หลังจากนั้นเราก็มีความสุขกับชีวิตไปเรื่อย กินใช้ ซ์้อที่ ซื้อรถ เล่นหุ้น
ซึ่งเล่นหุ้นผมยังไม่ได้กำไรนะครับ เลยยังไม่ขอเอ่ย

จากนั้นผมก็ได้ลองกลับมาที่เวปไซต์ดูครับ เพราะผมเครียร์เรื่องลิขสิทธ์ไปแล้ว แต่ว่ามันทำไรเพิ่มไม่ได้แล้ว
ระบบพังหมด เพราะเค้ายึดเซริฟ์เก็บไฟล์ผมไป
แต่คนมันยังเข้าเยอะอยู่เลย
ผมก็ใช้วิธีจับคนเข้า วิ่งไปเวปใหม่ มีเวปลูกค้าบ้าง เวปใหม่ของผมบ้าง
ยิงปอปอัพไปให้วันละราวๆ 10000 คน ต่อเนื่อง 1 เดือน
ผลที่ตามมาหลังจากหยุดยิง popup คือ เราจะได้คน ราวๆ 1500-2000 คน ติดใจเวปใหม่ และ เข้าอยู่เรื่อยๆ
อันนี้เป็นวิธีที่ทำให้เวปไซต์เกิดใหม่ ดังไวนะครับ จ่ายแพงกว่าหน่อย แต่ดีกว่าแบนเนอร์แน่นอน
ถึงจะไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่า คนเราชอบอะไรหลายอย่างพร้อมกันอยู่ มันต้องมีแ๊จ๊คพอตบ้าง เราทำเวปดีๆก็พอครับ
จากนั้นผมก็ใช้เวปนี้ก่อนที่มันตาย หาลูกค้าบ้าง หาคนเข้าเวปใหม่บ้าง
จากนั้นผมก็ไปลุย Ecommerce จริงจัง
เพราะสิ่งที่อยู่กับผมมาตลอดในเวลาที่มีปัญหาคือ ecommerce
มันไม่เคยตาย มันไม่เคยมีปัญหา
มันเป็นสิ่งที่เราแทบไม่พึ่งคนอื่นเลย นอกจาก google
ผมเลยยกโฉมใหม่ ในหมวดหมู่สินค้าของผม
อะไรที่ผมเคยขาย เช่นพวกครีมดีๆ ผมไปจ้างเค้าแกะสูตรหมด ขอ อ.ย. อย่างถูกต้อง ทำในรูปแบบบริษัท
แม้เราจะไม่ได้อานิสงค์จากชื่อของแบรนด์ แต่เราได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า เราก็เปลี่ยนลูกค้าให้มาลองครีมตัวใหม่ (มันต้องดีอยู่แล้ว เพราะสูตรแทบจะเหมือนกันเปะ)
โดยที่ยังไม่ตัดสินค้าเก่าออกจากเวป
ใครไม่เปลี่ยนเราก็ไม่ว่า แต่เราจะพยายามดันสินค้าใหม่
เราลงทุนเพิ่มขึ้น 200000-400000 บาท ต่อโปรดักซ์ 1 ชิ้น แต่สิ่งที่เราได้มาคือ
สินค้าต้นทุนต่ำกว่าเกินครึ่ง เราสามารถขายได้ในราคาที่ถูกลงเพื่อเพิ่มยอดขาย ในอัตรากำไรที่เ่ท่ากัน หรือ ใช้ราคาเท่ากับของเก่า แต่กำไรสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
ลูกค้าเชื่อถือเรา ตอนนี้แบรนด์ใหม่ได้ถือกำเนิด ก็มีลูกค้าใช้แต่ต้น แม้จะยังไม่ดัง แต่ออเดอร์ก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก
คนรวยมากๆที่ทำการค้า คือ "คนที่มีสินค้าเป็นของตนเอง คือคนที่จะรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุด"
ถ้าเราดันมันจนดัง เราจะไม่ต้องทำสงครามราคา ไม่ต้องคอยวิ่งหาลูกค้า เพราะจะมีคนวิ่งหาให้เอง ซึ่งผมยังไม่ประสบความสำเร็จกับครีมหรอกนะ ที่ว่ามันดังน่ะ
แต่ผมก็ประสบความสำเร็จในเรื่องยอดขายของครีมแล้ว ในระยะเวลาแค่ 2 เดือน