ข่าวเศรษกิจ - เตือนรับมือบาทแข็งค่าแตะ 26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า เงินบาทในปีหน้ามีแนวโน้มแข็งค่าแตะระดับ 26 – 27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปีหน้าให้ชะลอลงเหลือเพียง 8% จากเดิมคาดว่า จะขยายตัวได้ 10 – 13% จึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ 4% จากเดิม 3.5 – 5% ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท และมีมาตรการสกัดการเก็งกำไร ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาคเอกชนควรเร่งปรับตัว และทำประกันความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช กรรมการ และประธานกรรมการ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย บอกว่า แนวโน้มเงินบาทในปีหน้ามีโอกาสแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ขณะที่สกุลเงินหยวนของจีนยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งเงินบาทยังมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปีหน้าให้ชะลอลง ดังนั้นจึงคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะขยายตัวได้เพียง 3 – 5%

ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย บอกว่า เงินบาทในปีหน้ามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอย่างแน่นอน เนื่องจากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามายังเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯออกมาตรการ QE2 ดังนั้นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ธปท. จะมีมาตรการออกมาดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีมาตรการเพิ่มเติมผู้ส่งออกจะได้รับผลกระทบอย่างมาก

ส่วนนายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอยุธยา บอกว่า หากค่าเงินบาทปีหน้าแข็งขึ้นแตะ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs หยุดรับคำสั่งหรือบางส่วนต้องปิดกิจการ เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และก็ไม่สามารถปรับราคาขายได้ ขณะที่ผู้ประกอบการไม่มีกำไรจากการขายสินค้า ซึ่งปัจจุบันที่ SMEsยังอยู่ได้ เพราะสภาพคล่องส่วนใหญ่มาจากการกู้เงิน

ด้านนายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่า เป็นเรื่องยากที่ไทยจะฝืนกลไกตลาดเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนได้ ดังนั้น ธปท. ควรนำเงินที่จะแทรกแซงค่าเงินมาช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทจะเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น และใช้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ

จาก Money Channal