Dropship สรุปให้สั้นและเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การขายสินค้าที่คุณไม่จำเป็นต้องสต๊อคสินค้า และไม่ต้องจัดส่งเอง หน้าที่เดียวของเราคือ marketing หรือไปหาลูกค้ามาซื้อนั่นเอง โดยมี Dropship partner ช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลสินค้า (รูปภาพ และคำอธิบาย) รวมถึงการจัดส่ง
ลองมาดูกันครับว่า Dropshiper ที่ดี "ต้อง" มีอะไรบ้างระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขาย – ข้อมูลสินค้าแบบครบถ้วน, รูปภาพที่คุณภาพ คือพื้นฐานที่เราสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการให้คะแนนกับ Dropship partner ได้ บางครั้งการตัดสินใจทำธุรกิจกับผู้ให้บริการด้วยราคาต้นทุนที่ถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว ก็เป็นอันตรายกับทุกธุรกิจของคุณนะครับ
อัพเดตข้อมูลและจำนวนสินค้าที่พร้อมขายอย่างสม่ำเสมอ – ปัญหาหนึ่งที่คนทำ Dropship เจอก็คือ ได้ออเดอร์แต่ไม่มีของส่ง (backordering) ถ้าคุณเป็นผู้ขายสินค้าบน amazon เคสนี้นับว่ารุนแรงในระดับเดียวกับ Negative Feedback เลยทีเดียว
ระบบการจัดส่งสินค้าที่ชัดเจน และติดตามได้ (tracking no.) – หลายๆ คนมองข้ามเรื่องของการจัดส่งไป ผมอยากจะบอกว่าคุณภาพและความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า สามารถเป็นตัวชี้วัดความพอใจของลูกค้าและเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำได้มากที่สุดเลยทีเดียว
นโยบายการคืนเงินและคืนสินค้าที่่ชัดเจน (Return and Refund policy) – สินค้าหลายๆ ประเภท เช่น จิวเวอรี่, เครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า gadget ต่างๆ จำเป็นต้องมีการทดสอบก่อนจัดส่งว่าใช้งานได้จริง แถมนโยบายของบางเว็บก็ยังให้สิทธิกับลูกค้าในการส่งคืนหรือยกเลิกสินค้าในกรณีที่ไม่พอใจได้อีกด้วย (guarantee policy) เช่น การขายของใน amazon
ความซื่อสัตย์ – ถ้าคุณไม่อยากเสียลูกค้าของคุณให้กับผู้ผลิตหรือ Dropship partner ข้อนี้สำคัญมากๆ ครับ ผมเคยได้พูดคุยกับเพื่อนท่านหนึ่งที่ใช้บริการ dropship ไทย ที่ช่วยให้เขาขายสินค้าได้อย่างที่ใจต้องการ เรียกว่าโกยเลยก็ได้ครับ แต่แล้ววันดีคืนร้าย สินค้าดังกล่าวก็หายไปจากระบบ @_@
สสารไม่มีทางหายไปครับ แต่มันอาจจะแค่เปลี่ยนรูปและเปลี่ยนที่อยู่เท่านั้น
จากบทความ
เส้นทางสินค้า Dropship ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ 
#dntmb