ลองแบ่งสินค้าออกเป็นเกรดดูซิครับ ทัวร์แบบเดียวกัน แต่เกรดต่างกัน อะไรละที่ต่างกันก็ใส่รายละเอียดไป ซึ่งราคาก็จะต่างกัน เช่น
ทัวร์เกาะเต่า ดำน้ำ ตกหมึก สมมุติราคา 3,000 บาท กับถ้าเราทำ ทัวร์เกาะเต่า ดำน้ำ ตกหมึก 3,500 แล้วใส่รายละเอียดทำตารางเปรียบเทียบเลย เช่น เรือที่ใช้ในการเดินทางดีกว่าเรือทั่วไป อุปกรณ์มีมาตรฐานมากกว่าทั่วไป ไกด์มีประสบการณ์สูง มีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ครบครันมากกว่าปกติ มีการบริการเป็นกันเองและมืออาชีพ ได้รับการรับรองหรือใบประกาศอะไรก็ใส่ให้หมด
เรียกง่ายๆ คือคุณต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าของคุณ เพราะถ้าคุณบอกแค่ว่า ทัวร์เกาะเต่า ดำน้ำ ตกหมึก เหมือนกับทุกเจ้า แต่ของคุณแพงกว่าเค้า 500 ใครจะไปกับคุณละครับ... เค้าก็เลือกของถูกกว่าแน่ แต่ถ้าคุณมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนของทัวร์ของคุณ รับรองว่าจะมีลูกค้าที่มองเรื่องคุณภาพ เพราะใครๆ ก็อยากได้ของดีที่สมราคา ยิ่งเป็นทัวร์แบบนี้ ก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ เค้าก็อยากได้ของดีเลยนะครับ ดีกว่าจ่ายถูก แต่ห่วย จริงไหมครับ

ขอย้อนกลับไปที่ผมบอกว่าลองแบ่งสินค้าเป็นเกรดๆ ดูนะครับ คือเราสามารถขายทัวร์ที่ 3,000 บาทเท่าเจ้าอื่นได้ แต่ลูกค้าจะได้รับบริการและสิ่งต่างๆ ในเกรดที่ต่ำกว่านั้นเอง ซึ่งจะเหมือนกับทัวร์ทั่วไปที่ลดราคาและลดคุณภาพลง ถ้าลูกค้าจ่ายแพงขึ้นอีกนิด จะได้ทัวร์เดียวกัน แต่คุณภาพกว่าแบบนี้เป็นต้น เอาไปเป็นไอเดียนะครับ
อันนี้ผมทำอยู่แล้วครับ แต่ขาดตรงที่ไม่ได้นำมาเปรียบเที่ยบกัน
เช่นผมมีทั้งโปรแกรมที่นั่งเรือแบบVIP ท้องกระจก หรือเรือเฟอร์รี่ธรรมดา อะไรประมาณนี้อ่ะครับ