คุณต้องฝึกสติปัฏฐาน หรือฝึกสิตินี้เอง ตอนนี้ที่อเมริกา หรือยุโรป กำลังเลิกใช้ยากันแล้วครับ ไม่่ว่าจะยาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในแบบต่างๆ
เค้าหันมาฝึกสติแบบพุทธศาสนาแทน ตอนี้ฮิตกันมา ภาษาฝรั่งเค้าเรียกว่า mindfulness นั่นเอง คุณลองค้นคำในใน google นะครับ
และคนที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ คือ ด๊อกเตอร์ Jon Kabat-Zinn
Jon Kabat-Zinn ได้ถูก GOOGLE.com เชิญไปบรรยายพนักงานในเรื่องนี้เป็นประจำ
ผมเอาผมเอาวิดีโดมาให้ดู
อันนี้บบรยายที่ ครั้งแรกที่ google
และครั้งต่อๆมา
และมีท่านๆอื่นๆไปบรรยายเรื่องนี้อีกหลายคน
ด๊อกเตอร์ Jon Kabat-Zinn เป็นชาวพุทธฝรั่งนี่แหละ(แต่ท่านจะไม่พยายามพูดเรื่องศาสนานะเพราะไม่นั้นฝรั่งจะต่อต้านในวิธีนี้ได้จึงได้เสนอวิธีการและแนวปฏิบัติล้วนๆ) ท่านได้นำสิ่งนี้ไปทำการวิจัย และสร้างศูนย์บำบัดผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและโรคต่างๆขึ้นมา
คุณดู vdo นี้นะ
Stress Reduction 1 of 6 
มี 6 ตอน คือแนวทางคร่าวๆในการบำบัด รวมถึงสำภาษผู้ป่วย และผู้ร่วมฝึก
ซึ่งจะมีรูปแบบการฝึกในแบบต่างๆ
ผมแนะนำให้คุณดูของฝรั่ง ก่อน เพราะอะไร เพราะในที่นี้ ท่านด๊อกเตอร์ที่ที่มีชื่อเสียงได้ทำการวิจัย จากแนวทาง เซน ธิเบต หรือ เถรวาทนี่แหละ คัดเอาเนื้อล้วนๆ อย่างน้อยให้คุณวางคำว่าศาสนาลงก่อน ศึกษาในแนวทางสุขภาพก่อน เพราะมันเป็นกฏธรรมชาติทั่วไป วิทยาศาตร์ทางจิต
วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น ที่จะรักษาโรคซึมเศร้าแบบมากกว่าปกติ หรือที่เรียกว่าเรื้อรังได้ ส่วนวิธีการใช้ยาฝรั่งเริ่มไม่ใช้กันแล้ว เพราะเมื่อผู้ป่วยหยุดยา การวิจัยพบว่าอาการจะเริ่มเป้นขึ้นอีก คือไม่หายขาด และทั้งมีกรณีดื้อยาตามมาด้วย อาการย้ำคิดย้ำทำก้เป็นโรคซึมเศร้าชนิดหนึ่งก้ว่าได้ เพราะเป็นภาวะทางจิต (mind)นั่นเอง
ก่อนอื่น คุณต้องอย่าสับสนในคำว่าสมาธินะครับ บางท่านพุดคำว่าสมาธิ คนไทยทั่วไปมักจะเข้าใจผิด ไปว่าสมาธิ = สมถะ
สมถะ คือการนั่งสมาธิแล้วเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง แบบ ฤาษี คือรวมจิตให้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเพ่งลุกแก้ว หรือเพ่งแบบกษิณ หรือลมหายใจบางแบบที่ไม่มีสติกำกับ
แต่ก็ยังดีหน่อยที่เมืองไทยส่วนมาก สอนเรื่องอาณาปาณสติกัน อาณาปาณสติ คือตัวควบคือกึ่งๆรวมทั้ง สมาธิและ สติ เข้าด้วยกัน
การรักษาที่ได้ผลคือ mindfulness หรือการฝึกสติ หรือการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะนี่เองครับ
อาณาปาณสติ คือหนึ่งในนั้น รวมทั้งการฝึกพวกวิปัสนากรรมฐาน หรือสติปัฐานนั่นเอง ถือฝรั่งก้คือ mindfulness
การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่การฝึก อาณาปาณสติ เพื่อฝึกการอยู่กับลมหายใจเท่านั้น จะรวมถึงการฝึกสติทั้งหมดด้วย เดิน นั่ง ยืน นอน
การตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่กังวลกับอดีต หรือไม่คิดมากเรื่องอนาคตยิ่งยังมาไม่ถึง
หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ นกร้องก้ได้ยิน เพราะ สวย ตื่นตัว
หวานก็รู้ว่าหวาน กินเกลือก็รู้ว่าเค็ม คือมีสติกับขณะนั้นๆ นี่คือการฝึก
เดินก้รู้ นั่งก้รู้ ยืดก็รู้ คู้ก็รู้ หอมก็รุ้ เหม็นก็รู้ จิตคิดก็รู้ว่าคิด จิตไม่คิดก็รู้ว่าไม่คิด คือจับสัมผัสเอา แค่เซนเซอร์ตรวจจับ ไม่ได้เอาไปปรุงต่อไม่ได้เอาไปประมวลผลนะ
การรู้หรือการตื่น หรือสติ ไม่ใช่การคิดนะ การฝึกสติไม่ใช่การคิด การฝึกสมาธิไม่ใช่นั่งแล้วคิด
แต่มันคือเซนเซอร์ รับร้สัมผัส ไม่ใช่การปรุงแต่งด้วย อันนี้พูดกันคร่าวๆให้จับหลักให้ได้ก่อน
ส่วนหนังสือด้านนี้ ที่ขายดีมาก ใน AMAZON ด้วย ของ ด๊อกเตอร์ Jon Kabat-Zinn
คือ
http://www.amazon.com/Jon-Kabat-Zinn/e/B000AQ12GA 
ครับ เยอะมาก
หลักๆคือกลับมาอยุ่กับปัจจุบันนั่นเอง
ฝึกครับ พระพุทธเจ้าตรัสคำหนึ่งว่า คนเราฝึกได้
ถ้าคุณฝึก มันจะค่อยๆซึบซับไปเอง
เมื่อเรามีสติตรวจจับ หลังจากนั้นเราก้จะทำอะไรก้ได้
เค้าเรียกว่า แบบนี้ต้องเอากายเป็นฐาน หรือฝึกสติฐานกาย
แล้วอารมณ์ฟุ้งซ่านจะไม่มี
บางคนคิดด่าพระพุทธเจ้า ด่าเจ้าที่ ทั้งๆที่ตัวเองเคารพแต่มีอีกจิตหนึ่ง ผุดๆโผล่ๆด่าขึ้นมาแว๊ปๆต้านกัน ถ้ามากจนปวดหัวก็ถือว่าเป็นความทุกขืแล้วครับ
บางคนกลัวมือสกปรก เดี๋ยวเอามือมาดมๆ แล้วไปล้างๆ บ่อยๆ
บางคนเอ้ ราดขี้หรือยังนะ เดินไปเดินมาๆๆๆๆ ไปดูๆ มากเกินไป
ถ้ามันไม่มากไปก้ไม่เป็นไรครับ
แต่ถ้ามันมากจนผิดปกติ อันนี้ต้องรักษา ถ้าคุณเป็นแรง แล้วขี้เกียจทำแบบข้างบนก็ใช้ยารักษาซึมเศร้า
แต่อย่างที่บอกหมอฝรั่งวิจัยแล้ว พอหยุดยา มันมีโอกาสกลับมาอีก บางคนก็ดื้อยาด้วย
มันไม่หายขาด โรคซึมเศร้าถ้าเป็นถึงขั้นหนึ่งแล้ว มันได้ยาแค่ระงับ รักษาไม่ได้ ยามันแค่กดไว้ แล้วผุดๆโผล่ๆมาเมื่อมีโอกาส ถ้าดื้อยา ก็จบ จะยอมทุกขืไปตลอดชีวิตหรือ
นอกจากคนที่เป็นนิดๆหน่อยๆ พวกที่เป็นนิดๆหน่อยไม่หนักวันเวลาผ่านไปอันนี้เดี๋ยวมันอาจหายไปเองได้
มีสติกับปัจจุบันกับ เอาสติมาจับกายไว้ กายก้คือ สัมผัสทั้งหก ของเรานี่แหละครับ อย่าเอาออกนอก
คุณลองฟุ้งซ่านคิดนั่นคิดนี่ บางคนคิดจนเหนื่อยจนสงสารสมองตัวเอง คือคิดทุกลมหายใจ จนคิดว่าคนเราคงหยุดคิดไม่ได้
คุณลองเอาสติมาจับกายดูสิ หยุดคิดเลย มันจะมาอยู่กับเราแทน อยุ่กับลมหายใจก็ได้ หรือสัมผัสต่างๆ แล้วจิตมีความสุข
ถ้าทำไปเรือยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ ธรรมะต่างๆหรือสิ่งดีๆต่างๆจะเกิดขึ้นมาเอง ตรงนี้ฝรั่งประหลาดใจมาก
เช่นความโอมอ้อมอารีน์ ความไม่มีอารมณ์ร้าย ไม่โกรธง่าย ความเข้าใจชีวิต ความรัก ความเผื่อแผ่ ความสุข
มันเกิดขึ้นมาจากภายในจนเป็นนิสัยใหม่ ตัวนี้แหละที่แก้สันดานคนได้ บางคนสันดานเลือดร้อน อารมณ์ร้าน ขี้เหวี่ยง
เจอฝึกแบบนี้เข้าไป หรือไปฝึกวิปัสสนาก็ได้ กลายเป็นคนละคนเลย แต่ต้องฝึกให้ถุกวิธีนะ จับหลักให้ได้ก่อน
หลักมันคือ มีสติอยุ่กับขณะนี้ แค่นั้นเอง ถ้าคุณฝึกคุณจะค่อยๆเข้าใจเอา
ขอเตือนหน่อยถ้าคุณจะไปหัดฝึกสมาธิ คุณต้องมีสติกำกับด้วย นะอย่าเข้าคอสฝึกสมาธิ แต่ให้เข้าคอสวิปัสสนา
วิปัสสนา กับ สมาะิ คนละเรื่องกันนะครับ ตรงนี้หลายคนอาจเข้าใจผิด ว่าคนนั้นคนนี้ไปวิปัสสนา คงคิดว่าไปนั่งสมาํธิ แต่ไม่ใช่นะ
มันแค่ส่วนเล็กๆเท่าขี้จิ้งจกนะ วิปัสสนา กับ สมาธิ มันคนละเรื่อง (เพราะคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่าสมาธิคือการรวมจิตอย่างเดียวที่จริงแล้วมันแยกเป็นสอง) แต่มันเกื้อหนุนกันได้
แยกได้ง่ายๆ พวกที่ไปเล่นด้านสมาธิ อาจจะสติแตกได้ บ้าได้
แต่ ฝึกสติ ไม่บ้า ไม่เสีย ได้ๆกับได้
สมาธิิเป็นของกลางๆ ฝึกไปมีเสียก้ได้ ดีก้ได้แล้วแต่ผู้ฝึกจะรู้เท่าทันตัวเองไหม
แต่สติเป็น กุศล มีแต่ได้กับได้ ดีกับดี
คุณเคยเห็นพวกฝึกสมาธิแล้วบอกว่ามีฤทธิอย่างนั้นอย่างนี้ไหม บอกว่ามีองค์ บอกว่ามีคนมากระซิบเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกว่าถอดจิตไปเที่ยวนั่นนี้ บอกว่าไปคุยกับเจ้าที่เจ้าทางมา
บอกว่าเคยต่อสู้กับพวกเล่นขุนไสยต่างๆ ไอ้นั่นคือพวกที่เล่นทางจิต หรือสมาธิในแนวในแนวไม่ต่างกับฤาษีชีไพร แบบนั้นมีในอินเดียตั้งนานแล้ว แบบนั้นเป็นของกลาง ทำผิดระวังเพี้ยน
มันอาจได้ความสามารถทางจิตแบบจริง หรือหลอกก้ได้ เพราะมันเป็นของกลาง
แต่สิ่งที่ของพุทธเรามี เพิ่มเข้ามา คือ สติปัฐานนี่แหละครับ ไปทางวิปัสสนา หรือสติ ไม่เพี้ยนแน่นอน พวกที่ฝึกทางนี้ คือพวกที่หวังหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่หวังฤทธิ์
ฝึกเพื่อความสุขในชีวิตประจำวันก้ได้ เพราะเป้าหมายของพุทธคือไม่มีทุกข์ แค่นั้นเอง และหลักการปฏิบัติก้เป็นกฏธรรมชาติล้วนๆไม่เกี่ยวกับนับถือศาสนาไหน ทำได้ทุกคน
ที่พูด เผื่อว่าคุณยังไม่ค่อยมีความรู้ เห็นมีคนพุดว่าฝึกสมาธิ ผมก็กลัวคุณไปผิดทาง
สรุปคือมีสติกับปัจจุบัน ฝึกสติ สมาธิที่มีสติตรวจสอบ mindfulness นี่เอง
ย้ำว่า Mindfulness มันจะได้แยกชัดเจนหน่อย เพราะคนไทยเราชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ใช่พระมักจะจำสับสน แต่ฝรั่งเค้ามาทีหลังเค้าเลยแยกชื่อไว้ชัดกว่านิดหน่อย
ด๊อกเตอร์ Jon Kabat-Zinn เค้าต้องศูนย์สุขภาพขึ้นมา เพื่อใช้แนวทางนี้บำบัด รวยไปแล้วครับ ได้ผลจริง โด่งดัง ทดลองทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างเพราะท่านจบวิทยาศาสตร์มา
คนเราคิดว่าปล่อยวางได้ แต่ยากถ้าคิดว่าจะปล่อยวางๆ แต่ร่างกายคุณเรียกร้อง ยิ่งพวกที่เป็นโรค มันห้ามจิตไม่ได้ แต่ถ้าคุณเอาสติมาจับกาย
ทุกอย่างก็หยุด เพราะคนเรามีจิต ดวงเดียว ทำได้ทีละอย่างเท่านั่น แม้ว่ามันจะสลับไปสลับมาเร็วปรู๊ด จนคิดว่าทำได้หลายๆอย่างพร้อมกัน ที่จริงไม่ใช่ มันแค่เคลื่อนที่ไว ถ้ามีสิตเราจะจับทางมันได้หมด
ฉนั้น ฝึกเอาสติมาจับกายซะในเบื้องต้น
ใช้ได้กับทุกคน ที่อยากมีความสุข ไม่ใช่แค่คนเป็นโรคทางจิต
มันคือธรรมชาติล้วนๆ กฏทั่วไป ไม่ใช่ความเชื่อหรือศาสนา ผมก้พยายามฝึกอยู่ผมไม่ใช่เก่งหรือทำได้ แต่เราฝึกพร้อมกันไหม เพื่อความสบายๆ อารมณ์ดี
เดี๋ยวมันดีขึ้นเอง มนุษย์ฝึกได้ ฝึกไปเรื่อยๆมันก้ดีขึ้นเอง

คุณเคยอ่าน มหัศจจรย์แห่งการตื่นอยู่เสมอของ ติช นัช ฮันหรือเปล่า คือหลักการเดียวกันแหละ
สู้ๆครับ นี่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ฝรั่งเค้าเริ่มฮือฮากันมาก ต่อไปคงมาสอนในไทย เพราะคนไทยยังแยก น้ำกับเนื้อไม่ค่อยออก ต้องให้ฝรั่งมาเรียนรู้แล้วไปแยกแยะ แล้วทำให้ดูก่อน
เช่นตอนนี้ฝรั่งเริ่มให้เด็กนักเรียน ทำสมาธิการการเรียนการสอนแต่ละคาบ แต่ของไทยกำลังเริ่มโล๊ะเรื่องพวกนี้ออก ต่อไปถ้าฝรั่งทำกันเป็นทางการเมืองไทยค่อยไปลอกหลักสูตรมาเองแหละ