      
      อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวั่นใจในโครมบุ๊กคือการไม่มีหน่วยความจำภายในเครื่อง เพราะโครมบุ๊กมีจุดยืนให้ผู้ใช้เข้าสู่ออนไลน์เพื่อใช้งานเว็บแอปพลิเคชันบนคลาวด์เซิร์ฟเวอร์โดยตรง แปลว่าโครมบุ๊กจะไม่สามารถทำงานได้หากเกิดกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
      
      ครั้งนี้ กูเกิลแสดงท่าทีชัดเจนในการรุกตลาดองค์กรด้วยการนำเสนอค่าบริการรายเดือนแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ โดยจะให้บริการรักษาความปลอดภัย โปรแกรมกำหนดนโยบายการเข้าถึงว่าใครสามารถใช้แอปพลิเคชันใดได้บ้าง การรับประกันสินค้าเสียหายทั้งการเปลี่ยนเครื่องใหม่และการซ่อมบำรุง เบื้องต้นกูเกิลกำหนดค่าบริการไว้ที่ 28 เหรียญต่อเดือนต่อผู้ใช้ 1 คนสำหรับองค์กรธุรกิจ และ 20 เหรียญต่อเดือนต่อผู้ใช้ 1 คนในสถาบันการศึกษา กำหนดให้ต้องสมัครสมาชิกขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป
      
      นอกจากโครมบุ๊ก กูเกิลระบุว่าจะร่วมมือกับซัมซุงผลิต Chromebox เดสก์ท็อปบางเฉียบที่จะเปิดให้องค์กรสามารถสมัครใช้บริการในรูปแบบสมาชิกกับกูเกิลได้เช่นกัน คาดว่าจะได้รับความสนใจจากองค์กรจำนวนมากเพราะสามารถลดภาระการดูแลเครื่อง ตัวเครื่องบูตเร็ว สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แบตเตอรี่อยู่ได้นาน ข้อมูลถูกเก็บบนกลุ่มเมฆไม่สูญหายและเรียกใช้ได้ยืดหยุ่น ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่ออัปเกรดเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ และความปลอดภัยที่ดีกว่าพีซีทั่วไป

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ทวิตเตอร์ยกเครื่อง "เว็บไซต์" บนโมบาย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 พฤษภาคม 2011, 22:21:26
รายงานข่าวล่าสุด ทวิตเตอร์ (Twitter) ได้ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชันบนอุปกรณ์โมบายใหม่เกือบทั้งหมด โดยเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี HTML5 ซึ่งทำให้เว็บไซต์ของ Twitter ที่ใช้งานบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตสะดวกคล่องตัวกว่าเดิม เนื่องจากมันจะคล้ายกับการใช้แอพฯ มากขึ้นนั่นเอง

"เราต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงทวิตเตอร์ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ใช้อุปกรณ์อะไร ตลอดจนคุณชอบใช้ทวิตเตอร์ผ่านทางแอพพลิเคชันบนมือถือ หรือบราวเซอร์ก็ตาม" ข้อความในบล็อกของทวิตเตอร์ "เว็บแอพฯ ที่ได้รับการออกแบบ และพัฒนาขึ้นมาล่าสุดนี้จะให้ประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดในการใช้ทวิตเตอร์บนอุปกรณ์หน้าจอสัมผัส ไม่ว่าจะมีแอพฯ ติดตั้งอยู่ในเครื่อง หรือไม่ก็ตาม"

(http://www.arip.co.th/images/news/twitter/1/twitter-re-design-HTML5-web-app-for-mobile-devices-2.jpg)

สำหรับการอัพเดตครั้งนี้ Twitter ได้ทำการยกเครื่องเว็บไซต์บนอุปกรณ์โมบายใหม่ทั้งหมด โดยมุ่งเน้นไปที่การตอบโจทย์การใช้งานบนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตด้วยการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีเว็บล่าสุดอย่าง HTML5 ซึ่งจะให้ประสบการณ์ในการใช้เว็บแอพของ Twitter ไม่แตกต่างจากการใช้แอพฯ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนหน้าจอแสดง timeline ของยูสเซอร์ที่ไหลลื่น

การเปลี่ยนแท็บไปมาระหว่าง @mentions, DM, Search และ Trending topics รวมถึงการเปิดหน้าเขียนทวีต อย่างไรก็ตาม HTML5 ทีใช้พัฒนาเว็บแอพฯ Twitter จะยังไม่สามารถใช้งานได้กับสมาร์ทโฟนทุกรุ่น (iPhone, iPod Touch และ Android) นอกจากจะมีการยกเครื่องเว็บแอพฯ แล้ว ทางบริษัทยังได้ดีไซน์ Twitter เวอร์ชันบน Mac ใหม่ให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: พบช่องโหว่ WebGL ล่ม Firefox,Chrome
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 13 พฤษภาคม 2011, 22:28:39
CERT หน่วยงานที่ดูแลทางด้านความพร้อมต่อภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ในสหรัฐ แนะนำยูสเซอร์ที่ใช้บราวเซอร์ Mozilla Firefox และ Google Chrome ยกเลิก (disable) กลไกเร่งการทำงานทางด้านกราฟิก 3D หรือ WebGL เนื่องจากตรวจสอบพบช่องโหว่ที่สามารถนำไปใช้ในการขโมยข้อมูล หรือล่มระบบการทำงานคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้

WebGL มาตรฐานเว็บที่เป็นกลไกการทำงานใหม่ล่าสุด สำหรับการแสดงผลกราฟิก 3D บนเว็บบราวเซอร์ กำลังเปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีที่ร้ายแรงสำหรับผู้ใช้ ซึ่งรวมถึงการขโมยรูปภาพต่างๆ ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อไปจนถึงการสร้างรูปแบบการโจมตีแบบ DoS (Denial-of-Service attacks) ซึ่งนอกจากหน่วยงานข้างต้นแล้ว ยังมีบริษัทวิจัย Context Information Security ที่ออกมาแจ้งเตือนในเรื่องนี้ด้วย โดยกลไกการทำงานของ WebGL จะพบได้ในบราวเซอร์ Chrome เวอร์ชัน 9 ขึ้นไป และ Firefox 4 ในขณะเดียวกัน WebGL กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเพิ่มเข้าไปในบราวเซอร์ Opera และ Safari ด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/security4/webgl-flaw-firefox-and-chrome-user-are-in-risk-to-be-attacked-2.jpg)

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จาก Context ไม่คิดว่า ช่องโหว่ใน WebGL จะถูกนำไปใช้โจมตีอย่างแพร่หลายได้อย่างรวดเร็วนัก แต่เพื่อความปลอดภัย ผู้ใช้ และแผนกไอทีในหน่วยงานต่างๆ ควรปิดการทำงานของ WebGL ในบราวเซอร์ เทคโนโลยี WebGL ได้รับการออกแบบให้สามารถเร่งการสร้างกราฟิก 3D ในบราวเซอร์ โดยเปิดโอกาสให้บราวเซอร์ทำงานกับฮาร์ดแวร์ในส่วนที่เป็นการ์ดแสดงผลกราฟิกได้โดยตรง ช่องโหว่ที่พบใน WebGL จะเปิดช่องให้แฮคเกอร์สามารถเข้าโจมตีจนระบบล่มด้วย BSOD (Blue Screen of Death) หรือแม้แต่การขโมยข้อมูลสำคัญออกไปจากคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้ สำหรับการยกเลิก WebGL ใน Firefox 4 ให้พิมพ์ about:config ในช่องป้อนแอดเดรส แล้วตั้งค่าของ webgl.disabled เป็น true ส่วน Chrome ให้เปิดหน้าต่าง cmd (พิมพ์คำสั่ง cmd ในช่อง serch/run ของ windows แล้วกด Enter) จากนั้นพิมพ์บรรทัดคำสั่ง chrome.exe --disable-webgl แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด เป็นอันเรียบร้อย

(http://www.arip.co.th/images/news/security4/webgl-flaw-firefox-and-chrome-user-are-in-risk-to-be-attacked-3.jpg)

(http://www.arip.co.th/images/news/security4/webgl-flaw-firefox-and-chrome-user-are-in-risk-to-be-attacked-4.jpg)

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: นักวิเคราะห์เผย iPhone 4S กำลังจะมา
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 พฤษภาคม 2011, 21:04:56
วันหยุดอย่างนี้ ขอเริ่มต้นด้วยรายงานข่าวที่เพิ่งจะมีการเปิดเผยออกมาจากนักวิเคราะห์บริษัท Jeffries & Co. ที่อ้างว่า iPhone รุ่นถัดไปไม่ใช่ iPhone 5 แต่เป็น iPhone 4S ทีมีคุณสมบัติ และประสิทธิภาพของการทำงานเหนือกว่า iPhone 4 ในขณะที่ดีไซน์ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยจะสามารถใช้ได้กับทั้งเครือข่ายผู้ให้บริการอย่าง Sprint และ T-Mobile ในสหรัฐฯ

ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยกับนิยสาร Forbes โดย Peter Misek นักวิเคราะห์จาก Jeffries & Co. อ้างว่า iPhone รุ่นต่อไปจะยังไม่สนับสนุน 4G แต่จะใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่า 3G ในปัจจุบัน เขายังกล่าวอีกด้วยว่า iPhone 5 ที่มีข่าวว่าจะออกในเดือนกันยายน จะมีดีไซน์จะแตกต่างจากรุ่นปัจจุบันเล็กน้อย แต่คุณสมบัติของเครื่องจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ละเอียดกว่าเดิม การใช้ชิป Dual-Core A5 (ใช้ใน iPad 2) และสนับสนุน HSPA+ โดยโอเปอเรเตอร์ที่จะสนับสนุน iPhone รุ่นใหม่นี้จะมี Sprint, T-Mobile และ China Mobile

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/apple-next-iphone-is-iphone-4S-2.jpg)

ตามรายงานข่าวยังอ้างอีกว่า Apple คาดหวังที่จะได้ติดตั้งชิป LTE บน iPhone รุ่นถัดไป (iPhone 5) แต่ประสิทธิภาพที่ได้ออกมาตอนนี้ มันยังไม่ได้มาตรฐานของ Apple แผนของทางบริษัทจึงเปลี่ยนเป็นการออก iPhone 4S แทน โดยคุณสมบัติของเครื่องจะค่อนข้างสอดคล้องกับที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นโพรเซสเซอร์ A5 หรือกล้องด้านหลังที่คาดว่าจะมีการอัพเกรดเป็น 8 ล้านพิกเซล ว่าแต่คุณผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรครับ? จะรอ iPhone 5 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2012 หรือ iPhone 4S ช่วงปลายปีนี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: นร.ไทย คว้า นักวิทย์ฯรุ่นเยาว์ 'อินเทล ไอเซฟ 2011'
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 พฤษภาคม 2011, 21:59:49
นักเรียนไทย คว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ในการประกวดผลงานทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับนานาชาติ หรืออินเทลไอเซฟ จากผลจากทำพลาสติกจากเกล็ดปลา รับทุนการศึกษา 50,000 เหรียญสหรัฐ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006311402.JPEG)

      นายพรวสุ พงศ์ธีระวรรณ นางสาวธัญพิชา พงศ์ชัยไพบูลย์ และ นางสาวอารดา สังขนิตย์ ทีมจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ของมูลนิธิ อินเทล (Intel Foundation Young Scientist Award) ในการประกวดผลงานทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับนานาชาติ หรืออินเทลไอเซฟ โดยนักเรียนทั้งสามคนได้รับทุนการศึกษา 50,000 เหรียญสหรัฐ จากความสำเร็จในการวิจัยเรื่องการสกัดเจลาตินจากเกล็ดปลาและนำมาผลิตพลาสติกบรรจุอาหาร ซึ่งเป็นโครงงานที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง โครงงานวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ในการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว
      
      เช่นเดียวกับนายเทย์เลอร์ วิลสัน จากเมืองเรโน รัฐเนวาดา ที่เป็นนักเรียนอีกหนึ่งคนที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ของมูลนิธิอินเทล (Intel Foundation Young Scientist Award) และได้รับทุนการศึกษา 50,000 เหรียญสหรัฐ เทย์เลอร์ได้พัฒนาโครงงานเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์โดยใช้ระบบตรวจจับ
      
      ขณะที่นายแมทธิว เฟดเดอร์เซน และนายแบลค มาร์กกราฟฟ์ จากเมืองลาฟาแย็ต รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รับรางวัลชนะเลิศ โดยได้รับทุนการศึกษา 75,000 เหรียญสหรัฐ จากรางวัลกอร์ดอน อี มัวร์ ซึ่งเป็นรางวัลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กอร์ดอน มัวร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง รวมทั้งเป็นประธานและซีอีโอที่เกษียณอายุการทำงานไปแล้วของอินเทล โครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทั้งสองมีจุดประสงค์เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีค่าใช้จ่ายน้อยลง โดยการนำดีบุกมาวางบริเวณใกล้กับเนื้อร้ายก่อนการรักษาด้วยการฉายรังสี
      
      นอกจากนั้น นักเรียนไทยอีกหนึ่งทีม ได้แก่ นายนรินธเดช เจริญสมบัติ นายธนทรัพย์ ก้อนมณี และนางสาววรดา จันทร์มุข จากจังหวัดเพชรบุรี ได้รับรางวัลแกรนด์ อวอร์ด อันดับที่สี่ ในสาขาวิศวกรรมวัสดุและวิศวกรรมชีวเวช พร้อมได้รับทุนการศึกษา 500 เหรียญสหรัฐ จากโครงงานการนำผลของฟิลม์มิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักมาใช้ในการยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้หลังการเก็บเกี่ยว
      
      นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทอินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าว ผมขอแสดงความยินดีกับนักเรียนไทยทุกคนที่เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมการประกวดในปีนี้ และร่วมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อีกครั้งหนึ่ง การประกวดรางวัล อินเทลไอเซฟ ในครั้งนี้ช่วยตอกย้ำให้เราเห็นว่าวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัย
      
      “การแข่งขันในระดับนานาชาติครั้งนี้ได้รวบรวมเยาวชนจากประเทศต่างๆ ที่ล้วนพยายามหาทางแก้ไขและรับมือกับปัญหาระดับโลกโดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ อินเทลมีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเลิกทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 13 ปี เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนไทยที่มีความสามารถ และอินเทลจะเดินหน้าโครงการดีๆ เพื่อส่งเสริมการศึกษาในประเทศเช่นนี้ต่อไป”
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006311401.JPEG)

      งานอินเทล ไอเซฟ 2011 ในปีนี้มีการคัดเลือกนักคิด นักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์กว่า 1,500 คน โดยเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากการประกวดต่างๆ กว่า 443 งาน จาก 65 ประเทศและส่วนการปกครองต่างๆ ทั่วโลก โดยประเทศที่เข้าร่วมการประกวดเป็นครั้งแรกในปีนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
      
      นอกเหนือจากผู้ชนะรางวัลที่กล่าวไปแล้ว ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลอื่นๆ อีกกว่า 400 คน ซึ่งได้รับรางวัลจากผลงานที่สร้างสรรค์และโดดเด่น รางวัลเหล่านี้แบ่งออกเป็น 17 สาขา โดยนักเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในแต่ละสาขาจะได้รับรางวัลคนละ 5,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ มูลนิธิอินเทลยังมอบทุนการศึกษาแก่โรงเรียนของผู้ที่ได้รับรางวัล อีกรางวัลละ 1,000 เหรียญสหรัฐ
      
      สมาคมเพื่อวิทยาศาสตร์และสาธารณะ เป็นองค์กรการกุศลที่อุทิศตนเพื่อการวิจัย และการให้การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สู่สาธารณชน โดยดูแลการจัดแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติมาตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2493
      
      อลิซาเบธ มารินโคลา ประธานของสมาคมผลงานด้านเพื่อวิทยาศาสตร์และสาธารณะ กล่าวว่า “เราขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทุกคน พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันและความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้าเพื่อการแก้ไขปัญหาด้านวิทยาศาสตร์ที่ท้าทาย ผลงานของพวกเขาและผลงานจากผู้เข้าแข่งขันทุกคนในงานอินเทลไอเซฟ 2011 ในปีนี้ แสดงให้ถึงศักยภาพของนักเรียน ที่สามารถประสบความสำเร็จได้เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากการคิด ตั้งคำถาม และการวิจัย”
      
      โครงงานของผู้ที่เข้าร่วมงานอินเทลไอเซฟ 2011 ได้รับการพิจารณาและให้คะแนนจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับวุฒิดุษฏีบัณฑิต หรือเทียบเท่ากว่า 100 คนที่มีประสบการณ์การทำงานที่ช่ำชองในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์กว่า 6 ปี รายชื่อของผู้เข้าประกวดทั้งหมดสามารถเข้าชมได้ที่ www.societyforscience.org/intelisef2011 (http://www.societyforscience.org/intelisef2011) ผู้เข้าร่วมงานอินเทลไอเซฟนี้ได้รับการสนุนร่วมกันระหว่างบริษัทอินเทล และมูลนิธิอินเทล รวมถึงหน่วยงานเอกชน องค์กรทางการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ อีกหลายหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ห้องเรียนเฟซบุ๊ค ปั้นเศรษฐีนักสร้างแอพฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 14 พฤษภาคม 2011, 22:16:00
การบ้านของชั้นเรียนหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อปลายปี 2550 ที่อาจารย์สั่งให้นักศึกษากลับไปคิดค้นแอพพลิเคชั่นใหม่ ที่คนอยากใช้

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/05/13/images/news_img_390778_1.jpg)

นอกจากจะทำให้ชั้นเรียนดังกล่าว กลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วมหาวิทยาลัยในชื่อ "ชั้นเรียนเฟซบุ๊ค" และนักท่องเว็บหลายล้านคน ได้โปรแกรมประยุกต์มาใช้แบบไม่ต้องเสียเงินแล้ว ยังทำให้นักศึกษาบางคนสามารถทำเงินได้มากกว่าอาจารย์ของตัวเองเสียอีก
 
ในเวลาที่แทบจะเรียกได้ว่าเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ชั้นเรียนเฟซบุ๊คได้มอบทั้งหน้าที่การงาน และเม็ดเงินจำนวนมากให้กับนักศึกษา และอาจารย์ มากกว่า 20 คนในมหาวิทยาลัยนี้ ทั้งยังมีส่วนช่วยในการบุกเบิกสร้างเจ้าของกิจการใหม่รูปแบบใหม่
 
โจอาคิม เดอ ลอมแบร์ท วัย 23 ปี เล่าถึงความหลังว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยแอพที่กลุ่มของเขาคิดค้นขึ้นมา ทำเงินได้ถึงวันละ 3,000 ดอลลาร์ จนทำให้เกิดบริษัท ที่ภายหลังสามารถขายกิจการออกไปด้วยเงิน 6 หลัก ขึ้นมา
 
"ผมแทบไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดนั่นมีความหมายว่าอย่างไร" เดอ ลอมแบร์ท ระบุ
 
ความรู้สึกของเดอ ลอมแบร์ท ก็ไม่แตกต่างอะไรกับเพื่อนนักศึกษาจำนวนมากในชั้นเรียนของเขา เพราะในสมัยนั้นแอพสำหรับใช้งานบนเฟซบุ๊ค ยังเป็นเรื่องใหม่มาก สมาร์ทโฟนยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ค ก็เพิ่งออกวางตลาดได้ไม่นาน และโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ก็ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น จนอีก 1 ปีต่อมา
 
อย่างไรก็ดี การสอนให้นักศึกษาสร้างแอพ ที่สามารถใช้งานได้โดยตรง นำออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว และค่อยมาคิดพัฒนาให้สมบูรณ์ในภายหลังนั้น ทำให้ชั้นเรียนเฟซบุ๊ค สร้างขั้นตอนที่กลายมาเป็นกระบวนการปฏิบัติงานมาตรฐานสำหรับนักลงทุน และเจ้าของกิจการรุ่นใหม่แห่งซิลิคอน วัลเลย์ และที่อื่นๆ  ทั้งยังทำให้กระบวนการในการนำแนวคิด มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบริษัท รวดเร็วขึ้นด้วย
 
ครั้งหนึ่ง การจะตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่สักแห่งหนึ่งจำเป็นต้องใช้ทั้งเงิน เวลา และผู้คนจำนวนมาก แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซอฟต์แวร์แบบเปิด ที่ไม่ต้องเสียเงิน รวมถึง บริการ "คลาวด์" ทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านนี้ลดลง และเครือข่ายโฆษณาก็ช่วยทำให้รายได้หลั่งไหลเข้าสู่บริษัทอย่างรวดเร็ว
 
ปรากฏการณ์แอพที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เน้นให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าว และยังมีส่วนช่วยปลดปล่อยเสียงเรียกร้องถึงกระแสนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ การเคลื่อนไหวที่บางฝ่ายมองว่า เป็นฟองสบู่
 
ในช่วงแรกนั้น ชั้นเรียนเฟซบุ๊ค เป็นเหมือนกับซิลิคอนวัลเลย์แบบย่อส่วน โดยการทำงานเป็นกลุ่มละ 3 คนนั้น ทำให้นักศึกษา 75 คน สร้างสรรค์แอพต่างๆ  ที่มีผู้สนใจใช้งานรวมแล้วถึง 16 ล้านคน ภายในเวลาเพียง 10 สัปดาห์ แม้ว่าแอพส่วนใหญ่จะไม่ได้มีสาระอะไรเลยก็ตาม ตัวอย่างเช่น แอพของกลุ่มเดอ ลอมแบร์ท ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ สามารถส่งจุดต่างๆ ที่ได้รับความนิยมไปให้กับเพื่อนในเฟซบุ๊ค
 
กระนั้นก็ตาม แม้การบ้านดังกล่าว จะตั้งอยู่บนเงื่อนไขของการให้บริการแบบไม่ต้องเสียเงิน แต่แอพเหล่านี้ ก็สร้างรายได้ด้านโฆษณาเกือบ 1 ล้านดอลลาร์
 
ความสำเร็จดังกล่าว กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเจ้าของกิจการหลายราย ปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยหันมามุ่งทางแอพแทน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จทุกราย แต่การเคลื่อนไหวนี้ก็มีส่วนช่วยในการขยายจำนวนผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ค ที่ปัจจุบันมีสมาชิกเกือบ 700 ล้านคนแล้ว
 
กลุ่มนักลงทุนด้านเงินทุน ก็เริ่มปรับแนวคิดของตัวเองในด้านนี้แล้ว โดยมีนักลงทุนบางราย ที่ตัดสินใจจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนแห่งใหม่ขึ้นมา เพื่อติดตามเข้าลงทุนในบริษัทเกิดใหม่ประเภทข้างต้น
 
"ความคิด และความเห็นจำนวนมากที่ออกมาจากชั้นเรียน สร้างอิทธิพลต่อโครงสร้างของเงินทุนที่ผมกำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ โดยชั้นเรียนนี้ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความจริงว่า ผลงานที่ออกมาสามารถใช้งานได้จริงๆ " เดฟ แมคเคลอร์ อาจารย์คนหนึ่งของชั้นเรียนดังกล่าว และผู้ก่อตั้ง 500 สตาร์ท อัพ บริษัทที่เข้าลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่ที่ไร้เงินทุน กล่าว
 
ช่วงเวลาเกือบ 4 ปีต่อมา นักศึกษาจำนวนมากได้เรียนรู้ว่า การสร้างธุรกิจเป็นเรื่องที่ยากกว่า การคิดค้นแอพ อย่างมาก ต่อให้แอพตัวนั้นได้รับคะแนน เอบวกก็ตาม ซึ่งเอ็ดเวิร์ด เบเกอร์ หุ้นส่วนของเดอ ลอมบาร์ท ทั้งในชั้นเรียน และในธุรกิจ ที่ทั้งคู่ตั้งบริษัท เฟรนด์ ดอท แอลวาย ขึ้นมา ยืนยันว่า การตั้งบริษัทมีงานให้ทำกว่าการคิดค้นแอพมากมาย
 
กระนั้นก็ตาม นักศึกษาจากชั้นเรียนนี้ สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองได้อย่างมากมาย บางคนเปลี่ยนการบ้านของตัวเองให้กลายมาเป็นบริษัท ซึ่งในจำนวนนี้ได้ขายต่อกิจการให้กับบริษัทแถวหน้าของวงการ อย่าง ซิงกา ขณะที่มีนักศึกษาอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ได้ร่วมงานกับบริษัทเกิดใหม่ดาวรุ่ง อย่าง ร็อคยู ผู้ให้บริการเว็บไซต์เกม ที่ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับแอพที่ให้บริการบนเฟซบุ๊ค
 
ในส่วนของเฟซบุ๊คนั้น บริษัทไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ กับชั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดนี้แต่อย่างใด แม้วิศวกรบางคนจะเข้าร่วมในชั้นเรียน และได้รับประโยชน์จากความสำเร็จในแอพของนักศึกษาไปด้วย
 
เดวิด เฟตเตอร์แมน วิศวกรเฟซบุ๊ค ผู้ช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มแอพ กล่าวถึงการเข้าร่วมชั้นเรียนนี้ว่า ให้ความรู้สึกเหมือนกับการมีส่วนร่วมในการฟักไข่ให้ออกมาเป็นตัว

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: Genius ออก "เมาส์-แหวน" ไร้สายคุมพีซี
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤษภาคม 2011, 22:58:56
สัปดาห์ที่แล้ว เพิ่งจะแนะนำแหวนไฮเทคที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงาน"แท็บเล็ต" หรือ"สมาร์ทโฟน" ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ล่าสุดทาง Genius บริษัทผู้ผลิตอุปรณ์เมาส์ชั้นนำได้เริ่มวางตลาด "เมาส์แหวน" (ring mouse) ในตลาดแถบอเมริกาเหนือแล้ว โดยจุดเด่นของมันคือ ผู้ใช้สามารถควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายด้วยนิ้วโป้งเพียงนิ้วเดียว

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/genius-ring-mouse-for-windowx-7-vista-xp-2.jpg)

Genius Ring Mouse ประกอบด้วย ทัชแพด (touchpad) ขนาดเล็ก พร้อมปุ่มสองปุ่มด้านล่างสำหรับคลิกซ้าย และคลิกขวา ซึ่งทั้งหมดจะอยู่บนฐานวงแหวนทีสามารถใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไป เพื่อประคองมันไว้บนมือได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่นิ้วโป้งสามารถควบคุมทัชแพดขนาดเล็กด้วยความละเอียด 1,000 dpi ได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังสามารถใช้นิ้วโป้ง เพื่อคลิกบนปุ่มเมาส์ทั้งซ้าย และขวาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/gadget/6/genius-ring-mouse-for-windowx-7-vista-xp-3.jpg)

Genius Ring Mouse ทำงานในลักษณะเช่นเดียวกับ"เมาส์ไร้สาย"ทั่วไป โดยทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4GHz สามารถสื่อสารกับภาครับ USB ที่เชื่อมต่อกับพีซีในระยะห่างได้ไม่เกิน 30 ฟุต (ประมาณ 9 เมตร) ตัวแหวนสามารถชาร์จผ่านพอร์ต USB ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7/Vista/XP ผ่าน Genius Ring Mouse ได้ดังใจ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนองาน ท่องเว็บ ดูรูป หรือภาพยนต์บนคอมพิวเตอร์ได้ สนนราคาของมันอยู่ที่ 69.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,100 บาท

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: ภัยแอนดรอยด์พุ่งกระฉูด 400%
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 16 พฤษภาคม 2011, 23:33:05
ผู้บริหารกูเกิลยอมรับ ปริมาณมัลแวร์หรือซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายที่ออกแบบมาเพื่อทำงานบนอุปกรณ์พกพาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 400% ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2010 ที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้มีซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสสำหรับแอนดรอยด์แจ้งเกิดสู่ตลาดมากขึ้นต่อเนื่องในขณะนี้
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006286501.JPEG)

      Vic Gundotra รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมของกูเกิลกล่าวในงาน Google I/O งานประชุมนักพัฒนาประจำปีที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ว่าในบรรดาแอปพลิเคชัน 200,000 แอปฯที่เปิดให้ดาวน์โหลดในร้านออนไลน์ Android Market นั้นมีแอปฯประสงค์ร้ายแฝงอยู่จำนวนมากโดยทิศทางการเพิ่มขึ้นนี้ส่อแววขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะแอปฯที่ออกแบบมาเพื่อการขโมยข้อมูลผู้ใช้
      
      แม้ผู้บริหารกูเกิลจะไม่ระบุว่าสาเหตุของการขยายตัวของโปรแกรมประสงค์ร้ายบนแอนดรอยด์เพิ่มขึ้นเพราะอะไร แต่เรื่องนี้ก็ถูกทุกฝ่ายตัดสินว่าเป็นความผิดของกูเกิลที่เปิดเสรีเรื่องการอนุมัติแอปฯในร้าน Android Market มากเกินไป ผิดกับร้าน iTunes App Store ที่แอปเปิลคุมเข้มจนทำให้อัตราซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายบนอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) เกิดขึ้นน้อยมาก
      
      สถิติการเพิ่มขึ้นของโปรแกรมมัลแวร์บนแอนดรอยด์ 400% นี้สอดคล้องกับการศึกษาของบริษัท Juniper Networks ที่พบว่าร้านแอปฯออนไลน์นั้นเป็นแหล่งแพร่กระจายมัลแวร์บนโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุด จุดนี้ Jeff Wilson หัวหน้าทีมวิเคราะห์บริษัท Infonetics Research มองว่าช่วงเวลา 1 ปีครึ่งที่ผ่านมานั้นสะท้อนว่าภัยออนไลน์ได้ขยายออกจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมาสู่อุปกรณ์พกพาอย่างชัดเจน
      
      หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดคือแอปฯนามว่า DroidDream เป็นโปรแกรมประสงค์ร้ายที่เชื่อว่าถูกติดตั้งในอุปกรณ์แอนดรอยด์มากกว่า 50,000 เครื่องก่อนที่กูเกิลจะสามารถแก้ปัญหาได้
      
      สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นาทีนี้มีซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสสำหรับอุปกรณ์แอนดรอยด์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผู้ร่วมเล่นรายล่าสุดในตลาดคือบริษัท Webroot และผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสอย่าง AVG ซึ่งแจ้งเกิดซอฟต์แวร์ทั้งแบบฟรีและเสียค่าบริการหลักการทำงานของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสบนแอนดรอยด์ส่วนใหญ่คือการตรวจสอบแอปฯ ที่ผู้ใช้ต้องการติดตั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าแอปฯนั้นๆมีความปลอดภัยจริง พร้อมกับตรวจสอบลิงก์และที่อยู่เว็บไซต์ (URL) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ถูกล่อลวงให้หลงเชื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวใส่หน้าเว็บไซต์ปลอม (phishing)
      
      อีกเหตุผลที่ทำให้แอนดรอยด์มีปริมาณภัยมัลแวร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องคือความแพร่หลายของอุปกรณ์ ปัจจุบัน อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้นถูกใช้งานมากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยประเมินว่าอุปกรณ์แอนดรอยด์นั้นถูกเปิดใช้งานใหม่ราว 400,000 เครื่องต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาของปีที่แล้วซึ่งมีสถิติที่ 100,000 เครื่อง เหล่านี้ทำให้แฮกเกอร์รู้สึกคุ้มค่าในการสร้างโปรแกรมร้ายเพราะสามารถโจมตีได้ในวงกว้าง
      
      อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศตั้งคำถามกับประชาสัมพันธ์กูเกิลว่าการเพิ่มขึ้นของมัลแวร์แอนดรอยด์นั้นแปลว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสบนแอนดรอยด์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้ทุกคนควรมีหรือไม่ คำตอบที่ได้นั้นไม่ตรงตัวว่าใช่หรือไม่ โดยระบุเพียงว่ากูเกิลมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ปลอดภัยบน Android Market แก่ผู้ใช้เสมอ และดำเนินการตรวจสอบโปรแกรมที่ผิดนโยบาย เพื่อลบออกจากร้าน Android Market ตลอดเวลา

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ชาวอิสราเอลตั้งชื่อ Like ให้กับ "ทารก"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤษภาคม 2011, 21:01:26
ก่อนหน้านี้มีการตั้งชื่อให้กับทารกแรกเกิดว่า Facebook รายงานข่าววันนี้ สามีภรรยาในอิสราเอลตั้งชื่อบุตรสาวคนที่สามที่มีอายุครบหนึ่งปีว่า Like ซึ่งเป็นคำยอดฮิตที่ใช้แสดงออกถึงความชื่นชอบสิ่งของ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่แชร์กันในบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งของโลกนั่นเอง

Galgalatz สื่อในอิสราเอล เปิดเผยว่า Lior และ Vardit Adler สองสามีภรรยามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ตั้งชื่อทารกเพศหญิงว่า Like ในวันครบรอบวันเกิดหนึ่งปี หลังจากที่พยายามมองหาชื่อเรียกทารกน้อยที่ฟังดูทันสมัย และมีนวตกรรม พ่อของแม่หนู Like Adler อธิบายให้ฟังอีกว่า Facebook เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้แสดงความชื่นชอบ (Like) ที่มีต่อ status ภาพถ่าย และโพสต์ข้อความของเพื่อนๆ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอยากให้ความหมายที่ดีนี้กับชื่อลูกสาว นอกจากนี้ Lior ยังตรวจสอบพบอีกด้วยว่า ชื่อนี้ยังไม่ซ้ำกับใครเลยในอิสราเอล Lior กล่าวว่า ส่วนตัวเขาเอง แม้จะตั้งชื่อนี้ให้ลูก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่คลั่งไคล้ Facebook มากมายขนาดนั้น

(http://www.arip.co.th/images/news/facebook/1/Israeli-baby-was-named-Like-inspired-from-Facebook-2.jpg)

"ในความคิดเห็นของเรา ชื่อ Like เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Ahava (Love) แต่มันฟังดูทันสมัยกว่า" Lior กล่าว "มันก็แค่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราจะบอกกับรักกับลูกสาวที่แสนวิเศษของเราได้ตลอดเวลา(ที่เรียกชื่อเขา)" หนังสือพิมพ์ในอิสราเอล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ชื่อลูกสาวยอดนิยมที่ชอบตั้งให้กันก็คือ Noa, Maya และ Tamar

อย่างไรก็ตาม Adler ไม่ใช่ครอบครัวแรกที่ต้องการตั้งชื่อลูกให้โดดเด่นเป็นหนึ่งเดียว แถมยังดังอีกด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้มีคุณพ่อคนหนึ่งตั้งชื่อลูกชายของเขาว่า "Batman" ซึ่งปรากฎว่า Facebook Page ของลูกชายมีมากถึง 500,000 ราย ในขณะที่อีกครอบครัวหนึ่งตั้งชื่อลูกชายว่า Facebook โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นเครือข่ายสังคมที่มีบทบาทในการปฎิวัติประเทศอียิปต์ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ลึกๆ แล้วมันคือสิ่งพิเศษที่มาจากความรักของพ่อแม่ที่พยายามจะสรรหามามอบให้กับลูกๆ นั่นเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เสิร์ช Bing ดึง Facebook ถล่ม Google
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤษภาคม 2011, 21:40:12
รายงานข่าวล่าสุด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ใช้บริการเสิร์ชบิง (Bing) ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะเริ่มสังเกตพบว่า ผลลัพธ์การค้นหาบางส่วนมาจากสิ่งทีเพื่อนๆ ของคุณในเฟซบุ๊ค (Facebook) บอกว่า "ชอบสิ่งนี้" (Like) ขึ้นมาด้วย โดยไมโครซอฟท์หวังว่า การร่วมมือกับเฟซบุ๊คจะทำให้ผู้ใช้หันมาเลือกใช้ Bing ในการค้นหามากกว่า Google

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-tap-facebook-to-compete-google-in-Like-personalized-result-page-2.jpg)

ผลจากการศึกษาของไมโครซอฟท์พบว่า 90% ของผู้เข้าร่วมทำสำรวจต้องการคำแนะนำจากเพื่อนๆ และคนในครอบครัวก่อนการตัดสินใจ และ 80% จะชลอการตัดสินใจจนกว่าเพื่อนๆ จะเห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ไมโครซอฟท์ จึงได้จับมือกับเฟซบุ๋๊ค เพื่อใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของผู้ใช้ในเครือข่ายกับกลไกการค้นหาของบิง ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์การค้นมีความหมายมากกว่าคู่แข่งอย่างกูเกิ้ล โดยในการนี้ เมื่อผู้ใช้ล็อกอินเฟซบุ๊คในขณะทีใช้งานเสิร์ช ตัวอย่างเช่น คุณกำลังเสิร์ชหาโน้ตบุ๊ครุ่นที่สนใจ แล้วปรากฎว่า ลิงค์ผลลัพธ์บางรายการมีรายชื่อเพื่อนของคุณที่ได้คลิก Like ให้กับลิงค์นั้น ซึ่งความจริงก็คือ คุณกำลังได้รับบริการผลลัพธ์การค้นหาเฉพาะบุคคล (personalized search result) ที่ใช้พื้นฐานการทำงานจากเพื่อนของคุณ และสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบจากในเฟซบุ๊คนั่นเอง นอกจากนี้ Bing ยังมีการรวบรวมความชอบ (Like) ของผู้คนใน Facebook ทีมีต่อลิงค์ผลลัพธ์ต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เพื่อนคุณก็ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ลิงค์นั้นมีความน่าสนใจแค่ไหน? ในทางกลับกัน หากคุณพบผลลัพธ์ที่น่าสนใจคุณก็สามารถโพสต์กลับไปใน Facebook ของคุณได้ภายในคลิกเดียวเช่นกัน ไมโครซอฟท์กล่าวว่า ผลลัพธ์เสิร์ของสปอนเซอร์จะแสดงให้ด้วยเช่นกัน

(http://www.arip.co.th/images/news/microsoft/3/bing-tap-facebook-to-compete-google-in-Like-personalized-result-page-3.jpg)

นักวิเคราะห์จาก Stering Market Intelligence กล่าวว่า "ข้อมูลทั้งหมดที่มาจาก Like มีคุณค่ามาก" เพราะการได้ Like มา บางครั้งบริษัทต่างๆ อาจจะต้องแลกด้วยคูปองส่วนลด หรือแคมเปญจ์พิเศษสำหรับผู้ที่คลิก Like ดังที่เราพบเห็นกันมาโดยตลอด นั่นหมายความว่า ยิ่งได้ Like เท่าไร มันก็จะสร้างโอกาสให้ไปปรากฎในผลลัพธ์เสิร์ช ซึ่งนำไปสู่การเร่งการตัดสินใจให้กับผู้บริโภคที่พบว่า เพื่อนๆ ของเขาก็ชอบในสิ่งที่เขากำลังค้นหาเหมือนกัน นับว่า การรุกครั้งนี้สำหรับ Bing ของ Microsoft ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้เสิร์ชองไมโครซอฟท์จะค่อนข้างช้า และยังห่างไกลจาก Google หลายเท่าตัว

โดยล่าสุด ComScore เปิดเผยว่า Bing มีส่วนแบ่งเป็นอันดับสามคือ 14.1% ในขณะที่ Google มีส่วนแบ่งสูงถึง 65.4% ตามมาด้วย Yahoo ที่ 15.9% ในขณะที่ไม่มีใครคิดว่า Bing จะสามารถเอาชนะ Google ได้ แต่นักวิเคราะห์มองว่า "ในระยะยาวมันก็ไม่แน่เหมือนกัน"

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Apple ยังไม่เพิ่ม NFC ใน iPhone 4S/5
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤษภาคม 2011, 21:49:26
แอปเปิ้ล (Apple) อาจจะยังไม่เพิ่มคุณสมบัติการสนับสนุนการชำระค่าสินค้า และบริการด้วยเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ใน iPhone ร่นถัดไป (iPhone 4S หรือ iPhone 5) เนื่องจากมีการสำรวจโดย Bernstein Research พบว่า เทอร์มินัล POS ที่ใช้ NFC ในสหรัฐมีเพียง 51,000 ร้าน ซึ่งอาจจะยังน้อยเกินไป

เทคโนโลยี NFC จะสามารถส่งข้อมูลผ่านคลื่นสัญญาณไร้สายโดยใช้พลังงานที่ต่ำๆ มาก ซึ่งสามารถเพิ่ม หรือฝังเข้าไปในอุปกรณ์อิเล้กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยภาคส่ง (transmitters) จะสามารถนำข้อมูลชนิดต่างอย่างเช่น ข้อมูลระบุตัวตนไปยังภาครับได้ด้วยการนำอุปกรณ์ไปไว้ใกล้ๆ กันในระยะไม่เกิน 4 ซม. จึงจะทำงานได้ ซึ่งหากมันได้รับการติดตั้งเข้าไปใน iPhone ผู้ใช้ก็สามารถใช้มันแทนกระเป๋าตังค์ได้อย่างสะดวกสบาย

(http://www.arip.co.th/images/news/Apple/4/Next-iPhone-Not-supports-NFC-Mobile-Payment-2.jpg)

แอพพลิเคชัน NFC ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ การใช้มือถือของคุณชำระค่าสินค้าในห้างร้าน และภัตตาคารต่างๆ ได้ ซึ่งเรียกแอพพลิเคชันนี้ว่า Mobile Payment Solution ผุ้ใช้เพียงแค่นำ iPhone (หรือ Android Phone) ไปเลื่อนผ่านภาครับสัญญาณ NFC ที่แคชเชียร์ค่าสินค้าก็จะถูกบันทึกเข้าไปรวมกับยอดค่าใช้จ่ายในบัตรเครดิต ความจริง เทคโนโลยีนี้ใช้ในประเทศแถบเอเชียแล้ว (โดยเฉพาะญี่ปุ่น) แต่ยังไม่มีการใช้ในวงกว้าง เมื่อตลาดยังไม่มีความพร้อมมากนัก ทาง Apple จึงอาจจะตัดสินใจเลื่อนการติดตั้งคุณสมบัตินี้เข้าไปใน iPhone 4S หรือ iPhone 5 โดยจะรอดูความพร้อมของตลาดก่อน

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Ford จับมือ Google ผุดรถอัจฉริยะ
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤษภาคม 2011, 22:19:49
หลังจากเป็นพันธมิตรยาวนานกับไมโครซอฟท์ ล่าสุดฟอร์ด (Ford) ประกาศอย่างเป็นทางการว่ากำลังอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับกูเกิลในการสร้างรถยนต์อัจฉริยะที่สามารถประหยัดพลังงานได้ดีกว่าเดิม โดยระบบจะสามารถทำนายพฤติกรรมผู้ขับขี่และปรับเปลี่ยนการตั้งค่าในรถให้เหมาะสมอย่างอัตโนมัติ
      
(http://pics.manager.co.th/Images/554000006266401.JPEG)

      เป้าหมายของความร่วมมือครั้งนี้คือการใช้ระบบเก็บข้อมูลและประมวลผลเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud) ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมในอดีตของผู้ขับขี่แล้วประเมินเพื่อพยากรณ์พฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วจึงบริหารจัดการส่วนประกอบในรถผ่านระบบไร้สายให้สอดคล้องกัน เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือเทคโนโลยี Google Prediction API ที่ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วโดยหน่วยวิจัย Google Labs
      
      นี่ถือเป็นอีกหนึ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Google Prediction API เนื่องจากที่ผ่านมา กูเกิลประชาสัมพันธ์มาตลอดว่าเทคโนโลยีนี้สามารถทำให้เว็บไซต์สามารถแนะนำสินค้าแก่ผู้ชมได้โดยพยากรณ์จากประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ต รวมถึงสามารถคาดการณ์ว่าผู้ใช้จะมีงบประมาณการซื้อสินค้าต่อวันเท่าใด ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์บนท้องถนน ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของทั้งฟอร์ดและกูเกิล
      
      สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ฟอร์ดระบุว่าจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในรถยนต์ไฮบริดประหยัดน้ำมันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยอธิบายว่าหากผู้ใช้ติดเครื่องทุกเช้าในวันทำงาน ระบบจะสามารถทำนายได้ว่านี่คือเวลาที่ผู้ขับกำลังเดินทางไปทำงาน ในวิดีโอสาธิต ระบบสามารถส่งเสียงเพื่อยืนยันว่านี่คือการเดินทางไปสำนักใช่หรือไม่ หากส่งเสียงตอบว่าใช่ ระบบนำทางภายในรถจะตั้งค่าเป็นเส้นทางสู่สำนักงานโดยอัตโนมัติ
      
      ด้วยวิธีการเหล่านี้ ฟอร์ดระบุว่าจะทำให้เครื่องยนต์ไฮบริดสามารถจัดสรรการเผาผลาญพลังงานระหว่างน้ำมันและแบตเตอรีอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด จุดนี้ทำให้ความร่วมมือระหว่างฟอร์ดและกูเกิลนั้นไม่ได้ทับซ้อนความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ ซึ่งร่วมกันพัฒนาระบบ Ford Sync โดยระบุว่าระบบของไมโครซอฟท์เป็นการเพิ่มประหสิทธิภาพการขับขี่ ซึ่งเน้นอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับโดยตรงทั้งในเรื่องระบบนำทางและการรับข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์ แต่ระบบของกูเกิลเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรพลังงานในรถ ให้สามารถทำงานได้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
      
      เบื้องต้น ข้อมูลระบุว่าข้อมูลพฤติกรรมของผู้ขับขี่จะถูกเก็บไว้ในระบบคลาวด์ของกูเกิลซึ่งจะมีการเก็บรวบรวมเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ใช้เท่านั้น โดยฟอร์ดยืนยันว่าไม่มีแผนจะพัฒนาเป็นระบบที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ เช่นการจำกัดความเร็วในการขับขี่ใดๆ แต่ยอมรับว่ามีแผนจะพัฒนาเป็นโปรแกรมเพื่อรถยนต์ขับขี่ตัวเองตามสไตล์ของผู้ขับ
      
      ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายหรือให้บริการเทคโนโลยีดังกล่าวของฟอร์ดและกูเกิลที่แน่นอน มีเพียงการคาดการณ์ว่าระบบนี้จะเริ่มวางตลาดได้ภายในปี 2015 หรืออีก 4 ปีนับจากนี้

ข้อมูลจาก: ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th)


หัวข้อ: ทำไม "ไมโครซอฟท์" ถึงยอมทุ่มทุนซื้อกิจการของ "สไกป์"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 17 พฤษภาคม 2011, 22:26:35
นั่นคือ ข่าวไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่วงการไอที เข้าซื้อกิจการของ "สไกป์" ผู้ให้บริการคุยผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าซื้อถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์ (ราวๆ 255,000 ล้านบาท) จากเจ้าของเดิม คือ อีเบย์ ที่เคยซื้อ สไกป์ มาในราคา 2.5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2005
 
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/05/12/images/news_img_390595_1.jpg)

งานนี้ อีเบย์ คงยิ้มปริ เพราะ ไมโครซอฟท์ ซื้อแพงกว่าราคาเดิมถึง 3.5 เท่า ขณะที่ตัว สไกป์ เองนับตั้งแต่ไปอยู่ในอ้อมอกของ อีเบย์ ก็ไม่ได้สร้างคุณค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของทั้งสองฝ่ายเท่าไรนัก

การ "กดและโทร" เพื่อสั่งซื้อ (Click to Call) ที่ อีเบย์ ตั้งใจจะนำมาใช้งานร่วมกับระบบอีคอมเมิร์ซของตน กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
 
แปลกใจมั้ยครับว่าทำไม ไมโครซอฟท์ ถึงต้องมาซื้อ สไกป์ ในราคาแพงๆ และจะซื้อมาทำอะไรได้บ้าง
 
เหตุผลแรกเลย เนื่องจากทุกวันนี้ สไกป์ ประสบความสำเร็จกับการให้บริการโทรข้ามประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาด มากกว่า 13% ของยอดการโทรข้ามประเทศของทั่วโลก (International Voice Call Volume) เป็นอันดับ 1 เหนือกว่าบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์รายใหญ่ๆ ของโลกซะอีก
 
จาก ดีลนี้ทำให้ ไมโครซอฟท์ กลายเป็น Virtual Network Operator ที่ไม่ต้องมีเครือข่าย รายใหญ่ที่สุดของโลก มียอดการใช้งานโทรข้ามประเทศสูงที่สุดในโลก และมีฐานลูกค้ามากกว่า 600 ล้านคน
 
เหตุผลที่สองเป็นเหตุผลด้านยุทธศาสตร์  ซึ่งเมื่อมองดูสองผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนอย่าง Google และ แอ๊ปเปิ้ล ที่ต่างก็มีบริการโทรด้วยเสียงและวีดิโอทั้งคู่
 
ทั้ง Google วอยซ์ และ FaceTime ต่างเป็นบริการระดับธง ของทั้งคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FaceTime ของ แอ๊ปเปิ้ล ที่มาพร้อมกับทั้ง iPhone  iPad  iPod Touch แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ตระกูล Mac ทั้งหลาย
 
บริการ Video Call บนมือถือ แม้จะมีมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่ว่าใครจะผลักดัน แต่เมื่อ แอ๊ปเปิ้ล จับมาให้กำเนิดในรูปแบบใหม่และชื่อใหม่ นามว่า "FaceTime" มันก็กลายเป็นบริการหนึ่งที่สร้างความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ให้สมาร์ทโฟนของตนได้
 
ถ้า ไมโครซอฟท์ ยังช้า ไม่มีอาวุธที่ดีกว่า Windows Live Messenger ไปต่อกร ก็มีโอกาสที่ส่วนแบ่งตลาดของบริการจะหดหายจนไม่เหลือที่ให้ตนยืน
 
ที่สำคัญ สไกป์ จะกลายเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่อาจจะนำมารวมอยู่ในมือถือ วินโดว์ส โฟน 7 ที่จับมือกับโนเกีย และยิ่งไปกว่านั้น อาจจะกลายเป็นระบบสื่อสารหลักที่จะรวมอยู่ในเครื่องเล่นเกม Xbox360 และ Kinect จนกลายเป็นระบบ VDO Call ประจำบ้าน
 
แถม ไมโครซอฟท์ ยังได้ สุดยอดแพลตฟอร์มสำหรับการทำ Live VDO Streaming และ VDO Conference จากมือถือ ชื่อว่า "Qik" ที่ สไกป์ เพิ่งซื้อกิจการไปเมื่อต้นปี งานนี้ FaceTime และแอ๊ปเปิ้ล มีหนาวแน่ๆ
 
และมีความเป็นไปได้สูงที่ระบบของทั้ง สไกป์ และ Qik จะถูกนำไปรวมกับผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าองค์กรในรูปแบบของซอฟต์แวร์ระบบ Video Conference ที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดองค์กรของ ไมโครซอฟท์ มากขึ้น เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั้งในตลาดสมาร์ทโฟน ตลาดเครื่องเล่นเกม และตลาดองค์กร
 
เหตุผลสุดท้าย คือ เรื่องของการลงทุน ปัจจุบันนี้ ไมโครซอฟท์ มีเงินสดในมือ 48.7 พันล้านดอลลาร์ ถ้าไม่เอามาใช้ประโยชน์ สร้างผลตอบแทนให้งอกเงย คงไม่พ้นเสียงบ่นของนักลงทุนผู้ถือหุ้นเป็นแน่
 
เพราะมูลค่าหุ้นของ ไมโครซอฟท์ ปัจจุบันตกลงไปมาก มีมูลค่าตลาดตามหลัง แอ๊ปเปิ้ล ไปเรียบร้อยแล้ว และยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาเกื้อหนุน พอที่จะทำให้ราคาและมูลค่าของบริษัทสูงขึ้นได้
 
ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ของการยอมควักเงินมหาศาลซื้อ สไกป์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ไมโครซอฟท์ และจะกลายเป็นอาวุธเด็ดที่ใช้ต่อกรกับ แอ๊ปเปิ้ล และกูเกิล ส่วนจะคุ้มค่าเงินที่จ่ายออกไปหรือไม่นั้น เวลาจะเป็นคำตอบครับ

ข้อมูลจาก: กรุงเทพธุรกิจ (http://www.bangkokbiznews.com)


หัวข้อ: 99.7% มือถือ "แอนดรอยด์" ไม่ปลอดภัย
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 พฤษภาคม 2011, 21:49:07
รายงานข่าวล่าสุดอาจทำให้เจ้าของสมาร์ทโฟน"แอนดรอยด์" (android) หลายๆ คนเกิดความกังวลได้ เมื่อนักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัยออกมาเปิดเผยว่า สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สามารถหยิบยื่นยูสเซอร์เนม (username) และรหัสผ่าน (password) ตลอดจนข้อมูลสำคัญๆ ให้กับแฮคเกอร์ได้แทบทุกเครื่อง

สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ประมาณ 99.7% มีโอกาสที่ข้อมูลจะหลุดรั่วออกไปเนื่องจากโดนขโมย โดยเฉพาะข้อมูลของผู้ใช้ที่อยู่บนออนไลน์ ซึ่งสาเหตุที่เกิดการหลุดรั่วของข้อมูลจะเกิดจากการใช้บริการเว็บแอพฯ อย่างเช่น Google Calendar, Contacts และ Picasa ช่องโหว่ดังกล่าวถูกพบโดยนักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัยในเยอรมันที่สนใจวิธีที่มือถือแอนดรอยด์จัดการกับข้อมูลระบุตัวตนของผู้ใช้แอพฯเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม Google ยังไม่ได้ให้คอมเมนต์แต่ประการใดสำหรับข้อมูลดังกล่าว

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/android-phone-leak-personal-data-2.jpg)

ภาพข้างบนได้มาจากการที่ทีมนักวิจัยจาก University of Ulm ค้นพบช่องโหว่ขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าดูวิธีที่สามาร์ทโฟนแอนดรอยด์"ล็อกอิน" เพื่อขอสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการเว็บเบส ปรากฎว่า แอพพลิเคชันส่วนใหญ่ที่ติดตั้งบนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จะโต้ตอบกับบริการของ Google ด้วยการร้องขอโทเคนเพื่อรับรองตัวตนสำหรับการเข้าใช้บริการ ซึ่งในที่นี้ก็คือ digital ID Card สำหรับแอพฯนั้นๆ เมื่อโทเคนถูกเอาออกไป ผู้ใช้บริการจะต้องล็อกอินภายในระยะเวลาที่กำหนด ประเด็นที่นักวิจัยค้นพบก็คือ โทเคนดังกล่าวจะถูกส่งผ่านเครือข่ายไร้สายในลักษณะที่เป็นข้อความธรรมดาๆ (plain text) ซึ่งทำให้มันง่ายมากที่ในการที่จะค้นหา และขโมยโทเคนนี้ด้วยการรันซอฟต์แวร์ที่ดักจับแพคเก็ตข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่ายไร้สายโดยไม่มีการเข้ารหัสได้ เมื่อแฮคเกอร์ได้โทเคนไปแล้ว พวกเขาก็จะสามารถสวมรอยผู้ใช้ เพื่อเข้าไปดึงข้อมูลส่วนตัวออกมาได้

"แฮคเกอร์ (ที่ขโมยโทเคนไปได้) สามารถใช้สิทธิ์ในการเข้าถึง Google Carlendar, Contacts หรือแม้แต่อัลบัมภาพส่วนตัวใน Picasa ได้อย่างสมบูรณ์" ทีมนักวิจัยโพสต์แจ้งเตือนไว้ในบล็อก ประเด็นที่น่ากลัวยิ่งกว่าการสูญเสียข้อมูลก็คือ แฮคเกอร์สามารถเข้าไปเปลี่ยนอีเมล์แอดเดรสของเจ้านาย หรือคู่ค้าทางธุรกิจของเหยื่อ เพื่อขโมยข้อมูลความลับต่างๆ ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ณ.ตอนนี้ยังไม่มีรายงานการใช้ช่องโหว่ในการโจมตี สำหรับช่องโหว่นี้สามารถพบได้ในระบบปฏิบัติการ Android แทบทุกเวอร์ชันที่ส่งข้อมูลโทเคนที่ใช้ในการรับรองตัวตน โดยไม่ได้เข้ารหัส ซึ่งได้แก่ตั้งแต่เวอร์ชัน 2.3.3 ลงไป ทั้งนี้ Android 2.3.4 (Android 3.0 ไม่ได้รับผลกระทบ) ได้แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว (เฉพาะ Google Calendar และ Contacts แต่ Picasa ยังคงมีปัญหาอยู่) แต่ขณะนี้มีผู้ใช้แค่ 0.3% นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android รีบอัพเดทอุปกรณ์ให้ใช้โอเอสเวอร์ชันล่าสุด เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อจากการใช้ประโยชน์ช่องโหว่ที่ว่านี้

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Re: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
เริ่มหัวข้อโดย: wern ที่ 18 พฤษภาคม 2011, 21:54:55
ขอบคุณครับ  :wanwan020: :wanwan020:


หัวข้อ: ดีไซน์มือถือ Android ญี่ปุ่นสู้ iPhone
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 พฤษภาคม 2011, 22:04:56
เหล่าบรรดาผู้ผลิตมือถือในญี่ปุ่นพยายามกันอย่างหนัก เพื่อเอาชนะไอโฟน (iPhone) ที่กำลังครองใจหนุ่มสาวแดนปลาดิบไปเรียบร้อยแล้ว ในที่สุด Naoto Fukasawa ดีไซเนอร์ชาวญี่ป่นก็ได้นำเสนอไอเดียใหม่สำหรับ UI ของสมาร์ทโฟน Android ที่แปลกใหม่ใช้งานง่าย (คล้ายเอาข้อดีของ WP7 บวกกับ iPhone) โดยเขาเรียกมันว่า INFOBAR

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/infobar-a01-android-phone-design-against-iphone-2.jpg)

ดีไซน์มือถือจากมันสมองของนักออกแบบชาวญ๊่ปุ่นที่เห็นในรูปข้างบนนี้ ตัวเครื่องเป็นต้นแบบที่มาจากสมาร์ทโฟนของบริษัท KDDI โดยอินเตอร์เฟซที่ทำงานร่วมกับปุ่มควบคุมด้านล่างได้อย่างง่ายดาย สำหรับ INFOBAR A01 เป็นดีไซน์สมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) ซึ่ง UI ที่ออกแบบมาใหม่จะมีการจัดการให้แอพฯ และวิดเจ็ตใช้งานต่างๆ ถูกเก็บรวบรวมไว้บนแถบข้อมูล (infobar) ต่างๆ แทนการเก็บในลักษณะโฟลเดอร์ ผู้ใช้สามารถย้ายแอพฯ หรือวิดเจ็ตเข้าไปใส่ใน UI ที่แบ่งเป็นแถบข้อมูลต่างๆ (คล้ายลิ้นชักตู้) ได้อย่างง่ายดาย

ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถเพิ่มแถบข้อมูลใหม่ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ อินเตอร์เฟซของการนำเสนอข้อมูลชนิดนต่างๆ บนหน้าจอ ยังเป็นการใช้พื้นทีได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยแต่ละไอคอนไม่จำเป็นต้องมีขนาดเท่ากัน อีกทั้งยังมีระบบแจ้งเตือนของแต่ละแอพฯ ให้ผู้ใช้สังเกตเห็นได้อีกด้วย ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานต้องการให้ UI ของ Infobar เข้าใจ และเข้าถึงได้ง่าย ที่สำคัญต้องแตกต่างจาก iPhone อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการออกแบบให้อินเตอร์เฟซของบล็อคแอพพลิเคชัน และวิดเจ็ตต่างๆ กลืนไปกับหน้าจอของ INFOBAR คุณผู้อ่านล่ะครับ คิดเห็นอย่างไรกับดีไซน์ของ INFOBAR A01

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: 1 ใน 14 ของทุกดาวน์โหลดเป็น "มัลแวร์"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 18 พฤษภาคม 2011, 22:13:09
อ่านข่าวนี้แล้ว ก่อนจะดาวน์โหลดอะไรจากเน็ตครั้งต่อไปคุณอาจจะต้องคิดทบทวนก่อนสักนิด เนื่องจากคุณมีโอกาสที่จะได้โปรแกรม ซึ่งมาพร้อมมาพร้อมกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ โดยล่าสุดไมโครซอฟท์อ้างว่า 1 ใน 14 โปรแกรมสำหรับ Windows ที่ผู้ใช้ดาวน์โหลดจะเป็น "มัลแวร์" (ซอฟต์แวร์อันตรายในรูปแบบต่างๆ)

แม้บราวเซอร์สมัยใหม่จะมาพร้อมกับคุณสมบัติของระบบรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัด เพื่อช่วยป้องกันผู้ใช้จากการโดนโจมตีจากซอฟต์แวร์ทีไม่น่าไว้ใจ แต่จากสถิติพบว่า 5% ของผู้ใช้ที่ไม่สนใจการแจ้งเตือนใดๆ ของบราวเซอร์ แต่ยังคงคลิกดาวน์โหลดโทรจันเข้ามาไว้ในเครื่องเฉยเลย ยิ่งไปกว่านั้น แทนที่แฮคเกอร์จะพยายามเจาะบราวเซอร์ด้วยตัวเอง เหล่าแฮคเกอร์หันมาใช้วิธีที่เรียกว่า "Social Engineering" โดยเฉพาะการใช้ Facebook ในการสแปมลิงค์ หรือแอพฯอันตราย เมื่อผู้ใช้คลิกลิงค์ หรือติดตั้งแอพฯ ที่เข้าใจว่า เพื่อนเป็นคนส่งมาให้ ประกอบกับข้อความที่ชักชวนด้วยเรื่องน่าตื่นเต้น หรืออยู่ในกระแส เพียงแค่นี้ ผู้ใช้ก็ตกเป็นเหยื่อเรียบร้อยแล้ว ง่ายกว่าการที่แฮคเกอร์จะพยายามเจาะโค้ดหาช่องโหว่ของบราวเซอร์มากมาย ดังที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ แม้แต่ลิงค์วิดีโอ ภาพถ่ายของพิธีเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยม หรือล่าสุดภาพข่าว หรือคลิปการปลิดชีวิตบินลาดิน ที่ความจริงแล้ว มันเป็นลิงค์หลอกให้โหลดโทรจันเข้าไปในเครื่องของผู้ใช้ โดยตัวเลขจากไซแมนเทคระบุว่า ประมาณ 56% เป็นโปรแกรมม้าโทรจัน

(http://www.arip.co.th/images/news/security/2/microsoft-warns-1-in-14-downloads-is-malware-2.jpg)

ธุรกิจองค์กรห้างร้านต่างๆ ยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเป็นเหยื่อจากการใช้เทคนิค Social Engineering มากที่สุด ซึ่งใช้ชื่อว่า Spear Phishing ที่ใช้การปลอมอีเมล์ของผู้บริหาร เพื่อขอรหัสผ่านเข้าสู่เน็ตเวิร์กขององค์กรจากแผนกไอที จากนั้นส่งอีเมล์พร้อมลิงค์ หรือไฟล์แนบโค้ดอันครายไปให้กับพนักงานทั้งหมด เพื่อเข้าโจมตีเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ยิ่งบราวเซอร์มีความสามารถในการป้องกันการโจมตีจากแฮคเกอร์ได้มากเท่าไร เหล่าบรรดาผู้ไม่หวังดีก็จะหันไปใช้เทคนิด Social Engineering มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา เราจะพบเห็นการโจมตีด้วยเทคนิคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าประหลาดใจมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดที่ Microsoft ได้เปิดเผยออกมาว่า ทุกๆ การดาวน์โหลด 1 ใน 14 ครั้งของผู้ใช้คือ "มัลแวร์" จากแฮคเกอร์!!!

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: Google แก้ไขช่องโหว่ Android แล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 พฤษภาคม 2011, 21:28:54
หลังจากที่เมื่อวานได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัยที่พบในระบบปฏิบัติการ Android ของ Google จนทำให้สมาร์ทโฟน 99.7% ทั่วโลกที่ใช้โอเอสตัวนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกฉกข้อมูล โดยการขโมย Digital ID ที่ใช้ระบุตัวของแอพฯบนสมาร์ทโฟนกับบริการเว็บเบส ล่าสุดทาง Google ได้ออกมาแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวแล้ว

สำหรับการแก้ปัญหาจะพุ่งตรงไปที่ช่องโหว่ ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์สามารถเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อ (contacts), ปฏิธินตารางเวลา (Calendar) และอัลบัมภาพดิจิตอล (Photos) บนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะ (หรือบริการเชื่อมต่อไร้สายที่ไม่มีการเข้ารหัส) โดยทาง Google กล่าวว่า อัพเดตแก้ไขที่ออกมาจะใช้เวลาแค่ 2 - 3 วันก็สามารถให้ความปลอดภัยกับสมาร์ทโฟนทุกเครื่องได้

(http://www.arip.co.th/images/news/android/1/google-fixed-android-bug-on-server-side-2.jpg)

การอัพเดตช่องโหว่ของ Google ครั้งนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนทั่วไป เนื่องจากต้นตอของปัญหาอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ของ Google ดังนั้นผูใช้สมาร์ทโฟน Android ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ในขณะที่อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ตทีใช้ระบบปฏิขัติการ Android เวอร์ชันล่าสุด หรือ Honeycomb จะไม่ได้รับผลกระทบจากข้อผิดพลาดนี้อยู่แล้ว แต่ Honeycomb ใช้คุณสมบัติการซิงค์ภาพกับ Picasa ทียังมีช่องโหว่อยู่ ซึ่ง Google กล่าวว่า ยังไม่มีคำตอบสำหรับประเด็นนี้

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทกำลังตรวจสอบถึงประเด็นของปัญหานี้ ในส่วนของการแก้ปัญหาบนเซิร์ฟเวอร์นั้น Google จะใช้วิธีเปลี่ยนระบบ Login ให้มีการใช้โปรโตคอลที่ปลอดภัยกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหานี้ว่า มันอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยเท่ากับการอัพเดตการอุดช่องโหว่ที่ยังอาจเกิดขึ้นได้บนสมาร์ทโฟนด้วย

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: จอมือถือ Toshiba ละเอียดกว่า iPhone 4
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 19 พฤษภาคม 2011, 22:23:05
หากพูดถึงจอแสดงผลของสมาร์ทโฟนที่มีความละเอียดคมชัดมากที่สุดในขณะนี้คงต้องยกให้ retina display ของ iPhone 4 แต่ในอนาคตอันใกล้ บัลลังก์แชมป์อาจเปลี่ยนไป เมื่อ Toshiba ได้ออกมาเปิดตัวเทคโนโลยีจอแสดงผลใหม่ล่าสุดที่สามารถให้ความละเอียดได้สูงถึง 367 พิกเซลต่อนิ้ว อีกทั้งยังสว่างกว่า และคอนทราสดีกว่าอีกด้วย

ปกติงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีจอแสดงผลมักจะไม่ค่อยมีข่าวออกมามากมายนัก แต่ในงาน Society for Information Display (SID) 2011 กลับมีประเด็นที่น่าสนใจให้ติดตามไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างเช่น เมื่อวานนี้ E-Ink กับ Epson ก็เพิ่งประกาศเปิดตัวจอแสดงผล E-Ink ที่มีความละเอียดสูงถึง 300 dpi ล่าสุด Toshiba ก็ออกมาเปิดตัวเทคโนโลยีจอแสดงผลที่มีความละเอียดสูงกว่า Retina Display ของ iPhone 4 ที่ผู้ใช้หลายคนชื่นชอบอีกด้วย

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-offers-LTPS-367-ppi-higher-resolution-than-iphone-4-retina-display-2.jpg)

สำหรับเทคโนโลยีจอแสดงผล LTPS (Low-Temperature-Polycrystaline Silicon) ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ล่าสุดของ Toshiba จะสามารถให้ความละเอียดได้สูงถึง 367 พิกเซลต่อนิ้วบนพื้นที่ขนาดหน้าจอ 3.3 - 4 นิ้ว นั่นหมายความว่า จอแสดงผลขนาดดังกล่าวจะถูกใช้กับสมาร์ทโฟน และสามารถให้ความละเอียดได้ตั้งแต่ WVGA (480 x 864 พิกเซล) ไปจนถึง HD (720 x 1,280 พิกเซล) ได้ ในขณะที่ความละเอียดของจอแสดงผล iPhone 4 ทีเรียกว่า Retina Display จะอยู่ที่ 326 พิกเซลต่อนิ้ว ซึ่งถือได้ว่าเล็กที่สุดเท่าที่สายตามนุษย์จะมองเห็นได้ชัด

(http://www.arip.co.th/images/news/toshiba/toshiba-offers-LTPS-367-ppi-higher-resolution-than-iphone-4-retina-display-3.jpg)

อย่างไรก็ตาม ความละเอียดที่สูงกว่า อาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ใช้สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างจอทั้งสองได้มากนัก เนื่องจากนักวิจัยทางด้านการมองเห็นกล่าวว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างของความละเอียดที่สูงกว่า 300ppi ได้ แต่คำตอบสำหรับจอของ Tohsiba ที่เหนือกว่าจนผู้ใช้น่าจะรู้สึกได้ก็คือ การเพิ่มอัตราคอนทราสที่สูงถึง 1,000:1 (iPhone 4 จะอยู่ที่ 800:1) อีกทั้งยังครอบคลุมสเป็กตรัมของสีที่แสดงผลตามมาตรฐานของ NTSC ถึง 92% โดยมีมุมมองของหน้าจอในแนวนอนกว้างถึง 176 องศา อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยว่า จอแสดงผลชนิดใหม่นี้จะมีการใช้กับสมาร์ทโฟนของทางบริษัทเมื่อใด

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เตือน!!! ผู้ใช้แมคระวัง "แอนตี้ไวรัสปลอม"
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 พฤษภาคม 2011, 21:09:00
ในที่สุดก็ถึงวันหนึ่งที่ผู้ใช้แมค (Mac) ต้องหันมาให้ความใส่ใจกับการถูกโจมตีจากเหล่า"มัลแวร์"ซอฟต์แวร์อันครายต่างๆ ที่สามารถป่วนระบบ ตลอดจนล้วงข้อมูลลับ จับเครื่องเรียกค่าไถ่ สปายแวร์ และอื่นๆ อีกสารพัดได้แล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตได้ออกมาเปิดเผยว่า อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เริ่มพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ Mac ของ Apple ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ล่าสุดมีการปล่อย"แอนตี้ไวรัสปลอม"ออกมาแล้ว

ปัจจุบัน แฮคเกอร์ได้พัฒนามัลแวร์ที่สามารถเข้าโจมตีคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ได้แทบจะทุกเครื่องแล้ว แต่ด้วยความที่ผู้ใช้ Mac เติบโตขึ้นทุกวัน ทำให้กลุ่มนี้เริ่มกลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการโจมตีที่น่าสนใจกว่า ผู้เชียวชาญได้แสดงความคิดเห็นว่า เมื่อแพลตฟอร์มใดก็ตามเริ่มมีส่วนแบ่งตลาดที่ชัดเจน มันก็จะคุ้มค่าต่อการพัฒนามัลแวร์ เพื่อโจมตี เช่นเดียวกับแมคที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในขณะนี้ ซึงนั่นหมายความว่า มันก็จะเริ่มมีภัยคุกคามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วยนั่นเอง

(http://www.arip.co.th/images/news/mac/fake-anti-virus-attacks-mac-user-2.jpg)

ล่าสุดมีมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็นแอนตี้ไวรัสสำหรับแมคที่สามารถถูกดาวน์โหลดไปยังเครื่องของผู้ใช้ที่คลิกลิงค์จากผลลัพธ์ในเสิร์ชเอ็นจิ้น โดยพวกมันสามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านลิงค์ต่างๆ ที่อยู่ในอีเมล์ ทวีต หรือเมสเสจในเฟซบุ๊ค เพื่อพาเหยื่อเข้าไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งมัลแวร์ที่โจมตีผู้ใช้แมคอยู่ในขณะนี้จะทำงานในแบคกราวด์ เพื่อเข้าไปเจาะข้อมูลของเหยื่อ โดยแฝงตัวมาในรูปของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอม หลังจากนั้นมัลแวร์พวกนี้ก็จะช่วยแฮคเกอร์หากินในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ สเแปมเมล์ ไปจนถึงหลอกเอาเงินจากเหยื่อในลักษณะต่างๆ เลวร้ายสุดก็คือ ล็อคระบบให้เปิดใช้งานไม่ได้

(http://www.arip.co.th/images/news/mac/fake-anti-virus-attacks-mac-user-3.jpg)

โปรแกรมเหล่านี้จะใช้วิธีส่งข้อความป๊อปอัพขึ้นมาบนหน้าจอ พร้อมทั้งแจ้งว่า ระบบของคุณติดไวรัสเข้าให้แล้ว ก่อนที่จะหลอกขายผู้ใช้ด้วยซอฟต์แวร์"แอนตี้ไวรัสปลอม" เพื่อแก้ปัญหาให้ ผู้ใช้แมคอาจต้องเสียเงิน 80 - 100 เหรียญฯ (ประมาณ 2,400 - 3,000 บาท) โดยทีไม่ได้อะไรเลย เพียงแค่ทำให้ป๊อปอัพที่สร้างความรำคาญ และวิตกกังวลใจกับผู้ใช้หายไปเท่านั้น สำหรับผู้ใช้วินโดวส์พีซีประสบการณ์เหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ซึ่งการปล่อยมัลแวร์โจมตีผู้ใช้แมคในลักษณะนี้ และมีการแพร่กระจายในวงกว้าง เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ผู้ใช้แมคที่โดนเล่นงานจะพบว่า หน้าจอมีการป๊อปอัพข้อความดังกล่าวทุกๆ 2 - 3 นาที โดยจะพยายามแนะนำให้ซื้อซอฟต์แวร์เพื่อกำจัดมัลแวร์ออกไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณผู้อ่านที่ใช้แมคอยู่จะตกใจไปกับข่าวที่ออกมา ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า Apple ได้พัฒนาระบบป้องกันไวรัสขั้นพื้นฐานไว้ใน Mac OS X แล้ว ซึ่่งน่าจะเพียงพอต่อการป้องกันตัวเองในระดับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ในอนาคตผู้ใช้แมคอาจต้องหาโปรแกรมป้องกันเป็นพิเศษติดตั้งเหมือนพีซี

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)


หัวข้อ: เผยดีไซน์ Chrome 13 กำจัดแถบ URL
เริ่มหัวข้อโดย: Uzumaki Naruto ที่ 20 พฤษภาคม 2011, 21:20:25
เป็นที่ทราบกันดีกว่า Google พยายามจะย่นย่อให้อินเตอร์เฟซการใช้งานของบราวเซอร์ Chrome เหลือน้อยลงที่สุด โดยนักพัฒนาจะพยายามตัดส่วนการใช้งานที่ไม่จำเป็น (ผู้ใช้ไม่ค่อยได้คลิก) ไปพร้อมๆ กับทำให้แถบการใช้งานด้านบนบางลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เหลือพื้นที่แสดงหน้าเว็บมากที่สุด ล่าสุดพวกเขาได้ทำสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้วด้วยการลดแถบเครื่องมือที่ใช้ในการท่องเว็บ (Navigation toolbar) นั่นหมายความว่า คุณจะไม่แถบที่มีช่องใส่ URL โผล่รอให้คุณป้อนแอดเดรสของเว็บที่ต้องการเข้าไปชมอีกต่อไป

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/chrome-13-removes-url-toolbar-1.jpg)

ทางเลือกสำหรับการทดลองอินเตอร์เฟซใหม่ของ Chrome 13 ที่เชื่อว่า น่าจะทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนต้องอึ้งไปตามๆ กัน เมื่อทีมพัฒนาสามารถลดแถบเครื่องมือด้านบนลงได้อีก โดยแถบเครื่องมือที่ใช้ในการท่องเว็บของบราวเซอร์ คงเหลือไว้แค่ 3 ส่วนสำคัญในการใช้งานนั่นคือ แท็บ ปุ่มเมนู และพื้นที่แสดงผลหน้าเว็บ แม้กระทั่งปุ่มไปหน้าเว็บถัดไป หรือก่อนหน้านี้ที่เคยเปิดมาแล้ว (forward/backward button) ยังถูกยุบรวม แล้วเลื่อนไปซ้ายสุดของแท็บบาร์

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/chrome-13-removes-url-toolbar-2.jpg)

สำหรับการเข้าถึงช่องพิมพ์ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการเข้าไปเยี่ยมชม ผู้ใช้ต้องคลิกบน"แท็บ" แค่อึดใจอินเตอร์เฟซของแถบท่องเว็บที่ประกอบด้วยช่องพิมพ์ URL และปุ่ม Refresth ก็จะโผล่ขึ้นมาในลักษณะดรอปดาวน์ลงมาจากแท็บ โดยแถบท่องเว็บดังกล่าวจะอยู่ค้างบนหน้าจอตราบใดที่ช่องป้อน URL แอคทีฟ (เคอร์เซอร์รอพิมพ์กระพริบอยู่ในนั้น) และจะเลื่อนกลับขึ้นไปภายในไม่กี่วินาที หากเท็กบ๊อกซ์สำหรับป้อน URL ไม่ถูกเลือก ซึ่งคุณสมบัติของ UI ใหม่นี้จะพบได้ใน Chrome 13 เวอร์ชันทดสอบบน Windows (ยังไม่มีในเวอร์ชันสำหรับ Mac)

(http://www.arip.co.th/images/news/google/4/chrome-13-removes-url-toolbar-3.jpg)

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของการออกแบบให้ช่องป้อน URL ทำงานในลักษณะนี้ก็คือ มันเสี่ยงต่อการโดนโจมตีด้วยเทคนิค Phishing เนื่องจากมันทำให้ผู้ใช้มีโอกาสไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติของ URL ตลอดจนสถานะของ SSL ที่ปัจจุบันจะสังเกตเห็นรูปแม่กุญแจล็อคได้ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ Chrome 13 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ดังนั้นเวอร์ชันสมบูรณ์ อาจจะมีการเปลี่ยแปลง หรือไม่ก็ให้ผู้ใช้เลือกใช้อินเตอร์เฟซนี้ด้วยตัวเอง

ข้อมูลจาก: ARIP (http://www.arip.co.th)