ผมก็คนหนึ่งแหละครับ จบแบบไม่ค่อยจะสนใจเพื่อนๆ เคยมีเรื่องถึงขั้นผมดิสเดรดิตเพื่อนเกือบทั้งห้อง
พอดีว่ามีเรื่องกันตอนฝึกงาน ตอนงานเลี้ยงหลังฝึกงานวันสุดท้าย เข้าใจอารมณ์คนเมานะครับ
พูดอะไรไม่ได้คิด แต่เข้ามาแบบผิดหูผม ผมก็ไม่ได้ถือสาหรอกทีแรก แต่พอมานหายเมา ดันเอาเรื่องนั้นมาพูดเรื่อยๆ
ซึ่งผมไม่ค่อยชอบ ผมเลยถามไปว่าจะหยุดได้หรือยังเรื่องฝึกงาน เขาก็ไม่หยุด สรุปผมก็เลยเป็นคนหยุดเอง
การหยุดของผมคือ ไม่สนใจเพื่อนเกือบทั้งห้อง ห้องผมมี 74 คน ผมสนใจแค่ 5 คนเพราะบ้านอยู่ติดกัน เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
นอกนั้นทิ้งหมด แล้วทำให้มานดูว่า ถ้าผมไม่คนเพื่อนอย่างเขา ผมก็อยู่ได้ บางทีอาจดีขึ้นด้วยซ้ำไป
นั่นคือเรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่เรียนปริญญาตรี ปัจจุบันคือข้อพิสูจน์อย่างดีว่า ผมไม่คบเพื่อนกลุ่มนั้นต่อเป็นสิ่งที่ดีและถูกที่สุดแล้ว
ปัจจุบันก็จบ ปริญญาโท วิศวกรรมโทรคมนาคม ไปเรียบร้อย กำลังเป็นอาจารย์ช่วยสอนและศึกษาต่อ ปริญญาเอก
เรียน ปริญญาเอก ตัววิชาเรียนหมดละ เหลือทำ thesis ก็ทำไปเรื่อยๆ สักวันมันก็ผ่านไปเอง ถ้าผมมีความพยายามมากพอ
ทุกวันนี้งานผมมีเยอะ แต่ผมไม่ทำ พยายามหาเวลาว่างใส่ตัวเอง เพราะการทำ thesis ปริญญาเอก หากใครได้เคยสัมผัสจะรู้ว่ามันสุดขั้วขนาดไหน
บางทีทำไปแล้วถึงกับต้องบอกว่าหลุดโลกไปเลย เพี้ยนไปทั้งวัน ต้องกลับมานั่งหรือนอนสงบสติ แล้วทางออกที่สุดของผมคือการเข้าวัด
รู้สึกว่าเข้าไปแล้วสบายใจมากๆ ไปช่วยกวาดลานวัด ช่วยงานนิดๆหน่อยๆ เป็นการผ่อนคลาย
หากวันนั้นไม่ได้ไปวัด แล้วเกิดอาการเคลียด ผมก็กลับเข้ามาหาธุรกิจของผมที่ทำไว้ในโลกอินเตอร์เน็ต ทำเว็บ ขายของ คุยกับคนอื่น
นี่คือการผ่อนคลายของผม
ใครจะบอกว่าผมไม่มีหลักแหล่งก็ได้ เพราะผมไม่มีหลักแหล่งจริงๆแหละ เป็นเพียงคนช่วยสอบ ไม่มีเงินเดือน มีแต่น้ำใจ
ทำงานวิจัย ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย ต้องใช้พลังใจอย่างเดียว อยู่ห้องเช่าราคาถูกๆ 3 พัน กินข้าววันละ 1 มื้อตอนเย็น
บางทีเดินผ่านน้องๆ นศ. เขาก็บอกว่า
พี่ๆ ทำไมพี่ทำตัวไม่สมกับที่กำลังเรียน ปริญญาเอกเลยหละคำๆนี้ผมฟังแล้วก็เลยตอบไปว่า
แล้วพี่ต้องทำไงครับให้สมกับ นศ.ปริญญาเอก ต้องไปเที่ยว ต้องแต่งตัวดีๆ ต้องกินของแพงๆ หารถหรูๆ แบบน้องใช่หรือป่าวครับน้องๆก็เงียบแล้วเดินจากไป ทำหน้าตาเหมือนจะไม่พอใจในคำตอบของผม แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะเดี๋ยวทุกวันนี้เขายังมีเงินให้ใช้
เมื่อไหร่ที่เขาเรียนจบ เขาต้องทำงาน เขาต้องหาเงิน เมื่อนั้นแหละ เขาจะคิดถึงคำพูดของผม
ผมก็ไม่รู้หรืออาจไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่า ปัจจุบันนี้ นศ. ที่ผมรู้จักต้องบอกว่า 80% เขาคิดอะไรกันอยู่ บางคนก็เรียนเหมือนให้จบๆ
บางคนก็ไม่เรียนเลยด้วย แต่พอถึงเวลาสอบก็มาสอบ พอคะแนนไม่ถึงก็โทษว่าอาจารย์ออกข้อสอบยาก สอนไม่ดี ขนาดคนเขาเข้ามาเรียนทุกวันยังทำไม่ได้ แล้วเขาไม่เข้าจะทำได้ไง
จริงๆแล้วข้อสอบที่อาจารย์ออกมาให้ นศ. ทำ อาจารย์เขาไม่ได้ออกยากเลย เขาออกตามที่สอนเราแหละ เพียงแต่มีการประยุกต์ แล้ว นศ. ต้องใช้ความคิดอีกสักหน่อย จึงจะตอบได้
ผมไม่รู้นะครับว่า นศ. คนอื่นๆจะเป็นยังไง ผมไม่ได้เหมารวมนะ ผมแยกอยู่ครับว่า กลุ่มที่ผมพูดถึงคือกลุ่มที่ผมรู้จัก นอกจากนี้ผมก็ไม่พูดถึง
แล้วอย่างการทำงาน ณ ปัจจุบัน งานทุกอย่างมันมีการแข่งขั้นหมด หากคุณกำลังเป็น นศ. ที่เรียนให้จบๆไปวันๆ เมื่อไหร่ที่คุณจบได้ถึงจุดหมายของคุณแล้ว
พอคุณออกมาหางาน พลังการต่อสู้กับงาน ประสิทธิภาพของงาน ที่ได้จากตัวคุณจะน้อย
ต่างกับคนที่เป็น นศ. ที่เรียนและทำทุกอย่างแบบตั้งใจ หาสิ่งแปลกๆมานั่งทำเล่นๆแบบไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทำเอง คิดเอง รู้เอง สุดท้าย แก้ปัญาเอง
แล้วพอเมื่อคุณไปทำงาน เจอหน้างานจริง ทุกอย่างจะลงตัวและสมบูรณ์แบบมาก เพราะคุณได้ฝึกความคิด ฝึกทักษะ สกิลต่างๆ และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเองได้
ส่วนในเรื่องของการใช้ CMS หรือไม่ ผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันครับ เพราะมันเป็นเทคนิค หากเรานำ CMS มาพัฒนาให้ตรงตามความต้องการของเราได้
ผมคิดว่าทุกอย่างมันก็คือคำตอบแล้วเหมือนกัน
แต่ถ้าหากว่าใช้ CMS แล้วไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็ต้องรู้จักแก้ปัญหา เช่นใช้ C,java เป็นต้น เพื่อให้ได้ตามความต้องการ
ผมมองว่าต้องมองที่เนื้องานก่อนครับว่าเนื้องานเป็นอย่างไรแล้วต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ที่ทำให้งานนั้นไปถึงจุดหมายได้
นี่แหละครับ เวลาผมได้พิมพ์ทีไร ผมจะชอบพิมพ์ยาวๆ ไม่รู้เป็นโรคอะไร 55555
หากมันยาวและไร้สาระสำหรับใครบางคน ผมก็ขออภัยไว้ด้วยครับ
